เน็กซัสฯ เปิดข้อมูลตลาดบ้านหรู 5 ปีพัฒนา 40,000 ล้าน โดย 5 ทำเลหลัก อยู่ย่านใจกลางเมืองและพื้นที่เชื่อมต่อสู่ใจกลางเมืองได้สะดวก ราคาที่พัฒนามากสุดคือ บ้านหรู 30-50 ล้าน
นางนลินรัตน์ เจริญสุพงษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เน็กซัส พรอพเพอร์ตี้ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด เปิดเผยว่า ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาภาพรวมตลาดบ้านหรูใจกลางเมืองยังคงเติบโต มีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีโครงการใหม่เกิดขึ้น 56 โครงการ มีจำนวนอยู่ในตลาด 796 ยูนิต คิดเป็นมูลค่าตลาดมากกว่า 40,000 ล้านบาท เป็นบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ สัดส่วน 39% และบริษัทรายย่อยในสัดส่วน 61%
สำหรับทำเลที่ตั้งหลักของโครงการบ้านหรู จะอยู่ใจกลางเมืองที่มีความสะดวกสบาย โดย 90% ของจำนวนทั้งหมด อยู่ในโซนที่เชื่อมต่อกับใจกลางเมือง มีการเดินทางสะดวกและคล่องตัว ไม่ไกลจากรถไฟฟ้าหรือขนส่งสาธารณะ โดยทำเลที่มีบ้านมากที่สุดคือ
1.ทำเลเอกมัย-รามอินทรา สัดส่วน 26%
2.ทำเลสาทร-พระราม 3 สัดส่วน 21%
3.ทำเลสุขุมวิท สัดส่วน 20%
4.ทำเลรัชดา-ลาดพร้าวตอนต้น สัดส่วน 17%
5.ทำเลพหลโยธิน สัดส่วน 6%
ทั้งนี้ ส่วนใหญ่โครงการจะอยู่ในซอยย่อย ที่สามารถเดินทางเข้าออกสะดวก โดยที่ดินนั้นอาจมีข้อจำกัดในการพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ ส่งผลทำให้ราคาที่ดินต่ำกว่าบริเวณใกล้เคียง ซึ่งก็ถือว่าเป็นข้อได้เปรียบทางการตลาดจากศักยภาพที่ดินที่ต่างกัน
โดยสินค้าในตลาดนี้ ระดับราคาต่อยูนิตมีความแตกต่างกันมาก ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ ประกอบไปด้วย ทำเลที่ตั้ง ขนาดของที่ดิน ขนาดบ้าน และวัสดุที่ใช้ในโครงการ โดยนิยามบ้านหรูในระดับนี้ จะเริ่มต้นที่ระดับราคา 20 ล้านบาทขึ้นไป จนถึงมากกว่า 100 ล้านบาท
สัดส่วนราคาในการพัฒนาโครงการบ้านหรู
1.บ้านหรูระดับราคา 30 – 50 ล้านบาท สัดส่วน 42%
2.บ้านหรูระดับราคา 20 – 30 ล้านบาท สัดส่วน 27%
3.บ้านหรูระดับราคา 50 – 75 ล้านบาท สัดส่วน 21%
4.บ้านหรูระดับราคา 75 ล้านบาทขึ้นไป สัดส่วน 9%
การจะเปรียบเทียบราคาบ้านในกลุ่มนี้ได้ดีที่สุด คือ เปรียบเทียบกับราคาคอนโดมิเนียม โดยที่บ้านระดับนี้ ราคาต่อตารางเมตรในแต่ละทำเล จะมีราคาถูกกว่าคอนโดอย่างน้อย 3 เท่า เช่น บริเวณสาทร คอนโดซูเปอร์ลักซูรี่ เฉลี่ย 293,000 บาทต่อตารางเมตร ในขณะที่บ้าน ราคาคิดเป็นตารางเมตรอยู่ที่ 78,000 บาท จะเห็นได้ว่าในงบประมาณ 50 ล้านบาท อาจจะได้คอนโดเพนท์เฮาส์ 200 ตารางเมตร เปรียบเทียบกับบ้าน ที่ได้บ้านพร้อมที่ดินที่ใหญ่กว่า 700 ตารางเมตร เป็นต้น
นางนลินรัตน์ กล่าวอีกว่า สำหรับความต้องการบ้านประเภทนี้ ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งจะมาจากไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนไป ของผู้ซื้อที่อยู่อาศัยระดับบน จากคอนโดมาเป็นบ้านใจกลางเมือง แต่ยังคงความสะดวกสบายและหรูหรา เหมือนใช้ชีวิตในตึกสูง ขณะเดียวกัน ยังได้เป็นเจ้าของที่ดินและบ้านด้วย เป็นกลุ่มผู้อยู่อาศัยจริง (Real demand) โดยปกติแล้ว การขายบ้านประเภทนี้อาจไม่ได้รวดเร็วมากนัก ซึ่งระยะเวลาการขายเฉลี่ยแต่ละโครงการอยู่ที่ 2 – 3 ปี ยอดขายเฉลี่ยในตลาดอยู่ที่ 53% ปัจจัยที่ทำให้ยอดขายแตกต่างกันขึ้นอยู่กับราคา เมื่อเปรียบเทียบกับทำเลที่เหมาะสม ความสะดวกสบายของทำเลเมื่อเทียบกับราคา และคุณภาพของสินค้าโดยรวม
จากข้อมูลทางการตลาดและผลวิจัยเบื้องต้น เน็กซัส สรุปความน่าสนใจและข้อดีของตลาดบ้านหรูกลางเมืองสำหรับผู้บริโภค โดยแบ่งเป็น 9 ข้อดีของการมีบ้านในเมือง ได้แก่
1.ตลาดยังคงเติบโตและมีอุปทานคุณภาพดีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
2.ทำเลกลางเมืองเดินทางสะดวกสบาย
3.ราคาที่คุ้มค่าเมื่อเทียบกับทำเลและพื้นที่ใช้สอยที่ได้
4.ได้ทรัพย์สินเป็นที่ดิน และความรู้สึกความเป็นเจ้าของที่แท้จริง
5.มีความเป็นส่วนตัวสูง
6.ได้บ้านที่แตกต่างสะท้อนตัวตนของผู้อยู่อาศัย
7.คุณภาพและวัสดุที่ใช้
8.ไลฟ์สไตล์คนเมือง
9.สำคัญที่สุดเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าทั้งในปัจจุบันและอนาคต
จากความน่าสนใจของตลาดบ้านหรูใจกลางเมือง เราจึงมองเห็นโอกาส ที่จะทำให้ “ผู้ซื้อ” สามารถเลือกซื้อสินค้าประเภทนี้ ได้อย่างเหมาะสมกับความต้องการที่แท้จริง ทั้งในแง่ของงบประมาณและไลฟ์สไตล์ ในขณะที่ “ผู้ขาย” ก็มีโอกาสขายสินค้าได้ ตรงกลุ่มเป้าหมายมากยิ่งขึ้น จึงเป็นที่มาของการจัดแคมเปญ “Luxury House Grand Sale” เพื่อรวบรวมบ้านหรู Rare Item โครงการคุณภาพใจกลางเมืองกว่า 20 โครงการ มาให้เลือกช้อปแบบครบ จบที่เดียว! ในราคาเริ่มต้น 22.9 – 70 ล้านบาท พร้อมส่วนลดสูงสุดถึง 11 ล้านบาท* และ Voucher เฟอร์นิเจอร์โดย Euro Creations จากอิตาลี รวมทั้งโปรโมชั่นพิเศษอีกมากมาย พิเศษเฉพาะลูกค้าเน็กซัส! ตั้งแต่วันนี้ – 31 มี.ค. 2564