Lo Feature Image Dohome To Go

เปิดเส้นทาง “ดูโฮม” ธุรกิจวัสดุก่อสร้างภูธรสู่ “มหานคร” กรุงเทพฯ

นับวันความเจริญเติบโตของเมือง ก็ขยายตัวเพิ่มมากขึ้น เห็นได้จากการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ การเติบโตของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์สารพัดโครงการ ไม่เฉพาะแต่ที่อยู่อาศัยเท่านั้น การขยายตัวของเมืองเช่นนี้ เป็นผลบวกต่อธุรกิจค้าปลีกวัสดุก่อสร้าง อุปกรณ์ตกแต่งและซ่อมแซม ให้เติบโตขยายตัวเพิ่มมากขึ้น ประเมินว่าในปีที่ผ่านมาจะมีมูลค่าสูงถึง 500,000 ล้านบาท เติบโตกว่า 5% ส่วนในปีนี้ประเมินว่าน่าจะเติบโตได้ถึง 10% สาเหตุสำคัญเกิดจากการขยายธุรกิจ การขยายสาขา การเพิ่มจำนวนสินค้าของบรรดาผู้ประกอบการในตลาด โดยเฉพาะกลุ่มโมเดิร์นเทรด ที่มีผู้เล่นหลักอยู่ 5 รายใหญ่ ได้แก่ โฮมโปร โกลบอลเฮ้าส์ ไทวัสดุ ดูโฮม และเมกาโฮม ซึ่งมีรายได้รวมกันมากกว่า 120,000 ล้านบาท

 

โดยความเคลื่อนไหวในวงการค้าปลีกวัสดุก่อสร้าง อุปกรณ์ตกแต่งและซ่อมแซมล่าสุด คือ “ดูโฮม” ประกาศแผนธุรกิจ 3 ปี เพื่อรุกตลาดด้วยการขยายสาขาไซส์เล็กจำนวนมาก พร้อมกับเตรียมตัวระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์

 

“ดูโฮม” ธุรกิจภูธรสู่ “มหานคร” กรุงเทพฯ

 

กว่าจะเป็นบริษัทมหาชนในวันนี้ จุดเริ่มต้นของ “ดูโฮม” เกิดขึ้นในปี 2526 ภายใต้การบริหารงานของห้างหุ้นส่วนจำกัด ศ.อุบลวัสดุ เพื่อจำหน่ายสินค้ากลุ่มเหล็ก วัสดุมงหลังคา ไม้อัด และสินค้าวัสดุก่อสร้าง ก่อนจะจดทะเบียนจัดตั้งขึ้นเป็นบริษัท อุบลวัสดุ จำกัด ในปี 2536 เพื่อประกอบธุรกิจค้าปลีกและค้าส่งวัสดุก่อสร้างและอุปกรณ์ตกแต่งบ้านครบวงจร ภายใต้ชื่อ “อุบลวัสดุ”  

Dohome To Go 1

ธุรกิจของอุบลวัสดุ เริ่มเติบโตอย่างต่อเนื่อง บริษัทจึงขยายสาขาออกนอกพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี ในปี 2550 กับสาขาที่ 2 ในจังหวัดนครราชสีมา พร้อมกับใช้ชื่อทางการค้าใหม่ว่า “ดูโฮม ในเครือบริษัท อุบลวัสดุ จำกัด” เมื่อมีสาขาที่ 2 บริษัทก็ขยายสาขาต่อไปตามอัตราการเติบโตที่เพิ่มขึ้นทุกปี จนถึงปัจจุบันมีสาขาเปิดให้บริการ 9 สาขา ในภาคเหนือ ตะวันออกเฉียงเหนือ กรุงเทพฯ​ และปริมณฑล พร้อมกับลงทุนจัดตั้งศูนย์กระจายสินค้าอีก 1 แห่ง ในช่วงปี 2558 ได้จดทะเบียนเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท ดูโฮม จำกัด ก่อนจะแปรสภาพจากบริษัทจำกัด เป็นบริษัทมหาชนในวันที่ 24 พฤษภาคม 2561

 

แผนธุรกิจ 3 ปีเปิดเพิ่ม90 + 7  สาขา  

 

ตามแผนธุรกิจในระยะ 3 ปีนับจากนี้ หรือภายในปี 2564 จะขยายสาขาเพิ่มอีก 97 แห่ง จากปัจจุบันมีสาขาแล้ว 9 แห่ง ซึ่งเป็นรูปแบบสาขาขนาดใหญ่ หรือ ไซส์แอล (L) โดยมีพื้นที่ขายและคลังสินค้า 35,000-65,000 ตารางเมตร  เป็นสาขาภายใต้แนวคิด “ครบ ถูก ดี..ที่ดูโฮม” มีจำนวนสินค้ากว่า 135,000 รายการ ใช้งบลงทุนประมาณ​ 250-300 ล้านบาทต่อสาขา ภายในสิ้นปีนี้จะมีสาขาเพิ่มอีก 1 แห่งในย่านเพชรเกษม  และบริษัทวางเป้าหมายรายได้เมื่อเปิดดำเนินการครบ 3 ปี สาขาละ 1,000-1,200 ล้านบาท

 

นอกจากนี้ ยังวางแผนขยายสาขาในรูปแบบไซส์เล็ก ภายใต้ชื่อ ดูโฮม ทู โก (Dohome To Go) พื้นที่ประมาณ 300-1,000 ตารางเมตร  โดยจะเปิดให้บริการในพื้นที่ชุมชนหนาแน่น  ใช้งบลงทุนประมาณ 6,000 บาทต่อตารางเมตร หรือไม่เกินสาขาละ 2 ล้านบาท มีสินค้าจำหน่ายประมาณ 10,000 รายการ โดยจะเน้นสินค้าในกลุ่มซ่อมแซมและตกแต่งบ้านเป็นส่วนใหญ่  โดยวางแผนเปิดในปีนี้ 10 สาขา ปีหน้า 30 สาขา และปีต่อไปอีก 30 สาขารวม 90 สาขา

 

นายภูธดา ธีรเวชชการ รองผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโสฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท ดูโฮม จำกัด (มหาชน) หรือ DOHOME เปิดเผยว่า การขยายสาขาดูโฮม ทู โก เป็นเพราะพฤติกรรมผู้บริโภคยุคปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไป มีการซ่อมแซมบ้านด้วยตนเอง หรือกลุ่ม DIY เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากช่างซ่อมแซมต่างๆ หาได้ยาก จึงถือเป็นตลาดที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งบริษัทต้องการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าให้มากขึ้น จึงได้ขยายสาขาในไซส์ขนาดเล็ก  โดยจะขยายไปในทำเลของไฮเปอร์มาร์เก็ต ทั้ง แม็คโคร บิ๊กซี และโลตัส ที่มีสาขารวมกันกว่า 400-500 แห่งในกรุงเทพฯ​ และปริมณฑล เพื่อให้ลูกค้าสะดวกต่อการมาซื้อสินค้า

Dohome To Go

นอกจากการจัดจำหน่ายสินค้าผ่านร้านค้าสาขาต่างๆ ของบริษัท ดูโฮม ยังเปิดช่องทางการจำหน่ายแบบออนไลน์  ภายใต้ชื่อ Dohome Shop Online ผ่านทางเว็บไซต์ของดูโฮม นอกจากนี้ยังสามารถสั่งซื้อสินค้าผ่าน Line@ และระบบคอลเซ็นเตอร์

 

สำหรับผลประกอบการของบริษัทย้อนหลัง 3 ปีที่ผ่านมา  บริษัทมีรายได้รวม 18,692.07 ล้านบาท ในปี 2559 มีรายได้รวม 18,664.21 ล้านบาท ในปี 2560 และมีรายได้รวม 18,535.17 ล้านบาท ในปี 2561 โดยคาดว่าปีนี้จะสามารถสร้างการเติบโตได้มากกว่าปีที่ผ่านมา ซึ่งช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ บริษัทมีรายได้รวมกว่า 4,980.24 ล้านบาท

 

ส่วนการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนครั้งแรก (IPO)  บริษัทจะเสนอขายจำนวน 465,040,000 หุ้น กำหนดราคาเสนอขายที่ 7.80 บาทต่อหุ้น พร้อมกับกำหนดระยะเวลาจองซื้อระหว่างวันที่ 25-26 และ 30-31 กรกฎาคม 2562 โดยคาดว่าจะเข้าซื้อขายวันแรกไนตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในวันที่ 6 สิงหาคม 2562  ซึ่งจะนำเงินที่ได้จากการขาย IPO ไปใช้ลงทุนขยายสาขา ไปใช้เพื่อรองรับการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการของบริษัท ชำระเงินกู้สถาบันการเงินและภาระหนี้อื่นๆ และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงาน

 

 

 

บทความ ข่าวโปรโมชั่น ล่าสุด