We Recommend

“เดอะ รอยัล เรสซิเดนซ์ เกษตร - นวมินทร์” คฤหาสน์สุดหรูสไตล์ Oriental Victorian

“เดอะ รอยัล เรสซิเดนซ์ เกษตร - นวมินทร์” คฤหาสน์สุดหรูสไตล์ Oriental Victorian

“เดอะ รอยัล เรสซิเดนซ์ เกษตร - นวมินทร์” คฤหาสน์สุดหรูสไตล์ Oriental Victorian โครงการ “เดอะ รอยัล เรสซิเดนซ์ เกษตร - นวมินทร์” (The Royal Residence Kaset – Nawamin) คฤหาสน์สุดหรู ระดับ Ultra-Luxury หนึ่งเดียวบนถนนเกษตร-นวมินทร์ ที่โดดเด่นและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ด้วยสถาปัตยกรรมในสไตล์ "Oriental Victorian" ฟังก์ชันครบครัน พร้อมคลับเฮ้าส์ขนาดใหญ่ ตอบโจทย์ความสมบูรณ์แบบของการพักผ่อน และรองรับทุกความต้องการของลูกบ้าน ในราคาเริ่มต้น 100 - 300 ล้านบาท*       โครงการ เดอะ รอยัล เรสซิเดนซ์ เกษตร - นวมินทร์ เปิดโซนใหม่ เป็นบ้านเดี่ยว 2 ชั้น ระดับ Ultra-Luxury มูลค่าโครงการ 3,000 ล้านบาท ปักหมุดโครงการบนถนนเกษตร - นวมินทร์ (ซอยประเสริฐมนูกิจ 27) ซึ่งเป็นทำเลที่มีศักยภาพสูงทั้งในด้านการอยู่อาศัยและการลงทุน ด้วยการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ก้าวหน้าและสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน การเดินทางเข้า-ออกเมืองเป็นเรื่องสะดวกสบาย เพราะใกล้ทางด่วน และสามารถเชื่อมต่อไปยังถนนเส้นหลักได้ถึง 2 สาย ได่แก่ ถนนประดิษฐ์มนูธรรม และถนนพหลโยธิน อีกทั้งยังใกล้โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำตาล และรถไฟฟ้าสายสีเทา ที่มีแผนก่อสร้างและกำหนดเปิดให้บริการภายในปี พ.ศ.2572 อีกด้วย     นอกจากนี้พื้นที่ใกล้ๆ โครงการยังครบครันไปด้วยแหล่งรวมไลฟ์สไตล์มากมาย ทั้งห้างสรรพสินค้า, คอมมูนิตี้มอลล์, โรงเรียน และโรงพยาบาลชั้นนำต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น นวมินทร์ ซิตี้ อเวนิว, เดอะวอล์ค เกษตร-นวมินทร์, เซ็นทรัล อีสต์วิลล์, โรงพยาบาลนวเวช, โรงพยาบาลวิภาวดี, โรงเรียนนานาชาติกีรพัฒน์, โรงเรียนนานาชาติสิงคโปร์กรุงเทพฯ และโรงเรียนเลิศหล้า ถนนเกษตร - นวมินทร์ เป็นต้น ทำให้ราคาที่ดินในทำเลนี้มีแนวโน้มที่จะปรับตัวสูงขึ้นเรื่อย ๆ ทุกปี จึงนับเป็นอีกหนึ่งทำเลที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการที่อยู่อาศัยที่มีความสะดวกสบายครบวงจรพร้อมด้วยไลฟ์สไตล์ที่ทันสมัย   โครงการ เดอะ รอยัล เรสซิเดนซ์ เกษตร - นวมินทร์ ได้รับแรงบันดาลใจมาจากอาคารและพระราชวังร่วมสมัยของไทย ภายใต้คอนเซปต์ “รากฐานอันมั่นคง งดงาม เหนือกาลเวลา” ทำให้โครงการมีความโดดเด่นด้วย เอกลักษณ์สถาปัตยกรรมร่วมสมัยไทย-ยุโรป ในสไตล์ “Oriental Victorian” หนึ่งในรูปแบบสถาปัตยกรรมเอกของโลก จากช่างฝีมือดีที่สุด จนได้รางวัลระดับโลกมาถึง 5 รางวัล ในส่วนของตัวบ้านดีไซน์ด้วยสไตล์ Contemporary Series ผสานความลงตัวของประโยชน์ใช้สอยกับสถาปัตยกรรมร่วมสมัยที่งดงามเข้าไว้ด้วยกัน มาพร้อมกับแบบบ้าน 3 แบบ ซึ่งมีที่ดินเริ่มต้น 184 - 374 ตารางวา ประกอบด้วย   แบบบ้าน ROYAL EMPEROR พื้นที่ใช้สอย 1,166 ตารางเมตร ประกอบด้วย 5 ห้องนอน 8 ห้องน้ำ 6+6 ที่จอดรถ พร้อมสระว่ายน้ำส่วนตัว, พื้นที่Indoor Sunken Area and Glass House และ Supercar Garage แบบบ้าน ROYAL ARCHDUKE พื้นที่ใช้สอย 776ตารางเมตร ประกอบด้วย 5 ห้องนอน 7 ห้องน้ำ 3+3 ที่จอดรถ พร้อมสระว่ายน้ำส่วนตัว, Party Room และ Pocket garden แบบบ้าน ROYAL DAME พื้นที่ใช้สอย 560 ตารางเมตร ประกอบด้วย 4 ห้องนอน 5 ห้องน้ำ 3+3 ที่จอดรถ มาพร้อมฟังก์ชัน Double Volume, 2 ห้องแม่บ้าน, ห้องเก็บของ และพื้นที่สำหรับครอบครัว     ภายในตัวบ้านยังมาพร้อมฟังก์ชันที่เป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใครและถือเป็นไฮไลท์สำคัญของคฤหาสน์หรูแห่งนี้ อาทิ ฟังก์ชัน Indoor Sunken Area and Glass House พื้นที่สำหรับชมวิวสระว่ายน้ำและสวนกลางบ้าน, Family Area พื้นที่พักผ่อนสำหรับทุกคนในครอบครัว, Strong room ห้องนิรภัย และ Pocket Garden เพื่อชมวิวและรับแสงธรรมชาติ นอกจากนี้ยังช่วยให้ห้องน้ำสว่างและโปร่งสบายมากขึ้น มาพร้อมระบบ Heat detector บริเวณครัวไทย, Pantry และห้องพระ, ระบบสัญญาณแจ้งเหตุฉุกเฉิน Emergency Panic Button ภายในห้องน้ำ, ระบบไฟแสงสว่างฉุกเฉิน Emergency Lighting และระบบกรองอากาศ Clean and Cool Air ที่เป็นเทคโนโลยีอากาศสะอาด เย็นสดชื่นและประหยัดไฟจากประเทศญี่ปุ่น ที่เหนือกว่าระบบทั่วไป เพื่อกรองฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ลดความร้อน และอากาศเสียภายในบ้าน ทุกเวลาที่อยู่ในบ้านจะช่วยทำให้หลับสบายในทุกคืน และสดชื่นในทุกเช้า อีกทั้งยังรองรับการใช้งานยานยนต์ยุคใหม่ด้วยระบบ EV Charger และ Supercar Garage   ในขณะเดียวกันโครงการ เดอะ รอยัล เรสซิเดนซ์ เกษตร - นวมินทร์ ยังมีคลับเฮ้าส์ขนาดใหญ่กว่า 3,000 ตร.ม. พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ Ultra-Luxury ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ให้บรรยากาศเหมือนกำลังพักผ่อนอยู่ในรีสอร์ทระดับ 5 ดาว มาพร้อมคลับเฮ้าส์ที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นเฉพาะตัว มีความวิจิตรบรรจง และทำให้โครงการได้รับรางวัลในระดับนานาชาติ โดยมีจุดเด่นคือ ทะเลสาบขนาดใหญ่ในโครงการ ที่ทอดยาวต่อจากสระว่ายน้ำ สร้างความรื่นรมย์ที่แตกต่างจากโครงการอื่น ๆ, Royal Hall พื้นที่ส่วนกลางขนาดใหญ่ ที่ให้ลูกบ้านสามารถจัดกิจกรรมได้มากมาย, พื้นที่ Chef Table and Dining Space สำหรับเตรียมอาหาร หรือจัดเลี้ยงแบบ Outdoor ที่สามารถปรับเปลี่ยนเป็นลานบาร์บีคิวได้, Library and Residence Lounge พื้นที่รองรับการพักผ่อน อ่านหนังสือ หรือเป็นมุมทำงานสำหรับลูกบ้าน, Fitness พื้นที่ออกกำลังกายที่ออกแบบให้ดูโปร่ง ด้วยบานกระจกรอบด้านที่ให้ลูกบ้านเพลิดเพลินกับการออกกำลังกายพร้อมกับชมวิวสระว่ายน้ำและทะเลสาบ, สระว่ายน้ำระบบเกลือ ความยาว 32 เมตร ที่มี Jacuzzi และ Bubble Bath นวดตัว พร้อมสระเด็ก, Spa Pavilion และ Sunbath Terrace ที่ให้ลูกบ้านได้ชมพระอาทิตย์ตกกันแบบแนบชิดติดริมทะเลสาบ, Locker Room แยกส่วนชาย-หญิง, Sauna Room ห้องซาวน่า พร้อม Outdoor Jacuzzi, สนามเทนนิส และ Visitor Lounge พื้นที่รับรองสำหรับแขกคนสำคัญของลูกบ้าน     นอกจากนี้ โครงการ ยังมาพร้อมระบบรักษาความปลอดภัยเหนือระดับมาตรฐาน ตั้งแต่บริเวณทางเข้า – ออกโครงการ ด้วย Double Gate ประตู 2 ชั้น เพื่อแยกส่วนสำหรับผู้พักอาศัยและแขกผู้มาเยือน พร้อมเสริมความมั่นใจให้ชีวิตด้วยระบบ Magnetic Sensor และรั้วโครงการระบบไฟฟ้า, กล้องวงจรปิด CCTV ที่ครอบคลุมทั่วโครงการ, ระบบอ่านป้ายทะเบียน ตลอดจนเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย 24 ชั่วโมง   ทั้งนี้ ผู้สนใจสามารถติดต่อเข้าเยี่ยมชมโครงการ เดอะ รอยัล เรสซิเดนซ์ เกษตร – นวมินทร์ ได้แล้ว วันนี้ หรือดูข้อมูลโครงการได้ที่ https://home.frasersproperty.co.th หรือสอบถามรายละเอียดข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ LINE @royalresidence หรือโทร. 1520     โครงการอื่นๆ ที่น่าสนใจ Sivarom Hyde สาทร-บางแค บ้านหรูหลังใหญ่อยู่ใกล้ใจกลางเมือง [Preview] Morgen บางขุนเทียน-พระราม 2  

เสนาฯ รับมือแผ่นดินไหว มองหาโอกาส เสริมเกราะธุรกิจอสังหาฯ อย่างยั่งยืน

เสนาฯ รับมือแผ่นดินไหว มองหาโอกาส เสริมเกราะธุรกิจอสังหาฯ อย่างยั่งยืน

เสนาฯ รับมือแผ่นดินไหว มองหาโอกาส เสริมเกราะธุรกิจอสังหาฯ อย่างยั่งยืน หลังจากที่ประเทศไทยต้องเผชิญกับเหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อ 28 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในภาคอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะกลุ่มอาคารแนวสูงที่ถูกตั้งคำถามเรื่องความปลอดภัยในวงกว้าง ท่ามกลางสถานการณ์นี้ เราได้มีโอกาสพูดคุยกับ ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ถึงความคิดเห็นต่อสถานการณ์อสังหาฯ ต่อจากนี้ รวมถึงมาตรการต่างๆ ที่ทางเสนาฯ ได้มีการวางแผนไว้ ทั้งในด้านการให้ความช่วยเหลือกับลูกบ้าน ภาพรวมของตลาด และปรับตัวในอนาคต เสนาฯ เดินหน้าเต็มกำลัง มั่นใจลูกบ้านไม่ถูกทิ้ง หลังเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ผ่านมาทางฯ เสนา เร่งดำเนินมาตรการช่วยเหลือและฟื้นฟูความเชื่อมั่นของลูกบ้านในโครงการฯ อย่างเป็นระบบ โดยแบ่งการทำงานออกเป็น 3 เฟสหลัก ได้แก่     Phase 1: “สร้างความมั่นใจ” เร่งตรวจสอบความปลอดภัยของโครงสร้างอาคารอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะอาคารที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง จะได้รับการตรวจสอบโดยทีมวิศวกรของเสนาฯ ร่วมกับ ผู้เชี่ยวชาญอิสระ (Third Party) เพื่อความโปร่งใสและน่าเชื่อถือ   ส่วนอาคารแนวสูงและแนวราบที่มีผู้อยู่อาศัยแล้ว พบว่าไม่มีความเสียหายรุนแรง ลูกบ้านสามารถเข้าอยู่อาศัยได้ตามปกติ ซึ่งในเฟสนี้ทาง เสนาฯ ได้ดำเนินการแล้วเสร็จ 100%   Phase 2: “ตรวจสอบ” เน้นการ เก็บข้อมูลและปัญหาอย่างละเอียด เป็นการตรวจสอบเชิงลึกจากลูกบ้านแต่ละราย โดยได้มีการอำนวยความสะดวกให้แจ้งผ่าน “แอปพลิเคชัน SEN PROP” ซึ่งจะช่วยให้กระบวนการรับเรื่องและวิเคราะห์ปัญหาเป็นไปอย่างรวดเร็ว เพื่อการรวบรวมข้อมูลสำหรับงานประกันและซ่อมแซมทำได้รวดเร็วขึ้น   Phase 3: “การแก้ไข” ทาง เสนาฯ มีการร่วมมือกับพันธมิตรและผู้เชี่ยวชาญ ในการเข้าดำเนินการแก้ไขจุดที่ได้รับผลกระทบให้ตรงจุด เพื่อให้โครงการกลับสู่สภาพที่สมบูรณ์ที่สุด   จากแนวทางการทำงานที่แบ่งเป็นระยะและมีความต่อเนื่องนี้ ทำให้เห็นได้ชัดว่า เสนาฯ ไม่เพียงมองแค่การซ่อมแซมทางกายภาพ แต่ยังมุ่งมั่นสร้างความมั่นใจในจิตใจของลูกบ้านอย่างจริงจัง ซึ่งถือเป็นการสื่อสารเชิงบวกที่มีน้ำหนักมากในภาวะที่สถานการณ์ต่างๆ ยังคงสร้างความกังวลให้กับลูกบ้าน โดยเฉพาะการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้เพื่อเพิ่มความรวดเร็วในการสื่อสารกับลูกบ้านเป็นวงกว้าง อย่างแอปพลิเคชัน SEN PROP เพื่อรับฟังเสียงของลูกบ้าน   นอกจากนี้ ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ ยังได้สะท้อนมุมมองว่า วิกฤตในครั้งนี้ทำให้บริษัทมองเห็นโอกาสได้ชัดเจนมากขึ้น ในการนำเสนอเทคโนโลยีเพื่อการอยู่อาศัยแบบยั่งยื่น (Sustainable) จากที่ผ่านมา เสนาฯ เคยนำเสนอ “บ้านพลังงานแสงอาทิตย์” หลังจากเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ก็เป็นหนึ่งในแนวคิดที่ได้รับความนิยมสูงมาก จึงเหมือนเป็นการตอกย้ำว่า เหตุจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ ซึ่งเป็นผลกระทบส่วนหนึ่งจากปัญหาภาวะโลกร้อน และส่งผลกระทบในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องด้วย ดังนั้น เสนาฯ จึงเล็งเห็นถึงโอกาสในการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยแนวคิดใหม่ๆ ที่เป็นมิตรกับธรรมชาติและลดความกังวลกับภัยธรรมชาติ ที่อาจจะเกิดขึ้นได้อีก   หลังจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ผ่านมา เสนาฯ ได้นำแนวคิด ‘จีโอ ฟิต’ (Geo fit+) องค์ความรู้ในการพัฒนาโครงการอสังหาฯ ตามมาตรฐานญี่ปุ่น จาก Hankyu Hanshin Properties Corp. ซึ่งเป็นพันธมิตรร่วมทุนบริษัทฯ มาอย่างยาวนาน กลับมาทบทวนอีกครั้งเพื่อปรับใช้กับทุกโครงการต่อจากนี้ เพื่อเป็นการยกระดับคุณภาพและมาตรฐานความปลอดภัยให้เทียบเท่าสากลมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะ “Geo Mamoru” ที่เป็นแผนการรับมือเมื่อมีเหตุแผ่นดินไหวเกิดขึ้น ซึ่งประเทศญี่ปุ่นมีความเชี่ยวชาญในเรื่องนี้เป็นอย่างดี นอกจากการ “แจกคู่มือป้องกันภัยพิบัติ” ที่ทางเสนาฯ ตั้งใจจะทำเป็นอันดับแรกแล้ว ต่อจากนี้ยังจะพิจารณาในการนำแนวทางการป้องกันและรับมือในหัวข้อนี้ มาปรับใช้ให้เข้ากับโครงการมากขึ้นด้วย     ส่วนในด้านความเชื่อมั่นของลูกบ้านเสนาฯ ผศ.ดร.เกษรา กล่าวว่า กว่า 80% ของลูกบ้านเสนาฯ ให้ความมั่นใจคืนกลับมาแล้ว ด้วยทุกอาคารที่ก่อสร้างตั้งแต่ปี 2564 ถูกออกแบบให้รองรับแผ่นดินไหวอยู่แล้ว ดังนั้นความเสียหายที่เกิดขึ้นจึงถือว่าอยู่ใน เกณฑ์ที่ยอมรับได้ บวกรวมกับประสิทธิภาพของการสื่อสารและการลงมือแก้ไขอย่างรวมเร็วของทีมเสนาฯ ด้วย อสังหาฯไทย ดีมานด์จะเปลี่ยนไปมั้ย? ผศ.ดร.เกษรา ได้พูดถึงภาพรวมของอสังหาฯ ไทยต่อจากนี้ เชื่อว่าในไตรมาส 2-3 ดีเวลลอปเปอร์จะเริ่ม “ชะลอ” การเปิดคอนโด High Rise ใหม่เพื่อปรับให้สอดคล้องกับดีมานด์ เนื่องด้วยผลกระทบในความเชื่อมั่นโครงการ High Rise จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ผ่านมา ส่วนโครงการแนวราบคงจะได้รับความสนใจมากขึ้น แต่ทั้งนี้ก็เชื่อว่า “ทำเล” เป็นปัจจัยหลักในการตัดสินใจเลือกที่อยู่อาศัย ด้วยพฤติกรรมของคนจะ“ติดทำเล” มากกว่า โดยเฉพาะทำเลที่คุ้นเคย เดินทางสะดวก ใกล้ที่ทำงานหรือครอบครัว  ทั้งนี้ผู้พัฒนาโครงการ (Developer) คงจะต้องมีการปรับตัว พัฒนาสินค้า รวมถึงวางแผนเพื่อรับมือกับแรงกดดันรอบด้าน ทั้งด้านการเงิน การตลาด และการดึงความเชื่อมั่นของผู้บริโภคกลับมา เสนาฯ กับแผนรับมือสถานการณ์เลวร้าย เพื่อรับมือกับภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอนและความเสี่ยงรอบด้าน เสนาฯ ได้วางแผนฟื้นฟูอย่างครอบคลุม โดยเฉพาะการ จัดการกระแสเงินสดและหนี้สินอย่างมีระบบ พร้อมตั้งเป้า ลดสัดส่วนการพึ่งพาหุ้นกู้ และสร้างรูปแบบธุรกิจใหม่ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภครุ่นใหม่ นอกจากนี้ เสนาฯ ยังให้ความสำคัญกับการเลือกพันธมิตรธุรกิจร่วมทุน (JV) ที่เหมาะสม เพื่อช่วยเสริม ศักยภาพด้านเงินทุนและการวิจัยพัฒนาโครงการใหม่ๆ โดยเฉพาะในช่วงที่ต้นทุนสูงและการเข้าถึงแหล่งเงินทุนยากขึ้น   ทางเสนาฯ เห็นโอกาสในสถานการ์เศรษฐกิจในปัจจุบัน จากปัญหาหนี้ครัวเรือนทำให้กระทบต่อสภาพคล่อง จึงพัฒนาโมเดล “SENA LivNex” (เช่าออมบ้าน) เพื่อมาตอบโจทย์กลุ่มคนที่อยากมีบ้านเป็นของตัวเอง แต่ยัง ไม่พร้อมกู้ธนาคารในตอนนี้ เพื่อเป็นการกระตุ้นกำลังซื้อแฝงให้เข้าสู่ระบบ ไปพร้อมกับการเพิ่มยอดขายจากโครงการที่มีอยู่ในมืออีกทาง     ซึ่ง SENA LivNex เป็นโปรแกรมที่คัดกรองและประเมินศักยภาพของผู้ซื้อจริงในอีก 3 ปีข้างหน้า ผู้ที่เข้าร่วมโปรแกรมจะทำสัญญาเช่า แบบมีเงื่อนไข "เงินที่จ่ายทุกเดือน = เงินออม" เป็นระยะเวลา 36 เดือน โดยมีค่าผ่อนต่อเดือนเฉลี่ย 5,500 บาท/ล้านบาท เมื่อครบกำหนดแล้วก็สามารถนำเงินที่จ่ายไปทั้งหมด มาหักเป็นเงินต้นในการขอสินเชื่อได้ โดยปัจจุบันมีลูกค้าได้รับการตอบรับเข้าร่วมแล้วกว่า 1,000 ยูนิต และยังคงมีกลุ่มที่ให้ความสนใจเพื่อเข้าร่วมโปรแกรมอีกราว 100 ราย   SENA LivNex ไม่ใช่แค่โมเดลเช่า-ซื้อ ที่ทางเสนาฯ พยายามหาแนวทางเพื่อมาตอบโจทย์หนี้ครัวเรือนของคนไทย แต่เป็นการแสดงให้เห็นถึงความเข้าใจในความต้องการของตลาดที่อยู่อาศัย ที่จะมาช่วยให้คนกลุ่มนี้ “เข้าถึงการเป็นเจ้าของบ้าน” ได้จริง และนับเป็นกลยุทธในการปรับตัวที่ไม่ใช่แค่ทำเพื่ออยู่รอด แต่อาจจะเป็นหมัดเด็ดที่จะนำให้ เสนาฯ เป็นผู้พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย ที่โดดเด่นต่างจากรายอื่นๆ ในปัจจุบัน   สามารถดาวน์โหลดและอ่าน “คู่มือป้องกันภัยพิบัติ” ผ่านแอปพลิเคชันได้ที่ลิงก์นี้ : https://bit.ly/3XJjMUj     บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ เปิดแล้ว ‘Design Village Ratchada’ Community Living Mall 5 สิ่งที่คนติดตั้งโซลาร์เซลล์บ้านห้ามพลาด!  

[Preview] SUPALAI BLU สาทร-ราชพฤกษ์ คอนโดฯ ฝั่งธนฯ ขับรถยนต์ 10 นาทีถึงสาทร

[Preview] SUPALAI BLU สาทร-ราชพฤกษ์ คอนโดฯ ฝั่งธนฯ ขับรถยนต์ 10 นาทีถึงสาทร

SUPALAI BLU สาทร-ราชพฤกษ์ คอนโดฯ ฝั่งธนฯ ขับรถยนต์ 10 นาทีถึงสาทร SUPALAI BLU สาทร-ราชพฤกษ์ คอนโดมิเนียม High Rise สี Blue Nova สูง 32 ชั้น 771 ยูนิต ขนาดพื้นที่โครงการ 4 ไร่กว่า พร้อมแบบห้องหลากหลายให้เลือกได้ตรงใจ ตั้งแต่ 1-3 ห้องนอน ขนาด 29-122.5 ตารางเมตร ในราคาเบาๆ เริ่มต้น 1.89 ล้านบาท โล่ง โปร่ง สบาย ด้วยเพดานสูง 2.7 เมตร อีกทั้งรองรับการใช้ชีวิตกับดีไซน์แบบ Multi-Function Living ที่ออกแบบพื้นที่ให้ตอบโจทย์ทุกการอยู่อาศัย พร้อมครัวปิดเป็นสัดส่วน ดีไซน์ชีวิตเองได้หลากหลายกับ Favorite Corner ที่ให้มุมโปรด..ปรับเปลี่ยนได้ตามใจ ส่วนใครที่ของเยอะก็หมดปัญหาสัมภาระล้นห้อง ด้วยห้องเก็บของส่วนตัวสำหรับยูนิตพิเศษ และใช้ชีวิตแบบที่วาดฝันไว้ บนจักรวาลส่วนกลาง     เดินทางได้สะดวกสบายมากกว่า เพราะ SUPALAI BLU สาทร-ราชพฤกษ์ เชื่อมต่อใจกลางเมืองด้วยสถานีบางหว้า Interchange ครบครันทั้งรถไฟฟ้า BTS และ MRT พร้อม Shuttle Service รับ-ส่งถึงสถานี ทำเลศักยภาพ ติดถนนใหญ่ มุ่งสู่สาทรเพียง 10 นาที โดยแวดล้อมด้วยแหล่งอำนวยความสะดวกครบครัน อาทิ รพ.พญาไท 3, ตลาดพลู, เดอะมอลล์ ไลฟ์สโตร์ ท่าพระ, มหาวิทยาลัยสยาม, ไอคอนสยาม, รร.กรุงเทพคริสเตียน และรร.อัสสัมชัญ แนวคิดในการออกแบบอาคาร ตัวอาคารออกแบบด้วยคอนเซ็ปต์ Stella Nova หรือนวดารา โดยนำองค์ประกอบของอวกาศมาใช้ในการออกแบบคือ • Flow ความพริ้วไหวไหลลื่นอิสระของเส้นในห้วงอวกาศ เส้นแสงแห่งดวงดาว ความอิสระที่มอบผ่านเส้นให้งานออกแบบรู้สึกถึงความเคลื่อนไหวเป็นเอกลักษณ์ • Unique เอกลักษณ์จากสี Blue Nova ให้ความรู้สึกถึงจักรวาล โทนสีน้ำเงินที่โดดเด่นไม่เหมือนใคร และเป็นสีที่สื่อถึงความสงบและอิสระ • Twinkle ประกายระยิบระยับจากดวงดาว สู่องค์ประกอบของอาคารเพื่อเพิ่มจุดเด่นของจักรวาล   แนวคิดในการวางผัง เน้นการออกแบบที่คำนึงถึงการประหยัดพลังงาน อาคารจึงถูกออกแบบและให้ความสำคัญในเรื่องต่างๆ อาทิ การวางผังโครงการเพื่อลดความร้อนจากแสงแดดยามบ่าย เข้ามาภายในอาคารและห้องพักอาศัย โดยวางอาคารเป็นรูปตัว I โดยหันด้านอาคารตามแนวทิศเหนือ-ใต้ เพื่อลดการตกกระทบจากแสงแดด และเปิดมุมมองไปยังภายนอกได้โดยรอบโครงการ การใช้กระจกเขียวตัดแสงและระเบียงเฉียงเพื่อลดความร้อนจากแสงแดดภายนอกเข้าสู่ตัวอาคาร ห้องพักที่สามารถรับลมและแสงแดดจากธรรมชาติได้ดีขึ้น อีกทั้งยังใช้วัสดุก่อสร้างที่เป็นมิตรต่อผู้พักอาศัยและสิ่งแวดล้อม สวนพื้นที่สีเขียวในโครงการขนาดใหญ่มีถึง 3 ชั้น เพื่อให้การพักผ่อนของผู้อยู่อาศัยที่ใกล้ชิดธรรมชาติ และยังช่วยลดความร้อนที่จะเข้าสู่ตัวอาคาร   Facility Full Facilities จัดเต็มส่วนกลางที่มากถึงกว่า 20 รายการ อาทิ BLU Aqua Pool สระว่ายน้ำไซส์เท่าสระโอลิมปิก, Stella Lounge, Sky Jogging Track, BLU Active Gym และ Galaxy Theater   ชั้น 1 • Starry Lobby พื้นที่พักคอย ใช้สำหรับการนั่งพักผ่อน และทำกิจกรรมต่างๆ ในส่วนโซนที่นั่งทำงาน มีมุมบาร์เล็กๆ ส าหรับนั่งอ่านหนังสือ และโซนประชุมขนาดเล็ก ที่จัดส่วนพื้นที่ใช้งานกันกับห้อง Mailbox • Kid’s Planet สนามเด็กเล่น ส าหรับปีนป่ายมีติดตั้งสไลด์เดอร์ • Natural Space สวนชั้น 1 มีรูปแบบการปลูกลายเส้นไม้พุ่ม สอดคล้องกับคอนเซ็ปต์อวกาศที่ลายพื้นทางเข้า สวนพื้นที่ค่อนข้างใหญ่ ทำให้เพิ่มมุมมองที่สวยงามของส่วนต้อนรับ โซน Drop off มีน้ำพุประติมากรรม • BLU Storage ห้องเก็บของส่วนบุคคล ภายห้องเป็นห้องเปล่า ระบบให้แสงสว่างแบบแบตเตอรี่   ชั้น 6 • BLU Aqua Pool สระว่ายน้ำ ขนาด 50 เมตร แบบ Infinity Edge Pool ระบบเกลือ มี Pool Bed และ Jacuzzi • BLU Active Gym พื้นที่สำหรับออกกำลังกาย • BLU Active Space พื้นที่ทำกิจกรรม ที่มาพร้อมเครื่องเล่นเกม และอุปกรณ์ต่างๆ ตกแต่งในแนว Active • Hybrid Club มีโซน Live สด และโซนทำอาหารแบบครัวไม่หนัก และพื้นที่สำหรับนั่งคุยงานหรือเรียนพิเศษอ่านหนังสือ • Galaxy Theater ห้องดูหนังสำหรับคนทุกกลุ่ม มีโซนโซฟาด้านใน ที่มากันเป็นคู่หรือมาชมกันเป็นครอบครัวได้ • BLU Terrestrial (Terrestrial แปลว่ากลุ่มดาวเคราะห์) เป็นพื้นที่ทำกิจกรรมกึ่งภายนอก (ไม่ปรับอากาศ) สำหรับนั่งพัก และทำกิจกรรมต่างๆ มากมาย และที่มีนั่งแบบชิงช้า • Rock Climbing ที่ปีนหน้าผาจำลอง • Orbit Garden สวนพักผ่อนชั้น 6 มี Gazebo สำหรับนั่งชมวิว   ชั้น 32 • Sky Garden พื้นที่สวนชั้น 32 มีจุดนั่งชมวิว และสวนสำหรับพักผ่อน • Stella Lounge พื้นที่พักผ่อนที่อยู่สูงที่สุดสามารถชมวิวเมือง และชมวิวรอบๆ โครงการได้เป็นอย่างดี เป็นพื้นที่นั่งทำงาน และนั่งเล่นพักผ่อนได้ มีมุมอ่านหนังสือและเคาน์เตอร์บาร์ขนาดเล็กนั่งชมวิวได้ดี • Sky Jogging Track ทางวิ่งออกกำลังระยะทาง 100 เมตร มีจุดนั่งพักผ่อน และชมวิวในมุมที่สูงที่สุดในโครงการ   ค้นหาจักรวาลของคุณที่พร้อมให้เข้าชมห้องตัวอย่างได้แล้ววันนี้ ณ สำนักงานขายโครงการSUPALAI BLU สาทร-ราชพฤกษ์ ตั้งแต่เวลา 9.00-18.00 น. พิเศษ! เป็นเจ้าของก่อนใครในงาน Pre-sales วันที่ 26-27 ตุลาคมนี้ ลงทะเบียนก่อนเข้าเยี่ยมชมโครงการ รับส่วนลดพิเศษ 10,000 บาท เฉพาะช่องทางออนไลน์เท่านั้น https://bit.ly/47czAlK สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมโทร.1720 หรือ www.supalai.com   โครงการอื่นๆ ที่น่าสนใจ RHYTHM เจริญนคร ไอคอนิค คอนโดจาก AP THAILAND Supalai Sense Srinakarin - Staycation คอนโดแนวใหม่ ใกล้ห้างและรถไฟฟ้า SASARA Hua Hin โครงการสุดว้าว ติดหาดที่ดีที่สุดใน หัวหิน    

5 สิ่งที่คนติดตั้งโซลาร์เซลล์บ้านห้ามพลาด! ติดตั้งอย่างไรให้คุ้ม ง่าย และตอบโจทย์ผู้อยู่อาศัย

5 สิ่งที่คนติดตั้งโซลาร์เซลล์บ้านห้ามพลาด! ติดตั้งอย่างไรให้คุ้ม ง่าย และตอบโจทย์ผู้อยู่อาศัย

5 สิ่งที่คนติดตั้งโซลาร์เซลล์บ้านห้ามพลาด! ติดตั้งอย่างไรให้คุ้ม ง่าย และตอบโจทย์ผู้อยู่อาศัย ตอนนี้ทั่วโลกกำลังให้ความสำคัญกับปัญหาสิ่งแวดล้อมที่รุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นกระแสให้หลายประเทศรวมถึงประเทศไทย และหลายหน่วยงานใหญ่ต่างก็ตั้งเป้าหมายกับเรื่อง Sustainability เป็นนโยบายหลักขององค์กร ซึ่งต้องให้ความสำคัญกับความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อมและสังคม เช่น ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ลดปัญหาด้านพลังงานและหันมาให้ความสำคัญกับการใช้พลังงานทดแทน หรือพลังงานสะอาดมากขึ้น   หนึ่งในพลังงานทดแทนที่เป็นพลังงานสะอาดและได้รับความนิยมในประเทศไทย คือ “พลังงานแสงอาทิตย์” เนื่องจากเราเป็นประเทศที่มีแสงแดดจัดตลอดทั้งปี การใช้โซลาร์เซลล์ในไทยก็กำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นกัน ทั้งการมองหาพลังงานสะอาดทดแทนขององค์กรต่างๆ รวมถึงการติดตั้งเพื่อลดค่าไฟฟ้าของครัวเรือน ทำให้เห็นว่าตลาดโซลาร์เซลล์ในไทยมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง จึงมีหลากหลายแบรนด์ให้เลือกในท้องตลาด     วันนี้ Reviewyourliving จึงลิสสิ่งที่ห้ามพลาด! สำหรับผู้อยู่อาศัยที่กำลังตั้งเป้าหมายในการติดตั้งระบบโซลาร์ที่บ้าน ไม่ว่าจะทั้งเพื่อลดบิลค่าไฟของบ้าน หรือ มีส่วนในการช่วยลดภาวะโลกร้อนและหันไปใช้พลังงานสะอาดมากยิ่งขึ้น แน่นอนว่า สิ่งที่คนจะติดตั้งโซลาร์เซลล์คำนึงถึง มีมากมายหลายปัจจัย ขึ้นอยู่กับไลฟ์สไตล์และความต้องการของแต่ละครอบครัว แต่วันนี้เราจะหยิบยกตัวอย่างสำคัญๆ ที่ห้ามพลาด ลองมาดูกันว่า จะมีอะไรกันบ้าง     1. บิลค่าไฟ สิ่งแรกที่ต้องคำนึงถึง และขาดไม่ได้เลยก็คือ บิลค่าไฟ ซึ่งแต่ละบ้านมีค่าใช้จ่ายในการใช้ไฟฟ้าไม่เท่ากัน โดยหากย้อนกลับไปดูเรทค่าไฟฟ้าจะเห็นว่าตั้งแต่ปี 2564 ถึงปีที่ผ่านมา เรทค่าไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้นถึง 30% ค่าใช้จ่ายในการใช้ไฟฟ้าของแต่ละครัวเรือนจึงเพิ่มสูงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สำหรับบิลค่าไฟที่เริ่มมีความเหมาะสมในการติดตั้งระบบโซลาร์นั้น ขึ้นอยู่กับการใช้งานของแต่ละครอบครัว บางครอบครัวอาจคุ้มสำหรับการติดตั้งเมื่อบิลค่าไฟเพียง 4,000 บาท แต่บางบ้านที่มีไลฟ์สไตล์ต่างกัน อาจคุ้มค่าเมื่อบิลค่าไฟสูงกว่านี้ก็ได้   2. พฤติกรรมการใช้ไฟฟ้าของครอบครัว การติดตั้งระบบโซลาร์ของบ้านนั้น โดยทั่วไปประกอบด้วย 3 ส่วนหลัก คือ แผงโซลาร์เซลล์ อินเวอร์เตอร์ และแบตเตอรี่ โดยในบางครอบครัวที่ใช้ไฟฟ้าส่วนใหญ่ในตอนกลางวัน อาจติดตั้งเพียงแผงโซลาร์เซลล์ และ อินเวอร์เตอร์ ก็เพียงพอสำหรับการช่วยลดค่าไฟแล้ว แต่หากบ้านที่ไม่อยู่บ้าน ออกไปทำงานในตอนกลางวัน ใช้ไฟฟ้าส่วนใหญ่ตอนกลางคืน หรือมีรถยนต์ไฟฟ้าที่ต้องชาร์จไฟฟ้าในตอนกลางคืน การติดระบบโซลาร์แบบไม่มีแบตเตอรี่ ก็จะเสียพลังงานโซลาร์ที่ผลิตได้ตอนกลางวันไปแบบสูญเปล่า การติดระบบโซลาร์พร้อมแบตเตอรี่จึงเหมาะสมมากกว่า   3. การรับประกัน และบริการหลังการขาย ระบบโซลาร์มีหลากหลายอุปกรณ์จากหลากหลายแบรนด์ นำมาประกอบกันในระบบเดียว ซึ่งการใช้งานของระบบโซลาร์ เป็นการใช้งานในระยะยาว ดังนั้น คุณภาพและประสิทธิภาพของอุปกรณ์จึงเป็นสิ่งสำคัญ การรับประกันประสิทธิภาพของอุปกรณ์ที่ครอบคลุมในระยะยาวจึงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ นอกจากนี้ เมื่อระบบที่เกิดจากการประกอบกันจากหลากหลายแบรนด์ หากแต่ละอุปกรณ์มีปัญหา การติดต่อเพื่อขอรับประกันและบริการหลังการขาย อาจเป็นสิ่งที่ยุ่งยากของใครหลายๆ คน และอาจมีคนพบเจอถึงปัญหาที่แต่ละแบรนด์เกิดการตั้งคำถามกันเองว่า ปัญหาของระบบเกิดจากแผง เกิดจากอินเวอร์เตอร์ หรือเกิดจากแบตเตอรี่ แบรนด์ไหนกันแน่ที่ควรรับผิดชอบเรื่องการเคลมประกันในครั้งนี้ ดังนั้น การเลือกผู้ที่ติดตั้งแบรนด์เดียวครบทั้งระบบที่มีทั้งแผงโซลาร์เซลล์ อินเวอร์เตอร์ และแบตเตอรี่ รวมถึงแบรนด์ที่ให้บริการติดตั้ง รับประกัน และบริการหลังการขาย ก็จะได้รับทั้งในแง่ของความสะดวกสบาย และในแง่ของความมั่นใจในการทำงานร่วมกันว่าระบบจะสามารถมอบประสิทธิภาพการทำงานที่ปลอดภัยและมีคุณภาพสูงให้ได้   4. ดีไซน์ของระบบ ผู้ที่ติดตั้งระบบโซลาร์ แน่นอนว่า จะต้องพบเจอกับปัญหาของสายไฟมากมายที่ต้องเชื่อมกับทั้งอินเวอร์เตอร์ แผงโซลาร์เซลล์ ตู้โหลดไฟฟ้าภายในบ้าน และหากครอบครัวใดติดตั้งแบตเตอรี่ด้วยแล้วล่ะก็ ก็จะยิ่งมีสายไฟระโยงระยาง ระหว่างอินเวอเตอร์และแบตเตอรี่ในตัวบ้าน เกิดความไม่เป็นระเบียบเรียบร้อย รกรุงรัง ดูไม่สวยงาม เรียกได้ว่า หลายคนที่เพิ่งซื้อบ้านใหม่ บ้านสวยโมเดิร์น การเลือกดีไซน์ติดตั้งของระบบจึงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้   5. ดีไซน์และประสิทธิภาพของอุปกรณ์และตัวแผง เวลาตกแต่งบ้าน โดยทั่วไปเราจะเลือกสิ่งที่สวยและเข้ากับตัวบ้านได้มากที่สุด ระบบโซลาร์ก็เช่นกัน เพราะในเมื่อจะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของบ้านแล้ว ดีไซน์ที่เข้ากับตัวบ้านที่เป็นสิ่งที่ดูไม่สำคัญแต่จริงๆ แล้วสำคัญอย่างมาก ยิ่งใครที่มองไว้ว่าจะติดตั้งที่โรงรถหรือหน้าบ้าน เรียกได้ว่า ต้องเจออุปกรณ์นี้ในทุกๆ วัน นอกจากนี้ ดีไซน์ของแผงโซลาร์เซลล์ก็ไม่ควรมองข้าม เพราะนอกจากเรื่องความสวยงามที่เข้ากับหลังคาบ้านแล้ว หากตัวแผงสะท้อนแสงมากเกินไป ก็อาจจะรบกวนเพื่อนบ้าน ก่อเกิดปัญหาได้อีกด้วย อีกทั้งยังควรคำนึงถึงประสิทธิภาพของการผลิตไฟฟ้าของตัวแผงและอินเวอร์เตอร์ และความจุของแบตเตอรี่ที่เหมาะสมอีกด้วย   ทั้งหมดก็เป็นตัวอย่างของสิ่งที่ควรคำนึงถึงเมื่อจะติดตั้งระบบโซลาร์ที่บ้าน หลายคนที่อ่านถึงตรงนี้ อาจรู้สึกถึงความยุ่งยาก ซับซ้อน แล้วถ้ามีแบรนด์ที่มีระบบโซลาร์โซลูชันแบบครบวงจรสำหรับที่อยู่อาศัยโดยเฉพาะล่ะจะดีแค่ไหน? วันนี้เลยพามารู้จัก “EnergyLIB” แบรนด์แรกในประเทศไทย ที่นำเสนอระบบโซลาร์โซลูชันแบบครบวงจรสำหรับที่อยู่อาศัยกัน โดย EnergyLIB ชูจุดแข็งในด้าน one-stop solution ที่มีทั้งบริการติดตั้งพื้นฐาน[1] รับประกัน และบริการหลังการขาย ครบจบในแบรนด์เดียว เพื่อให้ระบบโซลาร์เป็นเรื่อง “ง่าย” และใกล้ตัวมากยิ่งขึ้น     นอกจากนี้ ยังมาพร้อมผลิตภัณฑ์ “EnergyLIB P1 All-In-One” ช่วย “ลดค่าไฟสูงสุด 70%[2] ใช้ไฟได้ทั้งกลางวัน-กลางคืน” ที่เรียกได้ว่าครบทั้งระบบ เพราะมีทั้ง Black Magic (แผงโซลาร์เซลล์) และเครื่อง All-In-One ที่รวมอินเวอร์เตอร์และแบตเตอรี่ไว้ในเครื่องเดียว โดย Black Magic (แผงโซลาร์เซลล์) ถูกออกแบบใหม่ในดีไซน์ Pure Black ไร้ช่องตาราง เมื่อติดตั้งบนหลังคาแล้วจะให้ความเรียบหรูสวยงาม พร้อมให้ประสิทธิภาพดูดซับแสงและความร้อนที่มากกว่า สูญเสียพลังงานแสงน้อยกว่าด้วยการลดแสงสะท้อน และยังมีระยะเวลาประกันนานถึง 25 ปี[3]     ในส่วนของเครื่อง All-In-One มาแก้ปัญหารูปแบบตู้ควบคุมและที่จัดเก็บแบตเตอรี่สำรองไฟเดิมๆ ที่มักจะไม่สวยงาม และมีสายเกะกะไม่สบายตา พอติดตั้งแล้วก็ทำให้บ้านไม่สวย ไม่เข้ากับตัวบ้าน ด้วยดีไซน์แบบโค้งมน พรีเมียม สบายตา ที่สำคัญตัวเครื่องได้รวมอินเวอร์เตอร์และแบตเตอรี่ในที่เดียว ไร้สายไฟระโยงระยางให้เกะกะสายตา ไม่ว่าจะนำไปวางที่ตำแหน่งใดของบ้านก็กลมกลืนไปกับการตกแต่งบ้านหลากสไตล์ และยังมีระยะเวลาประกันนานถึง 10 ปี[3]   ระบบโซลาร์โซลูชันแบบครบวงจรสำหรับที่พักอาศัยทาง EnergyLIB มีผลิตภัณฑ์ให้เลือกหลายรูปแบบตามความต้องการใช้กำลังไฟในแต่ละบ้าน ได้แก่     EnergyLIB P1 All-In-One ขนาด 8kW ใช้สำหรับระบบไฟ 1 เฟส ประกอบด้วย Black Magic (แผงโซลาร์เซลล์) และเครื่อง All-In-One ที่มาพร้อมอินเวอร์เตอร์และแบตเตอรี่ ราคา 359,000 บาท (รวมติดตั้งพื้นฐาน[1]) EnergyLIB P1 All-In-One ขนาด 15kW ใช้สำหรับระบบไฟ 3 เฟส ประกอบด้วย Black Magic (แผงโซลาร์เซลล์) และเครื่อง All-In-One ที่มาพร้อมอินเวอร์เตอร์และแบตเตอรี่ ราคา 549,000 บาท (รวมติดตั้งพื้นฐาน[1])     EnergyLIB P1 Lite ขนาด 6kW ใช้สำหรับระบบไฟ 1 เฟส ประกอบด้วย Black Magic (แผงโซลาร์เซลล์) และอินเวอร์เตอร์ ราคา 199,000 บาท (รวมติดตั้งพื้นฐาน[1]) EnergyLIB P1 Lite ขนาด 15kW ใช้สำหรับระบบไฟ 3 เฟส ประกอบด้วย Black Magic (แผงโซลาร์เซลล์) และอินเวอร์เตอร์ ราคา 399,000 บาท (รวมติดตั้งพื้นฐาน[1])   พรีออเดอร์ได้แล้วตั้งแต่วันนี้ – 22 กันยายน 2567 ที่ BaNANA ทุกสาขาทั่วประเทศและตัวแทนจำหน่าย พร้อมรับ EnergyLIB Voucher มูลค่าสูงสุด 30,000 บาท สัมผัสผลิตภัณฑ์จริงได้ที่ร้าน BaNANA เฉพาะสาขาที่ร่วมรายการ หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Facebook Official Page ของ EnergyLIB หรือ Call Center 02-070-7888   #EnergyLIB #EnergyLIBP1AllInOne #OneStopSolution #ลดค่าไฟสูงสุด70เปอร์เซ็นต์ #ใช้ไฟได้ทั้งกลางวันกลางคืน #โซลาร์เซลล์ ## หมายเหตุ [1] อาจมีค่าใช้จ่ายในการติดตั้งเพิ่มเติมหรือเปลี่ยนแปลง ภายหลังจากการสำรวจพื้นที่หน้างานจริง โดยขึ้นอยู่กับโครงสร้างและสภาพแวดล้อมของบ้าน [2] ปริมาณพลังงานไฟฟ้าคำนวณจากการใช้งาน EnergyLIB P1 All-In-One ระบบไฟ 3 เฟส ที่ติดตั้งแบตเตอรี่ 20 kWh และแผงโซลาร์เซลล์ 26 แผง โดยประสิทธิภาพและผลลัพธ์อาจแตกต่างกันขึ้นอยู่กับการใช้งานจริงและปัจจัยภายนอกอื่น ๆ อาทิ ปริมาณแสงแดดและความร้อน ความสะอาดของแผงโซลาร์เซลล์ อายุการใช้งานผลิตภัณฑ์ พฤติกรรมการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้า และอื่นๆ [3] โปรดศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ใบรับประกัน