Rimond Land

ไรมอนแลนด์ ปั้น แบรนด์เด็ดเรสซิเดนซ์ ขายวิลล่าหลังละ 1,000 ล้าน พร้อมสู่ธุรกิจ New Economy สร้างรายได้ประจำ

ไรมอนแลนด์

ไรมอนดแลนด์ เดินหน้ารักษาผู้นำตลาดลักชัวรี่ ปั้นโปรเจ็กต์ แบรนด์เด็ดเรสซิเดนซ์ ประเดิม Rosewood Hotels & Resorts ที่ภูเก็ต ขายวิลล่า 14 หลัง ยูนิตละ 100-1,000 ล้านบาท มูลค่ารวม 7,800 ล้าน พร้อมปูทางสร้างรายได้จากออฟฟิศให้เช่า-ธุรกิจ New Economy “Data Center” เพิ่มสัดส่วนรายได้ประจำ 20-30%

 

บริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ RML ดำเนินธุรกิจในประเทศไทยมากว่า 33 ปี  โดยตลอดระยะเวลาในการดำเนินธุรกิจที่ผ่านมา ได้มีการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่เกิดขึ้นกับไรมอนแลนด์ เมื่อช่วงปี 2563  ที่กลุ่มบริษัท เคพีเอ็น แลนด์ จำกัด โดยนายกฤษณ์ ณรงค์เดช ปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการ และนายกรณ์ ณรงค์เดช ปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้ที่บริหาร เข้ามาถือหุ้นกลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของไรมอนแลนด์ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างภายในองค์กรนี้

 

ไรมอนแลนด์ เป็นผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ ที่เน้นทำตลาดหลักในกลุ่มลักชัวรี่ ​เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง และได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจน้อย ซึ่งไรมอนแลนด์เป็นบริษัทแรก ๆ ที่พัฒนาคอนโดมิเนียมระดับลักชัวรี่ราคา 10 ล้านบาทขึ้นไป และระดับอัลตราลักชัวรี่ราคา 40 ล้านบาทขึ้นไป มีการพัฒนาโครงการทั้งในพื้นที่กรุงเทพฯ และพัทยา ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันมีการพัฒนาโครงการคอนโดไปแล้วกว่า 72,000 ล้านบาท จำนวนกว่า 5,000 ยูนิต

Rml The Estelle

หลังจากที่กลุ่มเคพีเอ็น แลนด์ เข้ามาบริหารไรมอนแลนด์ ทีมผู้บริหารได้มีการปรับภาพลักษณ์องค์กรใหม่ให้มีความทันสมัย มีความลักชัวรี่ แต่สามารถเข้าถึงได้ ภายใต้สโลแกน “Raimon Land-Luxury Reimagined” พร้อมกับการขยายฐานกลุ่มลูกค้า ไปสู่กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ประสบความสำเร็จเมื่ออายุน้อย อายุ 26-45 ปี และมีกำลังซื้อสูง จากเดิมที่ฐานลูกค้าหลักเป็นกลุ่มผู้ใหญ่อายุ 46 ปีขึ้นไป

 

เพื่อเดินหน้าตามแผนการรีแบรนด์ ยกระดับภาพลักของแบรนด์ให้เข้าถึงง่ายทันสมัย และกลยุทธ์ใหม่ของไรมอนแลนด์ จึงวางแผนธุรกิจในปี 2565 และในอนาคตในระยะ 5-10 ปี ด้วยโจทย์สำคัญ คือ การสร้างการรับรู้ในด้านรายได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งในส่วนการพัฒนาธุรกิจอสังหาฯ เพื่อขาย ธุรกิจอสังหาฯ เพื่อสร้างรายได้ประจำ และธุรกิจ New Economy ​

โฟกัสตลาดแบรนด์เด็ดเรสซิเดนซ์

การพัฒนาโครงการอสังหาฯ ของไรมอนแลนด์ ยังคงเน้นทำตลาดกลุ่มลักชัวรี่และอัลตร้าลักชัวรี่ ที่จับตลาดหลักทั้งคนไทยและต่างชาติ  แต่ทิศทางนับจากนี้ จะมุ่งเน้นการนำเอาแบรนด์เด็ดเรสซิเดนซ์เข้ามาร่วมพัฒนา คาดว่าจะมีสัดส่วนมากถึง 70-80% (ขณะที่แบรนด์ของไรมอนแลนด์จะมีสัดส่วนประมาณ 20-30%) โดยเหตุผลสำคัญเป็นเพราะ

1.เพิ่มมูลค่าให้โครงการ

การพัฒนาภายใต้รูปแบบแบรนด์เด็ดเรสซิเดนซ์ จะช่วยทำให้โครงการมีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นกว่าโครงการปกติ 10-15% ผู้ซื้อสามารถส่งต่อเป็นมรดกให้กับทายาทได้ เพราะโครงการจะมีมูลค่าเพิ่มสูงตามระยะเวลา

2.สร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง

โครงการอสังหาฯ ที่เป็นรูปแบบแบรนด์เด็ดเรสซิเด็นซ์ จะสร้างความแตกต่างจากโครงการทั่วไปที่มีอยู่ในตลาด เพราะเป็นการนำเอา Hotel Brand เข้ามาบริการตามมาตรฐานโรงแรมระดับโลกนั้น ๆ  ซึ่งจะช่วยให้การใช้ชีวิตของผู้อยู่อาศัยสะดวกสบายยิ่งขึ้น ตามมาตรฐานของแบรนด์เด็ดเรสซิเดนซ์นั้น เหมือนการพักอาศัยในโรงแรมภายใต้แบรนด์นั้น

3.มีฐานลูกค้ารองรับ

เจ้าของแบรนด์ที่จะถูกนำมาใช้ในการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย จะมีฐานลูกค้าและฐานแฟนคลับที่ชื่นชอบรูปแบบโครงการและการให้บริการของแบรนด์นั้น  ๆ เมื่อมีการขยายตลาดหรือการขยายการพัฒนาโครงการไปยังทำเลอื่น หรือในเมืองท่องเที่ยวอื่น ฐานลูกค้าหรือแฟนคลับนั้นก็มักจะตามมาเลือกซื้อด้วย แบรนด์เด็ดเรสซิเดนซ์จึงมักมีฐานลูกค้าของแบรนด์นั้นติดตามมาด้วย

เพิ่มแนวราบสร้างรายได้ต่อเนื่อง

ที่ผ่านมาไรมอนแลนด์เน้นการพัฒนาโครงการคอนโด ที่เป็นรูปแบบไฮไลท์เป็นหลัก ซึ่งใช้ระยะเวลาการรับรู้ค่อนข้างนาน  เพราะต้องใช้ระยะเวลาการพัฒนา จนถึงส่งมอบโครงการให้กับลูกค้านาน ทำให้การพัฒนามีการรับรู้รายได้ไม่ต่อเนื่อง อย่างกรณีโครงการคอนโดในรูปแบบแบรนด์เด็ดเรสซิเดนซ์ จะใช้เวลาในการพัฒนาประมาณ 3-4 ปี ขณะที่โครงการแนวราบใช้ระยะเวลาการพัฒนาประมาณ 1 ปี

 

เพื่อให้ไรมอนแลนด์สามารถรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่อง  ต่อจากนี้ไปจะเพิ่มการพัฒนาโครงการแนวราบมากขึ้น และมีรูปแบบการพัฒนาที่หลากหลาย​ แต่ยังมีความตั้งใจพัฒนาโครงการในระดับลักชัวรี ด้วยบ้านในราคา 50-60 ล้านบาท แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับทำเลที่ตั้งโครงการ

Rimon Land Occ

เพิ่มสัดส่วนรายได้ประจำ20-30%

นอกจาก การเพิ่มโครงการแนวราบเพื่อรับรู้รายได้เร็วและต่อเนื่องแล้ว ไรมอนแลนด์ยังวางแผนเพิ่มรายได้ประจำให้มากขึ้น เพื่อสร้างความมั่นคงให้กับบริษัท โดยวางเป้าหมายภายใน 2-3 ปีจะสร้างรายได้ประจำสัดส่วน 20-30% จากปัจจุบันมีอยู่ 5% ซึ่งโครงการที่จะสร้างรายได้เข้ามาอย่างชัดเจน คือ โครงการวัน ซิตี้ เซ็นเตอร์ (One City Centre) สำนักงานให้เช่ามูลค่า 8,800 ล้านบาท บนถนนเพลินจิต ที่ร่วมทุนกับ Mitsubishi Estate จากประเทศญี่ปุ่น โดยจะเริ่มรับรู้รายได้ในปี 2566

ขยายธุรกิจ New Economy เติมรายได้ประจำ

ขณะเดียวกัน บริษัทยังมองหาโอกาสในการขยายไปสู่ธุรกิจใหม่ ที่ช่วยเข้ามาเพิ่มรายได้ให้กับบริษัท โดยเฉพาะรายได้ประจำ จึงวางแผนร่วมมือกับ Nautilus Data  Technologies ผู้นำด้าน Green Data Center Technology ระดับโลก ที่มีนักลงทุนในกลุ่มบริษัทชั้นนำเข้าถือหุ้นอยู่ อาทิ Emerson Collective บริษัทครอบครัวของสตีฟ จ็อบส์ เพื่อพัฒนาโครงการศูนย์กลางคลังข้อมูล หรือ Data Center ซึ่งใช้เทคโนโลยีระบบ Water Cooling (การใช้ระบบน้ำช่วยลดความร้อนของคอมพิวเตอร์) โดยไรมอนแลนด์จะได้กรรมสิทธิ์แต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย และในเซาท์อีสเอเชีย

 

สำหรับโครงการ Data Center จะเริ่มพัฒนาในปีหน้า โดยมูลค่าการลงทุนจะขึ้นอยู่กับขนาดของโครงการ ซึ่งทำเลที่ตั้งโครงการอาจจะต้องอยู่ใกล้แหล่งน้ำ ไม่ว่าจะเป็นแหล่งน้ำจืดหรือน้ำเค็ม และอาจจะพัฒนาในพื้นที่ของนิคมอุตสาหกรรม  ซึ่งการที่บริษัทเข้ามาสนใจธุรกิจ Data Center เนื่องจากช่วงหลายปีที่ผ่าน เป็นธุรกิจดาวรุ่งมีอัตราการเติบโตแบบก้าวกระโดด

ปี 65 วางเป้ารายได้ 2,200 ล้าน

สำหรับแผนพัฒนาโครงการใหม่ในปี 2565 เบื้องต้นบริษัทวางแผนพัฒนา 1.โครงการคอนโด  Branded Residence ที่ร่วมทุนกับญี่ปุ่น ที่สุขุมวิทมูลค่า 5,500 ล้านบาท 2.โครงการแบรนด์เด็ดเรสซิเดนซ์  Rosewood Hotels & Resorts® ที่จังหวัดภูเก็ต ในรูปแบบ วิลล่า บริเวณกมลา ภูเก็ต จำนวน 14 หลัง ราคาขายยูนิตละ 100-1,000 ล้านบาท มูลค่าโครงการรวม 7,800 ล้านบาท และ 3.โครงการแนวราบที่อยู่ระหว่างการออกแบบ คาดว่าปลายปีนี้เสร็จ

 

โดยปัจจุบันมียอดขายรอรับรู้รายได้ 5,000 ล้านบาท มีสินค้าพร้อมขายมูลค่า 71 ล้านบาท ซึ่งลดลงจากช่วง 2 ปีก่อนหน้าที่มีมูลค่า 1,892 ล้านบาท ในปีนี้วาง​แผนสร้างรายได้ 2,200 ล้านบาท โดยรายได้มาจากการโอนกรรมสิทธิ์ และปัจจุบัน และวางเป้ายอดขาย 7,200 ล้านบาท

 

ในปีนี้วางงบลงทุนเบื้องต้น 2,000 ล้านบาท สำหรับใช้ในการพัฒนาโครงการอสังหาฯ ซึ่งงบประมาณหลักใช้ในด้านการก่อสร้าง โดยแหล่งเงินทุนจะมาจากการขอสินเชื่อจากธนาคาร การออกหุ้นกู้ และการระดมทุนจากนักลงทุน ​

 

สำหรับเป้าหมายการรับรู้รายได้ คาดว่าจะมีรายได้ 2,200 ล้านบาท จากโครงการเอสเทลล์ สุขุมวิท 26 ที่จะเริ่มรับรู้รายได้ในไตรมาส 3  และคาดว่าจะมียอดขาย 7,200 ล้านบาท  ซึ่งเป็นยอดขายจากโครงการ เทตต์สาทร ทเวลฟ์  โครงการโรสวูด ที่ กมลา ภูเก็ต

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

-ไรมอนแลนด์ กับ 5 เหตุผลหนุนสร้างรายได้ปีนี้ 2,700 ล้าน

บทความ ข่าวโปรโมชั่น ล่าสุด