Life+Style

 

Life+Style ล่าสุด

1 ... 8 9 10 ... 16
รู้จักการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่เรียกว่า “Investment Property” (IP)

รู้จักการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่เรียกว่า “Investment Property” (IP)

“Investment Property” (IP) คืออะไร   การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่เรียกว่า “Investment Property” (IP) จะมีลักษณะผู้เกี่ยวข้อง 3 ฝ่าย ได้แก่ นักลงทุนหรือผู้ซื้อ (Investor) ผู้บริหารมืออาชีพ (Management Company) และ ผู้พัฒนา (Developer) โดยทั่วไปแล้ว IP จะมีลักษณะโครงการที่ถูกออกแบบมาเพื่อนักลงทุนโดยเฉพาะตั้งแต่เริ่มสร้างโครงการ ทำให้การออกแบบโครงสร้างต่างๆนักลงทุนได้ประโยชน์เต็มๆมากกว่า รวมไปถึงการหามืออาชีพ มาคอยดูแลบริหารโครงการ แล้วสภาพในการเข้าและออกการลงทุนก็สามารถขายโฉนดของตัวเองได้เลย “Investment Property” (IP) ต่างจากการลงทุนในกองทุน REIT   จริงๆ แล้ว IP ก็เป็นอะไรที่เราคุ้นเคยอยู่แล้ว คือ การที่เราสามารถลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่มีคุณภาพขนาดใหญ่ได้โดยตรงเหมือนกับ กองทุนอสังหาริมทรัพย์หรือว่า REIT แต่จะต่างกันตรงที่ว่าการลงทุนแบบ IP นั้นเราจะมี “โฉนด” ของแต่ละบุคคลมีสิทธิ์เป็นเจ้าของอย่างชัดเจนไม่เหมือนกัน REIT ที่ถือผ่านนิติบุคคลที่เป็นกองทุนหรือกองทรัสต์ ถ้าให้ยกตัวอย่างแบบง่ายๆก็คือเหมือนกับเราเข้าลงทุนตรงในคอนโดแล้วปล่อยเช่าเอง แต่จุดแตกต่างที่คอนโดไม่สามารถทำแบบอสังหาริมทรัพย์ที่เป็น REIT หรือว่า IP ที่เป็นโรงแรมได้ คือ รายรับของโรงแรมจะเป็นรายวัน แล้วราคาปล่อยเช่าโดยเฉลี่ยของ IP ที่เป็นโรงแรมจะสูงกว่าการปล่อยเช่าคอนโดเป็นรายเดือนหรือว่าเป็นสัญญาระยะยาว 6 เดือน 1 ปี เลือกลงทุน Investment Property ในทำเลศักยภาพ   จ.ภูเก็ต เป็นอีกจังหวัดหนึ่งที่การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง และยังคงเป็นเป้าหมายอันดับต้นๆของชาวต่างชาติ ที่เมื่อเข้ามาท่องเที่ยวในไทย จึงเป็นเหตุให้ อสังหา ในภูเก็ตกลับมาบูมอีกครั้ง หลังจากทั้งภาครัฐ และเอกชน ได้เข้ามาลงทุน โดยการลงทุนในส่วนของทางภาครัฐ เช่น โครงการภูเก็ต สมาร์ทซิตี้ การสร้างสนามบินเพิ่ม การขยายท่าเรือน้ำลึก การก่อสร้างรถไฟฟ้ารางเบา LRT และการสร้างอุโมงค์รองรับการจราจร รองรับการขยายตัวของภูเก็ตด้านการลงทุนภาคเอกชนมีทั้ง เซ็นทรัล เฟสติวัล ภูเก็ต เฟส 3 มูลค่าลงทุน 20,000 ล้านบาท เนื้อที่รวม 136 ไร่ พื้นที่ 4 แสนตารางเมตร และโครงการบลู เพิร์ล ห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ของ เดอะมอลล์ ด้วยเนื้อที่ 150 ไร่ พื้นที่ 6.5 แสนตารางเมตร ลงทุน 10,000 ล้านบาท "WYNDHAM Nai Harn Beach Phuket" โครงการแบบ IP   ในประเทศไทยเราก็มีนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เริ่มมาทำโครงการแบบ IP แล้วเหมือนกัน โครงการ “Wyndham Nai Harn Beach Phuket” โดยบริษัท ซิซซา กรุ๊ป จำกัด เป็นนักพัฒนาและผู้บริการจัดการหลังจากพัฒนาเสร็จก็คือ Wyndham Hotel Group เครือโรงแรมรีสอร์ทระดับโลกที่เข้ามาบริหารโครงการ มีประวัติการบริหารโรงแรมมากว่า 9,000 แห่ง ห้องพักรวมมากว่า 790,000 ห้อง ใน 80 ประเทศทั่วโลก เป็นแบรนด์โรงแรมที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลกเครือหนึ่งเลยก็ว่าได้ และแน่นอนว่าการที่มี “Wyndham Hotel Group” เป็นผู้บริหารจัดการ ก็จะไม่มีค่าใช้จ่ายหรือค่าธรรมเนียมจากผู้บริหารรายอื่นๆ เพิ่มเติม หาดในหาน จะอยู่ทางใต้ของภูเก็ต ใกล้ๆ กับแหมพรหมเทพ และหาดราไวย์ เดินทางจากตัวเมืองไม่ไกลนัก เป็นหาดที่คนไม่พลุกพล่าน เหมาะกับคนชอบความสงบ ล่ำลือกันว่า เป็นหาดคุณภาพระดับไฮเอนด์ที่มีความสวยมาก และมีสวนสาธารณะขนาดใหญ่อยู่ในบริเวณนั้นด้วย สามารถพาคนในครอบครัวมาทำกิจกรรมได้สบาย "WYNDHAM Nai Harn Beach Phuket" อยู่ห่างจาก หาดในหานประมาณ 800 ม. เป็นที่ดิน Free Hold ซึ่งนับวันจะหาได้ยากยิ่งในภูเก็ต “Wyndham Nai Harn Beach Phuket” นักลงทุนได้ Sharing Profit เต็ม 100% !!   โครงการ วินแดม ในหาน บีช ภูเก็ต สร้างเป็นอาคารสูง 4 ชั้น แบ่งเป็นห้อง 2 แบบ ขนาดตั้งแต่ 40 ตารางเมตร ขึ้นไป และ 60 ตารางเมตร จำนวนรวม 353 ยูนิต มีทั้งหมด 12 อาคาร ตั้งอยู่บริเวณชายหาดในหาน โดยบริษัท ซิซซา กรุ๊ป จำกัด เป็นนักพัฒนาที่มุ่งเน้นเฉพาะโครงการที่เป็น IP เท่านั้น ทั้งยังเป็นผู้ประกอบการที่มีประสบการณ์ด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ดังนั้นเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาอสังหาฯในรูปแบบ IP ได้ตรงตามความต้องการของตลาดและตอบโจทย์นักลงทุน โครงการ วินแดม ในหาน บีช ภูเก็ต เปิดให้นักลงทุนทั่วไปที่ไม่ใช่รายใหญ่เข้าลงทุนได้ 248 ห้องเท่านั้น ราคาเริ่มต้น 6.5 ล้านบาท ส่วนห้องที่เหลือเป็นสัดส่วนของนักลงทุนรายใหญ่ จาก CISSA Group การันตีผลตอบแทนในปีที่ 1 และ ปีที่ 2 ให้ 6% และผลตอบแทนในปีที่ 3 ถึง 15 เป็นไปตามผลประกอบการของโรงแรมซึ่งคาดการณ์เฉลี่ยอยู่ที่ 10% หลังจากที่มีการหักค่าดำเนินการทุกอย่างออกแล้วจะมีการแบ่งส่วนกำไรให้นักลงทุนได้ Sharing Profit เต็ม 100% นอกจากนักลงทุนที่ลงทุนจะได้ผลตอบแทนจากการลงทุนแล้ว นักลงทุนยังสามารถเข้าพักฟรีที่ “Wyndham Nai Harn Beach Phuket” 30 วันต่อปี หรือเลือกพักตาม Hotel & Resort ในเครือ RCI ที่มีมากกว่า 120 ประเทศทั่วโลก ซึ่งถือเป็นความคุ้มค่าในการมอบทางเลือกให้ผู้ลงทุน อีกทั้งยังสามารถเข้าพักและได้รับส่วนลดที่โรงแรมมากกว่า 30% รวมไปถึงบัตรสมาชิกที่สามารถทำให้เราเข้าถึงสิทธิ์ประโยชน์ได้อีกมากมายโดยคาดว่าโรงแรมจะเปิดให้บริการได้ในเดือนกันยายนปี 2562          
บ้านประหยัดพลังงาน อยู่แล้วดีอย่างไร?

บ้านประหยัดพลังงาน อยู่แล้วดีอย่างไร?

หลายต่อหลายครั้งที่เราได้ยินคำว่า บ้านประหยัดพลังงาน, บ้านอนุรักษ์พลังงาน หรือนิยามอะไรก็แล้วแต่ที่ดูเป็นการช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม และเป็นบ้านที่อยู่แล้วสบายมากกว่าท่ามกลางสภาพภูมิอากาศร้อนชื้นในบ้านเรา แต่อะไรคือความหมายที่แท้จริงของบ้านลักษณะนี้ อยู่แล้วสบายกว่าอย่างไร แล้วจะช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมได้จริงๆ หรือเปล่า เราไปค้นหาคำตอบด้วยกันค่ะ     ลองนึกภาพตามนะคะ ช่วงฤดูร้อนเดือนเมษายน บางวันแดดจัดจนแสบผิว บางวันก็อบอ้าวทั้งวัน แล้วถ้านั่งอยู่ในบ้านเราเอง แต่ยังรู้สึกร้อนจนเหงื่อไหล เปิดหน้าต่างก็ไม่มีลม สุดท้ายต้องไปจบที่การเปิดแอร์กันทั้งวัน ผลคือค่าไฟพุ่งสูงกว่าปกติเท่าตัว บางคนก็แก้ปัญหาด้วยการขับรถยนต์ไปเดินห้างสรรพสินค้ารับแอร์เย็นคลายร้อน แต่นั่นก็เกิดค่าใช้จ่ายตามมาอีกอยู่ดี ถ้าเราหันมาแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน อย่างการอยู่ในบ้านที่มีลมพัดเข้าในตัวบ้านได้ อากาศหมุนเวียนได้ดียิ่งขึ้น แสงแดดส่องเข้ามาได้น้อย หรือส่องเข้ามาในทิศทางที่เราไม่ได้ใช้งานมาก เช่น ห้องเก็บของ อยู่ในบ้านได้แบบสบายๆ ส่งผลต่อการใช้พลังงานไฟฟ้าน้อยลง สิ่งเหล่านี้แหละค่ะคือส่วนหนึ่งที่เรียกว่า บ้านประหยัดพลังงาน         พอพูดถึงโครงการที่อยู่อาศัย สิ่งแรกที่จะต้องเอ่ยถึงคือเรื่องทำเลที่ตั้ง จะต้องใกล้สิ่งอำนวยความสะดวกไม่ว่าจะเป็นห้างสรรพสินค้า โรงพยาบาล สถาบันการศึกษา รวมถึงจุดขึ้น-ลงทางด่วน และรถไฟฟ้า ถึงจะเรียกได้ว่าเป็นโครงการที่ดี แต่จะมีสักกี่โครงการที่กล้าพูดได้อย่างเต็มปากว่าอยู่แล้วสุขกายสบายใจ ซึ่งบ้านเดี่ยวจากโครงการ Sena Parkgrand Ramindra เป็นโครงการที่มีความโดดเด่นอย่างมีสไตล์ เพราะมีดีไซน์ที่มาจากงานวิจัยร่วมกันระหว่าง SENA กับ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เกิดเป็นบ้าน Green Smart Design ที่มีทั้งเรื่องดีไซน์ที่รับกับทิศทางลม แสงแดด ใช้วัสดุป้องกันความร้อน มีระบบ Air Fresh ช่วยให้อากาศหมุนเวียนในบ้านได้ดีขึ้น ความร้อนเข้าตัวบ้านน้อยลง ตอนที่เดินถ่ายรูปอยู่ในโครงการก็รู้สึกได้เลยว่า นานแล้วนะคะที่เราไม่ได้ยินเสียงนกร้องในโครงการแบบนี้   ไม่ใช่แค่เรื่องของสถาปัตยกรรมเท่านั้นนะคะ แต่นวัตกรรมก็สำคัญเช่นกัน เพราะจะช่วยส่งให้ความเป็น Green จับต้องได้ ดูเป็นเรื่องใกล้ตัวเรามากยิ่งขึ้น โดยสิ่งที่ SENA จับมาใส่ในโครงการก็มีทั้ง EV Charger เครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า ติดตั้งให้เลยทุกยูนิต     คุณเศรษฐวิชย์ อารีสกุลกิจ ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจพลังงาน บมจ.เสนาดีเวลลอปเม้นท์ ได้มานั่งอยู่กับเราท่ามกลางบรรยากาศอันสงบร่มรื่นในโครงการ Sena Parkgrand Ramindra แล้วเริ่มเล่าให้เราฟังถึงนวัตกรรมเหล่านี้ว่า “ในระยะ 3-4 ปีต่อจากนี้เป็นช่วงเปลี่ยนเทรนด์จากรถยนต์ใช้น้ำมันธรรมดามาเป็นใช้ไฟฟ้าแทน อย่างที่เห็นรถยนต์ Hybrid ซึ่งใช้ทั้งน้ำมันและไฟฟ้าในการขับเคลื่อน ทางโครงการมองว่าในอนาคตอันใกล้ที่จะมีเพิ่มมากขึ้น คนก็จะเริ่มหันมาสนใจขึ้นด้วย เพราะมีทั้งในเรื่องของการประหยัดน้ำมัน ช่วยสิ่งแวดล้อมในการลดมลพิษที่เกิดขึ้นได้ด้วย ซึ่ง EV charger ก็เป็นเหมือนเครื่องใช้ไฟฟ้าชนิดหนึ่งที่มีอายุการใช้งาน 20-30 ปี โดยไม่ต้องดูแลรักษาอะไรมาก เสนาจึงได้เตรียม EV charger เอาไว้ให้ก่อนใคร”   ส่วนที่เป็นไฮไลท์เลยคือ Solar Scale up หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ Solar Cell ติดตั้งมาให้บนหลังคาบ้านทุกหลังขนาด 2 กิโลวัตต์ นับเป็นโครงการแรกของประเทศไทยเลยทีเดียวค่ะ ที่ติดตั้งมาให้เลยแบบนี้ และยังสามารถติดตั้งเพิ่มได้สูงสุดถึง 5 กิโลวัตต์ แล้วแต่การใช้งานของแต่ละบ้าน      คุณเศรษฐวิชย์ อธิบายให้เราฟังต่อว่า “โซล่าเซลล์เป็นระบบที่ไม่มีความยุ่งยากเลย เรียกได้ว่าแค่ต่อระบบ มีแสงสว่างก็เป็นอันใช้ได้ ในท้องตลาดทั่วไปขายตัว อุปกรณ์เฉลี่ยประมาณ 40,000 บาท/ 1 กิโลวัตต์ ไม่รวมค่าติดตั้ง และการขออนุญาติจากการไฟฟ้า ซึ่งเป็นระเบียบของการไฟฟ้าว่า หากมีการผลิตไฟฟ้าไม่ว่าจะใช้เองหรือขายจะต้องขออนุญาตก่อน ด้วยเหตุผลเกี่ยวกับระบบสายส่งการไฟฟ้า คุณภาพไฟฟ้า และความสเถียรของไฟฟ้า เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบกับภาพรวมของระบบไฟฟ้าหลัก และความปลอดภัย แต่สำหรับ Sena Parkgrand Ramindra เรามีการดำเนินการทุกอย่างให้เสร็จสรรพ อุปกรณ์ไฟฟ้าในบ้านทุกอย่างจึงสามารถไฟจากโซล่าเซลล์ได้หมด เพราะระบบโซล่าเซลล์ของทางโครงการต่อขนานเข้ากับระบบของการไฟฟ้าภายในบ้าน เกิดการผสมผสานกันระหว่างกระแสไฟฟ้าที่ได้จากโซล่าเซลล์ กับที่ได้จากการไฟฟ้าแบบทั่วไป”      การผลิตไฟฟ้าจากโซล่าเซลล์จะได้มากน้อยแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายยอย่าง ไม่ว่าจะเป็นขนาดของแผงที่ติดตั้ง ซึ่งก็ต้องดูเรื่องของแบรนด์ที่ใช้ เพื่อให้ได้คุณภาพและความทนทาน โดยอายุการใช้งานทั่วไปอยู่ที่ 25-30 ปี ระหว่างนี้ก็ต้องมีการทำความสะอาดหน้าแผง เพื่อไม่ให้มีคราปสกปรกเกาะ แล้วบดบังการรับแสงแดด และความเข้มของแสงอาทิตย์ในแต่ละวัน เช่น หากวันไหนได้รับความเข้มข้นจากแสงอาทิตย์มากก็จะมีสัดส่วนไฟฟ้าที่ได้เข้าไปมาก ช่วยการใช้ไฟบ้านปกติให้ลดลงได้         คุณเศรษฐวิชย์ ทิ้งท้ายเอาไว้ว่า คำว่าประหยัด ไม่ได้แปลว่าไม่ใช้เลย แต่ช่วยกันใช้ให้น้อยที่สุด ไม่ใช่แค่บ้านอยู่แล้วสบาย อากาศปลอดโปร่งเท่านั้น แต่เป็นการช่วยลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ และรักษาสิ่งแวดล้อมไปด้วย   ทั้งหมดนี้ไม่ใช่แค่นวัตกรรม ยังมีบริการหลังการขายแบบครบวงจร ทั้งหมดนี้จับลง Application SENA 360 องศา ที่สามารถเห็นการทำงานของโซล่าเซลล์ได้ตลอดเวลา รวมไปถึงบริการทำความสะอาดแผง ดูกล้อง CCTV ภายในบ้านได้ตลอดเวลา ปุ่ม SOS ขอความช่วยเหลือฉุกเฉิน ฯลฯ ครบทุกการอยู่อาศัยใน App เดียว ง่ายดายแค่สัมผัสปลายนิ้ว เป็น Smart Lifestyle แบบกรีนๆ ที่ SENA ให้ความสำคัญมาตลอด         
[Review] BTS สำโรง-เคหะฯ

[Review] BTS สำโรง-เคหะฯ

รอคอยกันมาพักใหญ่กับการมาของรถไฟฟ้าสายสีเขียว จากสถานีสำโรงยาวไปจนถึงสถานีเคหะฯ จนเมื่อวันที่ 6 ธ.ค. 61 ที่ผ่านมา ก็เปิดให้ใช้บริการอย่างเป็นทางการกันเสียที แถมยังนั่งฟรีตั้ง 4 เดือนด้วยนะ ทีมงาน Reviewyourliving ไม่รอช้า พาไปเดินสำรวจกันทุกสถานีมาฝากกันเลยค่ะ   รถไฟฟ้าสายสีเขียวสุขุมวิท มุ่งหน้าออกนอกใจกลางเมืองไปสุดที่สถานีสำโรงค่ะ ถ้าจะนั่งส่วนต่อขยายนี้ต่อล่ะก็ ต้องลงจากขบวนแล้วเดินไปชานชาลาฝั่งตรงข้ามค่ะ ซึ่งในอนาคตสถานีสำโรงแห่งนี้ก็จะกลายเป็น Interchange กับรถไฟฟ้าสายสีเหลืองลาดพร้าว-สำโรง   บรรยากาศในวันแรกที่เปิดใช้ในช่วงบ่ายๆ ก็มีทั้งวัยทำงาน วัยเรียน และผู้สูงอายุที่มาทดลองนั่งกันอย่างสนุกสนานตั้งแต่สถานีสำโรงกันเลยค่ะ สถานีปู่เจ้า สถานีแรกของส่วนต่อขยายล่าสุด ตัวสถานีอยู่บริเวณซ.สุขุมวิท 115 เลยสามแยกปู่เจ้าสมิงพรายไปนิดหน่อย ข้างสถานีจะมีบิ๊กซีที่อยู่ติดกับ Ideo Sukhumvit 115 ที่ลูกบ้านเข้าอยู่กันตั้งแต่ปีที่แล้ว ถ้าเข้าซ.สุขุมวิท 115 ไปหน่อยก็จะมี Low Rise อย่าง Pause 115 กับ B Loft 115 อยู่ด้วย และล่าสุดกับคอนโดฯ ที่เพิ่งเปิดตัวในปีนี้ Supalai Veranda Sukhumvit 117 ห่างจากสถานีประมาณ 200 เมตร ฝั่งเดียวกันกับ Ideo Sukhumvit 115 รอบๆ นี้ส่วนใหญ่จะเป็นแหล่งอุตสาหกรรมทั้งถ.สุขุมวิทเอง และเข้าไปทางถ.ปู่เจ้าสมิงพราย ค่ะ เช่น Honda Toyota และ Panasonic ที่อยู่ใกล้กับสถานี สถานีเอราวัณ จากสถานีปู่เจ้า รางรถไฟฟ้าจะยกตัวขึ้นผ่านถ.กาญจนาภิเษก ฝั่งซ้ายมือผ่านพิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณ พอมาถึงตัวสถานีมองไปทางฝั่งขาเข้าก็จะเห็น 2 คอนโดพร้อมอยู่ ซึ่งมีที่ดินอยู่ข้างกันเลยค่ะ The Trust @BTS เอราวัณ กับ Aspire Erawan บันไดสถานีอยู่หน้าโครงการพอดีเลย เป็นสถานีที่สามารถขับรถเข้าถ.กาญจนาภิเษกได้สะดวกที่สุดค่ะ    สถานีโรงเรียนนายเรือ เป็นสถานีที่เราเริ่มจะมองเห็นวิวแม่น้ำเจ้าพระยาจากบนบีทีเอสแล้วล่ะค่ะ ตัวสถานีอยู่หน้าโรงเรียนนายเรือพอดิบพอดี ตรงชานชาลาฝั่งขาเข้าจึงต้องกั้นทึบสูงขึ้นมาค่ะ ส่วนฝั่งตรงข้ามกันก็เป็นพิพิธภัณฑ์ทหารเรือ ถ้าเรามองไปทางสถานีต่อไปก็จะมีคอนโดมิเนียม Knightsbridge Sky River Ocean อยู่ริมถนนฝั่งขาออกค่ะ เป็นคอนโดฯ วิวสวยอีกโครงการหนึ่งเลยทีเดียว   สถานีปากน้ำ อยู่บริเวณหน้าวิทยาลัยสารพัดช่าง สมุทรปราการ ก่อนถึงสามแยกปากน้ำนิดหน่อย อยู่ใกล้กับสถานที่ราชการหลายแห่งเลยค่ะ เช่น ที่ว่าการอำเภอเมืองสมุทรปราการ, สำนักงานสรรพสามิตพื้นที่สมุทรปราการ, ตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดสมุทรปราการ, ศาลจังหวัดสมุทรปราการ, สำนักงานโยธาธิการและผังเมืองจังหวัดสมุทรปราการ ฯลฯ เป็นสถานีที่เริ่มมีผู้คนเยอะขึ้นกว่าสถานีอื่นๆ ที่ผ่านมาค่ะ และสามารถมองเห็นปากอ่าวไทย ซึ่งมีเรือบรรทุกสินค้าให้เห็นกันตลอดวัน สถานีศรีนครินทร์ จากสามแยกปากน้ำ รถไฟฟ้าจะเลี้ยวซ้ายไปตามถนน ผ่าน Samut Prakan Observation Tower & Knowledge Park หรือ อุทยานการเรียนรู้อ่าวไทย จังหวัดสมุทรปราการ ที่เห็นเป็นหอคอยสูงสีขาวคล้ายกับเป็น Lighthouse ปากอ่าวไทย แต่ตอนนี้ยังไม่ได้เปิดให้เข้าชมนะคะ ตามแผนจะเปิดให้เข้าชมประมาณปี 2563 และเมื่อผ่านสามแยกการไฟฟ้า ซึ่งตัดกับถนนศรีนครินทร์ก็เป็นเป็นที่ตั้งของสถานีค่ะ   สถานีแพรกษา ตั้งแต่สถานีปู่เจ้าไปจนสุดสาย สถานีแพรกษาถือว่าเป็นสถานีที่มีความคึกคักมากที่สุดค่ะ เพราะรอบๆ สถานีทั้งสองฝั่งมีทั้ง โรบินสัน, บิ๊กซี และโรงเรียนสมุทรปราการ ถือได้ว่าเป็นศูนย์กลางสิ่งอำนวยความสะดวกของปากน้ำก็ว่าได้ค่ะ สถานีอยู่เลยสามแยกที่จะเข้าสู่ถ.แพรกษา ไปเล็กน้อย ซึ่งก็จะมี Notting Hill Sukhumvit - Praksa คอนโดจากออริจิ้นอยู่ริมถนนค่ะ ถ้าเข้าไปลึกกว่านี้ก็มีโครงการแนวราบอยู่ไม่น้อยเลยค่ะ แต่จะมีโครงการที่กำลังเริ่มก่อสร้าง โดยได้ EIA Approved แล้วนั่นคือ The President Sukhumvit-Samutprakan ใครที่อยู่แถวนี้อยู่แล้วหรือกำลังสนใจ สำหรับโครงการนี้ถือว่าทำเลดีมากๆ เพราะติดกับโรบินสันชนิดที่ว่าเดินไม่กี่ก้าว แถมหน้าโครงการก็มีสถานีแพรกษาอีกต่างหาก ถ้าไม่ติดว่ากว่าจะเข้าไปถึงกลางเมืองต้องผ่านไม่น้อยกว่า 13 สถานี   สถานีสายลวด ถัดมาไม่ไกลกัน ก่อนถึงสามแยกที่ตัดกับถ.สายลวด ก็จะเป็นที่ตั้งของสถานีสายลวดค่ะ ละแวกนี้ส่วนใหญ่เป็นชุมชนที่อยู่อาศัยแนวราบของผู้อยู่อาศัยดั่งเดิม มีหอพัก อพาร์ทเม้นท์ขนาดเล็ก-กลาง อยู่บ้างภายในชุมชนเดิม ไม่แปลกที่จะเห็นคนขึ้น-ลงที่สถานีนี้อยู่พอสมควรค่ะ สถานีเคหะฯ สุดท้ายที่สถานีเคหะฯ ค่ะ จะมีความคล้ายกับสถานีหมอชิตตรงที่มีลานจอดรถค่ะ แต่ที่นี่จะเป็นลานจอดรถที่มีหลังคา ตีเส้นสำหรับจอดแบบเข้าซองเอาไว้เรียบร้อย ตอนนี้ยังเปิดให้จอดฟรี 4 เดือนตามรถไฟฟ้าอยู่ค่ะ แต่หลังจากนี้จะมีระบบการเสียเงินค่าที่จอดรถอย่างเป็นระบบ และห่างกันกับสถานีออกไปไม่ไกลก็ยังมีศูนย์ซ่อมบำรุงรถไฟฟ้าอยู่ด้วยค่ะ   ตั้งแต่เราเดินทางด้วยรถไฟฟ้าในสถานีเปิดใหม่มาทั้งหมดนี้ แต่ละสถานีจะต้องรอขบวนละประมาณ 10 นาที ซึ่งก็ถือว่าห่างกันอยู่พอสมควรเลยค่ะ ส่วนบรรยากาศรอบๆ ส่วนใหญ่ก็ยังคงเป็นบ้านแนวราบเดิมๆ อยู่ อาจจะด้วยเหตุเพราะบทเรียนจากรถไฟฟ้าสายสีม่วงที่ Dev หลายเจ้าแห่กันไปสร้างโครงการไว้จนเหลือยูนิตเพียบ แต่สิ่งที่ต้องจับตามองอีกเรื่องคือ ราคาค่าโดยสารจริงหลังจากหมดช่วงฟรี 4 เดือนนี้ไปแล้ว ว่าจะมีชาวสมุทรปราการยังคงเลือกเดินทางด้วยรถไฟฟ้าต่อไปหรือไม่ เพราะถ้าหากราคาสูงเกินไป หลายคนคงจะต้องกลับมาทบทวนใช้บริการรถสาธารณะเดิมที่ใช้กันเป็นประจำอยู่แล้วก็ได้ ข้อมูล BTS เพิ่มเติม BTS ข่าวสารเกี่ยวกับรถไฟฟ้า BTS Update รถไฟฟ้า ปี 2563 เคล็ดลับเลือกคอนโดติดรถไฟฟ้า คอนโดติดรถไฟฟ้า ดีจริงหรือ?  
5 Co-Working Space ทั่วกรุงฯ ทำงานยังไงก็ไม่เบื่อ!!

5 Co-Working Space ทั่วกรุงฯ ทำงานยังไงก็ไม่เบื่อ!!

เดี๋ยวนี้เทรนด์การทำงานแบบอิสระกำลังมาแรง คนรุ่นใหม่ส่วนมากเลือกที่จะออกมาเป็นเจ้าของกิจการ ทำธุรกิจส่วนตัว หรือแม้แต่รับงานอิสระ เป็นฟรีแลนซ์ สิ่งที่ตามมาคือ เทรนด์ของการเปลี่ยนสถานที่ทำงานใหม่ๆ เพราะการนั่งทำงานในออฟฟิศ หรือแม้แต่การทำงานอยู่ที่บ้านก็กลายเป็นเรื่องจำเจไปโดยปริยาย หลายคนเลือกนั่งทำงานตามร้านกาแฟ คาเฟ่ต่างๆ ที่มีให้เลือกมากมายตั้งแต่แบรนด์ดังตามห้าง ไปจนถึงร้านเล็กๆ บรรยากาศดีที่ดึงดูดบรรดา Café Hopper ได้เป็นอย่างดี แต่บ่อยๆ ครั้ง ร้านกาแฟก็อาจจะไม่เอื้อต่อการนั่งทำงานเท่าที่ควร ดังนั้นอีกตัวเลือกอย่าง Co-Working Space จึงกลายมาเป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับคนทำงานรุ่นใหม่   ข้อดีของ Co-Working Space ที่ต่างจากร้านกาแฟทั่วไปคือ Facility ต่างๆ ที่ถูกออกแบบมาให้เหมือนเป็นออฟฟิศขนาดย่อม มีสิ่งอำนวยความสะดวกพื้นฐานที่จำเป็นต่อการทำงาน เช่น สัญญาณ wifi แรงๆ, เครื่อง Printer และ Stationary สำนักงานบางส่วน ซึ่งมีไว้ให้บริการสำหรับสมาชิก หรือผู้ที่เข้ามาใช้บริการโดยเฉพาะ (โดยมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมบางส่วน) ในขณะที่บรรยากาศของ Co-Working Space ส่วนใหญ่จะมีคอนเซปต์ที่น่าสนใจแตกต่างกันออกไป ที่อาจช่วยสร้างแรงบันดาลใจในการทำงาน   ด้วยความที่การทำงานใน Co-Working Space ทำให้เรามีโอกาสได้พบเจอกับผู้คนมากหน้าหลายตา หลากหลายอาชีพ นอกจากการได้เปลี่ยนบรรยากาศ และสถานที่นั่งทำงานไปเรื่อยๆ แบบไม่ต้องนั่งโต๊ะประจำเหมือนในออฟฟิศแล้ว บางครั้งการได้ทักทายพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน ก็อาจทำให้เกิดไอเดียใหม่ๆ หรืออาจจะกลายเป็น Connection ดีๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อการทำธุรกิจในอนาคตก็ได้ หลายคนจึงเลือกที่จะนั่งทำงานใน Co-Working Space มากกว่าในร้านกาแฟ..... เราไปดูกันดีกว่าค่ะว่า Co-Working Space ผุดขึ้นมากมายทั่วกรุงเทพ มีที่ไหนน่าไปนั่งทำงานกันบ้าง เราลองยกตัวอย่างจากที่เคยได้ไปนั่งทำงานมาบ้างแล้ว ใครใกล้โซนไหน สะดวกตรงไหนก็แวะไปกันได้เลย   Ease Café จริงๆ ในซอยอารีย์มีคาเฟ่ให้เลือกเยอะเลยค่ะ แต่ Ease Café เป็น Co-Working Space หนึ่งที่มีบรรยากาศเหมาะกับการนั่งทำงานมากๆ ทั้งบรรยากาศที่เรียบง่าย เงียบสงบมากพอเหมาะกับการทำงาน แถมยังมีพื้นที่สีเขียวเล็กๆ ที่ด้านข้างร้าน สามารถมานั่งทำงานข้างนอกได้สำหรับใครที่เบื่อนั่งในห้องแอร์แล้ว พื้นที่ชั้นล่างเป็นโซน café มีบริการกาแฟรสละมุน เครื่องดื่มอื่นๆ มากมายในราคาที่ไม่สูงจนเกินไป รวมถึงอาหารคาวก็มีให้เลือกหลากหลายพอสมควร ส่วนบริเวณชั้นบนเป็นพื้นที่ของ Co-Working Space สำหรับใครที่อยากนั่งทำงานแบบจริงจัง มีห้องประชุมเล็กๆ ด้วยเผื่อใครต้องการนัดคุยงานกับทีมแบบส่วนตัว ในขณะเดียวกันก็ยังได้บรรยากาศสบายๆ คล้ายกับได้ไปนั่งทำงานบ้านเพื่อนเลยค่ะ   ที่ตั้ง : ซอยอารีย์ (ห่างจาก BTS อารีย์ 300 เมตร) เวลา เปิด-ปิด : 10:00 – 22:00 น. ค่าบริการ : เริ่มต้น 120 บาท/2 ชั่วโมง, 250 บาท/วัน เบอร์ติดต่อ : 092 828 5424   Nap Lab Nap Lab เป็นหนึ่งใน Co-Working Space ที่เรียกตัวเองว่า Co-Napping Workspace เพราะมีบรรยากาศน่านอนมากกว่านั่งทำงานค่ะ (ใครๆ ก็บอกแบบนี้) ที่นี่เปิดให้บริการกันแบบ 24 ชั่วโมง นั่งทำงานกันไปเรื่อยๆ ถ้าง่วงก็งีบหลับได้เลยค่ะ ชั้นล่างมีชื่อเรียกว่า Chill Lab เน้นนั่งเล่นนั่งทำงานกันชิลๆ จะเอนหลังก็ได้เหมือนกันค่ะ ส่วนพื้นที่ชั้นบนเป็น Active Lab บรรยากาศจะค่อนข้างเป็นทางการกว่า ใครที่ต้องการนั่งทำงานแบบจริงจังหน่อยโซนนี้จะเหมาะมาก   เรื่อง Facilities ต่างๆ ของ Nap Lab เรียกว่าเอาใจวัยรุ่นกันสุดๆ เพราะมีทั้ง Escape Area พร้อมโต๊ะเกมให้เปลี่ยนบรรยากาศให้ผ่อนคลายระหว่างทำงาน มีคาเฟ่ขายอาหารและเครื่องดื่ม หรือถ้าช่วงไหนงานหนักต้องอยู่ยาวแบบข้ามคืน ทีนี่ก็มีห้องอาบน้ำไว้ให้บริการด้วย!!! (แต่เครื่องใช้ต่างๆ ต้องเตรียมมาเองนะจ๊ะ) Nap Lab ตั้งอยู่ใกล้ๆ จุฬาฯ เดินทางสะดวกทีเดียวค่ะ แต่ช่วงสอบน้องๆ นักศึกษาอาจจะมานั่งอ่านหนังสือเตรียมตัวสอบกันมากหน่อย   ที่ตั้ง : ชั้นที่ 24 อาคารจามจุรีสแควร์ เวลา เปิด-ปิด : 24 ชั่วโมง ค่าบริการ : เริ่มต้น 150 บาท/ชั่วโมง เบอร์ติดต่อ : 02 026 0635   JustCo JustCo เป็น Co-Working Space แบรนด์จากสิงคโปร์ ซึ่งสาขาที่เราเลือกอยู่ที่ ตึก Capital All Season Place ที่อยู่ใจกลางย่านธุรกิจ ด้วยความที่ JustCo ให้ความสำคัญกับการสร้าง community ของคนทำงาน โดยสมาชิกจะได้พบประสังสรรค์ แลกเปลี่ยนความคิดเห็น จิบกาแฟกันได้ตั้งแต่บริเวณ Common Area ด้านหน้าเลย สำหรับใครที่ต้องการเติมคาเฟอีนซักหน่อย Coffeeology Bangkok ก็พร้อมเสิร์ฟกาแฟดีๆ ในราคาพิเศษสำหรับสมาชิกด้วยนะคะ ถัดเข้าไปอีกหน่อยทาง JustCo แบ่งพื้นที่ทำงานเป็นโซน Hot-Desk สำหรับการนั่งทำงานแบบไม่ประจำ เพื่อที่สมาชิกจะได้เพิ่มโอกาสในการสร้างเพื่อนใหม่ๆ หรือแลกเปลี่ยนไอเดียกับคนข้างๆ มากขึ้น   ในขณะที่โซน Office จะเป็นห้องทำงานประจำให้เช่า พร้อมห้องประชุมขนาดต่างๆ และ Facility แบบจัดเต็มเพื่ออำนวยความสะดวกให้คนทำงานโดยเฉพาะ บรรยากาศภายในของที่นี่ตกแต่งด้วย Pop Art สีสันสดใส ประกอบกับ City View สวยๆ ของถนนวิทยุช่วยพักสายตา และสร้างแรงบันดาลใจในการทำงานได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว   ที่ตั้ง : ชั้นที่ 10 อาคารแคปปิตอลทาวเวอร์ ออลซีซั่นส์เพลส (Capital Tower All Season Place) เวลา เปิด-ปิด : จันทร์-ศุกร์ 8:30 – 18:00 น. (ผู้เช่าออฟฟิศสามารถเข้าได้ทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง) เบอร์ติดต่อ : 02 055 8606   Spaces Spaces เป็นอีกแบรนด์จากต่างชาติ เครือเดียวกับ Regus ซึ่งให้บริการ Co-Working Space ในหลายประเทศทั่วโลก ส่วนในประเทศไทยเองก็มีหลายสาขาเช่นกัน สาขาที่เรามาเป็นสาขาใหม่ล่าสุดของ Spaces อยู่บนชั้นที่ 24 อาคารจามจุรีสแควร์ เดินทางสะดวกมากๆ เพราะมีสถานีรถไฟฟ้า MRT อยู่ใต้ตึกกันไปเลย พื้นที่ทำงานของ Spaces แบ่งไว้เป็นสัดส่วนคล้ายกับหลายๆ ที่ค่ะ แต่ที่นี่มีห้องออฟฟิศแบบเช่าประจำเยอะมากกกก ในขณะที่โซนส่วนกลางสำหรับที่นั่งไม่ประจำก็กว้างขวาง มีที่นั่งให้เลือกหลายมุมเลยค่ะ อยากจะปลีกตัวนั่งทำงานเงียบๆ ก็มี หรือจะนั่งโล่งๆ มองวิวกว้างของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก็ช่วยพักสายตาได้ดีเหมือนกันค่ะ   บรรยากาศของที่นี่น่านั่งทำงานมากๆ ค่ะ จนแอบอยากมีออฟฟิศประจำเล็กๆ กับเค้าบ้างเลย คาเฟ่ที่เปิดให้บริการก็คัดสรรมาแล้ว เราจะได้กินกาแฟดีๆ พร้อมขนมอร่อยๆ จากร้าน Casa Lapan’ ที่ช่วยเติมความกระปรี้กระเปร่าได้เป็นอย่างดี หรือจะพักอ่านหนังสือเพื่อหาไอเดียเพิ่มที่นี่ก็มีหนังสือเจ๋งๆ วางไว้เยอะเลยค่ะ   ที่ตั้ง : ชั้น 24 อาคารจามจุรีสแควร์ เวลา เปิด-ปิด : 8:30 - 18:00 น. (สำหรับสมาชิกทั่วไป) เบอร์ติดต่อ : 02 007 2100   Axis & Spin Lounge (The Continent Hotel) ที่นี่จัดว่าเป็น Hidden Place เลยก็ได้ เชื่อว่าน้อยคนนักที่จะรู้ว่า บนชั้น 38-39 ของโรงแรม The Continent ใจกลางอโศก จะมี Co-Working Space ที่หรูหราระดับโรงแรม 5 ดาวเปิดให้บริการอยู่ด้วย ทางโรงแรมจัดสรรพื้นที่ของ Axis & Spin Lounge เปิดให้คนทั่วไปได้มานั่งทำงานในช่วง 8:00-17:00 น. พร้อม wifi ความเร็วสูง และวิวสวยๆ ของสี่แยกอโศก   บรรยากาศที่นี่หรูหรา แอร์เย็นฉ่ำมาก มาพร้อมบริการแบบ Full Service ให้เรานั่งทำงานกันสวยๆ ไปเลยจ้า สำหรับใครที่ซื้อแพคเกจครึ่งวัน หรือเต็มวัน ทางโรงแรมมี Complimentary เครื่องดื่มชา กาแฟ และ Snack ให้ด้วย ส่วนใครที่กำลังคิดว่าราคาค่าบริการจะเกินเอื้อม ต้องบอกเลยว่าคิดผิด!!! เพราะเริ่มต้นแค่ 150 บาท/ชั่วโมงเท่านั้น ด้วยราคาที่เข้าถึงง่ายแบบนี้ ระวังจะติดใจจนไม่อยากกลับนะคะ เพราะหลัง 5 โมงเย็นไปแล้ว พื้นที่นี้จะกลับไปเป็น Lounge เตรียมบริการเครื่องดื่มเย็นๆ ให้ได้ Hangout ต่อได้เลย   ที่ตั้ง : ชั้น 38-39 โรงแรม The Continent (BTS อโศก) เวลา เปิด-ปิด : 8:00-17:00 น. ทุกวัน ค่าบริการ : เริ่มต้น 150 บาท/ชั่วโมง เบอร์ติดต่อ : 02 686 7000 ไลฟ์สไตล์อื่นๆ ที่น่าสนใจ ทำความรู้จัก Hybrid Living นวัตกรรมที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิต เจาะอินไซต์ 8 เทรนด์ท่องเที่ยวปี 2020 นักท่องเที่ยวไทยใส่ใจสิ่งแวดล้อม-เที่ยวเมืองรองมากขึ้น 19 ร้านคอนเซ็ปต์ “ใหม่” ในสามย่านมิตรทาวน์
Rare location @Victory Monument

Rare location @Victory Monument

คงไม่มีใครไม่เคยได้ยินชื่อ อนุสาวรีชัยสมรภูมิ ย่านที่เปรียบเสมือนศูนย์กลางของกรุงเทพฯ มีประวัติศาสตร์อันยาวนานมาตั้งแต่ช่วงเริ่มก่อสร้างปี 2484 จนตัวอนุสาวรีย์เสร็จสมบูรณ์เมื่อปี 2485 ก็อยู่เคียงคู่คนไทยเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ท่ามกลางบรรยากาศรอบๆ ที่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ไม่ว่าจะเป็นอาคารสูงใหญ่เกิดขึ้นมากมาย รถยนต์ผ่านตลอดทั้งวัน เพราะใกล้ทางด่วนรวมถึงสถานที่สำคัญ มีรถไฟฟ้าผ่าน อาหารการกินทั้งภัตตาคารชื่อดัง ร้านอาหาร ร้านสะดวกซื้อไปจนถึง Street Food ทุกสิ่งส่งให้เป็นย่านที่สมบูรณ์พร้อมรอบด้าน แต่กลับมีที่อยู่อาศัยค่อนข้างน้อยค่ะ เราจึงเรียกว่าเป็น Rare Location แห่งหนึ่งของกรุงเทพฯ ซึ่งในบทความนี้เราจะไปค้นหาเหตุผลที่ช่วยตอกย้ำความเป็น Rare Location ไปพร้อมๆ กันค่ะ   1.โซนที่ดินหายาก อนุสาวรีย์ชัยฯ ถือเป็นโซนที่ดินหายากมากค่ะ โดยเฉพาะสำหรับที่อยู่อาศัย เพราะแวดล้อมส่วนใหญ่แล้วจะเป็นที่ทำการของทางราชการ จะมีก็เพียงแต่ช่วงถ.ราชเทวี ฝั่งใกล้สวนสันติภาพ กับซอยรางน้ำที่พอจะมีที่อยู่อาศัยทั้งบ้านเดี่ยวตั้งแต่รุ่นคุณปู่คุณย่า และคอนโดมิเนียมสมัยใหม่ให้เห็นกันอยู่บ้างในละแวกรอบอนุสาวรีย์ชัยฯ แต่ก็มีจำนวนไม่มากนัก ทั้งที่มีความต้องการอยู่อาศัยในย่านนี้อยู่ไม่น้อย โดนเฉพาะกลุ่มคนทำงานทั้งบุคลากรทางการแพทย์ ข้าราชการกระทรวงต่างๆ รวมถึงใกล้กับโรงเรียน, มหาวิทยาลัย และแหล่งสถาบันกวดวิชา ทำให้ราคา/ยูนิตพุ่งขึ้นได้อย่างรวดเร็ว สามารถเก็บเกี่ยว Capital gain ได้ดีเยี่ยมเลยล่ะค่ะ อีกทั้งยังส่งผลดีต่อการปล่อยเช่าตามไปด้วย เพราะ Supply มีน้อยกว่า Demand ก็ย่อมทำราคาได้ดีกว่า การแข่งขันก็ต่ำกว่าในโซนอื่น   2.ศูนย์กลางการเดินทางของกรุงเทพฯ แน่นอนว่าการเดินทางที่สะดวกรวดเร็วที่สุดในกรุงเทพฯ นั่นคือรถไฟฟ้าค่ะ โดยเฉพาะสายสีเขียวอ่อนที่เป็นสายหลักสำคัญที่ผ่านช่วงสำคัญต่างๆ มากมาย เช่น เอกมัย ทองหล่อ อโศก สยาม หรือแม้แต่อนุสาวรีย์ชัยฯ แห่งนี้ ซึ่งสามารถต่อการเดินทางไปยังเส้นทางอื่นๆ ได้ง่าย ชนิดที่ใครจะเดินทางไปไหนมาไหนก็ย่อมต้องนึกถึงอนุสาวรีย์ชัยฯ และยังมีจุดขึ้น-ลงทางพิเศษศรีรัช บริเวณฝั่งถนนพหลโยธินสามารถเชื่อมต่อไปทางแจ้งวัฒนะหรือสีลมได้สะดวก เพราะที่นี่นั้นสามารถพูดได้อย่างเต็มปากว่าเป็นหนึ่งใน HUB แห่งการเดินทางของบ้านเราค่ะ     3.แหล่งรวมโรงพยาบาลชั้นนำระดับประเทศ เป็นย่านที่มีโรงพยาบาลปักหมุดอยู่เยอะที่สุดในบ้านเราก็ว่าได้นะคะ ซึ่งแต่ละแห่งก็มีชื่อเสียงระดับประเทศเลยทีเดียว ตั้งแต่รพ.ราชวิถี ที่อยู่ใกล้กับอนุสาวรีย์ชัยฯ มากที่สุด ไล่ขึ้นไปตามถนนราชวิถี ก็มีทั้ง รพ.เด็ก, รพ.เวชศาสตร์เขตร้อน, รพ.สถาบันโรคผิวหนัง, รพ.พระมงกุฏเกล้า ไปจนตัดกับถนนพระราม 6 ก็มีทั้งรพ.รามา, สถาบันประสาทวิทยา, รพ.วิชัยยุทธ หรือแม้แต่รพ.พญาไท 1, รพ.พญาไท 2 อินเตอร์เนชันแนล, รพ.สถาบันโรคไตภูมิราชนครินทร์, ก็ล้วนแล้วแต่อยู่ในบริเวณนี้ทั้งสิ้น ใครที่อยู่อาศัยอยู่ในละแวกนี้ก็อุ่นใจได้เลยค่ะ       4.ย่านของคนรักสุขภาพ สวนสันติภาพ ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้เป็นสวนป่ากลางกรุง บรรดาต้นไม้ใหญ่ให้ร่มเงาช่วยกันโอบล้อมสระน้ำตรงกลาง เวลามีลมพัดผ่านจึงช่วยให้เกิดลมเย็นขึ้นมาด้วย ด้วยบรรยากาศอันเงียบสงบท่ามกลางเมืองใหญ่แบบนี้ ช่วงเย็นจึงเป็นที่นิยมสำหรับคนรักสุขภาพไม่ว่าจะมาเดิน-วิ่งรอบสระน้ำ มาเล่นเครื่องออกกำลังกายภายในสวน หรือมาร่วมแอโรบิคแดนซ์ช่วง 18.00 น. โดยสวนสันติภาพมีทางเข้า-ออกอยู่ 2 ทางคือจากถนนรางน้ำกับถนนราชเทวี เปิดตั้งแต่เวลา 05.00-21.00 น.   5.ร้านอาหารชื่อดังมากมาย ตั้งแต่เช้าจรดค่ำรับรองว่าละแวกนี้อาหารการกินไม่เคยขาดแน่นอนค่ะ ไม่ว่าจะสไตล์ไหนก็มีให้เลือกหลากหลายละลานตา ซึ่งถ้าจะให้เราแนะนำล่ะก็ มื้อเช้าของวันจะต้องเริ่มต้นด้วยอาหารดีๆ ต้อนรับวันใหม่ด้วยบรรยากาศร้านโทนสีขาวสว่างคลีนๆ ที่ร้าน Kay's Boutique Breakfast อาหารเช้าสไตล์ตะวันตกแบบโมเดิร์น มีทั้งบุฟเฟ่ต์และ À La Carte ใครที่เป็นสายถ่ายรูปรับรองว่าแต่ละเมนูออกมาได้ถ่ายรูปสวยแน่นอนค่ะ พอบ่ายคล้อยก็หาร้านนั่งจิบกาแฟในสไตล์ที่ไม่มีใครเหมือน เพราะร้านนี้คือ กาแฟนรสิงห์ ร้านกาแฟที่ตั้งอยู่ในวังพญาไท โดยสร้างขึ้นตั้งแต่รัชกาลที่ 6 ภายในร้านจึงจำลองบรรยากาศทั้งหมดให้ย้อนกลับไปในสมัยนั้น จิบกาแฟชมวังไปด้วยก็คลาสสิคไปอีกแบบนะคะ ปิดท้ายช่วงค่ำคืนกันด้วยเสียงเพลงแจ๊สละมุนละไมจากศิลปินคุณภาพที่หมุนเวียนเปลี่ยนกันมาขับกล่อมพร้อมเครื่องดื่มหลายชนิด และอาหาร อร่อยๆ ที่ร้าน Saxophone Pub & Restaurant คอเพลงแจ๊สไม่ผิดหวังแน่นอน   6.ช็อปปิ้งแบรนด์ดังแบบง่ายๆ มีทั้งอาหารการกินรายล้อม มีสวนสาธารณะไว้เปลี่ยนบรรยากาศออกกำลังกาย มีโรงพยาบาลอยู่ใกล้ไว้ให้อุ่นใจ มีทั้งทางด่วน รถไฟฟ้าไว้เดินทางได้ง่ายๆ ทุกวันแล้ว จะขาดแหล่ง Shopping คุณภาพดีๆ ไปก็คงจะไม่สมบูรณ์แบบสมกับเป็น Rare location ใช่ไหมคะ ซึ่งแหล่ง Shopping ที่รับประกันคุณภาพของแท้แน่นอนคงจะเป็นที่ไหนไปไม่ได้นอกจาก King Power ซ.รางน้ำ ถึงไม่มีไฟล์บินก็สามารถไปเดินช็อปปิ้งได้ง่ายๆ สังเกตแค่ป้ายราคาสีฟ้าที่ติดไว้บนตัวสินค้าค่ะ นอกจากนี้ก็ยังอยู่ไม่ไกลจากห้างสรรพสินค้าชื่อดังอีกหลายแห่ง เช่น เซนจูรี่, เซนเตอร์วัน, มาบุญครอง, สยามเซนเตอร์, สยามพารากอน เป็นต้น           Maestro 07 คอนโดมิเนียม Low Rise 8 ชั้น บนพื้นที่ 1-0-41.80 ไร่ 171 ยูนิต แบ่งเป็นขนาด 1 Bedroom 27-29.34 ตร.ม. 150 ยูนิต กับ 2 Bedroom 45.51-68.37 ตร.ม. 21 ยูนิต ที่จอดรถ 67 คัน (40%) อยู่ที่ชั้นใต้ดิน B1-2 สถาปัตยกรรมของยังคงเอกลักษณ์ตามแบบฉบับ Maestro คือมีความผสมผสานระหว่างกลิ่นอายของความคลาสสิคสไตล์ตะวันตกกับความโมเดิร์นสมัยใหม่(Classic Inspired with Modern Twist) ทำให้ตัวอาคารออกมาดูเรียบหรู เกิดเป็นงานดีไซน์ Timeless Design ดูแล้วให้ความรู้สึกสงบผ่อนคลายเมื่อเข้ามาในโครงการ ซึ่งแตกต่างจากภายนอกที่เป็นถนนใหญ่ ซึ่ง Maestro 07 ตั้งอยู่หัวมุมซอยราชเทวี 7 ซึ่งสามารถเข้าจากทางซอยรางน้ำ แล้วเข้าซอยวัฒนโยธินอีกทีก็ได้ค่ะ ถือเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของแบรนด์ Maestro ทุกตัวเลยนะคะที่ต้องสามารถเข้า-ออกโครงการได้หลายเส้นทาง ตอนนี้สร้างเสร็จพร้อมเข้าอยู่แล้วค่ะ     แม้ว่าตัวโครงการจะตั้งอยู่กลางเมืองใหญ่ ห่างจาก Skywalk เพียง 80 เมตร ห่างจากสถานีรถไฟฟ้า BTS อนุสาวรีย์ชัยฯ 300 เมตร และ 500 เมตรจากทางพิเศษศรีรัช ทางโครงการเองที่ตระหนักถึงความวุ่นวายจากถนนใหญ่ดีค่ะ ก็เลยพยายามออกแบบมาให้เกิดความสงบผ่อนคลายมากที่สุด อย่างตัวโครงการที่เป็น Low Rise นั้นมีข้อดีตรงที่มียูนิตน้อย ทำให้ได้ความสงบเป็นส่วนตัวมากกว่า สำหรับ Maestro 07 จะมียูนิตน้อยที่สุดเพียง 10 ยูนิต/ชั้น และมากที่สุดคือ 24 ยูนิต/ชั้น มี Facilities ครบครันเปรียบได้กับ Sanctuary Space ที่มาพร้อมกับสิ่งอำนวยความสะดวกภายในที่ออกแบบมาเพื่อการพักผ่อนที่ดีของลูกบ้านคนพิเศษ และยังคงอนุญาตให้เลี้ยงสัตว์ได้ตามสไตล์ของ Major Development หรือวันว่างก็สามารถเปลี่ยนบรรยากาศเดินไปออกกำลังกายกลางสวนสันติภาพได้ แค่ 160 เมตรจากโครงการเท่านั้น   MAGNIFIQUE LOBBY และ EXECUTIVE LOUNGE ต้อนรับลูกบ้านและแขกผู้มาเยือนอย่างหรูหราโอ่โถง   KIDS ROOM สำหรับแต่งแต้มจินตนาการให้กับเด็กๆ     SWIMMING POOL กลางโครงการ พร้อม POOL TERRACE มุมนั่งพักผ่อนพร้อมเสียงสายน้ำล้อมรอบตัว   Roof Top Facilities แบ่งโซนเป็นสัดส่วน ตอบสนองการใช้ประโยชน์ได้จริงทั้ง BBQ COURTYARD พื้นที่สำหรับจัดงานปาร์ตี้ปิ้งย่างกับกลุ่มเพื่อน พื้นที่ SKY PLAYGROUND ให้เด็กๆ ได้วิ่งเล่นท่ามกลางสวนสีเขียว ออกกำลังกายแบบเบาๆ ที่ PEACEFUL YOGA COURT มีลานให้สัตว์เลี้ยงได้วิ่งคลายเครียดใน PET ZONE หรืออยากมีโมเมนต์นั่งชิวรับลมก็มาพักผ่อนกันได้ที่ BIRDCAGE CABANA   Floor Plan ทางเข้า-ออกของโครงการจะอยู่ทางถนนราชวิถีค่ะ ซึ่งที่จอดรถจะอยู่ชั้นใต้ดิน 2 ชั้น ยูนิตพักอาศัยก็จะเริ่มตั้งแต่ชั้น 1 โดยอาคารจะวางลักษณะรูปตัว U มีลิฟท์โดยสาร 2 ตัวอยู่กลางอาคาร บันไดหนีไฟ 2 จุด ส่วนยูนิตพักอาศัยจะมีทั้งทางทิศเหนือ ฝั่งหน้าโครงการ ทิศใต้หลังโครงการได้วิวฝั่งซอยรางน้ำ ทิศตะวันออกได้วิวทางสวนสันติภาพ และทิศตะวันตกจะได้วิวทางอนุสาวรีย์ชัยฯ ค่ะ                           Unit Plan สำหรับ Maestro 07 จะมีขนาดห้องเริ่มต้นตั้งแต่ 1 Bedroom 27.00-29.34 ตร.ม. และ 2 Bedroom 45.51-68.37 ตร.ม.                           เสน่ห์ของความเป็น Maestro ยังคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์อันงดงามที่แค่มองผ่านก็ทราบได้ทันทีว่านี่คือคอนโดมิเนียมที่มีความเรียบหรูไปพร้อมกับความสงบอยู่ภายใน แม้จะตั้งอยู่ในทำเลใจกลางเมืองก็ตาม ถ้าของดีแล้วทำเลใช่อย่างนี้ก็ไม่แปลกหรอกค่ะที่จะ Sold out อย่างรวดเร็ว แต่ถ้าใครพลาดไปก็ยังสามารถมองหายูนิต Resale ได้อยู่นะคะ ลองติดต่อสอบถามไปดูได้ที่ ฝ่ายขายของโครงการได้ที่เบอร์ 02 116 1111 ค่ะ   รายละเอียดโครงการ Maestro 07 เพิ่มเติม >>> http://bit.ly/2RiQRBM    
ให้ห้องนอนเป็นสไตล์ที่บ่งบอกตัวตนคุณในแบบ original U

ให้ห้องนอนเป็นสไตล์ที่บ่งบอกตัวตนคุณในแบบ original U

พื้นที่ในบ้านที่เป็นพื้นที่ส่วนตัว และเป็นพื้นที่ที่บ่งบอกถึงความเป็นตัวเรามากที่สุดน่าจะหนีไม่พ้น “ห้องนอน” แล้วยิ่งถ้าคุณเป็นเจ้าของห้องที่รักการแต่งตัวด้วยแล้วล่ะก็ การมี “มุมแต่งตัว” หรือ “ห้องแต่งตัว” จัดไว้เป็นสัดส่วนชัดเจน เป็นระเบียบเรียบร้อยตามอย่างที่ฝันก็คงจะสร้างความสุขได้ไม่น้อยเลย     จะไปกลัวอะไรถ้าเราอยากจะปรับเปลี่ยนพื้นที่ส่วนตัว ให้เป็นไปอย่างที่ใจฝัน คุณเองก็สามารถมีห้องนอนในแบบ original U ได้ไม่ยาก แค่รู้ว่าตัวเองชอบแบบไหน และเป็นคนสไตล์ไหน การสะท้อนตัวตนผ่านเฟอร์นิเจอร์ ก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป   สไตล์โมเดิร์นเรียบๆ แต่เก๋ ก็เป็นหนึ่งในสไตล์ยอดฮิตที่หลายๆ คนชื่นชอบ การตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์สีเรียบๆ ในห้องนอน จะช่วยให้บรรยากาศในห้องดูสงบเหมาะกับการพักผ่อน แต่ถ้าชอบเฟอร์นิเจอร์แบบน้อยชิ้น สไตล์มินิมอล ก็เป็นอีกสไตล์ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน ทั้งโทนสีที่เรียบง่าย ถึงจะมีเฟอร์นิเจอร์ไม่มากแต่ทุกชิ้นต้องสามารถตอบโจทย์การใช้สอย และมีฟังก์ชั่นที่ดีพอ     นอกจากนี้การตกแต่งห้องในสไตล์โมเดิร์นลอฟท์ก็ยังคงเป็นที่นิยมของคนรุ่นใหม่ เฟอร์นิเจอร์โลหะง่ายๆ มีดีเทลไม่มากในโทนสีเข้มขรึมก็เป็นอีกสไตล์ที่เลือกตกแต่งได้ไม่ยากเลยค่ะ ส่วนใหญ่แล้วห้องในสไตล์ลอฟท์จะเน้นโชว์ความดิบของวัสดุ โชว์โครงสร้าง ลายเส้นต่างๆ ให้ห้องน่าสนใจมากขึ้น คุณผู้ชายส่วนใหญ่มักจะชอบความง่ายๆ ไม่ซับซ้อนกับการใช้งาน การวางโชว์ของสะสมไว้บนชั้นที่เปิดโล่ง หรือการแขวนเสื้อผ้าง่ายๆ ไว้บนราวเหล็ก ก็จะทำให้การเลือกหยิบเสื้อผ้าในแต่ละครั้งรวดเร็วยิ่งขึ้น     Walk-in Closet นับว่าเป็นพื้นที่ในฝันของใครหลายๆ คน ที่อยากจะมีมุมแต่งตัวเป็นสัดส่วนอยู่ในห้องนอนให้เป็น original U หากเป็นบ้านสร้างใหม่ หรือห้องชุดใหม่ที่ไม่เคยผ่านการตกแต่งมาก่อน ก็อาจจะเป็นเรื่องง่ายที่จะออกแบบตกแต่งมุมแต่งตัวให้หลากหลายได้อย่างที่ใฝ่ฝัน แต่สำหรับการปรับเปลี่ยน ซ่อมแซมจากห้องเดิมอาจจะมีข้อจำกัดมากกว่า แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เพราะที่ SB Design Square มีเฟอร์นิเจอร์ให้เลือกมากมาย หลากหลายสไตล์ พร้อมบริการให้คำปรึกษาเพื่อให้ทุกพื้นที่ภายในบ้าน ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคุณได้ดีที่สุด     อีกสไตล์ที่น่าสนใจไม่แพ้กันเลยก็คือ Rustic Luxe ซึ่งเป็นการผสานความเรียบง่ายจากวัสดุธรรมชาติเข้ากับความหรูหราแวววาวของโลหะ กระจกต่างๆ การตกแต่งด้วยสไตล์นี้จะมีการเลือกใช้วัสดุที่หลากหลาย แต่เน้นโทนสีอบอุ่นของธรรมชาติที่เข้ากันอย่างลงตัว เฟอร์นิเจอร์จากชิ้นไม่ธรรมดาๆ อาจตกแต่งด้วยโลหะสีทองเพิ่มเข้าไป ก็จะเป็นให้บรรยากาศห้องดูหรูหรามีไตล์ขึ้นทันตา     ไม่มีข้อจำกัดตายตัวหรอกค่ะว่าตู้เก็บเสื้อผ้าของคุณจะต้องเป็นแบบไหน ถ้าภาพในหัวคือ ราวแขวนโปร่งโล่งแบบโชว์รูมห้องเสื้อหรูก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร  หรือถ้าอยากจะเลือกบานประตูตู้เป็นกระจกบานใหญ่ให้สะใจก็ไม่มีกฏข้อไหนบอกว่าความต้องการของคุณเป็นเรื่องผิด ในขณะเดียวกัน ถ้าจะเพิ่มชั้นเก็บกระเป๋า รองเท้า เครื่องประดับไว้ใกล้ๆ มือ จะขยับซ้ายขยับขวาจัดวางไว้ในมุมใดก็ได้ตามที่เราพอใจ ในเมื่อพื้นที่ทุกส่วนภายในบ้านจะบ่งบอกความเป็นตัวเราได้ดีที่สุด จะสนุกแค่ไหน ถ้าเราได้ลองเลือก Mix&Match เฟอร์นิเจอร์ชิ้นนั้นที่ถูกใจ มาวางคู่กับเฟอร์นิเจอร์ชิ้นเดิมที่มีอยู่ได้อย่างลงตัว หรือได้ลองผสมสไตล์ต่างๆ เข้าด้วยกันอย่างไม่มีข้อจำกัด ได้เพิ่มเติมลูกเล่นหรือฟังก์ชั่นที่ต้องการเข้าไป ออกแบบห้องแต่งตัวใหม่ที่ใส่ความเป็นตัวเราลงไปในทุกมุม เพื่อให้เราได้เป็นตัวเองได้อย่างเต็มที่ในทุกๆ วัน   เพราะ SB Design Square รู้ดีว่า ความชื่นชอบและไลฟ์สไตล์แต่ละคนไม่เหมือนกัน กว่าจะออกมาเป็น original U ของแต่ละคนได้ ดังนั้นเฟอร์นิเจอร์แต่ละประเภทจึงถูกออกแบบมาให้มีดีไซน์ และฟังก์ชั่นต่างกันออกไป เพื่อเปิดโอกาสให้คุณเลือก Mix&Match ได้ตามสไตล์ส่วนตัว เพื่อบ่งบอกถึงความเป็นตัวคุณอย่างแท้จริง จากพื้นที่ส่วนตัวในห้องนอนที่บ่งบอกถึงตัวตนได้อย่างชัดเจนแล้ว พื้นที่ในฝันอย่างมุมแต่งตัวหรือ Walk-in Closet ก็สำคัญไม่แพ้กันจริงมั้ยคะ เมื่อ Walk-in Closet ที่ดีที่โดนใจไม่ใช่แค่ที่เก็บเสื้อผ้าเท่านั้น SB Design Square มี SB Interior Team ผู้เชี่ยญชาญด้านการออกแบบ ที่จะแปรความชอบสไตล์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น มินิมอล ลอฟท์ อินดัสเทรียล หรือโมเดิร์น ถ่ายทอดออกมาเป็นความลงตัวในแบบของเรา พร้อมให้คำปรึกษาในการออกแบบตกแต่งบ้านให้เป็นสไตล์เฉพาะตัว ทุกฟังก์ชั่นการใช้งาน ทุกส่วนภายในบ้านสามารถออกแบบได้เพื่อคุณโดยเฉพาะ     เพราะความชอบของเราไม่จำเป็นที่ต้องแคร์ใคร และความสุขแต่ละคนไม่เหมือนกัน การได้มีพื้นที่เล็กๆ ในมุมส่วนตัวที่เป็นตัวของตัวเองได้มากที่สุด ไม่ว่าจะต้องเผชิญกับงานหนัก หรือเรื่องเหนื่อยแค่ไหน ชีวิตก็มีความสุขได้เพราะเราได้ใช้ชีวิตในแบบที่เราเป็น #originalU     
จะฝากชีวิตไว้กับใคร ไลฟ์สไตล์ต้องเข้ากัน

จะฝากชีวิตไว้กับใคร ไลฟ์สไตล์ต้องเข้ากัน

ถ้าเปรียบการใช้ชีวิตคนเราเหมือนการเลือกคู่ชีวิตก็คงไม่ผิดนัก เพราะในทุกๆ วันเราจะตามหาสิ่งรอบตัวที่เหมาะกับตัวเองตั้งแต่ก่อนก้าวออกจากบ้านอย่างเสื้อผ้าที่บ่งบอกแฟชั่นความเป็นตัวเอง อาหารการกินที่ชื่นชอบ ของใช้ทุกชิ้นที่เราต่างก็อยากเลือกด้วยตัวเองเพื่อให้ได้สิ่งที่โดนใจที่สุด เข้ากันกับเรามากที่สุดถึงจะไปด้วยกันได้อย่างสบายใจ แต่ละคนก็มีความชอบส่วนตัวแตกต่างกันไป บางคนชอบออกกำลังกาย บางคนชอบนั่งชิวร้านกาแฟ บางคนชอบออกไปเที่ยว บางคนชอบอยู่บ้าน ถึงแม้ว่าไลฟ์สไตล์ของทุกคนจะไม่เหมือนกัน แต่ถ้าเราใส่ใจกันก็จะเกิดสิ่งมหัศจรรย์ขึ้นตรงกลาง ซึ่งเป็นจุดที่เรียกว่าความลงตัว ก็เปรียบเสมือนพบเจอเนื้อคู่ที่สามารถเข้ากันได้ในทุกเรื่องราวของชีวิต สำหรับที่อยู่อาศัยก็เช่นกันค่ะ ต้องใส่ใจเลือกสิ่งที่ลงตัวกับครอบครัวของเราให้มากที่สุด เพราะการซื้อบ้านสักหลังก็เหมือนการเลือกฝากชีวิตไว้กับใครสักคนที่สามารถดูแลกันและกันไปทั้งชีวิต     ใครๆ ก็อยากมีบ้านในฝันเป็นของตัวเองกันทั้งนั้นใช่ไหมคะ แต่กว่าจะได้บ้านที่ตรงใจเหมาะสำหรับทุกคนในครอบครัวของเราก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะพบเจอ เพราะบ้านแต่ละหลังนั้นต้องประกอบด้วยรายละเอียดเล็กๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นทำเลที่ใช่ คุณภาพวัสดุที่ต้องได้มาตรฐาน ความชำนาญในการก่อสร้าง ไปจนถึงความน่าเชื่อถือของบริษัทเจ้าของโครงการ เพราะบ้านจะอยู่กับครอบครัวของเราไปอีกยาวนานหลายสิบปี ยิ่งถ้าบ้านในฝันหลังนั้นเกิดขึ้นมาจากความใส่ใจในคุณภาพมาตั้งแต่แรก สิ่งดีๆ ก็ย่อมเกิดขึ้นกับทุกคนในครอบครัวของเรา       25 ปีมาแล้วนะคะที่ “พฤกษา” พัฒนาคุณภาพอย่างไม่หยุดหยั้ง คอยดูแลบ้านด้วยความใส่ใจมาตลอด ตั้งแต่รากฐานด้วยเทคโนโลยีการผลิตวัสดุก่อสร้างได้มาตรฐาน การออกแบบให้เกิดคุณภาพชีวิตที่ดี ใส่นวัตกรรมอันทันสมัยเพื่อชีวิตที่สะดวกสบายกว่าที่เคย เกิดเป็นสังคมที่มีสิ่งแวดล้อมดีๆ รอบตัวอย่างสร้างสรรค์ พร้อมด้วยบริการดูแลตั้งแต่ก้าวแรกตลอดจนการใช้ชีวิตในรั้วของพฤกษา และนี่คือ 5 แนวคิดหลักที่เกิดจากความใส่ใจลงไปในบ้านทุกหลัง เพื่อให้เป็นบ้านในฝันสำหรับทุกคน       ใส่ใจ...เทคโนโลยีการก่อสร้าง และการผลิต บ้านที่ดีไม่ใช่แค่รูปลักษณ์ภายนอกที่สวยงาม แต่ต้องมีรากฐานที่ดีมาตั้งแต่การใช้วัสดุและระบบการก่อสร้างอันทันสมัย ซึ่งพฤกษามีโรงงาน Pruksa Precast ผลิตคอนกรีตเสริมเหล็กสำเร็จรูป โดยใช้เทคโนโลยีจากเยอรมันนี สามารถมั่นใจได้กับคุณภาพแข็งแรง ทนทานทุกชิ้นก่อนออกจากโรงงาน เสริมด้วยระบบการก่อสร้างจากช่างผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน Pruksa REM (Pruksa Real Estate Manufacturing) การันตีจาก 2 รางวัลยอดเยี่ยมระดับโลกของงาน ASQ ’s 2012 World Conference สหรัฐอเมริกา เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด         ใส่ใจ...นวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัยอย่างสร้างสรรค์ เทคโนโลยีในยุคปัจจุบันที่มักจะช่วยให้ชีวิตง่ายขึ้น ยิ่งหากได้นวัตกรรมที่เข้ากับไลฟ์สไตล์ได้แล้ว ก็ยิ่งเพิ่มความสะดวกสบายให้กับทุกคนในครอบครัวของเรา อย่างระบบปฏิบัติการ Pruksa Home Automation & Security System ที่สามารถควบคุมได้แค่ปลายนิ้วสั่งผ่าน Smartphone ทั้ง Smart Control ควบคุมเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ใช้ Remote Smart Camera กล้องรักษาความปลอดภัยภายในบ้านสามารถสั่งงานออนไลน์ได้ Smart Security สัญญาณกันขโมย และเครื่องจับความเคลื่อนไหว       ใส่ใจ...การออกแบบอย่างสร้างสรรค์ กว่าจะได้บ้านแต่ละหลัง นั่นหมายถึงความทุ่มเทครั้งใหญ่ของชีวิต พฤกษาตระหนักดีถึงจุดนี้จึงมุ่งมั่นที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์ ด้วยการออกแบบอย่างสร้างสรรค์ตามเทรนด์ใหม่ๆ ที่ไม่เคยหยุดนิ่ง สร้างคุณค่าให้กับบ้านยุคใหม่ Safety Home บ้านแข็งแรงทนทานด้วยวัสดุได้มาตรฐาน ผ่านการคัดสรรจากโรงงานก่อนถึงไซต์ก่อสร้าง Healthy Home เพราะสุขภาพคือสิ่งสำคัญของครอบครัว พฤกษาจึงคิดตั้งแต่การวางผังบ้านเพื่อให้ระบายอากาศได้ดี เหมาะกับเมืองร้อนในบ้านเรา ใช้สีทาบ้านที่ไม่ระคายเคืองต่อระบบหายใจ ห้องน้ำไม่อับชื้นปราศจากเชื้อรา ฯลฯ Green Home ดูแลครอบครัวแล้วก็ต้องดูแลโลกของด้วยการประหยัดพลังงาน  อย่างการใช้หลังคาระบบพลังงานแสงอาทิตย์ ฝ้าสำเร็จรูปป้องกันความร้อน การใช้ผนังสำเร็จรูปลดฝุ่น ลดมลภาวะ วัสดุสังเคราะห์ที่ลดปัญหาการทำลายธรรมชาติ ฯลฯ Smart Home เป็นสิ่งที่บ้านสมัยใหม่จะขาดไปไม่ได้เลยทั้งระบบ Home Automation ควบคุมบ้านด้วยรีโมทคอนโทรลหรือผ่านโทรศัพท์มือถือ เช่น การเปิด – ปิด ไฟฟ้า หรือระบบ Building Information Modeling การออกแบบ 3 มิติ ด้วยคอมพิวเตอร์ให้การสร้างบ้านมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น     ใส่ใจ...สังคมและสิ่งแวดล้อมรอบข้างอย่างสร้างสรรค์ บ้านของเราจะน่าอยู่ได้ไม่ใช่แค่ตัวบ้านเท่านั้น แต่สิ่งแวดล้อมรอบๆ ก็สำคัญไม่แพ้กัน รวมถึงสังคมดีๆ ที่พฤกษาออกแบบสังคมคุณภาพที่พัฒนาเฉพาะเพื่อคุณ Solar Cell ประหยัดพลังงานด้วยการดึงพลังงานแสงอาทิตย์มาใช้ที่ส่วนกลาง แถมยังช่วยลดค่าใช้จ่ายส่วนกลางลงได้   Jogging Track สวนที่ออกแบบพิเศษสำหรับการออกกำลังกาย สำหรับคนรักสุขภาพ Bike Lane เลนสำหรับรถจักรยานโดยเฉพาะ ปั่นได้ปลอดภัยภายในโครงการ CCTV ติดตั้งกล้องวงจรปิดทั้งบนถนนหลักถนนรอง และ Main Gate ในทุกๆ โครงการ   Double Security Gate เพิ่มความปลอดภัยยิ่งขึ้นด้วยประตูทางเข้า 2 ชั้น   Fast Lane & Easy Pass แยกทางเข้า – ออก ระหว่างลูกค้าและแขกผู้เยี่ยมเยือน       ใส่ใจ...การบริการอย่างสร้างสรรค์ การบริการถือเป็นอีกหนึ่งหัวใจสำคัญที่จะทำให้เกิดความประทับใจตั้งแต่ก้าวแรกด้วยทีมงานที่มีความชำนาญ ตั้งแต่ให้คำปรึกษาเรื่องสินเชื่อ ไปจนบริการหลังการขายพร้อมดูแลคุณทุกปัญหา โดยสามารถแจ้งปัญหาผ่าน www.pruks.com ที่สะดวกครอบคลุมทุกช่วงเวลา ให้ได้กว่าคำว่าบ้าน   สิ่งสำคัญที่สุดนั่นคือรากฐานที่ดีจะต้องมีตั้งแต่แรกเริ่มจนกลายเป็นบ้านในฝันของใครหลายคน คือความทุ่มเทจากพฤกษาที่พร้อมจะมอบบ้านคุณภาพที่ดีที่สุดส่งมอบให้กับลูกบ้านทุกคน เพราะ Pruksa ใส่ใจ...เพื่อทั้งชีวิต สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. 1739 หรือ Pruksa.com  
24 Hours in Ramkhamhaeng

24 Hours in Ramkhamhaeng

พูดถึง “รามคำแหง” เชื่อว่าหลายคนน่าจะมีภาพผุดขึ้นมาในหัวทันทีแบบไม่ต้องคิดนาน…. ถนนสายเก่าที่พลุกพล่านตลอดทั้งวัน มีกิจกรรมสลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนจนแทบจะไม่เคยหลับใหล นอกจากจะเป็นแหล่งการศึกษาชั้นนำแล้ว ก็ยังเป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นศูนย์กลางของการกีฬา และมีสนามกีฬาที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยก็ตั้งอยู่บนถนนสายนี้เช่นกัน ภาพที่ผู้คนหมุนเวียนในแต่ละวันมากมาย ตั้งแต่เช้าจรดค่ำจนถึงรุ่งเช้าของอีกวัน ทำให้เรารู้สึกว่าย่านรามคำแหงไม่เคยหลับเลย แต่ใครจะรู้ว่าในย่านรามคำแหงนี้ ยังมีมุมสงบสวยๆ ร้านคาเฟ่สุดแนวซึ่งดีต่อกายและใจให้เราได้เช็คอินกันรัวๆ ตั้งแต่เช้าจรดค่ำ พร้อมแล้วตามเราไปเติมประสบการณ์ใหม่ให้ชีวิตในรามคำแหงกันค่ะ   Sport Lover : กกท. (การกีฬาแห่งประเทศไทย)   ด้วยความที่เป็นศูนย์กลางของกีฬาแห่งประเทศไทย จึงมีหลายประเภทกีฬาเปิดกว้างสำหรับประชาชนทั่วไปให้ได้เข้าร่วมเป็นสมาชิก ไม่ได้สงวนเฉพาะแต่ทีมชาติเท่านั้น จะว่ายน้ำ ยิงปืน เทควันโด ยกน้ำหนัก หรือจะหมัดมวย สาย Active ชอบออกกำลังกายไม่ควรพลาด   ไฮไลท์ที่เรากำลังสนใจคือ “การยิงธนู” กีฬาที่แสนจะคูล เพราะต้องอาศัยทั้งสมาธิอันแน่วแน่ และจิตใจที่แข็งแกร่ง เพราะต้องฝึกฝนจนเกิดทักษะความแม่นยำ แค่เห็นท่าทางการน้าวสายธนูของนักกีฬาที่กำลังฝึกอยู่ในสนามก็เท่เกินบรรยายแล้วล่ะ ใน “กกท.” ยังมีสมาคมกีฬาที่น่าสนใจอีกมากมาย หรือแม้กระทั่งพื้นที่ที่เปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าไปใช้ออกกำลังกายได้ทุกวัน     Café Hopping : Emmie’s  +  Café Now   ใครจะเชื่อว่า “รามคำแหง” มีคาเฟ่เก๋ๆ เยอะจนเลือกแทบไม่ถูก ทั้งแบบ Grab & Go และแบบที่มีพื้นที่ให้นั่งเล่น นั่งชิล หรือแม้แต่นั่งทำงานก็ยังได้   “Emmie’s” เป็นร้านหนึ่งในซอยพระรามเก้า 49 คาเฟ่สีขาวน่ารักพร้อมบรรยากาศเงียบสงบแห่งนี้ มีเมนูบรั้นช์และขนมหวานในสไตล์เฮลธ์ตี้ให้เลือกมากมาย โทนสีขาวแบบเรือนกระจก ทำให้รู้สึกโล่งและโปร่งมาก ยิ่งหันไปเห็นสีเขียวๆ สบายตาจากต้นไม้รอบๆ อีก บอกเลยว่าที่นี่เหมาะแก่การซุกตัวในวันหยุดมากๆ       จากคาเฟ่สีขาว เปลี่ยนมูดมาที่คาเฟ่โทนเข้มอย่าง “Café Now” by Propaganda แค่ชื่อก็การันตีความเท่ห์ได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังมีอาหารและเครื่องดื่มสุดแนวให้ได้ลองกันอีกด้วย ภายในร้านเต็มไปด้วยของแต่งบ้านและของสะสมสไตล์วินเทจ ถูกใจคนรักงานดีไซน์แน่นอน ไม่ว่าจะนั่งเล่นจิบกาแฟชิลๆ หรือจะนัดคุยนั่งทำงาน บรรยากาศในร้านก็น่าจะช่วยสร้างแรงบันดาลใจได้เป็นอย่างดี           ออกซิเจนเต็มปอด : สวนนวมินทร์ภิรมณ์   ถ้าการออกกำลังกายใน กกท. ดูจะจริงจังเกินไป “สวนนวมินทร์ภิรมณ์” น่าจะเป็นทางเลือกที่เหมาะสมที่สุดสำหรับคนในย่านรามคำแหง ห่างออกมาแค่อึดใจก็จะได้สูดออกซิเจนได้เต็มปอด การได้มาวิ่งออกกำลังกายตอนเช้าๆ ใต้ต้นไม้ใหญ่รอบบึง ได้เดินเล่นปล่อยสมองให้ได้หยุดพักกับธรรมชาติรอบตัวซักนิด หรือจะชวนเพื่อนๆ มาเล่นกีฬาด้วยกัน ก็อาจจะเป็นการชาร์จแบตที่ดีที่สุดของวันเลยก็ได้       ถูกใจสายเปย์ : แหล่งช็อปปิ้งหลากสไตล์   ย่านรามคำแหงมีแหล่งช็อปปิ้งให้เลือกหลากหลายสไตล์ แวดล้อมไปด้วยห้างสรรพสินค้าชั้นนำ ซุปเปอร์มาร์เก็ต ตลาดนัด รวมถึงคอมมิวนิตี้มอลล์ก็มีให้เลือกแวะ ช็อป ชิลได้ไม่เว้นวัน คุณแม่บ้านน่าจะถูกใจกับการเลือกซื้ออาหารปรุงสดสะอาดจากตลาดเสรีมาร์เก็ต สายเฮลท์ตี้ก็ได้สนุกกับการช็อปปิ้งอาหารเพื่อสุขภาพที่ Lemon Farm หรือ Gourmet Market ของเดอะมอลล์ จับจ่ายผักผลไม้สารพัดชนิดกลับไปปรุงมื้ออาหารที่ดีต่อกายและใจ          ยังคงเอาใจสายสุขภาพกันต่อด้วย แหล่งช็อปปิ้งอุปกรณ์กีฬา ซึ่งจัดหนักจัดเต็มตั้งแต่ห้าง FBT ซึ่งตั้งตระหง่านคู่ถนนรามคำแหงมาอย่างยาวนาน หรือถ้ายังไม่ถูกใจ แผนกเครื่องกีฬาในห้างเดอะมอลล์ก็นับว่ามีครบครันแทบจะทุกแบรนด์ให้เลือกหากันเลยทีเดียว       ถ้าเป็นคนรามฯตัวจริง จะต้องเคยเดิน “ตลาดนัดการกีฬาไนท์” (ตลาดนัด กกท.) ไม่งั้นจะถือว่าไม่ใช่ ช่วงเย็นๆ ของทุกวัน (เว้นเวันพุธ) ที่นี่มีของให้เลือกจับจ่ายเพียบ ไม่ว่าจะของกิน ของใช้ทั่วไป เสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า มีให้เลือกแทบไม่ซ้ำในราคาน่าคบหาอีกด้วย         Life Style 24 ชั่วโมง : Niche MONO Ramkhamhaeng   พูดถึงรามคำแหงมาไม่น้อยแล้ว เชื่อว่าหลายคนน่าจะเริ่มสนใจ และอาจจะเปลี่ยนใจอยากมาใช้ชีชิตในย่านนี้กันบ้างแล้วแหละ เพราะรามคำแหงยังมีอะไรน่าค้นหาอีกเยอะ ถ้าจะพูดถึงคอนโดมิเนียมในรามคำแหง หนึ่งในโครงการที่จะมาตอบโจทย์ Life Style แบบ 24 ชั่วโมงนี้ ต้องยกให้ “Niche MONO Ramkamhaeng” เท่านั้น เพราะหัวใจหลักของการออกแบบโครงการนี้คือ “ความสนุกของการใช้ชีวิต ที่สามารถเติมเต็มทุกกิจกรรมได้ตลอด 24 ชั่วโมง” ด้วย Facility ส่วนกลางขนาดใหญ่ต่อเนื่องทั้งโครงการ ใหญ่กว่า 6.5 ไร่ ซึ่งรวบรวมทุก Healthy Lifestyle ไว้อย่างครบถ้วน และยังเป็นโครงการที่มีพื้นที่ส่วนกลางที่ใหญ่ที่สุดในย่านรามคำแหงเลยทีเดียว     ถึงจะไม่ได้ไปออกกำลังกายที่ กกท. ในโครงการเองก็ยังมี Sport Village ขนาดใหญ่ รวบรวมไว้ทั้ง Jogging Track, Bike Lane, สนามบาสเกตบอล แบบ Multi-Sport ซึ่งปรับเปลี่ยนเป็นสนามฟุตซอลได้ และสระว่ายน้ำมากถึง 3 สระ 3 สไตล์ ถ้าทั้งหมดนี้ยังไม่หนำใจ Niche MONO Ramkhamhaeng ยังจัด Fitness Village ขนาดใหญ่ที่ชั้น 6-7 ให้อีก พร้อมพื้นที่สีเขียวบิ๊กเบิ้มที่เราไม่จำเป็นต้องออกไปหาสูดโอโซนที่อื่นอีก ทั้งหมดนี้เปิดให้บริการกันแบบ 24 ชั่วโมงไปเลยยยย  เรียกว่าเอาใจคนรักสุขภาพกันแบบเต็มๆ   ความเพียบพร้อมที่ทางโครงการเตรียมไว้ ไม่ได้เอาใจแค่ลูกบ้านหัวใจนักกีฬาเท่านั้นนะคะ ลูกบ้านที่ชอบชิล ชอบแฮงค์เอ้าท์ ก็มีพื้นที่ส่วนร้านค้าภายในโครงการรวมไว้ทั้ง Café เก๋ๆ, ร้านอาหาร และซุปเปอร์มาร์เก็ตไว้ค่อยอำนวยความสะดวก และตอบทุกโจทย์ไลฟ์สไตล์ได้อย่างแท้จริง         Niche MONO Ramkamhaeng อยู่บนทำเลการเดินทางสะดวกแบบสุดๆ ห่างจากสถานีรถไฟฟ้าหัวหมาก (สายสีส้ม) 0 เมตร ใกล้ทั้งสถานีอินเตอร์เชนจ์ ใกล้แอร์พอร์ตลิงค์ ใกล้จุดขึ้น-ลงทางด่วน และมอเตอร์เวย์ ด้วยทางเลือกในการเดินทางที่หลากหลาย ทำให้คุณสามารถกำหนดจังหวะการเดินทางในทุกวันได้ด้วยตัวเอง   Niche MONO Ramkhamhaeng เริ่มต้น 1.99 ล้านบาท* เปิดจอง 1-7 พ.ย. นี้ ที่เดอะมอลล์บางกะปิ ลงทะเบียนรับส่วนสูงสุด 100,000 บาท* สนใจรายละเอียดเพิ่มเติม คลิก http://bit.ly/2IcXJ09    
ตำแหน่งขุมทรัพย์ ตามหลักฮวงจุ้ยอยู่ตรงไหนเอ่ย

ตำแหน่งขุมทรัพย์ ตามหลักฮวงจุ้ยอยู่ตรงไหนเอ่ย

อ.ธนากร แนะนำว่า "หลายๆ คน ชอบถามเสมอว่า ตำแหน่งขุมทรัพย์ผมอยู่ตรงไหน แล้วตั้งดูอย่างไร ต้องถามซินแสฮวงจุ้ยไหม คำตอบคือ ไม่ต้องครับ ลองทำแบบนี้ครับ ให้เรานึกว่า สถานที่ที่เราอยู่เหมือนกะละมัง ตักลงไป น้ำจะไหลจากข้างหน้า ไปสู่ข้างหลัง น้ำที่มันไหลไปหลังสุด นั่นแหละคือตำแหน่งของขุมทรัพย์ ดังนั้น ตำแหน่งตั้งตู้เซฟควรตั้งอยู่ตรงนี้ เงินไหลมาแล้วจะมาเก็บที่ตำแหน่งตู้เซฟ แต่ตู้เซฟ ต้องหันหน้าตู้มาทางข้างตัวคุณ อย่าหันหน้าออกไปหน้าบ้านเด็ดขาด แต่ถ้าคุณคิดจะปล่อยเงินกู้ ให้หันหน้าตู้เซฟ ออกข้างนอกบ้านได้เลย"        ขอบคุณข้อมูลจาก อ.ธนากร ตันอาวัชนการ ซินแสมังกร
มิกซ์ดีไซน์ แมทช์เฟอร์นิเจอร์ให้ลงตัว

มิกซ์ดีไซน์ แมทช์เฟอร์นิเจอร์ให้ลงตัว

มิกซ์ดีไซน์ แมทช์เฟอร์นิเจอร์ให้ลงตัว ถ้าได้ผ่านไปผ่านมาแถวทองหล่อบ่อยๆ เชื่อว่าหลายคนคงจะเริ่มคุ้นตากับโครงการ THE ESSE Sukhumvit 36 จาก SINGHA ESTATE ที่มี Sales Gallery อยู่บริเวณปากซอยสุขุมวิท 36 กันบ้างแล้ว ต้องบอกว่าโครงการนี้มีความโดดเด่นในเรื่องการออกแบบ โดยมีที่ปรึกษาจากทีมดีไซน์เนอร์ระดับโลกทำให้โครงการนี้จัดเป็นโครงการ ที่น่าจับตามองมากในเวลานี้ ปัจจุบันโครงการ THE ESSE Sukhumvit 36 มียอดขายไปแล้วไม่ต่ำกว่า 60% โครงการนี้ไม่ได้มีดีแค่จุดเด่นของทำเลที่ตั้งที่อยู่ใจกลางสุขุมวิท ติดสถานีรถไฟฟ้าทองหล่อเท่านั้นนะคะ งานดีไซน์ของคอนโดมิเนียมทั้ง Exterior และ Interior ต้องเรียกว่าเป็นการลงรายละเอียดในทุกๆ ตารางนิ้ว เพื่อตอบโจทย์การอยู่อาศัยอย่างแท้จริง   โครงการ THE ESSE Sukhumvit 36 ได้ทีมออกแบบที่มีชื่อเสียงระดับโลกหลายเจ้า แถมยังเป็นทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านแทบทั้งสิ้น อย่างงานด้านสถาปัตยกรรมก็ได้ “Tandem” บริษัทออกแบบสัญชาติไทยที่มีประสบการณ์มากมาย มาร่วมมือกับบริษัทสถาปนิกชื่อดังจากอเมริกาอย่าง “SOM” Skidmore, Owings and Merrill (Thailand) Co. Ltd เป็นที่ปรึกษา ซึ่งเชี่ยวชาญด้านการออกแบบอาคารสูง และฝากผลงานไว้มากมาย ทำให้ดีไซน์ตัวอาคารของ THE ESSE Sukhumvit 36 สวยสะดุดตาเป็นที่สุด   ส่วนงานภูมิสถาปัตยกรรม ทาง SINGHA ESTATE เลือก “Shma” เป็นผู้ออกแบบ ในขณะที่ Interior ส่วนกลางได้ “dwp” (Design Worldwide Partnership) มาเป็นอีกแรงสำคัญที่ทำให้บรรยากาศภายในมีกลิ่นอายที่ผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมแบบภูมิปัญญาไทย กับการออกแบบที่เป็นสากล ซึ่งทั้งหมดนี้อยู่ภายใต้แนวคิด “The Essence of Luxurious Living is HARMONY OF CONTRAST” ที่ต้องการสื่อสารถึง “การใช้ชีวิตที่มีความสมดุลในความแตกต่างอย่างกลมกลืน”   แน่นอนว่ารายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่เห็นในโครงการทั้งหมดนี้ เกิดจากการผสมผสานเอกลักษณ์ของดีไซน์เนอร์แต่ละคนไว้อย่างลงตัว   จริงอยู่ที่ทางโครงการ THE ESSE Sukhumvit 36 เปิดขายห้องชุดแบบ Fully Fitted เพื่อให้เจ้าของห้องชุดได้มีโอกาสสร้างสรรค์การตกแต่งห้องตามสไตล์ตัวเองได้อย่างเต็มที่ แต่ความชื่นชอบที่หลากหลายและแตกต่างกัน ก็สามารถนำมา Mix and Match จนได้สไตล์ส่วนตัวที่ไม่ซ้ำกับใคร บางครั้งเราอาจจะนึกไม่ถึงเลยว่าเฟอร์นิเจอร์ในสไตล์ Loft จะสามารถเข้ากันได้ดีห้องสไตล์ Classic หรือแม้แต่เฟอร์นิเจอร์ไม้ที่เรียบง่าย หากเพิ่มเติมโลหะสีทองหรือสีทองแดงเข้าไป จะสามารถเพิ่มความน่าสนใจให้กับชิ้นงานได้อย่างไม่น่าเชื่อ เพียงแค่เราเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์ให้ถูกชิ้น จัดวางในตำแหน่งที่เหมาะสม ก็สามารถผสมผสานวัสดุ และสไตล์ Mix & Match กันได้อย่างกลมกลืน   การออกแบบหรือการเลือกเฟอร์นิเจอร์ให้กับห้องใดๆ ไม่ได้มีกฏกำหนดตายตัวเสมอไปหรอกค่ะ เราเชื่อว่าห้องนั้นๆ จะถูกตกแต่งอย่างไร ก็ต้องขึ้นอยู่กับความชอบ รสนิยม ความพึงพอใจของเจ้าของห้องเป็นหลัก ผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้มา คือห้องที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ และสามารถบ่งบอกถึงตัวตนของเจ้าของห้องได้ดีที่สุดนั่นเองค่ะ   ก็เหมือนกับที่ THE ESSE Sukhumvit 36 ที่ผสมผสานเอกลักษณ์งานออกแบบของดีไซน์เนอร์หลากหลายสัญชาติ ให้มารวมกันได้อย่างลงตัวที่สุด และเพื่อให้เจ้าของห้องชุดรู้สึกว่าการตกแต่งห้องเป็นเรื่องที่ง่ายดายยิ่งขึ้น โดยไม่จำเป็นต้องจ้าง Interior Designer เสมอไป ที่โครงการจึงจัดชุดเฟอร์นิเจอร์สวยๆ จาก LOAM ARTISANAL LIVING มาจัดโปรโมชั่นพิเศษ (Limited Offer) ให้เจ้าของห้องได้มีโอกาสเลือกห้องพร้อมเฟอร์นิเจอร์ที่จะมา Mix& Match ความหรูหราอย่างมีสไตล์ได้ตามใจคุณ เริ่มต้นกันด้วยห้อง 1 Bedroom กับ Furniture Package จาก LOAM ARTISANAL LIVING มูลค่า 500,000 บาท ชุดเฟอร์นิเจอร์หลายชิ้นทั้งในห้องนั่งเล่นและห้องนอน สี Earth Tone สบายตา ทำให้เราสามารถแต่งเติมสีสันด้วยของตกแต่งชิ้นเล็กชิ้นน้อยเพิ่มเติมเข้าไปได้ง่ายขึ้น รับรองว่าไม่ซ้ำกับใครแน่นอนค่ะ     ส่วนห้อง 2 Bedroom ก็น่าสนใจไม่แพ้กันเลยค่ะ เพราะมูลค่า Furniture Package มากถึง 700,000 บาทเลย ชุดเฟอร์นิเจอร์สวยๆ จาก LOAM ARTISANAL LIVING มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว งานดีไซน์เรียบหรู แต่ก็แอบซ่อนกิมมิกเก๋ๆ ไว้ในเฟอร์นิเจอร์แต่ละชิ้นด้วยนะคะ     นอกจาก Exclusive Furniture Package ที่คัดสรรมาโดยเฉพาะตามที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว ทาง SINGHA ESTATE ยังได้เสนอเงื่อนไขพิเศษ สำหรับลูกค้าที่ชำระค่าห้องผ่านบัตรเครดิตที่ร่วมรายการ จะได้คะแนนสะสมสูงสุด 20 เท่า**   จะมามัวรีรอไม่ได้แล้วค่ะ คอนโดสวยๆ ใจกลางเมือง ติดสถานีรถไฟฟ้าทองหล่อ แถมยังได้เฟอร์นิเจอร์จากแบรนด์ดังครบเซ็ต ในราคาเริ่มต้น 12.6 ล้านบาท* แบบนี้มีจำนวนจำกัด และหาที่ไหนไม่ได้ง่ายๆ แล้วนะจ๊ะ รีบคลิกลงทะเบียนกันที่ http://bit.ly/2ws3h1s  หรือ โทร. 1221    
บ้านที่มีรั้วสูง รั้วทึบเหมือนกำแพงคุก จะมีผลอย่างไร?

บ้านที่มีรั้วสูง รั้วทึบเหมือนกำแพงคุก จะมีผลอย่างไร?

อ.ธนากร แนะนำว่า "คุณลองสังเกตุมั้ยว่า มีหลายๆ บ้านชอบสร้างกำแพง หรือรั้วบ้านให้สูงทึบ ยังกับกำแพงคุก ซึ่งหมายถึงกำลังขังตัวเองอยู่ นั่นหมายถึง คนในไม่อยากออก คนนอกไม่อยากเข้า ไม่อยากคบค้าสมาคมกับผู้อื่น มีลูกชายลูกสาว ก็ไม่อยากจะแต่งงาน ออกจากบ้าน ก็จะขายไม่ออก จะอยู่เป็นโสด ขึ้นคาน ฉนั้นการทำรั้วบ้าน ทั้งซ้ายและขวา อย่าให้สูงต่ำไม่เท่ากัน ด้านหลังสูงหน่อยไม่เป็นไร แต่รั้วด้านหน้า ขอให้มองออกมาแล้วทะลุเห็นถนนหน้าบ้าน และคนที่เดินอยู่หน้าบ้าน จะทำให้ชีวิตมีความสุข มองการณ์ไกล คนที่มาคบหาสมาคมด้วย ก็จะมีความสุขไปด้วย"        ขอบคุณข้อมูลจาก อ.ธนากร ตันอาวัชนการ ซินแสมังกร
ประตูหน้า-ประตูหลัง นั้นสำคัญไฉน

ประตูหน้า-ประตูหลัง นั้นสำคัญไฉน

อ.ธนากร แนะนำว่า "หลายๆคนเชื่อกันว่า ต้องกินอย่างเดียวไปต้องถ่าย เปรียบเสมือน ปี๋เซี๊ยะ สัตว์มงคล ที่มีแต่ปาก แต่ไม่มีมีทวาร บ้านบางบ้านก็ปิดประตูหลังเสีย แบบนี้ไม่ดีนะครับ การที่เรากินแล้วไม่ถ่าย หรือมีแต่ประตูหน้าแล้วไม่มีประตูหลัง แสดงว่า การเงินนั้น จะไหลไม่คล่อง ไหลเข้าบ้านมาซักพัก พอเด็มแล้วก็หยุด คุณเคยเป็นมั้ย ตอนเข้ามาอยู่บ้านแรกๆ ธุรกิจรุ่งเรือง เจริญดีมาก แต่อยู่ซักพัก ทำไมเริ่มอืด ให้สังเกตุแบบนี้ครับ น้ำไหลจากหน้าบ้าน ไปสู่หลังบ้าน ไหลจากประตูหน้าบ้านที่ใหญ่ ไปสู่ประตูหลังบ้านที่เล็ก โดยที่ประตูเล็กหลังบ้าน ต้องไม่ตรงกับประตูใหญ่หน้าบ้าน เงินจะค่อยๆ ไหลเข้ามาจนเต็มก่อน แล้วค่อยๆ ออก นี่คือความคล่องตัว ดังนั้น อย่าปิดประตูหลังบ้านเด็ดขาด หากคุณปิดประตูหลังบ้านเมื่อไร แสดงว่า คุณจะไม่รับเงินใหม่แล้ว พอใจในเงินที่มีแค่นี้อยู่แล้ว ถ้าพอใช้ ปิดประตูหลังไปเลยครับ"        ขอบคุณข้อมูลจาก อ.ธนากร ตันอาวัชนการ ซินแสมังกร
เอกมัย-ทองหล่อ ไลฟ์สไตล์ที่ไม่เคยหยุดนิ่ง

เอกมัย-ทองหล่อ ไลฟ์สไตล์ที่ไม่เคยหยุดนิ่ง

ถ้าถามถึงแหล่งไลฟ์สไตล์ของในกรุงเทพฯ ยุคนี้ย่อมต้องมีองค์ประกอบเรื่องกิน-เที่ยวในตัวเองครบครัน ไม่ว่าจะเป็นร้านคาเฟ่ตกแต่งเก๋ๆ อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของกาแฟเฉพาะตัว หรือร้านอาหารหลากหลายสัญชาติ เชฟและวัตถุดิบอิมพอร์ตจากต่างประเทศโดยเฉพาะ ไปจนถึงร้านที่สามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ได้อย่างรอบด้าน เช่น ร้านจักรยาน ร้านแฟชั่น ร้านเฟอร์นิเจอร์ ร้านบาร์เบอร์-ซาลอน ร้านสปา ร้านแฮงค์เอาท์ ผับบาร์ยามค่ำคืนยาวไปจนร้านข้าวต้มโต้รุ่ง เรียกได้ว่าย่านนี้ไม่เคยหลับใหล จึงไม่แปลกที่ย่านเอกมัย-ทองหล่อ คือคำตอบที่สมบูรณ์แบบค่ะ   หากพูดถึงในแง่ของที่อยู่อาศัยย่านนี้แล้ว เชื่อว่าคงเป็นที่อยู่อาศัยในฝันของใครหลายคน รวมไปถึงชุมชน Expat ที่กระจุกตัวกันอยู่ในย่านนี้ไม่น้อย เพราะนอกจากไลฟ์สไตล์อันเพียบพร้อมรอบด้านแล้วยังเดินทางสะดวกสบาย ทั้งรถไฟฟ้าบีทีเอสสถานีเอกมัย-ทองหล่อ และตัวถนนเองที่แม้จะเป็นเพียงถนนหรือซอยที่เป็นทางเชื่อมลัดเลาะไปสู่ถนนหลักอย่างถนนเพชรบุรีกับถนนสุขุมวิท แต่ด้วยความกว้างของถนนจึงทำให้สามารถมีอาคารสูงขนาดใหญ่เกิดขึ้นได้ตามกฏหมาย อีกทั้งยังสามารถทะลุออกไปถนนพระราม 4 ที่ต่อไปยังสีลม-สาทรได้ในระยะไม่ไกลกัน จึงทำให้ที่แห่งนี้กลายเป็นหนึ่งในย่านที่มีความสำคัญมากที่สุดแห่งหนึ่งของกรุงเทพฯ              จากแผนที่จะเห็นภาพชัดขึ้นค่ะว่าช่วงซอยทองหล่อ 10  - เอกมัย 12 - ปรีดีฯ 31 เป็นซอยที่เชื่อมต่อกันตรงใจกลางย่านนี้พอดี ส่วนจุดขึ้น-ลงทางด่วนที่ใกล้ที่สุดก็มีทั้งทางพิเศษฉลองรัช ซึ่งอยู่เลยแยกพระโขนงไปเล็กน้อย และทางพิเศษเฉลิมมหานคร โดยอยู่บริเวณถนนพระราม 4   เมื่อเล่ามาถึงตรงนี้แล้ว เราก็จะพาไปเดินชมทำเลเอกมัย-ทองหล่อด้วยเลยค่ะ   รอบๆ สถานีรถไฟฟ้าเอกมัย มีเอกลักษณ์โดดเด่นที่ใครๆ ต่างก็จดจำได้ เพราะมีสิ่งอำนวยความสะดวกอยู่ใกล้กันทั้ง เกตเวย์ เอกมัย, เมเจอร์ สุขุมวิท และ สถานีขนส่งเอกมัย   บรรยากาศช่วงปากซอยเอกมัย มีทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติในย่านนี้คึกคักอยู่ตลอดเวลา เดินเล่นในเอกมัยก็มีความคึกคักไม่แพ้กันทั้งกลางวัน-กลางคืน ตลอดทางมีสิ่งอำนวยความสะดวก ร้านที่น่าสนใจเรียงรายอยู่มากมาย ทั้งร้านอาหาร ร้านคาเฟ่ และร้านที่เกี่ยวกับไลฟ์สไตล์ต่างๆ ในปัจจุบัน ตอบโจทย์วิถีชีวิตของผู้คนได้หลากหลาย หากโฟกัสกันที่จุดสำคัญของย่านเอกมัยก็คงต้องบอกว่าอยู่ตรงสี่แยกกลางซอยที่สามารถเชื่อมต่อถึงกันได้ตั้งแต่ซอยทองหล่อ 10 ต่อมาที่ซอยเอกมัย 5 ซอยเอกมัย 12 แล้วไปทะลุสุดที่ซอยสุขุมวิท 71 ตรงซอยปรีดี พนมยงค์ 31 ทำให้การเดินทางง่ายขึ้น  ลองเดินทะลุมาที่ทองหล่อ ช่วงทองหล่อซอย 10 ยังเป็นแหล่งปาร์ตี้ชื่อดังอยู่หลายร้าน ใครที่ชอบชีวิต nightlife ต่างก็รู้จักแถวนี้แน่นอน      จากนั้นเราลองเดินกลับมาที่เอกมัย เข้าไปดูในซอยเอกมัย 12 กันต่อค่ะ    บรรยากาศภายในซอยเอกมัย 12 เป็นช่วงถนนที่มีความกว้างถึง 4 เลน ซึ่งเรียกได้ว่าช่วงนี้เป็นจุดกึ่งกลางระหว่างทองหล่อ-เอกมัย-ซอยสุขุมวิท 71(ซอยปรีดีพนมยงค์) ภายในซอยเอกมัย 12 แห่งนี้มีคอนโดมิเนียมโครงการใหม่ที่น่าสนใจอยู่ค่ะ ชื่อว่า "The FINE Bangkok"   The FINE Bangkok คอนโดมิเนียม High Rise 31 ชั้น 1 อาคาร 220 ยูนิต ที่จอดรถแบบอัตโนมัติ 70% บนพื้นที่ 1-1-05 ไร่ ในซอยเอกมัย 12  เกิดจากการร่วมทุนกันระหว่างบริษัท ซันเคียวโฮม (ไทยแลนด์) จำกัด(บริษัทอสังหาริมทรัพย์จากประเทศญี่ปุ่น) กับ บริษัท เคฮัง เรียลเอสเตท จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่มของ Keihan Railways  ผู้ให้บริการรถไฟรายใหญ่ในภูมิภาคคันไซ จึงเกิดเป็น The FINE Bangkok คอนโดมิเนียมสไตล์ Luxury Modern Japanese มูลค่าโครงการกว่า 1.7 พันล้านบาท และรังสรรค์งานดีไซน์ทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นสถาปัตยกรรม ออกแบบตกแต่งภายใน และ Landscape โดยบริษัทชื่อดังอย่าง  Architects 49     สิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการถูกแบ่งออกเป็น 4 โซนด้วยกัน ได้แก่   โซน Fine Greenery แม้เป็นคอนโดมิเนียมใจกลางเมือง แต่กลับรายล้อมไปด้วยธรรมชาติตั้งแต่ก้าวแรกที่เดินเข้าโครงการด้วยบรรยากาศแแบบ Fine Spring Garden และสวนพักผ่อนที่ชั้น 23 และ 27 ให้ได้อยู่ท่ามกลางธรรมชาติที่โอบล้อมด้วย City View   โซน Fine Lounge ด้วยความตั้งใจออกแบบให้เป็นพื้นที่ใช้ร่วมกัน มีส่วนรองรับสำหรับการใช้งานจากกลุ่มใหญ่ แต่ยังคงได้ความเป็นส่วนตัว โดยดีไซน์ออกมาให้มีเอกลักษณ์ความเป็น Modern Luxury แบบญี่ปุ่นชัดเจนที่สุด ประกอบไปด้วย  Lobby, Mail Room, Co-working room และ Private Meeting room   โซน Fine Retreat พื้นที่พักผ่อนรับลมธรรมชาติพร้อมดื่มด่ำทิวทัศน์ยามค่ำคืนของเมืองไปด้วย ซึ่งทุกส่วนออกแบบให้สามารถชมวิวขอบฟ้าได้ใกล้ที่สุดอย่าง สระว่ายน้ำขนาดใหญ่, Pool Bar, Sauna Room, Hot Pool, The Edge View Point     โซน Fine Sky พื้นที่ Roof Lounge สูงสุดของอาคาร ออกแบบมาให้สามารถชม City View ได้รอบทิศทาง 360 องศา ไปพร้อมกัน เช่น Fitness, Golf Club, Sky Seat, Karaoke room, Kid Room, Wine Lounge                          Floor Plan ชั้น 1 หน้าโครงการหันไปทางทิศใต้ จัดสวนสไตล์ Fine Spring Garden โดยต้องผ่านลำธารเล็กๆ หน้าโครงการไปก่อน ให้ความรู้สึกแบบสวนญี่ปุ่น  Floor Plan ชั้น 9-22 เป็นชั้นสำหรับยูนิตพักอาศัย ประกอบไปด้วยลิฟท์โดยสาร 2 ตัว ลิฟท์เซอร์วิส 1 ตัว บันไดหนีไฟ 2 จุด วางรูปแบบ Double Corridor ฝั่งทิศตะวันออกได้วิวทางพระโขนง-อ่อนนุช ส่วนทางฝั่งตะวันตกจะได้วิวในเมืองอย่างทองหล่อ-อโศก Floor Plan ชั้น 30 เป็น Facility โซน Fine Retreat ประกอบไปด้วยสระว่ายน้ำขนาดใหญ่, Pool Bar, Sauna Room, Hot Pool และ The Edge View Point       สิ่งเหล่านี้สามารถพูดได้ว่าเป็นการออกแบบมาเพื่อวิถีชีวิตของคนรุ่นใหม่ในระดับพรีเมียม เพื่อสนองต่อความต้องการความสะดวกสบายในการใช้ชีวิตได้ดีที่สุดบนกลิ่นอายของความเป็นญี่ปุ่นอันทรงเสน่ห์   The FINE Bangkok ไม่ใช่แค่คอนโดมิเนียมสไตล์ญี่ปุ่น แต่เป็นคอนโดที่ตั้งใจให้เกิดขึ้นในบ้านเราได้สัมผัสกับความแตกต่างในสไตล์ Luxury Modern Japanese เตรียมเปิดห้องตัวอย่างเร็วๆ นี้ และพร้อมเปิด Pre sale 2-3 มิ.ย. นี้   
TIF กระจกอัจฉริยะมีดีกว่าที่คุณคิด

TIF กระจกอัจฉริยะมีดีกว่าที่คุณคิด

Thai Intelligent Film Glass กระจกอัจฉริยะ ฟิล์มอัจฉริยะ กระจกเปลี่ยนสี ฟิล์มเปลี่ยนสี Smart Glass ,Smart Film          มีปัญหาหรือไม่ อยากได้ห้องส่วนตัวบังเอิญที่กั้นห้องไม่ใช่กำแพงแต่ดันเป็นกระจกใส หรือบ้าน ออฟฟิศใครที่มีกระจกรายล้อม และต้องเผชิญกับแสงแดดยามบ่ายที่ร้อนระอุ ต้องการที่บังแดด โดยไม่ต้องง้อม่านอีกต่อไป ปัญหาเหล่านี้จะหมดไป เพียงแค่มีกระจกอัจฉริยะง่ายต่อการใช้งานเพียงแค่ปลายนิ้วสัมผัส ก็สามารถเปลี่ยนจากกระจกใสเป็นทึบได้     แต่ตอนนี้มีนวัตกรรมใหม่นั้นก็คือกระจกอัจฉริยะหรือฟิล์มอัจฉริยะ เพียงสัมผัสแค่ปลายนิ้วก็สามารถทำให้กระจกทึบจากฟิล์มกลายเป็นกระจกใสได้ บอกลาม่าน ไม่ต้องง้ออีกต่อไป   กระจกอัจฉริยะ หรือฟิล์มอัจฉริยะเป็นนวัตกรรมทางเลือกใหม่ เป็นฟิล์มกระจกที่ไม่เหมือนใครเพียงแค่กดปุ่มจากรีโมท ก็เปลี่ยนบ้าน หรือออฟฟิศ กระจกใสที่ปรอดโปร่ง โล่งสบายให้กลายเป็นห้องทึบ เพิ่มพื้นที่ส่วนตัวในการทำกิจกรรมสำคัญ โดยไม่ถูกรบกวนทางสายตาจากผู้คนภายนอก ฟิล์มชนิดพิเศษ ไม่มีขายตามท้องตลาด มีลักษณะที่เบามาก ประกอบไปด้วยหยดของเหลวคริสตัล ที่เรียงตัวแบบกระจายตัว ในรูปแบบที่ถ่ายเทได้ ทำงานโดยใช้หลักการกระจายตัวของหยดของเหลวคริสตัล ในลักษณะที่ห่อหุ้มโดยโพลีเมอร์ โดยมีแผ่นฟิล์มประกบอยู่ 2 ด้าน ขณะที่ไม่มีการปล่อยกระแสไฟฟ้าเข้าไป (ปิดสวิตช์) ของเหลวคริสตัลเรียงตัวกันอยู่กระจัดกระจาย ทำให้เกิดสภาวะ ทึบในขณะที่มีการปล่อยกระแสไฟฟ้าเข้าไป (เปิดสวิตช์) ของเหลวคริสตัลจะเกิดการเรียงตัวกันเป็นแนวขนานกับแนวกระแสไฟฟ้า ทำให้แสงผ่านได้ เกิดสภาวะใสขึ้น   แล้วถ้าที่บ้าน หรือออฟฟิศมีกระจกต้องซื้อมาเปลี่ยนใหม่หมดหรือเปล่า ไม่ต้องกังวลไป หมดห่วงกับการเปลี่ยนกระจกใหม่ นอกจากจะมีกระจกอัจฉริยะแล้วยังมีฟิล์มอัจฉริยะ เพิ่มความสะดวกสบายสำหรับผู้ที่มีกระจกอยู่แล้ว นอกจากนี้ยังมีให้เลือกหลายสี ตัวกระจกหรือฟิล์มยังสามารถออกแบบได้หลายรูปทรงตามความต้องการ การทำงานของกระจกอัจฉริยะเป็นระบบไฟฟ้าไม่ต้องกังวลเรื่องไฟฟ้าจะรั่ว เพราะมีวัสดุที่ทนทานกันไฟฟ้ารั่ว ติดตั้งใช้งานง่ายหมดปัญหาเรื่องช่าง ให้ความรู้สึกเหมือนติดฟิล์มโทรศัพท์มือถือ   สิ่งดีๆ ที่อยากบอกต่อของกระจกอัจฉริยะที่คุณยังไม่รู้ นอกจากจะช่วยเพิ่มความเป็นส่วนตัวแล้ว ตัวกระจกหรือฟิล์มติดตั้งง่าย รวดเร็ว มีความแน่นหนา ทนทาน (กันไฟฟ้ารั่ว) อายุการใช้งานที่ยาวนาน ที่สำคัญลดความร้อนจากแสงอาทิตย์ ป้องกัน UV โดยไม่ต้อง้อม่านอีกต่อไปแล้ว ตัวกระจก และฟิล์มเข้าได้กับทุกขนาด รูปทรงตามต้องการลูกค้า มีสีให้เลือกมากมายอีกด้วย     กระจกอัจฉริยะ ใช้งานได้หลายรูปแบบไม่ว่าจะเป็นที่บ้าน ที่ทำงานได้ทุกที่ตามต้องการ ยกตัวอย่างเช่น คอนโดในปัจจุบันห้องรับแขกกับห้องนอนจะกั้นด้วยกระจกใสซึ่งเวลาแขกมาก็อยากปิดห้องนอนไม่ให้ใครเห็น เพราะเป็นพื้นที่ส่วนตัว หรือห้องประชุมในออฟฟิศเป็นกระจกใส พอมีแขกคนสำคัญหรือประชุมลับไม่อยากให้ใครเห็นเพียงแค่สัมผัสที่ปล่อยนิ้วโดยใช้รีโมทก็เปลี่ยนจากกระใสเป็นกระทึบได้ตามที่ใจเราต้องการ   กระจกอัจฉริยะ มีดีกว่าที่คุณคิด เพิ่มความสะดวกสบายในการใช้ชีวิตมากขึ้น เพียงปลายนิ้วสัมผัสก็เปลี่ยนจากห้องกระจกใสกลายเป็นห้องทึบสร้างความเป็นส่วนตัว ติดตั้งง่าย ทนทาน อายุการใช่งานที่ยาวนาน กันแสงแดด ป้องกัน UV ไม่ต้องง้อม่านอีกต่อไป มีหลายรูปทรง หลากสีให้เลือกตามความต้องการ โดยทีมงานติดตั้งที่มีคุณภาพ มาพร้อมกับการรับประกันตัวสินค้า    Condominium   Sea Life Water World Shark Tank   Hotel Bangkok Theptarin Hospital EastWater Industrial   สามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ เว็บไซต์ www.tifglass.com หรือเบอร์โทรศัพท์ 02-727-5274  
ความสมดุลในบ้าน ประตู และหน้าต่างบ้าน

ความสมดุลในบ้าน ประตู และหน้าต่างบ้าน

อ.ธนากร แนะนำว่า "หลายๆ คนคงเคยได้ยินกันมาบ้างแล้วว่า บ้านนั้นคือคน คนคือบ้าน ความสมดุลของบ้าน จะทำให้คนที่ไปอยู่ในบ้านมีแต่ความสุข ความสมดุลนั้นก็คือ หน้าต่าง กับประตู ลองมาดูกัน บ้านไหนที่มีประตูหน้าบ้าน 2 ประตู หมายความว่า ประตูมาก แย่งกันพูด แสดงว่าคนในบ้านจะแย่งกันใหญ่ นี่คือไม่สมดุล ดังนั้น หนึ่งบ้าน หนึ่งประตู ส่วนที่เป็นหน้าต่าง ควรจะมีหน้าต่างที่หันไปด้านหน้าบ้านน้อย อย่ามีหน้าต่างเยอะ เพราะคุณจะนั่งอยู่ท่ามกลาง สมาคมนินทาแห่งประเทศไทยเลยทีเดียว"          ขอบคุณข้อมูลจาก อ.ธนากร ตันอาวัชนการ ซินแสมังกร
หลอดไฟ LED คืออะไร มีข้อดีข้อเสียอะไร

หลอดไฟ LED คืออะไร มีข้อดีข้อเสียอะไร

หลอดไฟ LED หรือที่บางคนเรียกสั้น ๆ ว่า หลอด LED เป็นประเภทหนึ่งของหลอดไฟที่ได้รับความยอดนิยมเป็นอย่างมาก หลายคนนิยมเลือกซื้อหลอดไฟ LED ไปติดตั้งภายในบ้าน ภายในอาคาร หรือภายนอกอาคาร เป็นส่วนมากเนื่องจากคุณสมบัติที่เป็นข้อดีของหลอดไฟ LED     ถ้าคุณกำลังเลือกซื้อหลอดไฟ LED อยู่ คุณควรอ่านบทความนี้เพื่อที่จะทำความเข้าใจก่อนว่าหลอดไฟ LED คืออะไร มีข้อดีและข้อเสียอย่างไร และควรเลือกซื้อหลอดไฟแบบไหน บุญถาวรได้สรุปทุกประเด็นสำคัญเกี่ยวกับหลอดไฟ LED เอาไว้ให้ทั้งหมดแล้ว   หลอด LED เป็นหลอดไฟที่ผลิตขึ้นมาด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ ที่ทำให้ไม่มีการเผาไส้ของหลอดจนเกิดเป็นความร้อนและที่สำคัญคือ ตัวหลอดไฟไม่มีสารปรอทหรือสารฮาโดเจนหรือสารอื่น ๆ ที่อาจจะเป็นผลเสียต่อผู้ใช้งานภายในบ้าน ทำให้หลอดไฟ LED มีความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างมาก   มารู้จักหลอดไฟ LED ให้มากขึ้น   หลอดไฟ LED คือ หลอดไฟที่ทำขึ้นมาจากไดโอดแบบเปล่งแสง สามารถให้แสงสว่างได้เป็นอย่างดี หลอดไฟ LED นิยมใช้ทั้งภายในตัวบ้าน สำหรับการตกแต่งบ้าน และใช้ภายนอกตัวบ้านได้ด้วย นอกจากนี้หลอด LED ยังถูกนำไปใช้ในอุตสาหกรรมอื่นๆ อีกมากมาย เช่น อุตสาหกรรมรถยนต์ อุตสาหกรรมการผลิต เนื่องด้วยความที่เทคโนโลยีในการออกแบบของหลอด LED ในปัจจุบันทำให้มีความทนทานสูง พร้อมทั้งกินไฟน้อยจึงกลายเป็นหลอดไฟประเภทที่ได้รับความนิยมอย่างมาก   ลักษณะเด่นของหลอดไฟ LED คือ ตัวหลอดจะมีความร้อนน้อยหรือแทบจะไม่ร้อนเลย ทำให้เราสามารถเอามือไปสัมผัสกับหลอดไฟ LED แม้ในขณะที่กำลังเปิดอยู่ได้เลย นับเป็นข้อดีที่แตกต่างกับหลอดไฟบางประเภทที่มีความร้อนสูงมากๆ เนื่องจากการเผาไส้เพื่อให้แสงสว่าง   และด้วยเทคโนโลยีการผลิตที่ทำให้หลอดไฟ LED สามารถระบายความร้อนได้ดีนี้ ทำให้มันมีความร้อนน้อย ความร้อนสะสมก็น้อย จนทำให้หลอดไฟ LED สามารถใช้ได้อย่างยาวนานเมื่อเทียบกับหลอดไฟชนิดอื่น ๆ และอาจจะอยู่ได้นานถึง 6 หมื่นชั่วโมงเลยทีเดียว ซื้อครั้งเดียวใช้ได้อย่างยาวนานเลยทีเดียว นับว่าคุ้มค่ามากๆ   ข้อดีของหลอดไฟ LED   ข้อดีอย่างแรกของหลอดไฟ LED เลยก็คือการที่มันมีอายุใช้งานที่ยาวนาน มีความทนทางสูงมาก สามารถใช้ได้อย่างยาวนาน ทำให้ผู้ซื้อไม่มีความจำเป็นต้องซื้อหลอดไฟ LED มาเปลี่ยนบ่อย ๆ และด้วยความทนทานนี้ยังทำให้ผู้ใช้สามารถนำหลอดไฟ LED ไปติดตั้งในพื้นที่ส่วนที่ยากต่อการเปลี่ยนหลอดไฟได้เพราะไม่จำเป็นต้องมาเปลี่ยนบ่อย   แสงของหลอดไฟ LED เป็นหนึ่งในแสงที่ปลอดภัยไม่มีรังสีที่อันตรายและเป็นแสงไฟที่สบายตา เหมาะกับการติดตั้งภายในบ้าน อีกหนึ่งข้อดีของหลอดไฟ LED ก็คือความประหยัดของหลอดไฟ หลอด LED นั้นไม่กินไฟมากนัก ช่วยให้เราหายกังวลกับภาระเรื่องค่าไฟที่จะต้องจ่ายลงไปได้มาก และนอกจากนี้คือหลอดไฟ LED สามารถที่จะเปิดปิดได้บ่อยโดยไม่กินไฟตามจำนวนครั้งการเปิดปิดสวิตช์ทำให้มีความประหยัดมากๆ เมื่อเทียบกับหลอดไฟในยุคก่อน หรือหลอดไฟที่ผลิตด้วยเทคโนโลยีเก่า   วิธีเลือกซื้อหลอดไฟ LED   มาถึงการเลือกซื้อหลอดไฟ LED กันบ้าง หลักการเลือกซื้อหลอดไฟ LED อย่างแรกเลยคือการเลือกดูจากจำนวนวัตต์ (Watt) หรือกำลังไฟที่หลอดไฟนั้นใช้เพื่อให้แสงสว่าง หลอดไฟแต่ละรุ่นจะมีจำนวนวัตต์ที่ไม่เท่ากัน หรือเรียกว่าพลังงานไฟไม่เท่ากัน ยิ่งวัตต์เยอะก็จะยิ่งทำให้กินไฟมากยิ่งขึ้นแต่ก็จะทำให้หลอดไฟมีพลังงานมากที่ยิ่งขึ้นตามไปด้วย   ข้อเสีย ของหลอดไฟ LED ก็มีเหมือนกันนั้นคือ เรื่องราคาที่ค่อนสูงกว่าหลอดไฟชนิดอื่น ๆ เนื่องจากคุณสมบัติและข้อดีต่าง ๆ ที่ได้กล่าวไปนั้น ทำให้หลอดไฟ LED เมื่อเทียบกับหลอดไฟชนิดอื่น ๆ แล้วมักจะมีราคาที่สูงกว่า แต่เมื่อเทียบกับอายุการใช้งาน ความทนทาน และความประหยัดของหลอดไฟ LED แล้วก็ถือว่าหลอดไฟ LED มีความคุ้มค่ากับราคามากเลยทีเดียว   ขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก บุญถาวร
ตำแหน่งการวางเตาครัว เตาอบ ไมโครเวฟ และตู้เย็น

ตำแหน่งการวางเตาครัว เตาอบ ไมโครเวฟ และตู้เย็น

อ.ธนากร แนะนำว่า "หลายๆ ครอบครัว คงจะมีอุปกรณ์ต่างๆ ในห้องครัวมากมาย เช่นเตาครัว เตาอบ เตาไมโครเวฟ ตู้เย็น หากการวางอุปกรณ์เหล่านี้ ไม่สัมพันธ์กัน ก็อาจจะเกิดสิ่งไม่ดี ความเสียหายได้ เช่น เตาครัว เตาอบ เตาไมโครเวฟ ที่เป็นเหมือนไฟ ความร้อน จะมีประตูของพวกมัน หากตรงข้ามวางตู้เย็นอยู่ ตู้เย็นเปรียบเสมือนความเย็น หากอยู่ตรงข้ามกัน เปิดตู้เย็น ไอเย็นก็จะไปปะทะกับความร้อนของพวกเตา ดังนั้น ควรจะต้องหลีกเหลี่ยงที่จะให้สองอย่างอยู่ตรงข้ามกัน อาจจะต้อง เบี่ยงตู้เย็นหลบ หรือเบี่ยงเตาอบ เตาไมโครเวฟหลบให้พ้นลักษณะแบบนี้ซะ อย่าให้ประตูเปิดอยู๋ตรงข้ามกัน"          ขอบคุณข้อมูลจาก อ.ธนากร ตันอาวัชนการ ซินแสมังกร
วาบิซาบิ (Wabi-Sabi) เทรนด์แต่งบ้านใหม่ 2018

วาบิซาบิ (Wabi-Sabi) เทรนด์แต่งบ้านใหม่ 2018

ไม่ว่าก่อนหน้านี้จะมีเทรนด์แต่งบ้านอะไรที่น่าสนใจบ้าง แต่ในปีนี้ต้องหลีกทางให้กับเทรนด์วาบิซาบิ ซึ่งเป็นที่กำลังมาแรงสุด ๆ จนเรียกได้ว่าเป็นขวัญใจนักออกแบบกันเลยทีเดียว โดยต้องบอกว่าเทรนด์นี้เป็นทรนด์ที่เหมาะสำหรับคนที่ไม่ชอบความเพอร์เฟค รักความเรียบง่าย และหลงใหลในความเป็นธรรมชาติเอามาก ๆ เพราะคอนเซ้ปต์หลักของวาบิซาบิคือการมองหาความสวยงามในความไม่สมบูรณ์ โดยถ้าหากอยากรู้ว่าจริง ๆ แล้วประโยคนี้คืออะไร มีที่มาที่ไปแบบไหน วันนี้ได้รวบรวมข้อมูลดี ๆ เกี่ยวกับเทรนด์นี้มาฝากแล้วค่ะ     วาบิซาบิ คืออะไร   วาบิซาบิ เป็นเทรนด์การแต่งบ้านแบบใหม่ที่กำลังมาแรงที่สุดในช่วงต้นปี 2018 โดยมีจุดเริ่มต้นมาจากประเทศญี่ปุ่น จึงมีกลิ่นอายความเป็นมินิมอลแฝงอยู่หน่อย ๆ แต่สำหรับวาบิซาบิจะเน้นไปที่ตัวผู้อยู่อาศัยมากกว่าสิ่งของ ส่วนคอนเซ็ปต์หลักของวาบิซาบิก็จะเน้นที่ความเรียบง่ายและเป็นธรรมชาติ โดยมีแนวคิดสำคัญอยู่ที่การมองหาความสวยงามที่ซ่อนอยู่ภายใต้ความไม่สมบูรณ์แบบ หรือเรียกได้ว่าเป็นการยอมรับสิ่งของต่าง ๆ ในแบบที่มันเป็น แล้วนำสิ่งของชิ้นนั้น ๆ กลับมาใช้ประโยชน์ตามจุดมุ่งหมาย โดยไม่ต้องไปหาซื้อสิ่งของชิ้นใหม่มาทดแทน โดยการแต่งบ้านแบบนี้จะไม่มีผิด ไม่มีถูก เพราะขึ้นอยู่กับประโยชน์ ความสวยงาม และประวัติของสิ่งของแต่ละชิ้นนั่นเอง   วาบิซาบิ มีที่มาอย่างไร   เดิมที วาบิซาบิ ไม่ใช่เทรนด์การตกแต่งบ้าน แต่เป็นปรัชญาของญี่ปุ่นที่มีมาตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 15 โดยมีรากฐานมาจากศาสนาพุทธ ซึ่งปรัชญานี้เป็นปรัชญาที่สอนให้เรามองหาความสงบสุขบนโลกที่แสนจะวุ่นวาย การยอมรับในสิ่งที่มีหรือสิ่งที่เป็น มากกว่าเสียเวลาไปกับการหาสิ่งที่ดีกว่า หรือในการแต่งบ้านก็คือสอนให้เรามองหาความสวยงามในความไม่สมบูรณ์จากสิ่งของต่าง ๆ และมีความสุขจากสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ รอบตัว     หลักการแต่งบ้านแบบวาบิซาบิ   คอนเซ็ปต์การแต่งบ้านแบบวาบิซาบิหลัก ๆ มีอยู่ 3 อย่าง คือ - ใช้วัสดุจากธรรมชาติ นักออกแบบส่วนใหญ่จะเลือกใช้สิ่งของที่มาจากธรรมชาติในการตกแต่งแบบวาบิซาบิ เพราะเทรนด์นี้เป็นเทรนด์ที่เน้นความเป็นธรรมชาติ อีกทั้งสิ่งของที่มาจากธรรมชาติยังสามารถเข้ากันได้ดีกับการแต่งบ้านทุกสไตล์เลยด้วย แต่ไม่ว่าสิ่งของต่าง ๆ จะทำมาจากอะไร สิ่งสำคัญที่สุดก็คือมันต้องเป็นของแท้ที่ตรงกับความต้องการของผู้อยู่อาศัย - ทำทุกอย่างให้เรียบง่าย หลักสำคัญสุด ๆ อีกอย่างในวาบิซาบิก็คือความเรียบง่าย แค่ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปอย่างที่มันควรจะเป็น จัดวางทุกอย่างแบบง่าย ๆ เพราะของทุกชิ้นต่างก็มีเอกลักษณ์และความสวยงามในตัวเองอยู่แล้ว - เน้นความไม่เพอร์เฟค ด้วยความที่คอนเซ็ปต์ของวาบิซาบิ คือ การมองหาความสวยงามจากความไม่สมบูรณ์แบบ ฉะนั้นการตกแต่งบ้านแบบนี้จึงเป็นการเปิดโอกาสให้เราได้ใช้ข้าวของที่เก่า แตก หรือมีลักษณะไม่ปกติ มาตกแต่งบ้านได้อย่างสบายใจ รวมถึงยังเป็นการปล่อยให้ข้าวของต่าง ๆ เป็นไปอย่างที่มันควรจะเป็น โดยที่เราไม่ต้องไปยุ่งอะไรมากเลยด้วย แต่ว่ายังไงก็ต้องแยกระหว่างความไม่เพอร์เฟคกับความรกให้ออกด้วยนะคะ     เคล็ดลับแต่งบ้านแบบวาบิซาบิ   1. ซื้อแต่ของที่ใช่ ที่สวย หรือที่ชอบ มาประดับตกแต่งบ้านเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องเลือกของที่เพอร์เฟค ตามเทรนด์ หรือไปหาของเก่า ๆ มาตกแต่งบ้านโดยไม่จำเป็น   2. ใช้สีแบบธรรมชาติหรือสีเอิร์ทโทนในการตกแต่ง เพราะโทนสีนี้จะให้ความรู้สึกที่อบอุ่น ช่วยให้ดูกว้างข้าง และทำให้บรรยากาศดูสงบได้   3. เน้นงานแฮนด์เมดหรือเครื่องปั้นดินเผาที่ไม่ต้องเป๊ะ เพราะสิ่งของพวกนี้เป็นสิ่งของที่ไม่ค่อยสมบูรณ์แบบ แต่กลับมีเสน่ห์และเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทำให้เราสามารถองเห็นความสวยงามจากความไม่เพอร์เฟคเหล่านี้ได้ง่าย ซึ่งก็เข้ากับคอนเซ็ปต์ของวาบิซาบิได้ดี อีกทั้งของประเภทนี้ยังเป็นของพิเศษที่มีแค่ไม่กี่ชิ้นเองด้วย   4. ปล่อยข้าวของต่าง ๆ ไปตามธรรมชาติ เช่น รอยยับบนผ้าม่านหรือผ้าปู ไม่จำเป็นต้องดึงหรือรีดให้เรียบเนี้ยบทุกวัน ปล่อยให้เป็นไปอย่างที่ควรจะเป็นบ้างก็ได้ แต่ยังไงก็ต้องอย่าปล่อยให้รกเกินไปด้วยนะ   5. นำข้าวของเก่ากลับมาใช้ เพราะของเก่า ๆ ที่ใช้กันมาตั้งแต่รุ่นปู่-ยา ตา-ยาย หรือตกทอดมาจากพ่อ-แม่ หรือของเก่านั้น ก็มีเสน่ห์ไปอีกแบบ ไม่จำเป็นต้องขัดให้เงาวิ้ง ถ้าสีจะดูเก่าบ้างก็ไม่เป็นไร   6. ไม่จำเป็นต้องตกแต่งด้วยดอกไม้เสมอไป เพราะกิ่งไม้ที่ร่วงอยู่ ก็สามารถนำมารวม ๆ กันตกแต่งบ้านแบบธรรมชาติได้   7. เปลี่ยนการใช้เครื่องมือที่ทันสมัย มาใช้เครื่องมือแบบธรรมชาติ แม้ว่าเครื่องมือที่ทันสมัยจะเร็วและสะดวกกว่า แต่หากอยากได้บรรยากาศแบบวาบิซาบิล่ะก็ ต้องใช้เครื่องมือที่เรียบง่ายและเป็นธรรมชาติจะเหมาะสุด   8. ผนังแบบธรรมดา เก่า ๆ โทรม ๆ เห็นโครงสร้างเดิม เหมือนสร้างไม่เสร็จ เป็นอะไรที่ดูเข้ากันมากกับสไตล์วาบิซาบิทีเดียว   9. ลดสิ่งของต่าง ๆ ที่ไม่จำเป็นหรือไม่ได้ใช้ลง เก็บไว้แต่สิ่งของที่ต้องใช้หรือสิ่งของที่ทำให้เรามีความสุขก็พอ และที่สำคัญต้องเหลือไว้ให้พอใช้ด้วย   10. ผ่อนคลาย ปล่อยวาง ไม่ต้องคำนึกถึงความเพอร์เฟคอะไรมาก แค่ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปอย่างที่มันควรจะเป็น เท่านี้ก็จะทำให้เรามีความสุขกับสิ่งรอบข้างได้แล้วค่ะ   เรียกได้ว่า วาบิซาบิ เป็นอีกหนึ่งเทรนด์ที่ช่วยให้ความสำคัญกับสิ่งของเดิม ๆ มากขึ้น รวมถึงยังเป็นการเพิ่มคุณค่าให้กับสิ่งของที่ไม่สมบูรณ์แบบต่าง ๆ ได้ด้วย จึงไม่แปลกใจเลยที่ผู้คนและนักออกแบจะชอบเทรนด์นี้ เพราะถือได้ว่าเป็นเทรนด์ที่มีเสน่ห์แปลกใหม่มากจริง ๆ   ขอขอบคุณข้อมูลจาก Kapook ภาพประกอบจาก wijzijnkees , thatkindofwoman , jutehome
เซ้งร้าน เซ้งกิจการ แบบไหนไม่ให้โดนหลอก

เซ้งร้าน เซ้งกิจการ แบบไหนไม่ให้โดนหลอก

การเริ่มต้นธุรกิจใหม่ๆ ให้ติดตลาดและเติบโตเป็นธุรกิจที่ยั่งยืนนั้น มีหลายขั้นตอน อีกทั้งมีความเสี่ยงอยู่ไม่น้อย เพราะไม่รู้ว่าธุรกิจที่คิดใหม่ ลงทุนไปจะประสบผลสำเร็จหรือไม่ ดังนั้น เมื่อมีโอกาสเข้าสวมสิทธิ์ในธุรกิจที่ดำเนินกิจการรุ่งเรืองอยู่แล้ว จึงเป็นการเริ่มต้นแบบก้าวกระโดด แต่ก็มีไม่น้อยที่คนอาศัยความต้องการนี้เป็นช่องทางในการหลอกเซ้งร้าน ทำให้หลายคนเสียเงินฟรี โดยไม่ได้ดำเนินธุรกิจจริง ต้องดูอะไรบ้างจึงไม่เสียเงินฟรี มาดูกัน เซ้งร้าน เซ้งกิจการคืออะไร เมื่อก่อนคนไทยรู้จักคำว่า เซ้ง ในความหมายว่า เช่าซื้อโดยมีกำหนดเวลา และเมื่อหมดสัญญาเช่า ทรัพย์สินนั้นก็จะกลับคืนสู่เจ้าของเดิม เมื่อก่อนอาจทำเพียงกรณีอสังหาริมทรัพย์ ที่อยู่อาศัย แต่ในปัจจุบันเป็นการเซ้งร้าน เซ้งกิจการ และอาจไม่ใช่เจ้าของธุรกิจ เปิดให้เซ้ง แต่เป็นการเซ้งต่อจากผู้เซ้งเดิมที่ยังไม่หมดสัญญาเช่าซื้อ   เซ้งกิจการแบบไหนไม่ให้โดนหลอก กิจการที่นิยมเซ้งร้านกันได้แก่พวกร้านเสื้อผ้า ร้านอาหาร ร้านกาแฟ ในห้างสรรพสินค้า รวมถึงร้านคาร์แคร์ก็มีเซ้งเหมือนกัน ก่อนตัดสินใจจ่ายเงินเซ้งกิจการ สิ่งที่ต้องพิจารณา คือ 1. คนที่ให้เซ้งมีสิทธิในร้านหรือกิจการนั้นจริงหรือไม่ อย่าเชื่อเพียงคำพูด ต้องดูเอกสารสิทธิ์   2. เป็นการเซ้งกิจการที่มีสัญญาเช่าเดิมอยู่หรือไม่ และต้องดูเงื่อนไขในสัญญาเดิมด้วยว่า อนุญาตให้เซ้งต่อได้หรือไม่ เพราะหากในสัญญาเดิมไม่อนุญาตให้เซ้งต่อ แต่เราไปเซ้งต่อ เจ้าของที่แท้จริงอาจบอกเลิกสัญญา และเราที่เป็นคนเซ้งต่อก็หมดสิทธิในร้านไปด้วย เพราะคนเก่าผิดสัญญา เจ้าของเลิกได้ หลายคนที่ถูกหลอกในเงื่อนไขเหล่านี้ คือ เสียเงินค่าเซ้งไปแล้ว แต่ไม่ได้ดำเนินธุรกิจ เพราะคนเซ้งต่อผิดสัญญา เจ้าของเลยเลิกให้เช่า แต่เสียค่าแป๊ะเจี๊ยะ (เงินกินเปล่า) ไปแล้ว   3. หากเป็นการเช่าช่วงที่สามารถทำได้ตามสัญญา ต้องประเมินในเรื่องของ เงินกินเปล่า ที่ต้องจ่ายให้ผู้เซ้งต่อ กับเงินที่ต้องจ่ายให้เจ้าของที่แท้จริง ประเมินโอกาสที่จะดำเนินธุรกิจให้ได้กำไรคุ้มทุนหรือไม่ นั่นคือ ต้องมีการเช็คให้ดีว่า ร้านค้าที่เซ้งต่อมานั้น เป็นธุรกิจที่ไปต่อได้ หรือถูกหลอกให้เซ้งแล้วรับภาระการขาดทุนต่อ ดังนั้น จึงต้องมีการลงพื้นที่จริง เพื่อประเมินสถานการณ์จริง รู้ถึงปัจจัยที่จะทำให้ธุรกิจไปต่อได้ นั่นคือ ต้องมีความถนัดในธุรกิจนั้นอยู่ด้วย   ความไม่รอบคอบในการเซ้งร้าน เซ้งกิจการ หรือเชื่อใจคนมากเกินไป อาจถูกหลอกให้เสียเงินเปล่า โดยไม่มีธุรกิจทำได้จริง เกี่ยวการทำธุรกิจ ประกอบกิจการ เปิดแนวคิด “บดินทร์ธร” อีก 4 ปีจะพาอสังหาฯ ตระกูล “จึงรุ่งเรืองกิจ” สู่บริษัทมหาชน สยามพิวรรธน์ ประกาศจุดยืน “ผู้นำแห่งเศรษฐกิจสร้างสรรค์” (Creative Economy) นำไทยยิ่งใหญ่บนเวทีโลก สิงห์ เอสเตท ปั้นแบรนด์สู่ความพรีเมียมระดับโลก เดินหน้าIPO ธุรกิจโรงแรมครั้งแรก
ฮวงจุ้ยการวางตำแหน่งเตาครัว กับอ่างล้างจาน

ฮวงจุ้ยการวางตำแหน่งเตาครัว กับอ่างล้างจาน

อ.ธนากร แนะนำว่า "หลายๆ คน มักจะมองข้ามการวางเตาครัวไว้ติดกับซิ้งค์อ่างล้างจาน ซึ่งจริงๆ แล้วหากวางติดกัน จะทำให้ความสัมพันธ์ของคนในบ้าน หรือคอนโด ไม่ค่อยจะดี ผัวเมียทะเลาะกันบ่อย เหมือนน้ำกับไฟเจอกัน ดังนั้นอาจจะต้องเลือกตำแหน่งการวางเตาครัว เช่น หากเรามีซิ้งค์ล้างจานอยู่ แล้วซิ้งค์ล้างจานเป็นแบบที่มีฐานวางจาน ให้นำเตาไปวางเลยด้านที่มีฐานวางจานไป "อย่านำไปวางด้านที่เป็นอ่างเด็ดขาด" ฐานวางจานจะเป็นสิ่งที่กั้นอยู่ระหว่างอ่างล้างจานที่เป็นน้ำ กับเตาครัวที่เป็นไฟทันที สิ่งที่ไม่ดี และปัญหาก็จะหายไป หลังจากที่ทราบแล้ว ลองไปดูเตาครัวกับอ่างล้างจานที่บ้านคุณดูเลย รีบปรับเปลี่ยนให้ตรงตามฮวงจุ้ย อยู่ดีมีสุขเลยนะครับ" ฮวงจุ้ย อยู่ดีมีสุข - อย่าวางเตาครัวติดกับอ่างล้างจานเด็ดขาด น้ำกับไฟปะทะกันมีแต่เสียหาย  ขอบคุณข้อมูลจาก อ.ธนากร ตันอาวัชนการ ซินแสมังกร
ต้องรู้อะไรบ้าง ซื้อคอนโดแล้วไม่เสียสิทธิ์

ต้องรู้อะไรบ้าง ซื้อคอนโดแล้วไม่เสียสิทธิ์

ในการตัดสินใจเลือกซื้อคอนโดมิเนียม หรืออาคารชุดนั้น มีสิ่งที่ต้องคำนึงถึงเพื่อเป็นการรักษาสิทธิ์ ธนันทร์เอก หวานฉ่ำ กรรมการผู้จัดการบริษัท อินเตอร์ เรียลตี้แมเนจเม้นท์ (IRM) และอดีตนายกสมาคมบริหารทรัพย์สินแห่งประเทศไทย มีคำแนะนำในเรื่องควรรู้     ปัจจุบันที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดได้รับความนิยมเป็นอย่างมากสำหรับคนกรุงเทพฯ เนื่องจากการตอบรับไลฟ์สไตล์ได้อย่างลงตัว ทำให้เกิดอาคารใหม่ๆ โดยเฉพาะแนวรถไฟฟ้าจำนวนมากและคอนโดเกิดใหม่เหล่านี้มั้งที่ขายได้หมดแล้ว และขายได้เพียงบางส่วน เข่น ขายได้เพียง 20% และอีก 80% เป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ประกอบการซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาเรื่องการจัดเก็บค่าใช้จ่ายที่อาจทำให้ผู้บริโภคเสียเปรียบหากไม่ทราบว่าต้องรู้อะไรบ้างเมื่อตัดสินใจซื้อคอนโด โดยเฉพาะเรื่องค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่นำมาใช้ในการบริการจัดการภายในอาคาร   สำหรับค่าใช้จ่ายส่วนแรกที่ผู้ซื้อคอนโดจะต้องเตรียมก็คือ เงินกองทุน ซึ่งกฎหมายระบุว่าเงินกองทุนมีไว้เพื่อซ่อมแซมส่วนกลางโดยเฉพาะการบำรุงรักษาที่มีค่าใช้จ่ายสูง เช่น ซ่อมแซมหรือเปลี่ยนอุปกรณ์ลิฟต์โดยสาร หรือการทาสีใหม่ทั้งอาคาร เงินกองทุนนี้จะเก็บประมาณ 10 เท่าของค่าส่วนกลาง เช่น หากต้องจ่ายค่าส่วนกลางในอัตรา 50 ต่อ ตรม.ผู้อยู่อาศัยจะต้องจ่ายค่ากองทุน 500 บาทต่อ ตรม. ซึ่งต้องจ่ายนอกเหนือจากราคาห้องที่ซื้อ เช่น ซื้อคอนโดขนาด 40 ตรม. จะต้องจ่ายค่ากองทุนจำนวน 20,000 บาท (40x500) ผู้ซื้อคอนโดจะต้องเตรียมเงินส่วนนี้ไว้ โดยทางผู้ขายจะชี้แจงเรื่องนี้อยู่แล้ว   นอกจากนี้แล้ว ยังต้องมีค่าส่วนกลางซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายและค่าบริการต่างๆ ประจำเดือน เช่น เงินเดือนพนักงาน แม่บ้านธุรการ รวมทั้งรายจ่ายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการบำรุงรักษาส่วนกลางของอาคาร ปกติแล้วค่าใช้จ่ายส่วนนี้จะมีการเก็บล่วงหน้า 1-2 ปี ขึ้นอยู่กับนโนบายของแต่ละอาคารสำหรับค่าส่วนกลางนั้นคำนวณจากพื้นที่ห้องแล้วคูณด้วยอัตราค่าจัดเก็บ เช่น พื้นท่ 40 ตร.ม. ค่าส่วนกลางตารางเมตรละ 50 บาท (40x50x12=24,000 บาท)   ทั้งนี้ปัญหาที่เกิดขึ้นกับการจัดเก็บค่าส่วนกลางที่ผ่านมา ไม่สามารถเก็บจากห้องที่ยังไม่ได้ขายได้ซี่งอาจมีมากถึง 80% ของจำนวนห้องทั้งหมด ซึ่งตามกฎหมายระบุว่า หลังจากที่จดทะเบียนนิติบุคคลแล้ว ห้องที่ยงขายไม่หมดผู้ประกอบการในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์จะต้องรับผิดชอบค่าส่วนกลาง แต่ส่วนใหญ่มักบ่ายเบี่ยงหรือมีการอนุโลมขอจ่ายเป็นรายเดือนได้ 1 ปี หลังจากนั้นจะต้องจ่ายทั้งหมดเข้าบัญชีของนิติบุคคล หรือให้นิติบุคคลคิดเบี้ยปรับการชำระค่าส่วนกลางล่าช้าส่วนเงินกองทุนนั้นจะจ่ายเมื่อโอนกรรมสิทธิ์ได้แล้ว ซึ่งปัญหานี้ผู้ซื้อคอนโดส่วนใหญ่ไม่ทราบข้อมูลทำให้เสียเปรียบและเสียโอกาสที่จะได้รับดอกเบี้ยจากธนาคารเนื่องจากในช่วงแรกผู้ประกอบการมักใช้บริษัทในเครือทำหน้าที่บริหารทรัพย์สินของอาคาร ดังนั้น ผู้บริโภคควรศึกษาข้อมูลเพื่อป้องกันมิให้เสียสิทธิ์ในการอยู่อาศัยในอาคารชุด   ข้อมูลจาก ศุนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ http://www.reic.or.th

1 ... 8 9 10 ... 16