Singha Estate The Extro

“สิงห์ เอสเตท” ลุยตลาดอสังหาฯ 63 เปิดคอนโดฯ รางน้ำ จับตลาดหมอ-นักลงทุน

แนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2563 หลายฝ่ายมีความกังวลใจว่าจะยังไม่กลับมาเป็นปกติ เพราะมีหลายปัจจัยน่าเป็นห่วง และไม่ใช่แค่ปัจจัยเรื่องเศรษฐกิจภายในประเทศเท่านั้น ปัญหาเศรษฐกิจในต่างประเทศก็เป็นเรื่องที่เข้ามากระทบกับตลาดของบ้านเราด้วย

 

ถ้าดูปัญหาภายในประเทศที่เป็นตัวลดระดับความร้อนแรงของตลาดอสังหาริมทรัพย์  คงหนีไม่พ้นการออกมาตรการ LTV ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ออกมาใช้เมื่อปีที่ผ่านมา แม้ว่าปัจจุบันจะมีการผ่อนคลายความเข้มงวดลงบ้าง แต่ดีเวลลอปเปอร์ส่วนใหญ่ ก็ยังเห็นว่าไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้นสักเท่าไร ภาพรวมตลาดอสังหาฯ 2563 จึงอยู่ในแนวโน้มชะลอตัวต่อเนื่อง

 

กลุ่มตลาดที่หายไปอย่างมาก จากผลกระทบของมาตรการ LTV คือ กลุ่มนักลงทุนในตลาดคอนโดมิเนียม สิ่งที่สะท้อนผลกระทบจากมาตรการ LTV ได้อย่างชัดเจนในปีที่ผ่านมา คือ การเลื่อนหรือชะลอการเปิดตัว โครงการใหม่ จำนวนถึง 40 โครงการ ตามแผนเดิมที่ผู้ประกอบการจะเปิดตัวในปี 2562  ในปีนี้จึงประเมินกันว่า กลุ่มนักลงทุนในตลาดคอนโดฯ น่าจะลดสัดส่วนเหลือแค่ 10% จากที่เคยมีมากเกือบ 50%

 

สิงห์ เอสเตท ชี้ลดค่าธรรมเนียมช่วยลูกค้าประหยัด 5%

นายณัฐวุฒิ มัธยมจันทร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการพัฒนาธุรกิจพักอาศัย บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ S เปิดเผยว่า แนวโน้มภาพรวมตลาดอสังหาฯ ในปี 2563 ยังมองว่าไม่น่าจะดี เพราะสภาพเศรษฐกิจโดยรวมยังไม่ดีขึ้น นอกจากปัญหาเศรษฐกิจ ยังมีปัญหาค่าเงินบาท ซึ่งส่งผลต่อตลาดลูกค้าต่างชาติ เพราะทำให้ลูกค้ามีต้นทุนซื้อสินค้าที่แพงขึ้น ขณะที่มาตรการ LTV ทำให้ตลาดนักลงทุนหายไป  แม้ว่าปัจจุบันจะมีการผ่อนคลายมากขึ้น แต่ส่งผลได้เพียงเล็กน้อย

The Extro 3

มาตรการที่มีส่วนช่วยลูกค้าได้เยอะ คือ ค่าธรรมเนียมการโอน ภาษีธุรกิจเฉพาะ และค่าจดจำนอง เหมือนที่เคยใช้ในอดีตช่วยได้เยอะกว่า

 

โดยในอดีตที่ผ่านมา ภาครัฐเคยออกมาตรการกระตุ้นอสังหาฯ ออกมา คือ การลดค่าธรรมเนียมจดทะเบียนการโอนจากเดิม 2% เหลือ 0.01% การลดค่าจดทะเบียนจดจำนองอสังหาริมทรัพย์จากเดิม 1% เหลือ 0.01% สำหรับการซื้อขายที่อยู่อาศัยที่ดิน พร้อมอาคารหรือห้องชุด ราคาไม่เกิน 3 ล้านบาทต่อหน่วย และการลดภาษีธุรกิจเฉพาะจาก 3.3% เหลือ 0.1%  ซึ่งทั้ง 3 มาตรการดังกล่าว สามารถช่วยลูกค้าประหยัดค่าใช้จ่ายในการซื้ออสังหาฯ ได้ประมาณ 5%

 

สิงห์ เอสเตท เปิดโปรเจ็กต์รางน้ำ จับตลาดหมอ-นักลงทุน

นายณัฐวุฒิ กล่าวอีกว่า ส่วนแผนการเปิดโครงการใหม่ ในปีนี้กลุ่มธุรกิจพักอาศัยของบริษัท ได้วางแผนเปิด 2 โครงการใหม่ ซึ่งถือเป็นการเตรียมความพร้อม โดยดูจังหวะที่เหมาะสมในการเปิดโครงการ หากสภาพตลาดไม่เหมาะสมก็อาจจะเลื่อนกำหนดไปก่อน เนื่องจากในปีนี้มีโครงการของดีเวลลอปเปอร์ 40 โครงการซึ่งเลื่อนกำหนดเปิดในปี 2562 อาจจะมาเปิดในปี 2563 ทำให้มีซัพพลายเพิ่มขึ้นมากได้ ซึ่ง 2 โครงการดังกล่าวบริษัทอาจจะเปิดตัวโครงการบ้านเดี่ยวระดับราคากว่า 150 ล้านบาทด้วย

The Extro 2

ล่าสุดเปิดตัวโครงการ ดิ เอ็กซ์โทร พญาไท-รางน้ำ (The EXTRO Phayathai-Rangnam) มูลค่าประมาณ 4,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการที่เลื่อนกำหนดการเปิดตัวมาจากปี 2562 ถือเป็นแบรนด์ใหม่ภายใต้คอนเซ็ปต์ ระดับลักซ์ชัวรี โดยโครงการดังกล่าวเป็นอาคารสูง 33 ชั้น ขนาด 411 ยูนิต ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 2 ไร่ มีห้องพักอาศัย 3 แบบ ได้แก่ 1.ห้องนอน ขนาด 31.25-35 ตารางเมตร 2.ห้องนอน ขนาด 48.25-71.00 ตารางเมตร และ 3.แบบ Duplex ขนาด 82.5-111.75 ตารางเมตร เป็นต้น

 

โดยโครงการดิ เอ็กซ์โทรฯ  ราคาขายเริ่มต้น 200,000 บาทต่อตารางเมตร หรือมีราคาขายเฉลี่ย 235,000 บาทต่อตารางเมตร ราคาเริ่มต้นที่ 5.99 ล้านบาท ซึ่งบริษัทจะเปิดขายอย่างเป็นทางการในวันที่ 22-23 กุมภาพันธ์นี้ โดยวางกลุ่มเป้าหมายเป็นคนไทย 70% ส่วนที่เหลือจะเป็นสัดส่วนของต่างชาติ 30% และบริษัทคาดว่าจะมียอดขายของโครงการนี้ไม่น้อยกว่า 50% ภายในปีนี้

 

“โครงการทั่วไปสัดส่วน 60% ของคนไทยที่ซื้อมักจะเป็นนักลงทุน แม้ว่าโครงการนี้จะจับกลุ่มคนไทยเป็นหลัก และเป็นผู้อยู่อาศัยจริง แต่อาจจะปล่อยเช่าเมื่อมีโอกาส เพราะได้ผลตอบแทนไม่ต่ำกว่า 5% ส่วนต่างชาติที่เหลือเชื่อว่าเป็นนักลงทุนทั้งหมด”

 

อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ผ่านมา บริษัทได้รับความสนใจจากลูกค้ากลุ่มเป้าหมายเข้ามาเยี่ยมชมห้องตัวอย่างกว่า 300-400 ราย เบื้องต้นในรอบเปิดจองพิเศษ (Pre-Booking) จำนวน 3 ชั้น มียอดจอกแล้วกว่า 40 ยูนิต  มูลค่ารวมกว่า 300 ล้านบาท ซึ่งเป็นกลุ่มแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ซื้อไปแล้ว 10 ยูนิต  นอกจากนี้ ยังมีชาวต่างชาติสนใจจะซื้อเหมาชั้นอีกจำนวน 42 ยูนิต

The Extro 1

สิงห์ เอสเตท วางเป้าโตไม่ต่ำ 10%

สำหรับผลประกอบการ บริษัทวางแผนเติบโตทุกปี  ในปีนี้คาดว่าน่าจะเติบโต 10% โดยจะมีมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ประมาณ 5,500 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาที่คาดว่าจะมียอดโอน 5,000 ล้านบาท  ปัจจุบันมียอดขายรอรับรู้รายได้ หรือ Backlog ประมาณ 7,500 ล้านบาท รับรู้ในปีนี้ประมาณ 5,500-6,000 ล้านบาท จากโครงการ ดิ เอส อโศก (The ESSE Asoke) โครงการ ดิ เอส สุขุมวิท 36 (The Esse Sukhumvit 36) และโครงการ ดิ เอส แอท สิงห์ คอมเพล็กซ์ (The Esse at Singha Complex) 

 

ส่วนในปี 2564 จะรับรู้รายได้จากโครงการ ดิ เอส สุขุมวิท 36 ต่อเนื่อง และ โครงการ ดิ เอส สุขุมวิท 43 (The Esse Sukhumvit 43) ซึ่งจะก่อสร้างแล้วเสร็จในช่วงปลายปี 2564  ส่วนโครงการ ดิ เอ็กซ์โทร พญาไท-รางน้ำ จะเริ่มรับรู้รายได้ในปี 2565 เป็นต้นไป

บทความ ข่าวโปรโมชั่น ล่าสุด