Lo Feature Image Jsp Rebrand

เจ.เอส.พี. ล้างภาพ “สำเพ็ง” สู่ Top5 ผู้นำพัฒนาตลาดบ้านแนวราบ

ช่วงเดือนมีนาคม 2561 ที่ผ่านมา ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของบริษัท เจ.เอส.พี. พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน)  ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์หลากหลายรูปแบบ โครงการสร้างชื่อและเป็นที่รู้จักในวงกว้าง น่าจะเป็นโครงการสำเพ็ง 2 เพราะมีการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นใหญ่ จากนายทะนงศักดิ์ มโนธรรมรักษา ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และประธานกรรมการบริหาร ได้ขายหุ้นทั้งหมดให้แก่ นายลิขิต ลือสกุลกิจไพศาล หลังจากนั้นได้มีการปรับการบริหารงาน โดยนายลิขิต เข้าดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารแทน  และล่าสุดในช่วงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา บริษัทเสริมทีมบริหารงานภายใน ด้วยการเสริมทีมบริหารการตลาดมาจากบริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด(มหาชน) หรือ PS และทีมการเงินจากบริษัท ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ CI เพื่อสร้างให้ธุรกิจมีการเติบโตอีกครั้ง จากก่อนหน้าที่บริษัทชะลอการพัฒนาโครงการ และการทำตลาดในช่วง 1-2 ปีก่อนหน้านี้

 

นายสงกรานต์ แสงอร่ามรุ่งโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการตลาดและการขาย บริษัท เจ.เอส.พี.พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน)  หนึ่งในทีมผู้บริหารชุดใหม่ ที่เข้ามาบริหารงานเพื่อสร้างการเติบโต เปิดเผยว่า  โจทย์สำคัญที่ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ได้มอบหมายให้กับทีมบริหารชุดใหม่ ในช่วงปีแรกมี 2 เรื่องสำคัญ คือ การระบายสต็อกสินค้าเดิม และการปรับภาพลักษณ์ สร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จัก เพื่อผลักดันให้บริษัทเติบโตต่อไปในอนาคต

 

“ซีอีโอเป็นนักลงทุนที่มองหาโอกาสจากธุรกิจ ที่สามารถสร้างการเติบโตและมีผลตอบแทนเพิ่มขึ้น ก่อนจะเข้ามาลงทุนได้ทำการศึกษาบริษัทมาเป็นอย่างดี เห็นว่ามีรายได้ 3,000-4,000 ล้านบาท ในช่วงปี 2559-2560 หากสามารถพัฒนาโครงการต่อเนื่อง รายได้ก็น่าจะเติบโตต่อเนื่อง และบริษัทยังมีจุดแข็งจาการมีที่ดินสะสมไว้จำนวนมาก ซึ่งมีต้นทุนราคาที่ดินต่ำ หลายแปลงราคาที่ซื้อมาถูกกว่าเท่าตัวเมื่อเทียบกับราคาซื้อขายในปัจจุบัน”

 

เดินหน้าละบายสต็อกเสริมเงินทุนหมุนเวียน

 

แม้ว่าก่อนหน้านี้บริษัทจะไม่ได้พัฒนาโครงการใหม่ออกมา แต่โครงการเดิมที่พัฒนาไว้แล้ว ยังมีสินค้ารอการขายอยู่จำนวนหนึ่ง ที่ผู้บริหารชุดปัจจุบันจะต้องเร่งระบายสต็อก เพื่อสร้างรายได้มาเป็นเงินทุนในการพัฒนาโครงการต่อเนื่อง ปัจจุบันบริษัทมีห้องชุดในโครงการคอนโดมิเนียมมูลค่ากว่า 2,000 ล้านบาท จำนวน 900 ยูนิต ในโครงการไมอามี่ บางปู และโครงการ J Condo สาทร-กัลปพฤกษ์ ที่ยังเหลือขายอีก 600 ยูนิต ซึ่งคาดว่าจะสามารถปิดการขายได้ภายในปี 2563

 

Print

 

สำหรับกลยุทธ์การขาย จะเน้นการโฆษณาประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างการรับรู้ เนื่องจากมองว่าสินค้ามีทั้งคุณภาพและราคาที่คุ้มค่า  เพราะเป็นต้นทุนเดิมตั้งแต่เริ่มการพัฒนาเมื่อช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา และบริษัทไม่ได้ทำการปรับราคาเพิ่มขึ้น จึงทำให้มีความสามารถในการแข่งขัน ปัจจุบันยดขายจึงเพิ่มมากขึ้นกว่าก่อนหน้า โดยมียอดขายเฉลี่ยเดือนละ 300  ล้านบาท จากก่อนหน้ามียอดขายเฉลี่ยเดือนละ 100 ล้านบาท  โดยบริษัทวางแผนใช้งบประมาณในการตลาดประมาณ​10-20 ล้านบาท

 

ปั้นโปรเจ็ตก์สร้างยอดปีละ 6,000 ล้าน ขึ้นท็อป5

 

เป้าหมายสำคัญในระยะ 2-3 ปีนับจากนี้ เจ.เอส.พี.ฯ ต้องการก้าวขึ้นเป็น 1 ใน 5 ของผู้ประกอบการที่พัฒนาโครงการแนวราบระดับราคา 2-3 ล้านบาท เนื่องจากมองว่าเป็นตลาดที่มีความต้องการอย่างแท้จริง มีขนาดตลาดใหญ่ และเป็นตลาดของคนส่วนใหญ่ที่ต้องการมีที่อยู่อาศัย จุดแข็งของการจะผลักดันไปสู่เป้าหมายดังกล่าว คือ การมีที่ดินเปล่าสะสมไว้ถึง 10 แปลง อยู่ในโลเกชั่นติดถนน ที่สำคัญต้นทุนที่ดินต่ำเมื่อเทียบกับคู่แข่ง คิดเป็นมูลค่าทางบัญชีกว่า 2,500 ล้านบาท จึงมีความเป็นไปได้ในการพัฒนาสินค้าออกมาขายในราคาดังกล่าว ซึ่งคาดว่าแต่ละปีจะมีการพัฒนาโครงการออกมาขาย คิดเป็นมูลค่าไม่ต่ำกว่า 6,000-10,000 ล้านบาท เพื่อสร้างยอดขายได้มากกว่า 6,000 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันผู้นำอันดับ 5 ในโครงการแนวราบมียอดขายอยู่ระดับ 6,000 ล้านบาท หากบริษัทสามารถสร้างยอดขายได้มากกว่า ก็จะเข้าอยู่ใน Top 5 ดังกล่าวได้

 

สำหรับการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลัง 2562 นี้ ได้วางแผนพัฒนาโครงการแนวราบ ประเภทบ้านแฝด 1 โครงการ ทำเลย่านบางบัวทอง มูลค่าโครงการกว่า 800 ล้านบาท  ส่วนในปี 2563 เตรียมเปิดแนวราบเพิ่มอีก 7 โครงการ ได้แก่ ทำเลโครงการบางพระ, โครงการแพรกษา, โครงการบางใหญ่จำนวน 2 โครงการ, โครงการบางใหญ่ (2), โครงการติวานนท์, และโครงการบางบัวทอง ซึ่งมูลค่ารวมไม่ต่ำกว่า 6,000 ล้านบาท  ซึ่งปีนี้บริษัทตั้งเป้ายอดขายไว้ 4,068 ล้านบาท ยอดโอนกรรมสิทธิ์ 3,215 ล้นบาท ปัจจุบันมียอดขายรอรับรู้รายได้ 600 ล้านบาท  ส่วนปี 2563 วางเป้ารายได้รวมกว่า 4,500 ล้านบาท โดยหวังว่าในอนาคตแต่ละปีบริษัทจะเติบโตประมาณ 15%

 

J House

รีแบรนด์ล้างภาพ “สำเพ็ง2” สู่ความเป็นโมเดิร์น

 

นอกเหนือจากการปรับโครงสร้างการบริหารภายใน ด้วยการเสิรมทีมบริหารการตลาดมาจากบริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด(มหาชน) หรือPS และทีมการเงินจากบริษัท ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือCI เข้ามาแล้ว  ภารกิจสำคัญของบริษัท คือ การปรับภาพลักษณ์ให้บริษัทมีความทันสมัย เป็นที่รู้จักในวงกว้าง เพื่อรองรับการขยายธุรกิจในการจับกลุ่มเป้าหมายคนรุ่นใหม่ วัยทำงาน อายุระหว่าง 30-40 ปี เนื่องจากการรับรู้ของคนส่วนใหญ่จะรู้จักโครงการสำเพ็ง 2 มากกว่าจะรู้จัก บริษัท เจ.เอส.พี.ฯ  ประมาณเดือนกันยายนที่จะถึงจึงได้เตรียมวางแผนปรับภาพลักษณ์องค์กรใหม่หมด ไม่ว่าจะเป็นโลโก้ สินค้าที่จะมีแบบบ้านใหม่ การบริการ และทัชพอยท์ต่างๆ

 

“คนยังไม่ค่อยรู้จักบริษัท จะรู้จักแต่โครงการสำเพ็ง 2 บริษัทจึงต้องปรับภาพลักษณ์ใหม่ ใส่ความโมเดิร์น การเสริมการบริการ ปรับแบรนด์วิชั่นใหม่ เราไม่ได้ขายบ้านแต่เราขายความสุข จึงต้องมีการเสริมทั้งบริการและคุณภาพสินค้า รวมถึงองค์ประกอบต่างๆ โดยรวม และจะขยับการพัฒนาโครงการในตลาดพรีเมียมเพิ่มขึ้นจากเดิมอยู่ในตลาดแมสเป็นหลัก คือ การพัฒนาโครงการบ้านแฝดในระดับ 7-8 ล้านบาท ในย่านบางใหญ่ ซึ่งก่อนหน้านี้บริษัทพัฒนาบ้านออกขายแพงสุดราคาหลังละ 6 ล้านบาทเท่านั้น”

 

สิ่งต่างๆ ที่ทีมผู้บริหารใหม่ต้องทำนับจากนี้ คงถือว่าเป็นความท้าทายในการขับเคลื่อนธุรกิจ โดยเฉพาะการทำให้ทีมงานบริษัทคิดและเห็นไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งในอนาคตยังมีเป้าหมายสำคัญต้องบรรลุ ไม่ว่าจะเป็นการทำยอดขายรวม 19,000 ล้านบาท ภายในระยะเวลา 3 ปี ซึ่งต้องรอดูผลงานของทีมผู้บริหารชุดนี้ว่าจะทำได้ตามที่หวังไว้หรือไม่

 

บทความ ข่าวโปรโมชั่น ล่าสุด