Work From Home Compass

เมื่อ Work From Home อาจไม่เวิร์คกับบางคน :  วิเคราะห์ผลกระทบจากการเว้นระยะห่างทางสังคม

 

ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในไทยเพิ่มขึ้นอย่างมาก ทั้งภาครัฐและเอกชนต่างพยายามใช้มาตรการหลายๆ อย่างในการระงับ การแพร่ระบาดของผู้ติดเชื้อ กลยุทธ์หลักอย่างหนึ่งที่ถูกนำมาใช้ คือ การเว้น ระยะห่างทางสังคม (Social Distancing)

 

(เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2020 ทาง WHO ได้แนะนำให้ใช้คำว่า Physical Distancing แทนคำว่า Social Distancing เพราะมีคามหมายตรงตัวมากกว่า แต่เนื่องจากเราอาจคุ้นเคยกับคำว่า Social Distancing ในช่ววงที่ผ่านมามากกว่า ในบทคามนี้จึงขอใช้คำว่า Social Distancing  และการเว้นระยะห่างทางสังคมก่อน) สถานบริการ สถานศึกษาหลายๆ แห่ง ปิดตัวชั่วคราว เอกชนหลายแห่งก็เริ่มให้มีการทำงานที่บ้าน (Work From Home)

 

การลดการพบปะและทำงานที่บ้าน ดูจะไม่ได้เป็นเรื่องแย่สำหรับใครหลาย คน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีคนและธุรกิจจำนวนมาก ที่ไม่สามารถทำงานที่บ้านได้ ในบทความนี้เราได้ทำการวิเคราะห์ว่า ผู้ได้รับผลกระทบเป็นใครบ้าง โดยในส่วน แรกของบทความจะอธิบายเกี่ยวกับการเว้นระยะห่างทางสังคมโดยสังเขป และแสดงให้เห็นถึงผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยใช้เหตุการณ์ SARS ที่ฮ่องกงและ 9/11 ที่สหรัฐฯ เป็นกรณีศึกษา

Social Distancing คืออะไร และทำไมถึงจำเป็นในเวลานี้?

Social Distancing หรือ การเว้นระยะห่างทางสังคม คือ มาตรการสาธารณสุข เพื่อยับยั้งการแพร่โรคระบาดไปยังผู้คนจำนวนมาก เช่น การปิดโรงเรียน ยกเลิก กิจกรรมการรวมตัว ยกเลิกขนส่งสาธารณะ หรือการให้ทำงานที่บ้าน เป็นต้น และถือว่าเป็นหนึ่งในมาตรการสำคัญที่หลายๆประเทศนำมาใช้ในการยับยั้งการแพร่ระบาด ของโควิด-19 ในปัจจุบัน

 

บทความจาก Washington Post (จากบทความ Why outbreaks like coronavirus spread exponentially, and how to “flatten the curve”) ได้แสดงให้เห็นว่า หากทุกคนมีการเว้น ระยะห่างทางสังคม ลดการพบปะกัน ก็จะทำให้การแพร่ระบาดช้าลง จนอยู่ในระดับที่ ทรัพยากรทางการแพทย์สามารถรักษาผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ ได้ทันการ (Curve สีฟ้าในรูปที่ 1) ในขณะที่หากไม่มีการเว้นระยะห่างทางสังคม ผู้ติดเชื้อจะเพิ่มเร็วจนทรัพยากรทางการแพทย์ไม่เพียงพอ (Curve สีแดงในรูปที่ 1) ซึ่งเป็นวิกฤติที่ กำลังเกิดขึ้นในอิตาลีขณะนี้

Work From Home Compass 1

บทเรียนจาก SARS และ 9/11 : เมื่อคนกลัว และเว้นระยะห่างทางสังคม จะมีผลกระทบอย่างไรต่อเศรษฐกิจ?

แม้ว่าการเว้นระยะห่างทางสังคมมีความสำคัญมากในขณะนี้ แต่ก็มีต้นทุนทาง เศรษฐกิจที่สูงเช่นกัน ซึ่งเราเคยเห็นผลกระทบดังกล่าวจากเหตุการณ์ SARS และ 9/11 มาแล้ว

 

ในกรณีของ SARS ในฮ่องกงเมื่อปี 2003 อาจไม่แปลกใจนักที่ธุรกิจสายการ บิน และการท่องเที่ยว ซึ่งพึ่งพิงกำลังซื้อจากต่างชาติเป็นหลักจะได้รับผลกระทบ อย่างไรก็ดี เราพบว่าธุรกิจที่ได้รับผลกระทบรองลงมา คือ ธุรกิจร้านอาหาร และธุรกิจ ค้าปลีก ซึ่งนอกจากจะได้รับผลกระทบจากนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ลดลงแล้ว ยังได้รับ ผลกระทบจากการการจับจ่ายใช้สอยของคนในพื้นที่ที่ลดลงอีกด้วย

 

ในเรื่องนี้ มีงานวิจัย (งานวิจัยเรื่อง Economic Impact of SARS : The Case of Homg Kong)  ชี้ว่าการระบาดของ SARS ส่งผลให้ผู้บริโภคเกิดความ กลัวที่จะติดโรค จนคนส่วนใหญ่เลือกที่จะหลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมนอกบ้าน ส่งผลต่อเนื่องให้การใช้จ่ายของผู้บริโภคลดลง และความกลัวดังกล่าวส่งผลกระทบต่อ เศรษฐกิจได้มากกว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นโดยตรงจากการระบาดของ SARS เสียอีก

 

Olga Jonas นักวิชาการอาวุโสจาก Harvard Global Health Institute ได้ กล่าวว่า “80% ของผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการระบาดของ SARS มีสาเหตุ มาจากความกลัวที่ส่งผลให้ผู้บริโภคมีพฤติกรรมที่พยายามป้องกันไม่ให้ตนเองติดโรค เช่น การพยายามอยู่แต่ในบ้าน จนทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจหยุดชะงักลง” (กล่าวในรายการ The Indicator From Planet Money ตอน Economic Fear Factor)

 

อีกหนึ่งตัวอย่างที่ดี เมื่อคนมีความกลัวจนไม่อยากมีส่วนร่วมในกิจกรรมทาง เศรษฐกิจ คือเหตุการณ์ 9/11 ที่สหรัฐฯ ซึ่งการโจมตีตึกแฝดเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ใน มหานครนิวยอร์ก ไม่เพียงส่งผลต่อธุรกิจที่ตั้งอยู่บริเวณดังกล่าว แต่ยังส่งผลกระทบ ทางจิตใจต่อผู้บริโภคให้เกิดความกลัวจนไม่กล้าที่จะออกไปจับจ่ายใช้สอยนอกบ้าน สะท้อนได้จาก Consumer Confidence Index ของผู้บริโภคในสหรัฐฯ ที่ปรับตัว ลงอย่างเห็นได้ชัดในเวลานั้น

 

ความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่หดตัว นำไปสู่การบริโภคที่ลดลง ทำให้หลายๆ ธุรกิจ ประสบปัญหา มีงานวิจัย (เรื่อง 9/11 and the New York City economy : A borough-by-borough analysis) ระบุว่า ธุรกิจในนิวยอร์กมีการเลิกจ้างกว่า 430,000 ตำแหน่ง หลังเกิดเหตุการณ์ 9/11 ทั้งนี้ หากไม่นับธุรกิจสายการบินที่ได้รับผล โดยตรงจากเหตุก่อการร้าย กลุ่มอาชีพที่ถูกเลิกจ้างมากที่สุด คือ บริกร พนักงานททำความสะอาด พนักงานขายตามร้านค้าปลีก พนักงานจัดเตรียมอาหาร และแคชเชียร์ ซึ่งล้วนแต่เป็นกลุ่มคนมีรายได้น้อย และเกี่ยวพันโดยตรงกับธุรกิจโรงแรมและ ร้านอาหาร และธุรกิจค้าส่งค้าปลีก ที่ได้รับผลกระทบจากความกลัวที่จะออกมาทำ กิจกรรมนอกบ้านของผู้บริโภค

Work From Home Compass 5

เหตุการณ์ SARS และ 9/11 ที่ยกตัวอย่างขึ้นมาต่างแสดงว่าเมื่อผู้บริโภคเกิด ความ “กลัว” จนไม่อยากออกจากบ้าน ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมไม่น้อย

ในกรุงเทพฯ เมื่อการเว้นระยะห่างทางสังคมเข้มข้นขึ้น ใครจะได้รับผลกระทบมากที่สุด?

ในขณะนี้มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นจำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในกรุงเทพฯ เราคาดว่า หากการระบาดเข้าสู่ระยะที่ 3 กรุงเทพฯ จะเป็นพื้นที่แรกๆ ที่การเว้นระยะห่างทาง สังคมจะถูกใช้อย่างเข้มข้นขึ้น ซึ่งในส่วนนี้เราจะวิเคราะห์ว่าใครจะได้รับผลกระทบจาก เรื่องนี้บ้าง

Work From Home กระทบรายได้ของลูกจ้างหรือไม่?

กลุ่มลูกจ้างในระบบ ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์เงินเดือน หรือลูกจ้างรายวัน ซึ่งมี ประมาณ 3.3 ล้านคน จากแรงงานกว่า 5.3 ล้านคนในกรุงเทพฯ  ดูจะเป็น กลุ่มที่ได้รับผลกระทบน้อยที่สุด เนื่องจาก ตามกฎหมาย นายจ้างยังต้องจ่ายค่าจ้าง ให้อยู่ อย่างไรก็ดี ลูกจ้างก็มีโอกาสถูกขอให้ลดค่าแรงชั่วคราวบ้าง หรือลูกจ้างบาง กลุ่มที่อยู่ในอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบโดยตรงอย่างอุตสาหกรรมท่องเที่ยว อาจ มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นในการถูกเลิกจ้าง หากสถานประกอบการหยุดดำเนินกิจการ

แล้วคนกลุ่มใดจะได้รับผลกระทบโดยตรง?

เราคาดว่าจะมีกลุ่มคนทำงานกว่า 2 ล้านคนที่มีโอกาสได้รับผลกระทบจากการ เว้นระยะห่างทางสังคม ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มลูกจ้างนอกระบบ กว่า 3 แสนคน ซึ่งมักไม่มี การทำสัญญาจ้างที่แน่ชัด และเสี่ยงต่อการถูกพักงานแบบไม่ได้ค่าจ้างในช่วงนี้ ยกตัวอย่างเช่น กรรมกรก่อสร้าง พนักงานเสิร์ฟ คนโบกรถ สาวเชียร์เบียร์ เป็นต้น นอกจากกลุ่มแรงงานนอกระบบแล้ว คนกลุ่มใหญ่ที่จะได้รับผลกระทบ คือ ผู้ประกอบ ธุรกิจแบบไม่มีลูกจ้างและฟรีแลนซ์ ผู้ประกอบธุรกิจที่มีลูกจ้าง และผู้ช่วยธุรกิจ ครอบครัวแบบไม่ได้ค่าจ้าง ซึ่งมีจำนวนสูงถึง 1.7 ล้าน คิดเป็น 29% ของคนท างาน ทั้งหมดในกรุงเทพฯ

Work From Home Compass 2

 

เหตุที่ผู้ประกอบธุรกิจมีโอกาสสูงที่จะได้รับผลกระทบ เพราะลักษณะของ การทำธุรกิจต้องมีการพบปะในการให้บริการ เช่น ขายสินค้า ขายอาหาร รับจ้างขับรถ เสริมสวย ฯลฯ ซึ่งเมื่อผู้คนไม่ค่อยได้ออกจากบ้าน ไม่ว่าจะมาจากการทำงานที่บ้าน หรือไม่กล้าออกจากบ้านก็ตาม ย่อมกระทบต่อรายได้ของคนกลุ่มนี้ ซึ่งเราเห็นได้จาก การที่ธุรกิจค้าปลีกจำนวนมากในฮ่องกงประสบปัญหาในช่วง SARS และในนิวยอร์ก ประสบปัญหาในช่วง 9/11 เมื่อประชากรเลือกที่จะไม่ออกจากบ้าน เป็นต้น

 

สำหรับกลุ่มนายจ้าง ที่มีกว่า 2 แสนคน ถือว่าเป็นกลุ่มที่อาจประสบปัญหาหนี้สิน ที่สูงขึ้นมากในระยะนี้ เนื่องจากมีรายได้ที่ลดลง แต่ยังคงมีค่าใช้จ่ายประจำ เช่น ค่าเช่า สถานที่ เงินเดือนลูกจ้าง เป็นต้น อย่างไรก็ดี ยังถือว่าเป็นกลุ่มที่สามารถเข้าถึง บริการทางการเงิน และความช่วยเหลือจากภาครัฐได้อยู่บ้าง

 

ในขณะที่ ผู้ประกอบธุรกิจแบบไม่มีลูกจ้าง และฟรีแลนซ์ คือกลุ่มที่ใหญ่ที่สุดที่มี โอกาสได้รับผลกระทบ โดยคนกลุ่มนี้มีจำนวนกว่า 1 ล้านคน โดยส่วนใหญ่ ประมาณ 76% ท าอาชีพขายสินค้า ขายอาหาร ขับรถแท็กซี่ มอเตอร์ไซค์รับจ้าง ตลอดจน ประกอบอาชีพช่างทำผม ช่างเสริมสวย

Work From Home Compass 3

ผู้ประกอบการธุรกิจแบบไม่มีลูกจ้างและฟรีแลน์ ยังเป็นกลุ่มที่มีรายได้ไม่สูง โดยมีรายได้เฉลี่ยต่อคนต่อครัวเรือนที่ 9,500 บาท ซึ่งน้อยกว่ากลุ่มลูกจ้างประจำซึ่งมีรายได้เฉลี่ยต่อคนต่อครัวเรือนที่ 12,500 บาท นอกจากนี้ ยังเป็นกลุ่มที่มีความเปราะบางทางการเงินสูงกว่าค่าเฉลี่ย โดยมีค่าใช้จ่ายในการจ่ายหนี้ต่อรายได้ (Debt Service Ratio : DSR) ที่ระดับ 33% ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศที่มีระดับเพียง 26%

 

โดยเราพบว่าผู้ประกอบการธุรกิจแบบไม่มีลูกจ้างกว่า 60% มีหนี้สินเพื่อการบริโภค และมีปริมาณ 40% ที่มีหนี้สินที่กู้มาเพื่อการประกอบธุรกิจ และหากการที่คนกลุ่มนี้ เสียรายได้จากการเว้นระยะห่างทางสังคมที่เข้มข้นขึ้น ก็ยิ่งจะทำให้มีปัญหาด้านการเงินและหนี้สินมากยิ่งขึ้น

Work From Home Compass 4

มาตรการอะไร ที่พอจะช่วยให้เราผ่านวิกฤตินี้ไปด้วยกันได้?

ในขณะนี้รัฐบาลหลายๆ ประเทศรวมถึงไทย พยายามใช้มาตรการต่างๆ ในการพยุงเศรษฐกิจ ยกตัวอย่างเช่น การลดดอกเบี้ยของเฟด (Fed) หรือความพยายาม ของทรัมป์ในการให้สภาคองเกรสอนุมัติเงินให้เปล่าแก่ครัวเรือน และให้เงินกู้ ดอกเบี้ยต่ำแก่ธุรกิจ เป็นต้น

 

ในการสัมภาษณ์ผ่าน NationalPublicRatio (NPR) นักเศรษฐศาสตร์ ช์ั้นนำหลายท่าน (กล่าวในรายการ The Indicator From Planet Money ตอน Medicine For The Economy) มีความเห็นต่อแนวทางของทรัมป์ ว่าการแจกเช็คให้แก่ครัวเรือนใน เวลานี้ อาจไม่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจมากนัก เนื่องจากหากคนยังกังวลต่อการติดเชื้ออยู่ ก็จะไม่ออกไปทำกิจกรรมทางเศรษฐกิจอยู่ดี สิ่งที่สำคัญในช่วงนี้ดูจะเป็น มาตรการที่ช่วยประคองให้ธุรกิจขนาดเล็กสามารถอยู่รอดในวิกฤตินี้ไปได้ อย่างเช่น การอัดฉีดเงินกู้ ดอกเบี้ยต่าให้ธุรกิจขนาดเล็ก เป็นต้น

 

Pierre Gourinchas  (กล่าวในรายการ The Indicator From Planet Money ตอน The Sudden Stop) นักเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัย UC Berkeley กล่าวว่า หากเราต้องการให้เศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว ผู้เล่นต่างๆ ใน ระบบจะต้องถูกพยุงให้อยู่รอดได้เพราะหากผู้เล่นสำคัญในระบบตายไปเสียแล้วอาจไม่ เร็วนักที่จะสร้างขึ้นใหม่ และแม้เมื่อการแพร่ระบาดของไวรัสผ่านไปแล้ว เศรษฐกิจก็ อาจกลับมาฟื้น ตัวได้ไม่เร็วนัก

 

สำหรับในกรณีของประเทศไทย แม้ว่าในขณะนี้ทั้งภาครัฐ  และเอกชนต่างๆ จะมี มาตรการช่วยเหลือธุรกิจขนาดเล็กกันบ้างแล้ว แต่สิ่งที่ท้าทายพิ่มเติม คือ การ ช่วยเหลือกลุ่มผู้ประกอบการแบบไม่มีลูกจ้าง ตลอดจนฟรีแลนซ์ซึ่งมีจำนวนมาก  มักอยู่นอกระบบและมีความหลากหลายทางอาชีพสูง การใช้มาตรการแบบ One-Size- Fit-All อาจจะไม่ได้ผลมากนัก การช่วยเหลือที่ออกแบบมาให้เหมาะสมกับแต่ละกลุ่มอาชีพ จึงมีความจำเป็นมากขึ้น เพื่อให้คนกลุ่มนี้สามารถผ่านพ้น และเป็นกาลังในการ ฟื้นตัวของเศรษฐกิจเมื่อการระบาดของโรคผ่านพ้นไปแล้วได้

 

CR : Thaipublica , KrungthaiCOMPASS

 

บทความ ข่าวโปรโมชั่น ล่าสุด