Life+Style

 

Life+Style ล่าสุด

1 2 3 4 ... 16
รู้ทุกเรื่องของระบบ Blockchain ด้วยแบบจำลอง (ตอนที่2) [VDO]

รู้ทุกเรื่องของระบบ Blockchain ด้วยแบบจำลอง (ตอนที่2) [VDO]

รู้ทุกเรื่องของระบบ Blockchain ด้วยแบบจำลอง (ตอนที่2) บทความที่แล้ว เราได้อธิบายการทำงานของระบบ Blockchain ว่าจะต้องมีองค์ประกอบสำคัญอะไรบ้าง และมีความปลอดภัยของข้อมูลอย่างไร ในส่วนของบทความครั้งนี้ เราจะมาดูกันว่าระบบ Blockchain มีความปลอดภัยแค่ไหน ถ้านำเอามาใช้เป็นเครื่องมือในการโอนเงิน  โดยมีแบบจำลองที่น่าสนใจเกี่ยวกับการโอนเงิน มาให้เห็นภาพที่ชัดเจน ของการทำงานในระบบ Blockchain ว่าเป็นอย่างไรและมีวิธีการอย่างไรบ้าง   สำหรับการโอนเงินในระบบ Blockchain นั้น ตามแบบจำลองจะมีการใช้ Private Key Public Key และการ Signing ในการควบคุมการโอนเงิน ซึ่งเฉพาะเจ้าของเงินเท่านั้น ที่จะมีสิทธิ์ในการโอนเงินไปหาคนอื่นได้ ไม่ใช่ว่าจะเป็นใครก็ได้ จะมาโอนเงินไปหาคนโน้นคนนี้ได้ ตามใจชอบ ส่วนรูปแบบการทำงานเป็นอย่างไร มีการใช้ Private Key Public Key และการ Signing อย่างไร ไปดูการทำงานจากแบบจำลองกันได้เลย​     เริ่มต้นเข้ามาในเว็บไซ http://anders.com  เมื่อเข้ามาแล้วจะพบหัวข้อ Key Transaction Signatures (เป็นเมนูอยู่บริเวณด้านบนทางขวามือ)     โดยเริ่มต้นจาก Public / Private Key / Pares กันก่อน ซึ่งความแตกต่างระหว่าง Public key และ Private key ก็คือตามชื่อเลยนะครับ Private key เป็นส่วนที่เจ้าของจะต้องเก็บข้อมูลไม่ให้ผู้อื่นทราบ เพราะหากผู้อื่นทราบ ก็จะทำการโอนเงินของเจ้าของไปให้คนอื่นได้ ในขณะที่ตัว Public key จะทำหน้าที่คล้ายกับบัญชีธนาคาร เป็นข้อมูลที่สามารถบอกผู้อื่นได้ เพราะว่าการที่เราจะรับเงินจากผู้อื่นได้ในระบบ Blockchain ได้ เราจะต้องให้ตัว Public key กับคนที่จะโอนเงินมาให้เรา     เราลองเปลี่ยนค่าใน Private key เราสามารถกำหนดเป็นค่าอะไรก็ได้ จะสังเกตว่าทุกครั้งที่ Private key มีการเปลี่ยนแปลง ตัว Public key จะมีการเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ ตามการเปลี่ยนแปลงของ Private key ที่มีการเปลี่ยนแปลงไป โดยเราสามารถกดเปลี่ยนแปลงได้ด้วยการพิมพ์ข้อมูลในช่อง Private key หรือมากดปุ่ม Random ​ก็ได้เช่นเดียวกัน   จากตัวอย่างนี้ จะเห็นว่าเราสามารถเปลี่ยนแปลงได้เฉพาะ Private key แต่ Public key เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงค่าได้ เนื่องจากระบบ Blockchain ตัว Public key จะถูกสร้างมาจากตัว Private key แต่ตัว Public key ไม่สามารถถูกคำนวณย้อนกลับไปเป็น Private key ได้ ซึ่งมีคนยกตัวอย่างไว้ว่า ตัว Private key ก็เหมือนกับ ตัวหมู แล้ว Public key คือ ลูกชิ้นหมู คือ หมูถูกแปรรูปเป็นลูกชิ้นหมูได้ แต่ลูกชิ้นหมู ไม่สามารถแปรรูปเป็นตัวหมูได้   เข้าใจการทำงานของ Signatures โดยการโอนเงินปกติเราต้องทราบว่า การโอนเงินมาจากเจ้าของเงินจริง ๆ  หรือเปล่า เพราะตัว Private key เป็นข้อมูลความลับที่เก็บไว้ในระบบ Blockchain และตัว Private key ไม่สามารถคิดคำนวณย้อนกลับ ด้วยตัว Public key ก็ทำให้ระบบ Blockchain มีการใช้ฟังก์ชั่นหนึ่งที่เรียกว่า Signatures ที่เข้ามาตรวจสอบการโอนเงิน     พอเข้ามาในส่วน Signatures เราจะเห็นในส่วนการทำงานของ Sign และ Verify โดยตัวอย่างการ Sign ก็เช่น ถ้าผู้ส่งต้องการส่งข้อความในกล่อง Message ให้กับผู้รับ  โดยผู้ส่งเป็นเจ้าของ Private key นี้ ในตัวอย่างนี้ให้ลองกดปุ่ม Sign ระบบ Blockchain จะมีการสร้าง Message Signature ขึ้นมา และตัว Message Signature จะถูกนำไปใช้ในขั้นตอนการ Verify ต่อไป   ขั้นตอนการ Verify ในขั้นตอนการ Verify จะมีการใช้ข้อมูลในการ Verify คือ ตัว Message Public key ของผู้ส่ง Message Signature  ที่เราได้จากการ Sign ไปก่อนหน้า​ ให้เราลองคลิกปุ่ม Verify จะสังเกตเห็นว่า แบล็กกราวด้านหลังเป็นสีเขียว แสดงว่าข้อมูลถูกต้อง  หมายความว่า ตัว Signature มีการ Sign หรือการลงนาม โดยเจ้าของ Private key ที่อยู่เบื้องหลัง Public key ตัวนี้ ซึ่งเป็นการยืนยันว่าตัว Message ตัวนี้ มีการส่งโดยเจ้าของ Private key ที่อยู่เบื้องหลัง Public Key  ตัวนี้จริง ๆ   Transaction ขั้นตอนการโอนเงิน ตัวอย่างการโอนเงินในส่วนของ Transaction ทางผู้ส่งซึ่งเป็นเจ้าของ Public key มีความต้องการจะส่งเงินจำนวน 20 us ผู้เป็นเจ้าของ Public key ตัวนี้ ส่วน Private key คือ ของผู้ส่ง ให้เราทำการกดไซน์ เพื่อให้ระบบ Blockchain สร้างตัว Message Signature ขึ้นมา หลังจากนั้นระบบ Blockchain จะเข้าสู่ขั้นตอนการ Verify เหมือนตัวอย่างแรก   ขั้นตอนการ Verify  ตัวระบบ Blockchain จะทำการตรวจสอบข้อมูล Signature ที่มีการ Sign เป็นการส่งมาจากตัว Private key ที่อยู่เบื้องหลังตัว Public key นี้จริง ๆ หรือเปล่า ให้เราทำการคลิกปุ่ม Verify  เพื่อ Verify จะเห็นว่าแบล็กกราวด์เปลี่ยนเป็นสีเขียว คือ หมายความว่า ระบบ Blockchain ทำการตรวจสอบ Signature นี้ ก็พบว่า Signature  ถูกส่งมาจาก Private key ที่อยู่เบื้องหลังตัว Public key นี้จริง ๆ เป็นตัวอย่างการตรวจสอบความถูกต้องในส่วนของการโอนเงิน   ภาพรวมการโอนเงินในระบบ Blockchain เมื่อเรามาดูข้อมูลในแบบ Blockchain จะเป็นการโอนเงินเข้าหากัน เป็นการบันทึกเฉพาะตัว Public key จาก Public key ไหน ไปสู่ Public key ไหน ไม่มีการบันทึกข้อมูลในส่วน Private key ไว้ในระบบ Blockchain เลย และจากตัวอย่างในแต่ละ Transaction ก็จะมี ตัว Signature ของแต่ละ Transaction ออกมาให้เราเห็นกัน  เราจะทราบแล้วว่า ตัว Signature จะถูกสร้างมาจากตัว Message  หรือตัวการโอนเงินควบคู่ไปกับ Private Key     เดี๋ยวเราจะมาลองเปลี่ยนแปลงข้อมูลการโอนเงิน ว่าหลังจากการทดลองเปลี่ยนแปลงข้อมูลแล้วทำการ Mining เพื่อดูว่าข้อมูลใน Blockchain มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง   จากตัวอย่าง หากลองเปลี่ยนข้อมูลจำนวนเงินที่โอน เป็น 29.9 us ตัว Signature จะเป็นสีแดง ตอนนี้ตัว Signature เป็นข้อมูลที่ไม่ถูกต้องไปแล้ว และตัวข้อมูลใน Block ก็เป็นข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง เพราะแบล็กกราวด์กลายเป็นสีแดง ให้ลองทำการ Mining ดู หลังจากทำการ Mining ดูจะพบว่า ตัวรหัส Hash ขึ้นต้นด้วย 0000 และตัวแบล็กกราวด์ก็เป็นสีเขียว ตัวรหัส Hash มีความถูกต้องแล้ว     อย่างไรก็ตาม ตัว Signature ยังเป็นสีแดง เพราะการ Mining ไม่สามารถเข้ามาแก้ตัว Signature  ได้ เนื่องจากว่าการ Mining ตัว Node ต่าง ๆ ที่ทำการประมวลผลในระบบ Blockchain จะไม่มีข้อมูลในส่วน Private key ข้อมูลในส่วน Private key คนที่ทราบข้อมูลในส่วนนี้จะเป็นเฉพาะเจ้าของเงินเท่านั้น เพราะตัว Minus ในระบบ Blockchain จะไม่สามารถมาแก้ไขในส่วนตัว Signature ได้  เพราะตัว Minus ในระบบ Blockchain ไม่มีข้อมูลในส่วน Private key ซึ่งถือเป็นระบบรักษาความปลอดภัยในการโอนเงินของระบบ Blockchain ก็จะทำให้เรามั่นใจได้ว่า การโอนเงินจากคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่ง ในระบบ Blockchain จะเป็นการส่งคำสั่งการโอนเงินโดยเจ้าของเงินจริง ๆ ไม่ใช่ว่าใครก็ได้จะมาเป็นคนสร้าง Transaction ในการโอนเงินจากคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่งได้มั่วซั่วไปหมด   ทั้งหมดนี้ เป็นแบบจำลองการโอนเงินในระบบ Blockchain ที่เราจะเห็นความสำคัญของ Private key Public key รวมถึงการ Signing ว่าทั้งสามตัวมีฟังก์ชั่นการทำงานอย่างไร และมีความสัมพันธ์อย่างไรกับระบบ Blockchain   บทความที่เกี่ยวข้อง Blockchain คืออะไร? เกี่ยวอะไรกับ Bitcoin – Crypto Blockchain มีกี่ประเภท? เรื่องต้องรู้ก่อนเข้าสู่โลกการเงินดิจิทัล ไขทุกข้อสงสัย การโอน Crypto กับ E-Banking ต่างกันยังไง? เรื่องต้องรู้ ETH Smart Contract คืออะไร? Coin VS Token เหมือน หรือ ต่าง อย่างไร? ETFs แค่เข้าใจ ก็ลงทุน Bitcoin ได้ไม่ยาก Bitcoin Wallet คืออะไร? จะเสี่ยงแค่ไหน? ถ้าคอมพิวเตอร์โดยขโมย!! ทำไมต้อง IPO ทำไปเพื่ออะไร? – เข้าใจการระดมทุนใน SET ด้วย IPO Bitcoin กับการฟอกเงินและอาชญากรรม DeFi นวัตกรรมการเงินดิจิทัล ที่ไม่ต้องง้อธนาคาร Chainlink กับบทบาทและความสำคัญในโลกการเงินดิจิทัล รู้จักกับ STO อีกวิธีของการระดมเงินทุน ทั้งรวดเร็วและปลอดภัย รู้จัก Yield Farming เพื่อการลงทุนคริปโทให้กำไรงอกเงย Liquidity Pool คืออะไร สำคัญแค่ไหนในวงการ Cryptocurrency รู้จักกับ LUKSO เทคโนโลยี Blockchain เพื่อไลฟ์สไตล์ยุคดิจิทัล Impermanent Loss คืออะไร เข้าใจเรื่องเสี่ยงขาดทุนในการฟาร์ม Compound Finance การปล่อยกู้เพื่อสร้างกำไรในคริปโทฯ ถ้าไม่เข้าใจ ICO อย่าพึ่งลงทุนใน Crypto รู้ทุกเรื่องของระบบ Blockchain ด้วยแบบจำลอง (ตอนที่1)    
เทคนิคเก็บเงินเที่ยวทั้งครอบครัว ทัวร์ได้ในไทยและต่างประเทศ

เทคนิคเก็บเงินเที่ยวทั้งครอบครัว ทัวร์ได้ในไทยและต่างประเทศ

เทคนิคเก็บเงินเที่ยว แม้ว่าตอนนี้ สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิดข-19 จะยังคงอยู่ แต่คนส่วนใหญ่ก็ออกมาใช้ชีวิตกันปกติ มีการเดินทางไปยังสถานที่ต่าง ๆ  และหลายสถานที่ก็เปิดให้บริการ แม้ว่าการออกมาใช้ชีวิต จะต้องอยู่ภายใต้วิถีชีวิตปกติใหม่ (New Normal) ทั้งเรื่องการสวมหน้ากากอนามัย การล้างมือด้วยแอลกอฮอล์บ่อย ๆ การเว้นรระยะห่างทางสังคม ที่สำคัญการได้รับการฉีดวัคซีนป้องกัน คนส่วนใหญ่ก็พร้อมปฏิบัติตาม นอกจากการเดินทางเพื่อทำงาน การเดินทางท่องเที่ยวไปยังสถานที่ท่องเที่ยว ปัจจุบันก็มีมากขึ้นด้วย เพราะการท่องเที่ยวเป็นสิ่งที่ช่วยทำให้เรามีความสุข สบายใจ และเป็นการพักผ่อนที่ดี เป็นหนึ่งในองค์ประกอบสำคัญของการดูแลร่างกายและจิตใจให้แข็งแรง คนส่วนใหญ่จึงให้ความสำคัญ และท่องเที่ยวกันเพิ่มมากขึ้น   แต่แน่นอน ปัจจัยสำคัญของการเดินทางท่องเที่ยว นอกจากจะต้องมีเวลาว่างแล้ว คงต้องมีเงินเพียงพอด้วย เพื่อใช้เป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทางท่องเที่ยว ยิ่งปัจจุบันภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว รายได้ของหลายคนอาจจะลดลง หรือได้รับผลกระทบ ทำให้มีเงินใช้จ่ายได้ไม่เต็มที่ เหมือนในยามที่เศรษฐกิจเฟื่องฟู แต่การท่องเที่ยวก็เป็นยาบำรุงสภาพจิตใจได้เป็นอย่างดี  หากอยากออกไปเที่ยวก็คงต้องมาหาวิธี ทำยังไงจะมีเงินไปเที่ยวได้   วันนี้ Reviewyourliving จึงมาแนะนำ วิธีเก็บเงินไปเที่ยว ซึ่งเป็นเทคนิคเก็บเงินท่องเที่ยว ที่สามารถนำไปใช้ได้จริง และสามารถไปกันได้ทั้งครอบครัว ไม่ว่าจะซื้อทัวร์หรือเดินทางไปเที่ยวกันเอง ทั้งสถานที่ท่องเที่ยวภายในประเทศ และต่างประเทศ เทคนิคเก็บเงินเที่ยว ทั้งครอบครัว ทัวร์ได้ในไทยและต่างประเทศ 1.แบ่งเงินออมจากน้อยไปมาก พนักงานที่เป็นมนุษย์เงินเดือน หรือแม้แต่ผู้ประกอบอาชีพอิสระ รายได้และรายจ่ายในภาวะวิกฤตโควิด-19 อาจจะไม่มีความแน่นอน ดังนั้น ต้องเริ่มวางแผนงบประมาณ ว่าจะต้องใช้เท่าไรในการไปท่องเที่ย แล้วเริ่มออมเงิน ​แล้วประเมินคร่าว ๆ ว่า ช่วงเดือนไหนออมเงินได้เท่าไหร่ เช่น 4 เดือนแรกจะออม 5,000 บาท อีก 4 เดือนต่อมาจะออมมากขึ้นเป็น 7,000 บาท เป็นต้น การเก็บเงินไปเที่ยวแบบนี้ คงต้องวางแผนกันเป็นปี ว่าช่วงไหนจะออมเงินมากเงินน้อย​ 2.ออมเป็นสกุลเงินต่างประเทศ อยากไปเที่ยวประเทศไหน งบประมาณเท่าไร ไปเมื่อไร ให้วางแผนแล้วใช้วิธีออมเงิน ด้วยการเก็บเงินสกุลนั้น ๆ แต่​เทคนิคนี้เจะหมาะสำหรับคนชอบติดตามข่าวสารเป็นประจำ เพราะอัตราแลกเปลี่ยนประจำวันขึ้นลงไม่เท่ากัน และเหมาะมากกับคนที่มีเงินออมอยู่พอประมาณแล้ว และอยากออมต่อยอดให้มากขึ้นอีก ก็สามารถแบ่งแลกเงิน แทนการออมเงินเพื่อแลกครั้งเดียวได้ 3.ออมในบัญชีเดียว ดีกว่า กระจายหลายบัญชี การเปิดบัญชีเพื่อออมเงินหลายบัญชี อาจให้ผลลัพธ์เท่ากับการออมใส่บัญชีเดียว เพราะอย่าลืมว่าการกระจายบัญชีออม ย่อมต้องมีค่าธรรมเนียมในแต่ละบัญชีด้วย ดังนั้น หากรู้ตัวว่าเป็นคนมีวินัยการออมหย่อนมาก ก็ควรแข็งใจออมในบัญชีเดียวให้สำเร็จก่อน แล้วค่อยต่อยอดออมในอีกบัญชี 4.เฉลี่ยออมกับคนในครอบครัว คนในครอบครัวมาร่วมกันวางแผนจะไปเที่ยวไหน ใครออมได้เดือนละเท่าไร ก็แบ่ง ๆ กันออม  หากประเมินคร่าว ๆ แล้วค้นพบว่าตัวเองไม่สามารถเก็บเงินได้สำเร็จตามแพลนที่วางไว้แน่นอน ลองใช้วิธีวางแผนร่วมกับครอบครัว ช่วยกันออมเงินคนละเล็กละน้อย เช่น น้องออม 300 เราออม 500 คุณพ่อ คุณแม่ออม 200 ทุกเดือน เป็นต้น วิธีนี้ช่วยเพิ่มความสนุกให้กับการวางแผนเที่ยวได้ไม่น้อยเลย 5.เด็กออมเหรียญ ผู้ใหญ่ออมแบงค์ ให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการออม แต่ วิธีนี้ไม่จำเป็นต้องระบุจำนวนเงินออมให้แน่นอนตายตัว แต่เน้นหยอดใส่กระปุกให้ได้ทุกวัน โดยมีเป้าหมายเป็นจำนวนเงินที่ทุกคนร่วมกันตั้งธงไว้ ยิ่งได้เงินตามเป้าหมายไวเท่าไหร่ ทริปในฝันก็ยิ่งเกิดขึ้นได้เร็วเท่านั้น ครอบครัวที่มีเด็กวัยเรียนอยู่ด้วย วิธีนี้นอกจากจะช่วยฝึกวินัยในการออมเงินแล้ว ยังทำให้เด็ก ๆ รู้สึกว่าตัวเองมีส่วนร่วมกับทริปที่จะเกิดขึ้นนี้จริง ๆ รวมถึงเห็นคุณค่าของเงิน และยังสนุกกับไปกับการเก็บเงินด้วย   เพื่อความคล่องตัวในการเก็บเงิน แนะนำให้เปิดบัญชีออนไลน์เพื่อทริปท่องเที่ยวโดยเฉพาะ เพราะนอกจากจะง่าย สะดวก ปลอดภัยแล้ว ยังสามารถเช็กยอดเงินได้ทุกที่ ทุกเวลา อีกด้วย 6.ออมตามจุดหมายปลายทาง เทคนิคการออมเงินเที่ยว วิธีนี้ เป็นการตั้งธงไว้ก่อน หรือตั้งเป้าหมายสถานที่เที่ยวจะไป และงบประมาณต้องใช้ แล้วมาดูว่าสมาชิกในครอบครัวแต่ละคนสามารถออมเงินกันคนละเท่าไร หรือหัวหน้าครอบครัวจะออมคนเดียวก็ได้ การบอกสมาชิกในครอบครัวให้ทราบ เพื่อที่จะลดค่าใช้จ่ายไม่จำเป็น หรือทำให้ทุกคนเข้าใจว่าต้องเตรียมเงินมากน้อยแค่ไหน ทุกคนจะได้มีส่วนร่วมในการท่องเที่ยว -ออมเดือนละ 500 บาท เที่ยวในประเทศได้ชิล ๆ สำหรับคนที่เพิ่งเริ่มเก็บออม แนะนำให้ออมเดือนละ 500 บาท ถ้าเพื่อน ๆ ทำได้ตั้งแต่ต้นปี ปลายปีก็จะมีเงินสำหรับไปเที่ยวในประเทศได้ 2-3 วัน ในราคา 5,000-6,000 บาท โดยค่าตั๋วเครื่องบินชั้นประหยัดจะเริ่มตั้งแต่หลักร้อยไปจนถึงหลักพัน ส่วนค่าที่พักเริ่มต้นที่ 500 บาทต่อคืน เหลือเงินไว้กินเที่ยวช้อปประมาณ 2,000-3,000 บาทชิล ๆ อีกด้วย -ออมเดือนละ 1,000 บาท ก็ปักหมุดเที่ยวประเทศใกล้ๆ ได้ ประมาณ 10,000-12,000 บาท สามารถขยับจากเที่ยวในประเทศไปประเทศใกล้ ๆ ได้ 3-5 วัน ค่าตั๋วเครื่องบินเริ่มต้นที่ประมาณ 3,000-4,000 บาท ถ้าจองตั๋วล่วงหน้าก็จะได้ในราคาถูก เหลือเงินสำหรับค่าที่พักและค่ากินอย่างสบาย ๆ โดยค่าที่พักจะอยู่ที่ประมาณ 1,000-2,000 บาทต่อคืน ใครอยากลงไปสัมผัสวัฒนธรรมต่างประเทศแบบใกล้ๆ อย่างประเทศลาว เวียดนาม เมียนมา หรือมาเลเซีย ก็ลองเก็บเงินกันดูนะคะ -ออมเดือนละ 3,000 บาท เที่ยวโซนเอเชียได้ไม่มีเอาท์ สำหรับใครที่อยากไปเที่ยวไกลกว่าอาเซียนก็ลองปรับจำนวนเงินเก็บในแต่ละเดือนให้สูงขึ้นอีกหน่อยเป็น 3,000 บาท ต่อเดือน เพื่อให้มีตัวเลือกในการไปเที่ยวที่หลากหลายขึ้น ถ้าเพื่อนๆ ลองเก็บเงินในจำนวนเท่านี้ปลายปีก็จะมีเงินไปเที่ยวถึง 30,000-36,000 บาท สามารถไปเที่ยวโซนเอเชียได้ประมาณ 3-5 วัน ค่าตั๋วเครื่องบินช่วงโปรโมชั่นอยู่ที่ประมาณ 7,000-12,000 บาท หากได้ตั๋วเครื่องบินราคาถูก ก็จะเหลือเงินสำหรับค่าใช้จ่ายส่วนอื่น ๆ เกือบ 30,000 บาทเลย โดยประเทศที่สามารถไปท่องเที่ยวได้ในงบเท่านี้ก็มีเกาหลี ญี่ปุ่น หรือจีน เป็นต้น -ออมเดือนละ 5,000 บาท เช็คอินได้ฟิน ๆ ที่ยุโรป สำหรับคนที่มีกำลังมากหน่อย สามารถเลือกเก็บเดือนละ 5,000 บาท สิ้นปีก็จะมีเงินให้ชื่นใจถึง 50,000-60,000 บาท งบเท่านี้เลือกเที่ยวได้หลายที่ตามที่ใจต้องการ ทั้งยุโรปตะวันออกและยุโรปตะวันตก สามารถไปเที่ยวได้ประมาณ 6-7 วัน โดยราคาตั๋วเครื่องบินจะอยู่ที่ราว ๆ 10,000-22,000 บาท ใครยังไม่เคยไปยุโรปตะวันออก แนะนำเส้นทางออสเตรีย-สโลวาเกีย-เช็ก เมื่อไปถึงออสเตรียต้องแวะเมืองหลวงอย่างเวียนนา เพื่อเที่ยวชมสถาปัตยกรรมที่หรูหรางดงามแบบ Rococo และชมผลงานศิลปะอันหลากหลายของ Schoenbrunn Palace เป็นต้น   ส่วนใครที่อยากจะไปท่องเที่ยวเส้นทางยุโรปตะวันตก ฝรั่งเศส-เบลเยี่ยม-เนเธอร์แลนด์ ก็มีความน่าสนใจและสวยงามไม่แพ้กัน แค่มีวีซ่าเชงเก้นก็สามารถเดินทางระหว่างประเทศได้สะดวก ค่าทำวีซ่าอยู่ที่ประมาณ 2,000 – 2,500 บาท   ทั้งหมดนี้ คือวิ เทคนิคการออมเงินเที่ยว ซึ่งเป็นธีง่าย ๆ สำหรับการเก็บเงินเพื่อพาครอบครัวไปเที่ยว ซึ่งจำนวนเงินจะมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับเป้าหมายและการวางแผนของเรา ที่สำคัญที่สุดก็คือ ความตั้งใจในการเก็บออมอย่างจริงจัง ขอให้ทุกคนสนุกกับการท่องเที่ยว และปลอดภัยจากอันตรายต่าง ๆ   ขอบคุณข้อมูลจาก : SCB, Krungsri Plearn Plearn ภาพประกอบ : freepik, pixabay   บทความที่เกี่ยวข้อง เจาะอินไซต์ 8 เทรนด์ท่องเที่ยวปี 2020 นักท่องเที่ยวไทยใส่ใจสิ่งแวดล้อม-เที่ยวเมืองรองมากขึ้น
รวมแหล่งตรวจเครดิตบูโร เช็คความพร้อมก่อนสร้างหนี้ ​

รวมแหล่งตรวจเครดิตบูโร เช็คความพร้อมก่อนสร้างหนี้ ​

ตรวจเครดิตบูโร การตรวจเช็คเครดิตบูโร ถือเป็นหนึ่งเรื่องสำคัญ ของคนที่คิดจะก่อหนี้ก้อนโต อย่างเช่น การขอสินเชื่อธนาคาร เพื่อกู้ซื้อบ้าน หรือคอนโดมิเนียมสักห้อง เพราะธนาคารจะดูข้อมูลของผู้ขอกู้ ว่ามีคุณสมบัติครบถ้วนตามหลักเกณฑ์การให้สินเชื่อหรือไม่ หรือก็คือ จะต้องตรวจดูข้อมูลย้อนหลัง ว่ามีพฤติกรรมการชำระหนี้ในอดีตอย่างไร มีภาระหนี้สินปัจจุบันมากน้อยแค่ไหน จะได้ประเมินและวัดความสามารถในการผ่อนชำระหนี้กับทางธนาคารนั่นเอง ปัจจุบันการตรวจเครดิตบูโร ไม่ใช่เรื่องยาก สามารถทำได้ด้วยตนเอง และมีช่องทางการตรวจเครดิตบูโรหลากหลายช่องทางมาก ซึ่งวันนี้ได้รวบรวมข้อมูลมาให้ใว้แล้ว สะดวกที่ไหน สะดวกอย่างไร ก็ใช้บริการกันได้ตามความสะดวกเลย​ รวมแหล่งตรวจเช็คเครดิตบูโร 1.ศูนย์ตรวจเครดิตบูโร ปัจจุบันศูนย์ตรวจเครดิตบูโรส่วนใหญ่จะอยู่ในพื้นที่จังหวัดกรุงเทพฯ​ เป็นหลัก โดยมีศูนย์ตรวจที่ให้บริการตามพื้นที่ต่าง ๆ ดังนี้   -ศูนย์ตรวจเครดิตบูโร ธนาคารอาคารสงเคราะห์ สำนักงานใหญ่  อาคาร 2 ชั้น 2  เลขที่ 63 ถนนพระราม 9 เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ 10310 เปิดให้บริการวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 9.00 – 16.30 น. หยุดวันนักขัตฤกษ์ ให้บริการกับบุคคลธรรมดาของตนเองและมอบอำนาจ / เครดิตสกอริ่ง (บุคคลธรรมดาและนิติบุคคล) / นิติบุคคล / นิติบุคคล (มอบอำนาจ) / ชาวต่างชาติ  นิติบุคคลยังใช้บริการผ่านไปรษณีย์ลงทะเบียนได้ด้วย   -ศูนย์ตรวจเครดิตบูโร – อาคารเพิร์ล แบงก์ค็อกชั้น 3 (โซนธนาคาร) (BTS อารีย์ ทางออก 1) เปิดให้บริการวันจันทร์ – ศุกร์ เวลา 9.00 น. – 18.00 น. หยุดวันหยุดนักขัตฤกษ์ ให้บริการเฉพาะบุคคลธรรมดาของตนเองและมอบอำนาจ / เครดิตสกอริ่ง (บุคคลธรรมดา) / ชาวต่างชาติ   -ศูนย์ตรวจเครดิตบูโร – สถานีรถไฟฟ้า BTS ศาลาแดง (ภายในสถานี)  เปิดให้บริการวันจันทร์ – ศุกร์ เวลา 9.00 น. – 18.00 น. หยุดวันหยุดนักขัตฤกษ์ ให้บริการเฉพาะบุคคลธรรมดาของตนเองและมอบ อำนาจ / เครดิตสกอริ่ง (บุคคลธรรมดา) / ชาวต่างชาติ   -ศูนย์ตรวจเครดิตบูโร – ท่าวังหลัง (บริเวณทางเข้า-ออก ท่าเรือ และใกล้ประตู 8 ของโรงพยาบาลศิริราช) เปิดให้บริการวันจันทร์ –  ศุกร์ เวลา 9.00 น. – 18.00 น ให้บริการเฉพาะบุคคลธรรมดาของตนเองและมอบอำนาจ / เครดิตสกอริ่ง (บุคคลธรรมดา) / ชาวต่างชาติ   -ศูนย์ตรวจเครดิตบูโร – สถานีรถไฟฟ้า BTS หมอชิต (ภายในสถานี) เปิดให้บริการวันจันทร์ –  อาทิตย์ เวลา 9.00 น. – 18.00 น. ให้บริการเฉพาะบุคคลธรรมดาของตนเองและมอบอำนาจ / เครดิตสกอริ่ง (บุคคลธรรมดา) / ชาวต่างชาติ   -ศูนย์ตรวจเครดิตบูโร – สถานีรถไฟฟ้า BTS ชิดลม (ภายในสถานี) เปิดให้บริการวันจันทร์ –  อาทิตย์ เวลา 9.00 น. – 18.00 น. ให้บริการเฉพาะบุคคลธรรมดาของตนเองและมอบอำนาจ / เครดิตสกอริ่ง (บุคคลธรรมดา) / ชาวต่างชาติ   -ศูนย์ตรวจเครดิตบูโร ห้างเจเวนิว (นวนคร) ชั้น 3 ติดประกันสังคม เปิดให้บริการวันจันทร์ –  อาทิตย์ เวลา 9.00 น. – 18.00 น. ให้บริการเฉพาะบุคคลธรรมดาของตนเองและมอบอำนาจ / เครดิตสกอริ่ง (บุคคลธรรมดา) / ชาวต่างชาติ 2.Application เช่น Bureou OK สำหรับการตรวจเครดิตบูโร ยังสามารถทำได้สะดวกและง่าย ๆ ผ่าน แอป ได้แก่ แอป Bureou OK  ของ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติฯ การตรวจข้อมูลเครดิตและเครดิตสกอริ่ง ผ่านแอป Bureau OK  มีขั้นตอนต่าง ๆ ดังนี้ ขั้นตอนการลงทะเบียนใช้บริการ Bureau OK 1.ลงทะเบียนโดยใช้บัตรประชาชนของตนเอง ยื่นให้กับเจ้าหน้าที่ เตรียมหมายเลขโทรศัพท์มือถือ (เพื่อรับรหัส OTP ยืนยันตัวตน)  และอีเมลของตนเอง สำหรับยืนยันการใช้บริการ 2.ดาวน์โหลดแอป Bureau OK  ได้ทั้งระบบปฏิบัติการ Android และ iOS 3.สร้างบัญชีผู้ใช้งานและเข้าระบบได้เลย​ – บริการตรวจข้อมูลเครดิตและเครดิตสกอริ่ง รับรายงานรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ (NCB e-Credit Report) ทางอีเมลได้ทันที – บริการอื่น ๆ เช่น รายงานแบบสรุป ดูประวัติการตรวจย้อนหลัง เช็กภาระหนี้สินของตนเอง การอ่านรายงาน ข่าวสารข้อมูลเครดิตบูโร – สอบถามปัญหา ข้อสงสัยเกี่ยวกับเครดิตบูโร ค่าบริการ -รายงานข้อมูลเครดิต 100 บาท -รายงานข้อมูลเครดิตและเครดิตสกอริ่ง 200 บาท -สามารถเลือกชำระค่าบริการผ่าน QR Code หรือบัตรเครดิต/บัตรเดบิตได้ในแอปทันที   ข้อมูล 21 มี.ค. 65*ปิดปรับปรุงระบบบริการแอปพลิเคชัน “บูโร โอเค” เป็นการชั่วคราว เพื่อพัฒนาระบบและเพิ่มประสิทธิภาพระบบบริการให้ดียิ่งขึ้น 3.ตู้ตรวจเครดิตบูโรด้วยตนเอง สำหรับคนที่อยู่ในเขตกรุงเทพฯ  สามารถตรวจเครดิตบูโรได้ด้วยตนเอง ผ่านตู้คีออส ซึ่งเป็นตู้ตรวจเครดิตบูโรด้วยตนเอง ซึ่งสามารถรับรายงานทางอีเมล ได้ทันที โดยตู้ตั้งอยู่ตามสถานที่ต่าง ๆ ดังนี้   1.Bureau Lab (บูโรแล็บ) –ภายในสถานี BTS ชิดลม และหมอชิต –ท่าเรือวังหลัง อยู่บริเวณทางเข้า-ออก ท่าเรือ และใกล้ประตู 8 ของโรงพยาบาลศิริราช 2.สถานีกลางบางซื่อ  ด้านหลังเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ ประตูทางเข้า 1  จุดติดตั้งนาฬิกาประจำสถานี หรือนาฬิกาหน้าปัดหมายเลข 9 3.ศูนย์การค้า ดิ อเวนิว รัชโยธิน กรุงเทพฯ ชั้น 4 4.ที่ทำการไปรษณีย์ทั่วประเทศ ที่ทำการไป​รษณีย์ และเคาน์เตอร์บริการไปรษณีย์ ทุกแห่งทั่วประเทศ  เป็นอีกสถานที่ที่สามารถตรวจเช็คข้อมูลเครดิตบูโรได้ โดยใช้บัตรประชาชนของตนเอง พร้อมค่าบริการรายงานข้อมูลเครดิต 150 บาทไปยื่นขอรับได้ แต่เฉพาะรายการลูกค้าบุคคลธรรมดา ยื่นขอตรวจของตนเองเท่านั้นหาก ซึ่งจะรับรายงานทางไปรษณีย์ลงทะเบียน ภายใน 7 วันทำการ แต่หากต้องการตรวจเครดิตบูโรแบบสรุป สามารถรอรับได้ทันที  และไม่เสียค่าบริการ  สามารถตรวจสอบสาขาที่ให้บริการเพิ่มเติม ที่ www.thailandpost.co.th  5.Internet Banking สำหรับ Internet Banking ก็เป็นอีกหนึ่งช่องทางในการตรวจเครดิตบูโร แต่จะมีเฉพาะธนาคารกรุงศรีอยุธยา และธนาคารกรุงไทย เพียง 2 แห่งเท่านั้นที่ท่านสามารถยื่นคำขอรายงานเครดิตบูโรได้ผ่านช่องทาง Internet Banking ได้ด้วยตนเอง 6.Mobile Banking ในยุคปัจจุบันคนส่วนใหญ่ มักจะมีแอปพลิเคชั่นเพื่ออำนวยความสะดวก รวมถึงแอปของธนาคาร เพื่อทำธุรกรรมทางการเงินต่าง ๆ  และหนึ่งในนั้นก็คือ การขอข้อมูลเครดิตบูโรผ่านแอปธนาคารด้วย ซึ่งปัจจุบันมี 4 ธนาคารที่เปิดให้บริการผ่านโมบาย แอป ดังนี้ แอป MyMo ธนาคารออมสิน ให้บริการตรวจข้อมูลเครดิตและเครดิตสกอริ่ง ผ่านโมบายแอป MyMo ธนาคารออมสิน  เลือกวิธีรับรายงานได้ 2 รูปแบบ 1.รับรายงานรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ (NCB e-Credit Report) ทางอีเมล ภายใน 24 ชั่วโมง ต้องเป็นไปตามเงื่อนไขที่เครดิตบูโรกำหนด 2.รับผลทางไปรษณีย์ลงทะเบียนภายใน 7 วันทำการ (ข้อมูลรูปแบบเอกสาร) สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม 1143 MyMo Call Center   หมายเหตุ -กรณีชื่อ-นามสกุล อีเมล เบอร์โทรศัพท์มือถือ และที่อยู่ของท่านมีการเปลี่ยนแปลง กรุณาปรับแก้ไขในระบบให้ถูกต้องก่อนใช้บริการ -อัปเดต Mymo เป็นเวอร์ชันล่าสุดก่อนทำรายการ   -แอป KKP Mobile Application ให้บริการตรวจข้อมูลเครดิตและเครดิตสกอริ่ง ผ่าน KKP Mobile Application ธนาคารเกียรตินาคินภัทร (แบบเรียลไทม์)   -แอป  Krungthai Next ให้บริการตรวจรายงานข้อมูลเครดิตและเครดิตสกอริ่ง ผ่านโมบายแอป ”Krungthai Next” รับรายงานรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ (NCB e-Credit report) ทางอีเมล ภายใน 24 ชั่วโมง  แต่ต้องเป็นไปตามเงื่อนไขที่เครดิตบูโรกำหนด ซึ่งสามารถเลือกวิธีรับผลได้ดั่งใจ 2 วิธี 1.รับผลทางอีเมลภายใน 24ชั่วโมง* (ข้อมูลเครดิตรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์) 2.รับผลทางไปรษณีย์ลงทะเบียนภายใน 7 วันทำการ (ข้อมูลเครดิตรูปแบบเอกสาร)   หมายเหตุ : – หากไม่ได้รับภายในกำหนด โปรดติดต่อ consumer@ncb.co.th – บริการยื่นคำขอตรวจเครดิตบูโรผ่านเคาน์เตอร์สาขา และ ATM ของธนาคารกรุงไทย พร้อมรับผลทางไปรษณีย์ลงทะเบียนได้เช่นเดิม   -แอป ttb touch การตรวจเครดิตบูโรผ่านโมบายแอป “ttb touch” (ธนาคารทีทีบี)  สามารถรับรายงานข้อมูลเครดิตรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ (E-Credit report) ทางอีเมลภายใน 3 วันทำการ (ข้อมูลเครดิตรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์) หรือรับผลทางไปรษณีย์ลงทะเบียนภายใน 7 วันทำการ (ข้อมูลเครดิตรูปแบบเอกสาร)   หมายเหตุ -กรณีชื่อ-สกุล อีเมล เบอร์โทรศัพท์มือถือ และที่อยู่ของท่านมีการเปลี่ยนแปลง กรุณาปรับแก้ไขในระบบให้ถูกต้อง ก่อนใช้บริการ -หากไม่ได้รับภายในกำหนด โปรดติดต่อ consumer@ncb.co.th -บริการยื่นคำขอตรวจเครดิตบูโรผ่านเคาน์เตอร์สาขา และ ATM ของธนาคารทีเอ็มบี พร้อมรับผลทางไปรษณีย์ลงทะเบียนได้เช่นเดิม 7.เคาน์เตอร์ธนาคาร สำหรับคนที่อาจจะไม่ชอบใช้เทคโนโลยี หรือไม่ถนัด ก็สามารถเดินทางไปที่ธนาคาร เพื่อขอตรวจเครดิตบูโร หรือประวัติเครดิตได้ด้วย โดยการยื่นคำขอตรวจเครดิตบูโร ผ่านเคาน์เตอร์ 5 ธนาคารทั่วประเทศได้ดังนี้ -ธนาคารกรุงไทย -ธนาคารอาคารสงเคราะห์ -ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ -ธนาคารกรุงศรี -ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร   โดยธนาคารจะทำหน้าที่เป็นตัวแทน บริษัท ข้อมูลเครดิตฯ ในการรับคำขอตรวจสอบ และรับชำระค่าตรวจสอบ ซึ่งจะให้บริการเฉพาะเจ้าของข้อมูลที่เป็นบุคคลธรรมดา และต้องมายื่นขอตรวจสอบด้วยตนเองเท่านั้น โดยบริษัท ข้อมูลเครดิตฯ​จะเป็นผู้ตรวจสอบข้อมูล และจัดส่งรายงานข้อมูลเครดิตทางไปรษณีย์ลงทะเบียนให้แก่ผู้ขอ ภายใน 1 สัปดาห์นับจากวันที่ท่านได้ยื่นคำขอที่ธนาคาร   ขั้นตอนการขอยื่นคำขอตรวจสอบข้อมูลเครดิตที่เคาน์เตอร์ธนาคาร 1.เจ้าของข้อมูลบุคคลธรรมดา กรอกแบบคำขอตรวจสอบข้อมูลเครดิตที่ธนาคาร หรือขอแบบฟอร์มจากเจ้าหน้าที่ธนาคารสาขาที่ท่านติดต่อ และลงลายมือชื่อให้ครบถ้วน พร้อมแนบหลักฐาน ดังต่อไปนี้ กรณีบุคคลสัญชาติไทย บัตรประจำตัวประชาชน/บัตรอื่นที่หน่วยงานราชการออกให้ที่แสดงเลขที่บัตรประจำตัวประชาชน (ตัวจริง) กรณีบุคคลต่างด้าว 1.หนังสือเดินทาง/ใบสำคัญถิ่นที่อยู่ (ตัวจริง) 2.ยื่นเอกสารในข้อ 1 และชำระค่าธรรมเนียมการตรวจสอบข้อมูลเครดิตต่อเจ้าหน้าที่ธนาคาร 3.ธนาคาร จะออกหลักฐานการรับชำระเงินค่าธรรมเนียม และค่าจัดส่งเอกสาร ให้แก่ท่านเก็บไว้เป็นหลักฐาน 4.บริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จะจัดส่งรายงานข้อมูลเครดิตให้แก่ท่านภายใน 7 วันทำการนับจากวันที่ยื่นคำขอ ที่ธนาคาร   หมายเหตุ :  ในแบบฟอร์มการขอตรวจสอบ กรุณาระบุที่อยู่ของท่านที่จะให้บริษัทจัดส่งรายงานให้ครบถ้วน และชัดเจน รวมทั้งหมายเลขโทรศัพท์ของท่านในกรณีที่บริษัทต้องการสอบถามเพิ่มเติม 8.ตู้เบิกเงินสด (ATM) เราสามารถตรวจเครดิตบูโรผ่านตู้ ATM ของธนาคารได้ด้วย  โดยต้องเป็นบัตรเอทีเอมของธนาคารนั้น ซึ่งเจ้าของบัตรใช้บริการได้ กับตู้ ATM ของธนาคารต่าง ๆดังนี้ -ธนาคารกรุงไทย (KTB) สำหรับลูกค้าของธนาคารที่ถือบัตร ATM และบัตรเดบิต -ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) สำหรับลูกค้าของธนาคารที่ถือบัตร ATM, บัตรเดบิต และบัตรเครดิต (ที่ใช้เป็นบัตรเอทีเอ็ม) โดยผู้ขอจะได้รับรายงานทางไปรษณีย์ลงทะเบียนภายใน 1 สัปดาห์ 9.ช่องทางออนไลน์ของเครดิตบูโร (NCB) นอกจากนี้ บริษัท ข้อมูลเครดิตฯ ยังมีบริการสอบถามข้อมูลต่าง ๆ รวมถึงการเช็คเครดิตบูโร กับช่างออนไลน์และโซเชียลมีเดีย ได้แก่ เว็บไซต์ www.ncb.co.th ช่องทางไอจี เฟสบุ๊ค ยูทูป ไลน์แอด ilovebureau และอีเมล consumer@ncb.co.th ซึ่งสามารถติดต่อเพื่อขอตรวจเช็คเครดิตบูโร และข้อมูลอื่น ๆ ได้ตลอด 24 ชั่วโมง   ทั้งหมดนี้ ก็เป็นแหล่งการตรวจเครดิตบูโร ที่ทุกคนอยากรู้ว่าตนเองมีประวัติการชำระหนี้อย่างไร หรือมีหนี้อยู่มากน้อยแค่ไหน ก็สามารถตรวจสอบกันได้ โดยเฉพาะคนที่กำลังวางแผนก่อหนี้ก่อนใหญ่ ควรจะตรวจสอบและเตรียมความพร้อมให้ดีที่สุด   CR : บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (เครดิตบูโร)  
Bang Khla Cafe คาแฟ่สไตล์โฮมมี่ เหมือนปิกนิกในสวนหลังบ้าน

Bang Khla Cafe คาแฟ่สไตล์โฮมมี่ เหมือนปิกนิกในสวนหลังบ้าน

คาเฟ่และร้านอาหาร ที่ตั้งอยู่ทางเข้าตลาดน้ำบางคล้า  ตัวร้านดีไซน์มาในสไตล์โฮมมี่ สีขาวอบอุ่น  เติมความร่มรื่นด้วยต้นไม้รอบๆ บรรยากาศเรียบง่ายพร้อมมุมถ่ายรูปแจ่มๆเพียบ Bang Khla Cafe คาแฟ่สไตล์โฮมมี่ ดื่มด่ำกับบรรยากาศกันแล้ว มาดูเมนูกันบ้าง เครื่องดื่ม ขนม  หรือจะจัดหนักก็มีอาหารหนักๆอิ่มๆ ให้เลือก เมนูซิกเนเจอร์ที่ทางร้านแนะนำ คือ อเมริกาโน  น้ำมะพร้าว สายหวานละมุนต้องห้ามพลาดกันเลย   มาดูเมนูอาหารจานเด็ดกันบ้าง ข้าวผัดน้ำพริลงเรือ ปลากะพงราน้ำปลา เสิร์ฟพร้อมผักเคียงสดๆ อีกแมนูที่ไม่เคยเจอที่ไหนแน่ๆ อกไก่นุ่มย่างน้ำตาลโตรด ส้มตำยอดมะพร้าว จัดว่าดี  หนุ่มสาวสายคาเฟ่ต้องกินขนม จิบกาแฟ ต้องสั่งชุด picnic set  ชาร้อน ครัวซองต์ เค้ก ขนมเปี๊ยะ   เสาร์อาทิตย์ นี้ยังไม่มีที่ไป บางคล้า ฉะเชิงเทรา ก็ไม่ไกลจากกรุงเทพ มีที่ให้แวะจะสายบุญ สายชิว สายช้อป อย่าลืมต้องปักหมุด Bang Khla Cafe  น่าจะเป็นร้านที่ต้องห้ามพลาดอีกร้านนึง   🥤 ข้อมูลร้าน Bang Khla Cafe (บางคล้า คาเฟ่ แอนด์เรสเตอรอง) พิกัด : https://goo.gl/maps/PdDyCEt8HkPbrVUP8 ที่อยู่ : 2 ถ.ระเบียบอนุสรณ์ ต.บางคล้า อ.บางคล้า จ.ฉะเชิงเทรา ร้านเปิดบริการ : 08.00 - 20.00 น. โทร : 08-2510-4538 ที่จอดรถ : มี เว็บไซต์ : https://www.facebook.com/bangkhlacafe-105062425325074/     ร้านแนะนำ RISE COFFEE กาแฟดีที่ เพลินจิต Know Name Cafe กินหมูกระทะสไตล์อเมริกันที่รังสิต 4 แอปสั่งอาหาร อิ่มแบบจุกๆ ส่งฟรี มีโปรฯ แถมสิทธิ์คนละครึ่ง  
รู้ทุกเรื่องของระบบ Blockchain ด้วยแบบจำลอง (ตอนที่1) [VDO]

รู้ทุกเรื่องของระบบ Blockchain ด้วยแบบจำลอง (ตอนที่1) [VDO]

รู้ทุกเรื่องของระบบ Blockchain ด้วยแบบจำลอง (ตอนที่1) ก่อนหน้านี้ เราเคยนำเสนอบทความ Blockchain คืออะไร? เกี่ยวอะไรกับ Bitcoin – Crypto ซึ่งเป็นการอธิบายถึงเทคโนโลยีของระบบ Blockchain ว่าได้เข้ามาช่วยแก้ปัญหาอะไรได้บ้าง และหลักการทำงานของ Blockchain เป็นอย่างไรบ้าง   แต่เพื่อความเข้าใจระบบ Blockchain และเห็นภาพการทำงานที่ชัดเจน ในบทความนี้จึงจะมาอธิบายถึงการทำงานของระบบ Blockchain ด้วยแบบจำลองการทำงานของระบบ Blockchain ผ่านเว็บไซต์ https://andres.com  ซึ่งเราสามารถทดลองเปลี่ยนแปลงค่าต่าง ๆ ได้ เพื่อการเรียนรู้วิธีการทำงานของระบบ Blockchain ได้ง่ายขึ้น โดยที่เราไม่จำเป็นต้องมีความรู้ ความเข้าใจในการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ก็สามารถทดลองเข้าไปใช้งานได้     เริ่มต้นจากการที่เราได้เข้าไปยังเว็บไซต์ดังกล่าว เมื่อเข้าไปยังเว็บไซต์แล้ว จะเห็นว่ามีการแบ่งตัวอย่างการทำงานของ Blockchain ออกเป็น 6 หัวข้อด้วยกัน (เมนูด้านบนขวามือ จะแสดงหัวข้อต่าง ๆ บนหน้าเว็บไซต์)   การ Hash ข้อมูลด้วย SHA256 โดยเราจะมาเริ่มกันที่การ Hash ข้อมูลกันก่อน สำหรับตัวอย่างการ Hash ข้อมูลในเว็บนี้ จะเป็นการใช้อัลกอริทึม SHA256 ในการ Hash ข้อมูลออกมา โดยตัว SHA256 นี้ก็จะเป็นอัลกอริทึมเดียวกันกับตัว Blockchain ของ Bitcoin ใช้ในการ Hash ข้อมูล โดย SHA256 จะถูกใช้ Hash ข้อมูลในส่วน Data ซึ่งผลจะออกมาเป็นรหัส Hash ตามรูปในตัวอย่าง    โดยเราจะมาทำการลองทดสอบคุณสมบัติของ Hash ว่ามีคุณสมบัติอะไรบ้าง เริ่มต้นด้วยการใส่ข้อมูลไปเรื่อย ๆ ซึ่งจะพบว่า เมื่อเราใส่ข้อมูลไปในส่วนของ Data ไปทุกครั้ง รหัสของ Hash ก็จะมีการเปลี่ยนแปลงไปทุกครั้งเช่นกัน ​โดยความยามของรหัส Hash จะยังคงเท่าเดิมเสมอ และข้อมูลที่จะใส่เข้าไปสามารถใส่ได้ไม่จำกัด ใส่ข้อไปมากแค่ไหนก็ได้   ต่อมาจะมาดูคุณสมบัติถัดไปของการ Hash ซึ่งรหัสของ Hash ที่ดูว่าเป็นรหัสมั่ว ๆ ไม่มีความหมายอะไร แต่จริง ๆ แล้วรหัส Hash ไม่ได้มั่ว เพราะหน้าตาของรหัส Hash จะออกมาเหมือนเดิมเสมอ ตาม Data ที่เราใส่เข้าไป ถ้าเราใส่ Data ชุดเดิม รหัสของ Hash ก็จะกลับมาเป็นแบบเดิมเสมอ คุณสมบัติของ Hash อันนึงก็คือ ตัว Hash ไม่สามารถถูกคาดเดาโดย Data ที่ใส่เข้ามาในส่วนของ Data ได้เลย เพราะเมื่อใส่ข้อมูลใหม่ที่ไม่เหมือนเดิมเพียงเล็กน้อย รหัส Hash ก็จะเปลี่ยนแปลงไปโดยไม่เหลือเค้าโครงเดิมเลย ซึ่งคุณสมบัตินี้ ก็เป็นหนึ่งในคุณสมบัติของการรักษาความปลอดภัยในระบบ Blockchain   การต่อยอดฟังก์ชั่นการใช้งาน Hash ระบบ Blockchain มีการต่อยอดฟังก์ชั่นการใช้งานของ Hash ในการทำงานของ Block อย่างไรบ้าง ซึ่งในส่วนของ Block เมื่อเราเข้ามาแล้วจะเห็นข้อมูลเพิ่มเติมมาจากการ Hash ดังนี้ อันที่ 1 คือ หมายเลข Block อันที่ 2 คือ ตัวเลข Nonce อันที่ 3 คือ Data ช่องสำหรับใส่ข้อมูล ซึ่งเหมือนเดิม อันที่ 4 คือ ตัวเลข Hash เหมือนเดิม แต่จะสังเกตเห็นว่า ตัวเลข Hash เป็นตัวเลข 0 จำนวน 4 ตัว ซึ่งไม่ใช่ Hash แบบปกติ ซึ่งตัว Hash ที่มี 0000 นำหน้าเช่นนี้ จะมีความหมายว่าข้อมูลใน Block มีการถูกบันทึกลงไปใน Block เรียบร้อยแล้ว หรือก็คือ มีการถูก Sign ลงไปแล้ว   เมื่อลองทดสอบใส่ข้อมูลลงไปในช่อง Data สิ่งแรกที่เกิดขึ้น รหัสของ Hash ที่เคยนำหน้าด้วย 0000 ได้เปลี่ยนไปเป็นแบบอื่นแล้ว และพื้นหลังของ Block ได้เปลี่ยนจากสีเขียวไปเป็นสีแดงแล้ว ซึ่งหมายความว่าตอนนี้ข้อมูล ไม่ได้มีการถูก Sign ลงไปใน Block แล้ว หรือไม่ได้ถูกบันทึกลงไปใน Block เมื่อเป็นแบบนี้ เรามีวิธีอย่างไรในการทำให้ข้อมูลที่มีการเปลี่ยนแปลง มีการถูก Sign ลงไปใน Block   สำหรับวิธีการทำ คือ การเปลี่ยนตัวเลขของ Nonce ไปเรื่อย ๆ ด้วยวิธีการสุ่มตัวเลข จนกว่าเราจะได้รหัส Hash ซึ่งเป็น 0000 นำหน้า ข้อมูลใน Block ถึงจะถูก Sign ลงไป ซึ่งถือว่าต้องใช้ระยะเวลานานกว่าจะเจอตัวเลขดังกล่าว ซึ่งในระบบ Blockchain ก็จะใช้หลักการที่เรียกว่า Mining ด้วยการใช้ตัวคอมพิวเตอร์ ในการสุ่มหาตัวเลข โดยตัวอย่างหากกดตรงปุ่ม Mine จะเป็นการ Mining ซึ่งจะทำการ Mining ที่ต้องใช้ระยะเวลาประมาณหนึ่ง และจะได้ตัวเลข Nonce ออกมาเป็น 85869 แล้วจะได้ตัวเลข Hash ที่มี 0000 นำหน้า และพื้นสกรีนด้านหลังจะเปลี่ยนจากสีแดงมาเป็นสีเขียว หมายความว่าตัวข้อมูลใน Block มีการถูก Sign ลงไปเรียบร้อยแล้ว   กรณีที่เราเปลี่ยนตัวเลขของ Block จะเห็นว่าต้องทำการ Mining ใหม่เช่นกัน เพราะมีทำให้ตัวเลขรหัสของ Hash เปลี่ยนแปลงไป  จะเห็นว่าตัวข้อมูลที่มีผลต่อการ Hash จะมีทั้งหมายเลขของ Block  ตัวเลข Nonce และตัว Data ที่เราใส่เข้าไป   หากสังเกต จะเห็นว่าตัวเลข Nonce จะทำหน้าหน้าที่คล้าย ๆ กับตัวเลขที่เป็นคำตอบของ Block​ นี้ เพื่อที่จะได้ทำให้ ตัวข้อมูลมีการถูกบันทึกลงไปใน Block ได้ ซึ่งในระบบ Blockchain ของ Bitcoin ก็คือ ใครที่สามารถหาตัวเลข Nonce เป็นคนแรก ก็จะได้ตัว Bitcoin เป็น Reward ไป   การเชื่อมโยงข้อมูลของระบบ Blockchain เมื่อเรากดไปที่หัวข้อ Blockchain เพื่อเข้ามาที่หน้า Blockchain จะเห็นข้อมูลในแต่ละ Block ซึ่งเราได้ทำการศึกษารายละเอียดไปก่อนหน้านี้ มีลักษณะการเรียงต่อ ๆ กัน เป็น Blockc1 Block2 Block3 Block4 และ Block5 แล้วจะเห็นว่าข้อมูลของแต่ Block จะมีช่อง Prev ซึ่ง คือข้อมูล Hash ของ Block ก่อนหน้า เนื่องจากว่าระบบ Blockchain จะใช้ตัว Hash ของ Block ก่อนหน้าเป็นค่าตั้งต้นสำหรับ Block ถัดไป   กรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลใน Block สุดท้าย ก็จะต้องทำการ Mining ใหม่เหมือนเดิม แต่จะทำการ Mining เฉพาะ Block5  หากกรณีเปลี่ยนข้อมูล Block3 จะเกิดการเปลี่ยนแปลงของ Block3 Block4 Block5 ซึ่งไม่สามารถบันทึกข้อมูลของ Block3 Block4 Block5 ได้ เพราะตัวเลขนำหน้าของ Hash ทั้ง  3 Block ไม่ใช่เลข 0000 วิธีการแก้ไขเพื่อให้ทั้ง 3 Block สามารถบันทึกข้อมูลได้ คือ ต้องทำการ Mining ใหม่ตั้งแต่ Block3 แล้วทำการ Mining ใน Block4 แม้ว่าไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลใน Data ก็ตาม และสุดท้ายต้องทำการ Mining ใน Block5 ต่อไป   จะสังเกตเห็นว่า ยิ่งเราไปแก้ไขข้อมูลใน Block ที่อยู่อันดับต้น ๆ มากเท่าไร เรายิ่งต้องทำการ Mining ในแต่ละ Block มากขึ้นเท่านั้น ซึ่งเป็นวิธีการที่ระบบ Blockchain ใช้ในการป้องกันการแก้ไขข้อมูล   แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่า ระบบ Blockchain มีการแก้ไขข้อมูล แล้วถูก Remind ใหม่พวกนี้ มีการถูก Remind ข้อมูลในระบบ Blockchain เข้าไปใน Node อื่น ๆ ด้วยหรือไม่ หรือหากเราต้องการอยากทราบว่าข้อมูลระบบ Blockchain ที่เรามีอยู่ มีความถูกต้องหรือไม่ สามารถจะทำการตรวจสอบได้อย่างไร   หลักการทำงาน Distributed Blockchain สำหรับตัวอย่างของ Distributed Blockchain จะมีการแบ่งข้อมูลออกเป็น 3 Blockchain คือ Peer A Peer B Peer C โดยเบื้องต้นข้อมูลของทั้ง 3 คนนี้จะมีลักษณะข้อมูลที่เหมือนกัน โดยจะสังเกตุได้ที่ตัว Hash ตัว Block5 จะเป็น 0000 แล้วก็ E4 B9     ในส่วนของ Peer B ก็เช่นกัน Hash ตัวสุดท้ายก็เป็น E4 B9 Peer C ก็เหมือนกันมีข้อมูล Hash เหมือนกันข้อมูลตัวสุดท้ายเป็น E4 B9  ข้อมูล Hash ก่อนหน้านี้ก็เหมือนกันทุกประการ ในแต่ละ Block แล้วกรณีที่ Peer B มีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลไป เช่น   ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลใน Block สุดท้าย ถ้าเป็นเช่นนี้ ตัวระบบจะสามารถตรวจสอบได้ทันทีว่า ข้อมูลของ Blockchain ของ Peer B เป็นข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง เพราะว่า ตัว Hash ตัวสุดท้ายไม่ได้ขึ้นต้นด้วย 0000 แต่ถึงแม้ตัว Peer B ทำการ Mining ข้อมูล เพื่อให้มี 0000 ออกมา ก็จะสังเกตเห็นว่าตัว Hash ตัวสุดท้าย ของ Peer A เป็น 0000 แล้วก็ E4 B9 แต่ว่าตัว Hash ตัวสุดท้ายของ Peer B เป็น 28 BC ขณะที่ Peer C ยังเป็นตัวเลขเดิม คือ E4 B9   เมื่อเป็นแบบนี้ ด้วยระบบ Blockchain ก็สามารถตรวจสอบได้ทันทีว่าข้อมูลของ ตัว B ว่ามีความแตกต่างจาก Blockchain ของตัวอื่น เพราะฉะนั้น Blockchain ของตัว B ก็จะถือว่าเป็นข้อมูลที่ไม่มีความถูกต้อง เพราะมีสัดส่วนเพียง 1 ใน 3 ของข้อมูลทั้งหมด และในหลักการของ Blockchain ที่จะยึดถือ ข้อมูลของเสียงส่วนมากเป็นหลัก ก็จะทำให้ตัว ข้อมูลของ A และ C เป็นข้อมูลที่มีความถูกต้อง ในขณะที่ B เป็นข้อมูลที่ไม่มีความถูกต้อง     โดยระบบ Blockchain ของ Bitcoin ในปัจจุบัน ก็จะมีการ กระจายข้อมูลของ Blockchain ไปยังหน่วยต่าง ๆ ทั่วโลก ก็จะทำให้ Node ต่าง ๆทั่วโลกสามารถ ช่วยกันตรวจสอบข้อมูลกันได้ง่ายขึ้น ซึ่งปกติจะมาเช็คที่ Hash ตัวสุดท้ายก่อนเลย ว่ามีข้อมูลของการ Hash ตรงกันหรือเปล่า แล้วถ้าเกิดสมมุติว่ามี Node ไหน ที่มีข้อมูล แตกต่างจาก Node อื่น ๆ ก็จะสามารถตรวจสอบได้ว่าข้อมูลที่แตกต่างกัน เกิดขึ้นที่ Block ไหน ด้วยการตรวจสอบผ่านทางรหัส Hash   ทั้งหมดนี้ ก็เป็นตัวอย่างการทำงานของ Blockchain แต่จากตัวอย่างที่เห็น ในส่วนของ Data จะเป็นเพียงการกรอกข้อมูลมั่ว ๆ ไม่ได้มีความหมายอะไร แต่ตัวอย่างถัดไป เราจะมาดูตัวอย่าง การโอนเงินด้วยระบบ Blockchain ผ่านทางหัวข้อ Tokens ตรงนี้     Tokens แบบจำลองการโอนเงิน ในส่วนหัวข้อ Tokens ตรงนี้ การบันทึกข้อมูลในส่วนของ Data จะเปลี่ยนเป็น Transaction โดยข้อมูลในส่วนของ Transaction ก็จะมีการระบุ ใครโอนเงินให้ใคร เป็นจำนวนเงินเท่าไร แล้วจะเห็นได้ว่า ขนาด Transaction ในแต่ละ Block จะมีขนาดข้อมูลไม่เท่ากัน เนื่องจากว่าขนาดข้อมูลในแต่ละ Block ไม่จำเป็นต้องมีขนาดเท่ากัน  คุณสมบัติแบบ Distributed ก็มีอยู่เช่นเดิม มีการเก็บข้อมูลแบบกระจายกัน แล้วตัว Hash ก็ต้องมีรหัสตัว Hash ที่เหมือนกันด้วย แล้วถ้าหากมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลใน Block ใดก็ตาม  เราก็ต้องมาทำการ Mining เพื่อหาตัว Hash ใหม่เช่นเดิม   แต่จากตัวอย่างเราจะเห็นแค่การโอนเงินจากใครไปให้ใคร เป็นจำนวนเงินเท่าไร และการเงินเกิดขึ้นใน Block ไหน แต่เราไม่ได้มีการตรวจสอบเลยว่า แล้วคนที่โอนจำนวนเงิน เช่น Dracy โอนเงินให้ Bingley จำนวน 25 เหรียญ Darcy มีจำนวนเงินเพียงพอจริง ๆ หรือเปล่า ที่จะโอนเงินให้ทาง Bingley จำนวน 25 เหรียญ ซึ่งตัวอย่างการตรวจสอบว่าทาง Dracy มีเงินเพียงพอหรือเปล่า เราจะไปดูกันที่ตัวอย่างในหัวข้อ Coinbase (แถบเมนูด้านบนขวามือ)     ที่นี่เรามาดูกันที่ Coinbase Transaction สำหรับ Coinbase ไม่ได้หมายถึงตัวเว็บไซต์ที่ให้ซื้อขายCryptocurrency แต่หมายถึง Transaction แรกที่เกิดขึ้นในระบบ โดยจากตัวอย่าง จะเห็นว่า Transaction แรกที่เกิดขึ้น คือ ระบบมีการสร้างจำนวนเงินขึ้นมา 100 เหรียญ เพื่อโอนให้ทาง Anders แล้วถัดมา Anders ก็มีการโอนจำนวนเงิน ให้กับคนอื่น ๆ ต่อไป โดยจะสังเกตว่า จำนวนเวินที่ Anders จะโอนเงินให้คนอื่นได้ก็ไม่ควรเกิน 100 เหรียญ แล้วจำนวนเงินในระบบก็ไม่ควรที่จะเกิน 100 เหรียญเช่นกัน   โดยจากข้อมูลตรงนี้ ก็จะเห็นว่ามีการโอนเงินไปเรื่อย ๆ แล้วข้อมูลจาก Blockchain เราสามารถที่จะคิดย้อนกลับ โดยเช็คในแต่ละคนได้นะว่าแต่ละคน มีเงินเพียงพอจริง ๆ หรือไม่ ที่จะโอนให้คนอื่นต่อไป อย่างเช่น Jackson โอนเงินให้  Alexander  2 เหรียญ เราก็ต้องมาดูก่อนหน้านี้ว่า Jackson มีการได้รับเงินจากใครมาก่อนด้วยหรือเปล่า เราจะเห็นว่า Jackson ก็เคยได้รับเงินมาจากทาง Emily แล้วทาง Madison แล้วเคยได้รับเงินจาก Sophia ใน Block นี้เช่นกัน ซึ่งจะเห็นได้ว่า ข้อมูลการรับโอนเงินในระบบ Blockchain จะทำให้เราสามารถตรวจสอบได้ว่า เงินเคยโอนจากใครไปหาใคร แล้วคน ๆ นั้น มีเงินจำนวนเท่านั้นจริง ๆ หรือเปล่า ที่จะสามารถโอนต่อให้คนอื่นได้     สมมุติทาง Anders มีการไปเปลี่ยนข้อมูลใน Blockchain ของตัวเอง ว่าตัวเองได้เงิน จากระบบ 1,000 เหรียญ จะเห็นว่าตัว Hash มีค่าเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งจะไม่ตรงกับตัว Hash ใน Peer อื่น ๆ ในระบบ Blockchain  ก็จะทำให้ข้อมูล Peer A ถูกตีตกไปด้วยระบบ เพราะว่าระบบจะมองว่าข้อมูลตัวนี้ไม่ถูกต้อง   ทั้งหมดเป็นตัวอย่างการทำงานของระบบ Blockchain ที่เราได้เรียนรู้การ Hash ข้อมูล การบันทึกข้อมูลลงใน Block การเชื่อมโยงข้อมูลเป็น chain รวมถึงการกระจายศูนย์รวมการเก็บข้อมูล หรือที่เรียกว่า Distributed ledger รวมถึงตัวอย่างการโอนเงินผ่านระบบ Blockchain ว่ามีแบบจำลองหน้าตาประมาณไหน แต่นั่นยังไม่ใช่ทั้งหมดของเว็บไซต์นี้ ในส่วนของเว็บไซต์นี้ยังมีแบบจำลองการทำงาน ในส่วน Private Key แล้วตัว Public Key ซึ่งเป็นตัวฟังก์ชั่นสำคัญในการโอนเงินในระบบ Blockchain ซึ่งสามารถติดตามต่อในบทความต่อไป   บทความที่เกี่ยวข้อง Blockchain คืออะไร? เกี่ยวอะไรกับ Bitcoin – Crypto Blockchain มีกี่ประเภท? เรื่องต้องรู้ก่อนเข้าสู่โลกการเงินดิจิทัล ไขทุกข้อสงสัย การโอน Crypto กับ E-Banking ต่างกันยังไง? เรื่องต้องรู้ ETH Smart Contract คืออะไร? Coin VS Token เหมือน หรือ ต่าง อย่างไร? ETFs แค่เข้าใจ ก็ลงทุน Bitcoin ได้ไม่ยาก Bitcoin Wallet คืออะไร? จะเสี่ยงแค่ไหน? ถ้าคอมพิวเตอร์โดยขโมย!! ทำไมต้อง IPO ทำไปเพื่ออะไร? – เข้าใจการระดมทุนใน SET ด้วย IPO Bitcoin กับการฟอกเงินและอาชญากรรม DeFi นวัตกรรมการเงินดิจิทัล ที่ไม่ต้องง้อธนาคาร Chainlink กับบทบาทและความสำคัญในโลกการเงินดิจิทัล รู้จักกับ STO อีกวิธีของการระดมเงินทุน ทั้งรวดเร็วและปลอดภัย รู้จัก Yield Farming เพื่อการลงทุนคริปโทให้กำไรงอกเงย Liquidity Pool คืออะไร สำคัญแค่ไหนในวงการ Cryptocurrency รู้จักกับ LUKSO เทคโนโลยี Blockchain เพื่อไลฟ์สไตล์ยุคดิจิทัล Impermanent Loss คืออะไร เข้าใจเรื่องเสี่ยงขาดทุนในการฟาร์ม Compound Finance การปล่อยกู้เพื่อสร้างกำไรในคริปโทฯ ถ้าไม่เข้าใจ ICO อย่าพึ่งลงทุนใน Crypto  
รวมวิธีประหยัดไฟ รับมือค่าไฟฟ้าขึ้นราคา 4 บาท กับสารพัดวิธีเซฟเงินในกระเป๋า

รวมวิธีประหยัดไฟ รับมือค่าไฟฟ้าขึ้นราคา 4 บาท กับสารพัดวิธีเซฟเงินในกระเป๋า

วิธีประหยัดไฟ หลายคนคงได้ยินข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ออกมาแล้วว่า จะมีการปรับขึ้นค่าไฟฟ้า โดยจะเรียกเก็บค่าไฟฟ้ารอบเดือนพฤษภาคม-สิงหาคม ในอัตรา 24.77 สตางค์ต่อหน่วย เป็นผลมาจากการคำนวณเอฟทีงวดนี้เพิ่มขึ้น 23.38 สตางค์ต่อหน่วย รวมกับการเก็บค่าเอฟทีรอบก่อนหน้าในช่วงเดือนกันยายน-ธันวาคม 2564  อัตรา 1.39 สตางค์ต่อหน่วย และเมื่อรวมกับค่าไฟฐาน 3.76 บาทต่อหน่วย ทำให้ประชาชนต้องจ่ายจริง 4.00 บาทต่อหน่วย เพิ่มขึ้น 5.82% ถือเป็นตัวเลขสูงสุดจากอดีตมา     วิธี​ประหยัดไฟ น่าจะเป็นหนทางที่ดีที่สุด สำหรับประชาชนที่จะรับมือกับค่าไฟฟ้าที่เพิ่มสูงขึ้น เพราะเราสามารถทำได้เอง และเห็นผลได้อย่างรวดเร็ว คำว่าการประหยัดไฟ ไม่ได้หมายถึงการเลิกใช้ไฟฟ้า แต่เป็นวิธีการใช้ไฟฟ้าให้เกิดประโยชน์สูงสุด และมีประสิทธิภาพสูงสุด เรียกว่าต้องใช้ไฟฟ้าให้คุ้มค่า อะไรลดได้ต้องลด อะไรประหยัดได้ต้องประหยัดนั่นเอง   วิธีประหยัดไฟ มีหลากหลายวิธีด้วยกัน ไม่ใช่มีแค่วิธีการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าประหยัดไฟเบอร์ 5 เท่านั้น แต่ยังมีอีกมากมายสารพัดวิธี รวมถึงเรื่องบางเรื่องที่เราอาจจะมองข้ามไป ไม่คิดว่าจะส่งผลต่อการประหยัดค่าไฟฟ้าได้ อย่างเช่น การปลูกต้นไม้ให้ร่มเงากับตัวบ้าน หรือการเลือกใช้สีทาบ้านสะท้อนความร้อน ซึ่งวิธีการเหล่านี้อาจจะไม่ได้ช่วยลดค่าไฟฟ้าได้โดยตรง แต่เป็นการช่วยทำให้บ้านเย็นขึ้น ทำให้เราไม่ต้องเปิดเครื่องปรับอากาศ อาจจะเปิดแค่พัดลมซึ่งกินไฟน้อยกว่าก็ได้ หรืออาจจะเปิดเครื่องปรับอากาศ แต่เมื่อบ้านเย็นแอร์ก็ไม่ต้องทำงานหนัก ใช้ไฟฟ้าก็น้อยลง เป็นต้น   สำหรับวิธีประหยัดไฟ Reviewyourliving นำเสนอบทความ สาระ ความรู้ต่าง ๆ มาโดยตลอดและมีมาต่อเนื่อง วันนี้จึงจะรวบรวมเอาบทความทั้งหมด มาไว้ในที่เดียว เพื่อให้ผู้อ่านได้ใช้เทคนิค และวิธีประหยัดไฟ เอาไปปรับใช้กันในหน้าร้อนนี้ จะได้รับมือกับค่าไฟฟ้าขึ้นราคา 4 บาทต่อหน่วย ให้ไม่ต้องควักเงินในกระเป๋ามากนัก เช็คอุปกรณ์ไฟฟ้า อะไรกินไฟสูงสุด เริ่มต้นเราคงต้องมาดูก่อนว่า อุปกรณ์ไฟฟ้าชนิดไหน ที่ใช้ไฟฟ้าเยอะ เปลืองค่าไฟมากกว่าเพื่อน กับบทความต่าง ๆ ดังนี้ -บทความ “Top 5 เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ดูดเงินในกระเป๋าคุณ แบบร้องไห้หนักมาก” 1.เครื่องใช้ไฟฟ้ากินไฟ อันดับ 1 “เครื่องปรับอากาศ” 2.เครื่องใช้ไฟฟ้าตัวเล็กกินไฟ “เครื่องทำน้ำอุ่น” 3.ตู้เย็น เครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีกันทุกบ้าน 4.เครื่องซักผ้า เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ต้องใช้ให้ดี 5.เครื่องใช้ไฟฟ้าที่เลี่ยงไม่ได้ “เตารีด”   อ่านรายละเอียดของบทความเพิ่มเติมได้ที่ Top 5 เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ดูดเงินในกระเป๋าคุณ แบบร้องไห้หนักมาก -บทความ “เปิดทิ้งไว้ 1 ชั่วโมง เสียค่าไฟเท่าไหร่” แล้วเครื่องไฟฟ้าแต่ละชนิดกินไฟฟ้ามากแค่ไหน โดยเราคำนวณให้ดูแล้วหากเปิดใช้ 1 ชั่วโมง เรามาตรวจสอบกัน เปิดทิ้งไว้ 1 ชม. เสียค่าไฟเท่าไหร่ พัดลมตั้งพื้น 12-18 นิ้วค่าไฟ 0.15-0.25 บาท พัดลมตั้งพื้น  70-104 วัตต์ ค่าไฟ 0.50-0.75 บาท ตู้เย็น 2 ประตู 5.5 -12.2 คิว ค่าไฟ 0.30-0.40 บาท โทรทัศน์ LED 43-65 นิ้ว ค่าไฟ 0.40- 1 บาท เตารีดไฟฟ้าขนาด 1000-2800 วัตต์ค่าไฟ 3.5-10 บาท เครื่องปิ้งขนมปัง 760-900 วัตต์ค่าไฟ 3-3.5 บาท เตาปิ้ง 1-2 หัว ขนาดเตา 2000-3500 วัตต์ ค่าไฟ 8-14 บาท เครื่องซักผ้า 10 KG ค่าไฟ 2-8 บาท เครื่องอบผ้า 650-2,500 วัตต์ ค่าไฟ 3-10 บาท หม้อหุงข้าว 1.0-1.8 ลิตร ค่าไฟ 3-6 บาท ไมโครเวฟ 20-30 ลิตร ค่าไฟ 3-4 บาท เครื่องปรับอากาศ 9,000-22,000 BTU ค่าไฟ 2.5-6 บาท ไดร์เป่าผม  1,600-2,300 วัตต์ค่าไฟ 6-9 บาท เครื่องทำน้ำอุ่น 3,500-6,000 วัตต์ค่าไฟ 13.5-23.5 บาท เครื่องดูดฝุ่น 1,400-2,000 วัตต์ค่าไฟ 6-8 บาท   อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม เปิดทิ้งไว้ 1 ชั่วโมง เสียค่าไฟเท่าไหร่ รวมวิธีประหยัดค่าไฟ แบบสบายกระเป๋า พอเราเช็คแล้วว่า ต้นเหตุค่าไฟพุ่งสูง คือ เหล่าบรรดาเครื่องใช้ไฟฟ้าที่กินไฟเราแต่ละเดือนจำนวนมาก เราต้องเสียค่าไฟไปไม่น้อย คราวนี้ก็มาดูกันว่า จะมีวิธีประหยัดค่าไฟฟ้าได้อย่างไร กับบทความต่าง ๆ ดังนี้ -บทความ “How to #save ประหยัดค่าไฟช่วงหน้าร้อน” ในบทความนี้ เรามี วิธีประหยัดค่าไฟฟ้าในบ้าน และประหยัดเงินในกระเป๋าคุณด้วย 8 เครื่องใช้ไฟฟ้า กับ วิธีประหยัดค่าไฟในบ้านมาให้ได้ลองทำตามกันดู ​ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม How to #save ประหยัดค่าไฟช่วงหน้าร้อน -บทความ “6 วิธีประหยัดค่าไฟในช่วงหน้าร้อน” บทความนี้มี 6 วิธีประหยัดค่าไฟ ในช่วงหน้าร้อน มานำเสนอ ​ได้แก่ 1.ปรับอุณหภูมิไม่ต่ำกว่า 25 องศาเซลเซียสเสมอ 2.เครื่องใช้ไฟฟ้าเก่า เลิกใช้ซะ 3.ทำความสะอาดตู้เย็นให้หมดจด 4.ถอดปลั๊กทุกครั้งเมื่อไม่ใช้งาน 5.มาใช้หลอดไฟ LED กันเถอะ 6.ใช้ไฟฟ้าในช่วงเวลาที่ปริมาณการใช้ไฟน้อย   ส่วนรายละเอียดเพิ่มเติม อ่านต่อได้ที่ 6 วิธีประหยัดค่าไฟในช่วงหน้าร้อน   -บทความ “9 วิธีแต่งบ้านคลายร้อน ช่วยให้บ้านเย็นน่าอยู่ อากาศสบายไม่อบอ้าว” การแต่งบ้าน ก็เป็นวิธีที่ช่วยทำให้บ้านเย็น และมีประโยชน์ทำให้ประหยัดค่าไฟได้ทางอ้อมด้วยนะ 1.ติดกันสาดกันแดด 2.ใช้หลังคาป้องกันความร้อน 3.ปลูกต้นไม้ให้ร่มเงา 4.เปิดหน้าต่างระบายอากาศ 5.ติดพัดลมเพดาน 6.เลี่ยงการปูพรม 7.เลือกใช้หลอด LED 8.ทาผนังด้วยสีโทนเย็น 9.ติดพัดลมอากาศในห้องน้ำ   อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม 9 วิธีแต่งบ้านคลายร้อน ช่วยให้บ้านเย็นน่าอยู่ อากาศสบายไม่อบอ้าว -บทความ “ทางลัดลดค่าไฟ 15 วิธีจัดห้องนอนให้เย็นสบายโดยไม่เปิดแอร์” บางครั้ง วิธีประหยัดไฟ อาจจะทำเรื่องอื่น ๆ ที่ไม่ได้เกี่ยวกับเครื่องใช้ไฟฟ้าโดยตรงก็ได้ ก็เป็นการประหยัดค่าไฟฟ้าได้เหมือนกัน ซึ่งบทความนี้มี 15 วิธีมาบอกเล่าเช่นกัน ดังนี้ 1.เปลี่ยนชุดเครื่องนอนให้เป็นผ้าคอตตอน 2.ดื่มน้ำก่อนเข้านอน 3.เปลี่ยนหมอนใหม่ 4.จัดทิศพัดลมให้ถูก เพื่อดูดความร้อนออกนอกบ้าน 5.แขวนผ้าเปียกที่หน้าต่างช่วยปรับอากาศให้เย็นลง 6.วางก้อนน้ำแข็งไว้หน้าพัดลม 7.นอนคนเดียวบ้าง ก็ทำให้อุณหภูมิลดลง 8.เปลี่ยนเตียงนอนบ้างเพื่อให้อากาศหมุนรอบตัวเรา 9.เลือกซื้อชุดนอนแบบผ้าคอตตอนมาสวมใส่ 10.อาบน้ำก่อนนอนช่วยลดอุณหภูมิในร่างกาย 11.ปิดไฟก่อนนอนช่วยลดปริมาณความร้อนได้ 12.วางถังน้ำไว้แช่เท้าไว้ที่ปลายเตียง 13.นอนชั้นล่างอากาศจะเย็นที่สุด 14.ดึงปลั๊กไฟที่ไม่ใช้งานออกให้หมด 15.ทำแอร์ใช้เอง   อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม ทางลัดลดค่าไฟ 15 วิธีจัดห้องนอนให้เย็นสบายโดยไม่เปิดแอร์ -บทความ “5 วิธีลดร้อนให้บ้าน” นอกจากนี้ เรายังมีการนำเสนอเทคนิคและวิธีการอีก 5 วิธีที่ไม่น่าเชื่อว่าจะช่วยลดความร้อนให้บ้านได้ แถมยังมีผลกับการช่วยลดค่าไฟฟ้าได้อีกด้วย ดังนี้ 1.Façade ช่วยได้ 2.ติดฟิลม์กรองแสงลดความร้อนสิ! 3.เปลี่ยนผ้าม่าน ชีวิตก็เปลี่ยน… 4.ต้นไม้ก็ช่วยได้นะ 5.ติดฉนวนกันความร้อน   อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม 5 วิธีลดร้อนให้บ้าน -บทความ “ลดความร้อนที่ผนังก่ออิฐฉาบปูนได้อย่างไรบ้าง” ส่วนบทความนี้ เป็นวิธีที่ใช้ได้ผลจริง แต่อาจจะต้องลงทุนเพิ่ม และต้องพึ่งพาช่างผู้ชำนาญการเข้ามาช่วย เป็นงานที่เราอาจจะทำเองไม่ได้ แต่ก็ช่วยทำให้บ้านเย็น และประหยัดพลังงานไฟฟ้าได้ด้วย อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้​ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม ลดความร้อนที่ผนังก่ออิฐฉาบปูนได้อย่างไรบ้าง ทั้งหมดนี้ ก็เป็นบทความ สาระ ความรู้ ที่เราเคยนำเสนอไว้แล้ว แต่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปแค่ไหน ก็ยังมีประโยชน์ และช่วยให้ประหยัดค่าไฟได้จริง ไม่เชื่อต้องลองทำตามและพิสูจน์ด้วยตัวคุณเอง
ไขข้อสงสัย? บ้านแบบไหนเหมาะกับ การติดโซลาร์เซลล์ และ 7 เรื่องควรรู้

ไขข้อสงสัย? บ้านแบบไหนเหมาะกับ การติดโซลาร์เซลล์ และ 7 เรื่องควรรู้

การติดโซลาร์เซลล์ การติดโซลาร์เซลล์ บนหลังคาอาคาร หรือที่พักอาศัย เป็นแนวทางหนึ่งที่เข้ามาช่วยประหยัดค่าไฟฟ้าได้อย่างมาก โดยเฉพาะหากคิดถึงความคุ้มค่าในระยะยาว เพราะเป็นการลงทุนครั้งเดียว และเป็นการใช้พลังงานธรรมชาติที่ไม่ต้องลงทุนเพิ่มเติม ยกเว้นแต่การดูแลรักษา และการซ่อมบำรุงตามอายุการใช้งาน โดยเฉพาะตอนนี้อากาศเมืองไทยร้อนกันสุด ๆ แดดแรงแทบจะเผาผิวเราให้ไหม้ได้เลย ถ้าขืนไปยืนอยู่กลางแดดนาน ๆ โดยไม่ได้มีการป้องกัน ทำให้คนส่วนใหญ่เลือกจะอยู่แต่ภายในอาคาร เปิดเครื่องปรับอากาศเย็น ๆ เพื่อความสบายตัว ลดความเสี่ยงออกไปสัมผัสอากาศร้อนภายนอก   เมื่อต้องอยู่แต่ภายในอาคาร หรือบ้านเรือน ที่พักอาศัย แถมต้องเปิดเครื่องปรับอากาศ หรือ พัดลมเป็นเวลานาน ๆ แน่นอน ค่าไฟฟ้าเพิ่มสูงขึ้นแน่นอน แม้ว่าจะใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าแบบประหยัดไฟเบอร์ 5 ก็ตาม แต่ช่วงหน้าร้อนแบบนี้ ค่าไฟฟ้าสูงขึ้นสูงสุดของปี การติดโซลาร์เซลล์ จึงน่าจะเป็นตัวช่วยที่ดีในการประหยัดค่าไฟฟ้า บ้านแบบไหนเหมาะกับ การติดโซลาร์เซลล์ ระบบโซลาร์เซลล์ หรือระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ถือเป็นพลังงานทางเลือกที่ได้รับความนิยมมากขึ้น​ เพราะนอกจากจะเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมแล้ว ปัจจุบันราคายังถูกลงกว่าในอดีตค่อนข้างมาก และยิ่งในระยะยาวก็มีความคุ้มค่า เพราะเป็นการลงทุนครั้งเดียว ไม่นับรวมกับการซ่อมบำรุง และในอนาคตโซลาร์จะเป็นหนึ่งในพลังงานที่สามารถทดแทนพลังงานหลักได้หากมีความต้องการใช้ไฟฟ้าที่มากขึ้น   ปัจจุบันดีเวลลอปเปอร์ที่พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย ก็ใชระบบโซลาร์เซลล์ ที่มีการติดตั้งตามอาคารหรือบ้านมาเป็นหนึ่งจุดขายสำคัญ เพราะช่วยทำให้คนที่อยู่บ้านลดค่าใช้จ่ายจากค่าไฟฟ้าลงได้มาก ทำให้ระบบโซลาร์เซลล์ ได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่วนบ้านไหนที่ยังไม่ได้ติดตั้งโซลาร์เซลล์ แล้วมีความสนใจที่จะนำมาติดตั้งบ้าง คงต้องศึกษาข้อมูลและวัดความคุ้มค่าดูก่อน เพื่อใช้เป็นเกณฑ์ปรกอบการตัดสินใจ เพราะแม้ว่าปัจจุบันราคาโซลาร์เซลล์จะถูกลง แต่ก็ต้องใช้งบประมาณมากพอสมควร ​   สำหรับบ้านที่จะติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ เพื่อใช้พลังงานแสงอาทิตย์ ควรมีพื้นที่บนหลังคาหรือดาดฟ้าที่รับแสงได้ดี โดยทิศใต้จะรับแสงได้ดีที่สุด ส่วนทิศเหนือจะรับแสงได้น้อยที่สุด การติดตั้งจะใช้พื้นที่ประมาณ 14 – 18 ตารางเมตรขึ้นไป และพื้นที่ติดตั้งต้องรับน้ำหนักได้ประมาณ 20 กิโลกรัมต่อตารางเมตรขึ้นไปด้วย ซึ่งบ้านที่เหมาะกับการติดตั้งระบบโซลาร์จะเป็นบ้านแบบไหนบ้าง มาดูกัน -บ้านที่มีการใช้ไฟระหว่างวันมาก เช่น บ้านที่มีผู้อยู่อาศัยช่วงเวลากลางวัน อาคารโฮมออฟฟิศ ร้านอาหารที่มีการเปิดแอร์ตลอดวัน ส่วนใครที่ใช้รถยนต์ไฟฟ้า การชาร์จแบตเตอรี่รถยนต์ช่วงกลางวันถือว่าเหมาะมาก เพราะเป็นช่วงที่สามารถใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์ได้เต็มที่ ช่วยลดการใช้ไฟจากการไฟฟ้าได้เป็นอย่างดี -เจ้าของบ้านที่อยากมีส่วนร่วมในการใช้พลังงานสะอาด และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยการติดตั้งระบบโซลาร์จะช่วยลดการเกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซเรือนกระจกได้ นอกจากนี้ การติดโซลาร์เซลล์ยังช่วยให้บ้านเย็นขึ้นด้วย เพราะเหมือนมีหลังคาอีกชั้นช่วยบังแดดไว้ -บ้านที่ต้องการประหยัดค่าไฟในระยะยาว การติดโซลาร์ เป็นการตอบรับการมาของโลกยุคดิจิทัล ที่ค่าไฟมีแนวโน้มสูงขึ้นทุกปี โดยบ้านที่มีค่าไฟเกิน 3,000 บาทต่อเดือน มีความเหมาะสมที่จะติดโซลาร์เซลล์ 7 ข้อต้องรู้ในการติดตั้งโซลาร์เซลล์ สำหรับบ้านไหน หรืออาคารไหน ที่ต้องการจะติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ หรือโซลาร์รูฟท็อป คงต้องทำการศึกษาหาข้อดีข้อเสีย วางแผนด้านการติดตั้ง เพราะว่าจะต้องมีขั้นตอนการขออนุญาตจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการวางแผนงบประมาณ  ข้อมูลด้านการใช้งาน การดูแล และบำรุงรักษา เพื่อจะได้เข้าใจระบบการทำงาน ลดปัญหาที่จะเกิดขึ้นภายหลังด้วย โดยแนวทางการติดโซลาร์เซลล์  มี 7 เรื่องสำคัญที่จะต้องทำความเข้าใจ และต้องปฏิบัติ ดังนี้ 1.เช็คพฤติกรรมการใช้ไฟฟ้าในบ้านด้วย บิลค่าไฟฟ้าย้อนหลัง 3 เดือน – 1 ปี ก่อนจะหาสเปคแผงโซลาร์เซลล์ หรือคิดว่าบ้านเราจะต้องติดตั้งกี่แผงดี? หยุดความคิดนั้นก่อน เพราะสิ่งที่ต้องทำอันดับหนึ่งคือต้องคำนวนว่าบ้านเราใช้ไฟฟ้ามากน้อยแค่ไหน ด้วยการดูบิลค่าไฟฟ้าย้อนหลัง 3 เดือน – 1 ปี เพราะพฤติกรรมการใช้ไฟฟ้าของเราจะเป็นเหมือนแนวทางให้เราสามารถตัดสินใจได้ว่าเราจะติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ที่มีกำลังผลิตเท่าไร 2.สำรวจปริมาณการใช้ไฟฟ้าทั้งกลางวันและกลางคืน ลองดูว่าปริมาณที่เราใช้ไฟฟ้าในตอนกลางวันมากน้อยแค่ไหน เอามาเปรียบเทียบกับปริมาณการใช้ไฟฟ้าในตอนกลางคืน เราจะได้เห็นว่าถ้าเราจะสามารถลดค่าไฟฟ้าช่วงกลางวันไปได้เท่าไรหากติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป 3.เช็คค่าใช้จ่ายในการติดตั้ง สำหรับค่าใช้จ่ายในการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ ขอเปรียบเทียบกับข้อมูล ดังนี้ หากเราต้องการติดตั้งโซลาร์เซลล์ที่มีกำลังติดตั้ง 1,000 วัตต์ จะมีค่าใช้จ่ายเริ่มต้นที่ 25,000 บาท ถึง 35,000 บาท ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่รวมทุกๆอย่างแล้วทั้ง ค่าบริการติดตั้ง ค่าใช้จ่ายในการขออนุญาตติดตั้ง ทั้งนี้ การติดตั้ง 1,000 วัตต์หรือ 1 กิโลวัตต์ สามารถลดค่าไฟฟ้าได้ประมาณ 500-800 บาทต่อเดือน 4.สำรวจพื้นที่สำหรับติดตั้งและการยื่นเรื่องขออนุญาตติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ เมื่อเราสำรวจการใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน และเลือกปริมาณในการผลิตแล้ว ให้เราแจ้งขออนุญาตติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ที่เขตโยธาท้องถิ่นที่เราอาศัยอยู่ ทางเขตโยธาจะส่งวิศวกรมาสำรวจหลังคาบ้านของเราว่ามีความพร้อมติดตั้งหรือไม่ หรือจะต้องซ่อมแซมหลังคา หรือต้องเพิ่มเติมอะไรเพื่อให้ติดตั้งแผงได้โดยปลอดภัย หลังจากเช็คความพร้อมของหลังคาบ้านแล้ว เราจะต้องทำเรื่องขออนุญาตการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) หรือการไฟฟ้านครหลวง(กฟน.)ในเขตพื้นที่ ที่บ้านเราตั้งอยู่โดยส่งแบบแปลน 2 แบบไปให้การไฟฟ้าฯ พิจารณา แบบที่1 เรียกว่า “ส่งแบบ Single Line Diagram” เป็นแปลนระบบไฟฟ้า และ 2 เป็นแปลนอินเวอร์เตอร์ 5.ยื่นเรื่องกับคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน เมื่อเราได้รับการพิจารณาจากเขตโยธาท้องถิ่น และการไฟฟ้าฯเรียบร้อยแล้ว ให้เรานำเอกสารที่ได้รับมายื่นเรื่องต่อไปที่ คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เพราะเป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่ รับเรื่องและให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการขอใบอนุญาตการประกอบกิจการ พลังงานตามประเภท ขนาดและลักษณะของกิจการพลังงาน ตลอดจน ตรวจสอบการและสนับสนุนการดำเนินการตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขการออกใบอนุญาตทั้งก่อนและหลังในเขตพื้นที่ที่รับผิดชอบ กกพ.จะพิจารณาว่าเราสามารถติดตั้งโซลาร์เซลล์ได้หรือไม่ 6.เริ่มติดตั้งโซลาร์เซลล์  ขั้นตอนที่ 6 นี้เป็นขั้นตอนที่สำคัญเพราะเราจะต้องเริ่มขึ้นหลังคาแล้ว โดยเราจะต้องเตรียมตัวดังนี้ -เลือกทีมช่างที่มีความชำนาญการ เลือกใช้บริษัทที่มีความน่าเชื่อถือ มีประวัติการติดตั้ง และเคยรับงานมากน้อยแค่ไหน ลักษณะงานขนาดเล็กใหญ่แค่ไหน -เลือกใช้อินเวอร์เตอร์ที่มีคุณภาพ -เลือกแผงโซลาร์เซลล์และรุ่นของแผงที่เหมาะสม เมื่อช่างมาติดตั้ง เราจะต้องเช็คว่าสิ่งที่ช่างแนะนำก่อนหน้านี้ กับอุปกรณ์ที่นำมาติดจริงตรงกันหรือไม่  อย่างไรก็ดียังไม่ต้องกังวลไป เพราะจะมีวิศวกรจากโยธาเขตท้องถิ่นมาตรวจเช็คอีกครั้ง ว่าอุปกรณ์ได้มาตรฐานหรือไม่ 7.การใช้งาน การดูแลรักษา และการรีไซเคิล เมื่อติดตั้งแล้วเสร็จ ก็เป็นหน้าที่ของเราเจ้าของบ้านที่จะเป็นคนดูแลรักษา เบื้องต้นคือการล้างแผงโซลาร์เซลล์ไม่ให้มีฝุ่นหรือสิ่งสกปรกมาเกาะเพราะจะลดประสิทธิภาพการผลิตพลังงานไฟฟ้าของแผงโซลาร์เซลล์เพียงแค่ใช้น้ำสะอาดฉีดล้างและใช้ผ้าเช็ดให้แห้ง แผงโซลาร์เซลล์จะสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าให้กับบ้านเรานานประมาณ 25 ปีโดยมาตรฐาน  (หากดูแลรักษาดีสามารถใช้งานนานถึง 30 ปี) เมื่อแผงโซลาร์หมดอายุการใช้งานแล้วก็จะต้องนำแผงเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลแผงโซลาร์ซึ่งปัจจุบันมีเทคโนโลยีนำร่องที่สามารถรีไซเคิลแผงโซลาร์เซลล์ได้แล้ว   ทั้งหมดนี้เป็นข้อมูลสำหรับการใช้พิจาณา และประกอบการตัดสินใจ รวมถึงขั้นตอนการดำเนินการติดตั้ง  ซึ่งบ้านไหนจะติดตั้งโซลาร์เซลล์ ก็ควรหาข้อมูลให้รอบด้าน ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ และดำเนินการต่าง ๆ ให้ถูกต้อง เพื่อที่จะได้มีพลังงานได้ใช้ในต้นทุนที่ประหยัดลง   CR : SCB, Greenpace Thailand อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง SENA ส่ง “ทาวน์โฮมติดโซลาร์” 1 กิโลวัตต์ รับกระแส Work Form Home
7 ปัจจัยเลือกซื้อที่อยู่อาศัย ของคนยุคดิจิทัล

7 ปัจจัยเลือกซื้อที่อยู่อาศัย ของคนยุคดิจิทัล

ปัจจัยเลือกซื้อที่อยู่อาศัย นับตั้งแต่มีการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 วิถีชีวิตของคนในยุคปัจจุบัน ก็เปลี่ยนไปมากมาย ไม่ใช่แค่ไลฟ์สไตล์เวลาอยู่นอกบ้าน ที่จะต้องสวมหน้ากากอนามัย ล้างมือให้สะอาดบ่อย ๆ เข้าสถานที่ต่าง ๆ ต้องตรวจวัดอุณหภูมิ และการเว้นระยะห่างทางสังคม แต่การอยู่อาศัยในบ้านก็เปลี่ยนแปลงไป ในลักษณะเช่นเดียวกัน เมื่อพฤติกรรมและไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของคนยุคโควิด-19 เปลี่ยนไปเช่นนี้ ย่อมส่งผลถึงการเลือกที่อยู่อาศัย ซึ่งให้ความสำคัญกับบ้านที่เข้ามาตอบสนองวิถีชีวิต ภายใต้สถานการณ์โรคระบาดเช่นนี้ ซึ่งมีแนวทางการเลือกอยู่อาศัยในบ้านที่ไม่ได้เหมือนในอดีตแล้ว  จึงถือเป็นหน้าที่สำคัญที่บรรดาดีเวลลอปเปอร์ จะต้องพัฒนาที่อยู่อาศัยออกมา ให้ตรงกับความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไป   จากแบบสอบถาม DDproperty’s Thailand Consumer Sentiment Study ล่าสุด ที่เผยให้เห็นทัศนคติและพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปจากผลกระทบของโควิด-19 โดย 2 ใน 3 ของผู้บริโภค หรือ สัดส่วน 66% เห็นว่า ต้องหลีกเลี่ยงการอยู่ในพื้นที่แออัด  ขณะที่ความเห็นเกือบครึ่ง หรือสัดส่วน 42%  เลือกที่จะหลีกเลี่ยงการไปรับประทานอาหารนอกบ้านบ่อย ๆ โดยเกือบ 1 ใน 3 ของผู้บริโภค หรือสัดส่วน 31% ยังคงกังวลใจเกี่ยวกับการแพร่ระบาด เนื่องจากผู้ใกล้ชิดจะได้รับผลกระทบ และมีเพียง 1% เท่านั้นที่ผู้บริโภคมองว่าโควิด-19 ไม่ได้มีผลต่อการดำเนินชีวิตของพวกเขาเลย   สำหรับผลกระทบต่อการอยู่อาศัย ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาด ที่ส่งผลในเรื่องการเลือกซื้อที่อยู่อาศัย จาก​ แบบสอบถามความคิดเห็นของผู้บริโภคที่มีต่อตลาดที่อยู่อาศัย DDproperty’s Thailand Consumer Sentiment Study รอบล่าสุด  ระบุว่า ผลกระทบของโควิด-19 ที่กลายมาเป็นปัจจัยเร่งให้ผู้บริโภคเปลี่ยนมุมมองและพฤติกรรมการเลือกที่อยู่อาศัยไปจากก่อนยุค New Normal โดยมองหาบ้านที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตยุคใหม่ด้วยเช่นกัน  ซึ่งสรุปออกมาเป็น 7 ปัจจัยเลือกซื้อที่อยู่อาศัย หรือก็คือ ปัจจัยที่ผู้บริโภคใช้เป็นเกณฑ์ตัดสินใจในการเลือกซื้อที่อยู่อาศัยนั่นเอง 7 ปัจจัยเลือกซื้อที่อยู่อาศัย ของคนยุคดิจิทัล 1.Work from Home กับการลาออกครั้งใหญ่ ในช่วงมีการแพร่ระบาดหนัก ๆ มาตรการทำงานจากที่บ้าน หรือ Work from Home เป็นวิธีหลักที่แทบทุกองค์กรนำมาใช้ เพื่อให้ธุรกิจยังเดินหน้าขณะที่พนักงานก็ปลอดภัย ไม่เสี่ยงต่อการได้รับเชื้อโรค มีหลายองค์กรที่ใช้มาตรการ Work from Home นานนับปี ทำให้ปัจจุบันพนักงานจำนวนมาก คุ้นชินกับวิถีชีวิตแบบนี้ และยังมองว่าเป็นแนวทางการทำงานที่ปลอดภัย ทั้งต่อตัวเองและบุคคลในครอบครัวด้วย   การสำรวจพบว่า ผู้บริโภคมากกว่าครึ่ง (59%) ตั้งใจหางานที่อนุญาตให้ Work from Home ได้มากขึ้น เนื่องจากเห็นความสำคัญของการได้ใช้ชีวิตกับครอบครัวและต้องการรักษาระยะห่างในสังคม นอกจากนี้ในช่วง Work from Home ที่ผ่านมา ผู้บริโภคต่างได้ปรับปรุงพื้นที่ใช้สอยเพื่อสร้างบรรยากาศที่บ้านให้รองรับการทำงานออนไลน์ไปแล้ว จึงอาจยังไม่เห็นความจำเป็นในการกลับไปทำงานที่ออฟฟิศ ในสหรัฐอเมริกา พบว่า เกิดกระแสการลาออกระลอกใหญ่ของมนุษย์เงินเดือน (The Great Resignation) หลังจากสถานการณ์โรคระบาดคลี่คลาย และมีการกลับมาทำงานที่ออฟฟิศเหมือนเดิม ในประเทศไทยก็มีโอกาสจะเกิดขึ้นแบบนี้ได้เช่นกัน​ หากองค์กรให้พนักงานกลับมาทำงานที่ออฟฟิศเหมือนเดิม ขณะที่ยังมีการแพร่ระบาดของโรคจำนวนมาก 2.คนเลือกซื้ออสังหาฯ ผ่านโลกออนไลน์ มากขึ้น ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19  เครื่องมือทางการตลาดสำคัญอย่างหนึ่ง ที่ทุกองค์กรหยิบมาใช้ คือ การตลาดออนไลน์ ซึ่งเป็นเครื่องมือเข้าถึงคนได้ง่ายและปลอดภัย บริษัทอสังหาริมทรัพย์แทบจะทุกบริษัทก็ได้เอาการลาดออนไลน์ มาใช้เป็นช่องทางการซื้อขายที่อยู่อาศัย หรือบริหารการตลาด  ทำให้ออนไลน์ที่เดิมเป็นเพียงแหล่งค้นหาข้อมูลโครงการที่อยู่อาศัย กลายมาเป็นเครื่องมือในการซื้อขายสำคัญ ​ โดยมากกว่าครึ่งของผู้บริโภคเลือกใช้ช่องทางออนไลน์ในการคัดเลือกโครงการที่อยู่อาศัยที่สนใจ (54%) และเยี่ยมชมโครงการเสมือนจริง (52%) นอกจากนี้ยังพบว่า 1 ใน 5 ของผู้บริโภค (20%) มีการเซ็นสัญญาซื้อขายผ่านออนไลน์ สะท้อนให้เห็นการปรับตัวและใช้ประโยชน์จากโลกออนไลน์ทั้งในฝั่งผู้ซื้อและผู้ขายได้เป็นอย่างดี แน่นอนว่า หากโครงการไหนไม่มีช่องทางออนไลน์  คงไม่ไดอยู่ในลิสต์ที่ผู้บริโภคจะเลือกซื้อแน่นอน 3.Cryptocurrency เพิ่มโอกาสให้คนรุ่นใหม่ซื้อบ้าน   การเข้ามามีบทบาทของสกุลเงินดิจิทัล หรือ Cryptocurrency ที่นอกจากจะเป็นการลงทุนที่เห็นผลตอบแทนเร็วแล้ว ผลตอบแทนจากการลงทุนในสกุลเงินนี้ยังถือเป็นช่องทางที่สร้างโอกาสให้คนรุ่นใหม่ได้เป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยที่มีราคาสูงได้ง่ายขึ้นอีกด้วย จากแบบสอบถามฯ พบว่า มากกว่าครึ่งของผู้บริโภค (57%) สนใจที่จะใช้สกุลเงินดิจิทัลในการซื้อบ้าน/คอนโดฯ โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ซึ่งเปิดรับเทคโนโลยีและเรียนรู้สิ่งใหม่ได้เร็วนั้น มีแนวโน้มสนใจซื้อบ้านด้วยสกุลเงินดิจิทัลสูงตามไปด้วย โดยกลุ่มช่วงอายุ 22-29 ปี ให้ความสนใจถึง 71% ในขณะที่ช่วงอายุ 30-39 ปี สนใจถึง 61% 4.“มาตรการภาครัฐ” ปัจจัยบวกกระตุ้นซื้อบ้าน   มาตรการภาครัฐ ถือเป็นปัจจัยบวกกระตุ้นความต้องการซื้อบ้าน และปัจจัยเลือกซื้อที่อยู่อาศัย จากสภาพเศรษฐกิจยังคงไม่ฟื้นตัว ผู้บริโภคจึงเลือกที่จะวางแผนการเงินอย่างรัดกุมและชะลอการใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นออกไปก่อน เพราะต้องการรักษากระแสเงินสดเอาไว้ มาตรการจากภาครัฐที่ออกมา อาทิ การลดค่าโอนกรรมสิทธิ์และค่าจดจำนองทั้งบ้านใหม่และบ้านมือสอง การผ่อนคลายมาตรการควบคุมสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (LTV) ชั่วคราวของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้กลายเป็นปัจจัยบวกที่มีแนวโน้มจะส่งผลให้ความต้องการซื้อของผู้บริโภคเติบโต   โดย 7 ใน 10 ของผู้บริโภคเผยว่าตั้งใจจะซื้อที่อยู่อาศัยในอนาคต หลังจากที่ผู้บริโภคได้มีการปรับตัวและเรียนรู้ที่จะอยู่กับโควิด-19 ได้ดีขึ้น ประกอบกับช่วงที่ผ่านมาต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้างที่อยู่อาศัยเริ่มปรับตัวสูงขึ้น และผู้พัฒนาอสังหาฯ มีแนวโน้มปรับราคาขายเพิ่มขึ้นเช่นกัน รวมไปถึงผลกระทบจากปัญหาความขัดแย้งนอกประเทศที่อาจส่งผลให้แนวโน้มราคาสินค้าและภาวะเงินเฟ้อในไทยปรับตัวสูงขึ้น ได้กลายเป็นอีกปัจจัยเร่งให้เกิดการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัย เห็นได้จากการที่ผู้บริโภควางแผนซื้อที่อยู่อาศัยภายใน 2 ปีมีถึง 45% ซึ่งเพิ่มขึ้นจากผลสำรวจรอบที่แล้ว (39%) สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการซื้อบ้านที่มีแนวโน้มสูงขึ้น 5.วางแผนรองรับแผนเกษียณ   คนวางแผนซื้อบ้านเพื่อรองรับแผนเกษียณ เป็นอีกปัจจัยที่มาช่วยตัดสินใจการเลือกซื้อที่อยู่อาศัยของคนยุคปัจจุบัน เพราะจากการสอบถาม  พบผู้บริโภคมากกว่า 3 ใน 4 (78%) ที่เป็นเจ้าของบ้านอยู่แล้วยังคงต้องการซื้อที่อยู่อาศัยเพิ่ม โดยมองว่าการซื้ออสังหาฯ เพิ่มนั้นไม่ได้ตอบโจทย์การอยู่อาศัยเท่านั้น แต่วางแผนต่อยอดการใช้ชีวิตเพื่อความมั่นคงในอนาคตด้วย โดยเป้าหมายยอดนิยมของการซื้อบ้านเพิ่มอันดับต้น ๆ ของผู้บริโภค คือ ซื้อไว้รองรับแผนเกษียณอายุในอนาคต (31%) ตามมาด้วยการซื้อให้ญาติหรือพี่น้อง (28%) และซื้อปล่อยเช่าสร้างรายได้ระยะยาว (26%) นอกจากนี้ ยังพบว่า 46% ของผู้บริโภคที่เป็นเจ้าของบ้านปัจจุบันนั้นยังมีแผนที่จะซื้อที่อยู่อาศัยเพิ่มภายในช่วง 1 ปีข้างหน้านี้ สะท้อนให้เห็นว่ากลุ่มผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อและมีความพร้อมทางการเงินกลับมามีความมั่นใจที่จะจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น 6.บ้านต้องส่งเสริม “สุขภาพ” ปัจจัยเรื่องของสุขภาพ เป็นเทรนด์ที่มีมาก่อนหน้าจะเกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 แล้ว เมื่อเกิดสถานการณ์โรคระบาดขึ้น ยิ่งเข้ามาตอกย้ำเพิ่มน้ำหนักในเรื่องนี้มากขึ้น คนส่วนใหญ่​เกือบ 2 ใน 3 ของผู้บริโภคปัจจุบัน (63%) หันมาให้ความสำคัญกับไลฟ์สไตล์ที่ส่งเสริมการสร้างสุขภาพที่ดีอย่างต่อเนื่อง โดยมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นในกลุ่มผู้สูงอายุ เนื่องจากมองว่าการมีร่างกายที่แข็งแรงและพฤติกรรมสุขภาพที่ดีจะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกาย และช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อไวรัส นอกจากการดูแลสุขภาพแล้ว ผู้บริโภคส่วนใหญ่ยังตระหนักถึงความสำคัญของการมีสถานบริการสุขภาพอยู่ใกล้ที่อยู่อาศัยแม้ว่าการแพร่ระบาดฯ จะหมดไปก็ตาม โดยแผนการดูแลสุขภาพในอนาคตของผู้บริโภคถึง 88% เผยว่าต้องการเช่าหรือซื้อที่อยู่อาศัยที่อยู่ใกล้โรงพยาบาลมากที่สุด ตามมาด้วย 45% มองหาที่อยู่อาศัยใกล้ร้านขายยา และ 37% มองหาที่อยู่อาศัยใกล้ศูนย์บริการด้านสุขภาพเฉพาะทาง เพื่อวางแผนรองรับการใช้ชีวิตระยะยาวที่ต้องการความสะดวกสบายในการเดินทางไปพบแพทย์หรือตรวจเช็กสุขภาพ 7.รถยนต์ไฟฟ้าตัวแปรสำคัญเมื่อคิดซื้อบ้าน   รถยนต์ไฟฟ้าเป็นเทรนด์ที่ยังมาแรงไม่มีตก ยิ่งช่วงที่ผ่านมาราคาเชื้อเพลิงปรับตัวขึ้นสูง และภาครัฐมีการกำหนดทิศทางการพัฒนาและขับเคลื่อนมาตรการสนับสนุนฯ รถยนต์ไฟฟ้าที่ชัดเจนมากขึ้น ทำให้คนสนใจการใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น และนับจากนี้จะเป็นปัจจัยสำคัญที่คนจะเลือกซื้อบ้าน ด้วยการดูว่าโครงการมีการเตรียมอุปกรณ์รองรับกับการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าหรือไม่  ตัวแปรสำคัญเมื่อคิดซื้อบ้าน เมื่อน ส่งผลให้กระแสความสนใจซื้อรถยนต์ไฟฟ้าในไทยกลับมาอีกครั้ง จากผลสำรวจ พบว่า โดย 2 ใน 3 ของคนหาบ้าน (67%) เผยว่ายินดีที่จะจ่ายเงินเพิ่มขึ้นเพื่อซื้อบ้าน/คอนโดฯ ที่มีจุดชาร์จรถยนต์ไฟฟ้ารองรับ เนื่องจากผู้บริโภคคำนึงถึงความยั่งยืนของการใช้ชีวิตในอนาคต การซื้อที่อยู่อาศัยแต่ละครั้งถือเป็นเรื่องใหญ่ จึงต้องคิดอย่างรอบคอบ มองไปถึงฟังก์ชั่นการใช้งานที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตในระยะยาวให้ได้มากที่สุด นอกจากนี้ รถยนต์ไฟฟ้ายังช่วยลดค่าใช้จ่ายในการเติมน้ำมันที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายได้อีกทางหนึ่ง ถือเป็น ปัจจัยเลือกซื้อที่อยู่อาศัย สำคัญในสถานการณ์เช่นนี้   ทั้งหมดนี้ ก็คงกล่าวได้ว่า เป็น 7 ปัจจัยเลือกซื้อที่อยู่อาศัย ที่สำคัญซึ่งผู้บริโภคยุคการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จะใช้เป็นเกณฑ์ในการเลือกซื้อที่อยู่อาศัย หรือใช้ตัดสินใจว่าจะเลือกซื้อโครงการไหนดี ในขณะเดียวกัน ผู้ประกอบการก็เอาปัจจัยทั้งหมด มาเป็นแนวทางการพัฒนาโครงการในอนาคตด้วย เพราะต้องตอบสนองความต้องการของลูกค้า เพื่อสร้างยอดขายและกำไรอย่างต่อเนื่องนั่นเอง   CR: DDproperty   บทความที่เกี่ยวข้อง 7 วิธีปรับปรุงบ้านเพื่อผู้สูงอายุ ด้วยตัวเอง
ถ้าไม่เข้าใจ ICO อย่าพึ่งลงทุนใน Crypto [VDO]

ถ้าไม่เข้าใจ ICO อย่าพึ่งลงทุนใน Crypto [VDO]

ถ้าไม่เข้าใจ ICO อย่าพึ่งลงทุนใน Crypto การเริ่มต้นธุรกิจแค่มี “ไอเดีย” ที่ดีอย่างเดียว คงอาจจะไม่เพียงพอ เพราะหนึ่งใน “หัวใจ” สำคัญอย่างหนึ่ง ที่จะทำให้ไอเดียดี ๆ เกิดขึ้นจริงได้ คือ เงินทุน ซึ่งการได้มาของเงินทุน ก็มีหลากหลายวิธี สิ่งหนึ่งที่มักถูกใช้ คือ การระดมทุนจากนักลงทุนทั่วไปที่สนใจในธุรกิจหรือไอเดียนั้น ๆ ด้วยการขายหุ้น หรือแม้แต่บริษัทที่ดำเนินธุรกิจมาแล้ว แต่ต้องการขยายธุรกิจให้ใหญ่โตมากขึ้น ก็มักจะระดมทุนด้วยการขายหุ้นผ่านตลาดหลักทรัพย์ ที่เรียกว่า IPO ซึ่งเราเคยนำเสนอบทความไว้ก่อนหน้านี้แล้ว   ปัจจุบันโลกการเงินไม่ได้มีแค่เงินรูปแบบกระดาษหรือเงินปกติทั่วไป แต่ยังมีโลกการเงินดิจิทัล หรือ Cryptocurrency เข้ามามีส่วนสำคัญในการผลักดันให้เกิดธุรกิจใหม่ หรือต่อยอดจากธุรกิจเดิม ทำให้ “เงินทุน” ที่ต้องการระดมทุน ไม่ได้มาในรูปแบบเงินปกติทั่วไป แต่มาในรูปแบบของเงินดิจิทัลด้วย ซึ่งบทความนี้จะมาอธิบายถึงวิธีการระดมทุนของเงินดิจิทัล หรือที่เรียกว่า ICO ย่อมาจาก​ Initial Coin Offering คือการระดมทุน แบบดิจิทัล ด้วยการเสนอขาย ดิจิทัลโทเคน (Digital Token) ผ่านระบบ Blockchain ต่อประชาชนทั่วไป   ICO วิธีระดมเงินทุนในโลก Cryptocurrency เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนถึงวิธีการระดมทุนด้วยวิธีการ ICO ขอนำเสนอตัวอย่าง ตามรายละเอียดดังนี้ มี Developer ต้องการพัฒนา ICO Project ขึ้นมา ซึ่งมีความพร้อมในการพัฒนา แต่มีปัญหาขาดเงินทุน จึงต้องการระดมทุนมาเพื่อพัฒนา Project โดยวิธีการระดมทุนตามตัวอย่าง เป็นการใช้ Smart Contract ของ ETH ซึ่งวิธีการระดมทุนจะมีขั้นตอน เริ่มจาก Developer จะต้องเขียน Smart Contract ขึ้นมา และมีการกำหนดเป้าหมายเงินทุนที่ต้องการ รวมถึงอัตราแลกเปลี่ยนระหว่าง ETH กับ Token เช่น นักลงทุนจ่าย ETH มา 1 ETH ก็อาจจะได้รับ Token จำนวนเท่ากับ 100 Token   โดยจะพบว่า ICO Project ทุก Project ที่ถูกพัฒนาขึ้นมา จะต้องมีองค์ประกอบสำคัญ คือ Developer(นักพัฒนา), Investor (นักลงทุน) และ User (ผู้ใช้งาน) ซึ่งใช้ Token เป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยนเงินลงทุน ทำงานอยู่บนระบบ Blockchain เวลามีการโอน Token ระหว่างกันของคนทั้ง 3 กลุ่ม จะมีการตรวจสอบความถูกต้องของจำนวนเงินที่ระดมทุน ด้วยระบบ Blockchain   ระดมทุนด้วย ICO Project มีวิธีการอย่างไร เมื่อมีนักลงทุนสนใจที่จะลงทุนใน ICO Project นี้ สิ่งที่นักลงทุนต้องทำเป็นสิ่งแรก คือ การโอนตัว ETH มาที่ตัว Smart Contract แล้วตัว Smart Contract จะทำการรวบรวมตัว ETH แล้วคอยตรวจสอบ ETH ที่ได้รับจากนักลงทุนว่าถึงตามเป้าหมายที่ Developer ต้องการแล้วหรือยัง ถ้าตัว Smart Contract มีการสะสมตัว ETH จากนักลงทุนครบตามจำนวนที่Developer กำหนดไว้ ตัว Smart Contract จะทำการส่งตัว ETH ที่ได้รับไปให้ Developer แล้วทำการโอน Token ตามอัตราแลกเปลี่ยนที่กำหนดไว้ใน Smart Contract ไปยังนักลงทุนแต่ละราย   แต่ถ้ากรณีที่ Smart Contract ไม่สามารถรวบรวมตัว ETH ได้ตามจำนวนที่ Developer กำหนดไว้ ตามกำหนดระยะเวลา เช่น กำหนดระยะเวลาการระดมทุนไว้ 10 วัน ทาง Smart Contract ก็ยังไม่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนมากพอ ที่จะสะสมตัว ETH ได้ครบ ทาง Smart Contract ก็จะทำการโอนตัว ETH กลับไปยังนักลงทุนแต่ละคน และทาง Developer ก็จะไม่ได้อะไร เพราะไม่สามารถระดมทุนได้ตามเป้าหมายที่กำหนด โดยจะเห็นว่าการระดมทุนผ่าน Smart Contract ให้ผลตอบแทนผ่านทาง Token   ตัวอย่างที่กล่าวมาทั้งหมด เป็นหนึ่งในรูปแบบการระดมทุนด้วย Smart Contract ผ่านระบบ Blockchain ของ ETH ปัจจุบันยังมีการระดมทุนด้วย Smart Contract อื่น ๆ หรือตัวเหรียญอื่น ๆ อีกหลายประเภท เปลี่ยน Token เป็นเงินทุนเพื่อพัฒนา Project สมมติกรณีที่ Developer สามารถระดมทุนได้เหรียญมาตามกำหนดและเสร็จสิ้นการตรวจสอบแล้ว ทาง Developer ต้องการนำตัว ETH ไปพัฒนา Project แต่บางทีตัว ETH ก็ไม่สามารถนำไปซื้อสินค้า หรืออุปกรณ์​ หรือว่าจ้างคนมาพัฒนา Project ร่วมกันได้ Developer ก็ต้องการช่องทางในการเปลี่ยนตัว ETH มาเป็น Currency หรือเงินต่าง ๆ อย่างเช่น ดอลล่าร์ หรือเงินบาท เพื่อนำมาใช้พัฒนา Project ได้ ส่วนนักลงทุนก็เช่นกัน เมื่อได้รับ Token มาแล้วก็ต้องการขายตัว Token เพื่อทำกำไร สำหรับ User ก็เช่นกัน ถ้าเกิดตัว Project มีการพัฒนาไปจนเกิดการใช้งานแล้ว ตัว User ก็ต้องการช่องทางไปซื้อตัว Token เพื่อนำ Token มาใช้บริการในตัว ICO Project ที่พัฒนาขึ้นมา ซึ่งตัวที่จะมาแก้ปัญหาเหล่านี้ให้กับ Developer , Investor และ User คือ Crypto Exchange หรือ Web Exchange นั่นเอง อย่างพวก Binance, Bitkub, Satang Pro และ BX   EXPERTY ตัวอย่าง ICO Project สำหรับ EXPERTY คือ ตัวอย่าง ICO Project ที่ได้พัฒนาออกมา และระดมทุนออก Token มาแล้ว ซึ่งมีการนำเสนอข้อมูลอะไรบ้าง และข้อมูลที่นำเสนอให้กับนักลงทุนมีอะไรบ้าง จะมาดูตัวอย่างกัน   กรณีที่ Developer ต้องการระดมทุนด้วยการ ICO Project จะมีการนำเสนอข้อมูลผ่าน White Paper เพื่อนำเสนอข้อมูลให้กับนักลงทุนพิจารณา ซึ่งปกติข้อมูลใน White Paper จะมีข้อมูลต่าง ๆ เช่น ตัว Project พัฒนาขึ้นมาเพื่ออะไร มีการใช้ประโยชน์จาก Smart Contract หรือ Blockchain อย่างไร รวมถึงทิศทางการพัฒนา Project ที่จะมีการไปในทิศทางใด ตามระยะเวลา Time Frame ที่ White Paper เสนอมา รวมถึงการพูดถึงจำนวนเหรียญที่มีการเสนอขายครั้งนี้ รวมถึง Total Supply ทั้งหมด และวัตถุประสงค์การใช้เงินที่ได้จากการระดมทุนว่าจะไปใช้อะไรบ้าง รวมถึงข้อมูลทีมพัฒนา และทีมที่ปรึกษา   จาก White Paper ของ EXPERTY พบว่า Project นี้ต้องการเงินทุน 33,000 ETH โดยตัว EXPERTY มีจำนวนเหรียญเท่ากับ 100 ล้านเหรียญ Token และมีการแบ่งสัดส่วนเหรียญ Token ตามนี้ คือ  1 ใน 3 ออกมาขาย ICO ครั้งนี้ ที่เหลือตามรายละเอียดใน White Paper   นอกจากนี้ ยังมีรายละเอียดว่า EXPERTY มีการทำงานบน Blockchain ETH และวิธีการ ICO ครั้งนี้ สามารถซื้อโดยตรงผ่านทาง ETH ได้ หรือซื้อผ่านทาง Bitcoin โดยใช้ตัว ETH Bitcoin หรือ Fiat Currency ต่าง ๆ เช่น ดอลล่าร์ หรือยูโร ก็สามารถซื้อได้เหมือนกัน ส่วนข้อมูลสำคัญอื่น ๆ เช่น มีทีม Developer มีใครบ้าง โรดแมพการพัฒนาจะไปทิศทางไหน   ตัวอย่าง White Paper ดังกล่าว นักลงทุน ICO Project ควรทำการศึกษา White Paper ก่อนว่าจะพัฒนาไปในทิศทางใด มีการสร้างจำนวนเหรียญ Token เท่าไร มีการเสนอขายเป็นจำนวนเหรียญเท่าไรแล้ว แล้วต้องคิดว่าจะมีคนมาใช้ Project นี้มากน้อยเพียงใด   ​ดังนั้น นักลงทุนจึงควรศึกษารายละเอียดให้รอบครอบ เพื่อใช้การตัดสินใจ และเป็นการลดความเสี่ยงจากการลงทุน เพราะโลกของการลงทุน มีความเสี่ยงอยู่เสมอ   บทความที่เกี่ยวข้อง Blockchain คืออะไร? เกี่ยวอะไรกับ Bitcoin – Crypto Blockchain มีกี่ประเภท? เรื่องต้องรู้ก่อนเข้าสู่โลกการเงินดิจิทัล ไขทุกข้อสงสัย การโอน Crypto กับ E-Banking ต่างกันยังไง? เรื่องต้องรู้ ETH Smart Contract คืออะไร? Coin VS Token เหมือน หรือ ต่าง อย่างไร? ETFs แค่เข้าใจ ก็ลงทุน Bitcoin ได้ไม่ยาก Bitcoin Wallet คืออะไร? จะเสี่ยงแค่ไหน? ถ้าคอมพิวเตอร์โดยขโมย!! ทำไมต้อง IPO ทำไปเพื่ออะไร? – เข้าใจการระดมทุนใน SET ด้วย IPO Bitcoin กับการฟอกเงินและอาชญากรรม DeFi นวัตกรรมการเงินดิจิทัล ที่ไม่ต้องง้อธนาคาร Chainlink กับบทบาทและความสำคัญในโลกการเงินดิจิทัล รู้จักกับ STO อีกวิธีของการระดมเงินทุน ทั้งรวดเร็วและปลอดภัย รู้จัก Yield Farming เพื่อการลงทุนคริปโทให้กำไรงอกเงย Liquidity Pool คืออะไร สำคัญแค่ไหนในวงการ Cryptocurrency รู้จักกับ LUKSO เทคโนโลยี Blockchain เพื่อไลฟ์สไตล์ยุคดิจิทัล Impermanent Loss คืออะไร เข้าใจเรื่องเสี่ยงขาดทุนในการฟาร์ม Compound Finance การปล่อยกู้เพื่อสร้างกำไรในคริปโทฯ  
7 วิธีปรับปรุงบ้านเพื่อผู้สูงอายุ ด้วยตัวเอง

7 วิธีปรับปรุงบ้านเพื่อผู้สูงอายุ ด้วยตัวเอง

ด้วยพัฒนาการทางด้านการแพทย์ที่ล้ำหน้าไปมาก ประกอบกับการดูแลใส่ใจตัวเองของคนยุคปัจจุบัน ส่งผลให้คนส่วนใหญ่มีอายุที่ยืนยาวขึ้น อายุขัยเฉลี่ยของการเสียชีวิตก็เพิ่มขึ้น   โครงสร้างอายุของประชากรในแต่ละประเทศก็ปรับเปลี่ยนไป มีคนสูงอายุเพิ่มมากขึ้น รวมถึงประเทศไทยด้วย เรียกว่าเป็นการก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ยิ่งอัตราการเกิดใหม่ที่ลดน้อยลงด้วย สัดส่วนผู้สูงอายุก็ยิ่งเพิ่มตัวเลขมากขึ้น นายประพันธ์ศักดิ์ รักษ์ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลุมพินี วิสดอม แอนด์ โซลูชั่น จำกัด (LPN Wisdom หรือ LWS)  บริษัทวิจัยและที่ปรึกษาในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในเครือบริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (LPN) ระบุว่า ​ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ รายงานตัวเลขประชากรไทยที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป  ในปี 2573 จะมีมากกว่า 21% เป็นการเข้าสู่ Super Aged Society ในช่วงเวลาดังกล่าว   โดยผู้สูงอายุแบ่งเป็น 2 กลุ่มคือ กลุ่มที่สามารถดูแลตัวเองได้ (Independent Living/Active Aging) กับกลุ่มที่ต้องมีผู้ดูแล (Assisted Living) สำหรับกลุ่มที่ดูแลตัวเองได้ การปรับปรุงสภาพแวดล้อม และที่อยู่อาศัย ให้เหมาะกับการใช้งานจึงเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้ผู้สูงอายุสามารถที่จะใช้ชีวิตได้อย่างปกติ   ในขณะที่กลุ่มที่ต้องมีผู้ดูแลที่จำเป็นต้องเข้าไปอยู่ในสถานบริบาลหรือ Nursing Home Care สถานบริบาล จำเป็นต้องออกแบบพื้นที่ให้เหมาะสมสำหรับการดูแลผู้สูงอายุเช่นกัน   ดังนั้น ทาง LPN Wisdom จึงแนะนำ 7 วิธีปรับปรุงบ้านเพื่อผู้สูงอายุ ด้วยตัวเอง ซึ่งเป็นวิธีการปรับปรุงอย่างง่าย  ตอบโจทย์กับการใช้ชีวิตของผู้สูงอายุในครอบครัว ประกอบด้วย 1.ปรับปรุงห้องน้ำป้องกันลื่นล้ม การปรับปรุงห้องน้ำ เป็นวิธี ปรับปรุงบ้านเพื่อผู้สูงอายุ ที่จำเป็นและต้องทำเป็นอันดับแรก ๆ เพราะเป็นสถานที่สำหรับกิจวัตรประจำวัน ซึ่งใช้วันละหลาย ๆ ครั้ง และเป็นสถานที่เสี่ยงของการเกิดอุบัติเหตุได้ง่ายด้วย จาก​สถิติการเกิดอุบัติเหตุของผู้สูงอายุพบว่า 1 ใน 3 ของผู้สูงอายุ จะเกิดอุบัติเหตุลื่นล้มในห้องน้ำ ดังนั้น ห้องน้ำจึงเป็นพื้นที่แรกในบ้านที่ควรปรับปรุง โดยติดตั้งราวจับช่วยพยุงตัว ใช้กระเบื้องพื้นที่มีผิวหยาบโดยค่ากันลื่นที่ R10 ขึ้นไป เลือกสุขภัณฑ์ที่แข็งแรงไม่แตกหักง่าย โดยเฉพาะโถสุขภัณฑ์ระดับนั่งไม่ควรต่ำเกินไปทำให้ลุกยาก และห้องน้ำควรมีแสงสว่างที่เพียงพอ 2.เลือกเก้าอี้-โซฟาไม่ล้มง่าย   การเลือกเฟอร์นิเจอร์ที่ตอบรับการใช้งานของผู้สูงอายุ ควรเลือกเก้าอี้และโซฟาที่มั่นคงไม่ล้มง่าย เพราะผู้สูงอายุมักจะทิ้งน้ำหนักเพื่อพยุงตัวในขณะลุกหรือนั่ง ที่นั่งตื้นเหมาะกับผู้ที่มีปัญหาหัวเข่า มากกว่าที่นั่งที่ลึก ที่นั่งที่สามารถปรับเอนได้เหมาะกับการพักผ่อนในตอนกลางวัน ที่รองขาจำเป็น ในการยกขาให้สูงขึ้นเพื่อลดอาการเหน็บชาเบาะสามารถถอดซักทำความสะอาดได้ง่าย โต๊ะหรือชั้นวางของควรมีขอบมุมที่มนป้องกันการกระแทก ติดตั้งชั้นวางของที่อยู่ในระยะเอื้อมถึง ไม่สูงเกินไป หลีกเลี่ยงการใช้บันไดปีน และฟูกที่นอนควรสูงจากพื้น 45-50 เซนติเมตร 3.เลือกวัสดุปูพื้นลดแรงกระแทก   พื้นบ้านหรือพื้นห้องนอน เป็นสิ่งที่ต้องทำให้ถูกต้องและเหมาะสมกับการใช้งานของผู้สูงอายุ ซึ่งต้อง​เลือกวัสดุพื้นอุณหภูมิคงที่และลดแรงกระแทก ห้องผู้สูงอายุควรหลีกเลี่ยงการใช้วัสดุที่ถ่ายเทความร้อน-เย็น กับสภาพแวดล้อมเร็วเกินไป เช่น พื้นกระเบื้อง พื้นหิน เพราะเมื่อสัมผัสแล้วรู้สึกไม่สบายตัว ร่างกายต้องปรับอุณหภูมิบ่อยอาจเกิดความเจ็บป่วยได้ง่าย ดังนั้น พื้นไม้ซึ่งอุณหภูมิคงที่จึงเหมาะกว่า ช่วยลดแรงกระแทกหากลื่นล้ม และลายไม้ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย นอกจากนี้ยังมีวัสดุพื้นลดแรงกระแทก ลายไม้ ทำจาก PVC  ก็สามารถใช้ได้เช่นเดียวกัน หากบ้านไหนยังไม่ได้ปรับปรุงพื้นให้เหมาะสม ควรต้องรีบดำเนินการ เพราะเป็น วิธีปรับปรุงบ้านเพื่อผู้สูงอายุ ที่ไม่อาจจะละเลยได้ 4.ติดตั้งราวจับบันได บันไดจำเป็นจะต้องมีราวจับยึดเกาะ ส่วนมือจับประตูเปลี่ยนจากลูกบิดเป็นแบบก้านโยก บันไดเป็นจุดสำคัญที่อาจเกิดอุบัติเหตุได้ ดังนั้น ควรติดตั้งราวจับตลอดแนวบันไดทั้งสองด้าน โดยเป็นราวจับที่มั่นคง สูงจากพื้น 80 ซม. ในขณะที่มือจับประตูควรปรับเปลี่ยนจากลูกบิดมาเป็นที่เปิดปิดประตูแบบก้านโยก เพื่อให้ง่ายต่อการใช้งานสำหรับผู้สูงอายุ 5.เพิ่มพื้นที่สีเขียวในบ้าน นอกจากเรื่องการดูแลร่างกายของผู้สูงอายุแล้ว การดูแลเรื่องของจิตใจก็เป็นสิ่งจำเป็นไม่แพ้กัน การเพิ่มพื้นที่สีเขียวภายในบ้านจะช่วยฟื้นฟูจิตใจของผู้สูงอายุได้ดี ​ ช่วยบรรเทาความตึงเครียด ลดระดับภาวะซึมเศร้า การได้สัมผัสธรรมชาติทำให้เกิดอารมณ์เชิงบวก อาจจัดให้มีพื้นที่ปลูกไม้กระถาง ผักสวนครัว กระตุ้นให้ผู้สูงอายุขยับร่างกายเล็ก ๆ น้อย ๆในชีวิตประจำวันมากขึ้น หากไม่มีพื้นที่ปลูกต้นไม้ วิธีง่ายก็คงจะเป็นพวกต้นไม้เล็ก ๆ ใส่กระถางไว้ในบ้าน หรือไม่แจกันดอกไม้สดมาไว้ในบ้านบ้างก็ช่วยได้ 6.เติมความสะดวกด้วย Smart Home   แม้เรื่องเทคโนโลยีหลาย ๆ อย่าง ผู้สูงอายุอาจจะไม่ถนัดมากนัก แต่หากแนะนำการใช้งานก็อาจจะไม่ใช่เรื่องยาก เดี๋ยวนี้ผู้สูงอายุหลายคน สามารถเล่นโซเชียลมีเดีย เว็บไซต์​ หรือแอปพลิเคชั่นหลายอย่างได้ไม่แพ้เด็ก ๆ ดังนั้น วิธีการปรับปรุงบ้านเพื่อผู้สูงอายุ ก็ควรทำให้บ้านฉลาดขึ้น ด้วยระบบ Smart Home อย่างเช่น การติดตั้งกล้องวงจรปิด การเปิดปิดประตูอัตโนมัติ หรือการติดตั้งสัญญาณกันขโมย ปุ่มฉุกเฉินที่ห้องน้ำและหัวเตียง เพื่อส่งสัญญาณแจ้งเตือนไปยัง ครอบครัว ผู้ดูแลอาคาร หรือโรงพยาบาลได้เป็นต้น เพราะบางครั้งผู้สูงอายุจำนวนไม่น้อยที่อยู่คนเดียว หรืออยู่กันเองเป็นคู่ Smart Home จึงตอบโจทย์ความสะดวกสบาย สามารถควบคุมอุปกรณ์ต่าง ๆ 7.อัพสปีดออนไลน์ด้วย WiFi วิธีการปรับปรุงบ้านเพื่อผู้สูงอายุ ข้อนี้ อาจจะใกล้เคียงกับ ข้อที่ผ่านมา แต่อย่าลืมว่า ต้องเพิ่มสปีดของสัญญาณ WiFi ให้แรง ๆ เพื่อการใช้งานของระบบเหล่านั้นจะได้มีประสิทธิภาพ รวมถึงการเล่นโซเชียลมีเดียของบรรดาผู้สูงอายุด้วย   นอกจากนี้ จากการสำรวจของ NRF พบว่าคนรุ่น Baby Boomer กว่า 47% ใช้ Social Network เพิ่มมากขึ้น โดย 75% มีบัญชี Facebook ของตนเอง ชื่นชอบการส่งต่อข้อมูลให้กับเพื่อน ๆ รวมถึงใช้ติดต่อ กับครอบครัวเพื่อคลายเหงา นอกจากนี้ ผู้สูงอายุยังชื่นชอบการสั่งสินค้าออนไลน์เพิ่มมากขึ้นอีกด้วย ดังนั้น การติดตั้ง WiFi ที่ทั่วถึงทั้งบริเวณพักอาศัย จึงเป็นสิ่งจำเป็น   ทั้งหมด เป็นคำแนะนำสำหรับ วิธีการปรับปรุงบ้านเพื่อผู้สูงอายุ ซึ่งไม่ใช่แค่เรื่องความสะดวกสบายในการอยู่อาศัยเท่านั้น แต่ยังคำนึงถึงความปลอดภัย และเรื่องของสุขภาพด้วย หากบ้านไหนยังมีจุดเสี่ยง คงต้องรีบดำเนินการโดยด่วน เพราะหากเกิดอุบัติเหตุกับผู้สูงอายุแล้ว เรื่องเล็กอาจจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ได้            
Compound Finance การปล่อยกู้เพื่อสร้างกำไรในคริปโทฯ [VDO]

Compound Finance การปล่อยกู้เพื่อสร้างกำไรในคริปโทฯ [VDO]

Compound Finance การปล่อยกู้เพื่อสร้างกำไรในคริปโทฯ หลายคนที่สนใจวงการ Cryptocurrency คงเคยได้ยินการพูดถึง Compound Finance กันมาบ้าง โดยเฉพาะคนที่มีเหรียญดิจิทัลอยู่ในมือ ซึ่งสามารถนำเอาเหรียญไปสร้างมูลค่าเพิ่ม จากการปล่อยกู้ หรืออยากจะกู้เองก็ได้  ซึ่งบทความนี้จะพาทุกคนไปรู้จักกับ Compound Finance ว่าคืออะไรกันแน่  และจะช่วยอำนวยความสะดวกให้กับคนที่มี Cryptocurrency แล้วมีความต้องการสร้างรายได้เพิ่มจากการนำมาปล่อยกู้เพื่อได้รับดอกเบี้ย หรือคนที่ต้องการขอกู้ Cryptocurrency จะต้องดำเนินการอย่างไรบ้าง   ไขข้อข้องใจ Compound Finance คืออะไร Compound Finance เป็นแพลตฟอร์มที่จะช่วยอำนวยความสะดวก ผู้มี Cryptocurrency แล้วอยากจะเอามาปล่อยกู้เพื่อได้รับดอกเบี้ย รวมถึงผู้ที่จะมาขอกู้ตัว Cryptocurrency ก็สามารถเข้ามาใช้งานผ่านแพลตฟอร์มนี้ได้เช่นกัน และบทความนี้นอกจากจะทำความเข้าใจแพลตฟอร์ม Compound Finance เบื้องต้นแล้ว ยังจะอธิบายถึงฟังก์ชั่นสำคัญของ Compound Finance ว่ามีอย่างไรบ้าง   สำหรับผู้ที่สนใจ รายละเอียดต่าง ๆ เกี่ยวกับวงเงินการปล่อยกู้ มูลค่าเงินที่มีคนปล่อยกู้ และข้ออื่น ๆ  สามารถเข้าไปดูได้ในเว็บบราวเซอร์ compound.finance   เมื่อเข้าไปแล้วจะพบข้อมูลต่าง ๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นมูลค่าเงินทั้งหมด (Total Supply)  ที่ระบบสามารถจะปล่อยกู้ได้  Total Borrow คือ มูลค่าเงินทั้งหมดที่มีคนกู้ไปในขณะนี้ ​รวมถึงมีการแสดง Cryptocurrency ที่มีการให้กู้ยืมหลาย Cryptocurrency ด้วยกัน  เช่น Ether, USD Coin หรือ DAI และยังมีการแสดงอัตราดอกเบี้ยที่ผู้ให้กู้จะได้รับ และดอกเบี้ยที่ผู้กู้จะต้องจ่ายแสดงไว้ด้วย   เข้าใจการกู้ยืมเงินใน Compound Finance หลายคนอาจจะสงสัย Compound Finance มีการทำงานอย่างไร มีการปล่อยกู้แบบ pear to pear หรือเปล่า? ความจริงแล้ว Compound Finance ใช้ระบบ Currency Pool เป็นการเชื่อมโยงระหว่าง Lender (ผู้ให้กู้) กับตัว Borrower หรือตัวผู้กู้ โดยฝั่ง Lender เป็นคน Supply Cryptocurrency เข้ามาใน  Currency Pool ก็จะได้รับอัตราดอกเบี้ยเป็น Supply APR เป็นค่าตอบแทน โดยตัวอัตราดอกเบี้ยที่โค้ดใน Compound Finance จะเป็นอัตราดอกเบี้ยต่อปี หรือ APR ย่อมาจาก Annual Percentage Rate     สำหรับผู้กู้ จะเป็นผู้มี Demand ในการที่จะมาขอกู้ทาง Currency Pool แล้วทางผู้กู้ก็ต้องชำระเป็นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ หรืออัตรา Borrow APR เข้ามาที่ตัว Currency Pool โดยตัว Compound Finance จะเป็นคนบริหารจัดการตัว Currency Pool ให้สามารถบริหารจัดการไปได้อย่างราบรื่น รวมถึงและบริหารจัดการความเสี่ยงต่าง ๆ   การกู้เงินใน Compound Finance โดยขั้นตอนการกู้เงินใน อันดับแรกเราต้องมีการ Supply ตัว Cryptocurrency หรือมีการวางหลักประกันเข้ามาในตัว Currency Pool หลังจากได้วางตัวหลักประกันไปแล้ว จะได้รับ borrowing power จะคล้ายกับการไปกู้เงินกับทางธนาคาร ที่เราจะต้องวางสินทรัพย์ค้ำประกันก่อน ที่ดิน หรือบ้าน พอวางสินทรัพย์ ทางธนาคารจะให้วงเงินมา ซึ่งวงเงิน หรือ​ borrowing power หลังจากเรามี borrowing power แล้วเราก็สามารถกู้ยืมเงินจาก Currency Pool   ถ้าเราต้องการไถ่ถอนหลักประกัน เราต้องจ่ายตัวเงินกู้กลับไปพร้อมอัตราดอกเบี้ย เราจะได้ตัวหลักประกันคืนกลับมา ขั้นตอนนี้เหมือนการกู้ยืมเงินกับสถาบันการเงิน หรือบริษัทลิสซิ่งต่าง ๆ   มูลค่าสินทรัพย์และความเสี่ยงใน Compound Finance การนำสินทรัพย์มาค้ำประกัน แน่นอนว่าจะต้องมีการประเมินมูลค่า และความเสี่ยงของสินทรัพย์นั้น ๆ เพื่อประเมินว่าจะสามารถปล่อยวงเงินออกไปได้เท่าไร โดยปกติวงเงินกู้จะต้องมีมูลค่าน้อยกว่ามูลค่าสินทรัพย์ที่นำมาค้ำประกัน เพราะต้องบริหารความเสี่ยงจากการที่ผู้กู้ไม่ชำระหนี้  ซึ่งหลักการนี้ ไม่แตกต่างจากการกู้ยืมเงินกับทางธนาคาร หรือบริษัทลิสซิ่งต่าง ๆ ในแพลตฟอร์ม Compound Finance จึงมีการประเมินมูลค่าของเหรียญที่นำมาปล่อยให้กู้ยืมด้วย   กรณีตัวอย่างในแพลตฟอร์ม Compound Finance จำนวนเงินที่นำมาค้ำประกันมีมูลค่าเท่ากับ 35 us ในขณะที่ยอดเงินกู้มีค่าเท่ากับ 0 และ borrowing power มีมูลค่าเท่ากับ 23.48 us จะเห็นว่า borrowing power มีมูลค่ามากกว่า supply balance ตัววงเงินกู้จะมีมูลค่าน้อยกว่าสินทรัพย์ที่มาค้ำเป็นหลักประกัน จะเหมือนกับการกู้เงินกับทางธนาคาร หรือบริษัทลิสซิ่ง ที่จะมีการประเมินมูลค่าสินทรัพย์ขึ้นมา แล้วมีการมอบวงเงินให้ต่ำกว่ามูลค่าสินทรัพย์ที่มาค้ำประกัน หรือเป็นการบริหารความเสี่ยงของทางธนาคาร     จากภาพตัวอย่าง ทาง Compound Finance ก็มีการจัดระดับชั้นความเสี่ยงของสินทรัพย์ที่นำมาค้ำประกันไว้จากตัวอย่าง ตัว BAT (Basic Attention Token) จะมีตัว Collateral Factor 60% ความหมายก็คือ ถ้าเรานำตัว BAT ที่มีมูลค่าเช่น 100 us มาค้ำประกัน เราจะได้รับตัว borrowing power เท่ากับ 60 us กรณี ETH มีตัว Collateral Factor เท่ากับ 75% ซึ่งสูงกว่า BAT ทำให้เวลาเราเอาตัว ETH มาค้ำประกันจะได้รับตัว borrowing power เป็นสัดส่วนที่มากกว่าตัว BAT   Compound Finance ก็มีการยึดทรัพย์  อย่างไรก็ตาม การกู้เงินผ่านตัว Compound Finance  มีขั้นตอนหนึ่งอันหนึ่งที่เราต้องทราบไว้ ซึ่งคือขั้นตอนการ Liquidation ซึ่งคือ การยึดทรัพย์เพื่อขายทอดตลาด  สาเหตุทำให้เกิด Liquidation คือ เมื่อภาระหนี้ หรือ debt ซึ่งประกอบไปด้วยเงินต้นที่เรากู้มาพร้อมภาระดอกเบี้ย  เกิดภาระหนี้สินมีมูลค่ามากกว่าวงเงินของเรา หรือตัว borrowing power ก็จะทำให้ตัวระบบทำการ Liquidation ซึ่งหลังจากเข้าสู่ขั้นตอนการ Liquidation ตัว collertral หรือสินทรัพย์ที่ถูกนำมาค้ำประกัน ก็จะถูกนำไปขาย สิ่งที่ผู้กู้จะได้รับคืน คือ จำนวนเงิน เท่ากับตัวมูลค่าหลักทรัพย์ที่เอาไปขาย หักลบด้วยภาระหนี้สิน และหักลบด้วยส่วนลด ซึ่งส่วนลดนี้เหมือนค่าดำเนินการที่นำตัวสินทรัพย์นี้ไป ขายทอดตลาด   ดอกเบี้ยกู้ยืมใน Compound Finance ปัจจัยที่ทำให้เกิดการกู้ยืมเงิน หัวใจอีกอย่างหนึ่ง คือ อัตราดอกเบี้ย ที่ผู้ให้กู้จะต้องได้รับ จากผู้ขอกู้ ซึ่งในแพลตฟอร์ม Compound Finance มีการคิดอัตตราดอกเบี้ย ​ ตัว Supply APR จะต่ำกว่า Borrow APR หรือคือดอกเบี้ยที่ผู้ให้กู้จะได้รับ จะต่ำกว่าดอกเบี้ยที่ผู้กู้จะต้องจ่าย เพื่อความเข้าใจจะดูจากกรณีตัวอย่างนี้   เริ่มต้นจากผู้ให้กู้ มีจำนวนเหรียญให้กู้ 200 mm(ล้านเหรียญ) ทางฝั่งผู้กู้มีความต้องการกู้อยู่100 mm จะเห็นว่ามีส่วนต่างอยู่ที่ฝั่ง Supply มีมากกว่า Demand แล้วทางฝั่งผู้กู้มีภาระที่จะต้องจ่ายดอกเบี้ยอยู่ 10% เมื่อคำนวณออกมาแล้วจะมีมูลค่าเท่ากับ 10 mm ซึ่งจำนวนเงิน 10 mm จะถูกนำไปจ่ายให้ฝั่งผู้ให้กู้ แต่ว่าโดยปกติ Compound Finance จะมีการหักเงินเก็บสำรองไว้ส่วนหนึ่ง เช่นในจำนวนนี้จะสำรอง (reserve) ไว้ 2 mm โดยหากคำนวณตัวเลขที่จ่ายมาให้ทางฝั่ง Supply ของ Currency Pool จะเหลือ 8 mm แล้วถ้านำจำนวน 8 mm มาคำนวณกับจำนวนเงินให้กู้ได้ทั้งหมด 200 mm ตัว APR ที่ฝั่งผู้ให้กู้จะได้รับจะเท่ากับ 4.0% นี่จึงเป็นที่มาของอัตราดอกเบี้ยที่ผู้ให้กู้กับผู้กู้ถึงมีความแตกต่างกัน สาเหตุมาจากความแตกต่างทางฝั่ง Supply กับ Demand กับการหักสำรองของ Compound Finance ไว้เพื่อการบริหารความเสี่ยง   การบริหาร Compound Finance ด้วย cToken นอกจากนี้ ตัว Compound Finance ยังมีการใช้ตัว  cToken  มาช่วยในการบริหารจัดการ จากตัวอย่างจะเห็นว่า มีตัว cBAT  กับ cETH ซึ่งตัว  cToken เกิดจาการที่เราได้นำตัว BAT กับ ETH ไปทำการค้ำประกันไว้กับตัว Compound Finance ด้วย  ซึ่งขั้นตอนการได้มาของ cToken มีดังนี้ ในขั้นตอนที่เรานำสินทรัพย์ไปค้ำประกันไว้กับตัว Currency Pool โดยสิ่งที่เราจะได้นอกจาก borrowing power เราจะได้ตัว cToken ของตัวสินทรัพย์ที่เราเอาไปค้ำประกันไว้ด้วย สมมติถ้าเราเอา ETH ไปค้ำเราก็จะได้ cETH ถ้าเราเอา Dai ไปค้ำ ก็จะได้ cDai ถ้าเราเอา Bat ไปค้ำเราก็จะได้ cBat   คุณสมบัติของ cToken สำหรับ cToken มีคุณสมบัติ ดังนี้ 1.ERC-20 หรือเป็น Token ที่สามารถโอนไปหาคนอื่นได้ เหมือนการโอน Token ของ Blockchain ของ Ethereum 2.represent balance in protocol ตัว cToken เป็นตัวยืนยันว่าเรามีสินทรัพย์อะไรบ้างใน Compound Finance 3. accrue interest over time cToken มีการสะสมมูลค่าอัตราดอกเบี้ยในการปล่อยกู้ทบต้นไปเรื่อย ๆ ตามระยะเวลาที่เรามีการปล่อยกู้ไป ใน Compound Finance 4.Useful Collateral การที่เรามี cToken แสดงว่าเรามีสินทรัพยไปค้ำประกันใน Compound Finance ก็ทำให้เราสามารถทำการกู้ยืมเงินออกมาจาก Compound Finance ได้   แล้ว cToken มีการเก็บอัตราดอกเบี้ย ใน Compound Finance อย่างไรบ้างนั้น อธิบายจากกรณีตัวอย่างดังนี้ คือ  User คนหนึ่งนำ Dai จำนวน 1,000 Dai ไปปล่อยกู้ใน Compound Finance โดยตัว exchange rate ระหว่างตัว DAI กับ cDAI เท่ากับ​ 0.020070 USER รายนี้จะได้รับตัว cDAI = 49,825.61 cDAI เป็นผลตอบแทนที่นำตัว DAI เข้ามาในระบบ 1,000 มาปล่อยกู้ใน Compound Finance หลังจากนั้น ทาง USER ก็นำเอาตัว cDAI ที่เขามีทั้งหมด ไปไถ่ถอนตัว DAI กลับคืนมา พอเวลาผ่านไป ซึ่งตัว exchange rate ของตัว DAI กับ cDAI ก็เปลี่ยนแปลงไป โดยตัว cDAI  ก็จะสามารถแลกตัว DAI ได้มากขึ้น จะเพิ่มขึ้นเป็น 0.021591 โดยเมื่อคำนวณตามอัตราแลกเปลี่ยน จะทำให้ USER รายนี้ได้รับตัว DAI กลับไปจำนวน 1,075.78 DAI   จะเห็นว่าตัว USER คนนี้ได้รับตัว DAI กลับคืนมา มากกว่าตัว DAI เริ่มต้นที่ใส่เข้าไปในระบบเพื่อปล่อยกู้ ตัวดอกเบี้ยที่ผู้ให้กู้ได้รับไป ซึ่งจำนวน 75.78 ก็คือ อัตราดอกเบี้ยที่ผู้ให้กู้ได้รับไป     แล้วการไถ่ถอนจำเป็นจะต้องไถ่ถอนทั้งก้อนหรือไม่ คำตอบไม่จำเป็น ตัวอย่างนี้ ถ้า USER ต้องการไถ่ถอนเท่ากับจำนวนที่ใส่ไป จำนวน 1,000 DAI วิธีการ คือ ต้องใส่จำนวน cDAI คืนเข้าไปในระบบจำนวน 46,351.59 cDAI เมื่อคำนวณตามอัตราแลกเปลี่ยน จะทำให้ตัว USER จะได้ตัว DAI กลับคืนมาเท่ากับ 1,000 DAI ส่วนจำนวน 75.78 DAI ที่เหลือยก็จะอยู่ในระบบ แล้วมีการปล่อยกู้ให้ทาง USER ได้รับดอกเบี้ยไปเรื่อย ๆ   (สำหรับข้อมูลของอัตราดอกเบี้ย เราสามารถดูได้ในระบบ Compound Finance)   ประเด็นสุดท้าย Governance  ของ Compound Finance ปัจจุบันระบบ Compound Finance ยังมีการควบคุมแบบ Centralized ตัว Admin เป็นคนดูแลระบบ ถูกคัดเลือกมาจากคนที่พัฒนาตัวนี้อยู่ ยังไม่ได้ถูก กระจายอำนาจ Decentralized ปัจจุบัน โดยตัว Admin มีอำนาจในการเพิ่มตัว cToken หรือปรับตัววิธีการคำนวณตัวอัตราดอกเบี้ยได้ รวมถึงอัพเดทแหล่งข้อมูลของราคาที่จะนำมาใช้คำนวณ มูลค่าของสินทรัพย์แต่ละชนิด ใน Compound Finance  และมีอำนาจในการควบคุมเงินทุนสำรองด้วย   แต่อย่างไรก็ตาม โรดแมปของ Compound Finance มีแผนการเปลี่ยนวิธีการควบคุมจาก Centralized มา Decentralized โดยออก Token ที่มีสิทธิ์การออกเสียงในการเลือก Admin ขึ้นมาบริหารจัดการ Compound Finance โดย Token จะมีลักษณะที่เรียกว่า Decentralized Autonomus Organization หรือ DAO   ทั้งหมดก็เป็นเรื่องรายของแพลตฟอร์ม Compound Finance ซึ่งถือว่ามีความใกล้เคียงกับระบบการกู้ยืมเงินในธนาคาร ที่เราคุ้นเคยกันอย่างดี เพียงแต่แพลตฟอร์ม Compound Finance เป็นการรอบรับการกู้ยืมเงินในโลกการเงินดิจิทัล ที่เราจำเป็นต้องเรียนรู้และเข้าใจ เพราะโลกปัจจุบันเป็นยุคดิจิทัลไปแล้ว   บทความที่เกี่ยวข้อง Blockchain คืออะไร? เกี่ยวอะไรกับ Bitcoin – Crypto Blockchain มีกี่ประเภท? เรื่องต้องรู้ก่อนเข้าสู่โลกการเงินดิจิทัล ไขทุกข้อสงสัย การโอน Crypto กับ E-Banking ต่างกันยังไง? เรื่องต้องรู้ ETH Smart Contract คืออะไร? Coin VS Token เหมือน หรือ ต่าง อย่างไร? ETFs แค่เข้าใจ ก็ลงทุน Bitcoin ได้ไม่ยาก Bitcoin Wallet คืออะไร? จะเสี่ยงแค่ไหน? ถ้าคอมพิวเตอร์โดยขโมย!! ทำไมต้อง IPO ทำไปเพื่ออะไร? – เข้าใจการระดมทุนใน SET ด้วย IPO Bitcoin กับการฟอกเงินและอาชญากรรม DeFi นวัตกรรมการเงินดิจิทัล ที่ไม่ต้องง้อธนาคาร Chainlink กับบทบาทและความสำคัญในโลกการเงินดิจิทัล รู้จักกับ STO อีกวิธีของการระดมเงินทุน ทั้งรวดเร็วและปลอดภัย รู้จัก Yield Farming เพื่อการลงทุนคริปโทให้กำไรงอกเงย Liquidity Pool คืออะไร สำคัญแค่ไหนในวงการ Cryptocurrency รู้จักกับ LUKSO เทคโนโลยี Blockchain เพื่อไลฟ์สไตล์ยุคดิจิทัล Impermanent Loss คืออะไร เข้าใจเรื่องเสี่ยงขาดทุนในการฟาร์ม  
อัพเดทดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ สินเชื่อกู้ซื้อบ้าน เดือนมีนาคม 2565 แบงก์ไหนให้ดอกเบี้ยถูกสุด

อัพเดทดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ สินเชื่อกู้ซื้อบ้าน เดือนมีนาคม 2565 แบงก์ไหนให้ดอกเบี้ยถูกสุด

อัพเดทดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ แม้ว่าตอนนี้ไวรัสโควิด-19 จะยังแพร่ระบาดมากมายและติดกันได้ง่าย แต่ระดับความรุนแรงของโรคดูจะลดน้อยลงกว่าช่วงแรก ทำให้คนส่วนใหญ่ออกมาทำกิจกรรมนอกบ้านกันมากขึ้น เป็นสัญญาณการฟื้นตัวที่มีแนวโน้มดีขึ้น ซึ่งเชื่อว่าในระยะเวลาไม่นาน อะไร ๆ ก็น่าจะดีขึ้นตามมาด้วย   ในแวดวงตลาดอสังหาริมทรัพย์ ปีนี้ก็มีทิศทางที่ดีขึ้นเช่นกัน เพราะแผนการเปิดโครงการใหม่ ของผู้ประกอบการทุกราย มีแต่เพิ่มระดับความร้อนแรง กับจำนวนโครงการที่เพิ่มมากขึ้น หลังจากชะลอแผนการเปิดตัวกันมาในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ถือว่าเป็นโอกาสดีสำหรับคนที่มองหาบ้านหรือคอนโดมิเนียม เพราะมีตัวเลือกมากมาย ที่สำคัญเชื่อว่าจะต้องมีแคมเปญการตลาดที่น่าสนใจออกมาด้วย เพราะยิ่งซัพพลายเยอะ การแข่งขันก็ต้องสูงตามไปด้วย   อีกปัจจัยหนุนตลาด ก็คงเป็นเรื่องภาวะดอกเบี้ยการกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ที่ยังคงอยู่ในอัตราต่ำ ตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน ดอกเบี้ยยังไม่ได้ปรับเพิ่มขึ้นเลย   แต่สำหรับคนที่กู้ซื้อบ้าน และคอนโดไปแล้ว หากอยากจะรีไฟแนนซ์ ช่วงนี้ก็เหมาะสมเพราะดอกเบี้ยอยู่ในทิศทางเดียวกัน หากเปรียบเทียบกับช่วงก่อนหน้า ดอกเบี้ยอาจจะได้เรทที่ถูกกว่าด้วย ถ้าอยากจะรีไฟแนนซ์บ้าน หรือคอนโด ลองมาดูกันว่าแบงก์ไหนให้ดอกเบี้ยถูกสุด ในเดือนมีนาคมนี้ ซึ่งเราได้ อัพเดทดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ เอาไว้แล้วทุกธนาคาร​ อัพเดทดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ บ้านและคอนโด 1.ธนาคารกรุงเทพ สำหรับการธนาคารกรุงเทพ  มีสินเชื่อบ้านบัวหลวง ที่ให้บริการรีไฟแนนซ์บ้าน  กรณีหลักทรัพย์เป็นที่อยู่อาศัยทั่วไป เฉพาะวงเงินอนุมัติตั้งแต่ 2 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งอัตราดอกเบี้ยของเดือนมีนาคม 2565 ​นี้  ไม่ได้เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา โดยมีอัตราดอกเบี้ยให้เลือกด้วยกัน 3 ทางเลือก  ได้แก่ ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 กรณีทำประกัน Home 1st Plus ดอกเบี้ย 2.00% กรณีไม่ทำประกัน  อัตราดอกเบี้ย 2.25% ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 2.95% (MRR-3.00%) หลังจากนั้น 4.45% ​(MRR-1.50%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.13-3.22% อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 3.66-3.72% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 กรณีทำประกัน Home 1st Plus ดอกเบี้ย 2.325% (MRR-3.625%)  กรณีไม่ทำประกัน ดอกเบี้ย 2.575% (MRR-3.375%) ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 2.575% (MRR-3.375%) หลังจากนั้น อัตราดอกเบี้ย  4.45% (MRR-1.50%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.12-3.20% อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 3.66-3.72% ทางเลือกที่ 3 ฟรีค่าจดจำนอง ปีที่ 1 กรณีทำประกัน Home 1st Plus ดอกเบี้ย 2.825% (MRR-3.125%) กรณีไม่ทำประกัน ดอกเบี้ย  3.075% (MRR-2.875%) ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 3.075% (MRR-2.875%) หลังจากนั้น อัตราดอกเบี้ย 4.45%  (MRR-1.50%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.45-3.53% อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 3.86-3.92% หมายเหตุ -MRR = 5.95% ประกาศ ณ วันที่ 17 มิ.ย. 64 -วงเงินกู้สูงสุด เท่ากับ 100% ภาระหนี้คงค้าง และไม่เกินอัตราส่วนสินเชื่อสูงสุดตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย -ระยะเวลากู้สูงสุด 30 ปี (เฉพาะพนักงานประจำสูงสุด 35 ปี) รวมอายุผู้กู้สูงสุด 65 ปี -ค่าธรรมเนียม คิดค่าสำรวจและประเมินหลักประกัน 3,210 บาท (ธนาคารจะคืนค่าสำรวจและค่าประเมินหลักประกันหลังจากลูกค้าได้รับอนุมัติและเบิกใช้สินเชื่อแล้ว) -อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปี ตลาดอายุสัญญาวงเงินกู้ 2 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี -รายละเอียดและเงื่อนไขอื่น โปรดสอบถามจากธนาคาร -กรณีแสดงวัตถุประสงค์ เช่น เพื่อการต่อเติม/ซ่อมแซม/ตกแต่งที่พักอาศัย ซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้า เฟอร์นิเจอร์ ค่าใช้จ่ายด้านการศึกษา หรือการจัดหาสินค้าหรือบริการเพื่อการอุปโภคบริโภคส่วนตัว เป็นต้น​ -อัตราดอกเบี้ยนี้สำหรับผู้ที่ยื่นคำขอสินเชื่อพร้อมเอกสารครบถ้วน ตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ. 65 – 31 มี.ค. 65 โดยผู้กู้ต้องลงนามในสัญญากู้ภายใน 1 เดือน นับแต่วันที่อนุมัติสินเชื่อและจดจำนองภายใน 2 เดือนนับแต่วันที่ ลงนามในสัญญากู้ -อัตราดอกเบี้ย MRR ปัจจุบัน ตามประกาศของธนาคาร ณ วันที่ 17 มิ.ย. 64 เท่ากับ 5.95% ต่อปี -อัตราดอกเบี้ย กรณีฟรีค่าธรรมเนียมจดจำนอง หากลูกค้ายกเลิก และไถ่ถอนหลักประกัน ก่อนระยะเวลา 3 ปี ไม่ว่ากรณีชำระหนี้ด้วยเงินสด หรือ รีไฟแนนซ์ธนาคารจะเรียกคืนค่าธรรมเนียมจดจำนองจากผู้กู้ -ธนาคารจะโอนเงินคืนค่าสำรวจและประเมินหลักประกันเข้าบัญชีเงินฝากสะสมทรัพย์ที่ลูกค้า ใช้หักชำระค่างวดกับธนาคารภายใน 60 วัน หลังจากลูกค้าได้รับอนุมัติและเบิกใช้สินเชื่อกับธนาคารแล้ว พิเศษ รับส่วนลดอัตราดอกเบี้ยพิเศษปีแรก 0.25% เพียงสมัครสินเชื่อบ้านบัวหลวงพร้อมประกันชีวิตคุ้มครองเครดิต โฮมเฟิสต์ พลัส (ฉบับปรับปรุง) -กรณีจำนวนเงินเอาประกันภัยเต็มวงเงินกู้ และระยะเวลาเอาประกันภัยขั้นต่ำ 10 ปี หรือเท่ากับระยะเวลาในสัญญากู้ -กรณีจำนวนเงินเอาประกันภัยอย่างน้อย 70% ของวงเงินกู้ และระยะเวลาเอาประกันภัยอย่างน้อย 70% ของระยะเวลาในสัญญากู้ (เฉพาะลูกค้าที่ทำสัญญากู้ตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป) 2.ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกรุงไทย มีสินเชื่อรีไฟแนนซ์บ้าน ซึ่งอัตราดอกเบี้ยเดือนมีนาคม มีการคิดอัตราดอกเบี้ย  ดังนี้ ดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์บ้าน กรณีฟรีค่าธรรมเนียมยื่นกู้ แบบคงที่ ทำประกัน ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 0.75% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.60% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.50% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี  =2.70% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา = 4.01% แบบคงที่ ไม่ทำประกัน ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 1.0% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.55% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.25% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี  =2.80% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา = 4.05% แบบลอยตัว ทำประกัน   ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-3.55% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี  =2.67% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา = 4.03% แบบลอยตัว ไม่ทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-3.45% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี  =2.77% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา = 4.06% ดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์บ้าน กรณีธนาคารออกค่าจดจำนองให้ และฟรีค่าธรรมเนียมยื่นกู้ แบบคงที่ ทำประกัน ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 0.75% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.10% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.00% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี  =3.03% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา = 4.12% แบบคงที่ ไม่ทำประกัน ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 1.0% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.05% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.00% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี  =3.13% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา = 4.16% แบบลอยตัว ทำประกัน   ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-3.20% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี  =3.02% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา = 4.15% แบบลอยตัว ไม่ทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-3.10% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี  =3.12% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา = 4.19% หมายเหตุ การทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ* : ทำประกันทางเลือกใด ทางเลือกหนึ่ง ดังนี้ 1.ทำ MRTA/GLT SP เต็มวงเงินกู้ และระยะเวลาทำประกันขั้นต่ำ 10 ปี 2.ทำ MRTA/GLT SP 70% ของวงเงินกู้และระยะเวลากู้ 3.ทำ MRTA/GLT SP 70% ของวงเงินกู้ และระยะเวลาทำประกันขั้นต่ำ 15 ปี ทั้งนี้ การทำประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองวงเงินสินเชื่อเป็นไปตามความสมัครใจของลูกค้า และไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อ ***อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (EIR) คำนวณจากวงเงินกู้ 1.00 ล้านบาท อายุสัญญา 20 ปี ผ่อนชำระ 6,500 บาท/เดือน เงื่อนไขอื่น ๆ เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด การพิจารณาสินเชื่ออยู่ภายใต้ดุลยพินิจของธนาคาร ยื่นสมัครสินเชื่อ ภายในวันที่ 31 มีนาคม 2565 MRR = 6.22% ต่อปี (ณ 1 เม.ย. 2564) 3.ธนาคารกรุงศรี ธนาคารกรุงศรี มีแคมเปญการให้บริการสินเชื่อรีไฟแนนซ์กับลูกค้า คือ  ฟรี ค่าประเมินหลักทรัพย์ ฟรี ค่าจดจำนอง ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.- 31 มี.ค. 65  โดยอัตราดอกเบี้ย ไม่มีการเปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา ซึ่งคิดดอกเบี้ยตามรายละเอียด ดังนี้​ สำหรับวงเงินตั้งแต่ 1 -1.5 ล้านบาท ทางเลือก 1 ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 2.90% ปีที่ 2-3 ดอกเบี้ย MRR-3.15% หลังจากนั้น MRR-1.50% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 2.90% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 3.65% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 0.75% ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 4.20% ปีที่ 3 ดอกเบี้ย MRR-1.85% หลังจากนั้น MRR-1.50% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.05% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 3.66% ทางเลือกที่ 3* ฟรีค่าจดจำนอง ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 0.50% ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 4.70% ปีที่ 3 ดอกเบี้ย MRR-1.35% หลังจากนั้น MRR-1.50% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.30% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 3.78% สำหรับวงเงินตั้งแต่ 1.5 ล้านบาทขึ้นไป ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 1.75% ปีที่ 2 ดอกเบี้ย MRR-3.85% ปีที่ 3 ดอกเบี้ย MRR-1.75% = 4.3% หลังจากนั้น MRR-1.75% = 4.3% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 2.75% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 3.40% ทางเลือก 2 ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ย 3.0% หลังจากนั้น MRR-1.75% =4.3% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.0% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 3.60% ทางเลือก 3 ปีที่ 1-3  ดอกเบี้ย MRR-2.70% = 3.35% หลังจากนั้น MRR-2.70% = 3.35% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.35% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 3.35% ทางเลือก 4* ฟรีค่าจดจำนอง ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ย 3.25% หลังจากนั้น MRR-1.75% = 4.3% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.25% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 3.74% ทางเลือกที่ 5 ฟรีค่าจดจำนอง ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 0.50% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 4.25% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย MRR-1.05% หลังจากนั้น MRR-1.75%= 4.3% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3.25% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 3.61%   หมายเหตุ -สินเชื่อฟรีค่าจดจำนอง เฉพาะลูกค้าที่ซื้อ MRTA/MLTA ตามเงื่อนไขที่กำหนดเท่านั้น จึงจะสามารถเลือกรับดอกเบี้ยทางเลือกฟรีค่าจดจำนองได้โปรดอ้างอิงตาม Product Catalog_ประกัน (สาขากลาง) / Product Catalog_ประกัน(สาขาภูมิภาค) และ ใบข้อเสนอ (QE) -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้นเป็นเพียงการแสดงตัวอย่าง โดยคำนวณจากฐานวงเงินกู้ 1.5 ล้านบาท สำหรับวงเงินกู้ที่ได้รับอนุมัติตั้งแต่ 1 ล้านบาทแต่ไม่ถึง 1.5 ล้านบาท และฐานวงเงินกู้ 3 ล้านบาท สำหรับวงเงินกู้ที่ได้รับอนุมัติตั้งแต่ 1.5 ล้านบาทขึ้นไป ด้วยระยะเวลาการกู้ 10 ปี ในกรณีที่ลูกค้าซื้อ MRTA/MLTA หาก ค่าเบี้ย MRTA/MLTA เปลี่ยนแปลง อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงอาจเปลี่ยนแปลงได้ เงื่อนไขการรับสิทธิพิเศษสำหรับลูกค้าที่ซื้อประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ (MRTA/MLTA) -กรณีลูกค้าเลือกรับอัตราดอกเบี้ยทางเลือกที่ 3 (วงเงินกู้อนุมัติตั้งแต่ 1 ล้านบาท แต่ไม่ถึง 1.5 ล้านบาท) หรือทางเลือกที่ 4 (วงเงินกู้อนุมัติตั้งแต่ 1.5 ล้านบาทขึ้นไป) ฟรีค่าจดจำนองตามเงื่อนไขที่กำหนด -กรณีลูกค้าเลือกรับอัตราดอกเบี้ยทางเลือกที่ 1-2 (วงเงินกู้อนุมัติตั้งแต่ 1 ล้านบาท แต่ไม่ถึง 1.5 ล้านบาท) หรือทางเลือกที่ 1-3(วงเงินกู้อนุมัติตั้งแต่ 1.5 ล้านบาทขึ้นไป) หรือทางเลือกที่ 5(วงเงินกู้อนุมัติตั้งแต่ 3 ล้านบาทขึ้นไป) รับส่วนลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ต่อปีเฉพาะในปีที่ 1 ทั้ง 2 กรณีลูกค้าต้องซื้อ MRTA/MLTA ที่ร่วมรายการตามเงื่อนไขดังนี้ 1.ผลิตภัณฑ์​MRTA/MLTA ที่ร่วมรายการได้แก่ MRTA : แผนกรุงศรี เซฟตี้โลน 1 พลัส หรือกรุงศรี เซฟตี้โลน 1 หรือ กรุงศรีเซฟตี้โลน 2 MLTA : กรุงศรีรักบ้าน รักคุณ หรือกรุงศรีรักบ้าน รักคุณ พลัส เท่านั้น 2.กรณีผู้กู้หลักเป็นพนักงานเงินเดือนที่มีรายได้ประจำ ต้องซื้อ MRTA/MLTA 100% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 15 ปี หรือซื้ออย่างน้อย 70% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 20 ปี 3.กรณีผู้กู้หลักเป็นผู้ประกอบธุรกิจส่วนตัว ต้องซื้อ MRTA/MLTA อย่างน้อย 80% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 10 ปี หรืออย่างน้อย 50% ของวงเงินกุ้โดยมีระยะเวลาความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 15 ปี 4.กรณีมีผู้กู้ร่วม สามารถซื้อ MRTA/MLTA เฉพาะผู้กู้หลักคนเดียวได้ หรือหากผู้กู้ร่วมประสงค์ที่จะซื้อ MRTA/MLTA ด้วย ผู้กู้หลักและผู้กู้ร่วมทุกคนจะต้องมีทุนประกันขั้นต่ำในสัดส่วนที่เท่ากัน -MRR =6.05% (ณ 21 พ.ค.63) -ยื่นขอสินเชื่อตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-30 เม.ย.65 และจดจำนอง และเบิกเงินกู้ภายในวันที่ 31 พ.ค. 65 -ธนาคารสงวนสิทธิ์เรียกเก็บค่าเบี้ยปรับกรณีปิดภาระหนี้ก่อนกำหนด (กรณีที่ลูกค้ารีไฟแนนซ์ไปสถาบันการเงินอื่นภายใน 3 ปีแรกนับจากวันทำสัญญา) -รายละเอียดและเงื่อนไขเพิ่มเติม สอบถามได้จากธนาคาร​ 4.ธนาคารกสิกรไทย อัตราดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์บ้านของธนาคารกสิกรไทย ในเดือนมีนาคม 2565 ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา  โดยธนาคารกสิกรไทยมีบริการสินเชื่อบ้านรีไฟแนนซ์ ดังนี้ ปีที่ 1 MRR = 5.97% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 5.97% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 5.97% หมายเหตุ -MRR = 5.97% ( ณ วันที่ 22 พ.ค.63) -สำหรับผู้ที่ยื่นกู้สินเชื่อบ้านตั้งแต่ 1 ม.ค.- 31 มี.ค.65 5.ธนาคารเกียรตินาคิน ธนาคารเกียรตินาคิน มีแคมเปญ KKP Home Loan Refinance สำหรับลูกค้าบ้านรีไฟแนนซ์ประจำเดือนมีนาคม 2565 ในอัตราที่ไม่เปลี่ยนแปลงจากช่วงเดือนที่ผ่านมา ดังนี้ ทางเลือก ดอกเบี้ยคงที่ 2 ปี แบบทำประกัน ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ย 2.59% ปีต่อไป MLR-1.75% = 4.775% แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ย 2.79% ปีต่อไป MLR-1.75% = 4.775% ทางเลือก ดอกเบี้ยแบบลอยตัว แบบทำประกัน ปีที่ 1-3  ดอกเบี้ย 2.79% ปีต่อไป MLR-1.75% = 4.775% แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1-3  ดอกเบี้ย 2.99% ปีต่อไป MLR-1.75% = 4.775% หมายเหตุ 1.อัตราดอกเบี้ยขึ้นอยู่กับปัจจัยอ้างอิง​ เช่น อัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายใหญ่ชั้นดีประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา​ (MLR) ซึ่งธนาคารจะแจ้งให้ทราบถึงการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยดังกล่าว โดยจะประกาศไว้​ ณ สถานที่ทำการให้บริการและเว็บไซต์ของธนาคาร 2.MLR ณ วันที 18 สิงหาคม​ 2563 เท่ากับ 6.525% ตอ่ ปี 3.เลือก​ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ (MRTA)​ ผ่านธนาคาร ทุนประกันภัยเท่ากับวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาเอาประกันภัยขั้นต่ำ 1​​0 ปี กรณีที่ระยะเวลาการกู้ไม่ถึง 10 ปีให้ระยะเวลาเอาประกันภัยเท่ากับระยะเวลาการกู้ 4.กรณี Refinance ไปสถาบันการเงินอื่นก่อนครบ​ 3 ปีแรก คิดค่า Prepayment Penalty 3% ของเงินต้นคงค้าง​ 5.กรณีเลือกใช้เงื่อนไขอัตราดอกเบี้ยแบบฟรีค่าจดจำนอง หากลูกค้า​ Re-Finance หรือชำระปิดบัญชีก่อนระยะเวลาที่กำหนดไว้ทุกกรณี ลูกค้าต้องชำระคืนค่าจดจำนองที่ธนาคารเคยสำรองจ่ายให้ แก่ธนาคาร​ 6.ค่าประเมินหลักประกันเริ่มต้น​ 3,210 บาท ค่าอากรแสตมป์ ร้อยละ​ 0.05 ของวงเงินกู้ (สูงสุดไม่เกิน​ 10,000 บาท) 7.ค่าธรรมเนียมติดตามทวงถามหนี้ : ค้างชำระ 1 งวด 50 บาท/รอบการทวงถามหนี้ ค้างชำระมากกว่า 1 งวด 100 บาท/รอบการทวงถามหนี้ 8.เบี้ยประกันอัคคีภัย เป็นไปตามที่บริษัทประกันภัยกำหนด โดยผู้กู้สามารถเลือกทำประกันภัยกับบริษัทที่น่าเชื่อถือใดก็ได้ 6.ธนาคารซีไอเอ็มบี ธนาคารซีไอเอ็มบี มี อัพเดทดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ ที่ให้อัตราดอกเบี้ยเท่ากับช่วงเดือนที่ผ่านมา โดยประเภทสินเชื่อรีไฟแนนซ์ และขอวงเงินเพิ่ม (กรณีไม่ขอวงเงินเพิ่มมีอัตราดอกเบี้ยเฉพาะสอบถามได้จากทางธนาคาร) มีอัตราการคิดดอกเบี้ย ดังนี้ สำหรับพนักงานประจำ รายได้ 30,000 บาทขึ้นไป แบบทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย  (MRR-3.66%) = 3.69% ระยะเวลาที่เหลือ ดอกเบี้ย (MRR-2.00%) =5.35% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.69% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.93% แบบไม่ทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย   (MRR-3.36%) = 3.99% หลังจากนั้น (MRR-2.00%) = 5.35% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.99% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.01% สำหรับพนักงานเงินเดือน 15,000 บาท หรือเจ้าของกิจการรายได้ 30,000 บาท ขึ้นไป ทางเลือก 2 แบบทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ย MRR-3.36% = 3.99% ระยะเวลาที่เหลือ ดอกเบี้ย MRR-2.00% = 5.35% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.99% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.01% แบบไม่ทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ย MRR-3.06% = 4.29% ระยะเวลาที่เหลือ ดอกเบี้ย MRR-2.00% = 5.35% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.29% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.08% หมายเหตุ อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา คำนวณจากวงเงินกู้ 2 ล้านบาท ระยะเวลากู้ 15 ปี (MRR=7.35% ประกาศ ณ วันที่ 10 เมษายน 2563) กรณีไม่ขอวงเงินเพิ่ม สอบถามรายละเอียดกับทางธนาคารโดยตรง 7.ธนาคารทีทีบี ธนาคารทีทีบีมีแคมเปญสินเชื่อบ้านรีไฟแนนซ์ ซึ่งอัตราการคิดดอกเบี้ย สำหรับเดือนมีนาคม ​โดยข้อมูล อัพเดทดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ ในเดือนนี้ไม่มีการเปลี่ยนแปลงจากเดือนมีนาคม 2565 ดังนี้ สมัครพร้อมผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท ทางเลือก 1 ปีที่ 1-3 คิดอัตราดอกเบี้ย MRR-3.53% =2.75% หลังจากนั้น อัตราดอกเบี้ย (MRR-1.63%)=4.65% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.75% ดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.02% ทางเลือก 2 (ฟรีค่าจดจำนอง) ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-3.18%=3.1% หลังจากนั้น (MRR-1.63%)= 4.65% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี อัตรา 3.10% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.14% ทางเลือก 3 (สมัครผลิตภัณฑ์ไม่ครบทั้ง 3 ประเภท) ปีที่ 1-3 คิดอัตราดอกเบี้ย (MRR-2.74%) = 3.54% หลังจากนั้น ดอกเบี้ย 4.65% (MRR-1.63%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีดอกเบี้ย 3.54% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.29% สมัครผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท ได้แก่ 1.สมัครประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อบ้าน สไมล์ โฮม หรือ สไมล์ โฮม พลัส 2.สมัครใช้บริการ หักบัญชีอัตโนมัติผ่านบัญชีออมทรัพย์ทีทีบีเพื่อผ่อนช าระสินเชื่อบ้าน 3.สมัครบัตรเดบิต ทีทีบี (กรณีที่มีบัตรเดบิต ทีทีบีแล้ว ไม่ต้องสมัครเพิ่ม) ช่วยคุณประหยัดดอกเบี้ยได้มากขึ้น ผ่อนต่อเดือนน้อยลง และเป็นเจ้าของบ้านได้เร็วขึ้น เมื่อรีไฟแนนซ์บ้านกับทีทีบี รับข้อเสนอพิเศษ ด้วยอัตราดอกเบี้ยให้เลือก 2 แบบ ดังนี้ แบบที่ 1 สมัครพร้อมผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท  รับอัตราดอกเบี้ยพิเศษ นาน 3 ปี  ฟรี! ค่าเบี้ยประกันอัคคีภัย มูลค่าประมาณ 1,000 บาทต่อปี ต่อราคาบ้าน 1 ล้านบาท  ฟรี! ค่าจดทะเบียนจำนอง มูลค่า 1% ของเงินกู้สูงสุด 200,000 บาท  ฟรี! ค่าธรรมเนียมธนาคารของสินเชื่อบ้านทุกประเภท: ค่าประเมินราคาหลักทรัพย์, ค่าดำเนินการสินเชื่อ, ค่าทำนิติกรรมจำนอง แบบที่ 2 สมัครผลิตภัณฑ์เสริมไม่ครบทั้ง 3 ประเภท ฟรี! ค่าเบี้ยประกันอัคคีภัย มูลค่าประมาณ 1,000 บาทต่อปี ต่อราคาบ้าน 1 ล้านบาท ฟรี! ค่าธรรมเนียมธนาคารของสินเชื่อบ้านทุกประเภท: ค่าประเมินราคาหลักทรัพย์, ค่าดำเนินการสินเชื่อ, ค่าทำนิติกรรมจำนอง หมายเหตุ : -อัตราดอกเบี้ยค่าธรรมเนียมรวมถึงสิทธิพิเศษต่าง ๆ เป็นไปตามประกาศของธนาคาร -MRR (Minimum Retail Rate: อัตราดอกเบี้ย ลูกค้ารายย่อยชั้นดี) = 6.28% ต่อปี ณ วันที่ 7 พ.ค. 2564 -การทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อบ้าน (MRTA) ไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อ ทำเพื่อประโยชน์หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้นกับผู้กู้ในขณะที่ยังชำระหนี้ไม่ครบถ้วน ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงของผู้กู้และธนาคาร และไม่มีผลต่อการ พิจารณาสินเชื่อ -สำหรับลูกค้าที่ยื่นที่ยื่นกู้ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.​-30 มิ.ย. 65 และจดจำนองภายในวันที่ 31 ก.ค. 65 8.ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารไทยพาณิชย์ มีสินเชื่อทั่วไปที่รีไฟแนนซ์จากสถาบันการเงินอื่น โดยเดือนมีนาคม 2565  ​ยังคงอัตราดอกเบี้ยเท่ากับเดือนที่ผ่านมา ดังนี้ แบบไม่ทำประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 5.15% ปีต่อไป MRR-0.72%= 5.275% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 5.15% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.242% แบบทำประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ มากกว่าหรือเท่ากับ 70% ของวงเงินกู้ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.90% ปีต่อไป MRR-0.72% = 5.275% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.90% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.174% หมายเหตุ -กรณีใช้ดอกเบี้ย​แบบทำประกัน​ Credit Life 70% กำหนดให้ทำทุนประกันไม่น้อยกว่า 70% ของวงเงินกู้และระยะเวลาเอาประกัน 70% ของระยะเวลากู้ตามสัญญา โดยกำหนดให้เอาระยะเวลาขั้นต่ำ 10 ปี (กรณีระยะเวลากู้ตามสัญญาต่ำ​10 ปี กำหนดให้ระยะเวลาเอาประกันเท่ากับระยะเวลากู้ตามสัญญา) ​-ประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ รับประกันภัยโดย บมจ. ไทยพาณิชย์ประกันชีวิต บริษัทนเครือกลุ่มเอฟดับบลิวดี หากต้องการสอบถามรายละเอียด เกี่ยวกับการประกันภัยเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ ศูนย์บริการลูกค้า โท​ร.1315 ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 8.00 – 20.00 น. -ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจรายละเอียดความคุ้มครอง เงื่อนไข ​​ก่อนการตัดสินใจทำประกันภัยทุก​ ธนาคารเป็นเพียงนายหน้าผู้ชี้ช่อง หรือจัดการให้บุคคลเข้าทำสัญญาประกันภัยเท่านั้น ​การพิจารณารับประกัน ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขการรับประกันภัย ของบริษัทประกันภัย -อัตราดอกเบี้ย MRR ของธนาคารไทยพาณิชย์ เท่ากับ 5.995% ต่อปี ​(ประกาศ ณ วันที่ 9 ส.ค.2564) ซึ่งอาจะเปลี่ยนแปลงได้ตามประกาศธนาคาร -อัตราดอกเบี้ยแท้จริงที่ระบุในตารางเป็นเพียงตัวอย่างที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในฉบับนี้เท่านั้น ​ซึ่งอาจะมีความแตกต่างกัน ตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย -กรณีลูกค้าบอกเลือกประกันชีวิต หรือขอเวนคืนกรมธรรม์ หรือทำประกันไม่ครบกำหนดตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ ​ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยวงเงินกู้ เป็นอัตราดอกเบี้ยทั่วไป  ตามประกาศธนาคาร ระยะเวลากู้ตามสัญญา วงเงิน ระยเวลาผ่อนชำระ อัตราดอกเบี้ย คุณสมบัติ เอกสารปรกอบการพิจารณา และการอนุมัติเป็นไปตามเงื่อนไข หลักเกณฑ์ที่ธนาคารกำหนด 9.ธนาคารอาคารสงเคราะห์ สำหรับธนาคารอาคารสงเคราะห์ หรือ ธอส. ถือว่าเป็นธนาคารสำหรับการให้สินเชื่อเพื่อซื้อบ้านและคอนโด รวมถึงสินเชื่ออื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องโดยตรง มีสินเชื่อให้เลือกมากมายหลายประเภท สำหรับการรีไฟแนนซ์บ้านจากสถาบันการเงินอื่นก็เช่นกันมีหลากหลายประเภท โดยในส่วนสินเชื่อบ้านสุขสันต์ เพื่อให้ลูกค้าใช้บริการรีไฟแนนซ์  โดยอัตราดอกเบี้ยสำหรับเดือนมีนาคม 2565 ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนก่อนหน้า ​​โดยมีรายละเอียดอัตราดอกเบี้ย ดังนี้ แบบที่ 1 สำหรับกลุ่มลูกค้าสวัสดิการ ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 1.99% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย MRR-3.16%= 2.99% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.65%=3.5% หลังจากนั้น ดอกเบี้ย MRR-1.0%= 5.15% แบบที่ 2 สำหรับกลุ่มลูกค้ารายย่อย ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 2.09% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย  MRR-3.06%= 3.09% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย  MRR-2.55%=3.6% หลังจากนั้น ดอกเบี้ย MRR-0.5%=5.65%   หมายเหตุ -นิยามคำว่า “อาคาร” หมายถึง บ้านเดี่ยว บ้านแฝดทาวน์เฮ้าส์ และอาคารพาณิชย์เพื่อที่อยู่อาศัย ยกเว้นแฟลต และบ้านเช่า -ยกเว้น ค่าธรรมเนียมการยื่นกู้ร้อยละ 0.1 ของวงเงินทำนิติกรรม -ยื่นคำขอกู้และอนุมัติตั้งแต่วันที่ 4 ม.ค.-30 ธ.ค.​65 อนุมัติและทำนิติกรรมภายใน​ 30 ธ.ค.​​ 65 (ทั้งนี้ธนาคารสงวนสิทธิ์ในการกำหนดระยะเวลาสิ้นสุดโครงการก่อนกำหนด หากธนาคารให้สินเชื่อเต็มวงเงินของโครงการแล้ว) -MRR = 6.15% ประกาศ ณ วันที่ 25 พ.ค. 64 10.ธนาคารยูโอบี สำหรับธนาคารยูโอบี มีแคมเปญสินเชื่อบ้านรีไฟแนนซ์ UOB Home Loan – รีไฟแนนซ์ ​วงเงินกู้เพิ่มอเนกประสงค์ (ส่วนสินเชื่อประเภทรีไฟแนนซ์ไม่รวมวงเงินกู้เพิ่มอเนกประสงค์ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมกับทางธนาคาร​)  ซึ่งอัตราดอกเบี้ยในเดือนมีนาคม 65 ไม่มีการเปลี่ยนแปลงจากเดือนก่อนหน้า​ รายละเอียดดังนี้ ทางเลือก 1 ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 2.89% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย (MRR-4.46%)= 2.89% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.89% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.60% ทางเลือกที่ 2 ไม่ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 2.99% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย (MRR-4.36%) = 2.99% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.99% ลดลง อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.64% ทางเลือก 3 แบบทำประกัน ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 1.99% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย (MRR-2.36%) = 4.99% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.99% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.60% ทางเลือก 4 แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 2.09% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย (MRR-2.26%) = 5.09% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.09% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.64% หมายเหตุ 1.อัตราดอกเบี้ยแบบทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ​ (MRTA) ผ่านธนาคารยูโอบี -ทุนประกันเต็มวงเงินกู้และมีระยะเวลาเอาประกันขั้นต่ำ ​10 ปีหรือ​ -ทุนประกันขั้นต่ำ ​80% ของวงเงินกู้ และมีระยะเวลาเอาประกันเต็มระยะเวลากู้​ 2.อัตราดอกเบี้ย สำหรับสินเชื่อรีไฟแนนซ์วงเงิน​ 1 ล้านบาทอายุสัญญา​ 15 ปี MRR = 7.35% ต่อปีอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่างที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้สำหรับโฆษณาเท่านั้น อัตราดอกเบี้ยสำหรับทำสัญญากู้ยืม​ของลูกค้าแต่ละรายอาจมีความแตกต่างตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย​ 3.อัตราดอกเบี้ยนี้สำหรับวงเงินเพิ่มไม่เกิน​ 50% ของวงเงินกู้รวมทั้ง ทั้งนี้ไม่นับรวมวงเงินกู้สินเชื่ออื่นเพื่อชำระค่าเบี้ย​ประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินชื่อ ​ (MRTA) วงเงินกู้รีไฟแนนซ์สูงสุด รวมส่วนกู้เพิ่มต้องไม่เกิน 95% ของราคาประเมิน ขึ้นอยู่กับรายได้ ประเภทของลูกค้า / ประเภทและที่ตั้งของหลักประกัน/ ราคาหลักประกัน / จำนวนสัญญากู้สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยของลูกค้า วงเงินกู้รีไฟแนนซ์อนุมัติ รวมส่วนกู้เพิ่มต้องไม่เกินวงเงินกู้รีไฟแนนซ์ 4.กรณีกู้โดยไม่รวมวงเงินกู้เพิ่มอเนกประสงค์และรายละเอียดเพิ่มเติมกรุณาติดต่อธนาคารโดยตรง 5.สำหรับลูกค้าที่ยื่นขอสินเชื่อตั้งแต่ ​1 ม.ค.​- 31 มี.ค.​ 65 และจดจำนองหลักประกันกับธนาคารภายในวันที่ 29 เม.ย. 65 11.ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ มี อัพเดทดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ กับแคมเปญสินเชื่อรีไฟแนนซ์ บ้านและคอนโด ดอกเบี้ยต่ำ เพียง 0.59% ต่อปี ซึ่งไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา โดยคิดดอกเบี้ยดังนี้ แบบที่ 1 สำหรับผู้กู้รายได้ตั้งแต่ 75,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 0.59% ต่อปี แบบที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย MRR-6.76% = 0.59% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-3.37% = 3.98% ปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR-2.25%=5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.85% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.67% แบบที่ 2 ปีที่ 1 ดอกเบี้ยคงที่ 0.79% หรือ ผ่อนล้านละ 3,5000 บาท ปีที่ 2-3 ดอกเบี้ยคงที่ MRR-3.32% = 4.03% ปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR-2.25%=5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.95% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.74% แบบที่ 3 ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย MRR-5.35%=2.00% ปีที่ 3 MRR-3.55%=3.80% ปีที่ 4 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย MRR-2.25%=5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.60% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.57% แบบที่ 4 ปีที่ 1-2 ดอกเบี้ยคงที่ 2.10% หรือ ผ่อนต่ำล้านละ 3,500 บาท ปีที่ 3 ดอกเบี้ย MRR-3.45% = 3.90% ปีที่ 4 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย MRR-2.25%=5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.70% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.64% แบบที่ 5 ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ย MRR-4.75% = 2.60% ปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR-2.25%=5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.60% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.63% แบบที่ 6 ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ยคงที่ 2.80% หรือ ผ่อนล้านละ 3,500 บาท ปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR-2.25%=5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.80% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.76% แบบที่ 2 สำหรับผู้มีรายได้ตั้งแต่ 20,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 0.79% ต่อปี แบบที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย MRR-6.56% = 0.79% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-3.32% = 4.03% ปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR-2.25%=5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.95% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.74% แบบที่ 2 ปีที่ 1 ดอกเบี้ยคงที่ 0.99% หรือ ผ่อนล้านละ 3,5000 บาท ปีที่ 2-3 ดอกเบี้ยคงที่ MRR-3.27% = 4.08% ปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR-2.25%=5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.05% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.81% แบบที่ 3 ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย MRR-5.25%=2.10% ปีที่ 3 MRR-3.45%=3.9% ปีที่ 4 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย MRR-2.25%=5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.70% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.64% แบบที่ 4 ปีที่ 1-2 ดอกเบี้ยคงที่ 2.20% หรือ ผ่อนต่ำล้านละ 3,500 บาท ปีที่ 3 ดอกเบี้ย MRR-3.35% = 4.00% ปีที่ 4 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย MRR-2.25%=5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.80% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.70% แบบที่ 5 ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ย MRR-4.65% = 2.70% ปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR-2.25%=5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.70% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.69% แบบที่ 6 ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ยคงที่ 2.90% หรือ ผ่อนล้านละ 3,500 บาท ปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR-2.25%=5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.90% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.82% ข้อกำหนดและเงื่อนไข 1.สิทธิพิเศษสำหรับลูกค้า Refinance ดอกเบี้ยเริ่มต้น 0.59% ต่อปี สำหรับลูกค้าที่มีรายได้ตั้งแต่ 75,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป หรืออัตราดอกเบี้ย 0.79% ต่อปี สำหรับลูกค้าที่มีรายได้ตั้งแต่ 20,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป และเบิกรับเงินกู้ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-31 มี.ค.65 2.วงเงินกู้เริ่มต้น 1.0 ล้านบาท และราคาประเมินหลักประกัน (แนวราบ) ไม่น้อยกว่า 2.0 ล้านบาท หรือ (แนวสูง) ไม่น้อยกว่า 2.5 ล้านบาท (โครงการจัดสรรทุกโครงการ) 3.อัตราดอกเบี้ยและเงื่อนไขดังกล่าว สำหรับหลักประกันที่ได้รับการจัดสรรทุกโครงการในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ยกเว้น ที่ดินว่างเปล่า, อาคารพาณิชย์ 4.กรณีลูกค้าทำประกัน MRTA/MLTA ธนาคารทดรองจ่ายค่าจดจำนองให้ 1% ของวงเงินกู้อนุมัติ หรือสูงสุดไม่เกิน 2 แสนบาท (ทั้งนี้ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเรียกเก็บเงินทดรองจ่ายค่าจดจำนองดังกล่าวคืนจากลูกค้า กรณีลูกค้าปิดบัญชีสินเชื่อ หรือเปลี่ยนแปลงสัญญาใด ๆ ภายใน 5 ปีแรกทุกกรณี นับจากวันทำนิติกรรมจดจำนอง) 5.กรณีสมัครทำประกันชีวิต ต้องสมัครทำ MRTA/MLTA ทุนประกัน 100% ของวงเงินสินเชื่อ ระยะความคุ้มครองขั้นต่ำ 10 ปี 6.ลูกค้าสามารถเลือกใช้อัตราการผ่อนชำระขั้นต่ำล้านละ 3,500 บาท ได้ในแบบอัตราดอกเบี้ยแบบคงที่เท่านั้น 7.อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่างอัตราดอกเบี้ยสำหรับสินเชื่อที่อยู่อาศัยวงเงิน 3 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี MRR = 7.35% (ณ วันที่ 1 เม.ย. 64) ที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในโฆษณาฉบับนี้เท่านั้น ซึ่งอาจมีความแตกต่างตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย 8.อัตราดอกเบี้ย หลักเกณฑ์และเงื่อนไขอื่น ๆ เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด 12 ธนาคารออมสิน อัพเดทดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ สำหรับธนาคาออมสิน มีสินเชื่อเคหะ เพื่อซื้อ สร้างต่อเติม หรือ รีไฟแนนซ์ (นอกจากนี้ธนาคารยังมีสินเชื่อรีไฟแนนซ์ พร้อมแคมเปญฟรีค่าธรรมเนียมจดจำนอง สำหรับเงินกู้ตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป และแคมเปญกู้เพิ่มเติมเพื่อการอุปโภคบริโภคกับธนาคาร รายละเอียดสามารถสอบถามได้จากทางธนาคาร) สำหรับอัตราดอกเบี้ยประจำเดือนมีนาคม สำหรับลูกค้าทั่วไปที่ต้องการรีไฟแนนซ์ มีอัตราดอกเบี้ย ดังนี้ แบบทำประกัน ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 2.00% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-3.34% =2.905% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.6% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.126% แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 2.250% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย (MRR-2.72%) = 3.525% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.10% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.310%   หมายเหตุ -ยื่นกู้ภายในวันที่ 30 เมษายน 65 อนุมัติและจัดทำนิติกรรมสัญญาให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 31 พ.ค.65 -MRR=6.245% ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 25 พ.ค.63 -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา (EIR) คำนวณจากวงเงินกู้ 1 ล้านบาท ระยะเวลาผ่อนชำระ 20 ปี แบบผ่อนเท่ากันทุกงวด -ทำประกัน หมายถึง การทำประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ โดยหลักเกณฑ์ เงื่อนไข เป็นไปตามธนาคารกำหนด -เงื่อนไขการใช้อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อเคหะตามโปรโมชั่น สมัครบริการ MyMo และผลิตภัณฑ์/บริการอื่นของธนาคารอย่างน้อย 2 ประเภท ได้แก่ บัตรอิเล็กทรอนิกส์/บัตรเครดิต หรือสินเชื่อบัตรเงินสด/ชำระสินเชื่อหักผ่านบัญชี/ประกันชีวิตเพื่อประกันสินเชื่อ ทั้งนี้ หากลูกค้าใช้ผลิตภัณฑ์/บริการอื่นตามที่กำหนดอยู่แล้ว สามารถใช้อัตราดอกเบี้ยดังกล่าวได้ และกรณีไม่มี Smartphone ให้สมัครผลิตภัณฑ์/บริการอื่นของธนาครตามที่กำหนดแทนได้ -กรณีฟรีค่าธรรมเนียมจดจำนองให้ตามที่จ่ายจริง (รวมทุกสัญญาที่กู้ในคราวเดียวกัน) และลูกค้าต้องสำรองจ่ายค่าจดจำนองแก่กรมที่ดินไปก่อนโดยธนาคารจะโอนเงินหลังหักภาษี ณ ที่จ่าย 1% ของเงินค่าธรรมเนียมจดจำนองคืนภายใน 30 วัน -กรณีผู้กู้ชำระคืนเงินกู้เสร็จสิ้น หรือไถ่ถอนจำนองก่อนครบกำหนด (Prepayment) ภายในระยะเวลา 3 ปี นับแต่วันที่ทำสัญญากู้เงิน ผู้กู้ต้องเสียค่าธรรมเนียมตามที่ธนาคารกำหนด (ปัจจุบันร้อยละ 3.0 ของยอดเงินคงเหลือ) ทั้งนี้ กรณีเลือกอัตราดอกเบี้ยกรณีไถ่ถอนจำนองสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยจากสถาบันการเงินอื่น (Re-Finance) และฟรีค่าธรรมเนียมจดจำนอง ผู้กู้จะต้องชำระค่าจดจำนองคืนแก่ธนาคารเต็มจำนวน -หลักเกณฑ์เงื่อนไขอื่น ๆ ให้เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด โดยธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์เงื่อนไขโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า​     ที่มา : Reviewyourliving รวบรวมข้อมูลจากเว็บไซต์ธนาคาร ณ วันที่ 2 มีนาคม 2565   บทความที่เกี่ยวข้อง อัพเดทดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ สินเชื่อกู้ซื้อบ้าน เดือนกุมภาพันธ์ 2565 แบงก์ไหนให้ดอกเบี้ยถูกสุด อัพเดทดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เดือนมีนาคม 2565  
อัพเดทดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เดือนมีนาคม 2565

อัพเดทดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เดือนมีนาคม 2565

อัพเดทดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน  เข้าสู่เดือนสุดท้ายของไตรมาสแรกปี 2565 แล้ว บรรยากาศบ้านเมือง มีทิศทางที่ดีขึ้น คนทั่วไปออกมาใช้ชีวิตเป็นปกติ กิจกรรมทางเศรษฐกิจเริ่มขยับเพิ่มมากขึ้น แม้ว่าการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จะยังคงมีอยู่ อัตราการติดเชื้อก็มีตัวเลขสูงพอควร แต่ความรุนแรงไม่มากเท่าอดีต อัตราการเสียชีวิตเริ่มคงที่ ถือเป็นสัญญาณที่ดี ว่าตอนนี้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่มากพอสมควร จากอัตราการได้รับวัคซีนครบ 2 เข็มของคนไทยที่มากพอสมควร   ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2565 สัญญาณการฟื้นตัวปรับไปในทิศทางที่ดี เห็นได้จากความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการ ที่ออกมาประกาศแผนธุรกิจของปี 2565 ซึ่งแต่ละรายไม่ได้ลดระดับความร้อนแรงลงเลย ในทางตรงกันข้ามกลับบุกตลาดหนักมากขึ้น หลังจาก 2 ปีที่ชะลอแผนไป สาเหตุหนึ่งคงเป็นเพราะมองว่าอะไร ๆ ก็น่าจะดีขึ้น และมีปัจจัยบวกสนับสนุนตลาดอยู่หลายประเด็น   หนึ่งในประเด็นที่ช่วยผลักดันตลาด ก็คือ อัตราดอกเบี้ยการให้สินเชื่อกู้ซื้อบ้านและคอนโดมิเนียม ของสถาบันการเงินยังอยู่ในเกณฑ์ต่ำ ทำให้เป็นโอกาสของคนที่มีความพร้อมและมีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัย ในการรับอัตราดอกเบี้ยดังกล่าว ส่วนธนาคารไหนให้อัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เท่าไรบ้างนั้น Reviewyourliving ได้อัพเดทสถานการณ์ ดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ของเดือนมีนาคม 2565 รวบรวมไว้ให้แล้ว ซึ่งภาพรวมทั้งหมดยังคงอัตราดอกเบี้ยไว้เท่าเดิม อัพเดทดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด  1.ธนาคารกรุงเทพ สำหรับธนาคารกรุงเทพ มีสินเชื่อบ้านบัวหลวง ที่ให้บริการลูกค้า 2 กลุ่ม คือ ลูกค้าพนักงานที่มีรายได้ประจำ และลูกค้าทั่วไป  โดยอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านและคอนโด ประจำเดือนมีนาคม 2565 ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา อัตราดอกเบี้ยเฉพาะพนักงานที่มีรายได้ประจำ  วงเงินตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป แต่ไม่เกิน 5 ล้านบาท  (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 3 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1   ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.00% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.95% (MRR-1.00%) หลังจากนั้น 5.2%  (MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.65% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1-3  อัตราดอกเบี้ย 4.2% (MRR-1.75%) หลังจากนั้น 5.2% (MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.65% อัตราดอกเบี้ยเฉพาะพนักงานที่มีรายได้ประจำ วงเงินตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 5 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.00% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.45% (MRR-1.50%) หลังจากนั้น คิดอัตราดอกเบี้ย 5.2% (MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.48% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1-3  อัตราดอกเบี้ย 4.075% (MRR-1.875%) หลังจากนั้น 5.2% (MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.48% อัตราดอกเบี้ยพิเศษสำหรับลูกค้าทั่วไป วงเงินตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป แต่ไม่เกิน 5 ล้านบาท (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 3 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.50% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.95% (MRR-1.00%) หลังจากนั้น  5.45% (MRR-0.50%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.87% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 4.45%(MRR-1.50%) ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.45%(MRR-1.50%) หลังจากนั้น 5.45%  (MRR-0.50%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.9% อัตราดอกเบี้ยพิเศษสำหรับลกค้าทั่วไป วงเงินตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 5 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.00% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.7%(MRR-1.25%) หลังจากนั้น 5.2% (MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.57% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 4.075%(MRR-1.875%) ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.075% (MRR-1.875%) หลังจากนั้น 5.2%(MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.58%   -กรณีวงเงิน ตั้งแต่ 500,000 บาทแต่ไม่เกิน 1 ล้านบาท คิดอัตราดอกเบี้ย คงที่ปีแรก 4.75% หลังจากนั้น คิดอัตราดอกเบี้ย MRR-0.50% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา -กรณีวงเงินต่ำกว่า ​500,000 บาท คิดอัตราดอกเบี้ย MRR-0.50% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา -กรณีหลักประกันสิทธิการเช่า ​คิดอัตราดอกเบี้ย​ MRR-0.75% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา -กรณีหลักประกันที่ดินเปล่าเพื่อการอยู่อาศัย คิดอัตราดอกเบี้ย ​MRR-0.25% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา   หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ยนี้สำหรับผู้ที่ยื่นคำขอสินเชื่อพร้อมเอกสารครบถ้วน ตั้งแต่วันที่ 5 ม.ค.- 31 มี.ค. 65 โดยผู้กู้ต้องลงนามในสัญญากู้ภายใน 1 เดือน นับตั้งแต่วันที่อนุมัติสินเชื่อ​และจดทะเบียนจำนองพร้อมเบิกเงินกู้งวดแรกหรือทั้งหมดภายใน 2 เดือน นับตั้งแต่วันที่ลงนามในสัญญา ​ -พนักงานที่มีรายได้ประจำ หมายถึง พนักงานที่มีรายได้หลัก หรือ มีความสามารถในการชำระคืนหลัก จากรายได้ประจำ -รูปแบบการชำ​ระแบบคงที่ เลือกผ่อนได้ทุกทางเลือก/รูปแบบการผ่อนชำ​ระแบบขั้นบันได เลือกผ่อนได้เฉพาะทางเลือกที่ 1 -อัตราส่วนวงเงินกู้สูงสุดและมูลค่าหลักประกันให้เป็นไปตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย -อัตราดอกเบี้ย MRR ปัจจุบันตามประกาศของธนาคาร ณ วันที่ 17 มิ.ย. 64 เท่ากับ 5.95% ต่อปี -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยรวมทั้งหลักเกณฑ์และเงื่อนไข ​​ 2.ธนาคารกรุงไทย อัพเดทดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด สำหรับธนาคารกรุงไทย มีสินเชื่อสำหรับบ้านใหม่ กรุงไทย SURE  โดยไม่คิดค่า  ธรรมเนียมยื่นกู้  โดยเดือนนี้อัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด  ไม่เปลี่ยนเปลี่ยนแปลงจากช่วงเดือนมีนาคม ที่ผ่านมา ​​ดังนี้ แบบคงที่ 1 ปี ฟรีค่าธรรมเนียมยื่นกู้ แบบทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 0.75% ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 3.82% (MRR-2.4%) ปีที่ 3 ดอกเบี้ย 3.82% (MRR-2.4%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 2.80% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.20% แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 1.0% ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 3.82% (MRR-2.4%) ปีที่ 3 ดอกเบี้ย 3.87% (MRR-2.35%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 2.90% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.24% แบบลอยตัว แบบทำประกัน ปีที่ 1-3  ดอกเบี้ย 2.77%  (MRR-3.45%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 2.77% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.22% แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ย 2.87% (MRR-3.35%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 2.87% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.26%   สินเชื่อสำหรับการกู้ซื้อบ้านที่ธนาคารออกค่าจดจำนองให้** และ ฟรี ค่าธรรมเนียมยื่นกู้ แบบคงที่ แบบทำประกัน  คิดอัตราดอกเบี้ย ดังนี้ ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 0.75% ปีที่ 2-3 ดอกเบี้ย 4.32% (MRR-1.9%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 3.13% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.32% แบบไม่ทำประกัน  คิดอัตราดอกเบี้ย ดังนี้ ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 1.0% ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 4.32% (MRR-1.9%) ปีที่ 3 ดอกเบี้ย 4.32% (MRR-1.9%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 3.23% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา = 4.35% แบบลอยตัว แบบทำประกัน  คิดอัตราดอกเบี้ย ดังนี้ ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ย 3.12% (MRR-3.10%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 3.12% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.35% แบบไม่ทำประกัน  คิดอัตราดอกเบี้ย ดังนี้ ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ย 3.22% (MRR-3.0%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 3.22% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 3.38%   การทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ* : ทำประกันทางเลือกใด ทางเลือกหนึ่ง ดังนี้ 1.ทำ MRTA/GLT SP เต็มวงเงินกู้ และระยะเวลาทำประกันขั้นต่ำ 10 ปี 2.ทำ MRTA/GLT SP 70% ของวงเงินกู้และระยะเวลากู้ 3.ทำ MRTA/GLT SP 70% ของวงเงินกู้และระยะเวลากู้ และระยะเวลาทำประกันขั้นต่ำ 15 ปี ทั้งนี้ การทำประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองวงเงินสินเชื่อเป็นไปตามความสมัครใจของลูกค้า และไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อ **ธนาคารออกค่าจดจำนองให้ 1% สูงสุดไม่เกินรายละ 200,000 บาท หากลูกค้าปิดบัญชีก่อน 5 ปี ธนาคารจะเรียกเก็บค่าจดจำนองคืน ***อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (EIR) คำนวณจากวงเงินกู้ 1.00 ล้านบาท อายุสัญญา 20 ปี ผ่อนชำระ 6,500 บาท/เดือน เงื่อนไขอื่น ๆ เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด การพิจารณาสินเชื่ออยู่ภายใต้ดุลยพินิจของธนาคาร ยื่นสมัครสินเชื่อ ภายในวันที่ 30 มี.ค.65 MRR = 6.22% ต่อปี (ณ 1 เม.ย. 2564) 3.ธนาคารกรุงศรี ธนาคารกรุงศรี มีสินเชื่อบ้านกรุงศรี เพื่อซื้อที่อยู่อาศัย (บ้านใหม่/บ้านมือสอง) สำหรับลูกค้าทั่วไป โดยมีแคมเปญฟรี ค่าธรรมเนียมสำรวจ และค่าประเมินอัตราดอกเบี้ยยังคงเท่าเดิมจากเดือนที่ผ่านมา โดยมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ สำหรับการกู้ในวงเงิน 1 ล้านบาท แต่ไม่ถึง 5 ล้านบาท ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 2.9% ( MRR-3.15%) ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 4.05% (MRR-2.00%) ปีที่ 3 เป็นต้นไป 4.95% (MRR-1.10%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.97% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.39% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 เดือนที่ 1-6 อัตราดอกเบี้ย 1.50% เดือนที่ 7-12 ดอกเบี้ย MRR-1.60% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 4.7% (MRR-1.35%) ปีที่ 3 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย 4.95% (MRR-1.10%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.21% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.52% สำหรับการกู้เงินในวงเงินตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 2.55%  (MRR-3.50%) ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 3.3%  (MRR-2.75%) ปีที่ 3 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย 4.7% (MRR-1.35%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.52% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.02% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 เดือนที่ 1-6 อัตราดอกเบี้ย 1.25% เดือนที่ 7-12 ดอกเบี้ย 4.1% (MRR-1.95%) ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 4.3% (MRR-1.75%) ปีที่ 3 เป็นต้นไป 4.7%  (MRR-1.35%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.89% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.23%   หมายเหตุ * อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้นเป็นเพียงการแสดงตัวอย่าง โดยคำนวณจากฐานวงเงินกู้ 2 ล้านบาท สำหรับวงเงินกู้ที่ได้รับอนุมัติตั้งแต่ 1 ล้านบาท แต่ไม่ถึง 5 ล้านบาท และฐานวงเงินกู้ 5 ล้านบาท สำหรับวงเงินกู้ที่ได้รับอนุมัติตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป ด้วยระยะเวลาการกู้ 10 ปี ในกรณีที่ลูกค้า ซื้อ MRTA/MLTA หากค่าเบี้ย MRTA/MLTA เปลี่ยนแปลง อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงอาจเปลี่ยนแปลงได้ เงื่อนไขการรับสิทธิพิเศษสาหรับลูกค้าที่ซื้อประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ (MRTA/MLTA) -รับส่วนลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ต่อปี เฉพาะในปีที่ 1 จากอัตราดอกเบี้ยทุกทางเลือก ลูกค้าต้องซื้อ MRTA/MLTA ที่ร่วมรายการตามเงื่อนไขดังนี้ 1.ผลิตภัณฑ์ MRTA/MLTA ที่ร่วมรายการได้แก่ MRTA : แผนกรุงศรี เซฟตี้โลน 1 พลัส หรือ กรุงศรี เซฟตี้โลน 1 หรือ กรุงศรี เซฟตี้โลน 2 / MLTA : กรุงศรี รักบ้าน รักคุณ หรือกรุงศรี รักบ้าน รักคุณ พลัส เท่านั้น 2.กรณีผู้กู้หลักเป็นพนักงานเงินเดือนที่มีรายได้ ประจำ​ต้องซื้อ MRTA/MLTA 100% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 15 ปี หรือซื้ออย่างน้อย 70% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความ คุ้มครองไม่ต่ำกว่า 20 ปี 3.กรณีผู้กู้หลักเป็นผู้ประกอบธุรกิจส่วนตัว ต้องซื้อ MRTA/MLTA อย่างน้อย 80% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 10 ปี หรือซื้อย่างน้อย 50% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 15 ปี 4.กรณีมีผู้กู้ร่วม สามารถซื้อ MRTA/MLTA เฉพาะผู้กู้หลักเพียงคนเดียวได้ หรือหากผู้กู้ร่วมประสงค์ที่จะซื้อ MRTA/MLTA ด้วย ผู้กู้หลักและผู้กู้ร่วมทุกคนจะต้องมีทุนประกันขั้นต่ำในสัดส่วนที่เท่ากัน ขอสงวนสิทธิ์ในการปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย เป็นอัตราดอกเบี้ยปกติตามที่ลูกค้าได้เลือกไว้ โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ในกรณีที่บริษัทประกันไม่ อนุมัติ MRTA/MLTA หรือในกรณีที่ลูกค้าขอยกเลิก MRTA/MLTA -ตามประกาศธนาคาร ณ วันที่ 21 พ.ค. 63 อัตราดอกเบี้ย MRR = 6.05% ต่อปี -อัตราดอกเบี้ยนี้สำหรับลูกค้าที่ยื่นขอสินเชื่อตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. – 30 เม.ย. 65 โดยจดจำนองและเบิกรับเงินกู้ภายในวันที่ 31 พ.ค. 65 -ค่าธรรมเนียมอื่น ๆ เป็นไปตามประกาศของธนาคาร -การพิจารณา อนุมัติสินเชื่อเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด -วงเงินกู้อนุมัติสูงสุดเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด และไม่เกินกว่า วงเงินกู้สูงสุดต่อมูลค่าหลักประกัน (ราคาซื้อขาย) ตามหลักเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์เรียกเก็บค่าเบี้ยปรับกรณีปิด ภาระหนี้ก่อนกำหนด (กรณีที่ลูกค้ารีไฟแนนซ์ไปสถาบันการเงินอื่นภายใน 3 ปีแรกนับจากวันทำสัญญา) คิดเป็น 3% ของยอดหนี้คงเหลือ 4.ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารกสิกรไทย มีสินเชื่อกู้ซื้อบ้านสำหรับบ้านใหม่ให้กับลูกค้าทั่วไป โดยพิจารณาเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่มีรายได้ประจำ และกลุ่มลูกค้าผู้ประกอบการ ซึ่งเดือนนี้อัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา โดยมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ สำหรับลูกค้าที่มีรายได้ระจำ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย = n.a. อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 7.72% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 7.72% สำหรับลูกค้าผู้ประกอบการ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย = n.a. อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 8.22% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 8.22% หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ย MRR = 5.97% (ประกาศ ณ วันที่ 22 พ.ค. 2563) ทั้งนี้อัตราดอกเบี้ย MRR ให้อ้างอิงอัตราดอกเบี้ยตามประกาศของธนาคาร ณ วันที่ลูกค้ายื่นใบสมัครสินเชื่อ -อัตราดอกเบี้ยดังกล่าวสำหรับลูกค้าที่ยื่นกู้ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 31 มีนาคม 2565 โดยสามารถยื่นกู้ได้สำหรับที่อยู่อาศัยทุกประเภท ยกเว้นการกู้เพื่อซื้อที่ดินเปล่า -รับส่วนลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติม 0.25% ในปีแรก หากทำประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองสินเชื่อบ้านตามเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด -กรณียื่นกู้บ้านในโครงการจัดสรรที่ธนาคารสนับสนุน ธนาคารฯมีอัตราดอกเบี้ยพิเศษ สอบถามรายละเอียดและเงื่อนไขเพิ่มเติมได้ที่ K-Contact Center 02-8888888 ต่อ 887 5.ธนาคารเกียรตินาคิน ธนาคารเกียรตินาคิน มีสินเชื่อเพื่อซื้อที่อยู่อาศัย (KKP Home Loan เพื่อซื้อที่อยู่อาศัย) กรณี บ้านใหม่ : ซื้อบ้านจากบริษัทพัฒนา อสังหาริมทรัพย์ที่ธนาคารกำหนด ซึ่งคิดอัตราดอกเบี้ยในอัตราเดิมเท่ากับเดือนที่ผ่านมา โดยธนาคารเกียรตินาคินมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ ดอกเบี้ยคงที่ 2 ปี แบบทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย  2.45%-2.75% ปีต่อไป ดอกเบี้ย  4.775% (MLR-1.75%) แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.65%-2.95% ปีต่อไป ดอกเบี้ย 4.775% (MLR-1.75%) ดอกเบี้ยคงที่ 3 ปี แบบทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.60%-2.99% ปีต่อไป ดอกเบี้ย 4.775% (MLR-1.75%) แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.80%-3.19% ปีต่อไป ดอกเบี้ย 4.775% (MLR-1.75%)   หมายเหตุ 1.อัตราดอกเบี้ยขึ้นอยู่กับปัจจัยอ้างอิง เช่น อัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา (MLR) ซึ่งธนาคารจะแจ้งให้ทราบถึงการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยดังกล่าว  โดยจะประกาศไว้ ณ สถานที่ทำการให้บริการและ​เว็บไซต์ของธนาคาร 2.MLR ณ วันที่​ 18 สิงหาคม 2563 เท่กับ​ 6.525% ต่อปี 3.เลือกทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ​(MRTA)ผ่านธนาคาร ทุนประกันภัยเท่ากับวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาเอาประกันภัยขั้นต่ำ 10 ปี กรณีที่ระยะเวลาการกู้ไม่ถึง 10 ปี ให้ระยะเวลาเอา​​​​​​ประกันภัยเท่ากับระยะเวลาการกู้ 4.กรณี Refinance ไปสถาบันการเงินอื่นก่อนครบ 3 ปี แรก คิดค่า​ Prepayment Penalty 3% ของเงินต้นคงค้าง 5.​กรณีเลือกใช้เงื่อนไขอัตราดอกเบี้ยแบบฟรีค่าจดจำนอง ​​หากลูกค้า Re-Finance หรือชำระปิดบัญชีก่อนระยะเวลาที่กำหนดไว้ ลูกค้าต้องชำระค่าจดจำนองที่ธนาคาร เคยสำรองจ่ายให้แก่ธนาคาร​ 6.ค่าประเมินหลักประกันเริ่มต้น 3,210 บาท  ค่าอากรแสตมป์ 0.05% ของวงเงินกู้ (สูงสุดไม่เกิน 10,000 บาท) 7.เบี้ยประกันอัคคี ​เป็นไปตามที่บริษัทประกันภัยกำหนด ​โดยผู้กู้สามารถเลือกทำประกันกับบริษัทที่น่าเชื่อถือใดก็ได้ ​ a.อัตราส่วนวงเงินกู้ยืมสูงสุด ต่อหลักประกัน 100% ของราคาซื้อขายจริง หรือราคาประเมินธนาคาร แล้วแต่ราคาใดต่ำกว่า ยกเว้นธนาคารมีกำหนดเงื่อนไขพิเศษอื่น ๆ สำหรับบางโครงการ อาจจะได้รับอัตราส่วนวงเงินกู้ยืมสูงสุดต่อหลักประกัน​ 100% b.ระยะเวลากู้สูงสุด ​30 ปี (อายุผู้รวมระยะเวลากู้ไม่เกิน 65 ปี สำหรับพนักงานเงินเดือนประจำ และไม่เกิน 70 ปี สำหรับเจ้าของกิจการ/ธุรกิจส่วนตัว) 6.ธนาคารซีไอเอ็มบี ธนาคารซีไอเอ็มบี สินเชื่อบ้าน โฮมโลนฟอร์ยู ให้กับพนักงานประจำ ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ ผู้ประกอบการ และเจ้าของกิจการ  โดยคิดอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เท่ากับเดือนที่ผ่านมา ซึ่งธนาคารซีไอเอ็มบี มีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ สำหรับพนักงานประจำ รายได้ 15,000 บาท หรือเจ้าของกิจการรายได้ 30,000 บาท ประเภททำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.25% (MRR-3.1%) ระยะเวลาที่เหลือ ดอกเบี้ย 5.35% (MRR-2.0%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.25% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 5.07% แบบไม่ทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.55% (MRR-2.8%) หลังจากนั้น 5.35% (MRR-2.0%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.55% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.15% หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา คำนวณจากวงเงินกู้ 2 ล้านบาท ระยะเวลากู้ 15 ปี (MRR=7.35% ประกาศ ณ วันที่ 9 ธันวาคม 2564) -ธนาคารยังมีอัตราดอกเบี้ยสำหรับพนักงานประจำรายได้ 30,000-50,000 หรือเจ้าของกิจการรายได้ 50,000 บาทขึ้นไปไว้พิจารณาด้วย รวมถึงสินเชื่อสำหรับโครงการที่ธนาคารเป็นผู้สนับสนุน 7.ธนาคารทีทีบี ธนาคารทีทีบี มีสินเชื่อบ้านใหม่ สำหรับการซื้อบ้านหรือคอนโดจากโครงการทั่วไป ภายใต้แคมเปญดอกเบี้ยพิเศษเริ่มต้นเฉลี่ย 3 ปีแรก 4.05% ต่อปี จะได้รับฟรีค่าเบี้ยประกันอัคคีภัย ค่าจดทะเบียนจำนอง และค่าประเมินหลักทรัพย์ ซึ่งอัพเดทอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ของเดือนมีนาคม ยังคงใช้ในอัตราเท่ากับเดือนที่ผ่านมา  โดยมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ สมัครพร้อมผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท ทางเลือก 1 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.05% (MRR-2.23%) หลังจากนั้น อัตราดอกเบี้ย 4.65% (MRR-1.63%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.05% ดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.46% ทางเลือก 2 (ฟรีค่าจดจำนอง) ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.4% (MRR-1.88%) หลังจากนั้น 4.65% (MRR-1.63%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.4% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.57% ทางเลือก 3 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.65% (MRR-1.63%) หลังจากนั้น ดอกเบี้ย 4.65% (MRR-1.63%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 4.65% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา ดอกเบี้ย 4.65% รายละเอียดเงื่อนไข สมัครผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท ได้แก่ 1.สมัครประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ สไมล์โฮม หรือ สไมล์โฮม พลัส ​ 2.สมัครใช้บริการหักบัญชีอัตโนมัติผ่านบัญชีออมทรัพย์ ทีทีบี เพื่อผ่อนชำระสินเชื่อบ้าน 3.สมัครบัตรเดบิต ttb (กรณีที่คุณมีบัตรเดบิต ttb แล้ว ไม่ต้องสมัครเพิ่ม) กู้ซื้อบ้าน คอนโดใหม่ กับทีทีบี รับข้อเสนอพิเศษ ด้วยอัตราดอกเบี้ย ให้เลือก 2 แบบ ดังนี้ แบบที่ 1 สมัครพร้อมผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท -รับอัตราดอกเบี้ยพิเศษนาน 3 ปี -ฟรีประกันอัคคีภัยมูลค่าประมาณ 1,000 บาทต่อปี ต่อราคาบ้าน 1 ล้านบาท -ฟรีค่าจดทะเบียนจำนอง 1% ของเงินกู้สูงสุดถึง 200,000 บาท -ฟรี ค่าธรรมเนียมธนาคารของสินเชื่อบ้านทุกประเภท: ค่าประเมินราคาหลักทรัพย์, ค่าดำเนินการสินเชื่อ, ค่าทำนิติกรรม จำนอง แบบที่ 2 สมัครผลิตภัณฑ์เสริมไม่ครบทั้ง 3 ประเภท​ -ฟรีประกันอัคคีภัย มูลค่าประมาณ 1,000 บาทต่อปี ต่อราคาบ้าน 1 ล้านบาท -ฟรี ค่าธรรมเนียมธนาคารของสินเชื่อบ้านทุกประเภท: ค่าประเมินราคาหลักทรัพย์, ค่าดำเนินการสินเชื่อ, ค่าทำนิติกรรม จำนอง หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ยค่าธรรมเนียมรวมถึงสิทธิพิเศษต่าง ๆ เป็นไปตามประกาศของธนาคาร การทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อบ้าน (MRTA) ไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อทำเพื่อประโยชน์หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้นกับผู้กู้ในขณะที่ยังชำระหนี้ไม่ครบถ้วน ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงของผู้กู้และธนาคาร และไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อ -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา คำนวณจากวงเงินสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย 3 ล้านบาท อายุสัญญา 20 ปี -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการพิจารณาอนุมัติวงเงินกู้และอัตราดอกเบี้ยตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของธนาคาร -ธนาคารขอสงวนสิทธิเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่แจ้งไว้ในเอกสารฉบับนี้ โดยไม่ ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า -ในกรณีที่ธนาคารเป็นผู้ชำระค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนจำนองหลักประกันแทนผู้กู้หากผู้กู้มีความประสงค์จะไถ่ถอนหลักประกันและชำระหนี้คืนทั้งหมดภายในระยะเวลา 5 ปี นับแต่วันเบิกใช้เงินกู้ ครั้งแรก ผู้กู้ตกลงคืนเงินค่าธรรมเนียมจดจำนองหลักประกันตามจำนวนเงินที่ธนาคารได้ช าระไปให้แก่ธนาคาร ในวันที่ผู้กู้ได้ชำระหนี้ทั้งหมดเสร็จสิ้น (ค่าธรรมเนียมจดจำนอง 1% สูงสุดไม่เกิน 200,000 บาท) -กค้าต้องสำรอง จ่ายค่าจดจำนองแก่กรมที่ดินก่อน โดยธนาคารจะโอนเงินคืนเข้าบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ที่ลูกค้าใช้หักชำระค่างวดกับธนาคารภายใน 30 วันทำการนับจากวันที่ลูกค้าจดจำนอง -MRR = 6.28% ตามประกาศธนาคาร https://www.ttbbank.com/th/rates/loan-interest-rates -สำหรับลูกค้าที่ยื่นกู้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565 ถึง 30 มิถุนายน 2565 และจดจำนอง ภายใน 31 กรกฎาคม 2565 8.ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารไทยพาณิชย์ มีสินเชื่อบ้านสำหรับลูกค้าทั่วไป โดยคิดอัตราดอกเบี้ย เท่ากับช่วงเดือนที่ผ่านมา  คิดอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ แบบไม่ทำประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 5.995% ปีต่อไป MRR = 5.995% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 5.995% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.995% แบบทำประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ มากกว่าหรือเท่ากับ 70% ของวงเงินกู้ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 5.95% ปีต่อไป MRR = 5.995% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 5.95% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.983% หมายเหตุ -กรณีใช้ดอกเบี้ย​แบบทำประกัน​ Credit Life 70% กำหนดให้ทำทุนประกันไม่น้อยกว่า 70% ของวงเงินกู้และระยะเวลาเอาประกัน 70% ของระยะเวลากู้ตามสัญญา โดยกำหนดให้เอาระยะเวลาขั้นต่ำ 10  ปี (กรณีระยะเวลากู้ตามสัญญาต่ำ​10 ปี กำหนดให้ระยะเวลาเอาประกันเท่ากับระยะเวลากู้ตามสัญญา) ​-ประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ รับประกันภัยโดย บมจ. ไทยพาณิชย์ประกันชีวิต บริษัทนเครือกลุ่มเอฟดับบลิวดี หากต้องการสอบถามรายละเอียด เกี่ยวกับการประกันภัยเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ ศูนย์บริการลูกค้า โท​ร. 1315 ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 8.00 – 20.00 น. -ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจรายละเอียดความคุ้มครอง เงื่อนไข ​​ก่อนการตัดสินใจทำประกันภัยทุก​ ธนาคารเป็นเพียงนายหน้าผู้ชี้ช่อง หรือจัดการให้บุคคลเข้าทำสัญญาประกันภัยเท่านั้น ​การพิจารณารับประกัน ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขการรับประกันภัย ของบริษัทประกันภัย -อัตราดอกเบี้ย MRR ของธนาคารไทยพาณิชย์ เท่ากับ 5.995% ต่อปี ​(ประกาศ ณ วันที่ 9 สิงหาคม 2564) ซึ่งอาจะเปลี่ยนแปลงได้ตามประกาศธนาคาร -อัตราดอกเบี้ยแท้จริงที่ระบุในตารางเป็นเพียงตัวอย่างที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในฉบับนี้เท่านั้น ​ซึ่งอาจะมีความแตกต่างกัน ตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย -กรณีลูกค้าบอกเลือกประกันชีวิต หรือขอเวนคืนกรมธรรม์ หรือทำประกันไม่ครบกำหนดตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ ​ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยวงเงินกู้ เป็นอัตราดอกเบี้ยทั่วไป  ตามประกาศธนาคาร ระยะเวลากู้ตามสัญญา วงเงิน ระยะเวลาผ่อนชำระ อัตราดอกเบี้ย คุณสมบัติ เอกสารปรกอบการพิจารณา และการอนุมัติเป็นไปตามเงื่อนไข หลักเกณฑ์ที่ธนาคารกำหนด 9.ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์  หรือ ธอส. มีสินเชื่อสำหรับการซื้อบ้านหลากหลายประเภท โดยประเภทสินเชื่อโครงการบ้าน ธอส. เพื่อคุณ ปี 2565 ​มีการคิดอัตราดอกเบี้ย ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา เนื่องจากแคมเปญสิ้นสุดเดือนธันวาคม 2565  โดยมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.15% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 3.9% (MRR-2.25%) ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 4.75% (MRR-1.4%) หลังจากนั้น ดอกเบี้ยตลอดอายุสัญญา  5.4% หมายเหตุ -ยื่นคำขอกู้และอนุมัติตั้งแต่วันที่ 2 ม.ค.-30 ธ.ค.65   (ธนาคารสงวนสิทธิ์ในการกำหนดระยะเวลาสิ้นสุดโครงการก่อนกำหนด หากธนาคารให้สินเชื่อเติมวงเงินของโครงการแล้ว) -อัตราดอกเบี้ย MRR = 6.15% ประกาศ ณ วันที่ 25 พฤษภาคม 2563 -ยกเว้น ค่าธรรมเนียมยื่นกู้ 0.1% ของวงเงินกู้และทุกบัญชีเงินกู้ภายใต้หลักประกันเดียวกัน 10.ธนาคารยูโอบี ธนาคารยูโอบี มีสินเชื่อบ้านสำหรับโครงการหมู่บ้านทั่วไป  โดยอัพเดทดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ด้วยการคิดอัตราดอกเบี้ย เท่ากับเดือนที่ผ่าน  ซึ่งธนาคารยูโอบีมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด  ดังนี้ ทางเลือก 1 ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 3.35% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 3.35% (MRR-4.0%) อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.79% ทางเลือกที่ 2 ไม่ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 3.55% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 3.55% (MRR-3.80%) หลังจากนั้น 5.75% (MRR-1.60%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.55% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.87% ทางเลือกที่ 3 ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 2.8% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 4.75%  (MRR-2.60%) หลังจากนั้น 5.75% (MRR-1.60%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.45% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.8% ทางเลือกที่ 4 ไม่ทำประกันคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 3.0% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 4.95%  (MRR-2.24%) ปีที่ 4 อัตราดอกเบี้ย 5.75% (MRR-1.60%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.65% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.96% หมายเหตุ -ขอสินเชื่อตั้งแต่ 1 ม.ค.- 31 มี.ค. 65 และจดจำนองหลักประกันกับธนาคารภายใน 29 เม.ย.​ 65 -อัตราดอกเบี้ยแบบทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ผ่านธนาคารยูโอบี >ทุนประกันเต็มวงเงินกู้ และมีระยะเวลาเอาประกันขั้นต่ำ 10 ปี หรือ >ทุนประกันขั้นต่ำ 80% ของวงเงินกู้ และมีระยะเวลาเอาประกันเต็มตามระยะเวลากู้ -อัตราดอกเบี้ยสำหรับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยวงเงิน 1 ล้านบาท อายุสัญญา 15 ปี MRR=7.35% ต่อปี อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้น เป็นเพียงตัวอย่างที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในสื่อโฆษณาเท่านั้น อัตราดอกเบี้ยสำหรับการทำสัญญากู้ยืมของลูกค้าแต่ละรายอาจะมีความแตกต่างกันตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย -กรณีไถ่ถอนจำนองเพื่อไปใช้บริการกับสถาบันการเงินอื่น ​(Re-finance) ในช่วงระยะเวลา 3 ปีแรก นับจากวันที่กู้ จะมีค่าปรับ 3% ของยอดเงินต้นคงค้าง (เฉพาะวงเงินสินเชื่อที่มีวัตถุประสงค์เพื่อจัดหาที่อยู่อาศัยเท่านั้น)​ -การอนุมัติสินเชื่อ​เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของธนาคาร​ -เพื่อเป็นข้อมูลเบื้องต้น อัตราดอกเบี้ย MRR ปัจจุบันเท่ากับ  7.35% ต่อปี ​(ตามประกาศธนาคารณ วันที่ 1 เม.ย. 64) อนึ่ง ธนาคารสามารถประกาศปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย​ MRR ได้ตามเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดอนุญาตไว้​ -อัตราค่าธรรมเนียมและค่าบริการต่าง ๆ​เป็นไปตามประกาศที่ธนาคารจัดทำไว้  และประกาศให้ทราบตามระเบียบของธนาคารแห่งประเทศไทย โดยธนาคารอาจเปลี่ยนแปลงอัตราค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ได้โดยจะแจ้งให้ทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 30 วัน โดยการปิดประกาศไว้ ณ ที่ทำการ หรือเว็บไซต์ของธนาคาร​ -ธนาคารยูโอบีในฐานะนายหน้าประกันภัย ​(ใบอนุญาตประกันชีวิต​เลขที่ ช.00026/2545 และใบอนุญาตประกันวินาศภัย​ เลขที่ ว.00020/2546) ทำหน้าที่นำเสนอผลิตภัณฑ์ด้านประกันภัยและเป็นผู้จัดการให้บุคคลเข้าทำสัญญาประกันชีวิต/ประกันวินาศภัย และอำนวยความสะดวกในการรับชำระเบี้ยประกันเท่านั้น  รับประกันชีวิตโดยบริษัท พรูเด็นเชียลประกันชีวิต (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน), รับประกันวินาศภัยโดย บริษัท ประกันภัยไทยวิวัฒน์ จำกัด (มหาชน), บริษัท แอกซ่าประกันภัย จำกัด (มหาชน) และบริษัท เอ็ม เอส ไอ จี ประกันภัย (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ​จะเป็นผู้รับผิดชอบตามเงื่อนไข ความคุ้มครองและสิทธิประโยชน์ตามที่ได้ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย -ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจในรายละเอียดความคุ้มครองและเงื่อนไขก่อนการตัดสินใจทำประกันภัยทุกครั้ง 11.ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ มีสินเชื่อเพื่อการซื้อที่อยู่อาศัย คือ โฮมโลน โดนใจ สินเชื่อบ้านดอกเบี้ยต่ำเริ่มต้น 1.9% (สำหรับผู้มีรายได้ 75,000 บาทขึ้นไป) โดยมีการคิดอัตราดอกเบี้ย เท่ากับช่วงเดือนที่ผ่านมา ซึ่งธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ มีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ อัตราดอกเบี้ยสำหรับผู้กู้มีรายได้ตั้งแต่ 20,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 2.0% ต่อปี แบบที่ 1 ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 2.00% (MRR-5.35%) ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 3.80% (MRR-3.55%) ปีที่ 4 เป็นต้นไป 5.10% (MRR-2.25% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.60% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.57% แบบที่ 2 ปีที่ 1-2 ดอกเบี้ยคงที่ 2.10%  (ผ่อนต่ำล้านละ 3,500 บาท 2 ปีแรก) ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 4.20% (MRR-3.15%) ปีที่ 4 เป็นต้นไป 5.10% (MRR-2.25%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.80% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.69% แบบที่ 3 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.55% (MRR-4.80%) ปีที่ 4 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย 5.10% (MRR-2.25%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.55% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.63% แบบที่ 4 ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ยคงที่ 2.75% (ผ่อนต่ำล้านละ 3,500 บาท 3 ปีแรก) ปีที่ 4 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย 5.10% (MRR-2.25%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.75% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.76% เงื่อนไข กรณีลูกค้าเลือกทำประกัน MRTA/MLTA ผ่านธนาคาร : 1.กรณีที่ลูกค้าทำประกัน MRTA/MLTA ผ่านธนาคาร ธนาคารทดรองจ่ายค่าจดจำนองให้ 1% ของวงเงินกู้อนุมัติ หรือ สูงสุดไม่เกิน 2 แสนบาท (ทั้งนี้ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเรียกเก็บเงินทดรองจ่ายค่าจดจำนองดังกล่าวคืนจากลูกค้า กรณีลูกค้าปิดบัญชีสินเชื่อ หรือ เปลี่ยนแปลงสัญญาใด ๆ ภายใน 5 ปีแรก ทุกกรณี นับจากวันทำนิติกรรมจดจำนอง) 2.กรณีสมัครทำประกันชีวิต ต้องสมัครทำ MRTA/MLTA ทุนประกัน 100% ของวงเงินสินเชื่อ ระยะความคุ้มครองขั้นต่ำ 10 ปี หมายเหตุ -โครงการจัดสรรในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล เท่านั้น* -ราคาซื้อขายของหลักประกันต้องมีราคา (แนวราบ) ไม่น้อยกว่า 2.00 ล้านบาท , (แนวสูง) ไม่น้อยกว่า 2.50 ล้านบาท -ลูกค้าสามารถเลือกใช้อัตราการผ่อนชำระขั้นต่ำ ล้านละ 3,500 บาท  กรณีเลือกอัตราดอกเบี้ยคงที่** -ยกเว้น ค่าประเมินราคาหลักประกัน (โครงการจัดสรรทุกโครงการที่มีราคาซื้อขาย 2 ล้านบาทขึ้นไป)*** -ระยะเวลากู้สูงสุด 40 ปี รวมอายุผู้กู้ไม่เกิน 70 ปี**** -วงเงินกู้เพิ่มสูงสุด 10% จากสัญญาซื้อขาย เพื่อซื้อเฟอร์นิเจอร์ ตกแต่งบ้าน อัตราดอกเบี้ย 1) ทำประกัน MRTA/MLTA : ปีที่ 1-3 : MRR – 2.75% = 4.60% หรือ 2) ไม่ทำประกัน MRTA/MLTA : ปีที่ 1-3 : MRR – 2.25% = 5.10% , หลังจากนั้นปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR = 7.35% ***** -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่าง อัตราดอกเบี้ยสำหรับสินเชื่อที่อยู่อาศัยวงเงิน 3 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี MRR = 7.35% (ณ 1 เม.ย. 64) ที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในโฆษณาฉบับนี้เท่านั้น ซึ่งอาจมีความแตกต่างตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย -การพิจารณาคุณสมบัติของลูกค้าแต่ละรายให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ตามที่ธนาคารกำหนด -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์การพิจารณาสินเชื่อ โดยอยู่ในดุลยพินิจของธนาคาร ทั้งนี้เงื่อนไขต่าง ๆเป็นไปตามประกาศธนาคาร โดยมิต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า -อัตราดอกเบี้ย และโปรโมชั่น (มีวงเงินสินเชื่อจำกัด) สำหรับลูกค้าที่ยื่นขอสินเชื่อ โดยเบิกรับเงินกู้ ตั้งแต่ 1 ม.ค.- 31 มี.ค. 65 -สำหรับอัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 1.9% สำหรับผู้กู้ที่มีรายได้ 75,000 บาทขึ้นไป ผ่อนต่ำเดือนละ 3,500 บาท ฟรีค่าจดจำนองสินเชื่อเมื่อซื้อประกันผ่านธนาคาร ฟรีค่าประเมินหลักประกัน 12.ธนาคารออมสิน ธนาคารออมสิน มีสินเชื่อเคหะ สำหรับให้บริการผู้ที่ต้องการกู้เงินเพื่อไปซื้อบ้านหรือคอนโด ภายใต้แคมเปญ ผ่อนต่ำปีแรก ล้านละ 2,500 บาทต่อเดือน สำหรับลูกค้าทั่วไป โดยยื่นกู้ภายในวันที่ 30 เมษายน 2565 อนุมัติและจัดทำนิติกรรมสัญญาให้แล้วเสร็จภายใน 31 พฤษภาคม 2565 โดยมีรายละเอียด ​ดังนี้​ กรณีทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 2.0% เพิ่มขึ้น 1.25% จากเดือนที่ผ่านมา เพราะมีแคมเปญดอกเบี้ย 0% ใน 6 เดือนแรก ทำให้เดือนที่ผ่านมามีดอกเบี้ยเฉลี่ยปีแรก 0.75% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 2.9% (MRR-3.345%) ลดลง 0.425% จากเดือนที่ผ่านมามีอัตราดอกเบี้ย 3.525% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.6% ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.126% เพิ่มขึ้น 0.025% จากเดือนที่ผ่านมามีอัตราดอกเบี้ย 4.101% กรณีไม่ทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 2.25% เพิ่มขึ้น 1.25% จากเดือนที่ผ่านมา ซึ่งมีอัตราดอกเบี้ย​ 1.0% จากแคมเปญเดือนที่ 1-6 ดอกเบี้ย 0% เดือนที่ 7-12 ดอกเบี้ย 2.0% ​ ปีที่ 2-3 ดอกเบี้ย 3.525% (MRR-2.72%) ลดลง 0.625% จากเดือนที่ผ่านมา คิดอัตราดอกเบี้ย  4.15% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.995% (MRR-1.25%) เพิ่มขึ้น 1.895% จากเดือนที่ผ่านมามีอัตราดอกเบี้ย 3.1% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.31% เพิ่มขึ้น 0.024% จากเดือนที่ผ่านมามีอัตราดอกเบี้ย 4.286%   เงื่อนไขการผ่อนชำระ -ปีที่ 1 ผ่อนชำระ 2,500 บาทต่อเดือน ปีที่ 2 ผ่อนชำระ 4,500 บาทต่อเดือน ปีที่ 3 ผ่อนชำระ 5,500 บาทต่อเดือน หมายเหตุ -ยื่นกู้ภายในวันที่ 30 เมษายน 2565 อนุมัติและจัดทำนิติกรรมสัญญาให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 31 พฤษภาคม 2565 -อัตราดอกเบี้ยขั้นต่ำ MRR=6.245% (ตั้งแต่วันที่ 25 พฤษภาคม 2563) -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา (EIR) คำนวณจากวงเงินกู้ 1 ล้านบาท ระยะเวลาผ่อนชำระ 20 ปี ผ่อนเท่ากันทุกงวด -ทำประกัน หมายถึง การทำประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ โดยหลักเกณฑ์ เงื่อนไข เป็นไปตามธนาคารกำหนด -เงื่อนไขการใช้อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อเคหะตามโปรโมชั่น สมัครบริการ MyMo และผลิตภัณฑ์ / บริการอื่น ของธนาคารอย่างน้อย 2 ประเภท ได้แก่ บัตรอิเล็กทรอนิกส์ / บัตรเครดิต หรือสินเชื่อบัตรเงินสด / ชำระสินเชื่อหักผ่านบัญชี / ประกันชีวิตเพื่อประกันสินเชื่อ ทั้งนี้ หากลูกค้าใช้ผลิตภัณฑ์ / บริการอื่นตามที่กำหนดอยู่แล้ว สามารถใช้อัตราดอกเบี้ยดังกล่าวได้ และกรณีไม่มี Smartphone ให้สมัครผลิตภัณฑ์ / บริการอื่นของธนาคารตามที่กำหนดทดแทนได้ -*กรณี ฟรี ค่าธรรมเนียมจดจำนอง ให้ตามที่จ่ายจริง (รวมทุกสัญญาที่กู้ในคราวเดียวกัน) และลูกค้าต้องสำรองจ่ายค่าจดจำนองแก่กรมที่ดินไปก่อน โดยธนาคารจะโอนเงินหลังหักภาษี ณ ที่จ่าย 1% ของเงินค่าธรรมเนียมจดจำนองคืนภายใน 30 วัน -กรณีผู้กู้ชำระคืนเงินกู้เสร็จสิ้น หรือไถ่ถอนจำนองก่อนครบกำหนด (Prepayment) ภายในระยะเวลา 3 ปี นับแต่วันที่ทำสัญญากู้เงิน ผู้กู้ต้องเสียค่าธรรมเนียมตามที่ธนาคารกำหนด (ปัจจุบันร้อยละ 3.00 ของยอดเงินต้นคงเหลือ) ทั้งนี้ กรณีเลือกอัตราดอกเบี้ยกรณีไถ่ถอนจำนองสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยจากสถาบันการเงินอื่น (Re-Finance) และฟรีค่าธรรมเนียมจดจำนอง ผู้กู้จะต้องชำระค่าจดจำนองคืนแก่ธนาคารเต็มจำนวน -หลักเกณฑ์เงื่อนไขอื่น ๆ ให้เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด โดยธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์เงื่อนไขโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า   ที่มา Reviewyourliving รวบรวมจากเว็บไซต์ธนาคาร ข้อมูล ณ วันที่ 2 มี.ค.65 บทความที่เกี่ยวข้อง อัพเดทดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เดือนกุมภาพันธ์ 2565 อัพเดทดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ สินเชื่อกู้ซื้อบ้าน เดือนกุมภาพันธ์ 2565 แบงก์ไหนให้ดอกเบี้ยถูกสุด
แต่งห้องนอน 12 ราศี ให้ถูกโฉลก  เฮง ๆ ปัง ๆ กับ  “หมอช้าง”

แต่งห้องนอน 12 ราศี ให้ถูกโฉลก  เฮง ๆ ปัง ๆ กับ  “หมอช้าง”

แต่งห้องนอน เรื่องการนอน ถือว่าเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับมนุษย์ทุกคน เพราะในแต่ละวันหลังจากที่เราออกไปใช้ชีวิต หรือไปทำงาน จนเหนื่อยเมื่อยล้าแล้ว ร่างกายก็ต้องการพักผ่อน เพื่อเติมพลังให้ในวันต่อไปเราได้ลุกขึ้นมาใช้ชีวิตและทำงานกันต่อไป การนอนมีความสำคัญแค่ไหน คงดูได้จากในหนึ่งวันที่มี 24 ชั่วโมง เรามักจะใช้เวลา 1 ใน 3 ไปเพื่อการนอนหลับและพักผ่อนแล้ว การนอน นอกจากเป็นการเติมพลังให้กับร่างกายแล้ว การนอนยังมีผลสำคัญต่อภาวะจิตใจ และอารมณ์ของคนเราด้วย เพราะถ้านอนไม่พอ นอนไม่เต็มอิ่ม หรือนอนไม่สบาย ตื่นมาอารณ์ก็อาจจะไม่แจ่มใส จิตใจขุ่นมัวได้ด้วย แต่บางคนก็ให้ความสำคัญกับการนอนไปมากกว่านั้น เพราะบางคนมีความเชื่อว่า ถ้านอนให้ดีให้ถูกต้อง หรือถูกโฉลกตามหลักโหราศาสตร์ หรือตามหลักฮวงจุ้ยแล้ว ก็อาจจะส่งผลดีในเรื่องของโชคลาภ หรือเสริมดวงชะตาได้อีกด้วย หลายคนจึงต้องมีการจัดห้องนอนและวิธีการนอน ให้ถูกหลักตามศาสตร์ของฮวงจุ้ย   แต่นอกเหนือจากนั้น เรื่องของอุปกรณ์การนอน หรือเรื่องของสี สำหรับเป็นอุปกรณ์ใช้ในการนอน อย่างพวก ผ้าปูที่นอน ผ้าห่ม หลายคนก็มีความเชื่อว่า หากใช้ให้ถูกกับราศีหรือดวงชะตาของตนเองแล้ว จะช่วยเสริมความเฮง สร้างความโชคดีให้เกิดขึ้นได้ด้วย ศาสตร์การนอนตามหลักโหราศาสตร์ หรือฮวงจุ้ยจึงมีออกมาแนะนำกันในหลายวิธี   วันนี้ Reviewyourliving มีวิธีการเลือกใช้ผ้าปูที่นอนที่ส่งเสริมชะตาราศี จากคำแนะนำของหมอช้าง-ทศพร ศรีตุลา นักพยากรณ์ชื่อดังมาฝาก เพื่อใช้เลือกอุปกรณ์การนอนที่เหมาะสมในแต่ละราศี เอามาฝากกัน   หมอช้าง เล่าถึงความสำคัญของการเลือกผ้าปูที่นอนที่ส่งเสริมชะตาราศีว่า ห้องนอนเป็นห้องที่เราใช้งานบ่อยที่สุด เพราะมนุษย์เราใช้เวลาถึง 1 ใน 3 ของชีวิตไปกับการนอน ดังนั้นผ้าปูที่นอนจึงมีอิทธิพลกับชีวิต ตั้งแต่ยามหลับไปจนถึงตอนตื่นนอน ซึ่งหากเราเลือกผ้าปูที่นอนที่ถูกโฉลก ก็จะช่วยให้เราสัมผัสได้ถึงพลังงานดี ๆ ในยามเช้าและส่งผลดีกับการใช้ชีวิตในตลอดวันอีกด้วย แต่งห้องนอนให้ถูกโฉลกในแต่ละราศี ราศีเมษ (15 มี.ค. - 13 เม.ย.)  สีที่เป็นมงคล คือ คู่สี ฟ้า-เทา ด้วยลายวงกลมคล้องกันเปรียบเสมือนการเติบโตของเมล็ดพันธุ์ ส่งเสริมชีวิตให้เจริญรุ่งเรืองและก้าวหน้าในทุก ๆ ด้าน ทั้งการเงิน การงาน การค้า โดยลายวงกลมที่หมายถึงความต่อเนื่องอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เมื่อถูกวางคล้องเข้าด้วยกันจะส่งเสริมบารมีและความรักสามัคคีกับคนในครอบครัวอีกด้วย ราศีพฤษภ (14 เม.ย. - 14 พ.ค) สีที่เป็นมงคล คือ คู่สี เขียว – ฟ้า ด้วยลายเกลียวคลื่นสื่อถึง ‘น้ำ’ หรือชีวิตอันอุดมสมบูรณ์ มีความคล่องตัวในอาชีพการงาน การเงินและการค้า ผ่านพ้นอุปสรรคได้อย่างราบรื่น ลายเกลียวคลื่นที่มาเป็นคู่ยังส่งเสริมให้ครอบครัว คนรอบข้างและบริวารพลอยฟ้าพลอยฝนโชคดีไปกับคุณ ราศีเมถุน (15 มิ.ย. - 16 ก.ค.) สีที่เป็นมงคล คือ คู่คู่สี แดง-ครีม  ด้วยลายสัญลักษณ์ของเครื่องหมาย Zen ช่วยส่งเสริมด้านสติปัญญาทั้งแก่ตัวเองและครอบครัว เติมความสมดุลให้กับชีวิตความสัมพันธ์กับผู้คนรอบข้าง ตลอดจนการเงินให้มีความคล่องตัวและมั่นคง ราศีกรกฎ (17 ก.ค. - 16 ส.ค.) สีที่เป็นมงคล คือ คู่สี น้ำเงิน-ส้ม ด้วยลายสัญลักษณ์ของเครื่องหมาย Zen ช่วยส่งเสริมด้านสติปัญญาทั้งแก่ตัวเองและครอบครัว เติมความสมดุลให้กับชีวิตความสัมพันธ์กับผู้คนรอบข้าง ตลอดจนการเงินให้มีความคล่องตัวและมั่นคง ราศีสิงห์ (17 ส.ค. – 16 ก.ย.)   สีที่เป็นมงคล คือ คู่สี เทา-เขียว ด้วยลายวงกลมคล้องกันเปรียบเสมือนการเติบโตของเมล็ดพันธุ์ ส่งเสริมชีวิตให้เจริญรุ่งเรืองและก้าวหน้าในทุก ๆ ด้าน ทั้งการเงิน การงาน การค้า โดยลายวงกลมที่หมายถึงความต่อเนื่องอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เมื่อถูกวางคล้องเข้าด้วยกันจะส่งเสริมบารมีและความรักสามัคคีกับคนในครอบครัวอีกด้วย ราศีกันย์ (17 ก.ย.- 17 ต.ค ) สีที่เป็นมงคล คือ คู่สี ฟ้า – น้ำเงิน​​ ด้วยลายเกลียวคลื่นสื่อถึง ‘น้ำ’ หรือชีวิตอันอุดมสมบูรณ์ มีความคล่องตัวในอาชีพการงาน การเงินและการค้า ผ่านพ้นอุปสรรคได้อย่างราบรื่น ลายเกลียวคลื่นที่มาเป็นคู่ยังส่งเสริมให้ครอบครัว คนรอบข้างและบริวารพลอยฟ้าพลอยฝนโชคดีไปกับคุณ ราศีตุลย์ (18 ต.ค. – 16 พ.ย.) สีที่เป็นมงคล คือ คู่สี เทา-แดง ด้วย​ลายวงกลมคล้องกันเปรียบเสมือนการเติบโตของเมล็ดพันธุ์ ส่งเสริมชีวิตให้เจริญรุ่งเรืองและก้าวหน้าในทุก ๆ ด้าน ทั้งการเงิน การงาน การค้า โดยลายวงกลมที่หมายถึงความต่อเนื่องอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เมื่อถูกวางคล้องเข้าด้วยกันจะส่งเสริมบารมีและความรักสามัคคีกับคนในครอบครัวอีกด้วย ราศีพิจิก (17 พ.ย. – 15 ธ.ค.) สีที่เป็นมงคล คือ คู่สี เขียวเข้ม-น้ำตาล ด้วยลายสัญลักษณ์ของเครื่องหมาย Zen ช่วยส่งเสริมด้านสติปัญญาทั้งแก่ตัวเองและครอบครัว เติมความสมดุลให้กับชีวิตความสัมพันธ์กับผู้คนรอบข้าง ตลอดจนการเงินให้มีความคล่องตัวและมั่นคง ราศีธนู (16 ธ.ค.-14 ม.ค. )      สีที่เป็นมงคล คือ คู่สี ม่วง-ฟ้า ด้วยลายเกลียวคลื่นสื่อถึง ‘น้ำ’ หรือชีวิตอันอุดมสมบูรณ์ มีความคล่องตัวในอาชีพการงาน การเงินและการค้า ผ่านพ้นอุปสรรคได้อย่างราบรื่น ลายเกลียวคลื่นที่มาเป็นคู่ยังส่งเสริมให้ครอบครัว คนรอบข้างและบริวารพลอยฟ้าพลอยฝนโชคดีไปกับคุณ ราศีมังกร (15 ม.ค.-12 ก.พ. )   สีที่เป็นมงคล คือ คู่สี แดง-ม่วง ด้วยลายเกลียวคลื่นสื่อถึง ‘น้ำ’ หรือชีวิตอันอุดมสมบูรณ์ มีความคล่องตัวในอาชีพการงาน การเงินและการค้า ผ่านพ้นอุปสรรคได้อย่างราบรื่น ลายเกลียวคลื่นที่มาเป็นคู่ยังส่งเสริมให้ครอบครัว คนรอบข้างและบริวารพลอยฟ้าพลอยฝนโชคดีไปกับคุณ ราศีกุมภ์ (13 ก.พ.-14 มี.ค.)    สีที่เป็นมงคล คือ คู่สี ครีม – เขียวอ่อน ด้วย​ลายวงกลมคล้องกันเปรียบเสมือนการเติบโตของเมล็ดพันธุ์ ส่งเสริมชีวิตให้เจริญรุ่งเรืองและก้าวหน้าในทุก ๆ ด้าน ทั้งการเงิน การงาน การค้า โดยลายวงกลมที่หมายถึงความต่อเนื่องอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เมื่อถูกวางคล้องเข้าด้วยกันจะส่งเสริมบารมีและความรักสามัคคีกับคนในครอบครัวอีกด้วย ราศีมีน (15 มี.ค. – 13 เม.ย.)   สีที่เป็นมงคล คือ คู่สี สีม่วง-ครีม  ด้วยลายสัญลักษณ์ของเครื่องหมาย Zen ช่วยส่งเสริมด้านสติปัญญาทั้งแก่ตัวเองและครอบครัว เติมความสมดุลให้กับชีวิตความสัมพันธ์กับผู้คนรอบข้าง ตลอดจนการเงินให้มีความคล่องตัวและมั่นคง สำหรับใครที่อยากจะปรับโฉมห้องนอน แต่งห้องนอนใหม่ ด้วยชุดเครื่องนอนในคู่สี และลวดลายที่ถูกโฉลก เพื่อเสริมราศี สร้างความเฮง ความปัง ก็ลองเลือกตามคำแนะนำของ "หมอช้าง" ดู หวังว่าทุกคนจะเฮง ๆ ปัง ๆ กันทุกคน   ขอบคุณข้อมูลจาก ชุดเครื่องนอน Satin (Satin Plus Lucky Me Lucky You Special Collection 2022)   บทความที่เกี่ยวข้อง 6 สิ่งต้องมี ในห้องนอน เพื่อการหลับอย่างมีคุณภาพ 9 วิธีจัดห้องนอนเสริมดวง
Impermanent Loss คืออะไร เข้าใจเรื่องเสี่ยงขาดทุนในการฟาร์ม [VDO]

Impermanent Loss คืออะไร เข้าใจเรื่องเสี่ยงขาดทุนในการฟาร์ม [VDO]

Impermanent Loss คืออะไร เข้าใจเรื่องเสี่ยงขาดทุนในการฟาร์ม Impermanent Loss หากแปลตามความหมาย ก็คือ การขาดทุนชั่วคราว แต่ในวงการ Cryptocurrency นั้น จะหมายถึง ค่าส่วนต่างที่ขาดทุนหรือค่าเสียโอกาสจากการฟาร์มที่เกิดขึ้นในเวลานั้น แต่ยังไม่ใช่ผลขาดทุนจริง เป็นเพียงมูลค่าเหรียญใน Liquidity Pool มีมูลค่าน้อยกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับการถือเหรียญนั้นเอาไว้เฉย ๆ จะขาดทุนจริง ๆ ก็ต่อเมื่อมีการถอนเหรียญนั้นออกจาก Liquidity Pool   แต่เพื่อความเข้าใจที่ชัดเจนขึ้น วันนี้เราจะมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับ Impermanent Loss ว่าคืออะไรกันแน่ โดยผ่านกรณีตัวอย่างต่อไปนี้     สมมติมีนาย A และมีตัว Liquidity pool เป็นคู่เหรียญ ETH กับ DAI เริ่มต้นกำหนดให้นาย A ใส่ตัวเหรียญ ETH กับ DAI เข้ามาใน Pool โดยนาย A ใส่จำนวนเหรียญ ETH มา 3 เหรียญ และราคาเท่ากับ 200 USD เท่ากับ 1 ETH ก็จะทำให้ตัว ETH ที่ใส่เข้ามามีมูลค่าเท่ากับ 600 USD ในขณะที่จำนวน DAI นาย A ใส่เข้ามา 600 DAI ซึ่งตัวนี้มีมูลค่าเท่ากับ 1 USD ทำให้ตัว DAI มีมูลค่าเท่ากับ 600 USD อยู่แล้ว ดังนั้น ตอนเริ่มต้นมูลค่าเหรียญที่นาย A ใส่เข้าไปทั้งหมดจะมีมูลค่าเท่ากับ 1,200   ต่อมามูลค่า ETH มีมูลค่าเพิ่มขึ้น จาก 200 เป็น 250 แล้วนาย B มาสังเกตเห็นว่า ETH ใน Pool นี้ มีราคาถูกกว่าราคาตลาด เพราะมีราคาเริ่มต้นที่ 200  ขณะที่ราคาตลาดขึ้นมาเป็น 250 แล้ว นาย B เห็นโอกาสนี้เลยเอาตัว DAI เข้ามาซื้อ ETH ใน Pool นี้ ด้วยการโอน DAI เข้ามาใน Pool นี้ แล้วทำการซื้อ ETH ออกไป แล้วนาย B ก็ทำการทยอยซื้อ ETH ไปเรื่อย ๆ จนได้จำนวน 1 ETH  ในราคาเฉลี่ยที่ 225 USD ต่อ ETH หลังจากนาย B ทำการซื้อ ETH ใน Pool นี้ ก็จะทำให้สถานะของ ETH ใน Pool นี้เปลี่ยนไป โดย ETH เพียง 2 ETH โดยคูณกับมูลค่าตลาดของ ETH เหลือเพียง 250 USD นั่นหมายความว่า ETH ใน Pool นี้จะมีมูลค่า 500 USD ในขณะที่ตัว DAI จะมีเพิ่มขึ้นเท่ากับจำนวนที่ได้รับจากนาย B คือ 225 เมื่อคูณกับจำนวน DAI ที่มีอยู่เดิมก็จะเท่ากับ 825 DAI จะทำให้มูลค่ารวมของตัว DAI มีมูลค่าเท่ากับ 825 USD เมื่อรวมกับมูลค่าของ ETH ก็จะทำให้ตอนนี้ Pool ของนาย A มีมูลค่าเท่ากับ 1,325 เหรียญ  เมื่อเป็นเช่นนี้ มูลค่า Pool ของนาย A ก็จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้น 125 USD   แต่ถ้ามองในอีกมุมหนึ่ง ถ้านาย A ถือเหรียญพวกนี้ไว้เฉย ๆ ถือ ETH กับ DAI ไว้เฉย ๆ ใน wallet ไม่นำมาใส่ไว้ใน Pool  นี้  มูลค่าพอร์ตของนาย A ทั้งหมดจะมีมูลค่าเท่ากับเท่าไร ลองมาคำนวณกันดู   ตอนเริ่มต้น นาย A มีจำนวน ETH อยู่ 3 ETH แล้วนำมาคูณกับมูลค่า ETH ณ ตอนนี้ ที่มีอยู่ตอนนี้ ซึ่งเท่ากับ 250 USD  ต่อ ETH ก็จะทำให้มูลค่าของนาย A มีทั้งหมดเท่ากับ 750 แล้วเมื่อนำมารวมกับมูลค่า DAI ที่ตอนแรกมีทั้งหมด 600 DAI ก็จะทำให้ตัวนาย A จะมีมูลค่าของพอร์ต ทั้งหมดเท่ากับ 1,350 USD ซึ่งเมื่อเอามาเปรียบเทียบกับมูลค่าพอร์ตข้างต้นแล้ว จะเห็นว่า ตัวนาย A ถ้าถือเหรียญพวกนี้ไว้เฉย ๆ มูลค่าพอร์ตของนาย A มีมูลค่ามากกว่าพอร์ตของนาย A เอามาใส่ใน Pool ตอนนี้ 25 USD ซึ่งส่วนต่างตรงนี้จะเรียกว่า Impermanent Loss ก็คือผลขาดทุนเมื่อเทียบกับการถือเหรียญไว้เฉย ๆ ซึ่งไม่ใช่ผลการขาดทุนที่เกิดขึ้นจริง แต่เป็นการเปรียบเทียบระหว่างการถือเหรียญไว้เฉย ๆ กับการเอาจำนวนเหรียญที่อยู่ใน Pool มาเปรียบเทียบมูลค่ากัน   ถ้าหากนาย A ทำการถอดเหรียญออกจาก Pool เมื่อถึงตอนนั้นตัน  Impermanent Loss ตรงนั้น ก็จะเป็น Permanent Loss จริง ๆ ของพอร์ตนาย A แต่อย่างไรก็ตาม ถ้านาย A ถอนเหรียญออกจาก Pool  สิ่งที่นาย A จะได้รับ คือ ค่าธรรมเนียม เพราะฉะนั้น เวลาการมาคำนวณผลประโยชน์ที่นาย A ได้รับ จากการนำจำนวนเหรียญเข้ามาใส่ใน Pool นี้ ก็จะต้องมีการเปรียบเทียบค่าธรรมเนียมที่นาย A ได้รับ กับ Impermanent Loss  ที่จะเกิดขึ้น   บทความที่เกี่ยวข้อง Blockchain คืออะไร? เกี่ยวอะไรกับ Bitcoin – Crypto Blockchain มีกี่ประเภท? เรื่องต้องรู้ก่อนเข้าสู่โลกการเงินดิจิทัล ไขทุกข้อสงสัย การโอน Crypto กับ E-Banking ต่างกันยังไง? เรื่องต้องรู้ ETH Smart Contract คืออะไร? Coin VS Token เหมือน หรือ ต่าง อย่างไร? ETFs แค่เข้าใจ ก็ลงทุน Bitcoin ได้ไม่ยาก Bitcoin Wallet คืออะไร? จะเสี่ยงแค่ไหน? ถ้าคอมพิวเตอร์โดยขโมย!! ทำไมต้อง IPO ทำไปเพื่ออะไร? – เข้าใจการระดมทุนใน SET ด้วย IPO Bitcoin กับการฟอกเงินและอาชญากรรม DeFi นวัตกรรมการเงินดิจิทัล ที่ไม่ต้องง้อธนาคาร Chainlink กับบทบาทและความสำคัญในโลกการเงินดิจิทัล รู้จักกับ STO อีกวิธีของการระดมเงินทุน ทั้งรวดเร็วและปลอดภัย รู้จัก Yield Farming เพื่อการลงทุนคริปโทให้กำไรงอกเงย Liquidity Pool คืออะไร สำคัญแค่ไหนในวงการ Cryptocurrency รู้จักกับ LUKSO เทคโนโลยี Blockchain เพื่อไลฟ์สไตล์ยุคดิจิทัล  
รู้จักกับ LUKSO เทคโนโลยี Blockchain เพื่อไลฟ์สไตล์ยุคดิจิทัล [VDO]

รู้จักกับ LUKSO เทคโนโลยี Blockchain เพื่อไลฟ์สไตล์ยุคดิจิทัล [VDO]

รู้จักกับ LUKSO เทคโนโลยี Blockchain Lukso คือ Multiverse Infrastructure Blockchain ที่มี Fabian Vogelsteller เป็นผู้ก่อตั้ง (Foundation) และผู้พัฒนาหลักของโปรเจ็กต์นี้ โดยประวัติของ Fabian เขาคือหนึ่งในทีมผู้พัฒนา Ethereum ยุคแรก ๆ และเป็นผู้พัฒนาร่วมออกแบบ และสร้างตัว ERC 20 Token ซึ่งเป็น Token หลักที่มีการใช้งานบน Blockchain ของ Ethereum ในปัจจุบัน   โดย Lukso มีหน้าที่การใช้งานที่สำคัญอยู่ 3 อย่าง คือ Universal Public Profiles (UPP) Digital Certificates (NFTs) Cultural Currencies (Tokens) หรือการสร้าง Token บน Blockchain   สำหรับสิ่งที่ทำให้ Lukso ต่างจากแพลตฟอร์ม Blockchain อื่น ๆ คือ UPP   UPP คืออะไรมีประโยชน์อย่างไร เวลาจะสร้าง Account  ขึ้นมาบนแพลตฟอร์ม Lukso ตัว Account จะเป็นลักษณะของ Smart Contract Based Account พอเป็นลักษณะนี้ ก็หมายความว่า ตัว Account ที่เราสร้างขึ้นมา  Creator จะมีสิทธิ์เป็นเจ้าของ 100% นอกจากนี้ Creator จะมีสิทธิ์ควบคุม ได้ 100% หมายความว่า ตัว Account นี้มีคุณสมบัติเป็น Decentralized นั่นคือ จะมีเฉพาะตัวเจ้าของที่ทำการลบ หรือ ปิดกั้น ตัว Account นี้ได้   ถามว่ามันมีประโยชน์อย่างไร ให้ลองนึกถึงภาพ Account ที่อยู่บน Youtube, Facebook, Twitter มันมีการควบคุมในลักษณะ Centralized อยู่ ทาง Youtube, Facebook, Twitter จะสามารถลบ Account ของเราได้ทุกเมื่อ หรือทำการปิดกั้นข้อมูลไม่ให้คนอื่นเข้ามาเห็นข้อมูลเราได้ แต่ด้วยคุณสมบัติของ UPP บน Blockchain  Lukso ก็จะทำให้ไม่มีคนอื่นมาลบหรือปิดกั้น Account ที่ Creator สร้างขึ้นมาได้   นอกจากนี้ Account ที่สร้างขึ้นมาเป็น Smart Contract Based Account จะมีการบันทึกข้อมูลในส่วนนี้ลงใน Blockchain ของ Lukso นั้น หมายความว่าตัว Account จะมีข้อมูลอยู่แล้วที่เก็บอยู่บน Blockchain นั้น จะทำให้ Account นี้ แค่ Account เดียว ที่เป็น Smart Contract Based สามารถที่จะทำการเชื่อมต่อได้กับทุก ๆ แพลตฟอร์มทันที หรือต่อไปนี้ถ้าสมมติมีโซเชียลมีเดียหลาย ๆ แพลตฟอร์ม เช่น Youtube, Facebook, Twitter เขามาทำการเชื่อมต่อกับ Blockchain ของ Lukso ทาง Creator สามารถสร้างตัว Account ขึ้นมาอันเดียวบน Blockchain ของ Lukso แล้วทำการเชื่อมต่อเข้ากับทุก ๆ แพลตฟอร์มได้โดยทันที ทาง Creator ไม่จำเป็นต้องคอยอัพเดทตัวโปรไฟล์ ใน Youtube , Facebook,  Twitter ทำให้ตัว UPP มีคุณสมบัติสำคัญ คือ One Profile All Platform   สำหรับเทคโนโลยีที่สำคัญของ Lukso ที่ทำให้ผู้ใช้งานสามารถสร้างตัว UPP ขึ้นมาได้ คือตัว Lukso จะใช้ตัว ERC725 เป็นตัว Token Standard ที่ไว้ใช้ในตัว Lukso นอกจากนี้ ถ้าดูแผนภาพ ที่ Fabian ได้พรีเซนต์ไว้คร่าว ๆ  ตัว ERC725 Token มีฟังก์ชั่นการใช้งานหลากหลายที่ทางผู้ใช้งาน สามารถแก้ไขในแต่ละส่วน และอัพเดทข้อมูลเข้าไปได้ อย่างที่เราคุ้นเคย อย่างตัว Avatar หรือตัวโปรไฟล์ทางเจ้าของ Account เข้าไปแก้ไขได้ตลอดเวลา   นอกจากนี้ตัว Account หนึ่งสามารถมีผู้ใช้งานเข้าไปได้หลายคน โดยแต่ละคนจะมีสิทธิ์เข้าไปใช้งานได้แตกต่างกัน บางคนอาจจะเข้าไปเปลี่ยนได้เฉพาะ Avatar บางคนก็สามารถเปลี่ยน Avatar หรือโอน Cryptocurrency หรือสินทรัพย์ดิจิทัลก็ได้เช่นกัน นั่นก็ทำให้ตัว UPP ไม่จำกัดแค่ การใช้งานระหว่างเฉพาะคนธรรมดาเท่านั้น แต่ทางบริษัทแบรนด์สินค้ากลุ่มคอมมูนิตี้ ก็สามารถสร้างตัว Account ของตัวเองขึ้นมาแล้วก็ให้สิทธิ์แต่ละคนเข้าไปแก้ไขอัพเดท ข้อมูลส่วนต่าง ๆ ได้ ตามสิทธิ์ที่แต่ละคนได้รับมา   ทำความรู้จักกับ Digital Certificates (NFTs) ทาง Lukso มองว่าจะมี Products หลัก ๆ คือ Digital Products หรือ ตัว NFTs ที่เราคุ้นเคย และถัดมาเป็น Phygital Products คือ การนำเทคโนโลยี NFTs เข้ามาใช้งานร่วมกับสินค้าจริง ๆ บนโลก Physical แต่สิ่งที่ดูน่าสนใจจริง ๆ ของฟังก์ชั่นนี้ของ Lukso คือ Flexible NFTs   โดยขอยกตัวอย่าง Flexible NFTs เพื่อความเข้าใจ เช่น ตัวโปรเจ็กต์ NFTs หนึ่ง ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าจะมีผู้ร่วมกันสร้างหลายคน ไม่ว่าจะเป็น Creator, Influencer และศิลปินหลายคนเข้าร่วมกันสร้าง NFTs ขึ้นมา โดยตัว NFTs ดังกล่าวอาจจะมีศิลปินหนึ่งคนทำเป็นรูปภาพขึ้นมา และศิลปินอีกคนที่เป็นนักดนตรีใส่เพลงเข้ามาได้ และต่อมาก็มีศิลปินคนหนึ่งเข้ามาแก้ไขรูปภาพเพิ่มเติม ซึ่งก็สามารถทำได้ตามเงื่อนไขของ UPP คือ ศิลปินคนแรก ที่สร้างสรรค์ผลงานขึ้นมาก็จะมอบสิทธิ์ให้แต่ละคนที่จะเข้ามาแก้ไข ก็เป็นไปได้เหมือนกัน   หรือตัวอย่างถัดมา คือ Dynamic NFTs คือ NFTs ตัวหนึ่งที่มีคุณสมบัติหรือลักษณะที่แสดงออกมาเปลี่ยนไปตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ให้กับ NFTs ตัวนี้ เช่น อาจจะมีไฟล์รูปภาพรูปหนึ่ง ที่จะมีการเปลี่ยนสีไปตามข้อมูลอุณหภูมิที่ได้รับข้อมูลผ่านทาง Oracle มาที่ NFTs ตัวนี้   นอกจากนี้ ยังมีตัวอย่าง Products ที่มีการทดลองทำมาบน Testnet ของ Lukso อย่างเช่นแพลตฟอร์ม THEDEMATERIALISED  หรือ DMAT ซึ่งจะเป็น​แพลตฟอร์ม Market Place ของ Lukso ในอนาคตก็มีการร่วมมือกับสตูดิโอต่าง ๆ ที่มีการทำ NFTs ในการนำตัว NFTs ที่มีอยู่ มาใช้งานคู่กับตัวแอป​ Snapchat ก็สามารถทำให้ผู้ใช้งานสามารถถ่ายรูปและมีรูป NFTs โพล่ขึ้นมาตามรูปภาพ จะเห็นภาพเสมือนกับผู้ใช้งานกำลังสวมใส่ NFTs ชิ้นนั้นอยู่นั่นเอง   ถัดมาเป็นตัวอย่างของ Phygital Products ทาง Lukso เคยทดสอบทำชิพมาตัวหนึ่ง เอาไปฝังไว้ในเสื้อผ้า แล้วเวลาสแกนด้วยแอปที่รองรับชิพนี้ ก็จะเห็นภาพโฮโรแกรมแล้วแสดงรายละเอียดของตัว NFTs ที่จะแสดงความเป็นเจ้าของ หรือรายละเอียดของเสื้อผ้านั้นให้เราเห็น ซึ่งเทคโนโลยีนี้คาดว่าในอนาคตจะใช้กับแบรนด์เสื้อผ้าต่าง ๆ ซึ่งตรวจสอบว่าสินค้านี้เป็นของจริงหรือเปล่า ซึ่งแบรนด์สินค้าที่ได้มีการทดลองทำ NFTs ขึ้นมา บน Blockchain Lukso บน Testnet ก็จะมี KARL LAGERFELD  ที่จะทำตัว NFTs ฟิกเกอร์ของ KARL LAGERFELD  มา 2 แบบ   นอกจากนี้ ยังมีแบรนด์ REBECCA MINKOFF ซึ่งมีการออกตัว NFTs ทั้งเสื้อผ้าและกระเป๋า ​ ซึ่ง NFTs ทั้งหมด จะรองรับการใช้งานผ่านเทคโนโลยี AR ทั้งหมด   การสร้าง Tokens ด้วย Cultural Currencies จากคุณสมบัติ UPP จะทำให้แต่ละแอคเคาน์ หรือแต่ละโปรไฟล์ สามารถที่จะสร้าง Token ของตัวเองออกมาทั้งรูปแบบ Brand Tokens, Influencer Tokens, Social Tokens หรือตัว Tokens ต่าง ๆ ที่จะแสดงถึงสิทธิพิเศษ หรือ สิทธิต่าง ๆ ที่ Creator กำหนดขึ้นมา   Technologies ของ Lukso มีอะไรบ้าง สำหรับ Technologies ของ Lukso มีดังนี้ คือ ERC725, Casper beacon chain และตัว Lukso สามารถใช้งานร่วมกับ EVM Compatible ได้ด้วย ตัว Blockchain ของ Lukso มีลักษณะเป็น Decentralization เหมือนกับตัว ETH2.0 รวมถึงความสามารถในการ Confirm ปริมาณ Transection ด้วยเช่นกัน นั่นทำให้ Fabian มองว่า Lukso ไม่ได้เป็น ETH Killer แต่มีลักษณะที่มีความเป็นพี่น้องกับ Ethereum มากกว่า ใครก็ตามจะลองพัฒนา Products ETH2.0 ก็สามารถมาทดลองบน Blockchain ของ Lukso ได้ก่อนเช่นกัน   สำหรับฝั่ง Advisors ของ Lukso นั้น มีแบรนด์ดัง ๆ เข้ามาร่วมบ้าง อาทิ Nike, Channel, Burberry รวมถึงแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียอย่าง Instagram   สำหรับใครที่อยากจะทดลองใช้แพลตฟอร์ม Lukso ปัจจุบัน Lukso อยู่ในช่วง Testnet ทำให้ตัว Token ที่มีการซื้อขายในปัจจุบัน จะเป็น ERC-20 Token มีชื่อย่อว่า LYXE แต่พอตัว Mainnet เสร็จตัว Lukso จะทำการย้ายตัว Token จาก LYXE มาเป็น LYX Token ก็จะเป็น ER-725 Token โดยล่าสุด Lukso คาดว่าตัว Mainnet จะเสร็จสิ้นและปล่อยให้นำออกมาใช้ได้ภายในเดือนมิถุนายนปีนี้   ถ้าใครสนใจสามารถไปติดตามได้ทาง IG Twitter ของ Lukso ก็คือ Lukso Project ที่น่าสนใจ เพราะเป็น Blockchain ที่เป็น Multiverse Infrastructure ด้วย   บทความที่เกี่ยวข้อง Blockchain คืออะไร? เกี่ยวอะไรกับ Bitcoin – Crypto Blockchain มีกี่ประเภท? เรื่องต้องรู้ก่อนเข้าสู่โลกการเงินดิจิทัล ไขทุกข้อสงสัย การโอน Crypto กับ E-Banking ต่างกันยังไง? เรื่องต้องรู้ ETH Smart Contract คืออะไร? Coin VS Token เหมือน หรือ ต่าง อย่างไร? ETFs แค่เข้าใจ ก็ลงทุน Bitcoin ได้ไม่ยาก Bitcoin Wallet คืออะไร? จะเสี่ยงแค่ไหน? ถ้าคอมพิวเตอร์โดยขโมย!! ทำไมต้อง IPO ทำไปเพื่ออะไร? – เข้าใจการระดมทุนใน SET ด้วย IPO Bitcoin กับการฟอกเงินและอาชญากรรม DeFi นวัตกรรมการเงินดิจิทัล ที่ไม่ต้องง้อธนาคาร Chainlink กับบทบาทและความสำคัญในโลกการเงินดิจิทัล รู้จักกับ STO อีกวิธีของการระดมเงินทุน ทั้งรวดเร็วและปลอดภัย รู้จัก Yield Farming เพื่อการลงทุนคริปโทให้กำไรงอกเงย Liquidity Pool คืออะไร สำคัญแค่ไหนในวงการ Cryptocurrency
ดอกไม้วาเลนไทน์ ความหมายดี ไม่ได้มีแค่ “กุหลาบสีแดง”

ดอกไม้วาเลนไทน์ ความหมายดี ไม่ได้มีแค่ “กุหลาบสีแดง”

ทุกวันที่ 14 กุมภาพันธ์ของทุกปี เชื่อว่าบรรดาสาว ๆ ต่างก็ตั้งตารอว่าจะมีหนุ่มคนไหน นำเอาดอกกุหลาบสีแดงมามอบให้แทนความรักความห่วงใย เนื่องในวันวาเลนไทน์ ซึ่งตรงกับวันที่ 14 กุมภาพันธ์ของทุกปีกันบ้าง  โดยเฉพาะบรรดาสาว ๆ ที่มีคู่รักอยู่แล้ว เชื่อว่าต้องตั้งตารอดอกไม้ช่อโต หรือไม่ก็ของขวัญแทนใจอะไรสักชิ้นหนึ่งแน่นอน   ดอกกุหลาบสีแดง ถูกนำมาใช้แทนสัญลักษณ์ของวันวาเลนไทน์ เพราะมีตำนานความเชื่อว่า ดอกกุหลาบเป็นเครื่องหมายแทนการกำเนิดของ เทพธิดาวีนัส ซึ่งเป็นเทพแห่งความงาม และความรัก ซึ่งเทพวีนัสเป็นที่รู้จักกันในชื่อ อโฟรไดท์  ในตำนานเทพของกรีกได้กล่าวไว้ว่า น้ำตาของเธอหยดลงปะปนกับเลือดของ อคอนิส คนรักของเธอที่ถูกหมูป่าฆ่า เลือดและน้ำตาหยดลงสู่พื้นแล้วกลายเป็นดอกไม้สีแดงเข้มหรือดอกกุหลาบนั่นเอง แต่บางตำนานก็เล่าว่าดอกกุหลาบเกิดจากเลือดของ อโฟรไดท์ เองที่หยดลงสู่พื้น เมื่อเธอแทงตัวเองด้วยหนามแหลม ซึ่งนี่เป็นหนึ่งในตำนานที่เล่าต่อ ๆ กันมา ทำให้ดอกกุหลาบสีแดง เป็นสัญลักษณ์ที่ถูกมอบให้กันในวันวาเลนไทน์  เพื่อแสดงความรักต่อกัน สำหรับดอกกุหลาบสีแดง  เป็นดอกไม้ที่สื่อความหมายถึงการตกหลุมรัก หรือแอบชื่นชอบ มักถูกนำมาใช้เป็นสื่อแทนใจ เพื่อจะบอกให้รู้ว่ามีคนกำลังแอบปลื้มอยู่ มีความรักที่สุดแสน จะลึกซึ้ง  มั่นคง เรียกได้ว่าความรักนั้น ไม่มีวันจืดจางไป จากหัวใจ   แต่หากปีนี้หนุ่ม ๆ จะเซอร์ไพรซ์แฟนสาว ด้วยดอกไม้สักช่อ แต่กุหลาบสีแดงหาซื้อยาก หรือไม่ราคาก็แพงแสนแพง หรือคิดว่าให้ดอกกุหลาบสีแดงมาแล้วหลายปี อยากจะลองเปลี่ยนเป็นดอกไม้ชนิดอื่นดูบ้าง อาจจะหาซื้อง่ายกว่า หรือราคาไม่แพงมาก  แล้วอยากได้ดอกไม้แทนใจที่มีความหมายดี ๆ ไม่ต่างจากดอกกุหลาบสีแดง หรือเป็นดอกกุหลาบก็ได้ไม่ต้องสีแดงก็ได้  จะเลือกดอกกุหลาบสีอะไรดี ที่ยังให้ความหมายซึ้งตรึงใจ หรือดอกไม้อื่น ๆ ที่มีความหมายสุดโรแมนติกได้บ้าง วันนี้ เราได้รวบรวมดอกไม้เหล่านั้นมาให้เป็นตัวเลือกกับทุกคนแล้ว ดอกไม้วาเลนไทน์ ให้ดอกอะไรได้บ้าง ดอกกุหลาบสีเหลือง เป็นตัวแทนแห่งมิตรภาพ สื่อถึงความห่วงใยของผู้ให้ แสดงถึงความปรารถนาดี ต้องการให้สุขภาพแข็งแรง มีความสุขสดชื่น มีความหมายถึงเรื่องของสุขภาพที่ดี หลายคนจึงเชื่อและนิยมนำไปมอบหรือเยี่ยมคนป่วย แต่จริง ๆ แล้ว สามารถมอบให้กับเพื่อนเนื่องในโอกาสพิเศษได้เช่นกัน ดอกกุหลาบสีขาว แสดงถึงความรักที่ใสสะอาด บริสุทธิ์ น่าทะนุถนอม เป็นการให้ความรักโดยไม่หวังผลกลับคืนมา  เป็นการให้ความรักแบบไม่หวังผลใด ๆ ตอบแทน นิยมใช้เพื่อแสดงความรักที่จริงใจของตนเอง สามารถมอบให้กับผู้ที่เคารพรักได้ อาทิ  เจ้านาย ครูบาอาจารย์ ให้พ่อแม่ ดอกกุหลาบสีชมพู หมายถึง ความโรแมนติก ที่แสดงถึงความรักที่หวานซึ้งที่ผู้ให้มีต่อผู้รับ แต่ไม่ใช่ความรักที่ลึกซึ้งมากนัก  แค่เป็นเพียงรักที่ฉาบฉวยต้องการเปลี่ยนแปลงเพื่อแสวงหาสิ่งที่คิดว่าดีที่สุดเท่านั้นเอง ดอกกุหลาบสีส้ม หมายถึง ความรักเหมือนกุหลาบสีแดง แต่เป็นการแสดงความอบอุ่น และสื่อให้เห็นถึงความสดใส ความเป็นตัวของตัวเองของผู้รับ เมื่ออยู่ใกล้แล้วทำให้รู้สึกอบอุ่น และยังบ่งบอกความในใจถึงความรักและสิ่งที่ผ่านมาด้วย ดอกลิลลี่ ดอกลิลลี่เป็นดอกไม้แห่งความโดดเด่น และการเป็นผู้นำ หมายถึงรักที่เบ่งบานและบริสุทธิ์ใจ หลายคนก็เลือกดอกลิลลี่ เป็นดอกไม้วาเลนไทน์​ ที่มอบให้คนรักได้เช่นกัน ซึ่งดอกลิลลี่ก็มีสารพัดสี สวยๆ ทั้งนั้น ในบ้านเราก็ปลูกได้ง่ายด้วย ไม่ต้องสั่งจากต่างประเทศ แล้วสีไหนดีที่จะโรแมนติกแสนหวาน ดอกลิลลี่สีชมพู ถ้ามอบให้คนรัก จะหมายถึงตัวแทนของความรัก ความจริงใจ ความเข้าอกเข้าใจ ความอ่อนหวาน ความรักที่ค้นเจอ ความรักที่ดีที่สุดที่ตามหามานาน เหมาะสมกับโอกาสที่ ต้องการแสดงออกและสื่อถึงความรู้สึกทั้งหมด ดังเช่นวันแห่งความรัก แต่หากมอบให้เพื่อนหรือคนในครอบครัวจะแสดงถึงความรู้สึกเห็นอกเห็นใจและความอบอุ่น ดอกลิลลี่สีส้ม เป็นดอกไม้ที่แสดงออกถึงความร่าเริง สดใส ความสุขที่ได้อยู่ใกล้ เหมาะกับโอกาสที่จะมอบให้กับคนที่เรารัก โดยส่วนใหญ่จะเป็นคนในครอบครัว  เพื่อนฝูง หรือบุคคลอื่น ๆ เพื่อแสดงถึงความขอบคุณและความชื่นชมก็ได้เช่นกัน ดอกลิลลี่สีเหลือง คือ สัญลักษณ์ของความมั่นคง แสดงออกถึงความอบอุ่นที่ห่วงใย ของความรักที่มั่นคง เหมาะสำหรับโอกาสที่จะแสดงออกถึงความห่วงใย ห่วงหาอาทร มิตรภาพ ความยินดี และความอบอุ่น ใช้เพื่อแสดงความขอบคุณและความห่วงใย สามารถมอบให้ได้ทั้งเพื่อนสนิท เพื่อนร่วมงาน หรือญาติพี่น้อง รวมถึงการไปเยี่ยมผู้ป่วย ดอกลิลลี่สีขาว มีความหมายถึงความรักที่บริสุทธิ์ เช่นเดียวกันกับดอกกุหลาบสีขาว  และยังแสดงออกถึงความรักแบบอ่อนหวาน จริงใจ และเทิดทูน จึงมักถูกใช้แทน ประโยคที่ว่า "ฉันรู้สึกดีที่ได้รู้จักและอยู่ใกล้คุณ" จึงสามารถมอบให้กันแทนดอกกุหลาบสีแดงในวันวาเลนไทน์  นอกจากนี้ ยังเหมาะสมที่จะมอบให้กันในโอกาสแสดงความยินดี มอบให้ในวันรับปริญญา หรืองานมงคลต่าง ๆ ดอกลิลลี่สีม่วง คือสัญลักษณ์ของความภาคภูมิใจ ความเคารพ ความสำเร็จ และความพิเศษ จึงเหมาะสำหรับการมอบให้คนพิเศษ คนสำคัญ หรือผู้ใหญ่เพื่อบอกว่าคุณชื่นชมผู้รับมากแค่ไหน ดอกคาร์เนชั่น   ดอกคาร์เนชั่น เป็นสัญลักษณ์ของการเฉลิมฉลอง ซึ่งในตำนานความเป็นมาของชาวกรีกโรมัน มักจะนิยมใช้ดอกคาร์เนชั่น ในโอกาสการแสดงความยินดี ความรื่นเริงต่าง ๆ ดอกคาร์เนชั่นจึงเป็นสัญลักษณ์ของการแสดงความยินดี และความรักที่เบ่งบาน ซึ่งดอกคาร์เนชั่นก็มีหลายสีเหมือนกับดอกไม้อีกหลายชนิด และแต่ละสีก็สื่อความหมายดีดีมากมายแตกต่างกัน แล้วเราจะเลือกดอกคาร์เนชั่นสีอะไร เพื่อใช้เป็น ดอกไม้วาเลนไทน์ กันดี มาดูความหมายของแต่ละสีกัน ​ดอกคาร์เนชั่นสีแดง เป็นดอกไม้ที่สื่อถึงความรัก  ออกแนวอ้อนวอนให้ผู้ได้รับ เห็นความรักของผู้ที่มอบให้ จึงเหมาะสำหรับการมอบให้กับคนที่เราแอบชอบ  นอกจากนี้ ยังสื่อความหมาย ของการชื่นชม และความรักที่ลึกซึ้ง ดอกคาร์เนชั่นสีชมพู เป็นตัวแทนของความรักที่กำลังผลิบาน ความอ่อนโยน และเป็นสัญลักษณ์ของความกตัญญู  ทำให้สามารถมอบดอกคร์เนชั่นนี้ กับผู้มีพระคุณและที่เคารพได้ ไม่ว่าจะเป็น คุณแม่ คุณครู เพื่อนฝูงหรือเพื่อนร่วมงานเพื่อแสดงความขอบคุณได้อีกด้วย ดอกคาร์เนชั่นสีเหลือง เหมาะสำหรับการมอบให้กับผู้ที่เราอยากขอโทษ แต่ก็ยังหมายถึง ผู้ให้กำลังงอนและต้องการให้ผู้รับมาง้อด้วย นอกจากนี้ ดอกคาร์เนชั่นสีเหลือง ยังเป็นสัญลักษณ์ของการปฏิเสธและความผิดหวัง ดอกคาร์เนชั่นสีขาว แสดงถึงความชื่นชมยินดี ความบริสุทธิ์ และความโชคดี จึงเหมาะสำหรับการมอบ เพื่อแสดงความยินดีในโอกาสต่าง ๆ และยังหมายถึงชีวิตที่รุ่งเรือง เหมาะสำหรับการมอบเป็นของขวัญวันเกิดให้กับผู้ใหญ่ หรือใช้แทนคำอวยพรหรือให้กำลังใจผู้ที่กำลังเริ่มต้นสิ่งใหม่ ๆ ในชีวิต ดอกคาร์เนชั่นสีม่วง  สำหรับดอกคาร์เนชั่นสีม่วง จะมีความหมาย ถึงความเสียใจต่อสถานการณ์ที่โชคร้าย และแทนคำขอโทษ ​ ทิวลิป เป็นดอกไม้อีกหนึ่งชนิด ที่มีความหมายดี จึงถูกนำมามอบให้กับคนรักอยู่เสมอ ๆ แต่ดอกทิวลิปเองส่วนใหญ่จะเป็นดอกไม้นำเข้าจากต่างประเทศ ทำให้มีราคาสูงกว่าดอกไม้ในประเทศ แต่ก็มีบางพื้นที่ของประเทศไทยที่ปลูกได้อยู่บ้างเหมือนกัน โดยดอกทิวลิป มีความหมายถึง การตกหลุมรักอย่างหัวปัักหัวปำ ชนิดรักเธออย่างหมดหัวใจ  เป็นรักและยังเป็นสัญลักษณ์ของจินตนาการ ความใฝ่ฝัน คู่รักที่สมบูรณ์แบบ ซึ่งดอกทิวลิปก็เป็นดอกไม้อีกหนึ่งชนิดที่มีสีสันมากมาย แต่ละสีก็จะมีความสวยงามและสื่อความหมายแตกต่างกันไป มาดูกัน ให้ดอกทิวลิปสีอะไรดีเป็น ดอกไม้วาเลนไทน์ ทิวลิปสีแดง สัญลักษณ์แห่งความมั่นคงในความรัก ความหลงใหล จริงใจ ซื่อสัตย์ และรักอย่างหมดใจ  ใช้มอบเพื่อสื่อความในใจว่า “ฉันรักเธอหมดใจ” หรือ “ฉันจะรักเธอตลอดไป” ทิวลิปสีชมพู แสดงถึงความสุข ความห่วงใย ความปรารถนาดี สื่อได้อีกแบบว่า “เปิดเผย ไม่ปิดบัง” นิยมใช้เพื่อแสดงความยินดีกับเพื่อนหรือคนสำคัญในโอกาสพิเศษต่าง ๆ ทิวลิปสีเหลือง เป็นตัวแทนภาพแห่งความสุข ความสดใส ความเยาว์วัย และความหวัง  และยังเป็นตัวแทนของมิตรภาพที่สามารถมอบให้เพื่อน ๆ เพื่อแสดงคำขอบคุณและความห่วงใยได้ด้วย ทิวลิปสีส้ม หมายถึง ความสุข ความกระตือรือร้น ความอบอุ่น พลัง และแรงบันดาลใจ จึงใช้มอบเพื่อแสดงความความชื่นชม หรือเมื่อต้องการให้กำลังใจหรือเติมพลังบวกให้กับคนพิเศษ ทิวลิปสีขาว หมายถึงการให้อภัย ความเคารพ ความบริสุทธิ์ และการให้เกียรติ สามารถมอบให้ได้ทุกโอกาสพิเศษ รวมถึงวันวาเลนไทน์ หรือจะในวาระการแสดงออกว่าเราต้องการขอโทษใครสักคนก็ได้ด้วย ​ ทิวลิปสีม่วง หมายถึงความซื่อสัตย์ และมั่นคง   ทั้งหมดนี้ ก็เป็น ดอกไม้วาเลนไทน์ ความหมายดี สุดโรแมนติก เพื่อมอบให้คนที่เรารัก ไม่จำเป็นจะต้องเป็นความรักแบบหนุ่มสาวหรือแฟนเท่านั้น อยากให้กับคนที่เรารักแบบไหน ก็ให้ได้เลย     ที่มา -https://1168group.com/ -www.Sanook.com -https://www.fruitnflora.com/ -https://www.honeydew-florist.com/ -https://www.pooyingnaka.com/
Bangkok Design Week 2022 กรุงเทพฯ เมืองสร้างสรรค์

Bangkok Design Week 2022 กรุงเทพฯ เมืองสร้างสรรค์

เริ่มแล้ว Bangkok Design Week 2022 เรียกง่ายๆภาษาชาวบ้าน งานออกแบบกรุงเทพฯ 2565 งานแทรกตัวอยู่ใน 5 ย่านเศรษฐกิจของกรุงเทพฯ ในธีม “Co With Creation คิด สร้าง ทางรอด” อยู่ยังไงในยุค โควิด-19 Bangkok Design Week 2022  งานจัด 9 วันโปรแกรมสุดแน่นกว่า 200 โปรแกรม ที่ชวนศิลปิน นักออกแบบ ร่วมกับชุมชม มาช่วยกันแบ่งปันไอเดียว่าเราจะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับโรคระบาดได้อย่างไร แบบมีทางรอด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องพื้นที่ จิตใจ สิ่งแวดล้อม หรือวัฒนธรรม ใส่แสงสีเสียง ปลุกสีสันของเมืองกรุงเทพฯ งานถูกจัดวางกระจายตัวไปตามย่านต่างๆทั่วเมือง ผ่านการนำเสนอ 5 เรื่อง Co with Space การออกแบบพื้นที่ Co with Mental Health งานออกแบบเพื่อดูแลจิตใจในยุคโควิด Co with Eco ออกแบบเพื่อสิ่งแวดล้อม Co with Culture งานออกแบบวัฒนธรรม และ Co with Future การออกแบบเพื่ออนาคต งานแทรกตัวอยู่ใน 5 ย่าน เจริญกรุง ตลาดน้อย, สามย่าน, อารีย์-ประดิพัทธ์, ทองหล่อ-เอกมัย และ พระนคร บางลำพู เด่นๆ ที่ ห้างนิวเวิลด์ ที่ได้รับความร่วมมือ จาก ม.ศิลปากรในการสร้างสีสรรค์ในตัวอาคารเก่าให้กลับมามีชีวิต อีกส่วนที่บริเวณเสาชิงช้า ที่โรงพิมพ์บำรุงนุกูลกิจ เป็นโรงพิมพ์แห่งแรกในใประเทศไทย อาคารอนุลักษณ์สร้างขึ้นในสมัย รัชกาลที่ 5 เทศกาลงานออกแบบกรุงเทพฯ จัดขึ้นระหว่างวันที่ 5 - 13 กุมภาพันธ์ 2565 ด้วยมาตรการป้องกันโรค ก่อนเข้าชมอาจต้องมีการจอง ตามรอบเพื่อจำกัดจำนวนคน สำหรับนิทรรศการทั่วไปสามารถเข้าชมได้ตามเวลาของสถานที่นั้นๆ อาจยุ่งยากช้าหน่อยแต่ปลอดภัยไว้ก่อน แผนที่จัดแสดงงานในย่านต่างๆ :https://linktr.ee/BKKDW บทความที่เกี่ยวข้อง ชมออฟฟิศใหม่ “เจียไต๋” ก้าวสู่ปีที่ 100 กับแนวคิด  Work – Life Balance6 สูตรลับ ปรับกลยุทธ์ธุรกิจอาหารต้องรอดในยุคโควิด-19 “Dr.PRINC คุณหมอใจดี” บริการปรึกษาแพทย์ฟรี !! ช่วงโควิด-19
อัพเดทดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ สินเชื่อกู้ซื้อบ้าน เดือนกุมภาพันธ์ 2565 แบงก์ไหนให้ดอกเบี้ยถูกสุด

อัพเดทดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ สินเชื่อกู้ซื้อบ้าน เดือนกุมภาพันธ์ 2565 แบงก์ไหนให้ดอกเบี้ยถูกสุด

อัพเดทดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ ถือว่าปี 2565 เป็นช่วงจังหวะที่ดี สำหรับกลุ่มคนที่มีความพร้อมทั้งด้านการเงินและการงาน ในการจะเลือกซื้อบ้านหรือคอนโดมาไว้ครอบครอง แม้ว่าภาวะการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จะยังคงมีอยู่ แต่เชื่อว่าจะปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะปัจจัยสนับสนุนมีหลายอย่าง หนึ่งในปัจจัยสำคัญ คือ อัตราดอกเบี้ยการกู้ซื้อบ้าน ยังอยู่ในอัตราที่ไม่สูง แม้ว่าราคาวัสดุก่อสร้าง และต้นทุนอื่น ๆ จะเริ่มขยับเพิ่มขึ้นแล้วก็ตาม   นอกจาก อัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน จะยังอยู่ในเกณฑ์ที่ต่ำแล้ว อัตราดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์บ้าน และคอนโด ก็อยู่ในทิศทางเดียวกัน โดยนับตั้งแต่ช่วงปลายปีที่แล้วมาจนถึงปัจจุบัน อัตราดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์บ้าน และคอนโด แทบไม่ได้ขยับเพิ่มขึ้นเลย จึงถือเป็นโอกาสดีสำหรับผู้ที่ซื้อบ้านมาแล้วครบกำหนดระยะเวลา 3 ปี และสามารถที่จะลองหาอัตราดอกเบี้ยที่ถูกกว่าเดิม เพื่อลดภาระค่าผ่อนชำระ และบางส่วนอาจจะสามารถกู้เงินเพิ่มมาใช้จ่ายในสิ่งที่จำเป็นได้อีกด้วย  ลองมาดูกันว่าอัตราดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์บ้าน และคอนโด ประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2565 แต่ละธนาคารมีเท่าไรกันบ้าง มาอัพเดทกันดู อัพเดทดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ บ้านและคอนโด 1.ธนาคารกรุงเทพ สำหรับการธนาคารกรุงเทพ  มีสินเชื่อบ้านบัวหลวง ที่ให้บริการรีไฟแนนซ์บ้าน  กรณีหลักทรัพย์เป็นที่อยู่อาศัยทั่วไป เฉพาะวงเงินอนุมัติตั้งแต่ 2 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งอัตราดอกเบี้ยของเดือนกุมภาพันธ์ 2565 ​นี้  ไม่ได้เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา โดยมีอัตราดอกเบี้ยให้เลือกด้วยกัน 3 ทางเลือก  ได้แก่ ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 กรณีทำประกัน Home 1st Plus ดอกเบี้ย 2.00% กรณีไม่ทำประกัน  อัตราดอกเบี้ย 2.25% ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 2.95% (MRR-3.00%) หลังจากนั้น 4.45% ​(MRR-1.50%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.13-3.22% อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 3.66-3.72% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 กรณีทำประกัน Home 1st Plus ดอกเบี้ย 2.325% (MRR-3.625%)  กรณีไม่ทำประกัน ดอกเบี้ย 2.575% (MRR-3.375%) ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 2.575% (MRR-3.375%) หลังจากนั้น อัตราดอกเบี้ย  4.45% (MRR-1.50%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.12-3.20% อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 3.66-3.72% ทางเลือกที่ 3 ฟรีค่าจดจำนอง ปีที่ 1 กรณีทำประกัน Home 1st Plus ดอกเบี้ย 2.825% (MRR-3.125%) กรณีไม่ทำประกัน ดอกเบี้ย  3.075% (MRR-2.875%) ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 3.075% (MRR-2.875%) หลังจากนั้น อัตราดอกเบี้ย 4.45%  (MRR-1.50%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.45-3.53% อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 3.86-3.92% หมายเหตุ -MRR = 5.95% ประกาศ ณ วันที่ 17 มิ.ย. 64 -วงเงินกู้สูงสุด เท่ากับ 100% ภาระหนี้คงค้าง และไม่เกินอัตราส่วนสินเชื่อสูงสุดตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย -ระยะเวลากู้สูงสุด 30 ปี (เฉพาะพนักงานประจำสูงสุด 35 ปี) รวมอายุผู้กู้สูงสุด 65 ปี -ค่าธรรมเนียม คิดค่าสำรวจและประเมินหลักประกัน 3,210 บาท (ธนาคารจะคืนค่าสำรวจและค่าประเมินหลักประกันหลังจากลูกค้าได้รับอนุมัติและเบิกใช้สินเชื่อแล้ว) -อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปี ตลาดอายุสัญญาวงเงินกู้ 2 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี -รายละเอียดและเงื่อนไขอื่น โปรดสอบถามจากธนาคาร -กรณีแสดงวัตถุประสงค์ เช่น เพื่อการต่อเติม/ซ่อมแซม/ตกแต่งที่พักอาศัย ซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้า เฟอร์นิเจอร์ ค่าใช้จ่ายด้านการศึกษา หรือการจัดหาสินค้าหรือบริการเพื่อการอุปโภคบริโภคส่วนตัว เป็นต้น​ -อัตราดอกเบี้ยนี้สำหรับผู้ที่ยื่นคำขอสินเชื่อพร้อมเอกสารครบถ้วน ตั้งแต่วันที่ 5 ม.ค. 65 - 31 ม.ค. 65 โดยผู้กู้ต้องลงนามในสัญญากู้ภายใน 1 เดือน นับแต่วันที่อนุมัติสินเชื่อและจดจำนองภายใน 2 เดือนนับแต่วันที่ ลงนามในสัญญากู้ -อัตราดอกเบี้ย MRR ปัจจุบัน ตามประกาศของธนาคาร ณ วันที่ 17 มิ.ย. 64 เท่ากับ 5.95% ต่อปี -อัตราดอกเบี้ย กรณีฟรีค่าธรรมเนียมจดจำนอง หากลูกค้ายกเลิก และไถ่ถอนหลักประกัน ก่อนระยะเวลา 3 ปี ไม่ว่ากรณีชำระหนี้ด้วยเงินสด หรือ รีไฟแนนซ์ธนาคารจะเรียกคืนค่าธรรมเนียมจดจำนองจากผู้กู้ -ธนาคารจะโอนเงินคืนค่าสำรวจและประเมินหลักประกันเข้าบัญชีเงินฝากสะสมทรัพย์ที่ลูกค้า ใช้หักชำระค่างวดกับธนาคารภายใน 60 วัน หลังจากลูกค้าได้รับอนุมัติและเบิกใช้สินเชื่อกับธนาคารแล้ว พิเศษ รับส่วนลดอัตราดอกเบี้ยพิเศษปีแรก 0.25% เพียงสมัครสินเชื่อบ้านบัวหลวงพร้อมประกันชีวิตคุ้มครองเครดิต โฮมเฟิสต์ พลัส (ฉบับปรับปรุง) -กรณีจำนวนเงินเอาประกันภัยเต็มวงเงินกู้ และระยะเวลาเอาประกันภัยขั้นต่ำ 10 ปี หรือเท่ากับระยะเวลาในสัญญากู้ -กรณีจำนวนเงินเอาประกันภัยอย่างน้อย 70% ของวงเงินกู้ และระยะเวลาเอาประกันภัยอย่างน้อย 70% ของระยะเวลาในสัญญากู้ (เฉพาะลูกค้าที่ทำสัญญากู้ตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป) 2.ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกรุงไทย มีสินเชื่อรีไฟแนนซ์บ้าน ซึ่งอัตราดอกเบี้ยเดือนกุมภาพันธ์ มีการคิดอัตราดอกเบี้ย  ดังนี้ ดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์บ้าน กรณีฟรีค่าธรรมเนียมยื่นกู้ แบบคงที่ ทำประกัน ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 0.75% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.60% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.50% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี  =2.70% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา = 4.01% แบบคงที่ ไม่ทำประกัน ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 1.0% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.55% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.25% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี  =2.80% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา = 4.05% แบบลอยตัว ทำประกัน   ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-3.55% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี  =2.67% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา = 4.03% แบบลอยตัว ไม่ทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-3.45% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี  =2.77% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา = 4.06% ดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์บ้าน กรณีธนาคารออกค่าจดจำนองให้ และฟรีค่าธรรมเนียมยื่นกู้ แบบคงที่ ทำประกัน ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 0.75% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.10% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.00% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี  =3.03% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา = 4.12% แบบคงที่ ไม่ทำประกัน ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 1.0% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.05% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.00% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี  =3.13% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา = 4.16% แบบลอยตัว ทำประกัน   ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-3.20% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี  =3.02% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา = 4.15% แบบลอยตัว ไม่ทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-3.10% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี  =3.12% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา = 4.19% หมายเหตุ การทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ* : ทำประกันทางเลือกใด ทางเลือกหนึ่ง ดังนี้ 1.ทำ MRTA/GLT SP เต็มวงเงินกู้ และระยะเวลาทำประกันขั้นต่ำ 10 ปี 2.ทำ MRTA/GLT SP 70% ของวงเงินกู้และระยะเวลากู้ 3.ทำ MRTA/GLT SP 70% ของวงเงินกู้ และระยะเวลาทำประกันขั้นต่ำ 15 ปี ทั้งนี้ การทำประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองวงเงินสินเชื่อเป็นไปตามความสมัครใจของลูกค้า และไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อ ***อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (EIR) คำนวณจากวงเงินกู้ 1.00 ล้านบาท อายุสัญญา 20 ปี ผ่อนชำระ 6,500 บาท/เดือน เงื่อนไขอื่น ๆ เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด การพิจารณาสินเชื่ออยู่ภายใต้ดุลยพินิจของธนาคาร ยื่นสมัครสินเชื่อ ภายในวันที่ 31 มีนาคม 2565 MRR = 6.22% ต่อปี (ณ 1 เม.ย. 2564) 3.ธนาคารกรุงศรี ธนาคารกรุงศรี มีแคมเปญการให้บริการสินเชื่อรีไฟแนนซ์กับลูกค้า คือ  ฟรี ค่าประเมินหลักทรัพย์ ฟรี ค่าจดจำนอง ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. – 31 มี.ค. 65 โดยอัตราดอกเบี้ย ไม่มีการเปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา ซึ่งคิดดอกเบี้ยตามรายละเอียด ดังนี้​ สำหรับวงเงินตั้งแต่ 1 -1.5 ล้านบาท ทางเลือก 1 ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 2.90% ปีที่ 2-3 ดอกเบี้ย MRR-3.15% หลังจากนั้น MRR-1.50% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 2.90% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 3.65% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 0.75% ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 4.20% ปีที่ 3 ดอกเบี้ย MRR-1.85% หลังจากนั้น MRR-1.50% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.05% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 3.66% ทางเลือกที่ 3* ฟรีค่าจดจำนอง ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 0.50% ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 4.70% ปีที่ 3 ดอกเบี้ย MRR-1.35% หลังจากนั้น MRR-1.50% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.30% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 3.78% สำหรับวงเงินตั้งแต่ 1.5 ล้านบาทขึ้นไป ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 1.75% ปีที่ 2 ดอกเบี้ย MRR-3.85% ปีที่ 3 ดอกเบี้ย MRR-1.75% = 4.3% หลังจากนั้น MRR-1.75% = 4.3% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 2.75% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 3.40% ทางเลือก 2 ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ย 3.0% หลังจากนั้น MRR-1.75% =4.3% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.0% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 3.60% ทางเลือก 3 ปีที่ 1-3  ดอกเบี้ย MRR-2.70% = 3.35% หลังจากนั้น MRR-2.70% = 3.35% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.35% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 3.35% ทางเลือก 4* ฟรีค่าจดจำนอง ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ย 3.25% หลังจากนั้น MRR-1.75% = 4.3% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.25% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 3.74% ทางเลือกที่ 5 ฟรีค่าจดจำนอง ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 0.50% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 4.25% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย MRR-1.05% หลังจากนั้น MRR-1.75%= 4.3% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3.25% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 3.61%   หมายเหตุ -สินเชื่อฟรีค่าจดจำนอง เฉพาะลูกค้าที่ซื้อ MRTA/MLTA ตามเงื่อนไขที่กำหนดเท่านั้น จึงจะสามารถเลือกรับดอกเบี้ยทางเลือกฟรีค่าจดจำนองได้โปรดอ้างอิงตาม Product Catalog_ประกัน (สาขากลาง) / Product Catalog_ประกัน(สาขาภูมิภาค) และ ใบข้อเสนอ (QE) -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้นเป็นเพียงการแสดงตัวอย่าง โดยคำนวณจากฐานวงเงินกู้ 1.5 ล้านบาท สำหรับวงเงินกู้ที่ได้รับอนุมัติตั้งแต่ 1 ล้านบาทแต่ไม่ถึง 1.5 ล้านบาท และฐานวงเงินกู้ 3 ล้านบาท สำหรับวงเงินกู้ที่ได้รับอนุมัติตั้งแต่ 1.5 ล้านบาทขึ้นไป ด้วยระยะเวลาการกู้ 10 ปี ในกรณีที่ลูกค้าซื้อ MRTA/MLTA หาก ค่าเบี้ย MRTA/MLTA เปลี่ยนแปลง อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงอาจเปลี่ยนแปลงได้ เงื่อนไขการรับสิทธิพิเศษสำหรับลูกค้าที่ซื้อประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ (MRTA/MLTA) -กรณีลูกค้าเลือกรับอัตราดอกเบี้ยทางเลือกที่ 3 (วงเงินกู้อนุมัติตั้งแต่ 1 ล้านบาท แต่ไม่ถึง 1.5 ล้านบาท) หรือทางเลือกที่ 4 (วงเงินกู้อนุมัติตั้งแต่ 1.5 ล้านบาทขึ้นไป) ฟรีค่าจดจำนองตามเงื่อนไขที่กำหนด -กรณีลูกค้าเลือกรับอัตราดอกเบี้ยทางเลือกที่ 1-2 (วงเงินกู้อนุมัติตั้งแต่ 1 ล้านบาท แต่ไม่ถึง 1.5 ล้านบาท) หรือทางเลือกที่ 1-3(วงเงินกู้อนุมัติตั้งแต่ 1.5 ล้านบาทขึ้นไป) หรือทางเลือกที่ 5(วงเงินกู้อนุมัติตั้งแต่ 3 ล้านบาทขึ้นไป) รับส่วนลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ต่อปีเฉพาะในปีที่ 1 ทั้ง 2 กรณีลูกค้าต้องซื้อ MRTA/MLTA ที่ร่วมรายการตามเงื่อนไขดังนี้ 1.ผลิตภัณฑ์​MRTA/MLTA ที่ร่วมรายการได้แก่ MRTA : แผนกรุงศรี เซฟตี้โลน 1 พลัส หรือกรุงศรี เซฟตี้โลน 1 หรือ กรุงศรีเซฟตี้โลน 2 MLTA : กรุงศรีรักบ้าน รักคุณ หรือกรุงศรีรักบ้าน รักคุณ พลัส เท่านั้น 2.กรณีผู้กู้หลักเป็นพนักงานเงินเดือนที่มีรายได้ประจำ ต้องซื้อ MRTA/MLTA 100% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 15 ปี หรือซื้ออย่างน้อย 70% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 20 ปี 3.กรณีผู้กู้หลักเป็นผู้ประกอบธุรกิจส่วนตัว ต้องซื้อ MRTA/MLTA อย่างน้อย 80% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 10 ปี หรืออย่างน้อย 50% ของวงเงินกุ้โดยมีระยะเวลาความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 15 ปี 4.กรณีมีผู้กู้ร่วม สามารถซื้อ MRTA/MLTA เฉพาะผู้กู้หลักคนเดียวได้ หรือหากผู้กู้ร่วมประสงค์ที่จะซื้อ MRTA/MLTA ด้วย ผู้กู้หลักและผู้กู้ร่วมทุกคนจะต้องมีทุนประกันขั้นต่ำในสัดส่วนที่เท่ากัน -MRR =6.05% (ณ 21 พ.ค.63) -ยื่นขอสินเชื่อตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-30 เม.ย.65 และจดจำนอง และเบิกเงินกู้ภายในวันที่ 31 พ.ค. 65 -ธนาคารสงวนสิทธิ์เรียกเก็บค่าเบี้ยปรับกรณีปิดภาระหนี้ก่อนกำหนด (กรณีที่ลูกค้ารีไฟแนนซ์ไปสถาบันการเงินอื่นภายใน 3 ปีแรกนับจากวันทำสัญญา) -รายละเอียดและเงื่อนไขเพิ่มเติม สอบถามได้จากธนาคาร​ 4.ธนาคารกสิกรไทย อัตราดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์บ้านของธนาคารกสิกรไทย ในเดือนกุมภาพันธ์ 2565 ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา  โดยธนาคารกสิกรไทยมีบริการสินเชื่อบ้านรีไฟแนนซ์ ดังนี้ ปีที่ 1 MRR = 5.97% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 5.97% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 5.97% หมายเหตุ -MRR = 5.97% ( ณ วันที่ 22 พ.ค.63) -สำหรับผู้ที่ยื่นกู้สินเชื่อบ้านตั้งแต่ 1 ม.ค.- 31 มี.ค.65 5.ธนาคารเกียรตินาคิน ธนาคารเกียรตินาคิน มีแคมเปญ KKP Home Loan Refinance สำหรับลูกค้าบ้านรีไฟแนนซ์ประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2565 ในอัตราที่ไม่เปลี่ยนแปลงจากช่วงเดือนที่ผ่านมา ดังนี้ ทางเลือก ดอกเบี้ยคงที่ 2 ปี แบบทำประกัน ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ย 2.59% ปีต่อไป MLR-1.75% = 4.775% แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ย 2.79% ปีต่อไป MLR-1.75% = 4.775% ทางเลือก ดอกเบี้ยแบบลอยตัว แบบทำประกัน ปีที่ 1-3  ดอกเบี้ย 2.79% ปีต่อไป MLR-1.75% = 4.775% แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1-3  ดอกเบี้ย 2.99% ปีต่อไป MLR-1.75% หมายเหตุ 1.อัตราดอกเบี้ยขึ้นอยู่กับปัจจัยอ้างอิง​ เช่น อัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายใหญ่ชั้นดีประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา​ (MLR) ซึ่งธนาคารจะแจ้งให้ทราบถึงการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยดังกล่าว โดยจะประกาศไว้​ ณ สถานที่ทำการให้บริการและเว็บไซต์ของธนาคาร 2.MLR ณ วันที 18 สิงหาคม​ 2563 เท่ากับ 6.525% ตอ่ ปี 3.เลือก​ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ (MRTA)​ ผ่านธนาคาร ทุนประกันภัยเท่ากับวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาเอาประกันภัยขั้นต่ำ 1​​0 ปี กรณีที่ระยะเวลาการกู้ไม่ถึง 10 ปีให้ระยะเวลาเอาประกันภัยเท่ากับระยะเวลาการกู้ 4.กรณี Refinance ไปสถาบันการเงินอื่นก่อนครบ​ 3 ปีแรก คิดค่า Prepayment Penalty 3% ของเงินต้นคงค้าง​ 5.กรณีเลือกใช้เงื่อนไขอัตราดอกเบี้ยแบบฟรีค่าจดจำนอง หากลูกค้า​ Re-Finance หรือชำระปิดบัญชีก่อนระยะเวลาที่กำหนดไว้ทุกกรณี ลูกค้าต้องชำระคืนค่าจดจำนองที่ธนาคารเคยสำรองจ่ายให้ แก่ธนาคาร​ 6.ค่าประเมินหลักประกันเริ่มต้น​ 3,210 บาท ค่าอากรแสตมป์ ร้อยละ​ 0.05 ของวงเงินกู้ (สูงสุดไม่เกิน​ 10,000 บาท) 7.ค่าธรรมเนียมติดตามทวงถามหนี้ : ค้างชำระ 1 งวด 50 บาท/รอบการทวงถามหนี้ ค้างชำระมากกว่า 1 งวด 100 บาท/รอบการทวงถามหนี้ 8.เบี้ยประกันอัคคีภัย เป็นไปตามที่บริษัทประกันภัยกำหนด โดยผู้กู้สามารถเลือกทำประกันภัยกับบริษัทที่น่าเชื่อถือใดก็ได้ 6.ธนาคารซีไอเอ็มบี ธนาคารซีไอเอ็มบี มีสินเชื่อรีไฟแนนซ์ ที่ให้อัตราดอกเบี้ยเท่ากับช่วงเดือนที่ผ่านมา โดยประเภทสินเชื่อรีไฟแนนซ์ และขอวงเงินเพิ่ม (กรณีไม่ขอวงเงินเพิ่มมีอัตราดอกเบี้ยเฉพาะสอบถามได้จากทางธนาคาร) มีอัตราการคิดดอกเบี้ย ดังนี้ สำหรับพนักงานประจำ รายได้ 30,000 บาทขึ้นไป แบบทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย  (MRR-3.66%) = 3.69% ระยะเวลาที่เหลือ ดอกเบี้ย (MRR-2.00%) =5.35% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.69% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.93% แบบไม่ทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย   (MRR-3.36%) = 3.99% หลังจากนั้น (MRR-2.00%) = 5.35% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.99% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.01% สำหรับพนักงานเงินเดือน 15,000 บาท หรือเจ้าของกิจการรายได้ 30,000 บาท ขึ้นไป ทางเลือก 2 แบบทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ย MRR-3.36% = 3.99% ระยะเวลาที่เหลือ ดอกเบี้ย MRR-2.00% = 5.35% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.99% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.01% แบบไม่ทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ย MRR-3.06% = 4.29% ระยะเวลาที่เหลือ ดอกเบี้ย MRR-2.00% = 5.35% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.29% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.08% หมายเหตุ อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา คำนวณจากวงเงินกู้ 2 ล้านบาท ระยะเวลากู้ 15 ปี (MRR=7.35% ประกาศ ณ วันที่ 10 เมษายน 2563) กรณีไม่ขอวงเงินเพิ่ม สอบถามรายละเอียดกับทางธนาคารโดยตรง 7.ธนาคารทีทีบี ธนาคารทีทีบีมีแคมเปญสินเชื่อบ้านรีไฟแนนซ์ ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงอัตราการคิดดอกเบี้ย สำหรับเดือนกุมภาพันธ์ 2565 ​ดังนี้ สมัครพร้อมผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท ทางเลือก 1 ปีที่ 1-3 คิดอัตราดอกเบี้ย MRR-3.53% =2.75% หลังจากนั้น อัตราดอกเบี้ย (MRR-1.63%)=4.65% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.75% ดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.02% ทางเลือก 2 (ฟรีค่าจดจำนอง) ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-3.18%=3.1% หลังจากนั้น (MRR-1.63%)= 4.65% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี อัตรา 3.10% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.14% ทางเลือก 3 (สมัครผลิตภัณฑ์ไม่ครบทั้ง 3 ประเภท) ปีที่ 1-3 คิดอัตราดอกเบี้ย (MRR-2.74%) = 3.54% หลังจากนั้น ดอกเบี้ย 4.65% (MRR-1.63%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีดอกเบี้ย 3.54% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.29% สมัครผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท ได้แก่ 1.สมัครประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อบ้าน สไมล์ โฮม หรือ สไมล์ โฮม พลัส 2.สมัครใช้บริการ หักบัญชีอัตโนมัติผ่านบัญชีออมทรัพย์ทีทีบีเพื่อผ่อนช าระสินเชื่อบ้าน 3.สมัครบัตรเดบิต ทีทีบี (กรณีที่มีบัตรเดบิต ทีทีบีแล้ว ไม่ต้องสมัครเพิ่ม) ช่วยคุณประหยัดดอกเบี้ยได้มากขึ้น ผ่อนต่อเดือนน้อยลง และเป็นเจ้าของบ้านได้เร็วขึ้น เมื่อรีไฟแนนซ์บ้านกับทีทีบี รับข้อเสนอพิเศษ ด้วยอัตราดอกเบี้ยให้เลือก 2 แบบ ดังนี้ แบบที่ 1 สมัครพร้อมผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท  รับอัตราดอกเบี้ยพิเศษ นาน 3 ปี  ฟรี! ค่าเบี้ยประกันอัคคีภัย มูลค่าประมาณ 1,000 บาทต่อปี ต่อราคาบ้าน 1 ล้านบาท  ฟรี! ค่าจดทะเบียนจำนอง มูลค่า 1% ของเงินกู้สูงสุด 200,000 บาท  ฟรี! ค่าธรรมเนียมธนาคารของสินเชื่อบ้านทุกประเภท: ค่าประเมินราคาหลักทรัพย์, ค่าดำเนินการสินเชื่อ, ค่าทำนิติกรรมจำนอง แบบที่ 2 สมัครผลิตภัณฑ์เสริมไม่ครบทั้ง 3 ประเภท ฟรี! ค่าเบี้ยประกันอัคคีภัย มูลค่าประมาณ 1,000 บาทต่อปี ต่อราคาบ้าน 1 ล้านบาท ฟรี! ค่าธรรมเนียมธนาคารของสินเชื่อบ้านทุกประเภท: ค่าประเมินราคาหลักทรัพย์, ค่าดำเนินการสินเชื่อ, ค่าทำนิติกรรมจำนอง หมายเหตุ : -อัตราดอกเบี้ยค่าธรรมเนียมรวมถึงสิทธิพิเศษต่าง ๆ เป็นไปตามประกาศของธนาคาร -MRR (Minimum Retail Rate: อัตราดอกเบี้ย ลูกค้ารายย่อยชั้นดี) = 6.28% ต่อปี ณ วันที่ 7 พ.ค. 2564 -การทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อบ้าน (MRTA) ไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อ ทำเพื่อประโยชน์หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้นกับผู้กู้ในขณะที่ยังชำระหนี้ไม่ครบถ้วน ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงของผู้กู้และธนาคาร และไม่มีผลต่อการ พิจารณาสินเชื่อ -สำหรับลูกค้าที่ยื่นที่ยื่นกู้ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.​-30 มิ.ย. 65 และจดจำนองภายในวันที่ 31 ก.ค. 65 8.ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารไทยพาณิชย์ มีสินเชื่อทั่วไปที่รีไฟแนนซ์จากสถาบันการเงินอื่น โดยเดือนกุมภาพันธ์ 2565  ​ยังคงอัตราดอกเบี้ยเท่ากับเดือนที่ผ่านมา ดังนี้ แบบไม่ทำประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 5.15% ปีต่อไป MRR-0.72%= 5.275% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 5.15% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.242% แบบทำประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ มากกว่าหรือเท่ากับ 70% ของวงเงินกู้ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.90% ปีต่อไป MRR-0.72% = 5.275% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.90% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.174% หมายเหตุ -กรณีใช้ดอกเบี้ย​แบบทำประกัน​ Credit Life 70% กำหนดให้ทำทุนประกันไม่น้อยกว่า 70% ของวงเงินกู้และระยะเวลาเอาประกัน 70% ของระยะเวลากู้ตามสัญญา โดยกำหนดให้เอาระยะเวลาขั้นต่ำ 10 ปี (กรณีระยะเวลากู้ตามสัญญาต่ำ​10 ปี กำหนดให้ระยะเวลาเอาประกันเท่ากับระยะเวลากู้ตามสัญญา) ​-ประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ รับประกันภัยโดย บมจ. ไทยพาณิชย์ประกันชีวิต บริษัทนเครือกลุ่มเอฟดับบลิวดี หากต้องการสอบถามรายละเอียด เกี่ยวกับการประกันภัยเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ ศูนย์บริการลูกค้า โท​ร.1315 ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 8.00 – 20.00 น. -ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจรายละเอียดความคุ้มครอง เงื่อนไข ​​ก่อนการตัดสินใจทำประกันภัยทุก​ ธนาคารเป็นเพียงนายหน้าผู้ชี้ช่อง หรือจัดการให้บุคคลเข้าทำสัญญาประกันภัยเท่านั้น ​การพิจารณารับประกัน ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขการรับประกันภัย ของบริษัทประกันภัย -อัตราดอกเบี้ย MRR ของธนาคารไทยพาณิชย์ เท่ากับ 5.995% ต่อปี ​(ประกาศ ณ วันที่ 9 ส.ค.2564) ซึ่งอาจะเปลี่ยนแปลงได้ตามประกาศธนาคาร -อัตราดอกเบี้ยแท้จริงที่ระบุในตารางเป็นเพียงตัวอย่างที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในฉบับนี้เท่านั้น ​ซึ่งอาจะมีความแตกต่างกัน ตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย -กรณีลูกค้าบอกเลือกประกันชีวิต หรือขอเวนคืนกรมธรรม์ หรือทำประกันไม่ครบกำหนดตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ ​ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยวงเงินกู้ เป็นอัตราดอกเบี้ยทั่วไป  ตามประกาศธนาคาร ระยะเวลากู้ตามสัญญา วงเงิน ระยเวลาผ่อนชำระ อัตราดอกเบี้ย คุณสมบัติ เอกสารปรกอบการพิจารณา และการอนุมัติเป็นไปตามเงื่อนไข หลักเกณฑ์ที่ธนาคารกำหนด 9.ธนาคารอาคารสงเคราะห์ สำหรับธนาคารอาคารสงเคราะห์ หรือ ธอส. ถือว่าเป็นธนาคารสำหรับการให้สินเชื่อเพื่อซื้อบ้านและคอนโด รวมถึงสินเชื่ออื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องโดยตรง มีสินเชื่อให้เลือกมากมายหลายประเภท สำหรับการรีไฟแนนซ์บ้านจากสถาบันการเงินอื่นก็เช่นกันมีหลากหลายประเภท โดยในส่วนสินเชื่อบ้านสุขสันต์ เพื่อให้ลูกค้าใช้บริการรีไฟแนนซ์  โดยอัตราดอกเบี้ยสำหรับเดือนกุมภาพันธ์ 2565 ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนก่อนหน้า ​​โดยมีรายละเอียดอัตราดอกเบี้ย ดังนี้ แบบที่ 1 สำหรับกลุ่มลูกค้าสวัสดิการ ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 1.99% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย MRR-3.16%= 2.99% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.65%=3.5% หลังจากนั้น ดอกเบี้ย MRR-1.0%= 5.15% แบบที่ 2 สำหรับกลุ่มลูกค้ารายย่อย ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 2.09% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย  MRR-3.06%= 3.09% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย  MRR-2.55%=3.6% หลังจากนั้น ดอกเบี้ย MRR-0.5%=5.65%   หมายเหตุ -นิยามคำว่า “อาคาร” หมายถึง บ้านเดี่ยว บ้านแฝดทาวน์เฮ้าส์ และอาคารพาณิชย์เพื่อที่อยู่อาศัย ยกเว้นแฟลต และบ้านเช่า -ยกเว้น ค่าธรรมเนียมการยื่นกู้ร้อยละ 0.1 ของวงเงินทำนิติกรรม -ยื่นคำขอกู้และอนุมัติตั้งแต่วันที่ 4 ม.ค.-30 ธ.ค.​65 อนุมัติและทำนิติกรรมภายใน​ 30 ธ.ค.​​ 65 (ทั้งนี้ธนาคารสงวนสิทธิ์ในการกำหนดระยะเวลาสิ้นสุดโครงการก่อนกำหนด หากธนาคารให้สินเชื่อเต็มวงเงินของโครงการแล้ว) -MRR = 6.15% ประกาศ ณ วันที่ 25 พ.ค. 64 10.ธนาคารยูโอบี สำหรับธนาคารยูโอบี มีแคมเปญสินเชื่อบ้านรีไฟแนนซ์ UOB Home Loan - รีไฟแนนซ์ ​วงเงินกู้เพิ่มอเนกประสงค์ (ส่วนสินเชื่อประเภทรีไฟแนนซ์ไม่รวมวงเงินกู้เพิ่มอเนกประสงค์ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมกับทางธนาคาร​)  ซึ่งอัตราดอกเบี้ยในเดือนกุมภาพันธ์ 65 ไม่มีการเปลี่ยนแปลงจากเดือนก่อนหน้า​ รายละเอียดดังนี้ ทางเลือก 1 ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 2.89% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย (MRR-4.46%)= 2.89% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.89% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.60% ทางเลือกที่ 2 ไม่ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 2.99% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย (MRR-4.36%) = 2.99% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.99% ลดลง อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.64% ทางเลือก 3 แบบทำประกัน ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 1.99% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย (MRR-2.36%) = 4.99% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.99% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.60% ทางเลือก 4 แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 2.09% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย (MRR-2.26%) = 5.09% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.09% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.64% หมายเหตุ 1.อัตราดอกเบี้ยแบบทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ​ (MRTA) ผ่านธนาคารยูโอบี -ทุนประกันเต็มวงเงินกู้และมีระยะเวลาเอาประกันขั้นต่ำ ​10 ปีหรือ​ -ทุนประกันขั้นต่ำ ​80% ของวงเงินกู้ และมีระยะเวลาเอาประกันเต็มระยะเวลากู้​ 2.อัตราดอกเบี้ย สำหรับสินเชื่อรีไฟแนนซ์วงเงิน​ 1 ล้านบาทอายุสัญญา​ 15 ปี MRR = 7.35% ต่อปีอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่างที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้สำหรับโฆษณาเท่านั้น อัตราดอกเบี้ยสำหรับทำสัญญากู้ยืม​ของลูกค้าแต่ละรายอาจมีความแตกต่างตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย​ 3.อัตราดอกเบี้ยนี้สำหรับวงเงินเพิ่มไม่เกิน​ 50% ของวงเงินกู้รวมทั้ง ทั้งนี้ไม่นับรวมวงเงินกู้สินเชื่ออื่นเพื่อชำระค่าเบี้ย​ประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินชื่อ ​ (MRTA) วงเงินกู้รีไฟแนนซ์สูงสุด รวมส่วนกู้เพิ่มต้องไม่เกิน 95% ของราคาประเมิน ขึ้นอยู่กับรายได้ ประเภทของลูกค้า / ประเภทและที่ตั้งของหลักประกัน/ ราคาหลักประกัน / จำนวนสัญญากู้สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยของลูกค้า วงเงินกู้รีไฟแนนซ์อนุมัติ รวมส่วนกู้เพิ่มต้องไม่เกินวงเงินกู้รีไฟแนนซ์ 4.กรณีกู้โดยไม่รวมวงเงินกู้เพิ่มอเนกประสงค์และรายละเอียดเพิ่มเติมกรุณาติดต่อธนาคารโดยตรง 5.สำหรับลูกค้าที่ยื่นขอสินเชื่อตั้งแต่ ​1 ม.ค.​- 31 มี.ค.​ 65 และจดจำนองหลักประกันกับธนาคารภายในวันที่ 29 เม.ย. 65 11.ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ มีแคมเปญสินเชื่อรีไฟแนนซ์ บ้านและคอนโด ดอกเบี้ยต่ำ เพียง 0.59% ต่อปี ซึ่งไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา โดยคิดดอกเบี้ยดังนี้ แบบที่ 1 สำหรับผู้กู้รายได้ตั้งแต่ 75,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 0.59% ต่อปี แบบที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย MRR-6.76% = 0.59% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-3.37% = 3.98% ปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR-2.25%=5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.85% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.67% แบบที่ 2 ปีที่ 1 ดอกเบี้ยคงที่ 0.79% หรือ ผ่อนล้านละ 3,5000 บาท ปีที่ 2-3 ดอกเบี้ยคงที่ MRR-3.32% = 4.03% ปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR-2.25%=5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.95% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.74% แบบที่ 3 ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย MRR-5.35%=2.00% ปีที่ 3 MRR-3.55%=3.80% ปีที่ 4 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย MRR-2.25%=5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.60% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.57% แบบที่ 4 ปีที่ 1-2 ดอกเบี้ยคงที่ 2.10% หรือ ผ่อนต่ำล้านละ 3,500 บาท ปีที่ 3 ดอกเบี้ย MRR-3.45% = 3.90% ปีที่ 4 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย MRR-2.25%=5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.70% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.64% แบบที่ 5 ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ย MRR-4.75% = 2.60% ปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR-2.25%=5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.60% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.63% แบบที่ 6 ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ยคงที่ 2.80% หรือ ผ่อนล้านละ 3,500 บาท ปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR-2.25%=5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.80% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.76% แบบที่ 2 สำหรับผู้มีรายได้ตั้งแต่ 20,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 0.79% ต่อปี แบบที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย MRR-6.56% = 0.79% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-3.32% = 4.03% ปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR-2.25%=5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.95% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.74% แบบที่ 2 ปีที่ 1 ดอกเบี้ยคงที่ 0.99% หรือ ผ่อนล้านละ 3,5000 บาท ปีที่ 2-3 ดอกเบี้ยคงที่ MRR-3.27% = 4.08% ปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR-2.25%=5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.05% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.81% แบบที่ 3 ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย MRR-5.25%=2.10% ปีที่ 3 MRR-3.45%=3.9% ปีที่ 4 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย MRR-2.25%=5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.70% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.64% แบบที่ 4 ปีที่ 1-2 ดอกเบี้ยคงที่ 2.20% หรือ ผ่อนต่ำล้านละ 3,500 บาท ปีที่ 3 ดอกเบี้ย MRR-3.35% = 4.00% ปีที่ 4 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย MRR-2.25%=5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.80% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.70% แบบที่ 5 ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ย MRR-4.65% = 2.70% ปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR-2.25%=5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.70% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.69% แบบที่ 6 ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ยคงที่ 2.90% หรือ ผ่อนล้านละ 3,500 บาท ปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR-2.25%=5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.90% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.82% ข้อกำหนดและเงื่อนไข 1.สิทธิพิเศษสำหรับลูกค้า Refinance ดอกเบี้ยเริ่มต้น 0.59% ต่อปี สำหรับลูกค้าที่มีรายได้ตั้งแต่ 75,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป หรืออัตราดอกเบี้ย 0.79% ต่อปี สำหรับลูกค้าที่มีรายได้ตั้งแต่ 20,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป และเบิกรับเงินกู้ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-31 มี.ค.65 2.วงเงินกู้เริ่มต้น 1.0 ล้านบาท และราคาประเมินหลักประกัน (แนวราบ) ไม่น้อยกว่า 2.0 ล้านบาท หรือ (แนวสูง) ไม่น้อยกว่า 2.5 ล้านบาท (โครงการจัดสรรทุกโครงการ) 3.อัตราดอกเบี้ยและเงื่อนไขดังกล่าว สำหรับหลักประกันที่ได้รับการจัดสรรทุกโครงการในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ยกเว้น ที่ดินว่างเปล่า, อาคารพาณิชย์ 4.กรณีลูกค้าทำประกัน MRTA/MLTA ธนาคารทดรองจ่ายค่าจดจำนองให้ 1% ของวงเงินกู้อนุมัติ หรือสูงสุดไม่เกิน 2 แสนบาท (ทั้งนี้ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเรียกเก็บเงินทดรองจ่ายค่าจดจำนองดังกล่าวคืนจากลูกค้า กรณีลูกค้าปิดบัญชีสินเชื่อ หรือเปลี่ยนแปลงสัญญาใด ๆ ภายใน 5 ปีแรกทุกกรณี นับจากวันทำนิติกรรมจดจำนอง) 5.กรณีสมัครทำประกันชีวิต ต้องสมัครทำ MRTA/MLTA ทุนประกัน 100% ของวงเงินสินเชื่อ ระยะความคุ้มครองขั้นต่ำ 10 ปี 6.ลูกค้าสามารถเลือกใช้อัตราการผ่อนชำระขั้นต่ำล้านละ 3,500 บาท ได้ในแบบอัตราดอกเบี้ยแบบคงที่เท่านั้น 7.อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่างอัตราดอกเบี้ยสำหรับสินเชื่อที่อยู่อาศัยวงเงิน 3 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี MRR = 7.35% (ณ วันที่ 1 เม.ย. 64) ที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในโฆษณาฉบับนี้เท่านั้น ซึ่งอาจมีความแตกต่างตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย 8.อัตราดอกเบี้ย หลักเกณฑ์และเงื่อนไขอื่น ๆ เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด 12 ธนาคารออมสิน ธนาคาออมสิน มีสินเชื่อเคหะ เพื่อซื้อ สร้างต่อเติม หรือ รีไฟแนนซ์ พร้อมแคมเปญ ฟรีค่าบริการสินเชื่อ ค่านิติกรรมสัญญา และค่าจดจำนอง ซึ่งมีอัตราดอกเบี้ยประจำเดือนกุมภาพันธ์ สำหรับลูกค้าทั่วไป ดังนี้ แบบทำประกัน ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 2.00% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-3.34% =2.905% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.6% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.126% แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 2.250% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย (MRR-2.72%) = 3.525% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.10% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.310%   หมายเหตุ -MRR=6.245% ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 25 พ.ค.63 -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา (EIR) คำนวณจากวงเงินกู้ 1 ล้านบาท ระยะเวลาผ่อนชำระ 20 ปี แบบผ่อนเท่ากันทุกงวด -ทำประกัน หมายถึง การทำประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ โดยหลักเกณฑ์ เงื่อนไข เป็นไปตามธนาคารกำหนด -เงื่อนไขการใช้อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อเคหะตามโปรโมชั่น สมัครบริการ MyMo และผลิตภัณฑ์/บริการอื่นของธนาคารอย่างน้อย 2 ประเภท ได้แก่ บัตราอิเล็กทรอนิกส์/บัตรเครดิต หรือสินเชื่อบัตรเงินสด/ชำระสินเชื่อหักผ่านบัญชี/ประกันชีวิตเพื่อประกันสินเชื่อ ทั้งนี้ หากลูกค้าใช้ผลิตภัณฑ์/บริการอื่นตามที่กำหนดอยู่แล้ว สามารถใช้อัตราดอกเบี้ยดังกล่าวได้ และกรณีไม่มี Smartphone ให้สมัครผลิตภัณฑ์/บริการอื่นของธนาครตามที่กำหนดแทนได้ -กรณีฟรีค่าธรรมเนียมจดจำนองให้ตามที่จ่ายจริง (รวมทุกสัญญาที่กู้ในคราวเดียวกัน) และลูกค้าต้องสำรองจ่ายค่าจดจำนองแก่กรมที่ดินไปก่อนโดยธนาคารจะโอนเงินหลังหักภาษี ณ ที่จ่าย 1% ของเงินค่าธรรมเนียมจดจำนองคืนภายใน 30 วัน -กรณีผู้กู้ชำระคืนเงินกู้เสร็จสิ้น หรือไถ่ถอนจำนองก่อนครบกำหนด (Prepayment) ภายในระยะเวลา 3 ปี นับแต่วันที่ทำสัญญากู้เงิน ผู้กู้ต้องเสียค่าธรรมเนียมตามที่ธนาคารกำหนด (ปัจจุบันร้อยละ 3.0 ของยอดเงินคงเหลือ) ทั้งนี้ กรณีเลือกอัตราดอกเบี้ยกรณีไถ่ถอนจำนองสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยจากสถาบันการเงินอื่น (Re-Finance) และฟรีค่าธรรมเนียมจดจำนอง ผู้กู้จะต้องชำระค่าจดจำนองคืนแก่ธนาคารเต็มจำนวน -หลักเกณฑ์เงื่อนไขอื่น ๆ ให้เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด โดยธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์เงื่อนไขโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า​   ที่มา : Reviewyourliving รวบรวมข้อมูลจากเว็บไซต์ธนาคาร ณ วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2565   บทความที่เกี่ยวข้อง อัพเดทดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ สินเชื่อกู้ซื้อบ้าน เดือนตุลาคม 2564 แบงก์ไหนให้ดอกเบี้ยถูกสุด อัพเดทดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เดือนกุมภาพันธ์ 2565
Liquidity Pool คืออะไร สำคัญแค่ไหนในวงการ Cryptocurrency [VDO]

Liquidity Pool คืออะไร สำคัญแค่ไหนในวงการ Cryptocurrency [VDO]

Liquidity Pool คืออะไร  Liquidity Pool คืออะไร? ดีอย่างไร? และมีส่วนช่วยเสริมสภาพคล่องให้กับการเงินดิจิทัลอย่างไร วันนี้เรามีบทความเกี่ยวกับ Liquidity Pool มาอธิบายให้ฟัง เพื่อคลายข้อสงสัยต่าง ๆ   ก่อนที่จะทำความเข้าใจ Liquidity Pool ว่าคืออะไร ก่อนอื่นจะต้องเข้าใจตัว DEX ก่อน ซึ่ง DEX คือ Decentralized Exchange อย่างพวก Uniswap, Balancer, Curve ซึ่งทั้งหมดเป็นแพลตฟอร์ม ที่ให้คนเข้ามาใช้บริการได้ซื้อขายแลกเปลี่ยนตัว Cryptocurrency การที่ตัวแพลตฟอร์มเหล่านี้จะมีตัว Cryptocurrency ให้คนมาใช้งานหรือซื้อขายแลกเปลี่ยนกันได้ ก็ต้องมีคนที่เอาตัว Cryptocurrency ต่าง ๆ ทั้งหลายเหล่านี้เข้ามาใช้ใน Pool เช่น ETH, DAI, USDC, Link หรือ Token อะไรก็ตาม ในแพลตฟอร์มนั้น ๆ เพื่อแพลตฟอร์มแต่ละแพลตฟอร์มจะได้มีตัวเหรียญเอามาให้คนซื้อขายแลกเปลี่ยนกันได้  การซื้อขายแลกเปลี่ยน Token จะเกิดขึ้นได้ จะต้องเป็นการซื้อขายแลกเปลี่ยน Token ใน Pool       Liquidity Pool คืออะไร จำเป็นแค่ไหนในการแลกเปลี่ยน หลายคนอาจจะสงสัยว่า ทำไมต้อง Pool ด้วย ทำไมไม่ใช้กระดานซื้อขายแลกเปลี่ยน ตั้ง Bid Offer ที่เราทำการซื้อขายและเปลี่ยนตัว Cryptocurrency บน web exchange ต่าง ๆ   ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจก่อนว่า การซื้อขายแลกเปลี่ยนบนกระดาน exchange ฝั่ง Bid ต้องมีทาง Buyer หรือผู้ซื้อ ทำการ Bid ทำราคาเสนอซื้อเข้ามา ในขณะที่ฝั่งคนขาย ก็ต้องตั้งราคาขาย Offer มา ซึ่งบางกรณี ฝั่ง Bid อาจจะยินดีซื้อแค่ราคา 100 แต่ฝั่งขายยินดีที่จะขายในราคา 120 ก็จะสังเกตเห็นว่าจะมีส่วนต่างของราคาเสนอซื้อกับเสนอขายค่อนข้างห่างกันเกินไป ซึ่งโดยปกติจะมี Market Maker หรือที่เรียกว่า MM เข้ามาช่วยทำให้เกิดสภาพคล่องในการซื้อขาย โดยตัว Market Maker จะเข้ามาตั้งราคาเสนอซื้อกับเสนอขายให้มีส่วนต่างน้อยลง ทาง Market Maker ก็อาจจะตั้ง Bid มาหลาย ๆ ราคา อาจจะตั้ง 105, 109, 109.50 ในขณะที่ฝั่ง Offer จะมี Market Maker ก็จะมีการตั้งราคาขายให้ต่ำลงมา อาจจะมีการตั้งราคา 115, 113, 112   เราจะสังเกตเห็นว่า การซื้อขายแลกเปลี่ยนที่ไม่ได้ใช้ Pool แต่เป็นการใส่คำสั่ง Bid Offer บนกระดานแลกเปลี่ยน ก็จะมีการใส่คำสั่งตัว Bid Offer จำนวนมหาศาล แล้วก็จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงคำสั่งจำนวนมาก จะเป็นข้อจำกัดของการซื้อขายแลกเปลี่ยนบน Decentralized Exchange เพราะการส่งคำสั่งบน Decentralized Exchange ในแต่ละครั้ง จะมีค่าธรรมเนียมอยู่ด้วยทุกคำสั่ง ที่ใส่ไปใน Smart Contract ของตัว Blockchain นี้ จะมีการเก็บค่าธรรมเนียม ถึงแม้ว่าตัวคำสั่งนี้จะไม่เกิดการซื้อขายแลกเปลี่ยนก็ตาม พอเป็นแบบนี้ ก็ทำให้การซื้อขายแลกเปลี่ยนบนกระดานที่เราคุ้นเคยกัน ก็จะไม่เหมาะสมกับการที่เราจะเอาไปใช้บน Decentralized Exchange เพราะถ้าเป็นแบบนั้น ตัว Market Maker จะเจ๊งกนไปหมด เพราะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมจำนวนมหาศาล   หลักการทำงานของ Liquidity Pool จากตัวอย่าง Pool ของ Uniswap มี Pool หนึ่งที่จะเป็นคู่เหรียญของ ETH กับ DAI ในส่วนของ Pool ตัวนี้จะต้องมีคนเอตัว ETH กับ DAI เข้ามาใส่ใน Pool นี้ เพื่อที่จะทำให้ตัว Uniswap ทำการซื้อขายแลกเปลี่ยนตัว ETH กับ DAI ได้ จากตัวอย่าง คือ   นาย A ต้องใส่ตัว ETH กับ DAI ข้ามา แล้วนาย A จะได้รับผลตอบแทนเป็น Liquidity Pool Token ซึ่งตัว Liquidity Pool Token จะคอยสะสมค่าธรรมเนียมที่นาย A ได้รับ ถ้ามีคนซื้อขายตัว ETH กับ DAI บนแพลตฟอร์มของ Uniswap ปัจจุบันตัวแพลตฟอร์มของ Uniswap จะทำการเก็บค่าธรรมเนียม 0.3% เวลามีคนทำการซื้อขาย Token บนแพลตฟอร์มของ Uniswap ตัว Uniswap ก็จะมีระบบ Market Making ของตัวเองที่เป็นระบบแบบ Automatic ที่มีชื่อว่า AMM ที่ย่อมาจาก Automated Market Making ซึ่งระบบ AMM ของ Uniswap ก็จะทำงานด้วยสมการ การคำนวณ ดังนี้               ETHQ x DAIQ = K   จำนวนของ  ETH เมื่อคูณกับจำนวนของ DAI แล้ว ก็จะมีค่าเท่ากับ ค่า K หรือ ค่าคงที่ค่าหนึ่ง ซึ่งวิธีการนี้จะทำให้ตัวราคา Token ที่มีการซื้อขายบนแพลตฟอร์มนี้ จะมีการปรับราคาตาม Demand Supply ที่มีการส่งคำสั่งเข้ามาในระบบ ซึ่งจะทำให้ตัว Uniswap จะมีสภาพคล่องอยู่ตลอดเวลา ก็จะทำให้ตัว Uniswap เป็นตัว Market Maker แบบ Automatic ได้โดยไม่ต้องมีการส่งคำสั่งไปยัง Smart Contract หลาย ๆ รอบ แต่สมการการคำนวณนี้ ก็จะเป็นเฉพาะของ Uniswap   อย่างตัว Balancer Pool ที่สามารถทำการคูณจำนวน Token หลาย ๆ Token เข้าไปใน Pool เดียวกันได้ ก็จะใช้สมการหนึ่ง ตามตัวอย่างนี้              (X x Y x Z)1/3 = K ให้สอดคล้อง Demand Supply ในการปรับราคาและปรับจำนวน Token ใน Pool ให้ตอบสนอง Demand Supply ที่เกิดขึ้น   ถ้านาย A ต้องการถอนตัว ETH DAI ที่ใส่เข้ามาใน Pool วิธีการ คือ นาย A จะต้องทำการโอนตัว Liquidity Pool กลับเข้าไปที่ Pool หลังจากมีคำสั่งส่งกลับไปก็จะถูก Burn ทิ้ง แล้วนาย A จะได้รับตัว ETH กับตัว DAI บวกด้วยค่าธรรมเนียม 0.3% ที่นาย A จะได้รับตามสัดส่วน ที่เขาใส่เข้ามาใน Pool   แต่อย่างไรก็ตาม นาย A อาจจะเกิดผลขาดทุนจาก Permanent Loss หรือผลขาดทุนจาก Impermanent Loss (รายละเอียดจะนำเสนอในบทความต่อไป)   รู้จักความเสี่ยงของ Liquidity Pool ความเสี่ยงของ Liquidity Pool มีด้วยกัน 5 เรื่องดังนี้   1. การเกิด Bug เพราะตัว Liquidity Pool ที่เราเห็นว่ามีหลาย Liquidity Pool ก็เป็นไปได้ว่าจะมี Bug เกิดขึ้น หรือการเขียน code ที่ไม่ถูกต้อง หรือ มีช่วงโหว่ ทำให้ตัว Smart Contract ทำงานผิดพลาด จากที่คิดไว้   2. การโจรกรรมโดย Hacker ตัว Pool ที่มีตัว Cryptocurrency กองอยู่ด้วยกัน ก็จะตกเป็นเป้าหมายของพวก Hacker ในการทำการ Hack เอาตัวเหรียญออกไป   3. Admin Keys ตอนนี้โปรเจ็กต์หลายโปรเจ็กต์ ที่เป็น Smart Contract ฝั่ง Developer ก็จะมีการสร้างตัว Admin keys ไว้ซึ่งตัว Admin keys นี้คนที่เป็นเจ้าของ Admin keys นี้สามารถเข้ามาแก้ไขดัดแปลง ตัว Smart contract ได้ทุกเมื่อ นอกจากนี้ การมีอยู่ของ Admin keys ก็มีความเสี่ยงอีกอย่างหนึ่ง คือ Developer คนที่เป็นเจ้าของ Admin keys เกิดทำ Keys หลุดไปข้างนอกแล้ว มีพวก Hacker หรือผู้ไม่ประสงค์ดีมาเห็น ก็จะเอาตัว Keys มาแก้ไขตัว Smart contract ได้เหมือนกัน   4. Impermanent Loss คือ การขาดทุน ที่อาจจะเกิดขึ้นกับ Cryptocurrency  ซึ่งมีสาเหตุจากความผันผวนของราคาสินทรัพย์ดิจิทัลในตลาดโลก   5. Systemic risk เป็นความเสียงที่เกิดจากตัวระบบทำงานผิดพลาดทั้งระบบ   ทั้งหมดนี้ คือ เรื่องราวของ Liquidity Pool ที่นักลงทุนหรือผู้สนใจเกี่ยวกับ Cryptocurrency ควรทำการศึกษาและเข้าใจ เพื่อประโยชน์ในการลงทุน และเป็นการลดความเสี่ยงจากการขาดทุนได้อีกด้วย   บทความที่เกี่ยวข้อง Blockchain คืออะไร? เกี่ยวอะไรกับ Bitcoin – Crypto Blockchain มีกี่ประเภท? เรื่องต้องรู้ก่อนเข้าสู่โลกการเงินดิจิทัล ไขทุกข้อสงสัย การโอน Crypto กับ E-Banking ต่างกันยังไง? เรื่องต้องรู้ ETH Smart Contract คืออะไร? Coin VS Token เหมือน หรือ ต่าง อย่างไร? ETFs แค่เข้าใจ ก็ลงทุน Bitcoin ได้ไม่ยาก Bitcoin Wallet คืออะไร? จะเสี่ยงแค่ไหน? ถ้าคอมพิวเตอร์โดยขโมย!! ทำไมต้อง IPO ทำไปเพื่ออะไร? – เข้าใจการระดมทุนใน SET ด้วย IPO Bitcoin กับการฟอกเงินและอาชญากรรม DeFi นวัตกรรมการเงินดิจิทัล ที่ไม่ต้องง้อธนาคาร Chainlink กับบทบาทและความสำคัญในโลกการเงินดิจิทัล รู้จักกับ STO อีกวิธีของการระดมเงินทุน ทั้งรวดเร็วและปลอดภัย รู้จัก Yield Farming เพื่อการลงทุนคริปโทให้กำไรงอกเงย  
อัพเดทดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เดือนกุมภาพันธ์ 2565

อัพเดทดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เดือนกุมภาพันธ์ 2565

อัพเดทดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน ปี 2565 ผ่านไปแล้ว 1 เดือน ขณะนี้เราได้ก้าวสู่เดือนที่ 2 คือ เดือนธันวาคม 2565 ที่มีเทศกาลวันขึ้นปีใหม่ของจีน หรือ วันตรุษจีน ซึ่งในแวดวงอสังหาริมทรัพย์ ก็เริ่มกลับมาครึกครื้นมากขึ้น จากบรรยากาศของการประกาศแผนธุรกิจ ของดีเวลลอปเปอร์ชั้นนำ ที่พร้อมจะลุยธุรกิจในปีนี้ ซึ่งส่วนใหญ่จะมองภาพบวกว่าธุรกิจอสังหาฯ จะกลับมาฟื้นตัวดีขึ้นกว่าช่วงที่ผ่านมา   ปัจจัยหนึ่งที่สนับสนุนให้ตลาดอสังหาฯ ปีนี้น่าจะฟื้นตัวตามที่คาดหวังกันไว้ คือ อัตราดอกเบี้ยการกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ยังอยู่ในอัตราที่ต่ำเมื่อเทียบกับช่วงที่ตลาดอสังหาฯ บูมกันมาก ๆ จึงถือว่าเป็นจังหวะที่ดี หากผุ้ที่มีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง และมีความพร้อมด้านฐานะการเงิน หรือการงาน   ลองมาดูกันว่าเดือนกุมภาพันธ์ 2565 อัพเดทดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ในเดือนนี้จะมีอัตราดอกเบี้ยเท่าไรกันบ้าง  ซึ่งในภาพรวมแล้วส่วนใหญ่ดอกเบี้ยยังอยู่ในอัตราคงที่เท่ากับช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมา แต่รายละเอียดเป็นอย่างไร ติดตามได้ในบทความนี้เลย​​ อัพเดทอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด  1.ธนาคารกรุงเทพ สำหรับธนาคารกรุงเทพ มีสินเชื่อบ้านบัวหลวง ที่ให้บริการลูกค้า 2 กลุ่ม คือ ลูกค้าพนักงานที่มีรายได้ประจำ และลูกค้าทั่วไป  โดยอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านและคอนโด ประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2565 ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา อัตราดอกเบี้ยเฉพาะพนักงานที่มีรายได้ประจำ  วงเงินตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป แต่ไม่เกิน 5 ล้านบาท  (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 3 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1   ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.00% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.95% (MRR-1.00%) หลังจากนั้น 5.2%  (MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.65% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1-3  อัตราดอกเบี้ย 4.2% (MRR-1.75%) หลังจากนั้น 5.2% (MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.65% อัตราดอกเบี้ยเฉพาะพนักงานที่มีรายได้ประจำ วงเงินตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 5 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.00% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.45% (MRR-1.50%) หลังจากนั้น คิดอัตราดอกเบี้ย 5.2% (MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.48% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1-3  อัตราดอกเบี้ย 4.075% (MRR-1.875%) หลังจากนั้น 5.2% (MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.48% อัตราดอกเบี้ยพิเศษสำหรับลูกค้าทั่วไป วงเงินตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป แต่ไม่เกิน 5 ล้านบาท (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 3 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.50% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.95% (MRR-1.00%) หลังจากนั้น  5.45% (MRR-0.50%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.87% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 4.45%(MRR-1.50%) ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.45%(MRR-1.50%) หลังจากนั้น 5.45%  (MRR-0.50%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.9% อัตราดอกเบี้ยพิเศษสำหรับลกค้าทั่วไป วงเงินตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 5 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.00% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.7%(MRR-1.25%) หลังจากนั้น 5.2% (MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.57% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 4.075%(MRR-1.875%) ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.075% (MRR-1.875%) หลังจากนั้น 5.2%(MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.58%   -กรณีวงเงิน ตั้งแต่ 500,000 บาทแต่ไม่เกิน 1 ล้านบาท คิดอัตราดอกเบี้ย คงที่ปีแรก 4.75% หลังจากนั้น คิดอัตราดอกเบี้ย MRR-0.50% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา -กรณีวงเงินต่ำกว่า ​500,000 บาท คิดอัตราดอกเบี้ย MRR-0.50% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา -กรณีหลักประกันสิทธิการเช่า ​คิดอัตราดอกเบี้ย​ MRR-0.75% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา -กรณีหลักประกันที่ดินเปล่าเพื่อการอยู่อาศัย คิดอัตราดอกเบี้ย ​MRR-0.25% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา   หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ยนี้สำหรับผู้ที่ยื่นคำขอสินเชื่อพร้อมเอกสารครบถ้วน ตั้งแต่วันที่ 5 ม.ค.- 1 มี.ค. 65 โดยผู้กู้ต้องลงนามในสัญญากู้ภายใน 1 เดือน นับตั้งแต่วันที่อนุมัติสินเชื่อ​และจดทะเบียนจำนองพร้อมเบิกเงินกู้งวดแรกหรือทั้งหมดภายใน 2 เดือน นับตั้งแต่วันที่ลงนามในสัญญา ​ -พนักงานที่มีรายได้ประจำ หมายถึง พนักงานที่มีรายได้หลัก หรือ มีความสามารถในการชำระคืนหลัก จากรายได้ประจำ -รูปแบบการชำ​ระแบบคงที่ เลือกผ่อนได้ทุกทางเลือก/รูปแบบการผ่อนชำ​ระแบบขั้นบันได เลือกผ่อนได้เฉพาะทางเลือกที่ 1 -อัตราส่วนวงเงินกู้สูงสุดและมูลค่าหลักประกันให้เป็นไปตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย -อัตราดอกเบี้ย MRR ปัจจุบันตามประกาศของธนาคาร ณ วันที่ 17 มิ.ย. 64 เท่ากับ 5.95% ต่อปี -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยรวมทั้งหลักเกณฑ์และเงื่อนไข ​​ 2.ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกรุงไทย มีสินเชื่อสำหรับบ้านใหม่ กรุงไทย SURE  โดยไม่คิดค่า  ธรรมเนียมยื่นกู้  โดยเดือนนี้อัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด  ไม่เปลี่ยนเปลี่ยนแปลงจากช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมา ​​ดังนี้ แบบคงที่ 1 ปี ฟรีค่าธรรมเนียมยื่นกู้ แบบทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 0.75% ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 3.82% (MRR-2.4%) ปีที่ 3 ดอกเบี้ย 3.82% (MRR-2.4%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 2.80% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.20% แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 1.0% ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 3.82% (MRR-2.4%) ปีที่ 3 ดอกเบี้ย 3.87% (MRR-2.35%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 2.90% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.24% แบบลอยตัว แบบทำประกัน ปีที่ 1-3  ดอกเบี้ย 2.77%  (MRR-3.45%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 2.77% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.22% แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ย 2.87% (MRR-3.35%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 2.87% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.26%   สินเชื่อสำหรับการกู้ซื้อบ้านที่ธนาคารออกค่าจดจำนองให้** และ ฟรี ค่าธรรมเนียมยื่นกู้ แบบคงที่ แบบทำประกัน  คิดอัตราดอกเบี้ย ดังนี้ ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 0.75% ปีที่ 2-3 ดอกเบี้ย 4.32% (MRR-1.9%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 3.13% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.32% แบบไม่ทำประกัน  คิดอัตราดอกเบี้ย ดังนี้ ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 1.0% ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 4.32% (MRR-1.9%) ปีที่ 3 ดอกเบี้ย 4.32% (MRR-1.9%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 3.23% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา = 4.35% แบบลอยตัว แบบทำประกัน  คิดอัตราดอกเบี้ย ดังนี้ ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ย 3.12% (MRR-3.10%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 3.12% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.35% แบบไม่ทำประกัน  คิดอัตราดอกเบี้ย ดังนี้ ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ย 3.22% (MRR-3.0%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 3.22% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 3.38%   การทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ* : ทำประกันทางเลือกใด ทางเลือกหนึ่ง ดังนี้ 1.ทำ MRTA/GLT SP เต็มวงเงินกู้ และระยะเวลาทำประกันขั้นต่ำ 10 ปี 2.ทำ MRTA/GLT SP 70% ของวงเงินกู้และระยะเวลากู้ 3.ทำ MRTA/GLT SP 70% ของวงเงินกู้และระยะเวลากู้ และระยะเวลาทำประกันขั้นต่ำ 15 ปี ทั้งนี้ การทำประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองวงเงินสินเชื่อเป็นไปตามความสมัครใจของลูกค้า และไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อ **ธนาคารออกค่าจดจำนองให้ 1% สูงสุดไม่เกินรายละ 200,000 บาท หากลูกค้าปิดบัญชีก่อน 5 ปี ธนาคารจะเรียกเก็บค่าจดจำนองคืน ***อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (EIR) คำนวณจากวงเงินกู้ 1.00 ล้านบาท อายุสัญญา 20 ปี ผ่อนชำระ 6,500 บาท/เดือน เงื่อนไขอื่น ๆ เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด การพิจารณาสินเชื่ออยู่ภายใต้ดุลยพินิจของธนาคาร ยื่นสมัครสินเชื่อ ภายในวันที่ 30 มี.ค.65 MRR = 6.22% ต่อปี (ณ 1 เม.ย. 2564) 3.ธนาคารกรุงศรี ธนาคารกรุงศรี มีสินเชื่อบ้านกรุงศรี เพื่อซื้อที่อยู่อาศัย (บ้านใหม่/บ้านมือสอง) สำหรับลูกค้าทั่วไป โดยมีแคมเปญฟรี ค่าธรรมเนียมสำรวจ และค่าประเมินอัตราดอกเบี้ยยังคงเท่าเดิมจากเดือนที่ผ่านมา โดยมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ สำหรับการกู้ในวงเงิน 1 ล้านบาท แต่ไม่ถึง 5 ล้านบาท ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 2.9% ( MRR-3.15%) ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 4.05% (MRR-2.00%) ปีที่ 3 เป็นต้นไป 4.95% (MRR-1.10%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.97% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.39% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 เดือนที่ 1-6 อัตราดอกเบี้ย 1.50% เดือนที่ 7-12 ดอกเบี้ย MRR-1.60% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 4.7% (MRR-1.35%) ปีที่ 3 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย 4.95% (MRR-1.10%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.21% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.52% สำหรับการกู้เงินในวงเงินตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 2.55%  (MRR-3.50%) ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 3.3%  (MRR-2.75%) ปีที่ 3 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย 4.7% (MRR-1.35%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.52% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.02% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 เดือนที่ 1-6 อัตราดอกเบี้ย 1.25% เดือนที่ 7-12 ดอกเบี้ย 4.1% (MRR-1.95%) ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 4.3% (MRR-1.75%) ปีที่ 3 เป็นต้นไป 4.7%  (MRR-1.35%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.89% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.23%   หมายเหตุ * อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้นเป็นเพียงการแสดงตัวอย่าง โดยคำนวณจากฐานวงเงินกู้ 2 ล้านบาท สำหรับวงเงินกู้ที่ได้รับอนุมัติตั้งแต่ 1 ล้านบาท แต่ไม่ถึง 5 ล้านบาท และฐานวงเงินกู้ 5 ล้านบาท สำหรับวงเงินกู้ที่ได้รับอนุมัติตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป ด้วยระยะเวลาการกู้ 10 ปี ในกรณีที่ลูกค้า ซื้อ MRTA/MLTA หากค่าเบี้ย MRTA/MLTA เปลี่ยนแปลง อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงอาจเปลี่ยนแปลงได้ เงื่อนไขการรับสิทธิพิเศษสาหรับลูกค้าที่ซื้อประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ (MRTA/MLTA) -รับส่วนลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ต่อปี เฉพาะในปีที่ 1 จากอัตราดอกเบี้ยทุกทางเลือก ลูกค้าต้องซื้อ MRTA/MLTA ที่ร่วมรายการตามเงื่อนไขดังนี้ 1.ผลิตภัณฑ์ MRTA/MLTA ที่ร่วมรายการได้แก่ MRTA : แผนกรุงศรี เซฟตี้โลน 1 พลัส หรือ กรุงศรี เซฟตี้โลน 1 หรือ กรุงศรี เซฟตี้โลน 2 / MLTA : กรุงศรี รักบ้าน รักคุณ หรือกรุงศรี รักบ้าน รักคุณ พลัส เท่านั้น 2.กรณีผู้กู้หลักเป็นพนักงานเงินเดือนที่มีรายได้ ประจำ​ต้องซื้อ MRTA/MLTA 100% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 15 ปี หรือซื้ออย่างน้อย 70% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความ คุ้มครองไม่ต่ำกว่า 20 ปี 3.กรณีผู้กู้หลักเป็นผู้ประกอบธุรกิจส่วนตัว ต้องซื้อ MRTA/MLTA อย่างน้อย 80% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 10 ปี หรือซื้อย่างน้อย 50% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 15 ปี 4.กรณีมีผู้กู้ร่วม สามารถซื้อ MRTA/MLTA เฉพาะผู้กู้หลักเพียงคนเดียวได้ หรือหากผู้กู้ร่วมประสงค์ที่จะซื้อ MRTA/MLTA ด้วย ผู้กู้หลักและผู้กู้ร่วมทุกคนจะต้องมีทุนประกันขั้นต่ำในสัดส่วนที่เท่ากัน ขอสงวนสิทธิ์ในการปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย เป็นอัตราดอกเบี้ยปกติตามที่ลูกค้าได้เลือกไว้ โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ในกรณีที่บริษัทประกันไม่ อนุมัติ MRTA/MLTA หรือในกรณีที่ลูกค้าขอยกเลิก MRTA/MLTA -ตามประกาศธนาคาร ณ วันที่ 21 พ.ค. 63 อัตราดอกเบี้ย MRR = 6.05% ต่อปี -อัตราดอกเบี้ยนี้สำหรับลูกค้าที่ยื่นขอสินเชื่อตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. – 30 เม.ย. 65 โดยจดจำนองและเบิกรับเงินกู้ภายในวันที่ 31 พ.ค. 65 -ค่าธรรมเนียมอื่น ๆ เป็นไปตามประกาศของธนาคาร -การพิจารณา อนุมัติสินเชื่อเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด -วงเงินกู้อนุมัติสูงสุดเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด และไม่เกินกว่า วงเงินกู้สูงสุดต่อมูลค่าหลักประกัน (ราคาซื้อขาย) ตามหลักเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์เรียกเก็บค่าเบี้ยปรับกรณีปิด ภาระหนี้ก่อนกำหนด (กรณีที่ลูกค้ารีไฟแนนซ์ไปสถาบันการเงินอื่นภายใน 3 ปีแรกนับจากวันทำสัญญา) คิดเป็น 3% ของยอดหนี้คงเหลือ 4.ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารกสิกรไทย มีสินเชื่อกู้ซื้อบ้านสำหรับบ้านใหม่ให้กับลูกค้าทั่วไป โดยพิจารณาเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่มีรายได้ประจำ และกลุ่มลูกค้าผู้ประกอบการ ซึ่งเดือนนี้อัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา โดยมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ สำหรับลูกค้าที่มีรายได้ระจำ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย = n.a. อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 7.72% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 7.72% สำหรับลูกค้าผู้ประกอบการ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย = n.a. อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 8.22% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 8.22% หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ย MRR = 5.97% (ประกาศ ณ วันที่ 22 พ.ค. 2563) ทั้งนี้อัตราดอกเบี้ย MRR ให้อ้างอิงอัตราดอกเบี้ยตามประกาศของธนาคาร ณ วันที่ลูกค้ายื่นใบสมัครสินเชื่อ -อัตราดอกเบี้ยดังกล่าวสำหรับลูกค้าที่ยื่นกู้ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม - 31 มีนาคม 2565 โดยสามารถยื่นกู้ได้สำหรับที่อยู่อาศัยทุกประเภท ยกเว้นการกู้เพื่อซื้อที่ดินเปล่า -รับส่วนลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติม 0.25% ในปีแรก หากทำประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองสินเชื่อบ้านตามเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด -กรณียื่นกู้บ้านในโครงการจัดสรรที่ธนาคารสนับสนุน ธนาคารฯมีอัตราดอกเบี้ยพิเศษ สอบถามรายละเอียดและเงื่อนไขเพิ่มเติมได้ที่ K-Contact Center 02-8888888 ต่อ 887 5.ธนาคารเกียรตินาคิน ธนาคารเกียรตินาคิน มีสินเชื่อเพื่อซื้อที่อยู่อาศัย (KKP Home Loan เพื่อซื้อที่อยู่อาศัย) กรณี บ้านใหม่ : ซื้อบ้านจากบริษัทพัฒนา อสังหาริมทรัพย์ที่ธนาคารกำหนด ซึ่งคิดอัตราดอกเบี้ยในอัตราเดิมเท่ากับเดือนที่ผ่านมา โดยธนาคารเกียรตินาคินมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ ดอกเบี้ยคงที่ 2 ปี แบบทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย  2.45%-2.75% ปีต่อไป ดอกเบี้ย  4.775% (MLR-1.75%) แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.65%-2.95% ปีต่อไป ดอกเบี้ย 4.775% (MLR-1.75%) ดอกเบี้ยคงที่ 3 ปี แบบทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.60%-2.99% ปีต่อไป ดอกเบี้ย 4.775% (MLR-1.75%) แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.80%-3.19% ปีต่อไป ดอกเบี้ย 4.775% (MLR-1.75%) หมายเหตุ 1.อัตราดอกเบี้ยขึ้นอยู่กับปัจจัยอ้างอิง เช่น อัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา (MLR) ซึ่งธนาคารจะแจ้งให้ทราบถึงการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยดังกล่าว  โดยจะประกาศไว้ ณ สถานที่ทำการให้บริการและ​เว็บไซต์ของธนาคาร 2.MLR ณ วันที่​ 18 สิงหาคม 2563 เท่กับ​ 6.525% ต่อปี 3.เลือกทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ​(MRTA)ผ่านธนาคาร ทุนประกันภัยเท่ากับวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาเอาประกันภัยขั้นต่ำ 10 ปี กรณีที่ระยะเวลาการกู้ไม่ถึง 10 ปี ให้ระยะเวลาเอา​​​​​​ประกันภัยเท่ากับระยะเวลาการกู้ 4.กรณี Refinance ไปสถาบันการเงินอื่นก่อนครบ 3 ปี แรก คิดค่า​ Prepayment Penalty 3% ของเงินต้นคงค้าง 5.​กรณีเลือกใช้เงื่อนไขอัตราดอกเบี้ยแบบฟรีค่าจดจำนอง ​​หากลูกค้า Re-Finance หรือชำระปิดบัญชีก่อนระยะเวลาที่กำหนดไว้ ลูกค้าต้องชำระค่าจดจำนองที่ธนาคาร เคยสำรองจ่ายให้แก่ธนาคาร​ 6.ค่าประเมินหลักประกันเริ่มต้น 3,210 บาท  ค่าอากรแสตมป์ 0.05% ของวงเงินกู้ (สูงสุดไม่เกิน 10,000 บาท) 7.เบี้ยประกันอัคคี ​เป็นไปตามที่บริษัทประกันภัยกำหนด ​โดยผู้กู้สามารถเลือกทำประกันกับบริษัทที่น่าเชื่อถือใดก็ได้ ​ a.อัตราส่วนวงเงินกู้ยืมสูงสุด ต่อหลักประกัน 100% ของราคาซื้อขายจริง หรือราคาประเมินธนาคาร แล้วแต่ราคาใดต่ำกว่า ยกเว้นธนาคารมีกำหนดเงื่อนไขพิเศษอื่น ๆ สำหรับบางโครงการ อาจจะได้รับอัตราส่วนวงเงินกู้ยืมสูงสุดต่อหลักประกัน​ 100% b.ระยะเวลากู้สูงสุด ​30 ปี (อายุผู้รวมระยะเวลากู้ไม่เกิน 65 ปี สำหรับพนักงานเงินเดือนประจำ และไม่เกิน 70 ปี สำหรับเจ้าของกิจการ/ธุรกิจส่วนตัว) 6.ธนาคารซีไอเอ็มบี ธนาคารซีไอเอ็มบี สินเชื่อบ้าน โฮมโลนฟอร์ยู ให้กับพนักงานประจำ ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ ผู้ประกอบการ และเจ้าของกิจการ  โดยคิดอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เท่ากับเดือนที่ผ่านมา ซึ่งธนาคารซีไอเอ็มบี มีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ สำหรับพนักงานประจำ รายได้ 15,000 บาท หรือเจ้าของกิจการรายได้ 30,000 บาท ประเภททำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.25% (MRR-3.1%) ระยะเวลาที่เหลือ ดอกเบี้ย 5.35% (MRR-2.0%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.25% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 5.07% แบบไม่ทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.55% (MRR-2.8%) หลังจากนั้น 5.35% (MRR-2.0%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.55% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.15% หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา คำนวณจากวงเงินกู้ 2 ล้านบาท ระยะเวลากู้ 15 ปี (MRR=7.35% ประกาศ ณ วันที่ 9 ธันวาคม 2564) -ธนาคารยังมีอัตราดอกเบี้ยสำหรับพนักงานประจำรายได้ 30,000-50,000 หรือเจ้าของกิจการรายได้ 50,000 บาทขึ้นไปไว้พิจารณาด้วย รวมถึงสินเชื่อสำหรับโครงการที่ธนาคารเป็นผู้สนับสนุน 7.ธนาคารทีทีบี ธนาคารทีทีบี มีสินเชื่อบ้านใหม่ สำหรับการซื้อบ้านหรือคอนโดจากโครงการทั่วไป ภายใต้แคมเปญดอกเบี้ยพิเศษเริ่มต้นเฉลี่ย 3 ปีแรก 4.05% ต่อปี จะได้รับฟรีค่าเบี้ยประกันอัคคีภัย ค่าจดทะเบียนจำนอง และค่าประเมินหลักทรัพย์ ซึ่งยังคงใช้อัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เท่ากับเดือนที่ผ่านมา  โดยมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ สมัครพร้อมผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท ทางเลือก 1 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.05% (MRR-2.23%) หลังจากนั้น อัตราดอกเบี้ย 4.65% (MRR-1.63%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.05% ดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.46% ทางเลือก 2 (ฟรีค่าจดจำนอง) ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.4% (MRR-1.88%) หลังจากนั้น 4.65% (MRR-1.63%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.4% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.57% ทางเลือก 3 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.65% (MRR-1.63%) หลังจากนั้น ดอกเบี้ย 4.65% (MRR-1.63%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 4.65% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา ดอกเบี้ย 4.65% รายละเอียดเงื่อนไข สมัครผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท ได้แก่ 1.สมัครประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ สไมล์โฮม หรือ สไมล์โฮม พลัส ​ 2.สมัครใช้บริการหักบัญชีอัตโนมัติผ่านบัญชีออมทรัพย์ ทีทีบี เพื่อผ่อนชำระสินเชื่อบ้าน 3.สมัครบัตรเดบิต ttb (กรณีที่คุณมีบัตรเดบิต ttb แล้ว ไม่ต้องสมัครเพิ่ม) กู้ซื้อบ้าน คอนโดใหม่ กับทีทีบี รับข้อเสนอพิเศษ ด้วยอัตราดอกเบี้ย ให้เลือก 2 แบบ ดังนี้ แบบที่ 1 สมัครพร้อมผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท -รับอัตราดอกเบี้ยพิเศษนาน 3 ปี -ฟรีประกันอัคคีภัยมูลค่าประมาณ 1,000 บาทต่อปี ต่อราคาบ้าน 1 ล้านบาท -ฟรีค่าจดทะเบียนจำนอง 1% ของเงินกู้สูงสุดถึง 200,000 บาท -ฟรี ค่าธรรมเนียมธนาคารของสินเชื่อบ้านทุกประเภท: ค่าประเมินราคาหลักทรัพย์, ค่าดำเนินการสินเชื่อ, ค่าทำนิติกรรม จำนอง แบบที่ 2 สมัครผลิตภัณฑ์เสริมไม่ครบทั้ง 3 ประเภท​ -ฟรีประกันอัคคีภัย มูลค่าประมาณ 1,000 บาทต่อปี ต่อราคาบ้าน 1 ล้านบาท -ฟรี ค่าธรรมเนียมธนาคารของสินเชื่อบ้านทุกประเภท: ค่าประเมินราคาหลักทรัพย์, ค่าดำเนินการสินเชื่อ, ค่าทำนิติกรรม จำนอง หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ยค่าธรรมเนียมรวมถึงสิทธิพิเศษต่าง ๆ เป็นไปตามประกาศของธนาคาร การทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อบ้าน (MRTA) ไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อทำเพื่อประโยชน์หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้นกับผู้กู้ในขณะที่ยังชำระหนี้ไม่ครบถ้วน ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงของผู้กู้และธนาคาร และไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อ -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา คำนวณจากวงเงินสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย 3 ล้านบาท อายุสัญญา 20 ปี -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการพิจารณาอนุมัติวงเงินกู้และอัตราดอกเบี้ยตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของธนาคาร -ธนาคารขอสงวนสิทธิเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่แจ้งไว้ในเอกสารฉบับนี้ โดยไม่ ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า -ในกรณีที่ธนาคารเป็นผู้ชำระค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนจำนองหลักประกันแทนผู้กู้หากผู้กู้มีความประสงค์จะไถ่ถอนหลักประกันและชำระหนี้คืนทั้งหมดภายในระยะเวลา 5 ปี นับแต่วันเบิกใช้เงินกู้ ครั้งแรก ผู้กู้ตกลงคืนเงินค่าธรรมเนียมจดจำนองหลักประกันตามจำนวนเงินที่ธนาคารได้ช าระไปให้แก่ธนาคาร ในวันที่ผู้กู้ได้ชำระหนี้ทั้งหมดเสร็จสิ้น (ค่าธรรมเนียมจดจำนอง 1% สูงสุดไม่เกิน 200,000 บาท) -กค้าต้องสำรอง จ่ายค่าจดจำนองแก่กรมที่ดินก่อน โดยธนาคารจะโอนเงินคืนเข้าบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ที่ลูกค้าใช้หักชำระค่างวดกับธนาคารภายใน 30 วันทำการนับจากวันที่ลูกค้าจดจำนอง -MRR = 6.28% ตามประกาศธนาคาร https://www.ttbbank.com/th/rates/loan-interest-rates -สำหรับลูกค้าที่ยื่นกู้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565 ถึง 30 มิถุนายน 2565 และจดจำนอง ภายใน 31 กรกฎาคม 2565 8.ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารไทยพาณิชย์ มีสินเชื่อบ้านสำหรับลูกค้าทั่วไป โดยคิดอัตราดอกเบี้ย เท่ากับช่วงเดือนที่ผ่านมา  คิดอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ แบบไม่ทำประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 5.995% ปีต่อไป MRR = 5.995% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 5.995% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.995% แบบทำประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ มากกว่าหรือเท่ากับ 70% ของวงเงินกู้ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 5.95% ปีต่อไป MRR = 5.995% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 5.95% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.983% หมายเหตุ -กรณีใช้ดอกเบี้ย​แบบทำประกัน​ Credit Life 70% กำหนดให้ทำทุนประกันไม่น้อยกว่า 70% ของวงเงินกู้และระยะเวลาเอาประกัน 70% ของระยะเวลากู้ตามสัญญา โดยกำหนดให้เอาระยะเวลาขั้นต่ำ 10  ปี (กรณีระยะเวลากู้ตามสัญญาต่ำ​10 ปี กำหนดให้ระยะเวลาเอาประกันเท่ากับระยะเวลากู้ตามสัญญา) ​-ประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ รับประกันภัยโดย บมจ. ไทยพาณิชย์ประกันชีวิต บริษัทนเครือกลุ่มเอฟดับบลิวดี หากต้องการสอบถามรายละเอียด เกี่ยวกับการประกันภัยเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ ศูนย์บริการลูกค้า โท​ร. 1315 ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 8.00 – 20.00 น. -ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจรายละเอียดความคุ้มครอง เงื่อนไข ​​ก่อนการตัดสินใจทำประกันภัยทุก​ ธนาคารเป็นเพียงนายหน้าผู้ชี้ช่อง หรือจัดการให้บุคคลเข้าทำสัญญาประกันภัยเท่านั้น ​การพิจารณารับประกัน ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขการรับประกันภัย ของบริษัทประกันภัย -อัตราดอกเบี้ย MRR ของธนาคารไทยพาณิชย์ เท่ากับ 5.995% ต่อปี ​(ประกาศ ณ วันที่ 9 สิงหาคม 2564) ซึ่งอาจะเปลี่ยนแปลงได้ตามประกาศธนาคาร -อัตราดอกเบี้ยแท้จริงที่ระบุในตารางเป็นเพียงตัวอย่างที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในฉบับนี้เท่านั้น ​ซึ่งอาจะมีความแตกต่างกัน ตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย -กรณีลูกค้าบอกเลือกประกันชีวิต หรือขอเวนคืนกรมธรรม์ หรือทำประกันไม่ครบกำหนดตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ ​ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยวงเงินกู้ เป็นอัตราดอกเบี้ยทั่วไป  ตามประกาศธนาคาร ระยะเวลากู้ตามสัญญา วงเงิน ระยะเวลาผ่อนชำระ อัตราดอกเบี้ย คุณสมบัติ เอกสารปรกอบการพิจารณา และการอนุมัติเป็นไปตามเงื่อนไข หลักเกณฑ์ที่ธนาคารกำหนด 9.ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์  หรือ ธอส. มีสินเชื่อสำหรับการซื้อบ้านหลากหลายประเภท โดยประเภทสินเชื่อโครงการบ้าน ธอส. เพื่อคุณ ปี 2565 ​มีการคิดอัตราดอกเบี้ย ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา เนื่องจากแคมเปญสิ้นสุดเดือนธันวาคม 2565  โดยมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.15% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 3.9% (MRR-2.25%) ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 4.75% (MRR-1.4%) หลังจากนั้น ดอกเบี้ยตลอดอายุสัญญา  5.4% หมายเหตุ -ยื่นคำขอกู้และอนุมัติตั้งแต่วันที่ 2 ม.ค.-30 ธ.ค.65   (ธนาคารสงวนสิทธิ์ในการกำหนดระยะเวลาสิ้นสุดโครงการก่อนกำหนด หากธนาคารให้สินเชื่อเติมวงเงินของโครงการแล้ว) -อัตราดอกเบี้ย MRR = 6.15% ประกาศ ณ วันที่ 25 พฤษภาคม 2563 -ยกเว้น ค่าธรรมเนียมยื่นกู้ 0.1% ของวงเงินกู้และทุกบัญชีเงินกู้ภายใต้หลักประกันเดียวกัน 10.ธนาคารยูโอบี ธนาคารยูโอบี มีสินเชื่อบ้านสำหรับโครงการหมู่บ้านทั่วไป  โดยมีการคิดอัตราดอกเบี้ย เท่ากับเดือนที่ผ่าน  ซึ่งธนาคารยูโอบีมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด  ดังนี้ ทางเลือก 1 ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 3.35% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 3.35% (MRR-4.0%) อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.79% ทางเลือกที่ 2 ไม่ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 3.55% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 3.55% (MRR-3.80%) หลังจากนั้น 5.75% (MRR-1.60%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.55% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.87% ทางเลือกที่ 3 ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 2.8% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 4.75%  (MRR-2.60%) หลังจากนั้น 5.75% (MRR-1.60%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.45% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.8% ทางเลือกที่ 4 ไม่ทำประกันคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 3.0% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 4.95%  (MRR-2.24%) ปีที่ 4 อัตราดอกเบี้ย 5.75% (MRR-1.60%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.65% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.96% หมายเหตุ -ขอสินเชื่อตั้งแต่ 1 ม.ค.- 31 มี.ค. 65 และจดจำนองหลักประกันกับธนาคารภายใน 29 เม.ย.​ 65 -อัตราดอกเบี้ยแบบทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ผ่านธนาคารยูโอบี >ทุนประกันเต็มวงเงินกู้ และมีระยะเวลาเอาประกันขั้นต่ำ 10 ปี หรือ >ทุนประกันขั้นต่ำ 80% ของวงเงินกู้ และมีระยะเวลาเอาประกันเต็มตามระยะเวลากู้ -อัตราดอกเบี้ยสำหรับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยวงเงิน 1 ล้านบาท อายุสัญญา 15 ปี MRR=7.35% ต่อปี อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้น เป็นเพียงตัวอย่างที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในสื่อโฆษณาเท่านั้น อัตราดอกเบี้ยสำหรับการทำสัญญากู้ยืมของลูกค้าแต่ละรายอาจะมีความแตกต่างกันตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย -กรณีไถ่ถอนจำนองเพื่อไปใช้บริการกับสถาบันการเงินอื่น ​(Re-finance) ในช่วงระยะเวลา 3 ปีแรก นับจากวันที่กู้ จะมีค่าปรับ 3% ของยอดเงินต้นคงค้าง (เฉพาะวงเงินสินเชื่อที่มีวัตถุประสงค์เพื่อจัดหาที่อยู่อาศัยเท่านั้น)​ -การอนุมัติสินเชื่อ​เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของธนาคาร​ -เพื่อเป็นข้อมูลเบื้องต้น อัตราดอกเบี้ย MRR ปัจจุบันเท่ากับ  7.35% ต่อปี ​(ตามประกาศธนาคารณ วันที่ 1 เม.ย. 64) อนึ่ง ธนาคารสามารถประกาศปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย​ MRR ได้ตามเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดอนุญาตไว้​ -อัตราค่าธรรมเนียมและค่าบริการต่าง ๆ​เป็นไปตามประกาศที่ธนาคารจัดทำไว้  และประกาศให้ทราบตามระเบียบของธนาคารแห่งประเทศไทย โดยธนาคารอาจเปลี่ยนแปลงอัตราค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ได้โดยจะแจ้งให้ทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 30 วัน โดยการปิดประกาศไว้ ณ ที่ทำการ หรือเว็บไซต์ของธนาคาร​ -ธนาคารยูโอบีในฐานะนายหน้าประกันภัย ​(ใบอนุญาตประกันชีวิต​เลขที่ ช.00026/2545 และใบอนุญาตประกันวินาศภัย​ เลขที่ ว.00020/2546) ทำหน้าที่นำเสนอผลิตภัณฑ์ด้านประกันภัยและเป็นผู้จัดการให้บุคคลเข้าทำสัญญาประกันชีวิต/ประกันวินาศภัย และอำนวยความสะดวกในการรับชำระเบี้ยประกันเท่านั้น  รับประกันชีวิตโดยบริษัท พรูเด็นเชียลประกันชีวิต (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน), รับประกันวินาศภัยโดย บริษัท ประกันภัยไทยวิวัฒน์ จำกัด (มหาชน), บริษัท แอกซ่าประกันภัย จำกัด (มหาชน) และบริษัท เอ็ม เอส ไอ จี ประกันภัย (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ​จะเป็นผู้รับผิดชอบตามเงื่อนไข ความคุ้มครองและสิทธิประโยชน์ตามที่ได้ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย -ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจในรายละเอียดความคุ้มครองและเงื่อนไขก่อนการตัดสินใจทำประกันภัยทุกครั้ง 11.ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ มีสินเชื่อเพื่อการซื้อที่อยู่อาศัย คือ โฮมโลน โดนใจ สินเชื่อบ้านดอกเบี้ยต่ำเริ่มต้น 1.9% (สำหรับผู้มีรายได้ 75,000 บาทขึ้นไป) โดยมีการคิดอัตราดอกเบี้ย เท่ากับช่วงเดือนที่ผ่านมา ซึ่งธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ มีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ อัตราดอกเบี้ยสำหรับผู้กู้มีรายได้ตั้งแต่ 20,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 2.0% ต่อปี แบบที่ 1 ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 2.00% (MRR-5.35%) ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 3.80% (MRR-3.55%) ปีที่ 4 เป็นต้นไป 5.10% (MRR-2.25% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.60% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.57% แบบที่ 2 ปีที่ 1-2 ดอกเบี้ยคงที่ 2.10%  (ผ่อนต่ำล้านละ 3,500 บาท 2 ปีแรก) ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 4.20% (MRR-3.15%) ปีที่ 4 เป็นต้นไป 5.10% (MRR-2.25%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.80% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.69% แบบที่ 3 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.55% (MRR-4.80%) ปีที่ 4 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย 5.10% (MRR-2.25%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.55% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.63% แบบที่ 4 ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ยคงที่ 2.75% (ผ่อนต่ำล้านละ 3,500 บาท 3 ปีแรก) ปีที่ 4 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย 5.10% (MRR-2.25%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.75% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.76% เงื่อนไข กรณีลูกค้าเลือกทำประกัน MRTA/MLTA ผ่านธนาคาร : 1.กรณีที่ลูกค้าทำประกัน MRTA/MLTA ผ่านธนาคาร ธนาคารทดรองจ่ายค่าจดจำนองให้ 1% ของวงเงินกู้อนุมัติ หรือ สูงสุดไม่เกิน 2 แสนบาท (ทั้งนี้ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเรียกเก็บเงินทดรองจ่ายค่าจดจำนองดังกล่าวคืนจากลูกค้า กรณีลูกค้าปิดบัญชีสินเชื่อ หรือ เปลี่ยนแปลงสัญญาใด ๆ ภายใน 5 ปีแรก ทุกกรณี นับจากวันทำนิติกรรมจดจำนอง) 2.กรณีสมัครทำประกันชีวิต ต้องสมัครทำ MRTA/MLTA ทุนประกัน 100% ของวงเงินสินเชื่อ ระยะความคุ้มครองขั้นต่ำ 10 ปี หมายเหตุ -โครงการจัดสรรในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล เท่านั้น* -ราคาซื้อขายของหลักประกันต้องมีราคา (แนวราบ) ไม่น้อยกว่า 2.00 ล้านบาท , (แนวสูง) ไม่น้อยกว่า 2.50 ล้านบาท -ลูกค้าสามารถเลือกใช้อัตราการผ่อนชำระขั้นต่ำ ล้านละ 3,500 บาท  กรณีเลือกอัตราดอกเบี้ยคงที่** -ยกเว้น ค่าประเมินราคาหลักประกัน (โครงการจัดสรรทุกโครงการที่มีราคาซื้อขาย 2 ล้านบาทขึ้นไป)*** -ระยะเวลากู้สูงสุด 40 ปี รวมอายุผู้กู้ไม่เกิน 70 ปี**** -วงเงินกู้เพิ่มสูงสุด 10% จากสัญญาซื้อขาย เพื่อซื้อเฟอร์นิเจอร์ ตกแต่งบ้าน อัตราดอกเบี้ย 1) ทำประกัน MRTA/MLTA : ปีที่ 1-3 : MRR – 2.75% = 4.60% หรือ 2) ไม่ทำประกัน MRTA/MLTA : ปีที่ 1-3 : MRR – 2.25% = 5.10% , หลังจากนั้นปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR = 7.35% ***** -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่าง อัตราดอกเบี้ยสำหรับสินเชื่อที่อยู่อาศัยวงเงิน 3 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี MRR = 7.35% (ณ 1 เม.ย. 64) ที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในโฆษณาฉบับนี้เท่านั้น ซึ่งอาจมีความแตกต่างตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย -การพิจารณาคุณสมบัติของลูกค้าแต่ละรายให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ตามที่ธนาคารกำหนด -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์การพิจารณาสินเชื่อ โดยอยู่ในดุลยพินิจของธนาคาร ทั้งนี้เงื่อนไขต่าง ๆเป็นไปตามประกาศธนาคาร โดยมิต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า -อัตราดอกเบี้ย และโปรโมชั่น (มีวงเงินสินเชื่อจำกัด) สำหรับลูกค้าที่ยื่นขอสินเชื่อ โดยเบิกรับเงินกู้ ตั้งแต่ 1 ม.ค.- 31 มี.ค. 65 -สำหรับอัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 1.9% สำหรับผู้กู้ที่มีรายได้ 75,000 บาทขึ้นไป ผ่อนต่ำเดือนละ 3,500 บาท ฟรีค่าจดจำนองสินเชื่อเมื่อซื้อประกันผ่านธนาคาร ฟรีค่าประเมินหลักประกัน 12.ธนาคารออมสิน ธนาคารออมสิน มีสินเชื่อเคหะ สำหรับให้บริการผู้ที่ต้องการกู้เงินเพื่อไปซื้อบ้านหรือคอนโด ภายใต้แคมเปญ ผ่อนต่ำปีแรก ล้านละ 2,500 บาทต่อเดือน สำหรับลูกค้าทั่วไป โดยยื่นกู้ภายในวันที่ 30 เมษายน 2565 อนุมัติและจัดทำนิติกรรมสัญญาให้แล้วเสร็จภายใน 31 พฤษภาคม 2565 โดยมีรายละเอียด ​ดังนี้​ กรณีทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 2.0% เพิ่มขึ้น 1.25% จากเดือนที่ผ่านมา เพราะมีแคมเปญดอกเบี้ย 0% ใน 6 เดือนแรก ทำให้เดือนที่ผ่านมามีดอกเบี้ยเฉลี่ยปีแรก 0.75% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 2.9% (MRR-3.345%) ลดลง 0.425% จากเดือนที่ผ่านมามีอัตราดอกเบี้ย 3.525% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.6% ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.126% เพิ่มขึ้น 0.025% จากเดือนที่ผ่านมามีอัตราดอกเบี้ย 4.101% กรณีไม่ทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 2.25% เพิ่มขึ้น 1.25% จากเดือนที่ผ่านมา ซึ่งมีอัตราดอกเบี้ย​ 1.0% จากแคมเปญเดือนที่ 1-6 ดอกเบี้ย 0% เดือนที่ 7-12 ดอกเบี้ย 2.0% ​ ปีที่ 2-3 ดอกเบี้ย 3.525% (MRR-2.72%) ลดลง 0.625% จากเดือนที่ผ่านมา คิดอัตราดอกเบี้ย  4.15% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.995% (MRR-1.25%) เพิ่มขึ้น 1.895% จากเดือนที่ผ่านมามีอัตราดอกเบี้ย 3.1% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.31% เพิ่มขึ้น 0.024% จากเดือนที่ผ่านมามีอัตราดอกเบี้ย 4.286%   เงื่อนไขการผ่อนชำระ -ปีที่ 1 ผ่อนชำระ 2,500 บาทต่อเดือน ปีที่ 2 ผ่อนชำระ 4,500 บาทต่อเดือน ปีที่ 3 ผ่อนชำระ 5,500 บาทต่อเดือน หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ยขั้นต่ำ MRR=6.245% (ตั้งแต่วันที่ 25 พฤษภาคม 2563) -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา (EIR) คำนวณจากวงเงินกู้ 1 ล้านบาท ระยะเวลาผ่อนชำระ 20 ปี ผ่อนเท่ากันทุกงวด -ทำประกัน หมายถึง การทำประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ โดยหลักเกณฑ์ เงื่อนไข เป็นไปตามธนาคารกำหนด -เงื่อนไขการใช้อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อเคหะตามโปรโมชั่น สมัครบริการ MyMo และผลิตภัณฑ์ / บริการอื่น ของธนาคารอย่างน้อย 2 ประเภท ได้แก่ บัตรอิเล็กทรอนิกส์ / บัตรเครดิต หรือสินเชื่อบัตรเงินสด / ชำระสินเชื่อหักผ่านบัญชี / ประกันชีวิตเพื่อประกันสินเชื่อ ทั้งนี้ หากลูกค้าใช้ผลิตภัณฑ์ / บริการอื่นตามที่กำหนดอยู่แล้ว สามารถใช้อัตราดอกเบี้ยดังกล่าวได้ และกรณีไม่มี Smartphone ให้สมัครผลิตภัณฑ์ / บริการอื่นของธนาคารตามที่กำหนดทดแทนได้ -*กรณี ฟรี ค่าธรรมเนียมจดจำนอง ให้ตามที่จ่ายจริง (รวมทุกสัญญาที่กู้ในคราวเดียวกัน) และลูกค้าต้องสำรองจ่ายค่าจดจำนองแก่กรมที่ดินไปก่อน โดยธนาคารจะโอนเงินหลังหักภาษี ณ ที่จ่าย 1% ของเงินค่าธรรมเนียมจดจำนองคืนภายใน 30 วัน -กรณีผู้กู้ชำระคืนเงินกู้เสร็จสิ้น หรือไถ่ถอนจำนองก่อนครบกำหนด (Prepayment) ภายในระยะเวลา 3 ปี นับแต่วันที่ทำสัญญากู้เงิน ผู้กู้ต้องเสียค่าธรรมเนียมตามที่ธนาคารกำหนด (ปัจจุบันร้อยละ 3.00 ของยอดเงินต้นคงเหลือ) ทั้งนี้ กรณีเลือกอัตราดอกเบี้ยกรณีไถ่ถอนจำนองสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยจากสถาบันการเงินอื่น (Re-Finance) และฟรีค่าธรรมเนียมจดจำนอง ผู้กู้จะต้องชำระค่าจดจำนองคืนแก่ธนาคารเต็มจำนวน -หลักเกณฑ์เงื่อนไขอื่น ๆ ให้เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด โดยธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์เงื่อนไขโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า   ที่มา Reviewyourliving รวบรวมจากเว็บไซต์ธนาคาร ข้อมูล ณ วันที่ 1 ก.พ.65 บทความที่เกี่ยวข้อง อัพเดทดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เดือนมกราคม 2565
9 ข้อห้ามทำ ขัดโชคลาภวันตรุษจีน

9 ข้อห้ามทำ ขัดโชคลาภวันตรุษจีน

9 ข้อห้ามทำ ขัดโชคลาภวันตรุษจีน  เทศกาลตรุษจีน หรือวันขึ้นปีใหม่ของจีน เรียกกันว่า “วันลีชุน” ซึ่งหมายถึงวันแรกของฤดูใบไม้ผลิ โดยจะมีธรรมเนียมปฏิบัติต่างๆ แบ่งเป็นวันดังนี้   วันจ่าย  เป็นวันก่อนวันสิ้นปี ที่ผู้คนจะออกมาจับจ่ายซื้ออาหาร ผลไม้ และเครื่องเซ่นไหว้ต่างๆ วันไหว้  จะเป็นวันสิ้นปี ในวันนี้จะมีพิธีไหว้เทพเจ้าต่างๆ รวมถึงไหว้บรรพบุรุษ และการรวมญาติพี่น้องเพื่อรับประทานอาหารร่วมกัน วันเที่ยว  หรือวันตรุษจีน ถือเป็นวันที่เป็นสิริมงคล ในการเริ่มต้นปีใหม่ ดังนั้นในวันนี้จะเป็นวันที่จะต้องออกเดินทางไปไหว้ขอพรผู้ใหญ่ หรือไปท่องเที่ยว   ตามความเชื่อที่ว่า วันตรุษจีน หรือวันชิวอิก  เป็นวันสิริมงคล สำหรับการเริ่มต้นปีใหม่ ดังนั้นชาวจีนและชาวไทยเชื้อสายจีนจะมีความเชื่อในเรื่องโชคลาง  เราจึงได้ยินข้อห้ามต่างๆ ที่ไม่ควรทำในวันตรุษจีน เพื่อจะได้ไม่เป็นการขัดโชคลาภ ในวันนี้เราควรจะทำแต่เริ่องดีงาม งดทำบาปทั้งปวง ให้สมกับเป็นการเริ่มต้นปีใหม่ที่ดี   เราไปดูกันว่า มีเรื่องอะไรบ้างที่เราไม่ควรทำในวันตรุษจีน   9 ข้อห้ามทำ ขัดโชคลาภวันตรุษจีน ห้ามกวาดบ้าน หรือทำความสะอาดบ้าน มีความเชื่อว่าการทำความสะอาดบ้านในวันนี้ จะเป็นการกวาดเอาโชคลาภ เงินทองออกไปจากบ้าน ห้ามสระผม หรือตัดผม เพราะเป็นเหมือนการตัดความมั่นคงออกไป เพราะคำว่าผมในภาษาจีน พ้องเสียงกับคำว่า มั่งคั่ง นั่นเอง ห้ามพูดคำหยาบ และห้ามทะเลาะเบาะแว้ง มีความเชื่อว่า การพูดในสิ่งไม่ดีจะนำความโชคร้ายมาให้ จึงให้พูดแต่คำมงคล และพูดถึงสิ่งดีๆ ไว้ ห้ามร้องไห้ มีความเชื่อว่า หากร้องไห้ในวันตรุษจีน เราจะพบเจอแต่เรื่องไม่ดี และเสียใจไปตลอดทั้งปี ดังนั้น ในวันนี้แม้แต่เด็กๆ จะดื้อและซน ก็มักจะไม่โดนดุให้ร้องไห้ ห้ามทำของแตก หากทำของแตกในวันนี้เชื่อว่าลางร้ายจะมาเยือน อาจจะมีคนในบ้านเจ็บไข้ได้ป่วย หรือเกิดการแตกแยก ห้ามใช้ของมีคม ไม่ว่าจะเป็นกรรไกร มีด กรรไกรตัดเล็บ หรือของมีคมอื่นๆ เพราะเชื่อว่าจะตัดโชคลาภออกไป ห้ามใส่ชุดขาว-ดำ เพราะชุดสีขาว-ดำ หมายถึงลางร้าย ดังนั้นในวันตรุษจีนจึงนิยมสวมใส่เสื้อผ้าสีแดง หรือสีสันสดใส รวมถึงการสวมชุดใหม่ด้วย ห้ามเข้าห้องนอนคนอื่น มีความเชื่อกันว่า หากเข้าห้องนอนของคนอื่นในวันนี้จะเกิดความโชคร้าย ห้ามยืมเงินคนอื่น ไม่ว่าจะให้ใครยืมเงิน หรือเป็นคนขอยืม รวมถึงห้ามพูดว่าไม่มีเงินในวันนี้ด้วย เพราะเชื่อว่าจะต้องเป็นหนี้ตลอด หรือมีคนมาขอยืมตลอดนั่นเอง   นอกจากข้อห้ามต่างๆ ที่ไม่ควรทำในวันตรุษจีนแล้ว การปฏิบัติแต่สิ่งดีๆ และกระทำเรื่องมงคล ก็เรื่องสิ่งที่นิยมทำกันในวันตรุษจีนด้วย เช่น การงดเว้นการรับประทานเนื้อสัตว์ เพื่อความเป็นสิริมงคล การทำบุญ ไหว้พระขอพร เพื่อให้เป็นการเริ่มต้นปีใหม่ที่ดี ให้มีแต่โชคดีเข้ามาตลอดทั้งปีด้วย   บทความที่เกี่ยวข้อง เปิดความหมาย 9 ของขวัญวันตรุษจีนมงคล ตรุษจีนนี้ ทำความสะอาดบ้านต้อนรับความเฮง ผลไม้ต้องห้าม ไม่ควรไหว้ตรุษจีน  
เปิดความหมาย 9 ของขวัญวันตรุษจีนมงคล ที่ต้องมอบให้กันในวันตรุษจีน

เปิดความหมาย 9 ของขวัญวันตรุษจีนมงคล ที่ต้องมอบให้กันในวันตรุษจีน

ของขวัญวันตรุษจีน เทศกาลสำคัญของชาวจีน และคนไทยเชื้อสายจีน ที่ทุกคนให้ความสำคัญและต้องเข้าร่วม เพื่อความเป็นสิริมงคล และการเริ่มต้นชีวิตที่ดีของทุกปี คือ เทศกาลตรุษจีน เพราะถือว่าเป็นวันขึ้นปีใหม่ของชาวจีน เทศกาลนี้คนเชื้อสายจีน จะมีการไหว้เจ้า ไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไหว้บรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว ไหว้เทพเจ้าแห่งโชคลาภ หรือเทพเจ้าไฉ่ซิงเอี๊ย และทำการเฉลิมฉลอง​ เพื่อสร้างความเป็นสิริมงคล ร่ำรวย และเจริญรุ่งเรือง นอกจากการไหว้เจ้าและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ แล้ว สิ่งหนึ่งที่ทำกัน คือ การไหว้และขอพรผู้ใหญ่ที่เคารพ และจะมีการมอบของขวัญที่เป็นมงคลให้แก่กัน ผู้ใหญ่เองก็จะเตรียมของขวัญวันตรุษจีนที่เป็นมงคลไว้ให้ลูกหลาน หรือคนที่เข้ามาอวยพรด้วย ​   การให้ของขวัญวันตรุษจีนนั้นถือได้ว่า เป็นธรรมเนียมที่สำคัญ และต้องปฏิบัติ เพื่อเสริมสร้างความเป็นสิริมงคล รวมถึงเป็นการขอพร และให้พร ระหว่างผู้ให้กับผู้รับอีกด้วย ทำให้ชาวจีนส่วนใหญ่ รวมทั้งครอบครัวของคนไทยที่มีเชื้อสายจีน มักจะหาของขวัญวันตรุษจีนมามอบให้กันในช่วงเทศกาลขึ้นปีใหม่ของจีนของทุก ๆ ปีนั่นเอง แต่ของขวัญตรุษจีนแต่ละชนิดมีความหมาย และสื่อความหมายถึงความเป็นสิริมงคลอย่างไรบ้างนั้น วันนี้เรามาดูกัน ของขวัญวันตรุษจีน 9 อย่างที่เป็นมงคล 1.อั่งเปา หรือ แต๊ะเอีย อั่งเปา มีความหมายว่า “กระเป๋าสีแดง”  ซึ่งเป็นของขวัญวันตรุษจีนอย่างแรกที่คนส่วนใหญ่มอบให้กัน โดยซองแดงจะมีอักษรจีนที่มีความหมายดี ๆ เป็นมงคล อยู่บนหน้าซอง เช่น ขอให้มีสุขภาพยืนยาว ขอให้ร่ำรวย การงานเจริญก้าวหน้า เป็นต้น 2.ส้ม ส้ม ถือ เป็นผลไม้ที่นิยมนำมาใช้ในเทศกาลตรุษจีนมากที่สุด ทั้งการนำมาใช้พิธีไหว้ และการนำไปมอบให้กับญาติผู้ใหญ่ สำหรับเด็กหรือผู้ที่อายุน้อยกว่า เมื่อต้องไปไหว้ขอพร และรับคำอวยพรจากญาติผู้ใหญ่ ถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติอีกอย่างหนึ่งของเทศกาลตรุษจีน   โดยสิ่งที่จะต้องนำติดตัวไปเพื่อเป็นการขอพรด้วยนั้นก็คือ “ส้ม” จำนวน 4 ผล เนื่องจากคำว่าส้มอ่านออกเสียงว่า “ไต้กิก” ในภาษาจีนแต้จิ๋ว หรือ “เฉิงจึ” ในภาษาจีนกลาง ซึ่งมีความหมายว่าความสุข หรือโชคลาภ ให้เฮง ๆ รวย ๆ โดยญาติผู้ใหญ่ที่รับส้มไปแล้ว ก็จะเก็บเอาไว้ 2 ผล และคืนให้กับคนที่มามอบ 2 ผล เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนความโชคดีให้แก่กัน  ส้มจึงเป็นของขวัญวันตรุษจีนที่สำคัญอย่างหนึ่ง 3.ตุ้ยเหลียน “ตุ้ยเหลียน” หรือป้ายอวยพร มีลักษณะเป็นแผ่นกระดาษสีแดงยาว ๆ มีอักษรภาษาจีนที่เป็นมงคลเขียนอยู่บนป้าย นิยมเขียนเป็นกลอน และหาคำจีนที่คล้องจองกัน ซึ่งต้องออกมาเป็นความหมายที่ดี ตัวอักษรจีนในตุ้ยเหลียน มักเป็นคำอวยพรให้สุขภาพแข็งแรง มีความร่ำรวย มีความสุข และมีชีวิตที่ดี โดยนิยมใช้กระดาษสีแดง และตัวอักษรสีทองในการเขียนอวยพร จึงถือเป็นของขวัญวันตรุษจีนที่ดี 4.ทองคำ ชาวจีนมีความเชื่อกันว่า ทองคำ เป็นตัวแทนของพลัง อำนาจ และโชคลาภ นอกจากจะมีความหมายที่ดีแล้ว ยังเป็นสิ่งที่มีมูลค่า คนส่วนใหญ่จึงนิยมให้ทองคำกัน เพราะทองคำเป็นสิ่งที่ยิ่งเก็บไว้ก็จะยิ่งมีมูลค่าสูงขึ้น  สำหรับทองคำที่คนส่วนใหญ่มักจะมอบให้กัน เป็นของขวัญวันตรุษจีน คือ ทองรูปพรรณ และทองคำแท่ง บางคนก็เลือกทองคำที่มีลวดลายสวยงาม บางคนอาจจะเน้นน้ำหนักทองคำขึ้นอยู่กับความต้องการ และความเหมาะสม 5.หยก นอกจาก ทองคำ ที่ถูกนำมาเป็นของขวัญวันตรุษจีนแล้ว อัญมณีที่ชาวจีนนิยมมอบให้แก่กัน คือ “หยก” เพราะมีความเชื่อว่า “หยก” เป็นทั้งอัญมณีและเป็นหินนำโชคที่อยู่คู่กับชาวจีนมาอย่างยาวนาน เป็นสิ่งที่จะทำให้เกิดความเป็นสิริมงคล นำพามาซึ่งโชคลาภ และให้ชีวิตมีความเจริญรุ่งเรือง   โดยสมัยก่อนชาวจีนมักจะชอบนำหยกไปแกะสลัก เพื่อนำมาทำเป็นหยกประจำตระกูล หยกจึงได้รับความนิยมจากชาวจีนมาตั้งแต่สมัยอดีต จนถึงปัจจุบัน การเลือกให้หยกสวย ๆ สักชิ้น เป็นของขวัญวันตรุษจีนก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดี และเป็นที่นิยม 6.พัด “พัด” เป็นสิ่งของที่นิยมให้เป็นของขวัญในวันตรุษจีน เพราะคำว่าพัดอ่านออกเสียงในภาษาจีนว่า “ซ่าน” แปลว่าเมตตากรุณา ถือว่าเป็นความหมายที่ดี และยังเชื่อกันว่า เมื่อนำไปประดับตกแต่งบ้าน จะช่วยพัดเงินทองให้ไหลมาเทมา จึงทำให้พัดเป็นสิ่งมงคลอีกหนึ่งอย่าง ที่มีความสำคัญสำหรับเทศกาลตรุษจีน และเหมาะที่จะให้เป็นของขวัญวันตรุษจีนอีกด้วย 7.ชุดน้ำชา เนื่องจากชาวจีนนิยมดื่มน้ำชากันเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเวลามีเทศกาล หรือมีแขกมาเยี่ยมบ้าน สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ “ชุดน้ำชา” การมอบชุดน้ำชาจึงเป็นสิ่งที่นิยมมอบให้เป็นของขวัญวันตรุษจีน เพราะชุดน้ำชาที่ครบเซ็ตส่วนใหญ่ รวมถึงใบชาเกรดดี ๆจะมีมูลค่าราคาที่แพง คนส่วนใหญ่จึงนิยมมอบชุดน้ำชาให้กัน ไม่เฉพาะแต่เทศกาลตรุษจีนเท่านั้น ยังรวมถึงในโอกาสพิเศษอื่น ๆ ด้วย 8.ขนมมงคลจีน ขนมมงคล ที่มีความหมายที่ดีในวันตรุษจีน เช่น ขนมเข่ง นิยมให้กันเพราะมีรสชาติหวาน ซึ่งเชื่อกันว่าจะทำให้ชีวิตมีความหวาน สมหวังราบรื่น ขนมเทียน เชื่อกันว่าเปรียบเสมือนแสงไฟ หรือแสงเทียน จะช่วยให้ชีวิตมีแต่แสงสว่าง และขนมปุยฝ้าย หรือขนมถ้วยฟู จะช่วยให้ชีวิตเฟื่องฟู และรุ่งเรือง เหมือนกับรูปลักษณ์ของขนม ในช่วงเทศกาลตรุษจีน แนะนำให้ถือขนมมงคลติดไม้ติดมือไปฝากญาติผู้ใหญ่ด้วย เพื่อเป็นการอวยพรอีกอย่างหนึ่ง ถือได้ว่าเป็นของขวัญวันตรุษจีนที่มีความหมายดีและอร่อยด้วย 9.ของใช้ ที่มีสีแดง ชาวจีนเชื่อว่า “สีแดง” เป็นสีแห่งความโชคดี สีแห่งความมงคล จึงนิยมใช้สิ่งของเครื่องใช้ต่าง ๆ ด้วยสีแดง โดยเฉพาะในเทศกาลวันตรุษจีน ที่เป็นเสมือนวันเริ่มต้นอะไรใหม่ ๆ ของชาวจีน สิ่งของเครื่องใช้ต่าง ๆ จึงเป็นสีแดงไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า หรือข้าวของเครื่องใช้ เพื่อความเป็นสิริมงคล และต้อนรับวันปีใหม่ เพื่อโชคลาภ ความเจริญรุ่ง   ของทั้ง 9 อย่างดังกล่าว ถือเป็นของมงคล ของที่มีความหมายดี นำมาใช้ในการทำพิธี การประดับตกแต่งบ้าน หรือแม้แต่การมอบให้เป็นของขวัญวันตรุษจีน กับคนที่รักและเคารพ หรือญาติผู้ใหญ่ ยังไงก็หวังว่าในวาระปีใหม่ตามประเพณีจีนนี้ ทุกคนคงประสบความสุข ความสำเร็จ และเฮง ๆ กันตลอดไป   ที่มา - เชียงใหม่นิวส์ ,shopback, medium   บทความที่เกี่ยวข้อง ตรุษจีนนี้ ทำความสะอาดบ้านต้อนรับความเฮง ผลไม้ต้องห้าม ไม่ควรไหว้ตรุษจีน
Know Name Cafe กินหมูกระทะสไตล์อเมริกันที่รังสิต

Know Name Cafe กินหมูกระทะสไตล์อเมริกันที่รังสิต

Know Name Cafe คาเฟ่หมูกระทะ สไตล์วัยรุ่นอเมริกันยุค 90 โทนสีแดงแสงไฟฉูดฉาด เด่นเห็นแต่ไกล  ลบภาพร้านหมูกระทะแบบเดิมๆไปได้เลย เมนูหมูแบ่งเป็นชุดตามความต้องการ  สามารถสั่งเพิ่มได้  ร้านนี้มีของดอง กุ้งดอง แซลมอนดอง ปูม้าดอง หนวดหมึกดอง น้ำจิ้มที่นี่รสจัดไม่หวงเครื่องเลย สำหรับครอบครัวใหญ่ หรือจะมาเป็นหมู่คณะ ปาร์ตี๋หมูกระทะเพื่อนฝูงแนวร่วม ร้านก็มีห้อง VIP ส่วนตัวให้บริการ จะเฮฮาเสียงดังก็ไม่ต้องกังวลจะไปรบกวนใคร   Know Name Cafe ร้านตั้งอยู่ในปั้มน้ำมันคาลเท็กซ์ รังสิตคลอง 3 facebook  Know Name  Cafe หมูกระทะ พิกัด  📍Know Name Cafe หมูกระทะ https://goo.gl/maps/Yrv7acXdv5x2NU8R8 ⏰เวลาทำการ 11.00น.- 23.00น. 🚘 มีที่จอดรถ บทความอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง RISE COFFEE กาแฟดีที่ เพลินจิต #Knownamecafe #รังสิตคลองสาม #หมูกระทะ #คาเฟ่หมูกระทะ

1 2 3 4 ... 16