เน็กซัสเผย 7 ประเด็นอสังหาฯ Q1 + แนวโน้มธุรกิจหลังการเลือกตั้ง

แม้ตอนนี้ประเทศไทยยังไม่มีการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ขึ้นมาบริหารประเทศ แต่ก็ถือว่าการเมืองไทยมีความชัดเจนขึ้นระดับหนึ่ง เพราะได้จัดให้มีการเลือกตั้งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ประเด็นเรื่องการเมือง ต้องยอมรับว่าส่งผลกระทบต่อความมั่นใจของคนไทยทั้งประเทศ  เพราะการเมืองมีความเชื่อมโยงไปในทุกเรื่อง ในแวดวงอสังหาริมทรัพย์ การเมืองไทยก็ส่งผลทั้งกลุ่มผู้ประกอบการ ที่จะพัฒนาโครงการออกมาขาย และผู้บริโภคที่จะตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัย

 

ขณะที่ช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา ก็มีข่าวยังมีข่าวมาตรการ LTV ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)  ซึ่งเริ่มใช้ตั้งแต่วันที่1 เมษายน 2562 เป็นต้น ไป ก็ถือเป็นอีกปัจจัยสำคัญมีผลต่อภาพรวมของตลาดอสังหาฯ  บ้านเรา ว่าจะไปในทิศทางไหน จะดีหรือจะร้าย? โดยเฉพาะถ้าหากมีรัฐบาลชุดใหม่ออกมาแล้ว จะมีมาตรการอะไรออกมาช่วยกระตุ้นให้เศรษฐกิจเติบโต โดยใช้ธุรกิจอสังหาฯ เป็นตัวกระตุ้นเหมือนในอดีตที่ผ่านมาหรือไม่ ก็ยังเป็นปัจจัยที่ต้องจับตามองด้วยเช่นกัน

 

ล่าสุด นางนลินรัตน์ เจริญสุพงษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เน็กซัส พรอพเพอร์ตี้ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด หรือ “เน็กซัส” ได้เปิดออกมาเผยผลวิจัยตลาดอสังหาริมทรัพย์ไตรมาสแรกที่ผ่านมา พบว่า ยังคงเติบโตอย่างมีเสถียรภาพมากขึ้น พร้อมกับประเมินแนวโน้มของตลาดหลังจากที่ประเทศไทยได้จัดการเลือกตั้ง  ในช่วงที่ผ่านมา  โดยมี 7 ประเด็นสำคัญที่เกิดขึ้น

Areeya Como วงแหวน-รามอินทรา

 

1.คอนโดฯ เปิดใหม่ลด 20%

ช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ คอนโดมิเนียมเปิดใหม่เข้าสู่ตลาดมีจำนวนทั้งสิ้น 11,300 หน่วย จาก 30 โครงการ  เป็นปริมาณคอนโดฯ​ ที่เปิดตัวเข้าสู่ตลาดลดลงประมาณ 20%เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว แม้ว่าจะเปิดน้อยลง แต่ผู้ประกอบการก็ยังขายได้อย่างต่อเนื่อง โดยมีอัตราการขายก็ยังอยู่ในอัตรา 60%

 

2.โซนยอดฮิตเปิดตัวมากที่สุด

ทำเลที่เปิดตัวคอนโดฯ มากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ 1.โซนพระโขนง สวนหลวง แบริ่ง  จำนวน ​2,400 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 21% 2.โซนพญาไท รัชดาภิเษก จำนวน  1,938  ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 17% 3.โซนลาดพร้าว วังทองหลาง จำนวน 1,580 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 14%

 

 

Areeya Como วงแหวน-รามอินทรา

3.ซิตี้คอนโดเปิดเยอะสุด

ภาพรวมของการเปิดตัวในไตรมาสแรก จะพบว่าคอนโดมิเนียมที่เปิดตัวเป็นกลุ่มซิตี้คอนโดฯ  ที่มีราคาต่อตารางเมตรไม่เกิน 75,000 บาท และ ตลาดกลาง หรือ mid market ที่มีราคาต่อตารางเมตรไม่เกิน 100,000 บาทรวมกันมากถึง 75% ของจำนวนหน่วยที่เปิดใหม่ทั้งหมด หรือมีจำนวนประมาณ 8,500 ยูนิต แสดงให้เห็นถึงการปรับตัวของผู้ประกอบการ ในการพัฒนาสินค้าให้สอดคล้องกับความต้องการที่แท้จริงมากขึ้น

 

4.ดีเวลลอปเปอร์หน้าใหม่เข้าสู่ตลาดมากขึ้น

ช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา ฝั่งผู้ประกอบการยังคงมีความเชื่อมั่นในตลาดอสังหาริมทรัพย์ เห็นได้จากจำนวนผู้ประกอบการหน้าใหม่ ซึ่งบางรายเป็นรายเล็กๆ เข้ามาพัฒนาโครงการเป็นครั้งแรก รวมถึงผู้ประกอบการที่อยู่นอกตลาดหลักทรัพย์ก็พัฒนาโครงการเพิ่มขึ้น จากปกติมีสัดส่วน 30% เพิ่มขึ้นเป็น 47%

 

Areeya Como วงแหวน-รามอินทรา

 

5.ราคาคอนโดฯ ลดลง 1%

การเปิดตัวโครงการใหม่ในช่วงไตรมาสแรก ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของคอนโดฯ​ ที่เน้นไปตลาดกลางมากขึ้น  ส่งผลให้คอนโดฯ​ ที่อยู่ในตลาดกรุงเทพฯ มีราคาเฉลี่ยปรับตัวลงเล็กน้อยประมาณ 1%อยู่ที่ 139,400 บาทต่อตารางเมตร เมื่อเทียบกับปลายปีที่แล้วอยู่ที่ 140,600 บาทต่อตารางเมตร  ซึ่งราคาเฉลี่ยของคอนโดฯ ในทุกๆ ทำเลได้มีการปรับตัวลงเล็กน้อยเช่นเดียวกัน  แต่ถือว่าไม่ได้ส่งผลอย่างมีนัยสำคัญต่อ ภาพรวมราคาของตลาด  เพราะคอนโดฯ ที่เปิดใหม่อยู่ในทำเลที่ไกลออกไปเท่านั้น

 

6.การเมืองไม่กระทบตลาดคอนโดฯ

แม้ว่าตอนนี้ยังจะไม่มีการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ออกมาบริหารประเทศ แต่ปัญหาการเมืองก็ไม่ได้ส่งผลต่อตลาดคอนโดฯ​โดยเฉพาะในเรื่องการเปลี่ยนแปลงของราคา  สิ่งที่จะมีผลต่อตลาดคอนโดฯ นั้น จะเป็นเรื่องนโยบายของรัฐบาลที่จะออกมากระตุ้นตลาดคอนโดฯ มากกว่า  โดยเฉพาะตลาดคอนโดฯ​ มือสอง  ยิ่งถ้ามีมาตรการประเภทลดภาษี หรือค่าธรรมเนียมต่างๆ จะทำให้เกิดดีมานด์เพิ่มมากขึ้นด้วย ซึ่งถ้ามีมาตรการต่างๆ ออกมากระตุ้นตลาดจริง ตลาดคอนโดฯ น่าจะมีดีมานด์ไปถึง 60,000-70,000ยูนิต จากสถานการณ์ปกติที่คาดว่าจะมีดีมานด์มาซื้อคอนโดฯ ประมาณ 50,000 ยูนิต

 

7.ต่างชาติเชื่อมั่นอสังหาฯ หลังไทยมีเลือกตั้ง

หลังจากประเทศไทยจัดให้มีการเลือกตั้งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว  ถือเป็นสัญญาณบวกที่ดี ต่อกลุ่มนักลงทุนต่างชาติเกิดความเชื่อมั่นต่อตลาดอสังหาฯ ในไทยมากขึ้น  ต่อไปนี้คงมีเข้ามาลงทุนมากขึ้นเช่นกัน แต่แนวโน้มการลงทุนของกลุ่มนักลงทุนต่งชาติ  น่าจะเป็นตลาดในกลุ่มราคาที่จับต้องได้มากขึ้น  ไม่จำกัดเฉพาะตลาดไฮเอนด์เท่านั้น

 

“ทิศทางธุรกิจอสังหาฯ หลังการเลือกตั้ง  การพัฒนาสินค้าใหม่เทรนด์ยังคงเป็นตลาดกลุ่มซิตี้คอนโด และตลาดกลางมากขึ้น แต่ยังคงเห็นคอนโดฯ  ในตลาดไฮเอนด์และลักซูรี่ที่น่าสนใจ เกิดขึ้นอีกหลายโครงการ จากผู้ประกอบการในตลาดหลักทรัพย์ที่ได้ซื้อที่ดินไปแล้วตั้งแต่ช่วงปีที่แล้วสินค้าในกลุ่มนี้คงน่าสนใจในแง่การพัฒนาความหรูหราแนวใหม่ที่ตอบรับกับไลฟ์สไตล์ลักซูรี่ที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา โดยจะมุ่งเน้นประสบการณ์และเทคโนโลยีมากขึ้น  ปีนี้ประเมินว่าราคาเฉลี่ยคอนโดฯ  ในตลาดปรับตัวสูงขึ้นไม่น่าจะเกิน 5-6% จากปัจจัยต่างๆ ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อ มาตรการ LTV ตลาดหลักที่มีความต้องการแท้จริงเป็นกลุ่มตลาดซิตี้คอนโดฯ”

 

 

 

บทความ ข่าวโปรโมชั่น ล่าสุด