We Recommend

“บ้านอยู่เจริญ อีสต์วิลล์” บ้านแฝดและทาวน์โฮมสไตล์ นิวยอร์ก

“บ้านอยู่เจริญ อีสต์วิลล์” บ้านแฝดและทาวน์โฮมสไตล์ นิวยอร์ก

บ้านอยู่เจริญ อีสต์วิลล์  โครงการบ้านแฝดและทาวน์โฮมสุดหรูที่โดดเด่นด้วยดีไซน์มีสไตล์ เหมือนอยู่ในบ้านกลางนิวยอร์ก พัฒนาโดย “อยู่เจริญเอสเตทส” (U Charoen Estate) U Charoen Estate บ้านอยู่เจริญ อีสต์วิลล์ โครงการตั้งอยู่บนถนนนาคนิวาส ซอย 6 ในโซนลาดพร้าวเข้าออกได้หลายช่องทาง ที่ใกล้ทางด่วนเพียง 5 นาที และจะเดินทางเข้าเอกมัยทองหล่อก็ใช้เวลาไม่นาน  โครงการตั้งอยู่บนที่ดิน 4 ไร่ ให้ความส่วนตัวเพราะมีแค่ 28 ยูนิต  ราคาเริ่มต้นที่ 38 ล้านบาทจนถึง 50 ล้านบาท โลเคชั่นดีรายล้อมด้วยแหล่งช้อปปิ้ง ร้านอาหารอร่อย ใกล้แหล่งงานภาครัฐและเอกชน  โครงการอยู่ด้านหลังห้างเซ็นทรัล อีสต์วิลล์ เพียง300 เมตร  แหล่งรวมสิ่งอำนวยความสะดวกในย่านเรียบด่วน  การเดินทางสะดวกใกล้จุดขึ้นลงทางด่วน และเข้าสู่กลางเมือง อย่างเอกมัย ทองหล่อ ก็ใช้เวลาไม่นาน   ส่วนไฮไลท์ของโครงการ บ้านอยู่เจริญ อีสต์วิลล์ ได้รับแรงบันดาลใจจากการใช้ชีวิตของผู้คนในในย่านสุดหรูของมหานครนิวยอร์ก อย่างย่าน Upper Eastside เช่น Madison, Lexington และ Park Avenue มาตอบโจทย์ผู้บริโภค ที่มีไลฟ์สไตล์ชอบการท่องเที่ยว และงานศิลปะ ด้านการออกแบบบ้านแฝดและทาวน์โฮม สามารถปรับเปลี่ยนฟังก์ชันให้ตรงตามต้องการ หรือแม้แต่การจัดเป็นโฮมออฟฟิศก็สามารถจัดทำได้เช่นกัน และยังคงความเป็นส่วนตัว สอดคล้องกับพฤติกรรมความต้องการของผู้อยู่อาศัย การออกแบบในสไตล์ Modern Palladian โดยแรงบันดาลใจจากการใช้ชีวิตของผู้คนในมหานครนิวยอร์ก และยังทันสมัยเพราะทุกหลัง Smart Home Automation  และ ชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า ทุกหลัง จุดเด่นของบ้านเป็นบ้านหน้ากว้าง 12 เมตรจอดรถสูงสุดได้ 4 คัน   “บ้านอยู่เจริญ อีสต์วิลล์”  มีความเป็นส่วนตัวสุง ด้วยจำนวนเพียง 28 ยูนิต โดยมีแบบบ้าน 2 รูปแบบ ได้แก่ ทาวน์โฮม 4 ชั้น 3 ห้องนอน ขนาดเริ่มต้น 40 ตารางวา จำนวน 20 หลัง และ บ้านแฝด 3 ชั้น และ 2 ชั้นลอย 3 ห้องนอน ขนาดเริ่มต้น 44.2 ตารางวา เพียง 8 หลัง ราคาเริ่มต้น ที่มาหน้ากว้าง 12 เมตรที่สามารถจอดรถได้ถึง 4 คัน 3 ห้องนอนและมีห้องสำหรับแม่บ้าน พร้อมฟังชั่นปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการของทุกคน ส่วนกลาง พื้นที่ส่วนกลางมีพื้นที่สีเขียวพร้อมต้นไม้ใหญ่  โอบล้อมด้วยพืชพันธุ์ไม้หอมของไทย เช่น ลำดวน และปีป มีคลับเฮ้าส์ ที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ทั้งสระว่ายน้ำระบบน้ำเกลือ ฟิตเนส และห้องประชุม รวมถึงสนามกว้างขวาง ที่รองรับกิจกรรมกลางแจ้งได้หลากหลาย มาพร้อม โคเวอคกิ้ง สเปส และ คุกกิ้งสเปส จัดปาร์ตี้บาร์บีคิวกันได้เลย   บ้านอยู่เจริญ อีสต์วิลล์ ตอนนี้บ้านตัวอย่างมีให้ชมครบทั้งบ้านแฝดและทาวน์โฮม  โครงการมูลค่ากว่า 1000 ล้าน ที่ตั้งใจยก มหานครนิวยอร์ก มาวางที่เรียบด่วนรามอินทรา สนใจเยี่ยมชมโครงการกันได้แล้ว     บทความน่าสนใจ One Atelier Phaholyothin ไพรเวท เรสซิเดนซ์ Luxury townhome เอกสิทธิ์เพียง 13 ครอบครัวเท่านั้น DEMI Sathu 49 บ้านที่พัฒนา มาเพื่อคุณ The Haute กาญจนา–สาทร Vertical Biz Villa บ้านที่เป็นได้ทุกอย่างในทุกจังหวะของชีวิต  

M Life สุขุมวิท–บางปู 87 บ้านแฝดหรูดีไซน์ใหม่ ตรงข้ามตากอากาศบางปู ใกล้รถไฟฟ้าสายสีเขียว

M Life สุขุมวิท–บางปู 87 บ้านแฝดหรูดีไซน์ใหม่ ตรงข้ามตากอากาศบางปู ใกล้รถไฟฟ้าสายสีเขียว

M Life สุขุมวิท–บางปู 87 บ้านแฝดหรูดีไซน์ใหม่ ตรงข้ามตากอากาศบางปู ใกล้รถไฟฟ้าสายสีเขียว Review Your Living พาไปชมโครงการ M Life สุขุมวิท-บางปู 87 โครงการบ้านแฝดพรีเมี่ยมสุดหรูสร้างสรรค์โดย บริษัท เมซัน ดีเวลลอปเม้นท์  โครงการนี้ตั้งอยู่ในทำเลศักยภาพอยู่ฝั่งตรงข้ามกับ สถานตากอากาศบางปู การเดินทางสะดวกสามารถเลือกเดินทางได้หลายหลายเส้นทาง M Life สุขุมวิท–บางปู 87 บ้านแฝดหรูดีไซน์ใหม่ ตรงข้ามตากอากาศบางปู ใกล้รถไฟฟ้าสายสีเขียว ด้วยที่ตั้งของโครงการที่อยู่บนถนนสุขุมวิท สามารถเชื่อมต่อไปยังถนนสายหลักต่างๆ เช่น ถนนศรีนครินทร์, ถนนบางนา-ตราด ทำให้การเข้าสู่ใจกลางเมืองสะดวกและประหยัดเวลาได้มาก เพียงข้ามสะพานภูมิพล (วงแหวนอุตสาหกรรม) ก็เข้าสู่ย่านพระราม3, สาทร, สีลมได้สะดวก นอกจากนี้ที่ตั้งของโครงการ M Life สุขุมวิท - บางปู ยังอยู่ใกล้รถไฟฟ้าสายสีเขียว ซึ่งจะมีสถานีบางปู (ส่วนต่อขยาย) อยู่ห่างจากหน้าโครงการไปแค่นิดเดียว ต่อไปการเดินทางด้วยรถไฟฟ้าก็จะสะดวกมากยิ่งขึ้นไปอีก     เมื่อพูดถึงทำเล “บางปู” หลายคนจะมีภาพความเป็นชุมชนที่อยู่อาศัยและเป็นแหล่งงานที่ขนาดใหญ่ เป็นแหล่งรวมทั้งนิคมอุตสาหกรรมบางปู, นิคมอุตสาหกรรมบางพลี ที่มีคนทำงานหมุนเวียนนับแสนคนต่อวัน ทำให้บริเวณย่านบางปูมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน  ทั้งโรงเรียนชื่อดังอย่าง โรงเรียนสารสาสน์วิเทศ สมุทรปราการ, โรงเรียนอัสสัมชัญ สมุทรปราการ,โรงเรียนเซนต์โยเซฟทิพวัล, โรงเรียนเอี่ยมสุรีย์, วิทยาลัยเซาธ์อีสท์บางกอก, มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ   รวมถึงแหล่งช้อปปิ้งมากมายเช่น Mega Bangna, ikea, Market Village กิ่งแก้ว, โรบินสัน ไลฟ์สไตล์ สมุทรปราการ, เทสโก้ โลตัสบางปู, บิ๊กซี ซูเปอร์ เซ็นเตอร์ สมุทรปราการ ขณะที่แหล่งท่องเที่ยวอย่างเมืองโบราณสมุทรปราการ และฟาร์มจระเข้สมุทรปราการก็อยู่ไม่ไกล รวมถึงสถานที่พักผ่อนชื่อดังประจำถิ่นอย่าง “สถานตากอากาศบางปู” ก็อยู่แค่ฝั่งตรงข้ามกับโครงการเท่านั้น โครงการ M Life สุขุมวิท – บางปู 87 จึงเป็นอีกหนึ่งโครงการที่พูดได้ว่า อยู่ในทำเลที่เพียบพร้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก ตอบโจทย์ของการอยู่อาศัยของทุกคนในครอบครัว   โครงการ M Life สุขุมวิท – บางปู 87 เป็นโครงการที่มีให้เลือกทั้งบ้านแฝด และทาวน์โฮม ออกแบบมาภายใต้แนวคิด “The Art of Timeless Living - การท่องผ่านกาลเวลา ความงามและคุณค่าในการอยู่อาศัย” ซึ่งจะเห็นได้จากแบบบ้านที่ดูหรูหราทันสมัยมากขึ้น สะดุดตาด้วยการเลือกใช้เส้นโค้งมนเพื่อการออกแบบให้แบบบ้านมีความน่าสนใจมากขึ้น     นอกจากนี้ Facility ส่วนกลางของทางโครงการก็จัดเตรียมไว้ให้มากมาย เช่น Club House ขนาดใหญ่ซึ่งมีทั้ง Co-Working Space เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การทำงานในยุคปัจจุบัน, Kids Zone ห้องเด็กเล่น และฟิตเนสพร้อมอุปกรณ์ออกกำลังกายมากมาย ในขณะเดียวกัน พื้นที่สวนสีเขียวกลางแจ้งก็เหมาะกับการพักผ่อน ออกกำลังกาย เพราะมีทั้ง สระว่ายน้ำระบบน้ำเกลือ, สนามบาสเกตบอล และสนามเด็กเล่นกลางแจ้งด้วย     M Life สุขุมวิท – บางปู 87  มียูนิตรวม 173 ยูนิต  โดยจะแบบบ้านให้เลือกด้วยกัน 3 แบบ ซึ่งต่างกันที่ขนาดพื้นที่ใช้สอย และ Layout ภายในตัวบ้าน ซึ่งจะมาตอบโจทย์การใช้งานที่ต่างกัน ตามความต้องการของแต่ละครอบครัว ซึ่งไฮไลท์ที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยคือ แบบบ้านแฝด ที่เพิ่มฟังก์ชั่นครัวไทย และห้องซักรีด มาให้พร้อมใช้งาน ซึ่งเราสามารถเลือกตกแต่งเพิ่มเติมได้ตามใจ หรืออาจจะลองดูในบ้านตัวอย่างไว้เป็นไอเดียกันก่อนได้     บ้านแบบ MD เป็นบ้านแฝด 2 ชั้น 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ จอดรถได้ 2 คัน ขนาดที่ดิน 36 – 44 ตร.ว. พื้นที่ใช้สอย 155 ตร.ม. หน้าบ้านกว้างถึง 10.20 เมตร เป็นบ้านแฝดแต่ให้อารมณ์เหมือนบ้านเดี่ยว เนื่องจากโครงสร้างที่อิสระไม่มีผนังที่ติดกันจึงทำให้สามารถเข้าออกได้ 2 ทาง ทั้งด้านหน้าบ้านและด้านที่จอดรถจอดรถก็เดินเข้าบ้านได้เลย     ภายในบ้านให้บรรยากาศโอ่โถงด้วยเพดานสูง 2.5 เมตร พร้อมกับประตูกระจกบานเลื่อน และหน้าต่างบานใหญ่ที่เปิดรับแสงธรรมชาติได้อย่างเต็มที่ และยังมีพื้นที่สำหรับห้องอเนกประสงค์ที่มีกระจกเข้ามุมและหน้าต่างโดยรอบ ทำให้ภายในห้องไม่อัดอัดจนเกินไป และสามารถปรับเปลี่ยนการใช้งานได้ตามใจต้องการ ไม่ว่าจะเป็นห้องทำงาน, ห้องเกมส์, ห้องโฮมเธียเตอร์, ห้องออกกำลังกาย หรือจะปรับให้เป็นอีก 1 ห้องนอนสำหรับผู้สูงอายุก็ได้เช่นกัน     ถัดไปจะเป็นในส่วนของห้องครัวบริเวณโซนด้านหลังของตัวบ้าน ทางโครงการต่อเติมให้เป็นครัวปิดพร้อมหน้าต่างระบายอากาศขนาดใหญ่ สามารถวางเฟอร์นิเจอร์ Built in เป็นชุดครัวรูปตัว L ได้เกือบเต็มพื้นที่ ในขณะที่ส่วนที่เป็นไฮไลท์ของแบบบ้านใหม่ คือ พื้นที่ห้องซักรีดที่อยู่ถัดไปทางด้านข้างของตัวบ้าน ซึ่งทางโครงการลงเสาเข็มเตรียมไว้ให้เรียบร้อยแล้ว ถ้าลูกบ้านต้องการต่อเติมให้เป็นห้องซักรีดแบบปิดก็เพียงแค่กั้นประตูทางเข้าออกเพิ่มเท่านั้น ก็จะได้พื้นที่การใช้สอยประโยชน์เพิ่มขึ้นอีก     ขึ้นไปที่บริเวณชั้น 2 จะแบ่งเป็น 3 ห้องนอน  2 ห้องน้ำ โดยที่ห้องนอนเล็กทั้ง 2 ห้อง ถูกตกแต่งเป็นห้องนอนสำหรับเด็กๆ ด้วยสีชมพูหวานๆ สำหรับสาวๆ กับห้องสไตล์เท่ห์ๆ เหมือนอยู่ในอวกาศแมนๆ ของเด็กผู้ชาย หากครอบครัวไม่ใหญ่ก็สามารถเปลี่ยนฟังก์ชั่นไปใช้งานในรูปแบบอื่นๆ ได้ เช่น ห้องแต่งตัว, สตูดิโอสำหรับ Live ขายของออนไลน์ หรือเลือกเป็นห้องพระก็ได้  ด้วยข้อดีของการออกแบบที่ให้ทุกห้องนอนมีหน้าต่างบานใหญ่รับแสงธรรมชาติ ทำให้ไม่ต้องเปิดไฟในเวลากลางวัน และยังช่วยถ่ายเทอากาศได้ดี รวมถึงห้องน้ำที่โถงชั้น 2 ก็ออกแบบให้แยกโซนเปียกแห้งไว้เรียบร้อย     สำหรับห้องนอนใหญ่สุด Master Bedroom เป็นห้องในโซนด้านหน้าเต็มความกว้างของตัวบ้าน แถมความสูงของเพดานถึง 2.9 เมตร จึงทำให้โปร่งโล่งสบายไม่อึดอัด พร้อมหน้าต่างบานใหญ่ 3 บานเพื่อรับแสงธรรมชาติและการถ่ายเทอากาศ นอกจากนี้พื้นที่ในห้อง Master Bedroom ยังมีขนาดกว้างมากพอที่จะแบ่งโซนสำหรับทำ Walk in Closet ได้เป็นสัดส่วน และมีห้องน้ำในตัวที่มีการแยกส่วนเปียกแห้ง พร้อมพัดลมระบายอากาศ ชุดอุปกรณ์ภายในห้องน้ำใช้เป็น HAFELE ทั้งหมด          สำหรับบ้านแบบ M1 จะเป็นบ้านทาวน์โฮม 2 ชั้น 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 1 ที่จอดรถ บนที่ดินประมาณ 18 – 40 ตร.ว. มีพื้นที่ใช้สอย 123 ตร.ม. หน้ากว้าง 5.5 เมตร           บริเวณชั้น1 สามารถจอดรถได้ 1 คัน ภายในบ้านจะมีโซนที่เรียกว่า Multi Area จะเป็นห้องอเนกประสงค์ที่จะปรับเปลี่ยนการใช้งานได้ตามความต้องการ ทางโครงการออกแบบให้เป็นร้านขายเสื้อผ้าเล็กๆ ไว้ให้เป็นไอเดีย เมื่อถัดเข้าไปด้านในจะพบกับ Living Area ซึ่งจัดเป็นห้องนั่งเล่นต่อเนื่องจนไปถึงโซนรับประทานอาหาร โดยเป็นการจัดพื้นที่ใช้สอยให้เชื่อมต่อถึงกันไปจรดกับพื้นที่ด้านหลังที่ต่อเติมเป็นห้องครัวและพื้นที่ซักรีด ซึ่งโครงการได้ลงเสาเข็มเผื่อการต่อเติมไว้ให้แล้ว     ขึ้นไปที่บริเวณชั้น 2 แบ่งเป็น 3 ห้องนอน 1ห้องน้ำ โดยมีฟังก์ชั่นห้องน้ำแยกสำหรับอาบน้ำกับห้องส้วมเพื่อความสะดวกในการใช้งานหากต้องการเข้าห้องน้ำในเวลาเดียวกัน ในส่วนของ Master Bedroom ซึ่งอยู่บริเวณด้านหน้าของตัวบ้านเป็นห้องหน้ากว้างเปิดรับแสงธรรมชาติได้เต็มที่ โดยพื้นที่ภายในห้องแบ่งเป็นห้องนอนกับพื้นที่แต่งตัวได้เป็นสัดส่วน       สำหรับห้องนอนเล็กอีก 2 ห้อง มีขนาดกว้างพอจะวางเตียง 3.5 ฟุต เพื่อใช้เป็นห้องนอนลูกๆ หรือจะปรับเปลี่ยนเป็นห้องทำงาน ห้องพระ หรือใช้ประโยชน์อื่นๆ ได้ตามต้องการ     บ้านแบบ M2 เป็นทาวน์โฮม 2 ชั้น 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ จอดรถได้ 2 คัน ที่ดิน 19-36 ตร.ว. พื้นที่ใช้สอย 123.7 ตร.ม. หน้ากว้าง 5.4 เมตร  บริเวณชั้น 1 เมื่อเข้ามาในตัวบ้านจะเจอกับ Living Area และ Dining Area ที่แบ่งพื้นที่การใช้งานได้อย่างลงตัว ในขณะเดียวกันยังมีห้องเอนกประสงค์ไว้อีก 1 ห้อง ซึ่งสามารถใช้เป็นอีกหนึ่งห้องนอน หรือตกแต่งใช้งานในรูปแบบอื่นๆ ได้ตามต้องการ ซึ่งจุดเด่นของห้องนี้คือมีกระจกเข้ามุมที่ช่วยเพิ่มแสงสว่างให้กับห้อง ทำให้ห้องดูกว้างขึ้นและไม่อึดอัดจนเกินไป ส่วนด้านในสุดของตัวบ้านเป็นพื้นที่ต่อเติมที่ทางโครงการได้ลงเสาเข็มไว้ให้แล้ว พร้อมรองรับการต่อเป็นห้องครัวและห้องซักผ้าตามแบบที่ทางโครงการทำไว้ให้ชมเป็นไอเดียเพิ่มเติม       ถัดขึ้นมาที่บริเวณชั้น 2 จะแบ่งพื้นที่ออกเป็น 3 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ โดยห้อง Master Bedroom เป็นห้องที่ใหญ่ที่สุดอยู่บริเวณด้านหน้าบ้าน มีหน้าต่างบานใหญ่ที่เปิดรับแสงธรรมชาติได้เป็นอย่างดี และต่างจากแบบบ้านก่อนหน้าคือมีห้องน้ำในตัว พร้อมตกแต่งให้มีพื้นที่บริเวณหน้าห้องน้ำเป็น Walk-in Closet ได้อีกด้วย ในขณะที่ห้องนอนเล็กอีก 2 ห้อง สามารถตกแต่งใช้ประโยชน์ได้หลายรูปแบบตามไลฟ์สไตล์ของผู้อาศัย ไม่ว่าจะใช้เป็นห้องนอนของเด็กๆ สำหรับครอบครัวที่มีลูก หรือจะปรับเป็นห้องทำงาน, ห้องแต่งตัว ฯลฯ  และโถงด้านบนจะมีห้องน้ำอีก 1 ห้อง โครงการ M Life สุขุมวิท– บางปู 87  เป็นอีกหนึ่งโครงการบ้านในย่านบางปูที่น่าสนใจมากๆ ด้วยแบบบ้านที่ออกแบบมาให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่วัยทำงานเริ่มสร้างครอบครัว หรือ ครอบครัวที่กำลังมองหาบ้านใหม่เพื่อขยับขยายการอยู่อาศัย หรือกลุ่มคนที่มีกิจการร้านออนไลน์เล็กๆ ก็น่าจะได้ฟังก์ชั่นบ้านที่ตอบโจทย์ได้มากขึ้น ประกอบกับที่ตั้งโครงการที่อยู่บนทำเลศักยภาพใกล้กรุงเทพฯ มีความพร้อมในเรื่องการเดินทางที่สะดวกและรวดเร็วทั้งการเดินทางด้วยรถไฟฟ้า และการใช้รถส่วนตัวก็มีเส้นทางให้เลือกได้หลายทาง นอกจากนี้แบบบ้านที่มีความสวยหรูและทันสมัย เลือกใช้วัสดุที่ได้มาตรฐาน และมีฟังก์ชั่นบ้านให้เลือกปรับเปลี่ยนการใช้งานได้ง่าย พร้อมพื้นที่ส่วนกลางครบครัน ตอบโจทย์การอยู่อาศัยได้อย่างครบทุกเพศทุกวัย ด้วยราคาที่คุ้มค่า เริ่มต้นเพียง 2.35 ถึง 3.59 ล้านบาท* จึงนับว่าเป็นอีกโครงการหนึ่งในย่านบางปูที่น่าสนใจ และน่าจับจองเป็นเจ้าของ     โครงการอื่นที่น่าสนใจ แกรนด์ สิวารมณ์ สุขุมวิท-บางปู บ้านเดี่ยว 4 ห้องนอน สิวารมณ์ วิลเลจ สุขุมวิท-เทพารักษ์ ทาวน์โฮมดีใกล้รถไฟฟ้า M Life บางแค-สาทร พรีเมียมทาวน์โฮม ติดถนนกาญจนา พรีวิว สิวารมณ์ เนเจอร์พลัส 2 (สุขุมวิท-บางปู) สิวารมณ์ วิลเลจ สุขุมวิท-เทพารักษ์

City Home ดีไซน์ใหม่ ราคาสบายกระเป๋า เริ่ม 1.09 ล้านบาท

City Home ดีไซน์ใหม่ ราคาสบายกระเป๋า เริ่ม 1.09 ล้านบาท

City Home ดีไซน์ใหม่ ราคาสบายกระเป๋า เริ่ม 1.09 ล้านบาท ศุภาลัย เปิดตัวคอนโดฯใหม่โครงการแรกของปี 2566 แบรนด์ “City Home” คอนโดราคาจับต้องได้ที่เคยทำเมื่อ20 ปีก่อน เลือกโลเคชั่น ย่านสนามบินน้ำ – รัตนาธิเบศร์ ที่สะดวกเชื่อมต่อการเดินทาง ทั้งแหล่งงาน, สถานที่สำคัญ, คอมมูนิตี้มอลล์ และเป็นโครงการที่ลายล้อมด้วยร้านอาหารอร่อยมากมาย     City Home ดีไซน์ใหม่ ราคาสบายกระเป๋า เริ่ม 1.09 ล้านบาท City Home สนามบินน้ำ รัตนาธิเบศร์ เป็นคอนโดฯ เพียงโครงการเดียวที่ตั้งอยู่บนถนนเลี่ยงเมืองนนทบุรี ใกล้รถไฟฟ้าสายสีม่วง MRT สถานีแยกนนทบุรี รายล้อมด้วยแหล่งอำนวยความสะดวก ห้างสรรพสินค้า เซ็นทรัล พลาซ่า รัตนาธิเบศร์, เอสพลานาด ซีนีเพล็กซ์, สนามบินน้ำ มาร์เก็ตพาร์ค, โลตัส, บิ๊กซี และแมคโคร ฟู้ดเซอร์วิส  ส่วนสายกินต้องชอบ เพราะโครงการแวดล้อมไปด้วยร้านอาหารและคาเฟ่มากมายกว่า 10 ร้าน ใกล้ตลาดนัดใหญ่สุดในย่าน นนท์บุรี ตลาดนกฮูก   ด้านสุขภาพก็มีโรงพยาบาลชั้นนำ อาทิ โรงพยาบาลพระนั่งเกล้าและโรงพยาบาลทรวงอก     City Home สนามบินน้ำ รัตนาธิเบศร์ ภายใต้คอนเซ็ปต์ Find out Yourself ค้นหาความเป็นคุณเอง เน้นกลุ่มเป้าหมาย Gen Me ที่รวมกลุ่มคนทั้ง Gen X – Y – Z ที่มีความเป็นตัวของตัวเอง รักอิสระ โครงการ City Home สนามบินน้ำ  รัตนาธิเบศร์ มีการดีไซน์วางผังตัวอาคารที่ไม่บังกันเอง มีที่จอดรถจัดไว้ให้  33%   City Home สนามบินน้ำ รัตนาธิเบศร์ รูปแบบห้อง 2 แบบ 3 สไตล์ ได้แก่ ห้องสตูดิโอ และห้องขนาด 1 ห้องนอน โครงการเน้นขายห้อง สตูดิโอ ที่มีจำนวนถึง 90% ของโครงการ ด้วยการออกแบบ Flexible Lay-Out ที่ลูกค้าสามารถจัดวางรูปแบบห้องได้หลากหลาย และสามารถปรับเปลี่ยน ตามฟังก์ชันการใช้งานตามความต้องการ พร้อมชุดครัวสีสันสดใส ทั้งยังระบายอากาศด้วยวิธีธรรมชาติ  พิเศษสำหรับห้องพักชั้น 1 ที่สามารถเชื่อมต่อพื้นที่สวนด้านนอก Green Terrace แต่ยังคงความเป็นส่วนตัวด้วยประตูบานเลื่อนระแนง ทำให้รู้สึกเหมือนอยู่บ้านที่มีสนามหน้าบ้านกันเลย ขนาดของห้องมีให้เลือก Studio A 25.5 ตร.ม. (ห้องน้ำติดโถงทางเดิน) Studio B 25.5 ตร.ม. (ห้องน้ำติดภายนอกอาคาร) 1 Bedroom 30.5 ตร.ม.     City Home สนามบินน้ำ รัตนาธิเบศร์ สิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการมีให้ครบครัน มีให้ทั้งโซน Active และ Passive ทางด้านหน้าโครงการ จะเป็นอาคารพาณิชย์ และห้องสโมสร 1 อาคาร มีร้านค้าทั้งหมด 4 ยูนิต ซึ่งในอนาคตจะเปิดเป็นร้านสะดวกซื้อ, ร้านอาหาร และซักรีด และ ร้านเพื่ออำนวยความสะดวกของลูกบ้าน  ขยับออกมาที่ติดกันจะเป็นอาคารที่เรียกว่า Co-Active ที่มีห้องฟิตเนส และที่ด้านนอกจะเป็นลานออกกำลังกายกลางแจ้ง มีบาร์โหน เครื่องออกกำลังกายต่างๆ แบบ Multi-Function พร้อมม้านั่งเล่นพักผ่อน บรรยากาศใกล้ชิดสวน พื้นที่สีเขียว ส่วนพื้นที่ส่วนกลางอื่น ๆ จะมีพื้นที่สีเขียวรอบ ๆ โครงการ ได้แก่ Enchanted Garden, Natural Walkway, Relaxing Corner, Green Terrance และ Chilling Corner ส่วนภายในอาคารแต่ละอาคารจะมี Lobby, Mailbox, Semi-Outdoor Lobby แยกกันชัดเจน ลิฟต์โดยสารมีให้ 2 ตัว/อาคาร มีที่จอดรถ ประมาณ 33% ไม่รวมจอดซ้อนคัน     City Home สนามบินน้ำ รัตนาธิเบศร์ คอนโดมิเนียม Low Rise สูง 8 ชั้น 2 อาคาร และอาคารชุดเพื่อพาณิชย์และห้องสโมสร สูง 1 ชั้น 1 อาคาร บนพื้นที่กว่า 5 ไร่ จำนวน 562 ยูนิต (ห้องพักอาศัย 558 และร้านค้า 4   ยูนิต) ตอบโจทย์การใช้ชีวิตด้วยขนาดห้องที่หลากหลาย สตูดิโอ – 1 ห้องนอน ตั้งแต่ 25.5 – 30.5 ตร.ม. พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวก อาทิ Fitness, ลาน Co-Active  และ Open Space ผ่อนคลายให้สุดด้วยพื้นที่สีเขียวรายล้อมโครงการ พร้อมระบบรักษาความปลอดภัยทั้งระบบสแกนใบหน้า และ CCTV ตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมรถบริการรับ-ส่งถึงสถานีรถไฟฟ้า MRT โดยจะแล้วเสร็จพร้อมให้เข้าอยู่กลางปี 2567 ราคาเริ่มต้นเพียง 1.09 ล้านบาท หรือ 42,700 บาทต่อตร.ม.   City Home สนามบินน้ำ รัตนาธิเบศร์ เป็นคอนโดตั้งอยู่บนถนนเลี่ยงเมืองนนทบุรี แม้สิงอำนวยความสะดวกภายในโครงการจะไม่ได้เน้น ไม่มีสระว่ายน้ำ แต่ทดแทนด้วยแบบห้องใหม่ที่ เน้นประโยชน์ใช้สอย ภายในห้องให้ดีขึ้น ทำให้ ราคาห้องถูกลง และค่าใช้จ่ายส่วนกลางก็ถูกลง   ที่ให้เข้าชมห้องตัวอย่างได้แล้ววันนี้ พร้อมเปิดจอง ในราคาเริ่มต้น 1.09 ล้านบาท จองเพียง 3,900 บาท และผ่อนเริ่มต้น 3,900 บาท/เดือน Pre-sale วันที่ 18 – 19 มีนาคมนี้ ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ http://bit.ly/3DnAuhx หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมโทร. 1720   โครงการน่าสนใจ คอนโดฯวิวทะเล ใจกลางหัวหิน “ศุภาลัย บลูเวล” “สามเสน-ราชวัตร” ย่านนี้มีเรื่องราว “รัชดา-วงศ์สว่าง” น่าอยู่อย่างไร?          

เปิด 10 เทรนด์เทคโนโลยีด้านเฮลท์แคร์ปี 2023  ที่ช่วยทำให้ชีวิตคุณมีสุขภาพที่ดีขึ้น

เปิด 10 เทรนด์เทคโนโลยีด้านเฮลท์แคร์ปี 2023 ที่ช่วยทำให้ชีวิตคุณมีสุขภาพที่ดีขึ้น

เฮลท์แคร์ ฟิลิปส์เปิด 10 เทรนด์เทคโนโลยีด้านเฮลท์แคร์ของปี 2023 หลังเกิดปัญหาการขาดแคลนบุคลากรด้านกาาแพทย์ ปริมาณงานที่เพิ่ม และความผันผวนของภาวะเศรษฐกิจ   ปัญหาการขาดแคลนบุคลากร ปริมาณงานที่เพิ่มมากขึ้น และความผันผวนทางเศรษฐกิจ ล้วนเป็นปัจจัยที่ ท้าทายผู้ให้บริการทางสาธารณสุขทั่วโลก ในการพัฒนาประสิทธิภาพในการดำเนินงาน และคิดค้นรูปแบบการดูแลรักษาผู้ป่วยใหม่ ๆ ในขณะเดียวกัน ผู้บริหารแถวหน้าในวงการเฮลท์แคร์ ยังตระหนักถึงความรับผิดชอบต่อสังคมมากขึ้น ได้หันมาให้ความสำคัญกับการยกระดับความเท่าเทียมด้านการเข้าถึงระบบสาธารณสุข ตลอดจนความจำเป็นในการลดก๊าซคาร์บอนในอุตสาหกรรม เพื่อการรักษาสุขภาพของโลกเช่นกัน เป็นการตอบสนองต่อความท้าทายข้างต้น ฟิลิปส์ จึงได้รวบรวม 10 เทรนด์เทคโนโลยีเฮลท์แคร์ที่คาดว่าจะมาแรงในปี 2023 นี้ 10 เทรนด์เทคโนโลยีด้านเฮลท์แคร์  1.การแก้ปัญหาการขาดแคลนบุคลากรด้วยระบบการทำงานอัตโนมัติ (Workflow Automation) และปัญญาประดิษฐ์ (AI) จากรายงาน Philips Future Health Index 2022 report เผยว่าปัญหาด้านบุคลากรเป็นเรื่องสำคัญอันดับแรกๆ ของผู้บริหารในวงการเฮลท์แคร์  และหากไม่จัดการกับปัญหานี้อย่างเร่งด่วน ภาวะหมดไฟและการขาดแคลนบุคลากรจะส่งผลให้ระบบสาธารณสุขอ่อนแอลงอย่างต่อเนื่อง ยกตัวอย่างเช่น ในด้านรังสีวิทยา มีงานวิจัยที่แสดงให้เห็นว่า นักรังสีวิทยาอย่างน้อยครึ่งหนึ่งในสหรัฐอเมริกาประสบกับภาวะเหนื่อยล้าจากการทำงาน และทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง [1] ในขณะที่มีการคาดการณ์ว่า ทั่วโลกจะขาดแคลนเจ้าหน้าที่พยาบาลถึง 13 ล้านคนภายในปีค.ศ. 2030 [2] นอกจากนี้ บุคลากรทางการแพทย์ยังต้องเผชิญกับงานค้างจากการรักษาปกติที่ถูกพักไว้ในช่วงที่มีการแพร่ระบาดยิ่งทำให้เกิดภาวะตึงเครียดมากกว่าปกติ ซึ่งจากปัญหานี้ จะเห็นว่าผู้ให้บริการด้านสาธารณสุขได้นำระบบการทำงานอัตโนมัติที่มีเทคโนโลยี AI เข้ามาใช้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและขีดความสามารถของบุคลากรทางการแพทย์   ระบบการทำงานอัตโนมัติ (Automation) เป็นเทรนด์เทคโนโลยีด้านเฮลท์แคร์ที่สามารถช่วยลดภาระงานด้านเอกสารให้กับแพทย์ พยาบาล และนักเทคนิคการแพทย์ เพื่อให้บุคลากรทางการแพทย์ใช้เวลาอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์น้อยลงและมีเวลาอยู่กับผู้ป่วยมากขึ้น นั่นหมายถึงการปรับปรุงกระบวนการทำงานขั้นพื้นฐานที่ให้ผลลัพธ์สูง เช่น การเปิดใช้งานระบบส่งต่อข้อมูลตรวจติดตามผู้ป่วยเข้าสู่ระบบเวชระเบียนอิเล็กทรอนิกส์โดยตรง ซึ่งช่วยเพิ่มประสบการณ์ที่ดีและประสิทธิภาพการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์ได้ 2.การเพิ่มทักษะด้านดิจิทัลผ่านการฝึกอบรมและการศึกษาอย่างต่อเนื่อง ระบบการทำงานอัตโนมัติสามารถช่วยลดภาระงานที่มากเกินไปในแต่ละแผนกของโรงพยาบาลได้ แต่บุคลากรทางการแพทย์ยังจำเป็นต้องได้รับความรู้และการฝึกอบรมที่เหมาะสมเพื่อให้ทันกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี โดยพบว่า 1 ใน 5 ของบุคลากรทางการแพทย์ลาออกจากสายงานนี้ตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 [3] การฝึกอบรมบุคลากรใหม่ๆ อย่างเพียงพอจึงสำคัญอย่างยิ่งต่อความต่อเนื่องในการทำงาน ความปลอดภัยและคุณภาพของการดูแลรักษาผู้ป่วย และในอนาคต เราจะเห็นความต้องการ ‘บริการด้านการศึกษา’ เพิ่มมากขึ้น เพื่อสนับสนุนการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง รับการเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้นด้านดิจิทัลในวงการเฮลท์แคร์ 3.การปฏิบัติงานทางไกล (Remote Operations) ผ่านการทำงานร่วมกันออนไลน์ (Virtual Collaboration) นี่เป็นหนึ่งในเทรนด์เทคโนโลยีด้านเฮลท์แคร์ที่ถูกนำมาใช้งานมากขึ้นหลังจากมีการแพร่ระบาดของโควิด-19 และปัจจุบันได้กลายเป็นเทคโนโลยีหลักในวงการเฮลท์แคร์ เนื่องจากขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์ที่มีประสบการณ์หรือมีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางในพื้นที่ห่างไกลมากขึ้น   การทำงานร่วมกันแบบทางไกลยังมีประโยชน์ด้านการแพทย์อื่นๆ เช่น การดูแลผู้ป่วยฉุกเฉิน อย่างระบบ Tele-ICU (เทเล-ไอซียู) ช่วยส่งเสริมการดูแลผู้ป่วยวิกฤติถึงข้างเตียงผ่านการใช้เทคโนโลยีไม่ว่าสถานพยาบาลนั้นจะตั้งอยู่ที่ไหนก็ตาม โดยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากส่วนกลางสามารถตรวจติดตามอาการของผู้ป่วยวิกฤติ (ICU) แบบทางไกล ได้สูงสุดถึง 500 เตียงเพื่อสนับสนุนการทำงานของทีมบุคลากรในพื้นที่ โดยผสานเทคโนโลยีแสดงภาพและเสียง (Audio-visual technology), เทคโนโลยีการวิเคราะห์เชิงคาดการณ์ (Predictive analytics) และการแสดงผลข้อมูล (Data visualization) เพื่อให้มั่นใจว่าผู้ป่วยได้รับการดูแลอย่างทันท่วงทีเมื่อจำเป็น 4.โซลูชันด้านสารสนเทศ (Informatics solutions) ที่เป็นกลางและสามารถทำงานร่วมกับหลากหลายเครื่องมือหรือระบบได้ เนื่องจากระบบสาธารณสุขมีการเชื่อมต่อกันมากขึ้น ระบบและอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่แตกต่างกันจำเป็นต้องสามารถ 'เชื่อมต่อ' ถึงกันได้เพื่อสร้างประสบการณ์ไร้รอยต่อสำหรับผู้ป่วยและบุคลากรทางการแพทย์ ตามปกติ โรงพยาบาลจะจัดซื้ออุปกรณ์และเครื่องมือการแพทย์จากหลากหลายแบรนด์ ซึ่งมักส่งผลต่อการกระจัดกระจายของโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัล ส่งผลต่อประสบการณ์ด้านสาธารณสุขที่ไม่เชื่อมต่อกัน แนวทางในการแก้ปัญหาคือ การนำโซลูชันด้านสารสนเทศที่เป็นกลางและสามารถทำงานร่วมกับหลากหลายเครื่องมือหรือระบบได้มาใช้มากขึ้นใน ปีค.ศ. 2023 และในอนาคต   อีกตัวอย่างหนึ่งคือ ในการดูแลผู้ป่วยฉุกเฉินและในระยะฟื้นฟู แพลตฟอร์มเชื่อมต่อเครื่องมือแพทย์แบบเป็นกลาง สามารถรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลจากเครือข่ายของอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกันเพื่อประมวลผลข้อมูลเชิงลึกและการแจ้งเตือนที่สนับสนุนการดูแลผู้ป่วยได้ดีขึ้น และแพลตฟอร์มดังกล่าวยังสามารถเชื่อมต่อกับระบบ เวชระเบียนอิเล็กทรอนิกส์ (EMR) ของโรงพยาบาล รวมถึงเครื่องมือสื่อสารและความร่วมมือทางคลินิกได้อีกด้วย ส่งผลให้บุคลากรในโรงพยาบาลสามารถเห็นภาพรวมเกี่ยวกับอาการและปัจจัยด้านสุขภาพของผู้ป่วยแต่ละรายได้ เมื่อการส่งต่อข้อมูลระหว่างระบบและอุปกรณ์ง่ายขึ้น บุคลากรทางการแพทย์ก็ไม่ต้องเสียเวลาไปกับการดึงข้อมูลผู้ป่วยจากไซต์และแผนกต่าง ๆ อีกต่อไป 5.เฮลท์แคร์กำลังย้ายไปอยู่บนคลาวด์ (Cloud) คลาวด์เป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีที่สำคัญในการเชื่อมต่อและบูรณาการโครงสร้างพื้นฐานไอทีด้านเฮลท์แคร์ เมื่อโครงสร้างพื้นฐานจำเป็นต้องมีความปลอดภัยระดับสูงและสามารถรองรับข้อมูลปริมาณมากๆ ได้ เพื่อช่วยให้ผู้ให้บริการด้านสาธารณสุขสามารถปรับให้เข้ากับความต้องการที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของข้อมูล ก่อนหน้านี้การประยุกต์ใช้คลาวด์ในวงการเฮลท์แคร์ถือว่าล้าหลังมาก แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา การประยุกต์ใช้คลาวด์ในวงการเฮลท์แคร์เติบโตอย่างรวดเร็วและได้รับการยอมรับมากขึ้น และน่าจะได้เห็นการนำคลาวด์ไปใช้ทั่วทุกมุมโลกในปี 2023 นี้ และน่าจะได้เห็นการเพิ่มขึ้นของโซลูชัน software-as-a-service (SaaS) ที่ส่งผ่านระบบคลาวด์ตามมา 6.การติดตามอาการผู้ป่วยอย่างไร้รอยต่อทั้งในและนอกโรงพยาบาล การใช้งานโซลูชันดิจิทัลบนคลาวด์ในวงการสาธารณสุขจะช่วยสนับสนุนการแชร์ข้อมูลที่เพิ่มมากขึ้นและสร้างรากฐานของระบบสาธารณสุขที่สามารถเชื่อมต่อจากโรงพยาบาลไปสู่บ้านผู้ป่วยและชุมชน จากรายงาน Philips Future Health Index 2022 report เผยว่า ผู้บริหารในวงการเฮลท์แคร์เล็งเห็นว่าการดูแลรักษาผู้ป่วยนอกโรงพยาบาลเป็นสิ่งที่ต้องหันมาให้ความสำคัญเป็นอันดับต้นๆ รองจากความพึงพอใจและการรักษาบุคลากรทางการแพทย์ในองค์กร การให้การดูแลรักษาอย่างถูกต้องในสถานที่และเวลาที่เหมาะสม เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยสร้างประสบการณ์แบบไร้รอยต่อให้กับผู้ป่วยได้ 7.มุ่งเน้นที่การส่งมอบบริการทางสาธารณสุขที่ครอบคลุมและเท่าเทียมกันมากขึ้น การแพร่ระบาดของโควิด-19 เร่งให้เกิดการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลด้านเฮลท์แคร์เร็วขึ้น เพื่อเพิ่มการเข้าถึงด้านสาธารณสุข โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลและพื้นที่ชนบท การแพร่ระบาดของโควิด-19 ยังส่งผลกระทบต่อกลุ่มเปราะบางบางกลุ่ม และทำให้ช่องว่างด้านสุขภาพทั่วโลกเพิ่มมากขึ้น ความไม่เท่าเทียมด้านการเข้าถึงระบบสาธารณสุขทั้งภายในและระหว่างประเทศอาทิ อัตราการเจ็บป่วยที่สูงกว่าในบางเชื้อชาติและบางกลุ่มชาติพันธุ์กำลังเป็นที่สนใจมากขึ้น [4] ทำให้ทั่วโลกพยายามหาทางออกในการแก้ปัญหาความไม่เท่าเทียมในระบบสาธารณสุข [5] จากการรายงาน Future Health Index 2022 report เผยว่าผู้นำในวงการเฮลท์แคร์ของสหรัฐอเมริกาให้ความสำคัญด้านความเท่าเทียมทางสาธารณสุขเป็นอันดับแรก ต่อจากนี้ สังคมคาดหวังให้องค์กรมีบทบาทสำคัญในการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีในการดูแลสุขภาพและเป็นพันธมิตรทางด้านการเงินในการสร้างระบบสาธารณสุขที่เท่าเทียม แพลตฟอร์ม อย่าง Digital Connected Care Coalition สามารถเชื่อมต่อองค์กรภาครัฐและเอกชนเพื่อช่วยผลักดันให้โครงการดิจิทัลเฮลท์ในประเทศที่มีรายได้น้อยและปานกลางได้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว   สำหรับโซลูชันด้านเฮลท์แคร์เทคโนโลยีในอนาคต ต้องช่วยให้เกิดการส่งมอบด้านสาธารณสุขที่เท่าเทียมกันมากขึ้น เพื่อสนับสนุนให้ทุกคนมีสุขภาพที่ดี ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นใครหรืออาศัยอยู่ที่ใด เราต้องแน่ใจว่าจะไม่มีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ซึ่งจำเป็นต้องมีแนวทางที่ครอบคลุมและได้รับความร่วมมือในการให้ผู้คนเป็นศูนย์กลางของกระบวนการทางนวัตกรรม และนั่นหมายถึงการรับฟังและทำงานอย่างใกล้ชิดกับผู้ที่ต้องเผชิญกับความไม่เท่าเทียมทางสาธารณสุขที่มีอยู่ 8.การหมุนเวียน คือ กลยุทธ์ในการลดผลกระทบต่อสภาพอากาศของผู้ให้บริการด้านสาธารณสุข การเพิ่มขึ้นของประชากรผู้สูงอายุและอุบัติการณ์ของโรคเรื้อรัง ทำให้โมเดลด้านสาธารณสุขอย่างยั่งยืนเป็นที่ต้องการอย่างมาก รวมถึงปัญหาด้านพลังงาน ซึ่งอุตสาหกรรมด้านเฮลท์แคร์มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์คิดเป็นร้อยละ 4  ของการปล่อยก๊าซทั้งหมดทั่วโลก [6] ซึ่งมากกว่าอุตสาหกรรมการบินหรือการขนส่งอีก และยังทำให้เกิดขยะจำนวนมากอีกด้วย ผู้บริหารในวงการเฮลท์แคร์ที่ให้ความสำคัญด้านความยั่งยืน จึงมองหาเทคโนโลยีเฮลท์แคร์ที่สามารถช่วยลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมนี้ได้   ในเทคโนโลยีเฮลท์แคร์  'การหมุนเวียน' เกี่ยวข้องกับกระบวนการเกี่ยวกับเครื่องมือทางการแพทย์  แต่การประยุกต์ใช้เครื่องมือด้านสมาร์ทดิจิทัลก็ยังสามารถช่วยให้ระบบการดูแลสุขภาพสามารถลดการใช้ทรัพยากรการผลิต ' เพื่อส่งมอบประโยชน์สูงสุดโดยใช้ทรัพยากรน้อยที่สุด ยกตัวอย่าง เช่น การสนับสนุนให้เปลี่ยนสิ่งอำนวยความสะดวกทางคลินิกที่ใช้ทรัพยากรมากไปสู่การใช้เครือข่ายที่เชื่อมต่อได้จากที่บ้านซึ่งมีต้นทุนต่ำกว่า และเทรนด์การใช้โซลูชั่นบนคลาวด์ โซลูชั่นบริการ และโซลูชั่นด้านซอฟต์แวร์นั้น จะช่วยประหยัดการใช้ทรัพยากรสำหรับเครื่องมือทางการแพทย์ และลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ ในขณะที่ยังเพิ่มประสิทธิภาพให้ดียิ่งขึ้น 9.ลดคาร์บอนในวงการเฮลท์แคร์ให้สอดคล้องกับการตั้งเป้าตามหลัก science-based ผู้บริหารในวงการเฮลท์แคร์ตระหนักถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของการปล่อยก๊าซคาร์บอน โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิโลก และพยายามลงมือทำบางอย่างเพื่อรับผิดชอบต่อปัญหาดังกล่าว โดยบริษัทเครื่องมือแพทย์และบริษัทเทคโนโลยีด้านเฮลท์แคร์มีการตั้งเป้ากำหนดการลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนตามหลัก science-based   ตัวอย่างเช่น รัฐแคลิฟอร์เนียได้ประกาศให้บริษัทที่มีมูลค่ามากกว่า 1 พันล้านเหรียญสหรัฐขึ้นไปต้องกำหนดเป้าหมายการลดก๊าซคาร์บอนภายในปีค.ศ. 2025 โดยมี Science Based Targets initiative (SBTi)เป็นองค์กรหลักในการขับเคลื่อนให้องค์กรต่างๆ กำหนดเป้าหมายการปล่อยก๊าซอย่างชัดเจนว่าจะสามารถลดผลกระทบได้มากและเร็วเท่าใดเพื่อลดผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลก ในปีค.ศ. 2022 องค์กรมากกว่า 2,200 แห่ง ซึ่งมีมูลค่ารวมกันมากกว่า 1 ใน 3 ของมูลค่าเศรษฐกิจโลกได้ทำงานร่วมกับองค์กร SBTi สำหรับองค์กรด้านเฮลท์แคร์ได้มีการดำเนินการเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ด้วยการลดการใช้พลังงานทางตรงผ่านการนำเสนอเทคโนโลยีด้านด้านเฮลท์แคร์ที่ประหยัดพลังงานมากขึ้น และทางอ้อม ด้วยการลดการปล่อยมลพิษผ่านการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืนและระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน 10.สร้างความเข้าใจเกี่ยวกับผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมที่มีต่อสุขภาพของประชากร จากข้อมูลของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค Centers for Disease Control and Prevention (CDC) เผยว่าอุณหภูมิและก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เพิ่มสูงขึ้น สภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และผลกระทบด้านสภาพอากาศ ส่งผลต่อสุขภาพประชากรในด้านต่างๆ   บริษัทเครื่องมือแพทย์และบริษัทเทคโนโลยีด้านเฮลท์แคร์เป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่คุณค่า ซึ่งส่งผลกระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพผ่านการเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดิน มลพิษ การบริโภค และการปล่อยก๊าซพิษ ด้วยการตระหนักถึงความสำคัญของระบบนิเวศที่ดีต่อสุขภาพของประชากรที่เพิ่มมากขึ้น คาดว่าจะเห็นแนวโน้มการประยุกต์ใช้ในวงการเฮลท์แคร์ ด้านการ ‘ประเมินต้นทุนทางธรรมชาติ’ เพื่อสนับสนุนการตัดสินใจที่ดีขึ้นเกี่ยวกับการจัดการทรัพยากรจากข้อมูลของ World Economic Forum พบว่าการป้องกันและฟื้นฟูระบบนิเวศทางธรรมชาติสามารถช่วยลดต้นทุนในการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึงร้อยละ 37 ซึ่งจำเป็นภายในปีค.ศ. 2030 เพื่อรักษาภาวะโลกร้อนให้ลดลง 2 องศาเซลเซียสอีกทั้งยังช่วยรักษาสภาพแวดล้อมให้มีความหลากหลายทางชีวภาพเพื่อคนรุ่นต่อๆ ไปในอนาคต [7]   ข้อมูลอ้างอิง [1] Le, Rebecca T., et al. Comparative Analysis of Radiology Trainee Burnout Using the Maslach Burnout Inventory and Oldenburg Burnout Inventory. Academic Radiology, September 2022. [2] Almendral, Aurora, The world could be short of 13 million nurses in 2030 - here's why, World Economic Forum, January 2022. [3] Masson, Gabrielle. About 1 in 5 healthcare workers have left medicine since the pandemic began — Here's why. Becker’s Hospital Review, November 2021. [4] Centers for Disease Control and Prevention. What is Health Equity? [5] United Nations. UN Response to COVID-19. [6] Karliner, Josh, et al. Healthcare’s climate footprint: How the health sector contributes to the global climate crisis and opportunities for action. Health Care Without Harm and Arup, September 2019 (p. 22). [7] Quinney, Marie. 5 reasons why biodiversity matters – to human health, the economy and your wellbeing. World Economic Forum, May 2020.   อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง -10 จุดตรวจเช็คสุขภาพบ้าน เพื่อยืดอายุการใช้งานให้ยาวนาน