ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2562 ถือได้ว่าเป็นปีที่ท้าทาย และยากลำบาก สำหรับผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ เพราะมีปัญหารุมล้อมมากมาย
สำคัญสุดก็คือ มาตรการ LTV ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ออกมาบังคับใช้ ทำเอาตลาดคอนโดมิเนียมชะลอตัวลงอย่างเห็นได้ชัด เพราะผู้ประกอบการเลื่อนการเปิดตัวโครงการใหม่ออกไปก่อน หรือไม่ก็ปรับแผนไม่เปิดตัวโครงการใหม่เลยในช่วงที่ผ่านมา
ล่าสุด ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย ได้ประเมินทิศทางแนวโน้มตลาดคอนโดฯ ในกรุงเทพฯ สำหรับปี 2563 เพื่อให้เห็นภาพรวมของตลาดที่จะเกิดขึ้นในปีนี้ด้วย ซึ่งมี 15 ประเด็นสำคัญ
1.ปี 2563 อัตราการขยายตัวคอนโดฯ มีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง จากปี 2562 ซึ่งลดลงกว่า 30%
2.กำลังซื้อในปี 2563 มีแนวโน้มทรง ซึ่งในปี 2562 มีกำลังซื้อคอนโดฯ ประมาณ 35,000 ยูนิต
3.สภาพตลาดมีแนวโน้มปรับตัวเข้าสู่สมดุลในปี 2564
4.ระดับราคามีแนวโน้มทรงตัวหรือปรับลดลงจากปีก่อนหน้า
5.การพัฒนาโครงการคอนโดฯ ใหม่ มีแนวโน้มกระจายตัวสู่พื้นที่ชานเมือง ตามแนวรถไฟฟ้าสายใหม่ที่กำลังพัฒนา
6.นักพัฒนาจะชะลอตัวการเปิดตัวโครงการคอนโดฯ และหันเหความสนใจไปยังอสังหาริมทรัพย์ประเภทอื่นๆ ที่สามารถสร้างรายได้ระยะยาวได้ เช่น โรงแรมและสำนักงาน
7.การพัฒนาโครงการใหม่ จะเน้นการพัฒนาโครงการรูปแบบ Mixed use development เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากการพึ่งพิงจากตลาดเดียว
8.นักพัฒนาปรับแผนไปสู่การเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบมากขึ้น เช่น บ้านเดี่ยว, ทาวน์เฮ้าส์ และบ้านแฝด เนื่องจากตลาดคอนโดฯ ถดถอยลงในปี 2562
9.จะมีจำนวนโครงการใหม่ ซึ่งเป็นรูปแบบเช่าระยะยาว หรือ Leasehold เกิดขึ้นเป็นจำนวนมากนับจากนี้เป็นต้นไป
10.มีโอกาสน้อยมากที่จะเกิดวิกฤติฟองสบู่ ในภาคอสังหาฯ ที่คล้ายคลึงกับวิกฤติในปี 2540
11.นักพัฒนารายย่อยหรือผู้ที่ไม่มีเงินลงทุนสำรองที่แข็งแกร่งจะหายออกไปจากตลาด
12.ตลาดคอนโดฯ จะขึ้นอยู่กับความต้องการจากผู้ซื้อจริงเท่านั้น จำนวนนักลงทุนที่ลดลงเป็นผลเนื่องมาจากนโยบายกำกับดูแลสินเชื่อที่อยู่อาศัย (LTV Policy) ส่วนกลุ่มผู้ซื้อชาวต่างชาติที่ลดลง เป็นผลเนื่องมาจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น และเศรษฐกิจโลกที่ถดถอย
13.สงครามราคาในตลาดคอนโดฯ ในกรุงเทพฯ นักพัฒนาไม่ได้เป็นผู้กำหนดราคาคอนโดฯ อีกต่อไป ผู้ซื้อคือผู้กำหนดราคา
14.ราคาที่แข่งขัน รูปแบบ และฟังก์ชั่นของคอนโดฯ ที่เหมาะสมกับความต้องการจะชนะใจลูกค้าได้ในปัจจุบัน
15.รัฐบาลส่งเสริมเศรษฐกิจโดยการมีโครงการเมกะโปรเจ็กต์เพื่อให้เกิดการใช้จ่ายมากขึ้น
ส่วนในรอบปีที่ผ่านมานั้น ภาพของตลาดคอนโดฯ เป็นอย่างไรบ้าง ทางไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย ได้จัดทำบทสรุปเอาไว้ เพื่อให้เห็นว่าตลาดได้รับผลกระทบมากน้อยแค่ไหน มี 7 ประเด็นน่าสนใจ คือ
1.โครงการเปิดขายใหม่ในกรุงเทพฯ ในปี 2562 มีอัตราการขายอยู่ที่ 45% ซึ่งมีจำนวนหน่วยขายได้ 20,990 ยูนิต ลดลงจากปี 2561 ซึ่งมีอัตราการขายอยู่ 58% หรือมีจำนวนหน่วยขายได้ 39,875 ยูนิต
2.ทำเลของโครการคอนโดฯ ที่เปิดขายใหม่ได้สูงสุด คือ บริเวณชานเมืองกรุงเทพฯ ขายได้จำนวน 12,665 ยูนิต รองลงมาคือ บริเวณรอบเขตศูนย์กลางธุรกิจ (City Fringe) ขายได้ 4,600 ยูนิต และบริเวณศูนย์กลางธุรกิจ (CBD) ขายได้ 3,725 ยูนิต แต่บริเวณรอบเขตศูนย์กลางธุรกิจ เป็นบริเวณที่มีอัตราการขายสูงสุดถึง 56%
3.คอนโดฯ เปิดขายใหม่ บริเวณศูนย์กลางธุรกิจที่ขายได้ดี คือ บริเวณสุขุมวิท (ซอยสุขุมวิท 1-63 และซอยสุขุมวิท 2-42) ขายได้ 1,242 ยูนิต
4.คอนโดฯ เปิดขายใหม่ บริเวณรอบเขตศูนย์กลางธุรกิจ ที่ขายได้ดี คือ บริเวณสุขุมวิทตอนกลาง (ซอยสุขุมวิท 44-70 และซอยสุขุมวิท 65-103) ขายได้ 1,385 ยูนิต รองลงมา คือ บริเวณรัชดา/ลาดพร้าว/พระราม 9 ขายได้ 1,336 ยูนิต
5.คอนโดฯ เปิดขายใหม่ บริเวณชานเมืองกรุงเทพฯ ที่ขายได้ดี คือ บริเวณฝั่งใต้ของกรุงเทพฯ ขายได้ 3,443 ยูนิต รองลงมา คือ บริเวณฝั่งเหนือของกรุงเทพฯ ขายได้ 3,426 ยูนิต
6.คอนโดฯ เปิดขายใหม่ บริเวณแนวรถไฟฟ้าที่ขายดี คือ บริเวณตามแนวรถไฟฟ้า สายสีน้ำเงิน ส่วนต่อขยาย ที่ได้เปิดให้บริการในปี 2562 อันได้แก่ บริเวณสถานีอิสรภาพ-ท่าพระ-บางไผ่-เพชรเกษม 48-ภาษีเจริญ
7.ระดับราคาขายของคอนโดฯ เปิดใหม่ที่ขายดี คือ ราคาขายต่อตารางเมตร อยู่ระหว่าง 80,000 บาท ถึง 150,000 บาท หรือราคาขายต่อยูนิต สำหรับ 1 ห้องนอน อยู่ที่ระหว่าง 3-5 ล้านบาท
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
–6 บทสรุปตลาดคอนโดฯ ปี 62 และแนวโน้มปี 63
–คอนโดฯ สุขุมวิท เจอพิษเศรษฐกิจ เปิดใหม่แค่ 639 ยูนิต
-เจาะตลาดคอนโดฯ ทำเลรัชโยธิน เหมาะซื้ออยู่จริงหรือเพื่อลงทุน?