เปิดกลยุทธ์ “วนชัยกรุ๊ป” สู่รายได้ 20,000 ล้าน หลังหนีสงครามการค้าโลกหันมาบุกตลาดในประเทศ

สงครามการค้าระหว่างประเทศสหรัฐอเมริกากับจีนที่เกิดขึ้น ปฏิเสธไม่ได้ว่าส่งผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมกับประเทศอื่นๆ ที่ทำมาค้าขายอยู่บนเวทีการค้าโลก  เพราะทั้ง 2 ประเทศมหาอำนาจ  มีทั้งขนาดเศรษฐกิจและขนาดของตลาดที่ใหญ่  จึงมีส่วนสำคัญต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลก

 

หลายบริษัทที่ทำธุรกิจโดยพึ่งพากับตลาดต่างประเทศ หรือการส่งออกเป็นหลัก ช่วงที่ผ่านมาจึงได้รับผลกระทบกับยอดขายและรายได้ ซึ่งไม่เติบโตอย่างที่คาดหวัง เพราะสภาพเศรษฐกิจโลกไม่ได้สดใสอย่างที่คิด ผู้ประกอบการเริ่มมองหาโอกาสทางการตลาด  เพื่อลดความเสี่ยงในการทำธุรกิจ  ไม่ว่าจะเป็นการมองหาตลาดใหม่ พัฒนาสินค้าให้ดีขึ้น ลดการพึ่งพาตลาดต่างประเทศ โดยหันมาหากลุ่มลูกค้าในประเทศแทน

 

“วนชัยกรุ๊ป” หนึ่งในผู้ดำเนินธุรกิจแผ่นไม้ทดแทนธรรมชาติ ก็เป็นหนึ่งในบริษัทที่มีรายได้หลักมาจากตลาดต่างประเทศ และต้องเจอกับผลกระทบจากสงครามการค้า ปัญหาเศรษฐกิจโลกที่มีความผันผวน ทำให้รายได้และการเติบโตของบริษัทผันผวนตามไปด้วย  ช่วงปี 2561 ที่ผ่านมาจึงเริ่มวางแผนและปรับกลยุทธ์การทำธุรกิจกันใหม่ ด้วยการปรับโครงสร้างธุรกิจ ตามแผนธุรกิจในระยะ 5 ปี (2561-2565)  เพื่อสร้างรายได้ 20,000 ล้านบาท โดยจะเพิ่มบทบาทและความสำคัญของตลาดในประเทศ  รวมถึงการขยายไปยังธุรกิจพลังงานเพิ่มมากขึ้น

 

นายวรรธนะ เจริญนวรัตน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท วนชัย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (VNG) เปิดเผยว่า ในช่วงเวลา 4- 5 ปีนี้  ผลการดำเนินงานของบริษัทมีทั้งกำไรมากที่สุดและในบางปีก็ขาดทุนมากที่สุด เป็นผลกระทบโดยตรงจากความผันผวนของตลาดคอมโมดิตี้ส์โลก เศรษฐกิจโลกอาจจะมีความผันผวนมากกว่านี้ในอนาคต ทำให้เรามีความจำเป็นต้องปรับโมเดลธุรกิจใหม่ ลดความเชื่อมโยงกับตลาดคอมโมดิตี้ส์ของโลก แต่จะพัฒนาให้ขายสินค้าในตลาดในประเทศเพิ่มขึ้น

วางเป้าโกยรายได้ในประเทศหมื่นล้าน

 

แผนธุรกิจสำคัญของ “วนชัยกรุ๊ป” ภายหลังจากปรับโครงสร้างธุรกิจใหม่ คือ การสร้างรายได้ภายในประเทศให้ขึ้นมาเป็นอีกหนึ่งรายได้หลัก หรือมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 50% จากปัจจุบันมีอยู่ประมาณ​ 20-25%  เป็นการลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาตลาดต่างประเทศเพียงอย่างเดียว ซึ่งหากสำเร็จตามแผนภายในปี 2565 จะสร้างรายได้ภายในประเทศ 10,000 ล้านบาท

 

ไม่เพียงแต่รายได้ในภาพรวมที่เติบโตเพิ่มมากขึ้น แต่ในด้านผลกำไรก็ถือเป็นเป้าหมายสำคัญที่บริษัทต้องการให้กลับมาอยู่ในอัตราที่สูงเท่าเดิม  เพราะปัจจุบันถือว่าอัตรากำไรขั้นต้น (Gross profit) ของบริษัทเหลือเพียง 10% จากก่อนหน้านี้มีประมาณ 25% ซึ่งเป็นผลจากภาวะเศรษฐกิจโลก  และต้นทุนการดำเนินธุรกิจที่เพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นราคาวัตถุดิบอย่างไม้ยางพารา ที่ปรับราคาสูงขึ้น ซึ่งหากเป็นไปตามแผนธุรกิจอัตรากำไรขั้นต้นน่าจะได้เห็น 25% ภายในอีก 2-3 ปีข้างหน้า

 

ผนึก “ไดนาสตี้” ลุยค้าปลีก

กลยุทธ์ที่จะสร้างรายได้ 10,000 ล้านบาท คือ การบุกตลาดรีเทลภายในประเทศ  ซึ่งบริษัทได้วางแนวทางการตลาดที่สำคัญไว้ ดังนี้ 

 

1.การพัฒนาสินค้าใหม่

แต่เดิมบริษัทมุ่งเน้นการขายวัตถุดิบ เพื่อใช้สำหรับการผลิตเฟอร์นิเจอร์  และลูกค้าหลักในตลาดต่างประเทศ การหันมาบุกตลาดภายในประเทศ จึงจะพัฒนาสินค้าสำเร็จรูปออกขายให้มากขึ้น โดยมีครบตั้งแต่พื้นจนถึงฝ้าเพดาน อาทิ ไม้พื้นสำเร็จรูป ไม้ตกแต่งผนัง ประตูแบบต่างๆ เป็นต้น  รวมถึงผลิภัณฑ์ใหม่ ได้แก่ ไม้อัดเกล็ดเรียงชิ้น หรือ OSB (Oriented Strand Board) และแผ่นปิดไม้วีเนียร์

 

2.การพัฒนาช่องทางจำหน่าย

บริษัทได้จัดตั้งบริษัท วนชัย วู้ดสมิธ จำกัด เพื่อพัฒนาตลาดการค้าปลีก ด้วยการเปิดร้านจำหน่ายสินค้าภายใต้แบรนด์ “วู้ดสมิตร” (Woodsmith) ซึ่งล่าสุดได้ทำบันทึกข้อตกลง (MOU) ร่วมกับ กลุ่มไดนาสตี้  เปิดพื้นที่ขายสินค้าภายในร้านไดนาสตี้  ขนาด 1,000 ตารางเมตร วางแผนขยายร้านให้ครบ 20 แห่งภายในปีนี้ จากปัจจุบันมีสาขาแล้ว 8 แห่ง และจะขยายให้ครบ100 แห่งภายในปี 2566 ซึ่่งในปีแรกคาดว่าจะทำยอดขายได้ 300 ล้านบาท และมียอดขาย 4,000 ล้านบาทในปี 2564

 

นอกจากช่องทางค้าปลีกแล้ว  บริษัทยังเตรียมพัฒนาช่องทางจัดจำหน่ายสินค้าออนไลน์ เพื่อรองรับกับพฤติกรรมผู้บริโภคปัจจุบัน และกลุ่มลูกค้าที่ต้องการได้รับความสะดวกในการสั่งซื้อสินค้า โดยเฉพาะกลุ่มช่าง และผู้รับเหมาที่รู้จักผลิตภัณฑ์แล้ว โดยคาดว่าภายในปี 2464 จะเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการ และคาดว่าจะทำรายได้ 20-30%

 

3.การพัฒนาระบบโลจิสติกส์

บริษัทได้ลงทุนจัดตั้งบริษัท วนชัย โลจิสติกส์ จำกัด ด้วยทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาท เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2562 ที่ผ่านมา ตามมติที่ประชุมกรรมการบริษัทเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2562 เพื่อรองรับกับการจัดส่งสินค้าให้กับลูกค้า โดยเฉพาะการจำหน่ายสินค้าทางออนไลน์ เนื่องจากปัจจุบันการจัดส่งสินค้ายังใช้บริการของผู้ประกอบการอื่นซึ่งมีต้นทุนสูง

 

นอกจากนี้ ยังได้เตรียมลงทุนศูนย์กระจายสินค้า (Distribution Center) 10 แห่ง  แต่ละแห่งจะมีขนาดพื้นที่ 5,000-8,000 ตารางเมตร  เพื่อเป็นจุดกระจายสินค้าไปยังสาขาต่างๆ ของร้านวู้ดสมิตร การจัดส่งสินค้าให้กับลูกค้าในแต่ละพื้นที่ และบางแห่งอาจจะใช้เป็นโชว์รูมแสดงสินค้าด้วย

 

4.การทำตลาดและสร้างการรับรู้ในผลิตภัณฑ์

เมื่อกลับมาบุกตลาดค้าปลีกในประเทศ บริษัทจึงต้องสร้างการรับรู้ในผลิตภัณฑ์ให้มากขึ้น แม้ว่าภาพลักษณ์แบรนด์จะเป็นที่ยอมรับว่าเป็นสินค้าคุณภาพ แต่กลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่ยังไม่รู้จักผลิตภัณฑ์ของบริษัทมากนัก ซึ่งนอกจากการสื่อสารและสร้างแบรนด์แล้ว  สิ่งที่บริษัทจะทำ คือ การสร้างการรับรู้ในกลุ่มลูกค้าเป้าหมายหลัก ได้แก่ กลุ่มช่าง กลุ่มผู้รับเหมา และสถาปนิก เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจในผลิตภัณฑ์

แผน 5 ปีเตรียมเงินลงทุนกว่าหมื่นล้าน 

โดยตามแผนระยะ 5 ปี บริษัทได้เตรียมงบประมาณการลงทุนไว้กว่า 10,670 ล้านบาท เพื่อใช้ในการขยายธุรกิจด้านต่างๆ แบ่งเป็น

1.โรงงานไฟฟ้าชีวมวล 4 โรง มูลค่า 2,400 ล้านบาท

2.พลังงานแสงอาทิตย์ หรือ Solar Roof 3 แห่ง มูลค่า 600 ล้านบาท

3.โรงงานผลิต OSB จังหวัดสุราษฎร์ธานี แห่งแรก มูลค่า 2,300 ล้านบาท และโรงงานที่ 2 มูลค่า 3,000 ล้านบาท

4.โรงงานแผ่นปิดไม้วีเนียร์ แห่งแรก มูลค่า 300 ล้าบาท และโรงงานที่ 2 มูลค่า 1,000 ล้านบาท

5.ศูนย์กระจายสินค้า มูลค่า 1,000 ล้านบาท

6.ระบบโลจิสติกส์ มูลค่า 70 ล้านบาท

 

 

บทความ ข่าวโปรโมชั่น ล่าสุด