3 เหตุผลสำคัญที่ “อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์” เข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้น

ติดต่อโครงการ


3 เหตุผลสำคัญที่ “อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์” เข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้น

สถานการณ์ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้ ดูแล้วไม่ได้คึกคักเหมือนหลายปีที่ผ่านมา เพราะมีมาตรการ LTV มาลดระดับความร้อนแรงของกลุ่มนักเก็งกำไรและกลุ่มนักลงทุน แถมสภาพเศรษฐกิจก็ยังไม่ได้ฟื้นตัวดีขึ้น ธุรกิจที่เกี่ยวข้อง อย่างกลุ่มธุรกิจเฟอร์นิเจอร์และของแต่งบ้าน  ก็เลยออกอาการชะลอตัวตามไปด้วย  ทำให้ช่วงนี้ได้เห็นการทำตลาดสารพัดรูปแบบ และการจัดโปรโมชั่น “ลด แลก แจก แถม” ออกมากันทุกค่าย  เพราะต้องกระตุ้นยอดขายกันหน่อย ไม่เช่นนั้นยอดขายจะไปไม่ถึงเป้าหมายที่วางกันไว้

 

นอกจากความเคลื่อนไหวในเรื่องสงครามโปรโมชั่นแล้ว  เห็นกันถี่ยิบแทบทุกเดือนแล้ว ความเคลื่อนไหวสำคัญของตลาดเฟอร์นิเจอร์และของแต่งบ้านที่สำคัญ คือ กลุ่มอินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ เดินหน้าเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อนำเงินมาขยายธุรกิจและเสริมสร้างความแข็งแกร่ง ให้สามารถแข่งขันได้กับเพื่อนๆ ในสงครามการค้า ที่มีทั้งแบรนด์ไทยและต่างชาติแข่งขันกันอย่างสนุกสนาน

 

หลังจาก บริษัท อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ  ILM ได้ยื่นแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์และแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อขอเสนอขายหุ้นสามัญให้แก่ประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) ล่าสุด ก.ล.ต.ได้อนุมัติให้สเนอขายหุ้นกับประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก ซึ่งคาดว่าจะสามารถเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ได้ภายในไตรมาส 3 ของปี 2562 นี้

3 เหตุผลระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์

ปัจจุบันบริษัท มีทุนจดทะเบียน 2,525 ล้านบาท เป็นหุ้นสามัญจำนวน 505 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (PAR) หุ้นละ 5 บาท เป็นทุนชำระแล้วจำนวน 2,000 ล้านบาท เป็นหุ้นสามัญจำนวน 400 ล้านหุ้น ซึ่งเตรียมเสนอขายหุ้นไอพีโอ จำนวน 105 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 20.79% ของทุนจดทะเบียนชำระแล้วของบริษัท โดยวัตถุประสงค์ของการระดมทุนครั้งนี้ จะนำไปใช้ใน 3 เรื่องหลัก ได้แก่ 1.ขยายธุรกิจของบริษัท ผ่านการลงทุนในรูปแบบต่างๆ  2.ชำระคืนเงินกู้ยืมแก่สถาบันการเงิน เช่น เงินกู้ยืมระยะสั้น สำหรับการจ่ายเงินปันผล 1,200 ล้นาบาท ให้ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)  และ 3.ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงาน

 

นางสาวกฤษชนก ปัทมสัตยาสนธิ กรรมการผู้จัดการ ILM เปิดเผยว่า การเข้าระดมทุนครั้งนี้ เพื่อเสริมศักยภาพและขีดความสามารถการแข่งขันธุรกิจร้านค้าปลีกของแต่งบ้าน ที่สามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่  ผ่านร้านค้าปลีกทั้ง 4 แบรนด์หลัก ได้แก่ 1.Index Living Mall 2. Trend Design 3. Winner และ 4. Younique ที่มีสินค้าครอบคลุมตั้งแต่ เฟอร์นิเจอร์ อุปกรณ์ตกแต่งบ้าน ของใช้ภายในบ้านและเครื่องใช้ไฟฟ้าชั้นนำหลากหลายแบรนด์ ทำให้สามารถตอบสนองกลุ่มลูกค้าได้ทุกไลฟ์สไตล์

 

เปิด 3 สาขา Index Living Mall   

 

บริษัทมีแผนขยายสาขาเพิ่ม เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคให้ได้มากขึ้น รองรับกับการขยายตัวของเมืองต่างๆ โดยจะเลือกทำเลที่ตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์สำคัญ มีศักยภาพในการเติบโต และยังไม่มีร้านค้าของบริษัทตั้งอยู่ในบริเวณใกล้เคียง พื้นที่ดังกล่าวจะต้องมีประชากรหนาแน่นและมีศักยภาพในการซื้อสินค้า รวมถึงมีความสะดวกสบายในการเดินทางและสามารถเข้าถึงร้านค้าของบริษัทได้ง่าย

 

ปัจจุบันบริษัทมี Index Living Mall และ Index Furniture Center จำนวน 36 แห่ง  มีแผนขยายสาขาของร้านค้า Index Living Mall เพิ่ม 2-3 สาขาต่อปี ภายในปี 2562 – 2563  มีแผนเปิดร้าน Index Living Mall จำนวน 3 สาขา ได้แก่

 

1.สาขาจันทบุรี มีพื้นที่ขายประมาณ 3,500 ตารางเมตร ใช้เงินลงทุนประมาณ 160 ล้านบาท และคาดว่าจะเปิดบริการได้ภายในเดือนกรกฎาคม 2562

2.สาขาสุขาภิบาล 3 ปัจจุบันโครงการดังกล่าวอยู่ระหว่างดำเนินการออกแบบรูปแบบโครงการ โดยโครงการดังกล่าวจะมีพื้นที่ขายประมาณ 3,500 ตารางเมตร และคาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 160 ล้านบาท และคาดว่าจะสามารถเปิดบริการได้ภายในเดือนธันวาคม 2563

3.สาขารามอินทรา โครงการดังกล่าวจะมีพื้นที่ขายและพื้นที่ให้เช่าประมาณ 9,200 ตารางเมตร คาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 300 ล้านบาท และเปิดบริการได้ภายในเดือนตุลาคม 2563 ปัจจุบันอยู่ระหว่างการออกแบบรูปแบบโครงการ

นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนที่จะเปิดสาขาเพิ่มในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ โดยจะคำนึงถึงศักยภาพและการเติบโตของพื้นที่ดังกล่าวเป็นหลัก

เดินหน้าขยาย Younique+Winner เพิ่ม

 

ในปี 2560 บริษัทได้เปิดตัวบริการ “Younique Customized Furniture 4.0” ซึ่งเป็นบริการเฟอร์นิเจอร์สั่งตัดรูปแบบใหม่ที่ลูกค้าสามารถปรับแต่งขนาดและดีไซน์ได้เองตามความต้องการ และลูกค้าสามารถปรับขนาดของเฟอร์นิเจอร์สั่งตัดดังกล่าวได้อย่างอิสระ โดยในปี 2562 มีแผนขยาย Younique เพิ่มเติมในสาขาร้าน Index Living Mall โดยคาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 60 ล้านบาท และคาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการได้ทั้งหมดภายในเดือนธันวาคม 2562

 

นอกจากนี้ ยังแผนขยายร้าน “Winner Furniture Center”  ที่จะจัดจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์แบรนด์ WINNER ซึ่งบริษัทดำเนินการและบริการเอง เป็นแบรนด์จับตลาดแมสเป็นหลัก ใน 3 รูปแบบ ได้แก่ 1.รูปแบบ Compact ที่มีพื้นที่ประมาณ 1,050 ตารางเมตร และใช้เงินลงทุนประมาณ 25 ล้านบาทต่อสาขา   2.รูปแบบ Standard ที่มีพื้นที่ประมาณ 1,411 ตารางเมตร และใช้เงินลงทุนประมาณ 33 ล้านบาทต่อสาขา และ  3.รูปแบบ Extra ที่มีพื้นที่ประมาณ 1,700 ตารางเมตร และใช้เงินลงทุนประมาณ 35 ล้านบาทต่อสาขา

 

ในปีนี้บริษัทจะเปิดทั้งหมด 2 สาขา และคาดว่าจะใช้เงินลงทุนทั้งหมดประมาณ 60 ล้านบาท โดยจะเปิดร้านค้าเฟอร์นิเจอร์ขนาดเล็กสาขาแรกที่จังหวัดราชบุรี ในรูปแบบ Standard ซึ่งคาดว่าจะมีพื้นที่ขายประมาณ 1,500 ตารางเมตร ปัจจุบันได้จัดหาและลงนามสัญญาเช่าที่ดินสำหรับร้านดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว และอยู่ระหว่างออกแบบรูปแบบโครงการ โดยจะสามารถเปิดบริการได้ภายในเดือนสิงหาคม 2562

 

ลุยโปรเจ็กต์ “โซลาร์รูฟท็อป” ลดค่าไฟฟ้า

 

ในปี 2561  กลุ่มบริษัท ได้ทดลองติดตั้งแผงโซลาร์รูฟท็อป (Solar Rooftop) เพื่อลดค่าใช้จ่าย ซึ่งได้เริ่มติดตั้งที่โรงงานและร้านค้า Index Living Mall จำนวน 4 สาขา ผลปรากฎว่าทั้งโรงงานและร้านค้าทั้ง 4 สาขา มีค่าไฟฟ้าลดลง ในปีนี้บริษัทจึงมีแผนขยายการลงทุนติดตั้งแผงโซลาร์รูฟท็อป ที่ร้าน Index Living Mall อีกจำนวน 6 สาขา  คาดว่าใช้เงินลงทุนประมาณ 100 ล้านบาท

 

ขณะเดียวกัน บริษัทมีแผนลงทุนเพื่อขยายกำลังการผลิต ด้วยการนำเครื่องจักรที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพมาใช้มากขึ้น และเน้นการผลิตแบบอัตโนมัติ เพื่อลดต้นทุน เพิ่มมาตรฐาน และความแม่นยำในการผลิตสินค้า ลดความผิดพลาดจากพนักงานในกระบวนการผลิต เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน รวมทั้งรับรองการผลิตสินค้า Younique ซึ่งบริษัทฯ คาดว่าจะต้องใช้เงินลงทุนทั้งหมดประมาณ 223 ล้านบาท โดยปัจจุบันบริษัทได้ซื้อเครื่องจักรและเริ่มติดตั้งแล้วบางส่วน ซึ่งคาดว่าทั้งหมดจะแล้วเสร็จภายในเดือนธันวาคม 2562

ในปีนี้บริษัทยังมีแผนการลงทุนในโครงการย่อย ๆ อื่น โดยคาดว่าจะใช้เงินลงทุนทั้งหมดประมาณ 213 ล้านบาท ได้แก่ 1.โครงการปรับปรุงอาคารของร้านค้า Index Living Mall และอาคารสำนักงานใหญ่ ซึ่งคาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 98 ล้านบาท 2. โครงการลงทุนทางด้านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ สำหรับการซื้อโปรแกรมและอัพเกรดโปรแกรม ซึ่งคาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 80 ล้านบาท 3. โครงการปรับปรุงพื้นอาคารและซื้อชั้นวางสินค้าของศูนย์กระจายสินค้าเอกชัย และซื้อสินทรัพย์อื่นๆ ซึ่งคาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 18 ล้านบาท และ 4. โครงการซื้อรถยนต์และรถบรรทุกส่งสินค้าใหม่ ซึ่งคาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 17 ล้านบาท

 

3 ปีรายได้โตเฉลี่ย 1.2% 

 

สำหรับผลประกอบการของบริษัทในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา  มีรายได้จากการขายอยู่ที่ 2,299 ล้านบาท ลดลง 1.15% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้จากการขาย 2,326 ล้านบาท ส่วนปี 2561 บริษัทมีรายได้ รวมที่ 9,767 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 431 ล้านล้านบาท โดยมีอัตรากำไรขั้นต้น ที่ 44% ขณะที่อัตรากำไรสุทธิที่ 4.4%  ส่วนผลประกอบการในช่วงปี 2559-2561 ที่ผ่านมา บริษัทเติบโตเฉลี่ย 1.20% ต่อปี โดยในปี 2559 มีรายได้รวม 8,954.90 ล้านบาท  ปี 2560 มีรายได้รวม 8,908.30 ล้านบาท และปี 2561 มีรายได้รวม 9,174.20 ล้านบาท

 

บทความ ข่าวโปรโมชั่น ล่าสุด