Navarang Nareva

5 เหตุผล “ณวรางค์ แอสเซท” พัฒนาโครงการย่านเจริญนคร

หลังจาก “ณวรางค์ แอสเซท” ประสบความสำเร็จกับการพัฒนาโครงการในทำเลใจกลางเมือง อย่างย่านหลังสวน และชิดลม  อาทิ โครงการ ณ วรา เรสซิเดนซ์  ซึ่งสารถปิดการขายได้อย่างรวดเร็ว  ทำให้ ณวรางค์ แอสเซท มองหาทำเลศักยภาพในการพัฒนาโครงการอย่างต่อเนื่อง  ซึ่งไม่ได้จำกัดเฉพาะพื้นที่ย่านใจกลางซีบีดีเท่านั้น

 

ในช่วงต้นปีที่ผ่านมาจึงได้ขยายการพัฒนาโครงการ ออกไปในยังพื้นที่โซนอื่นด้วย  ไม่ว่าจะเป็นทำเลพหลฯ – อารีย์ กับการพัฒนาโครงการ “ณ วีรา พหลฯ-อารีย์” (Na Veera Phahol-Ari) โครงการคอนโดมิเนียมขนาด 8 ชั้น มูลค่าโครงการ 240 ล้านบาท และในทำเลเจริญนคร กับโครงการ ณ รีวา เจริญนคร (Na Reva Charoennakhon)  มูลค่า 1,300 ล้านบาท

 

หากพูดถึงทำเลพหลฯ -อารีย์ แน่นอนว่าเป็นทำเลที่ติดอันดับทำเลที่อยู่อาศัยมีราคาแพงอันดับต้น ๆ  ของทำเลใกล้รถไฟฟ้า เพราะมีความเจริญและแหล่งงานมากมาย  ที่สำคัญที่ดินมีจำกัดหามาพัฒนาได้ยาก และเป็นย่านที่อยู่อาศัยเก่า ซึ่งมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย  ทำให้เป็นต้องการของคนส่วนใหญ่ในการเข้ามาอยู่อาศัย แต่หากเปรียบเทียบกับทำเลเจริญนคร  แปลงที่ ณวรางค์ แอสเซท เลือกมาพัฒนา คือ บริเวณปากซอยเจริญนคร 58 เรียกได้ว่า อยู่ห่างจากเส้นทางรถไฟฟ้าพอสมควร แถมเป็นทำเลเจริญนครส่วนปลายที่จะมาทางพระราม 3 ด้วยซ้ำ ​

 

เหตุผลอะไรที่ทำให้ ณวรางค์ แอสเซท เลือกเข้ามาพัฒนาโครงการในทำเลเจริญนคร  ซึ่งนายองคฤทธิ์ พรหมโยธี ประธานบริหารฝ่ายปฎิบัติการ บริษัท ณวรางค์ แอสเซท จำกัด มีคำตอบให้

1.เสน่ห์วิวแม่น้ำเจ้าพระยา

ในทำเลเจริญนคร สิ่งหนึ่งที่เป็นจุดขายโครงการคอนโดมิเนียม คือ การเป็นคอนโดฯ ที่อยู่ติดริมแม่น้ำเจ้าพระยา หรือหากไม่ติดแม่น้ำ แต่ยังสามารถมองเห็นวิวแม่น้ำได้  ทำให้บรรดาดีเวลลอปเปอร์เลือกทำเลเจริญนคร เป็นพื้นที่ในการพัฒนาคอนโดฯ เพราะสามารถนำวิวของแม่น้ำเจ้าพระยา มาเป็นจุดขายและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับโครงการได้ ​

Navarang Nareva 2

2.วิถีชีวิตคนฝั่งธนบุรี

แม้ว่าปัจจุบันความเจริญของเมือง ได้ขยายจากพื้นที่ใจกลางเมือง ข้ามแม่น้ำเจ้าพระยามาสู่ย่านฝั่งธนบุรี ทำให้ย่านฝั่งธนบุรีมีความเจริญของเมือง ไม่ได้ด้อยไปกว่าฝั่งพระนคร แต่วิถีชีวิตและความเป็นอยู่แบบดั้งเดิมของคนฝั่งธนบุรี ปัจจุบันก็ยังคงมีให้เห็น รวมถึงสถานที่สำคัญที่แสดงถึงวิถีชีวิตของคนฝั่งธนบุรี ก็ยังมีอยู่ให้เห็นมากมาย ทำเลนี้จึงมีเสน่ห์ในการอยู่อาศัย สำหรับคนที่ชื่นชอบเรื่องราวและวิถีชีวิตแบบดั้งเดิม ​

3.แหล่งช้อปปิ้งหลากหลาย

บริเวณทำเลฝั่งธนบุรี รวมถึงบริเวณริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาทั้งสองฝั่ง หลายปีที่ผ่านมาเกิดการพัฒนาโครงการศูนย์การค้าและช้อปปิ้งมอลล์มากมาย ไม่ว่าจะเป็นศูนย์การค้าไอคอนสยาม หรือเอเชียทีค ริเวอร์ฟร้อนท์ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของทำแล และยังเป็นปัจจัยบวกสำคัญทำให้ทำเลย่านฝั่งธนบุรี เป็นทำเลที่มีศัยกภาพเพิ่มมากขึ้นด้วย

4.แหล่งรวมอาหารสารพัดเมนู

อีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ย่านฝั่งธนบุรี เป็นทำเลที่มีจุดขายสำคัญ และดีเวลลอปเปอร์เลือกเข้ามาพัฒนาโครงการมากขึ้น  คือ การเป็นแหล่งร้านอาหารหลากหลายชนิด มีหลายหลายระดับราคา ตั้งแต่ร้านรถเข็น ไปจนถึงภัตตาคารหรู และหลายร้านเปิดขายมานานหลายสิบปี  อยู่คู่กับคนฝั่งธนบุรีจนกลายเป็นร้านในตำนานไปแล้ว

5.การขยายเส้นทางรถไฟฟ้า

แน่นอนว่า ทุกพื้นที่ซึ่งมีรถไฟฟ้าไปถึง ทำเลนั้นจะกลายเป็นทำเลทองขึ้นมาทันที เพราะการเดินทางสะดวกสบาย เป็นอีกหนึ่งคีย์ซัคเซสสำคัญของการพัฒนาโครงการ และเป็นตัวพิจารณาการเลือกซื้อที่อยู่อาศัยเป็นอันดับต้น ๆ ของลูกค้า ซึ่งนับตั้งแต่เส้นทางรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายสายสีลม รวมถึงเส้นทางรถไฟฟ้าใต้ดิน สายสีน้ำเงิน มีแผนพัฒนามายังพื้นที่ทำเลฝั่งธนบุรี บรรดาดีเวลลอปเปอร์ก็หันมาจับจองและหาที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการออกมาขาย  และเมื่อรถไฟฟ้าเปิดให้บริการ ก็ทำให้เกิดโครงการคอนโด ตามมาอีกมากมายด้วย

Navarang Nareva 1

นายองคฤทธิ์ เล่าอีกว่า การที่บริษัทคิดขยายทำเลเข้ามาพัฒนาโครงการในทำเลเจริญนคร เป็นเพราะการขยายตัวของเมือง เห็นได้จากการเข้ามาพัฒนาโครงการสำคัญ อาทิ ศูนย์การค้าไอคอนสยาม รวมถึงปัจจัยในเรื่องของจำนวนประชากรที่มีการขยายตัวมากขึ้น จากครอบครัวซึ่งอยู่ในทำเลย่านฝั่งธนบุรี ซึ่งมีจำนวนสมาชิกเพิ่มมากขึ้น แต่ยังคงต้องการอยู่อาศัยในทำเลเดิม ถือเป็นดีมานด์ที่มีศักยภาพ

 

สำหรับโครงการ ณ รีวา เจริญนคร เป็นการพัฒนาภายใต้การร่วมทุนกัน ระหว่างบริษัทกับ พาราเมาท์ คอร์ปอเรชัน เบอร์ฮาด ประเทศมาเลเซีย ที่ถือหุ้น 49%   มีมูลค่าโครงการ 1,300 ล้านบาท บนพื้นที่กว่า 1.2 ไร่  ปากซอยเจริญนคร 58  จะเริ่มก่อสร้างเดือนมีนาคม 2564 และคาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จใน ปี 2566    ​

 

โดยโครงการเป็นอาคารสูง 29 ชั้น มีจำนวน 253 ยูนิต แต่ละชั้นมียูนิตเพียง 13 ยูนิต  มีห้องให้เลือก  5 แบบ ได้แก่ แบบ 1-Bedroom, 1-Bedroom Loft, 1-Bedroom Executive, 1-Bedroom Plus และแบบ 2-Bedroom   ราคาเฉลี่ยปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 112,000 บาทต่อตารางเมตร หรือมีราคาเริ่มต้น 2.9 ล้านบาท  

 

นายองคฤทธิ์  กล่าวเพิ่มเติมว่า หลังจากเปิดโครงการในช่วงต้นปี แต่เกิดการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ทำให้ต้องหยุดการขายและเริ่มกลับมาขายใหม่อีกครั้งในช่วงปลายปี ปัจจุบันสามารถทำยอดขายได้ประมาณ 30% จากเป้าหมายครั้งแรกก่อนเกิดเหตุการณ์ไวรัสโควิด-19 ซึ่งคาดว่าภายในปีนี้จะทำยอดขายได้ 50% โดยพฤติกรรมการซื้อของกลุ่มลูกค้าในโซนนี้ พบว่า ส่วนใหญ่ต้องการห้องขนาดใหญ่ ทำให้มีการซื้อห้องชุด 2 ห้องเชื่อมต่อกัน เพื่อให้ได้พื้นที่มากขึ้น ซึ่งที่ผ่านมาสามารถขายห้องชุดในลักษณะดังกล่าวได้ 6 ยูนิต ราคาขนาด 2 ห้องรวมกันอยู่ประมาณ 15-16 ล้านบาท

Navarang Nareva 4

บทความ ข่าวโปรโมชั่น ล่าสุด