Ori Revenue Q1 2020

“ออริจิ้น” ใช้ตลาดเชิงรุก สร้างผลงานไตรมาสแรก ทำกำไรกว่า 595 ล้าน

“ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้” เปิดผลประกอบการไตรมาสแรก  กวาดกำไรกว่า 595 ล้าน​ หลังรับรู้กำไรจากส่วนแบ่งโครงการร่วมทุน ที่สร้างเสร็จใหม่ 2 โครงการ ทำยอดโอนไปกว่า 1,441 ล้านบาท รับรู้กำไรกิจการร่วมค้ากว่า 141 ล้านบาท (ตามสัดส่วนถือหุ้น 51%) ซึ่ง ชี้ครึ่งปีหลังมีโครงการสร้างเสร็จใหม่พร้อมทยอยโอนเพิ่มอีกกว่า 17,000 ล้าน หนุนระดับรายได้-กำไรในปีแห่งความท้าทาย

 

นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ที่ผ่านมา บริษัทมีรายได้รวมอยู่ที่ 2,408 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 595 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาเพียง 17% เนื่องจากสถานการณ์ COVID-19 ที่ทำให้ธุรกรรมต่างๆ ชะลอตัว แต่ภาพรวมสามารถทำได้ดีกว่าตลาดที่คาดว่าจะติดลบ 30-40 %

 

อย่างไรก็ดี บริษัทยังคงสามารถรักษาระดับอัตรากำไรขั้นต้นไว้ได้ที่ 39.9% และเริ่มรับรู้กำไรจากโครงการคอนโดมิเนียมร่วมทุน (Joint Venture) กับบริษัท โนมูระเรียลเอสเตท ที่ก่อสร้างเสร็จใหม่ 2 โครงการเป็นครั้งแรก ได้แก่ โครงการไนท์บริดจ์ ไพร์ม รัชโยธิน และโครงการไนท์บริดจ์ คอลลาจ รามคำแหง ที่มียอดขายมากกว่า 93% จากมูลค่าโครงการรวมกว่า 3,700 ล้านบาท ซึ่งทำยอดโอนไปกว่า 1,441 ล้านบาท รับรู้กำไรกิจการร่วมค้ากว่า 141 ล้านบาท (ตามสัดส่วนถือหุ้น 51%) ซึ่งหากนับรวมรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ทั้งหมดนี้ บริษัทสามารถทำได้ถึง 3,394 ล้านบาท เติบโตขึ้น 13.1%  จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเติบโต 2.9% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อสหน้า

Ori Britania

ทั้งนี้ บริษัทยังสามารถผลักดันยอดขายได้ดีจากการปรับกลยุทธ์การตลาดเชิงรุก และสร้างทีม Everyone Can Sell ที่แม้ว่าในช่วงไตรมาส 1 ปี 2563 ที่ผ่านมา มีความท้าทายกับสถานการณ์ COVID-19  สามารทำยอดขายอยู่ที่ 4,852 ล้านบาท คิดเป็นประมาณ 23% ของเป้ายอดขายทั้งปี โดยเป็นยอดขายที่มาจากกลุ่มโครงการบ้าน ประมาณ 1,682 ล้านบาท ซึ่งมากกว่าไตรมาส 1/2562 อยู่ 775 ล้านบาท คิดเป็น 86% ซึ่งเป็นไปตามแผนที่กลุ่มบริษัทมีการขยายสัดส่วนโครงการบ้านจัดสรร เนื่องจากการขยายตัวของเครือข่ายเส้นทางรถไฟฟ้าไปยังทำเลเมืองรอบนอกมากขึ้น อีกทั้งลูกค้ากลุ่มนี้มีวัตถุประสงค์การซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง และยังมีความผันผวนของความต้องการที่ต่ำกว่าอาคารชุด จึงถือเป็นการกระจายความเสี่ยงจากการเพิ่มช่องทางของรายได้

 

โดยการเปิดตัวโครงการใหม่ทั้ง 2 โครงการในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนมีนาคม ได้แก่ โครงการแกรนด์ บริทาเนีย วงแหวน-รามอินทรา และโครงการบริทาเนีย สายไหม ได้รับการตอบรับที่ดีโดยในไตรมาส 1/2563 ทำยอดขายได้กว่า 220 ล้านบาท และยอดขายโครงการคอนโดมิเนียมอีกราว 3,170 ล้านบาท โดยทั้งนี้คิดเป็นโครงการพร้อมอยู่ (Ready to move) ประมาณ 3,733 ล้านบาท จากที่ไตรมาส 1/2563 บริษัทเน้นการขายในโครงการพร้อมอยู่ ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ภายในปีนี้

 

ในปี 2563 บริษัทมีการปรับรูปแบบการดำเนินงานให้เข้ากับสถานการณ์ด้วยกลยุทธ์การตลาดเชิงรุก แพลทฟอร์มออนไลน์ การขับเคลื่อนทั้งการขายการโอน การดูแลผู้บริโภคและพนักงานได้แบบ Zero-COVID เราจะรักษามาตรฐานและปรับตัวอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถผ่านปีที่ท้าทายนี้ไปได้อย่างมั่นคง

 

นอกจากนี้ บริษัทยังมีพาร์ทเนอร์ใหม่ คือ บริษัท จีเอส เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น คอร์ปอเรชั่น (GS E&C) จากประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ในแวดวงธุรกิจอุตสาหกรรมก่อสร้าง และอสังหาริมทรัพย์ระดับโลก มาร่วมพัฒนาโครงการคอนโดนิเนียมใหม่ 2 โครงการที่จะเปิดตัวในปีนี้ ได้แก่ 1.โครงการดิ ออริจิ้น ลาดพร้าว 111 (The Origin Ladprao 111) และ 2.โครงการไนท์บริดจ์ สเปซ พระราม 4 (KnightsBridge Space Rama 4)

Ori Kensington

นายพีระพงศ์ กล่าวอีกว่า สำหรับไตรมาส 2/2563 บริษัทมุ่งเน้นแผนการตลาดไปที่กลุ่ม Ready to Move และสินค้ารอขาย (Inventory) ด้วยหลากหลายแคมเปญ อาทิ แคมเปญ Keep Your Distance เว้นระยะผ่อน ให้ผู้ซื้ออยู่ฟรีนานสูงสุด 3 ปี ช่วยลดภาระให้ผู้ซื้อได้ในสถานการณ์ COVID-19 พร้อมสิทธิประโยชน์อื่นๆ กับ 23 โครงการในเครือ แคมเปญ Always Online ใช้ 3 แพลทฟอร์ม ทั้ง LINE OA, Lazada, Shopee อำนวยความสะดวกให้แก่ผู้บริโภคในทุกขั้นตอนที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์ ทั้งการหาข้อมูล การจอง การตรวจห้อง ไปจนถึงการโอนกรรมสิทธิ์ ซึ่งบริษัทให้ความสำคัญกับเรื่องสุขอนามัย โดยการจัดให้มี Private Visit อำนวยความสะดวกแก่ผู้ที่จำเป็นต้องเข้าไปเยี่ยมชมโครงการ

 

ทั้งนี้ บริษัทจะเฝ้าติดตามสถานการณ์ COVID-19 อย่างใกล้ชิด และปรับรูปแบบการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ทันต่อสถานการณ์ และสามารถรับมือกับสถานการณ์ต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ คาดว่าสถานการณ์ภาพรวมในช่วงครึ่งปีหลังจะสดใสกว่าช่วงครึ่งปีแรก โดยบริษัทมีโครงการรอเปิดตัวในช่วงครึ่งปีหลังอีก 12 โครงการ แบ่งเป็นคอนโดมิเนียม 4 โครงการ และบ้านจัดสรรอีก 8 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 16,700 ล้านบาท

 

ขณะเดียวกัน บริษัทยังมีแบ็คล็อคขนาดใหญ่ที่จะเปลี่ยนเป็นยอดรับรู้รายได้ จากโครงการคอนโดมิเนียมและบ้านที่จะทยอยสร้างเสร็จในช่วงครึ่งหลังของปีอีก 12 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 17,000 ล้านบาท (รวมโครงการร่วมทุนมูลค่า 5,300 ล้านบาท) ส่งผลให้บริษัทจะมีโอกาสสร้างทั้งยอดขาย รายได้ และกำไรเข้ามาเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่องในช่วงครึ่งปีหลัง

Review The Origin Phahol Saphanmai 1

ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท มีมติเห็นชอบให้เสนอต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นในวันที่ 27 สิงหาคม 2563 จ่ายปันผลสำหรับผลการดำเนินงานของบริษัทรอบหกเดือนหลัง ของปี 2562 ในอัตรา 0.29 บาทต่อหุ้น เป็นเงินปันผลจ่ายทั้งสิ้นไม่เกิน 711.33 ล้านบาท ทั้งนี้ในปี 2562 บริษัทได้มีการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลตามมติคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 8/2562 เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2562 สำหรับงวด 6 เดือนแรกของปี 2562 เป็นเงินสดในอัตราหุ้นละ 0.205 บาท หรือคิดเป็นเงินจำนวนไม่เกิน 502.06 ทั้งนี้คิดเป็น Dividend Yield ทั้งปีกว่า 11% จากราคาปิดเมื่อวานนี้ โดยบริษัทจะจ่ายเงินปันผลเป็นเงินสด ซึ่งจะกำหนดขึ้น XD ในวันที่ 1 กันยายน 2563 และวันที่ 2 กันยายน 2563 เป็นวันกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับเงินปันผล (Record Date) โดยกำหนดจ่ายปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นภายในวันที่ 25 กันยายน 2563

 

 

บทความ ข่าวโปรโมชั่น ล่าสุด