Tag : การปล่อยสินเชื่อ

2 ผลลัพธ์
แสนสิริ ผนึกธนาคารออมสิน เปิดตัว “HomeForLife” สินเชื่อที่อยู่อาศัยแห่งปี 2019

แสนสิริ ผนึกธนาคารออมสิน เปิดตัว “HomeForLife” สินเชื่อที่อยู่อาศัยแห่งปี 2019

แสนสิริ ผนึกธนาคารออมสิน ฉีกกรอบทุกนวัตกรรมสินเชื่อที่อยู่อาศัย เปิดตัว “HomeForLife” สินเชื่อที่อยู่อาศัยแห่งปี 2019 ครั้งแรกในไทยที่ผสาน 2 จุดเด่น ได้บ้านพร้อมการวางแผนการเงินในแพคเกจเดียว   แสนสิริ จับมือธนาคารออมสิน เปิดตัว “HomeForLife” นวัตกรรมสินเชื่อที่อยู่อาศัยของ ปี 2019 ครั้งแรกในไทยที่ผสานจุดเด่น กู้ง่าย-ผ่อนสบาย-มีรายได้หลังเกษียณได้บ้านพร้อมการวางแผนการเงินในแพคเกจเดียว ตอบโจทย์ลูกค้า Smart Consumer ซึ่งต้องวางแผนทางการเงินที่มั่นคงสำหรับทุกช่วงชีวิต ตั้งเป้าลูกค้าแสนสิริใช้บริการสินเชื่อจากธนาคารออมสินมูลค่าเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 50%   นายวันจักร์ บุรณศิริ ประธานผู้บริหารสายงานการเงินและสนับสนุนธุรกิจ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ถึงแม้ว่าภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปี 2562 มีปัจจัยที่ส่งผลกระทบรอบด้าน อย่างไรก็ตามที่อยู่อาศัยยังคงเป็นปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญและยังคงมีความต้องการอยู่อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มลูกค้าที่ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง ซึ่งต้องการที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพทั้งด้านการออกแบบที่สวยงาม ฟังก์ชั่นที่อำนวยความสะดวกต่อการใช้งานจริง และบริการที่ช่วยสนับสนุนการอยู่อาศัยซึ่งตอบโจทย์การใช้ชีวิตอย่างลงตัว ซึ่งตรงกับแบรนด์ที่แข็งแกร่ง และแนวทางการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยของแสนสิริ ทั้งการพัฒนาโครงการคุณภาพ ควบคู่กับการพัฒนานวัตกรรมเพื่อการใช้ชีวิตรูปแบบใหม่ๆ ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเข้าใจถึงความต้องการของลูกค้าในยุคปัจจุบันที่มีไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต และรูปแบบสังคมที่เปลี่ยนไป เพื่อมุ่งเติมเต็มประสบการณ์การอยู่อาศัยให้กับลูกค้าอย่างสมบูรณ์แบบ (complete your living experience) ทำให้แสนสิริมีความเชื่อมั่นว่าปีนี้จะเป็นอีกปีที่ดีในการเติบโตของบริษัทอย่างยั่งยืน   ล่าสุดบริษัทได้มองเห็นเทรนด์ที่น่าสนใจในเรื่องของการวางแผนทางการเงินเพื่อความมั่นคงในระยะยาวจากการประเมินของมูลนิธิสถานบันวิจัยและพัฒนา ผู้สูงอายุที่ระบุว่ากลุ่มคนอายุ 25-55 ปี ให้ความสำคัญกับการวางแผนทางการเงินให้เพียงพอสำหรับการเกษียณอายุในอนาคตถึง 55% ซึ่งแสดงให้เห็นว่าคนไทยในยุคปัจจุบันโดยเฉพาะในกลุ่ม Smart Consumer หันมาวางแผนการเงินระยาวอย่างชาญฉลาดกันมากขึ้นเพื่อบรรลุเป้าหมายในการมีอิสระทางการเงินได้เร็วยิ่งขึ้น     ด้วยความเข้าใจถึงความต้องการของผู้บริโภคกลุ่ม Smart Consumer ที่ต้องการมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง ควบคู่กับการมีอิสระทางการเงินหลังเกษียณ ทำให้บริษัทได้ร่วมกับธนาคารออมสินในการพัฒนาผลิตภัณฑ์สินเชื่อ “HomeForLife” ซึ่งนับเป็นนวัตกรรมทางการเงินรูปแบบใหม่ที่มีจุดเด่นจากการผสมผสานระหว่างสินเชื่อเพื่อซื้อที่อยู่อาศัยในรูปแบบปกติ และ Reverse Mortgage ที่จะช่วยสร้างความมั่นคงทางการเงินในทุกช่วงชีวิตโดยภายหลังอายุ 60 ปีลูกค้าสามารถนำที่อยู่อาศัยที่มีกรรมสิทธิ์และปลอดภาระหนี้วางเป็นหลักประกันกับธนาคารออมสินเพื่อเปลี่ยนเป็นรายได้ โดยเลือกรับเป็นรายเดือน หรือก้อนใหญ่ โดยผู้กู้ยังคงมีกรรมสิทธิ์ในที่อยู่อาศัยนั้นตลอดช่วงชีวิต ซึ่งเป็นการวางแผนชีวิตเพื่ออนาคตระยะยาวและสร้างความมั่นคงทางการเงินได้อย่างลงตัว   “แสนสิริเชื่อมั่นว่าจุดเด่นของสินเชื่อ “HomeForLife” จะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าเซกเมนต์ผู้ซื้อที่อยู่อาศัยในระดับราคาตั้งแต่ 1-20 ล้านบาท ทำให้ลูกค้าในทุกช่วงวัยสามารถตัดสินใจซื้อบ้านได้ง่ายขึ้น ด้วยภาระการผ่อนชำระที่สบายกว่าเดิม ทั้งยังสามารถใช้เป็นแหล่งสร้างรายได้ไปได้ตลอดชีวิต ตั้งเป้าลูกค้าแสนสิริใช้บริการสินเชื่อจากธนาคารออมสินมูลค่าเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 50% ภายในระยะเวลาหนึ่งปีจากการเปิดตัวสินเชื่อนี้ นอกจากนี้ยังเชื่อว่าจากปัจจัยสนับสนุนของการเปิดตัวสินเชื่อ “HomeForLife” ในช่วงนี้ จะช่วยสนับสนุนการขายในแคมเปญ “โปรหมดเปลือก” ซึ่งนำเสนอโครงการที่อยู่อาศัย ทั้งบ้านเดี่ยว คอนโดมิเนียมและทาวน์เฮาส์ พร้อมอยู่กว่า 30 โครงการทั่วประเทศ มอบข้อเสนอสุดพิเศษครอบคลุมโครงการที่อยู่อาศัยทุกเซ็กต์เม้นต์ ตั้งแต่วันนี้จนถึง 15 มีนาคม 2562  โดยยังได้เตรียมจัดงานขายภายใต้แคมเปญ “โปรหมดเปลือก” สำหรับลูกค้าที่ต้องการที่อยู่อาศัยใหม่ ในวันที่ 8 -10 กุมภาพันธ์ 2562 นี้ที่แฟชั่นฮอลล์ ชั้น 1 สยามพารากอนอีกด้วย ผู้ที่สนใจ “HomeForLife” นวัตกรรมสินเชื่อที่อยู่อาศัย สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ในวันงาน     นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อำนวยการ ธนาคารออมสิน กล่าวว่า “สินเชื่อ “HomeForLife” นับเป็นนวัตกรรมทางการเงินรูปแบบใหม่ที่เกิดขึ้นจากการร่วมมือกันครั้งแรกระหว่างผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์และสถาบันการเงินที่เข้าใจความต้องการของผู้บริโภคที่ฉลาดวางแผนทางการเงิน ซึ่งโดยปกติเงื่อนไขของสินเชื่อแบบ Reverse Mortgage จะปล่อยกู้ให้กับผู้สูงอายุที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป ซึ่งจะนำที่อยู่อาศัยที่ตนมีกรรมสิทธิ์ และปลอดภาระหนี้มาเปลี่ยนเป็นรายได้ในการดำรงชีพทั้งแบบเงินก้อนและรายเดือนแต่สำหรับแพคเกจสินเชื่อ “HomeForLife” นับเป็นการสร้างจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญให้กับการตัดสินใจกู้เงิน   เพื่อซื้อที่พักอาศัยของคนไทยให้ล้ำหน้าขึ้นไปอีกขั้น ด้วยการนำ Reverse Mortgage มาผสมผสานสินเชื่อเพื่อการซื้อที่อยู่อาศัยในรูปแบบปกติ สำหรับการซื้อที่อยู่อาศัยในโครงการของแสนสิริทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม และคอนโดมิเนียมด้วยอัตราการผ่อนชำระที่ต่ำกว่าปกติ เมื่อผู้กู้มีอายุครบ 60 ปี และที่อยู่อาศัยนั้นปลอดภาระหนี้แล้ว ธนาคารออมสินจะประเมินมูลค่าที่อยู่อาศัยจริง ณ ขณะนั้นเพื่อกำหนดวงเงินสินเชื่อแบบย้อนกลับ โดยผู้กู้สามารถเลือกรับเป็นเงินก้อนหรือเงินงวดรายเดือนและหากผู้กู้อายุครบ 60 แล้วแต่สถานะที่อยู่อาศัยยังไม่ปลอดภาระหนี้ยังสามารถขอเบิกเงินสินเชื่อแบบ Reverse Mortgage งวดแรกในอัตรา 10% เพื่อนำมาโปะปิดภาระหนี้ของที่อยู่อาศัยที่ยังเหลืออยู่ได้อีกด้วย โดยสินเชื่อ “HomeForLife เหมาะสำหรับลูกค้าทุกวัยด้วยระยะผ่อนชำระที่นาน ทำให้ผู้กู้สามารถรับรายได้จากเงินกู้นานสูงสุดจนถึงอายุ 85 ปี (โดยกำหนดระยะเวลาของการกู้เพื่อซื้อที่อยู่อาศัยตามปกติสูงสุดถึง 30 ปี และกำหนดระยะเวลาของการกู้แบบย้อนกลับแบบ Reverse Mortgage สูงสุดถึง 25 ปี) เมื่อครบกำหนดสัญญาแล้วหากผู้กู้ยังมีชีวิตอยู่ ธนาคารจะหยุดจ่ายเงินกู้ โดยผู้กู้ยังคงมีกรรมสิทธิ์ในที่อยู่อาศัยนั้นตลอดชีวิต หรือทำเรื่องกู้เพิ่มเติม หากผู้กู้เสียชีวิต ทายาทของผู้กู้สามารถไถ่ถอนที่อยู่อาศัยนั้นได้ ภายใต้เงื่อนไขการเจรจากับธนาคาร”   “สำหรับประโยชน์ที่ชัดเจนสำหรับผู้กู้คือ สามารถเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยของตัวเองได้ง่ายขึ้น พร้อม ๆ ไปกับการสร้างความมั่นคงในทุกช่วงวัยของชีวิตอย่างสมบูรณ์แบบและไร้กังวล ด้วยอัตราการผ่อนชำระที่ต่ำกว่าปกติ ผ่อนสบายขึ้น ลดภาระในช่วงวัยทำงานและช่วงชีวิตที่กำลังสร้างครอบครัว ทำให้ผู้กู้สามารถมีวงเงินกู้ที่มากขึ้น สามารถเลือกขยายงบประมาณได้ตรงกับความต้องการในการซื้อที่อยู่อาศัยได้มากขึ้น อีกทั้งยังมีความยืดหยุ่นเปิดโอกาสให้ผู้กู้หรือทายาทไถ่ถอนที่อยู่อาศัยนั้นได้ในทุกๆช่วงสัญญา ขณะเดียวกันก็เป็นการเตรียมตัวสร้างความมั่นคงทางการเงินหลังเกษียณ ด้วยรายได้ที่จะช่วยเติมเต็มการใช้ชีวิตและเป็นค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมจนถึงอายุ 85 ปี ซึ่งเป็นการเสริมสร้างหลักประกันให้ชีวิตแก่ประชาชน และบรรเทาภาระงบประมาณภาครัฐด้านสวัสดิการชราภาพ”   “โดยธนาคารออมสินคาดว่านวัตกรรมทางการเงินรูปแบบใหม่นี้จะกลายเป็นทางเลือกใหม่และเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้ผู้บริโภควัยทำงานในยุคปัจจุบันวางแผนทางการเพื่ออนาคตในระยะยาวอย่างมีประสิทธิภาพ ในขณะที่ธนาคารเองก็สามารถตัดสินใจปล่อยกู้ได้ง่ายขึ้นด้วยหลักประกันที่มั่นคง และสร้างโอกาสให้ธนาคารสามารถนำสินเชื่อแบบ Reverse Mortgage และสินเชื่อต่าง ๆ ของธนาคารเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่กว้างขึ้น” นายชาติชายกล่าว   แสนสิริ มอบสิทธิการเลือกใช้สินเชื่อ“HomeForLife”สำหรับลูกค้าที่ซื้อโครงการแสนสิริทุกโครงการได้แล้ววันนี้ โดยผู้สนใจสามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดได้ที่ โทร.02-299-8000 ต่อ 211170-72            
มาตรการ LTV ผลกระทบตกที่ใคร?

มาตรการ LTV ผลกระทบตกที่ใคร?

ตั้งแต่ช่วงปลายปีที่ผ่านมาในบ้านเราก็มีกระแสออกมาวิพากษ์วิจารณ์กันไม่น้อย เกี่ยวกับมาตรการกำกับดูแลสินเชื่อที่อยู่อาศัย หรือ LTV (Loan to Value) ที่ทางธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ออกมาประกาศให้เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 เมษายน 2562 ที่กำลังจะมาถึงนี้ (แต่จริงๆ เคยออกมาตรการนี้มาแล้ว 4 ครั้ง ซึ่งครั้งนี้เป็นครั้งที่ 5) เพราะต่างก็ได้รับผลกระทบกันถ้วนหน้า ทั้งกลุ่ม Developer กลุ่มนักลงทุน และผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยเอง แต่ใครจะได้รับผลกระทบไปในทิศทางไหนบ้าง ลองมาช่วยกันมองไปพร้อมๆ กันค่ะ     ก่อนอื่นเรามาดูมาตรการนี้กันคร่าวๆ ก่อนค่ะ   Cr.ภาพจากธนาคารแห่งประเทศไทย   เหตุผลหลักของการประกาศใช้มาตรการ LTV มาจากหนี้เสีย (NPL) เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งตั้งแต่ช่วงปี 2560 ตัวเลขออกมาสูงขึ้นในทุกๆ ไตรมาส แซงหน้าสินเชื่อประเภทอื่น รวมถึงซัพพลายคอนโดมิเนียมที่เพิ่มสูงขึ้น รวมถึงการพยายามสกัดกลุ่มผู้ลงทุน ทุกอย่างประกอบกันก็เพื่อบริหารความเสี่ยงของธนาคารพาณิชย์ให้ดีขึ้น และเพื่อสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ   ก่อนหน้านี้คงจะเคยได้ยินคำชวนเชื่อสำหรับนักลงทุนอสังหาฯ หน้าใหม่อย่าง “ลงทุนอสังหาฯ 0 บาท” “จับเสือมือเปล่า” หรืออะไรทำนองนี้กันมาบ้างใช่ไหมคะ ต่อไปอะไรแนวนี้ก็คงจะค่อยๆ หายไปค่ะ เพราะมาตรการที่ว่านี้ไม่เอื้อต่อนักลงทุนรายย่อยเอาเสียเลย เพราะในเมื่อการลงทุนซื้อคอนโดมิเนียมสักยูนิตจะต้องใช้เงินดาวน์ถึง 20-30%  สำหรับกลุ่มรายย่อยนี้ก็คงน้อยคนที่จะยอมควักเงินหลักแสนเพื่อซื้อคอนโดแล้วนำมาปล่อยเช่าที่ก็มีความเสี่ยงสูงอยู่ไม่น้อยเช่นกัน จริงไหมคะ? ไหนจะค่าตกแต่งห้อง ค่านายหน้าที่หาลูกค้ามาเช่าห้อง ค่าดูแลจิปาถะ แล้วถ้ามีช่วงที่ไม่มีคนเช่าห้องอีกล่ะ เอาเป็นว่าสำหรับนักลงทุนหน้าใหม่ หากทุนน้อยอยู่แล้วก็เลิกฝันถึงการลงทุน 0 บาทไปได้เลยค่ะ       ในทางกลับกันกลุ่มนักลงทุนรายใหญ่ ที่มีความชำนาญในตลาดนี้มาหลายต่อหลายปี ก็ย่อมที่จะมีเงินก้อนนี้มาหมุนเวียนลงทุนไม่ว่าจะเล่นแบบซื้อมาขายไปเก็งกำไร หรือปล่อยเช่าในโครงการระดับกลาง-สูงก็ตาม แต่ในระยะหลังมานี้วงการคอนโดมิเนียมผ่านจุดที่เรียกว่าหวือหวาที่สุดมาแล้ว ฉะนั้นการเล่นแบบระยะสั้นจึงทำได้ยากขึ้น (แต่ถ้าโครงการดี ยูนิตสวยจริงๆ ยังไงก็ขายต่อได้ราคาดีอยู่นะคะ) ทุกวันนี้จึงนิยมการปล่อยเช่ากันมากกว่า     สำคัญที่สุดคือกลุ่ม Real Demand ที่ในปีนี้ต้องเจอกับดอกเบี้ยที่เพิ่มสูงขึ้น ธนาคารปล่อยกู้ยากขึ้น เพื่อคัดกรองไม่ให้เกิดหนี้เสียสะสมเพิ่มเข้าไปอีก แม้ว่าจะเป็นการกู้ซื้อหลังแรกที่ยังพอมีโอกาสกู้ได้ 100% แต่หากจะต้องวางเงินดาวน์ไม่ต่ำกว่า 10% แล้ว ทุกอย่างจะต้องคิดอย่างรอบคอบขึ้นเป็นเท่าตัวก่อนจะจ่ายเงินแสน ต้องทำการบ้านกันหนักกว่าจะเลือกสักโครงการที่ตอบโจทย์ตัวเราเองและครอบครัวที่สุด รวมถึงคำนวณดอกเบี้ยแต่ละธนาคารเปรียบเทียบกันให้ดี เพราะนั่นหมายถึงภาระการผ่อนงวดในแต่ละเดือนที่จะสูงขึ้น    ส่วนทาง Developer พูดได้เลยค่ะว่าเหนื่อยกันหน่อย เพราะต้องทำการบ้านกันเยอะมากขึ้น ไม่ว่าจะเปิดโครงการใหม่ที่ต้องหาช่องว่างของตลาดในแต่ละทำเล แต่ละ Segment ที่จะเน้นจับตลาดสูงอย่างที่ผ่านมาเพียงอย่างเดียวเห็นจะไม่ได้แล้ว ด้วยเรื่องภาพรวมเศรษฐกิจโลกทำให้กลุ่มลูกค้าต่างชาติที่เป็นเป้าหมายหลักก็น้อยลง รวมถึงระบายของเดิม อัดโปรโมชั่นให้ตรงใจลูกค้าที่มีให้เห็นกันตั้งแต่ต้นปี ช่วงโอนก็คงต้องลุ้น Rejection Rate กันเหนื่อย เพราะลูกค้าต่างก็ได้รับผลกระทบจาก LTV นี่แหละค่ะ ยิ่งช่วงเศรษฐกิจฝืดๆ ธนาคารก็ปล่อยกู้ยากขึ้นเป็นพิเศษ พอยอดโอนหดหายก็ไปกระทบกับรายได้ของบริษัทตามระเบียบ          สรุปง่ายๆ ทั้งหมดนี้ก็โดนผลกระทบกันเป็นวงกลมค่ะ เริ่มตั้งแต่คนซื้อมีกำลังซื้อน้อยลง เพราะเมื่อต้องใช้เงินก้อนก็ย่อมคิดกันเยอะขึ้น ใช้จ่ายกันยากขึ้น ธนาคารที่ให้สินเชื่อเองก็ปล่อยกู้กันยากขึ้น เพราะต้องการคุมเรื่องหนี้เสีย ฝั่ง Developer ก็มียอดโอนน้อยลงตามไปด้วย ทาง Developer เองที่กู้สินเชื่อเพื่อมาสร้างโครงการก็ชำระหนี้ในธนาคารได้ลดลง ส่งผลต่อ NPL ที่อาจจะสูงตาม ก็จะไปกระทบกับเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศ สุดท้ายก็ย้อนกลับมาที่ประชาชนอีกเช่นเคย      สุดท้ายไม่ว่าจะเป็น Developer กลุ่มนักลงทุน ผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยเอง หรือกลุ่มไหนๆ ก็ย่อมได้รับผลกระทบจาก LTV นี้ไปตามๆ กัน ไม่ใช่แค่ผู้บริโภค แต่ผู้พัฒนาโครงการก็ต้องทำการบ้านกันอย่างหนักหน่วงเช่นเดียวกันค่ะ ต่อจากนี้ต้องจับตาดูกันให้ดีภายใน 2-3 ปีนี้ค่ะ ว่าอสังหาฯ ในบ้านเราจะไปต่ออย่างไร