เอพี ลุย 26 โปรเจ็กต์แนวราบ มูลค่า 26,000 ล้าน ในช่วงครึ่งปีหลัง พร้อมปักหมุด 5 จังหวัดในภูธร ชิมลางทำตลาด ปั้นแบรนด์ใหม่ “อภิทาวน์” มั่นใจทั้งปียังคงทำยอดขาย 33,500 ล้าน และ รายได้ 40,550 ล้าน ตามเป้าหมาย แม้ครึ่งปีแรกมีสถานการณ์โควิด-19 แต่ยังเติบโตสวนกระแส มีลุ้นไตรมาส 2 ทำสถิติสร้างรายได้สูงสุดนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท
แม้ว่าประเทศไทยต้องเผชิญกับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน ที่ทำให้หลายธุรกิจได้รับผลกระทบอย่างหนัก บางแห่งต้องปิดกิจการและเลิกจ้างพนักงาน หรือไม่ก็เปิดกิจการชั่วคราว แต่ดูเหมือนว่าในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ปีนี้ ในวิกฤตที่เกิดขึ้นกลับกลายเป็นโอกาสทางการตลาดอย่างที่ผู้ประกอบการหลายรายคาดคิดมาก่อน เพราะผู้ประกอบการหลายราย แม้ว่าจะได้รับผลกระทบ ต้องปรับแผนธุรกิจและปรับตัวหาหนทางการอยู่รอด แต่ในมุมบวกกลับสามารถทำยอดขายและยอดโอนได้จำนวนมาก มากชนิดที่ทุบสถิติยอดขายและยอดโอนในภาวะสภาพตลาดปกติด้วยซ้ำ
หนึ่งในผู้ประกอบการที่สามารถสร้างยอดขายและยอดโอนเติบโตได้ดีนั้น คือ บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) หรือ AP ที่สามารถสร้างยอดขายในช่วงครึ่งปีแรกได้มากถึง 15,085 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 45% ของเป้าหมายยอดขายในปีนี้ที่คาดว่าจะทำได้ 33,500 ล้านบาท โดยส่วนรายได้น่าจะทำได้สูงกว่าผลการดำเนินงานในอดีตที่ผ่านมา โดยเฉพาะไตรมาส 2 ซึ่งปกติจะเป็นไตรมาสที่ทำรายได้ได้ต่ำสุดในรอบปี แต่ปีนี้คาดว่าจะเป็นไตรมาสที่สร้างรายได้ได้สูงที่สุดกว่าไตรมาส 2 ของทุกปีที่ผ่านมา และอาจจะสูงสุดนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมาเกือบ 30 ปีด้วยซ้ำ
นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์องค์กรและการสร้างสรรค์ บริษัท เอพี ไทยแลนด์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า วิกฤตการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 เปรียบเหมือนเป็นซูเปอร์โนวาที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์โลก สร้างผลกระทบที่ใหญ่และรุนแรงกว่าวิกฤตครั้งไหนในอดีต ซึ่งตลอด 6 เดือนที่ผ่านมาบริษัทดำเนินงานด้วยความระมัดระวัง ควบคู่ไปกับการปรับแผนงานให้สอดรับกับสถานการณ์ในแต่ละช่วงเวลา โดยมี EMPOWER LIVING เป็นจุดมุ่งหมายสำคัญขององค์กร
โดยแนวโน้มการโอนกรรมสิทธิ์ในไตรมาส 2 ของปีนี้ คาดว่าจะดีกว่าทุกไตรมาส 2 ที่บริษัทเคยทำได้ ซึ่งไตรมาส 2 ที่มียอดโอนกรรมสิทธิ์สูงสุด คือ ปี 2561 มีมูลค่า 10,000 ล้านบาท และน่าจะมียอดโอนกรรมสิทธิ์สูงสุดในประวัติศาสตร์การก่อตั้งบริษัท ซึ่งเคยทำยอดโอนสูงสุดในช่วงไตรมาส 4 ปี 2559 มูลค่า 11,500 ล้านบาท
สำหรับความสำเร็จในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา น่าจะเกิดจากการปรับตัวของบริษัท ในการตอบสนองความต้องการของลูกค้า แม้ว่าจะอยู่ในช่วงโควิด-19 แต่ลูกค้ายังสามารถตรวจห้องผ่านระบบออนไลน์ได้ การชมห้องตัวอย่างหรือโครงการได้ผ่านออนไลน์ รวมถึงการนำเอาเทคโนโลยีมาช่วย และการจัดโปรโมชั่นเกือบทุกสัปดาห์ มาสร้างความสำเร็จดังกล่าว
นายวิทการ กล่าวอีกว่า ในช่วงครึ่งปีแรกบริษัทไม่ได้เปิดตัวคอนโดมิเนียมโครงการใหม่ แต่ขายโครงการเดิมที่มีอยู่ ซึ่งตลาดยังให้การตอบรับที่ดี มียอดขายกว่า 2,200 ล้านบาท ขณะที่บางกอก ซิตี้สมาร์ท (BC) บริษัทในเครือ ยังสามารถทำยอดขายกลุ่มคอนโดได้สูงกว่า 4,200 ล้านบาท แสดงให้เห็นถึงการตอบรับของตลาดคอนโดว่ายังมีต่อเนื่อง และยังคาดว่าภายในสิ้นปีนี้บีซี จะสามารถสร้างยอดขายคอนโดได้ถึง 10,000 ล้านบาทด้วย
ในปีนี้บริษัทจึงมั่นใจว่าจะสามารถรักษาเป้าหมายการเติบโตของบริษัทตามแผนธุรกิจไว้ได้ โดยคาดว่าจะทำยอดขายได้ 33,500 ล้านบาท รายได้ 40,550 ล้านบาท ซึ่งในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทยังเตรียมเปิดตัวโครงการใหม่อีก 26 โครงการ มูลค่า 26,000 ล้านบาท โดยเป็นโครงการแนวราบทั้งหมด แบ่งเป็นโครงการในเขตกรุงเทพฯ 21 โครงการ มูลค่า 21,300 ล้านบาท และในพื้นที่ 5 จังหวัด มูลค่า 4,700 ล้านบาท
ครึ่งปีหลังบริษัทยังไม่มีแผนเปิดโครงการคอนโดมิเนียม เนื่องจากสถานการณ์ปัจจุบันยังไม่เหมาะสมในการเปิดตัวโครงการใหม่ แต่มีที่ดิน 4-5 แปลงสำหรับพัฒนาโครงการไว้พร้อมแล้ว โดยจะพิจารณาตามความเหมาะสมของตลาด แต่คาดว่าน่าจะเลื่อนการเปิดตัวโครงการคอนโดไปในปีหน้าแทน
สำหรับการพัฒนาโครงการในต่างจังหวัด ได้พัฒนาโครงการภายใต้แบรนด์ อภิทาวน์ เป็นโครงการรูปแบบมิกซ์โปรดักส์ ทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์โฮม ระดับราคา 1.5-9 ล้านบาท ซึ่งจะเริ่มต้นพัฒนาโครงการแรกที่จังหวัดนครราชสีมา ในเดือนกันยายน หลังจากนั้นจะเปิดตัวอีก 4 โครงการใน 4 จังหวัด ได้แก่ ระยอง อยุธยา ขอนแก่น และเชียงราย
ครึ่งปีหลังมีอีก 2 โครงการคอนโดที่จะก่อสร้างแล้วเสร็จ และรับรู้รายได้ ตั้งแต่เดือนสิงหาคมนี้. ได้แก่ LIFE อโศก-พระราม 9 มูลค่า 9,800 ล้านบาท ปัจจุบันมียอดขายแล้ว 94% และ ASPIRE อโศก-รัชดา มูลค่า 2,900 ล้านบาท ปัจจุบันมีขาย 95%
บริษัทมีโครงการคอนโดอยู่ระหว่างการขาย 18 โครงการ มูลค่า 21,000 ล้านบาท ซึ่ง ณ วันที่ 31 มิถุนายน 2563 บริษัทมีสินค้ารอรับรู้รายได้รวมโครงการร่วมทุน (Backlog) มูลค่า 56,149 ล้านบาท เป็นโครงการแนวราบ มูลค่า 13,234 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะรับรู้ทั้งหมดภายในปีนี้ และคอนโด มูลค่า 42,915 ล้านบาท จะทยอยรับรู้ในปีนี้ประมาณ 15,602 ล้านบาท ส่วนที่เหลือทยอยรับรู้ไปจนถึงปี 2566