ข่าวโปรโมชั่น

 

ข่าวโปรโมชั่น ล่าสุด

1 2 3 ... 103
[PR News] ชญาดา บิซ เพลส ศรีนครินทร์-อ่อนนุช  ทาวน์โฮมสไตล์ออฟฟิศ  เริ่มต้น 14 ล้านบาท

[PR News] ชญาดา บิซ เพลส ศรีนครินทร์-อ่อนนุช ทาวน์โฮมสไตล์ออฟฟิศ เริ่มต้น 14 ล้านบาท

“สวอน เอสเตท” เปิดตัวโครงการทาวน์โฮมสไตล์ออฟฟิศ “ชญาดา บิซ เพลส”ศรีนครินทร์-อ่อนนุช ทาวน์โฮม 3.5 ชั้น 44 ยูนิต แบบ 3 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ 1 ห้องเอนกประสงค์ บนทำเลที่มีศักยภาพมากที่สุดพร้อมความโดดเด่นรอบด้าน รองรับความสมดุลที่ลงตัวของการใช้ชีวิตและการทำงาน ด้วยดีไซน์ฟังก์ชันการปรับเปลี่ยนเพื่อสร้างธุรกิจของตัวเอง บนแนวคิดทำให้ลูกค้าพึงพอใจในยามซื้อ มีความสุขในยามอยู่อาศัย และมีความสบายใจในยามที่ต้องขาย ตอบโจทย์ความต้องการผู้บริโภครุ่นใหม่ที่มองหาการลงทุนที่อยู่อาศัยที่คุ้มค่าระยะยาว เพื่อเป็นรางวัลความสำเร็จในชีวิต เปิดตัวเริ่มต้น 14 ล้านบาท   สวอน เอสเตท   นายเทธดา อุชุปาละนันท์ กรรมการผู้บริหาร บริษัท สวอน เอสเตท จำกัด กล่าวถึงแนวโน้มการซื้อที่อยู่อาศัยว่า ผู้บริโภครุ่นใหม่ไม่ได้มองการซื้อบ้านเป็นเพียงค่าใช้จ่ายในการดำเนินชีวิต แต่มองเป็นปัจจัยเพื่อการออมเงินและการลงทุนมากกว่า ดังนั้น เทรนด์การซื้อบ้านในปัจจุบันและอนาคตภาพรวม คือ ‘การซื้อที่อยู่อาศัยที่สามารถปรับเปลี่ยนการใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย และมีความคล่องตัวในการซื้อขาย’ จึงมีความสำคัญมากที่โครงการจะต้องเข้าใจในสิ่งที่ผู้บริโภครุ่นใหม่ต้องการ นั่นคือตอบโจทย์ความสมดุลของชีวิตที่ทำงานหนักแต่ก็ให้ความสำคัญกับการพักผ่อน กลุ่มนี้จึงไม่ลังเลที่จะให้รางวัลเรื่องบ้านกับตัวเอง แต่ต้องเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า แม้ราคาสูง-แต่หากทำให้เกิดผลสำเร็จในแผนการดำเนินชีวิตระยะยาวก็พร้อมจะตัดสินใจทันที                ชญาดา บิซ เพลส’(Chayada Biz Place) เจอะกลุ่มคนรุ่นใหม่ อายุ 35-53 ปี บริหารธุรกิจได้ด้วยตัวเอง พร้อมมีความฝันที่จะเป็นเจ้านายตัวเอง ผ่านที่อยู่อาศัยที่มีรูปแบบและทำเลที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตและการเริ่มต้นธุรกิจ เพื่อส่งเสริมความก้าวหน้าให้ไปได้ไกลถึงเป้าหมาย โครงการดังกล่าวจึงมีจุดเริ่มต้นพัฒนาขึ้น ‘ในทำเลที่มีศักยภาพมากที่สุด’ บนโซน ศรีนครินทร์-อ่อนนุช ซึ่งมีทำเลอยู่ในเขตกรุงเทพมหานครฯ และติดกับถนนเส้นหลัก ทั้งยังเป็นจุดเชื่อมต่อกับพื้นทีสมุทรปราการซึ่งเป็นทำเลรอง ทำให้มีราคาที่ตอบโจทย์ต่อทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย และยังรองรับต่อความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจได้แบบครอบคลุม             ‘พึงพอใจในยามซื้อ มีความสุขในยามอยู่อาศัย และมีความสบายใจในยามต้องขาย’ เป้าหมายเราจึงเป็นการส่งมอบสิ่งที่ดีที่สุดและต้องไม่เป็นภาระให้กับลูกค้าในอนาคต นั่นเพราะเราเข้าใจในวัฏจักรของตลาดบ้านเป็นอย่างดี เพราะหากลูกค้ามีความจำเป็นต้องขายบ้าน เราก็อยากให้ลูกค้าสามารถขายได้รวดเร็วและได้ราคา ซึ่ง ชญาดา บิซ เพลส มีศักยภาพมากพอที่จะตอบโจทย์แนวคิดนี้ทุกด้าน” คุณเทธดา กล่าว             สำหรับ ชญาดา บิซ เพลส (Chayada Biz Place) เป็นทาวน์โฮม 3.5 ชั้น สไตล์โฮมออฟฟิศ เน้นรูปแบบความหรูหราอินเทรนด์ที่สามารถปรับใช้งานได้หลากหลาย มีทั้งหมด 44 ยูนิต แบบ 3 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ 1 ห้องเอนกประสงค์ พื้นที่ใช้สอย 248 ตร.ม. บนเนื้อที่เริ่มต้น 24.8 ตร.ว. ที่ตัวบ้านและผังโครงการถูกออกแบบเป็น Private Luxuryโดยเมื่อผ่านเข้ามาทางซุ้มประตูสีขาวขนาดใหญ่ที่ครอบคลุมสวนและต้นไม้ใหญ่ไว้ จะเห็นตัวอาคารที่ออกแบบไว้อย่างสวยงามล้อมวงหันหน้าเข้าหากัน ต้อนรับผู้มาเยือนด้วยบรรยากาศที่ร่มรื่นน่าอยู่ อีกทั้งในโครงการยังมีอาคารพิเศษ 14 ยูนิตที่สามารถเปิดเข้า-ออกได้ 2 ทาง เพราะมีด้านหลังติดถนนนอกโครงการ เหมาะกับการปรับใช้ประโยชน์เปิดร้านทำธุรกิจ พร้อมจุดเด่นที่ช่วยเติมเต็มความดุลทั้งการพักอาศัย การทำงาน การเดินทาง ได้ครบทุกความต้องการ ไม่ว่าจะเป็น จุดเด่นที่ตัวโครงการ เพราะเป็นการผสานกันระหว่าง ทาวน์โฮม กับ โฮมออฟฟิศ จึงเป็นที่มาของคำว่า ‘ทาวน์โฮมสไตล์โฮมออฟฟิศ’ บนทำเลที่ตอบโจทย์ทั้งการอยู่อาศัยและทำธุรกิจ ข้อดีทาวน์โฮมที่ไม่ใช่อาคารพาณิชย์คือลูกค้าสามารถขอสินเชื่อจากธนาคารในเงื่อนไขเพื่อเป็นที่อยู่อาศัย ซึ่งจะได้ดอกเบี้ยที่ต่ำกว่า กู้ได้มากกว่าและนานกว่าการกู้เพื่อวัตถุประสงค์อื่น จุดเด่นที่ทำเลที่ตั้ง ตัวโครงการตั้งอยู่ริมถนนใหญ่ ปากซอยเฉลิมพระเกียรติ ร.9 ซอย 67 เดินทางได้สะดวก ใกล้กับเส้นทางคมนาคมและสถานที่สำคัญหลายเส้นทาง อาทิ ถนนบางนา-ตราด, ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลบางนา, เมกะบางนา, อิเกีย บางนา, รพ.สินแพทย์ ศรีนครินทร์, รพ.สมิติเวช ศรีนครินทร์, สนามบินสุวรรณภูมิ และยังได้เปรียบในแง่ทำเลการขาย-ทำธุรกิจที่เข้าถึงง่าย จดจำง่ายอีกด้วย   จุดเด่นที่เป็นโครงการใหม่ มีบรรยากาศรายล้อมด้วยภูมิทัศน์ธรรมชาติ Panoramic Gaden View ที่กว้างสุดสายตา และพื้นที่ Clubhouse สไตล์โมเดิร์น รองรับการผ่อนคลายจากช่วงเวลาการทำงาน ตอบโจทย์ผู้อยู่อาศัยที่ต้องการสภาพแวดล้อมที่ดีต่อสุขภาพ รวมถึงช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์การทำธุรกิจที่ช่วยสร้างภาพจำดีเป็นที่ชื่นชอบของผู้มาเยือน จุดเด่นเรื่องที่จอดรถ ภายในโครงการมี Convenient Parking Lot ที่จอดรถรวมกว่า 200 คัน เป็นที่จอดในแต่ละยูนิตรวม 88 คัน และที่จอดนอกยูนิตอีกกว่าร้อยคัน รวมไปถึงที่จอดนอกโครงการ ซึ่งสามารถรองรับกับลูกบ้านและแขกคนสำคัญที่เข้ามาร่วมทำกิจกรรมหรือการสันทนาการ เพื่อสร้างช่วงเวลาดี ๆ ได้เป็นอย่างดี จุดเด่นเรื่องฟังก์ชัน ตัวบ้านได้รับการออกแบบให้ใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย จากรูปแบบ 3.5 ชั้น ที่นำครึ่งชั้นนี้ไปมอบให้กับห้องมาสเตอร์ แบบ Double Volume จนกลายเป็นห้องที่โอ่โถงและกว้างขวางสมเป็นห้องของเจ้าของบ้านอย่างแท้จริง รวมถึงมีฟังก์ชันเพื่อความปลอดภัยแบบ 2 ชั้น Smart Security หรือ Double-gated Security ที่คอยปกป้องดูแลและสอดส่องเฝ้าระวังอันตรายตลอด 24 ชั่วโมง   จุดเด่นเรื่องวัสดุก่อสร้างและคุณภาพ กำแพงก่อด้วยอิฐมวลเบา 2 ชั้น วัสดุเกรด A ตั้งแต่พื้น ประตูหน้าต่าง สุขภัณฑ์ห้องน้ำ ตกแต่งหรูหราเหมือนกับบ้านเดี่ยว พร้อมแนวทางที่จะไม่ลดทอนคุณภาพจากราคาวัสดุเพื่อชดเชยค่าที่ดินที่สูงขึ้นกว่าโครงการอื่นๆ นอกจากนี้ ชญาดา บิซ เพลส ยังมีแนวทางสำคัญที่ออกแบบมาให้ตอบโจทย์กับเทรนด์ความต้องการประสบความสำเร็จบนวิถีแห่งความสมดุลของชีวิต หรือ Work Life Balance & Success ซึ่งเป็นแนวทางคนรุ่นใหม่ที่ทำงานหนักเพื่อความสำเร็จอย่างชาญฉลาด และให้รางวัลกับชีวิตอย่างเต็มที่ โดยด้วยความสามารถในการปรับรวมที่อยู่อาศัยกับที่ทำงานให้เป็นสถานที่เดียวกัน เพื่อช่วยให้ได้ทุ่มเทกับงานและครอบครัวได้อย่างเต็มที่ไปพร้อม ๆ กัน   บทความน่าสนใจ โฮมโปร ประกาศยุทธศาสตร์ 5 ปี สู่ธุรกิจแสนล้าน ปั้นธุรกิจเติบโตสมดุลอย่างยั่งยืน
[PR News]Sansiri Community จัดงาน Sansiri Woof Fun Run สี่ขาพาวิ่งที่เวสต์เกต

[PR News]Sansiri Community จัดงาน Sansiri Woof Fun Run สี่ขาพาวิ่งที่เวสต์เกต

นายอาณัติ กิตติกุลเมธี รองกรรมการผู้จัดการอาวุโสสายงานพัฒนาโครงการแนวราบ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การสานต่อโมเดล Sansiri Community สังคมอยู่อาศัยสมบูรณ์แบบ โดยในทุกแผนการปั้น Sansiri Community จะประกอบไปด้วยแผนพัฒนาโครงการและไลน์อัพกิจกรรมไลฟ์สไตล์อย่างต่อเนื่อง แสนสิริส่งมอบคุณภาพการใช้ชีวิตอย่างยั่งยืนให้กับลูกบ้าน ที่เป็นมากกว่าที่อยู่อาศัย และในช่วงต้นปีนี้ เราพร้อมต่อยอดการปั้น “เวสต์เกต คอมมูนิตี้” ต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา โดยล่าสุดได้จัดงาน Sansiri Woof Fun Run สี่ขาพาวิ่งที่เวสต์เกต ที่เต็มไปด้วยความสนุก กับกิจกรรมวิ่งของเจ้าของกับน้องหมา รวมกว่า 100 คู่ และกิจกรรมอื่น ๆ อีกมากมาย เช่น การตรวจสุขภาพเบื้องต้นของน้องหมา, โซนดนตรีสด, โซนอาหาร-เครื่องดื่ม และโซนร้านค้าสำหรับคนและสัตว์เลี้ยง โดยกิจกรรมได้รับการตอบรับดีเยี่ยม มีผู้เข้าร่วมงานคับคั่ง” Sansiri Community เวสต์เกต คอมมูนิตี้ (Westgate Community) คอมมูนิตี้แห่งใหม่จากแสนสิริ ตั้งอยู่บนพื้นที่รวมประมาณ 215 ไร่ ซึ่งเป็นทำเลศักยภาพ ที่เข้าสู่การเป็นศูนย์กลางความเจริญทางฝั่งตะวันตกของกรุงเทพฯ บริเวณเลียบคลองถนน และ ถนนเลียบคลองบางไผ่ เชื่อมไปถนนกาญจนาภิเษก รัตนาธิเบศร์ ราชพฤกษ์และชัยพฤกษ์ ทำให้เดินทางง่ายทั้งขนส่งสาธารณะและรถยนต์ส่วนตัว ใกล้รถไฟฟ้าสายสีม่วง สถานีคลองบางไผ่ 1.9 กิโลเมตร และโรงพยาบาลเกษมราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล รัตนาธิเบศร์ 4.3 กิโลเมตร ใกล้เซ็นทรัล พลาซ่า เวสต์เกตและอิเกีย บางใหญ่ 4.7 กิโลเมตร   โดยเวสต์เกต คอมมูนิตี้ ได้รับการออกแบบภายใต้คอนเซ็ปต์ The Seasonal Valley ที่มี 3 ฤดู ได้แก่ Winter Zone, Rainy Zoneและ Spring Zone พร้อมทั้งตกแต่งพื้นที่ในแต่ละโซนด้วยต้นไม้ตามฤดูกาล เพื่อสร้างบรรยากาศร่มรื่นให้กับผู้อยู่อาศัยตลอดโครงการ ให้พื้นที่ทุกตารางเมตร รองรับการใช้ชีวิตของครอบครัวทุกเจเนอเรชั่น ปัจจุบัน ภายในเวสต์เกต คอมมูนิตี้แห่งนี้ประกอบด้วย 2 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 3,500 ล้านบาท ได้แก่ ‘อณาสิริ เวสต์เกต’ บ้านเดี่ยวและบ้านแฝดพร้อมอยู่ สไตล์ Mediterranean และ ‘สราญสิริ เวสต์เกต’ บ้านเดี่ยวสไตล์ Modern Farmhouse     ปัจจุบัน แสนสิริพัฒนา Sansiri Community แล้วทั้งหมดรวม 8 แห่ง ได้แก่ กรุงเทพกรีฑา, บางนา-เลค 26, รังสิต-บางพูน, ราชพฤกษ์-346, กรุงเทพ-ปทุมธานี, เวสต์เกต, พระราม 2-วงแหวน และประชาอุทิศ 90 และเตรียมเปิดใหม่อีก 4 แห่งในปีนี้ ได้แก่ ศรีนครินทร์-แพรกษา, บางนา กม. 10, ศรีวารี และวงแหวน – ลำลูกกา     บทความน่าสนใจ แสนสิริกางแผนปี 67 เปิดตัว 46 โครงการใหม่มูลค่า 6.1หมื่นล้านบุก 4 เมืองท่องเที่ยว สแตนดาร์ดจับมือ แสนสิริ และซีจี แคปปิตอล เปิดเรสซิเดนซ์แห่งแรกในเอเชีย“หัวหิน-ภูเก็ต” แสนสิริ เปิดทำเลโครงการใหม่ปี 66 บักหมุดพื้นที่กรุงเทพฯ​ และอีก 6 จังหวัด
พฤกษา กางแผน ปี67  “อยู่ดี มีสุข” บ้านแบบครบวงจร ตั้งเป้ารายได้ 28,000 ล้านบาท

พฤกษา กางแผน ปี67 “อยู่ดี มีสุข” บ้านแบบครบวงจร ตั้งเป้ารายได้ 28,000 ล้านบาท

นายอุเทน โลหชิตพิทักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยผลการดำเนินงานในปี 2566 ว่า พฤกษา โฮลดิ้ง มีรายได้ 26,132 ล้านบาท กำไรสุทธิ 2,205 ล้านบาท ในปีที่ผ่านมา กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ มีการพัฒนาแบรนด์สินค้าใหม่ “บ้านกรีนเฮ้าส์” เพื่อตอบรับกับกำลังซื้อที่เปลี่ยนแปลงไป โดยการนำเทคโนโลยีและการออกแบบการก่อสร้างแบบใหม่มาใช้ ให้ลูกค้าสามารถผ่อนกับธนาคารได้ เพื่อให้สอดคล้องกับดีมานด์ในสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน   สำหรับทิศทางในปีนี้ มุ่งเพิ่มสัดส่วนในสินค้าในกลุ่มเซกเมนต์กลาง-บน ให้สูงขึ้นมากกว่า 50% โดยคาดว่าจากปี 2562 ที่มีสัดส่วนสินค้ากลุ่มราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท ราว 70% ในปีนี้วางแผนปรับลดให้เหลือราว 40% เพื่อให้สอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันมากขึ้น ในช่วงปีที่ผ่านมาทางกลุ่มก็ได้มีการปรับโครงสร้าง และโมเดลธุรกิจหลายอย่าง ได้นำบริการด้านสุขภาพจากเครือวิมุต ผนวกกับเทคโนโลยีระบบ Smart Home จากแอปพลิเคชัน MyHuas นำเข้ามาปรับใช้ในการออกแบบโครงการ เพื่อเสริมความแข่งแกร่งของธุรกิจหลัก ด้วยการแยกกลุ่มธุรกิจ ออกมาอีก  4 แกน ได้แก่       ธุรกิจเฮลท์แคร์ ครอบคลุมบริการทางสุขภาพตั้งแต่โรงพยาบาลวิมุต และโรงพยาบาลเทพธารินทร์ มีการสร้างความร่วมมือ และการลงทุนใหม่ ๆ เช่น การลงทุน เข้าถือหุ้น 25% ในบริษัท เค.พี.เอ็น ซีเนียร์ ฮอสปิตัล กรุ๊ป เตรียมขยายการบริการเนอร์สซิ่งโฮม ตั้งเป้าขยาย 600 เตียงภายใน 3 ปี กลุ่มยังมีแผนลงทุน 3,500 ล้านบาท ขยายโรงพยาบาลเฉพาะทางที่สุขุมวิท ขยายเตียงที่โรงพยาบาลวิมุตเป็น 150 เตียง พร้อมเติบโตสู่เป้า 2,300 ล้านบาทในปี 2567   ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ภายใต้การดำเนินงานของ  บริษัท ซินเนอร์จี โกรท จำกัด ในเครือพฤกษา ตั้งเป้าโต 5x ในปี 2567 และหวังสร้างรายได้กว่า 1,000 ล้านบาทใน 3 ปี จะนำเสนอสินค้าและบริการเพื่อรองรับไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ โดยได้พัฒนาแพลตฟอร์มเทคโนโลยีแอปพลิเคชัน MyHaus เพื่อเป็นศูนย์กลางที่จะดูแลทั้งเรื่องความปลอดภัยภายในบ้าน และอำนวยความสะดวกสบายให้ลูกบ้านและนิติบุคคล ด้วยระบบ IOT (Security & Smart Home) ควบคุมอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ดูแลได้ทั้งบ้านด้วยแอปพลิเคชันเดียว, Visitor Management ระบบคัดครองผู้มาเยือน, Facility Booking ระบบจองสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ในโครงการ, Repair Management ระบบแจ้งซ่อมแซมบ้าน เพื่อให้สำนักงานนิติบุคคลติดต่อนัดเวลาช่างเข้าซ่อมอย่างมีระเบียบ รวมไปถึงระบบ Community ที่จะสร้างพื้นที่ให้ลูกบ้านสื่อสารกันได้ ซึ่งได้เตรียมพร้อมที่จะรองรับ การให้บริการแก่ลูกค้าจากกลุ่มเรียลเอสตทของพฤกษา ไปจนถึงแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ Clickzy.com (คลิกซิ) ที่รองรับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ให้เลือกช้อปสินค้าที่เกี่ยวกับบ้าน บริการตกแต่งภายในจาก Zdecor และสินค้าเพื่อการดูแลสุขภาพผ่านช่องทางออนไลน์   กลุ่มหน่วยธุรกิจใหม่ ที่แยกออกมาเพื่อรองรับการเติบโต เปิดโอกาสการสร้างรายได้เพิ่มเติม เช่น ธุรกิจพรีคาสท์ จากความประสบความสำเร็จจากการแลกหุ้น ร่วมกับ บริษัท เจนเนอรัล เอนจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ GEL เพื่อเข้าลงทุนในหุ้นสามัญของ “อินโน พรีคาสท์” เพิ่มโอกาสในการจำหน่ายแผ่นพรีคาสท์คาร์บอนต่ำ ทำยอดคำสั่งซื้อและติดตั้ง (Backlog) ทั้งจากพฤกษาและลูกค้ารายอื่น ๆ สูงขึ้นทะลุเป้าหมายอยู่ที่ 4,500 ล้านบาท สู่ผู้นำที่ใหญ่ที่สุดในไทย ตั้งเป้ารายได้โต 50% สู่ 3,500 ล้านบาท   ในปี 2567 และกลุ่มก็ได้มีการแยกหน่วยงาน ธุรกิจรับก่อสร้าง สำหรับอาคารที่พักอาศัย ออกมาเป็นบริษัทใหม่ “อินโน โฮม คอนสตรัคชั่น” ซึ่งเป็นการปรับองค์กรครั้งใหญ่เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพในการทำงานที่ดีขึ้นและสามารถรองรับการขยายโอกาสในการเติบโตและสร้างรายได้จากการรับก่อสร้าง ตั้งเป้าปี 2567 จะสร้างรายได้ 5,600 ล้านบาท จากพฤกษาและลูกค้ารายอื่นนอกจากกลุ่ม มุ่งสู่ความเป็นบริษัทรับก่อสร้างบ้านแนวราบที่ใหญ่ที่สุดในไทย   การลงทุนเพื่อรองรับการขยายห่วงโซ่ธุรกิจ ขยายการลงทุนใน อสังหาริมทรัพย์ประเภทโลจิสติกส์  และ อสังหาริมทรัพย์ที่มุ่งเน้นด้านการดูแลสุขภาพ   จากประกาศความร่วมมือกับ 2 องค์กรชั้นนำจากสิงคโปร์และไต้หวัน  จัดตั้งกองทุน “CapitaLand SEA Logistics Fund” มูลค่าทรัพย์สินเป้าหมาย 25,000 ล้านบาท เพื่อพัฒนานวัตกรรมการบริหารจัดการคลังจัดเก็บและกระจายสินค้าให้บริการครอบคลุมทุกประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และการลงทุนในกองทุน CapitalLand Wellness Fund ( C-Well) มูลค่าทรัพย์สินเป้าหมาย 72,500 ล้านบาท เพื่อเพิ่มโอกาสในการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่มุ่งเน้นด้านการดูแลสุขภาพ ด้วยการรีโมเดลธุรกิจ และโครงสร้างองค์กรในปีที่ผ่านมา ทำให้ในปี 2567 นี้ เราเชื่อว่าพฤกษา โฮลดิ้งพร้อมด้วยกลุ่มบริษัทในเครือทั้งหมด  มีความพร้อมทั้งด้านการปฏิบัติการ และ ความพร้อมทางการเงิน ที่จะเดินหน้าสู่ทิศทางแห่งการเติบโตอย่างก้าวไกลไปอีกขั้น ตามกลยุทธ์ Ready To Thrive  ซึ่งประโยชน์ที่ได้รับจากการปรับโครงสร้างองค์กรใหม่ในครั้งนี้ได้แก่ (1) ประโยชน์จากการจัดซื้อจ้างในครั้งละจำนวนมาก การขนส่ง และการเพิ่มคุณค่าสินค้าให้โครงการ (2) เพิ่มโอกาสในการขายข้ามกลุ่มสินค้า (Cross-Selling) รองรับความต้องการของลูกค้าในทุกช่วงชีวิต (3) สร้างรายได้เพิ่มเติม จากสินค้าและบริการต่างๆ ที่หลากหลาย ตั้งเป้าในอนาคต เพิ่มสัดส่วนรายได้ประจำเป็น 25%  โดยผสานประโยชน์จากทุกแพล็ตฟอร์มเพื่อรังสรรค์การอยู่อาศัยที่ “อยู่ดี มีสุข” ตามวิสัยทัศน์ที่ตั้งไว้  ทั้งนี้ในปี 2567 ตั้งเป้ารายได้ทั้งกลุ่มรวม 28,000 ล้านบาท เปิดโครงการใหม่มูลค่าราว 29,000 ล้าน ในขณะที่สถานะทางการเงินของพฤกษายังคงแข็งแกร่ง โดยมีอัตราส่วนเงินกู้ยืมต่อหุ้นทุนสุทธิ (Net Gearing Ratio) อยู่ในระดับต่ำที่ 0.27 เท่า และจากผลการดำเนินงานในปีที่ผ่านมา ทางคณะกรรมการบริษัทฯ ก็ได้อนุมัติจะนำเสนอผู้ถือหุ้นที่จะจ่ายเงินปันผลเท่ากับ 65 สตางค์ รวมเงินปันระหว่างกาลแล้วจ่ายทั้งสิ้นเท่ากับ 96 สตางค์ กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้น (Record Date) ที่มีสิทธิรับเงินปันผลในวันที่ 1 มี.ค. โดยจะนำเสนอขออนุมัติต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นในวันที่ 26 เมษายน 2567 มีอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนเท่ากับ 7.5% และกำหนดจ่ายเงินปันผลวันที่ 24 พ.ค.นี้ ด้านธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ นายปิยะ ประยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปี 2566 พฤกษาทำรายได้จากอสังหาริมทรัพย์ราว 22,357 ล้านบาท มียอดขาย 18,540 ล้านบาท  เปิดโครงการใหม่รวม 13 โครงการ มูลค่า 14,200 ล้านบาท  ส่วนในปี 2567 ตั้งเป้ายอดขายที่ 27,000 ล้านบาท และตั้งเป้ายอดโอนที่  25,500 ล้านบาท วางแผนเปิดโครงการใหม่ 30 โครงการ แบ่งเป็นโครงการบ้านเดี่ยว 10 โครงการ ทาวน์เฮาส์ 17 โครงการ และ คอนโดมิเนียม 3 โครงการ  รวมมูลค่าทั้งหมดราว 29,000 ล้านบาท โดยมีที่อยู่อาศัยพร้อมอยู่ ที่จะแปลงเป็นรายได้ รวมมูลค่ากว่า 10,000 ล้านบาท  โดยวางแผนเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้พอร์ตโฟลิโอ (Portfolio) ด้วยการเพิ่มสินค้าสำหรับกลุ่มลูกค้าในเซ็กเม้นต์ระดับกลาง - สูง  พร้อมสร้างมูลค่าเพิ่มของแบรนด์ The Palm สู่ราคามากกว่า 30 ล้านบาท ที่นำความร่วมมือ (Synergy) จากธุรกิจเฮลท์แคร์ในเครือเข้ามาผสานใช้ ให้เป็นภาพใหญ่ที่ชัดเจนยิ่งขึ้น   พร้อมมุ่งบริหารสินทรัพย์ที่มีในมือ  โดยในปี 2567 ตั้งเป้าในการ Re-Stock Landbank ด้วยงบ 10,500 ล้านบาท เพื่อมาต่อยอดการขยาย มุ่งพัฒนาที่อยู่อาศัย เพื่อจะคงสัดส่วนการพัฒนาตามกลุ่มลูกค้าราคาบ้านต่ำกว่า 3 ล้านบาทให้ไม่เกิน 40% และมากกว่า 7 ล้านบาทให้มากกว่า 30% สำหรับโครงการที่อยู่อาศัยที่จะเปิดใหม่ในปี 2567 จะยังคงมุ่งพัฒนาที่อยู่อาศัยภายใต้แนวคิด “อยู่ดี มีสุข” โดยผสานความร่วมมือระหว่างธุรกิจในเครือพฤกษาทั้งธุรกิจด้านสุขภาพ และธุรกิจอีคอมเมิร์ซ เพื่อสร้างสรรค์การอยู่อาศัยที่ดี ใส่ใจสิ่งแวดล้อม เลือกใช้วัสดุอุปกรณ์เพื่อการประหยัดพลังงาน อาทิ โซล่าเซลล์ พัฒนาดีไซน์บ้านเพื่อสุขภาพดี และประหยัดพลังงาน (Healthy living home & Passive design home) ให้ดูแลรักษาง่าย เหมาะกับทุกเพศทุกวัย (Universal design) และช่วยลดค่าใช้จ่ายสำหรับผู้อาศัย พร้อมด้วยการตอบรับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ เพื่อให้ชีวิตสะดวกสบายมากขึ้น โดยนำแพลตฟอร์ม MyHuas  ซึ่งป็นเทคโนโลยี Smart Home ควบคุมการทำงานในบ้านได้ที่ปลายนิ้ว มาใช้  พร้อมด้วยมอบบริการเพื่อสุขภาพที่ดีจากโรงพยาบาลวิมุตพันธมิตรในเครือ   ด้านธุรกิจเฮลท์แคร์ นายแพทย์พิชิต กังวลกิจ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) และรักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โรงพยาบาลวิมุต จำกัด   เปิดเผยผลการดำเนินงานปี 2566 ว่า กลุ่มวิมุตมีการเติบโตขึ้นในทุกมิติ มีรายได้รวม 1,820 ล้านบาท เติบโต 50% จากปีก่อน มีจำนวนผู้ป่วย Non-COVID ที่มาใช้บริการที่โรงพยาบาลวิมุตเพิ่มขึ้น 49%  ในปีที่ผ่านมา โรงพยาบาลวิมุตประสบความสำเร็จในการเปิดศูนย์ส่องกล้องและหน่วยเฉพาะทางการเคลื่อนไหวระบบทางเดินอาหาร (ENDOSCOPY & GI MOTILITY UNIT)  ผลักดันการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคยากและซับซ้อนที่ตรงจุดและมีประสิทธิภาพ เราได้เปิดตัวโปรแกรมการทำเลสิก (LASIK) และ โปรแกรมตรวจสมดุลจุลินทรีย์ในลำไส้เฉพาะบุคคล (Gut Microbiome Test) ร่วมกับแอมิลิ (AMILI) บริษัทเฮลท์เทคชั้นนำจากสิงคโปร์   มุ่งช่วยคนไทยเข้าถึงการตรวจวินิจฉัยและการรักษาอย่างตรงจุด และยังช่วยให้แพทย์สามารถแนะนำการปรับสมดุลจุลินทรีย์ให้เหมาะกับคนไข้แต่ละคนได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากการรักษาสมดุลของไมโครไบโอมในลำไส้ เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันเพื่อป้องกันโรคร้าย รวมถึงสร้างสุขภาพกายและใจที่ดีในระยะยาว   นอกจากนี้โรงพยาบาลวิมุตยังคงต่อยอดความร่วมมือกับโรงพยาบาลรามาธิบดี  เพิ่มทางเลือกและการเข้าถึงบริการทางสุขภาพ 17 แพ็คเกจ อาทิ แพ็คเกจผ่าตัดถุงน้ำดี ผ่าตัดมดลูก เต้านม ก้อนเนื้อที่รังไข่ ซ่อมแซมไส้เลื่อน ผ่าตัดริดสีดวงทวาร เปลี่ยนข้อเข่าเทียม ผ่าตัดก้อนหรือผิวหนัง เป็นต้น พร้อมกับได้มีการขยายบริการไปยังกลุ่มผู้ป่วยชาวต่างชาติมากขึ้นโดยเฉพาะกลุ่มประเทศในเขตเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สำหรับปี 2567 กลุ่มวิมุตตั้งเป้ารายได้ที่ 2,300 ล้านบาท มีแผนการรีแบรนด์โรงพยาบาลเทพธารินทร์ ให้เป็น “โรงพยาบาลวิมุต เทพธารินทร์” พร้อมเปิดตัวในช่วงเดือนเมษายนนี้ นอกจากนี้จากความร่วมมือกับ เค.พี.เอ็น ซีเนียร์ ฮอสปิตัล กรุ๊ป ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุและเป็นโซลูชั่นในการดูแลผู้สูงอายุครบทุกมิติเพื่อขยายการรองรับสู่สังคมอายุยืน เข้าบริหารเนอร์สซิงโฮมของกลุ่มวิมุตในย่านบางนา แบริ่ง และวัชรพล ซึ่งมีจำนวนรวม 240 เตียง พร้อมโอกาสในการบริหารเนิร์สซิงโฮมอีก 5 แห่ง โดยตั้งเป้าขยายจำนวนเตียงที่ให้บริการรวม 600 เตียง ภายใน 3 ปี พร้อมทั้งยังคงดำเนินการก่อสร้างโรงพยาบาลวิมุต แห่งใหม่ บริเวณถนนสุขุมวิทและย่านฝั่งธนฯ อย่างต่อเนื่อง     “สำหรับการดำเนินงานในก้าวต่อไปพฤกษายังคงมุ่งมั่นสู่การสร้างความยั่งยืน โดยให้ความสำคัญต่อการดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อม ในปี 2566 กลุ่มได้ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซต์ลงได้ 10,000 ตัน จากการติดตั้งโซลาร์, การออกแบบบ้านประหยัดพลังงาน (Passive Home),  การใช้เทคโนโลยี Smart Home, โครงการร่วมปลูกป่าเพื่อฟื้นฟูระบบนิเวศน์, การใช้คอนกรีตสำเร็จรูปชนิดมีรูกลวง (Hollow Core) ลดการใช้ซีเมนต์,  การใช้เทคโนโลยีสีเขียว  “คาร์บอนเคียว”  (CarbonCure)  และยังคงเดินตามแผนที่ตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 30% ภายในปี 2573 และเข้าสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutral) ในปี 2593 ในปี 2566 กลุ่มได้นำการทำอาคารสำนักงานแบบ Smart Office และ Smart Hospital โรงพยาบาลที่ใช้พลังงานน้อย โดยล่าสุดโรงพยาบาลวิมุตได้รับรางวัล MEA Energy Award  จากการไฟฟ้านครหลวง (MEA) ในโครงการส่งเสริมการปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานในอาคารอีกด้วย” นายอุเทนกล่าวทิ้งท้าย   บทความน่าสนใจ แสนสิริกางแผนปี 67 เปิดตัว 46 โครงการใหม่มูลค่า 6.1หมื่นล้านบุก 4 เมืองท่องเที่ยว SC ASSET ตั้งเป้า5ปี 150,000 ล้าน ภายใต้แนวคิด “มหาศาล มั่นคง สมดุล“    
CHEWA เปิดแผนปี พร้อมลุยจุดแข็ง เสริมแกร่งด้วยพันธมิตร

CHEWA เปิดแผนปี พร้อมลุยจุดแข็ง เสริมแกร่งด้วยพันธมิตร

นายบุญ ชุน เกียรติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชีวาทัย จำกัด (มหาชน) หรือ CHEWA เปิดเผยว่า ทิศทางตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2567 ยังเผชิญปัจจัยลบมากมาย ทั้ง GDP ของประเทศไทยที่คาดว่าจะโตเพียง 3.2% ในปี 2567 ,ระดับหนี้ครัวเรือนสูง แตะ 90% , ระดับความเชื่อมั่นผู้บริโภคต่ำในทุกภาคส่วน ,อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่สูง ,นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจไม่เพียงพอ ประกอบกับการเติบโตหยุดชะงักจากสงครามยูเครนและตะวันออกกลางที่กำลังดำเนินอยู่ ปัจจัยทั้งหมดทำให้ความเข้มงวดของธนาคารในการปล่อยกู้สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยมากขึ้น   ชีวาทัย ปัจจัยเหล่านี้ยังส่งผลกระทบโดยตรงกับผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เพราะเกณฑ์การจัดหาเงินทุนเพื่อลงทุนในโครงการใหม่มีความเข้มงวดมากขึ้น รวมถึงปัจจัยอื่นๆของตลาดที่อยู่อาศัย ในภาพรวมสะท้อนว่า กำลังซื้อตามไม่ทันปริมาณสินค้าใหม่ที่เกิดขึ้น ตลาดในกลุ่มทาวน์โฮมมีสินค้าเข้าสู่ตลาดมากกว่าความต้องการ จนทำให้เกิดสงครามราคาต่อเนื่องเพื่อลดสต๊อกสินค้าลง ทั้งหมดนี้เป็นปัจจัยที่กระทบกับตลาดอสังหาริมทรัพย์ทั้งสิ้น แต่บริษัทยังเห็นโอกาสการเติบโตของตลาดบ้านในช่วงราคาไม่เกิน 10 ล้านบาท และตลาดของคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ในทำเลคุณภาพที่ราคาไม่แพงซึ่งเป็นจุดแข็งที่ได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้าเสมอมา บริษัทยังคงค้นหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ และเปิดรับการร่วมลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง บริษัทฯมีแผนการลงทุนและเปิดโครงการใหม่ เริ่มจากการเปิดตัวบ้านเดี่ยวแบรนด์ชีวารมย์ โครงการ ชีวารมย์ นิว ราชพฤกษ์ อยู่บริเวณถนนราชพฤกษ์ตัดใหม่ (ถนนหมายเลข 346) มูลค่าโครงการประมาณ 687 ล้านบาท  ซึ่งเริ่มรับรู้รายได้แล้วในช่วงไตรมาสที่4 /2566 โครงการคอนโดมิเนียม “ชีวาทัย ฮอลล์มาร์ค เอกมัย-รามอินทรา” อยู่บริเวณถนนนวลจันทร์ ส่วนเชื่อมต่อถนนรัชดา-รามอินทรา มูลค่าโครงการ 1,014 ล้านบาท คาดว่าจะรับรู้รายได้ในช่วงไตรมาสที่ 4 ปี 2025 นอกจากนี้ บริษัทฯยังวางแผนหาที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการเพิ่มเติม ตามเป้าหมาย 4 โครงการ ภายในปี 2567 มูลค่าโครงการรวม 3,700 ล้านบาท วงเงินค่าที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการ ประมาณ  600 ล้านบาท เป็นโครงการคอนโดมิเนียมโลว์ไรซ์ แบรนด์ชีวาทัย ฮอลล์มาร์ค ทั้ง 3 โครงการ มูลค่าประมาณ 3,000 ล้านบาท และบ้านเดี่ยวแบรนด์ชีวารมย์ 1 โครงการ มูลค่า 700 ล้านบาท โดยในปี 2567 บริษัทฯ คาดว่าจะมีรายได้ 2, 000 ล้านบาท จากโครงการเดิมที่ยังมี Backlog ทยอยรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่อง   บริษัทยังคงค้นหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ บริษัททำการร่วมทุนในโรงงานให้เช่า โดยได้พันธมิตรที่สร้างโครงการให้ชีวาทัยมามากมายอย่างบริษัท ยูเวิร์ค 999 จำกัด หรือ U work มาเป็นหุ้นส่วนร่วมกัน ด้วยแนวคิดที่ตรงกันว่า ธุรกิจโรงงานให้เช่ามีแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่อง   โดยทางชีวาทัย จะทำหน้าที่ดูแลรับผิดชอบงานด้านการจัดหาที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการ ,การตลาด, การขาย, การให้เช่า และดูแลการบริหารจัดการให้กับบริษัทร่วมทุน ส่วนทางยูเวิร์ค จะเป็นผู้รับผิดชอบพัฒนาโครงการ ในการก่อสร้าง ให้คำปรึกษา และ ให้บริการวิศวกรรมโครงสร้าง ที่ปรึกษาด้านสิ่งแวดล้อม วิศวกรรมเครื่องกล วิศวกรรมไฟฟ้า วิศวกรรมประปา วิศวกรรมโยธา และนักตกแต่งภายใน ซึ่งเป็นการใช้จุดแข็งของทั้งสองบริษัทมาต่อยอดธุรกิจร่วมกัน โครงการมีการเริ่มต้นก่อสร้างแล้วเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ภายในโครงการนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ระยอง จำนวน 4 โรงงาน มูลค่าโครงการ 210 ล้านบาท คาดจะรับรู้รายได้ในไตรมาสที่3 ของปี 2567 พร้อมมีผู้เช่าเต็มจำนวนในปี 2568   นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้ตกลงทำความร่วมมือขยายธุรกิจเพื่อต่อยอดแผนการลงทุน ภายใต้การร่วมทุนกับบริษัทนิปปอน สตีล โควะ เรียล เอสเตท จำกัด (NIPPON STEEL KOWA REAL ESTATE) หรือ NSKRE ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำจากประเทศญี่ปุ่นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์และที่อยู่อาศัยรวมถึงอาคารสำนักงานชั้นนำของญี่ปุ่น ที่มีประวัติยาวนานถึง 70 ปี เป็นการรวมตัวของโควะ เรียล เอสเตท หน่วยงานด้านอสังหาริมทรัพย์ของมิซูโฮ ไฟแนนเชียล กรุ๊ป หนึ่งในกลุ่มธุรกิจการเงินที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น และ นิปปอน สตีล ผู้นำด้านธุรกิจเหล็กของโลก โดยบริษัทฯ ถือหุ้น 51% และนิปปอน สตีล โควะ เรียล เอสเตท ถือหุ้น 49% เพื่อพัฒนาโครงการร่วมกัน โดยโครงการแรกเป็นคอนโดมิเนียม “ชีวาทัย ฮอลล์มาร์ค เอกมัย-รามอินทรา” เป็นห้องพักจำนวน 413 ยูนิต และอาคารพาณิชย์ 2 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,014 ล้านบาท คาดว่าจะรับรู้รายได้ในช่วงไตรมาสที่ 4 ปี 2025 และนอกจากโปรเจคนี้ ทางNSKRE ยังทำการศึกษาถึงความเป็นไปได้เกี่ยวกับการร่วมทุนในโครงการทาวน์เฮาส์และบ้านเดี่ยวต้องการที่จะต่อยอดไปไกลกว่าการพัฒนาที่อยู่อาศัย และมีส่วนร่วมในการพัฒนาในด้านอื่นๆอีกในอนาคต ด้านบริการหลังการขายและการดูแลลูกค้า ยังคงยึดมั่นด้านคุณภาพและบริการหลังการขาย จาก “ ชีวาแคร์ ” ยึดมั่นเป้าหมายขึ้นที่ 1 ในใจลูกค้าด้านคุณภาพและบริการ สำหรับกลุ่มบริษัทอสังหาฯ ช่วงรายได้ไม่เกิน 5 พันล้านบาท และยังคงเดินหน้ารักษาคุณภาพสินค้าให้ลูกค้าตรวจ Zero Defect ให้ได้มากที่สุด เพื่อให้ลูกค้าที่มาซื้อโครงการกับชีวาทัย ได้สิ่งที่ดีและมีคุณภาพสูงสุด ตั้งแต่บริการก่อนการขายตลอดจนถึงบริการหลังการขาย ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดความพึงพอใจสูงสุดสู่ลูกค้าทุกคน ” นายบุญ ชุน เกียรติ กล่าว   บทความน่าสนใ ORI รวมพลังกลุ่มธุรกิจคอนโดสู่ “ORIGIN VERTICAL” กางแผนเปิด 14 โครงการใหม่มูลค่า 20,000 ล้าน ซีคอน มั่นใจปี 67 โต พร้อมขยายโรงงานผลิตโครงสร้างแห่งที่ 2  
ORI รวมพลังกลุ่มธุรกิจคอนโดสู่ “ORIGIN VERTICAL”  กางแผนเปิด 14 โครงการใหม่มูลค่า 20,000 ล้าน

ORI รวมพลังกลุ่มธุรกิจคอนโดสู่ “ORIGIN VERTICAL” กางแผนเปิด 14 โครงการใหม่มูลค่า 20,000 ล้าน

ออริจิ้น ปรับโครงสร้างกลุ่มธุรกิจคอนโด รวมพลังและทีมงานมืออาชีพจากออริจิ้นคอนโดมิเนียม-พาร์ค ลักชัวรี-ออริจิ้น เนชั่นวายด์ สู่แบรนด์ “ORIGIN VERTICAL” กางแผนเปิด 14 คอนโดใหม่ทั่วประเทศ 20,000 ล้าน ส่งมอบ Creative Living for Allกระจายบุก3 เซ็กเมนท์หลัก ครอบคลุมตลาด Gen Y-Gen Z-เมืองท่องเที่ยวภูเก็ต พร้อมเดินหน้าคอนโดตอบโจทย์ Pet Family ต่อเนื่อง มุ่งมั่นรังสรรค์งานบริการผ่าน 4 แกน ตั้งเป้ายอดขายทั้งปี 36,000 ล้าน คุณเกรียงไกร กรีบงการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น เวอร์ติเคิล คอร์ปอเรชั่น จำกัด ในเครือบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI กล่าวว่า กลุ่มธุรกิจคอนโดมิเนียม ถือเป็นกลุ่มธุรกิจแรกและกลุ่มธุรกิจหลักของเครือออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ แต่เมื่อออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ มีกลุ่มธุรกิจใหม่ๆ เพิ่มขึ้นอย่างหลากหลาย จึงได้ปรับโครงสร้างการบริหารงานกลุ่มธุรกิจคอนโดมิเนียมให้ชัดเจนมากขึ้น รวมทีมงานจากทั้ง 3 บริษัทในเครือเข้าด้วยกัน และรวมศูนย์การสื่อสารภายใต้แบรนด์และชื่อบริษัทเดียว คือ บริษัท ออริจิ้น เวอร์ติเคิล คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือ ORIGIN VERTICAL เพื่อยกระดับการบริหารการออกแบบ การก่อสร้าง และนวัตกรรมต่างๆ ตอบสนองความต้องการที่หลากหลาย สร้างความพึงพอใจสูงสุดให้แก่ลูกค้า และเพื่อให้ง่ายต่อการสื่อสารและการจดจำของผู้บริโภค โดยโครงการใหม่ๆ ที่จะพัฒนาต่อจากนี้ จะพัฒนาภายใต้ ORIGIN VERTICAL เท่านั้น ทิศทางการดำเนินงานของ ORIGIN VERTICAL จะขับเคลื่อนภายใต้แนวคิด “Creative Living for All” หรือ สร้างสรรค์ชีวิต คิดเพื่อคุณ พัฒนาคอนโดมิเนียมที่คำนึงถึงทุกมิติของการใช้ชีวิต อาทิ ความสะดวกสบาย ความปลอดภัย การปรับสมดุลชีวิต การพักผ่อน ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ นำมาสร้างสรรค์และถ่ายทอดผ่านการคัดเลือกทำเลพัฒนาโครงการ การออกแบบ ฟังก์ชัน นวัตกรรมภายในห้องพัก สิ่งอำนวยความสะดวกในพื้นที่ส่วนกลาง ตลอดจนบริการที่เกี่ยวข้อง เช่น ตู้เก็บเสื้อผ้าอัจฉริยะ หรือ Smart Closet ห้องครัวอัจฉริยะ หรือ Smart Kitchen รวมถึงออกแบบให้ห้องเพดานสูง 4.2 เมตร   โดยกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจในปี 2567 จะให้ความสำคัญกับ 3 เรื่อง ได้แก่ Insight วิจัยและวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกของลูกค้าด้านต่างๆ อาทิ ทำเล การใช้ชีวิต ไลฟ์สไตล์ การลงทุน อย่างจริงจัง เพื่อออกแบบสินค้าและบริการให้ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าโดยเฉพาะในทำเลนั้นๆ Initiative นำ Insight มาพัฒนาต่อยอด ริเริ่มฟังก์ชันใหม่ โปรดักต์ใหม่อย่างสร้างสรรค์ ตอบสนองทุกมิติของการใช้ชีวิต ตอกย้ำสถานะผู้นำตลาดคอนโดมิเนียม Implementation นำเทคโนโลยี นวัตกรรมใหม่ มาช่วยยกระดับคุณภาพมาตรฐานของโครงการ ตลาดจนบริการต่างๆ ที่เชื่อมโยงกับคุณภาพชีวิตของผู้คน จากกลยุทธ์ดังกล่าว กลุ่มธุรกิจคอนโดมิเนียมภายใต้ ORIGIN VERTICAL มีแผนเปิดโครงการใหม่ในปี 2567 ทั้งสิ้น 14 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 20,000 ล้านบาท นำร่องในครึ่งปีแรกจำนวน 5 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 9,680 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการในกรุงเทพฯและปริมณฑล 3 โครงการ ได้แก่ ออริจิ้น เพลส แจ้งวัฒนะ (Origin Place Chaengwattana) ออริจิ้น เพลส เตาปูน อินเตอร์เชนจ์ (Origin Place Taopoon Interchange) ดิ ออริจิ้น เศรษฐบุตร สเตชั่น (The Origin Setthabut Station) โดยทั้ง 3 โครงการเป็นคอนโดมิเนียมเลี้ยงสัตว์ได้ ภายใต้แนวคิด Origin Pet Family Condo ตอบสนองความต้องการและคุณภาพชีวิตของทั้งคนและสัตว์เลี้ยง ขณะเดียวกัน มีโครงการในภูเก็ตอีก 2 โครงการ ได้แก่ โซ ออริจิ้น บางเทา บีช (So Origin Bangtao Beach) ออริจิ้น เพลส เซ็นเตอร์ ภูเก็ต (Origin Place Centre Phuket) การบุกตลาดในปีนี้ จะเน้นบุกผ่าน 4 แบรนด์หลัก ได้แก่ ออริจิ้น เพลส (Origin Place) แบรนด์คอนโดมิเนียมที่ผสมผสานการตกแต่งแบบคลาสสิกและร่วมสมัยเข้าด้วยกัน มาพร้อมกับสิ่งอำนวยความสะดวกชั้นเยี่ยม ตอบสนองการพักผ่อนและการทำกิจกรรม ดิ ออริจิ้น (The Origin) แบรนด์คอนโดมิเนียมที่มาพร้อมกับหลากฟังก์ชัน เพื่อการเริ่มต้นชีวิตใหม่ ในราคาที่จับต้องได้ โซ ออริจิ้น (So Origin) แบรนด์คอนโดมิเนียมสไตล์บูทีค ที่ออกแบบให้ทุกพื้นที่ เติมเต็มทุกความต้องการและไลฟ์สไตล์ด้วยบริการระดับโรงแรม พาร์ค ออริจิ้น (Park Origin) คอนโดมิเนียมระดับลักชัวรี พร้อมอยู่ ใจกลางทำเลย่านธุรกิจสำคัญของกรุงเทพฯ   เรื่องความยั่งยืน  บริษัทยังใส่ใจองค์ประกอบที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืน อาทิ การติด Solar Panel ใน Sales Gallery โครงการใหม่ การเตรียมจุดชาร์จสำหรับติดตั้ง EV Charger การเลือกใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การสร้างสรรค์คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นให้แก่ทั้งสังคม ชุมชน และสิ่งแวดล้อม ผ่าน Origin Give คาดว่าทั้ง 4 แบรนด์จะเข้าถึงตลาดทั้ง Gen Z, Gen Y ลูกค้าที่ซื้อเพื่อลงทุนระยะยาว ตลอดจนลูกค้าชาวต่างชาติ จากแผนงานดำเนินธุรกิจดังกล่าว ORIGIN VERTICAL ตั้งเป้าหมายยอดขายทั้งปี 2567 ไว้ที่ 36,000 ล้านบาท และตั้งเป้ายอดโอนกรรมสิทธิ์ทั้งโครงการ JV และ Non-JV รวมกันไว้ที่ 18,000 ล้านบาท โดยในช่วงไตรมาส 1/2567 เตรียมจัดแคมเปญ Happiness Caravan ประกอบด้วย ดอกเบี้ย 0% นาน 1 ปี, ฟรี แต่งห้องสูงสุด 2 แสนบาทจาก Wyde Interior, ฟรี เครื่องใช้ไฟฟ้า, ฟรี ค่าใช้จ่ายวันโอน, ฟรี ค่าส่วนกลาง 1 ปี, ฟรี ค่ากองทุนแรกเข้า, ฟรี ขยายเวลารับประกันห้องอีก 1 ปี, ฟรี ทำความสะอาด 1 ปี, ส่วนลด Top Up สูงสุด 100,000 บาท เฉพาะผู้ซื้อโครงการในวันอังคารและวันอาทิตย์, พร้อมพบห้องยูนิตราคาพิเศษ ถึงวันที่ 31 มี.ค.67 นี้ โดยเงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯกำหนด     บทความน่าสนใจ “ออริจิ้น” เปิดเมกะโปรเจกต์ “Origin Resort World” ภูเก็ต เขาใหญ่ มูลค่ารวม 11,000 ล้าน  
ซีคอน มั่นใจปี 67 โต พร้อมขยายโรงงานผลิตโครงสร้างแห่งที่ 2

ซีคอน มั่นใจปี 67 โต พร้อมขยายโรงงานผลิตโครงสร้างแห่งที่ 2

ซีคอน  ดึงแนวคิด ESG เข้ามาใช้สร้างสรรค์แผนธุรกิจในปี 2567 เพื่อปูทางสู่ความยั่งยืน  ประกาศพลิกโฉมธุรกิจด้วยกลยุทธ์ SEACON FAST FORWARD ให้เป็นได้ยิ่งกว่าธุรกิจรับสร้างบ้านแบบ Beyond Thinking ติดปีกต่อยอดเพิ่มโอกาสในการขยายธุรกิจให้เติบโตกว่าตลาดอย่างมั่นคงและยั่งยืน         นายมนู ตระกูลวัฒนะกิจ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีคอน จำกัด เปิดเผยว่า กลยุทธ์ SEACON FAST FORWARD ที่ซีคอนจะให้เป็นแกนหลักในการดำเนินธุรกิจในปีนี้นั้นฟ ผสานไปด้วยมิติต่างๆ ที่จะนำสู่ความสำเร็จ ได้แก่ มิติการขับเคลื่อยองค์กรสู่ความยั่งยืนด้วยแนวคิด E-S-G  มิติการนำความเชี่ยวชาญในฐานะผู้บุกเบิกธุรกิจรับสร้างบ้านของไทยมาต่อยอดสู่การพัฒนาธุรกิจใหม่เพื่อเติมเต็มความต้องการของตลาด และมิติในการพัฒนาศักยภาพทีมซีคอนให้พร้อมสู่การขับเคลื่อนองค์กรที่รวดเร็วยิ่งขึ้น ให้พร้อมส่งมอบบริการอันเป็นเลิศแก่ลูกค้า ซึ่งทุกมิติจะถูกดำเนินการไปพร้อมๆ กัน เพื่อสร้างให้ซีคอนเป็นได้มากกว่าบริษัทรับสร้างบ้าน สอดรับกับบริบทของสังคมและความต้องการของผู้บริโภคทั้งกลุ่ม B2C และ B2B ที่เปลี่ยนไปในปัจจุบัน   ยังคงสานต่อ 3 กลยุทธ์การดำเนินธุรกิจจากปี 2566 สู่ปี 2567 ซีคอนยังคงยึด 3 กลยุทธ์หลักเพื่อใช้ในการขับเคลื่อนธุรกิจในปี 2567 ประกอบด้วย กลยุทธ์ด้านความยั่งยืน (Sustainability) ภายใต้แนวคิด E-S-G, กลยุทธ์การแสวงหาฐานลูกค้ากลุ่มใหม่รวมทั้งพัฒนาโปรดักส์ใหม่เพื่อเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ และกลยุทธ์ด้านการตลาดยุคใหม่ที่ผสานความสมดุลระหว่างออนไลน์และออฟไลน์อย่างลงตัว เพื่อคงฐานลูกค้ากลุ่มเก่าไว้ในขณะเดียวกับก็สามารถเจาะเข้าถึงฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ได้ในเวลาเดียวกัน โดยทั้ง 3 กลยุทธ์ดังกล่าวนี้ ซีคอนได้เริ่มใช้ตั้งแต่ปีที่ผ่านมา และได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าสามารถสร้างความแข็งแกร่งให้แก่องค์กรได้อย่างแท้จริง แม้ภาพรวมเศรษฐกิจที่หลายฝ่ายเชื่อว่าอยู่ในช่วงขาลง แต่ซีคอนก็ยังสามารถดำเนินธุรกิจได้ใกล้เคียงเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้อย่างดี โดยสร้างยอดขายได้ประมาณ 2,000 ล้านบาทในปีที่ผ่านมา   ในปี 2567 ซีคอน ตั้งเป้าอัตราการเติบโตไว้ประมาณ 10-15% ซึ่งปัจจัยแรกที่ทำให้เติบโตคือการเพิ่มความเข้มข้นในเรื่องการพัฒนาเพื่อให้เกิดความยั่งยืนของธุรกิจ (Business Sustainability) ด้วยกลยุทธ์ ESG ที่องค์กรต้องคำนึงถึงการดำเนินธุรกิจอย่างรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม (E-Environment) และสังคม (S-Social)  รวมถึงการวางระบบ กำกับกิจการที่ดี (G-Governance)    ตลอดจนการนำเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs)  โดยคำนึงถึงการบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาล ผลกระทบทั้งเชิงบวกและเชิงลบต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม และพร้อมที่จะแก้ไขปัญหาต่างๆ แบบองค์รวม ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ ความไว้ใจ และความสามารถในการประกอบการกิจการในฐานะที่เป็นบริษัทผู้บุกเบิกธุรกิจรับสร้างบ้านรายแรกของประเทศไทย พร้อมกับประสบการณ์ที่มีมากกว่า 63 ปี สร้างบ้านมากกว่า 25,000 หลัง ทั้งยังเป็นบริษัทรับสร้างบ้านรายเดียวที่ยืน 1 ในเรื่องของการสร้างบ้านที่มีคุณภาพมาโดยตลอด อีกทั้งยังสร้างบ้านจากความฝันของลูกค้าให้กลายมาเป็นบ้านจริงที่สมบูรณ์แบบได้ ด้วยเหตุผลทั้งหมดทั้งมวลจึงเป็นการสร้างความมั่นใจในเรื่องของ branding ได้เป็นอย่างดี   การผสานการตลาดแบบออนไลน์และออฟไลน์ได้อย่างสมดุล ปัจจุบันฐานลูกค้าในออนไลน์ของ  ซีคอนมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นในทุกปีและสามารถแปลงมาเป็นยอดขายได้เป็นอย่างน่าพอใจ สอดคล้องกับการเติบโตของยอดขายในกลุ่มตลาดออฟไลน์ ที่ซีคอนได้จัดกิจกรรมการตลาดและส่งเสริมการขายเพื่อเจาะเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่มีศักยภาพโดยตรง ซึ่งในไตรมาสแรกของปี 2567ซีคอนจะร่วมออกบูธใน 2 งานใหญ่ ประกอบด้วย  งานรับสร้างบ้าน และวัสดุ Focus 2024 จัดขึ้นในวันที่ 17 – 25 กุมภาพันธ์ 2567 ที่อิมแพ็ค ฮออล์ 8 เมืองทองธานี  และงานบ้านและสวน Select 2024 จัดขึ้นในวันที่ 23 – 31 มีนาคม 2567 ที่ไบเทค บางนา   การนำความเชี่ยวชาญในฐานะผู้บุกเบิกธุรกิจรับสร้างบ้านของไทยมาต่อยอดสู่การพัฒนาธุรกิจใหม่เพื่อเติมเต็มความต้องการของตลาด นำร่องในปี 2567 ด้วยการประกาศสร้างโรงงานผลิตโครงสร้างชิ้นส่วนกึ่งสำเร็จรูปแห่งที่ 2 ที่ลำลูกกา คลอง 12 บนเนื้อที่กว่า 26 ไร่ ยังเป็นธงสำคัญในการขยายตัว และขับเคลื่อนธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว และก้าวไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่องแบบ Fast Forward มีกำลังการผลิตได้สูงถึง 120,000 ชิ้นต่อปี  นอกจากโรงงานแห่งที่ 2 จะสามารถรองรับลูกค้าที่จองสร้างบ้านกับซีคอน และซีคอน ไอดีแล้ว โรงงานดังกล่าวยังสามารถรองรับลูกค้าโครงการอสังหาริมทรัพย์ ลูกค้าบ้านเดี่ยว ลูกค้ากลุ่มธุรกิจรีสอร์ทหรืออพาร์ทเม้นท์ ฯลฯ ได้อีกด้วย       ตามมาด้วยการประกาศร่วมทุน (Joint Venture) กับบริษัท นายณ์ เอสเตท จำกัด ด้วยการนำความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ในธุรกิจรับสร้างบ้านมาสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ลูกค้า และสุดท้ายกับการเปิดตัว 6 แบบบ้านใหม่ที่พัฒนาแบบภายใต้แนวคิด Greenery SEACON ด้วยหัวใจหลักของการพัฒนาที่เน้นการนำธรรมชาติมาเติมเต็มไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยที่ปัจจุบันมีพื้นที่จำกัดท่ามกลางมลภาวะรอบด้านของเมืองในปัจจุบัน ผ่านทาง courtyard หรือลานกลางบ้านที่เป็นพื้นที่ส่วนตัวซึ่งถือเป็นภูมิปัญญาดั้งเดิมของชาวเอเชีย ที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามไลฟ์สไตล์และ         จินตนาการของเจ้าของบ้านเองปิดกั้นจากความวุ่นวายภายนอก นอกจากจะให้ความสงบบริเวณใจกลางบ้านแล้ว ลานดังกล่าวยังทำหน้าที่เป็นพื้นที่ถ่ายเทอากาศและรับแสงธรรมชาติ ทั้งยังเป็นจุด view point ของห้องสำคัญทุกห้องภายในบ้านอีกด้วย   บทความที่น่าสนใจ “ซีคอน” รีแบรนด์ครั้งที่ 4 จับตลาดคนรุ่นใหม่ สร้างยอดขาย 1,480 ล้าน  
“แอสเซทไวส์” ลุยศึกอสังหา ปี 2567   เปิด 12 โครงการใหม่ และธุรกิจเอ็นเตอร์เทนเมนต์  

“แอสเซทไวส์” ลุยศึกอสังหา ปี 2567  เปิด 12 โครงการใหม่ และธุรกิจเอ็นเตอร์เทนเมนต์  

แอสเซทไวส์ หรือ ASW  เผยแผนธุรกิจชู 3 กลยุทธ์หลัก “Execute / Expand / Explore” มุ่งนำธุรกิจเดินหน้าอย่างแข็งแกร่งและมั่นคง ด้วยแนวคิด “THE NEW FRONTIERS” ลุยเปิด 12 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 25,920 ล้านบาท ตั้งเป้ายอดขาย 17,800 ล้านบาท และรุกแผนเปิดโครงการแนวราบ รวมถึงขยายทำเลครอบคลุมกรุงเทพฯ EEC และภูเก็ต เสริมแกร่งด้วยธุรกิจใหม่เพิ่มรายได้ต่อเนื่อง ทั้งคอมมูนิตี้มอลล์ เอ็นเตอร์เทนเมนต์  และธุรกิจด้านการดูแลสุขภาพ พร้อมปรับทัพผู้บริหารขับเคลื่อนองค์กรให้เติบโตแข็งแกร่งรับทุกสถานการณ์ นายกรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) หรือ “ASW” เปิดเผยว่า ปี 2566 ที่ผ่านมา ถือเป็นปีที่ดีของแอสเซทไวส์ โดยบริษัทฯ ได้พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย ไม่ว่าจะเป็น คอนโดมิเนียม, บ้านเดี่ยว บ้านแฝด และบ้านระดับลักชัวรี เพื่อให้ตอบโจทย์ลูกค้าในหลากหลายเซ็กเมนต์ บนทำเลศักยภาพในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด โดยเฉพาะ จ.ภูเก็ต  ทั้งแนวราบและคอนโดมิเนียมรวม 15 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 30,260 ล้านบาท สูงกว่าเป้าที่วางไว้เดิม 12 โครงการ และสามารถทำยอดขายปี 2566 ได้ถึง 16,486 ล้านบาท สูงทะลุเป้าที่วางไว้ ซึ่งเติบโตกว่า 16% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา   “สำหรับทิศทางอสังหาฯ ในปี 2567 นี้ แอสเซทไวส์ยังคงเดินหน้าอย่างเต็มกำลัง โดยปี 2567 ตั้งเป้าเปิดโครงการใหม่ 12 โครงการ มูลค่า 25,920 ล้านบาท แบ่งเป็น คอนโดมิเนียม 9 โครงการ และ แนวราบ 3 โครงการ พร้อมตั้งเป้าหมายยอดขายอยู่ที่ 17,800 ล้านบาท เติบโตประมาณ 8% จากปี 2566  และเป้าหมายรายได้อยู่ที่ 8,700 ล้านบาท  ซึ่งจะขับเคลื่อนด้วยแนวคิด “THE NEW FRONTIERS” กับการพัฒนาแอสเซทไวส์ให้เติบโตอย่างยั่งยืนและมั่นคงในทุกมิติ โดยบูรณาการ 3 กลยุทธ์หลักซึ่งประกอบไปด้วย สำหรับพอร์ตอสังหาริมทรัพย์ที่ภูเก็ต  THE TITLE ภายใต้บริษัท ร่มโพธิ์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ “TITLE” ในเครือแอสเซทไวส์ ซึ่งล่าสุดได้เปิดขายโครงการ เดอะ ไทเทิล เลเจนดารี บางเทา ในช่วงปลายปี 2566 ที่ผ่านมา มียอดขายรวมแล้วกว่า 80%  เพื่อต่อยอดความสำเร็จ  ในปี 2567 บริษัทฯ มีแผนเปิดตัว 3 โครงการใหม่ ได้แก่ โครงการเดอะ ไทเทิล เฮอริเทจ บางเทา มูลค่าโครงการ 6,000 ล้านบาท  โครงการเดอะ ไทเทิล เซเรนิตี้ ในยาง มูลค่าโครงการ 4,000 ล้านบาท  และ โครงการเดอะ ไทเทิล ราไวย์  มูลค่าโครงการ 1,000 ล้านบาท นอกจากนี้ยังได้ร่วมลงทุนพัฒนาโครงการ โบทานิก้า แกรนด์ อเวนิว (BOTANICA Grand Avenue) ลักชัวรี่พูลวิลล่าที่เป็นเมกะโปรเจ็คต์ มูลค่าสูงถึง 13,000 ล้านบาท ในสัดส่วน 30% ทำให้พอร์ตอสังหาฯ ในภูเก็ตของแอสเซทไวส์มีความครบเครื่องมากยิ่งขึ้น มีโปรดักต์ครอบคลุมทั้ง Leisure คอนโดมิเนียม และวิลล่าระดับลักชัวรี สำหรับการหารายได้ประจำสมำเสมอต่อเนื่อง ทางธุรกิจและการลงทุนใหม่ ๆ อย่างไม่หยุดนิ่ง เพื่อเป็นการสร้างรายได้ต่อเนื่อง (Recurring Income)  ประกอบด้วยธุรกิจคอมมูนิตี้มอลล์ ภายใต้โครงการ Mingle Mall ที่ประกอบไปด้วยร้านค้า ร้านอาหารต่าง ๆ , Well Aesthetic & Wellness Center  พื้นที่เช่าสำหรับผู้ประกอบการที่ดำเนินธุรกิจประเภทศูนย์สุขภาพและคลินิกด้านความงาม บนใจกลางย่านรัชดาภิเษก ล่าสุดกับ มิงเกิ้ล สปอร์ต วิลเลจ (Mingle Sport Village at Rangsit) ศูนย์กีฬาในร่มเอาใจสายรักสุขภาพ รวมถึง Rocket Fitness  บริหารงานของ “บริษัท เทรเชอร์ เอ็ม จำกัด” ในเครือแอสเซทไวส์ รวมถึง ZAAP World ธุรกิจเอ็นเตอร์เทนเมนต์ คอนเสิร์ตและอีเวนท์ต่าง ๆ  ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งจิ๊กซอว์สำคัญที่จะเข้ามาเติมเต็ม และเสริมความแข็งแกร่งด้านธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของแอสเซทไวส์อีกด้วย พร้อมกันนี้ แอสเซทไวส์ยังมีโครงการที่สร้างเสร็จใหม่พร้อมโอนในปี 2567 อีกจำนวน 9 โครงการ ซึ่งแบ่งเป็นคอนโดมิเนียม จำนวน 7  โครงการ มูลค่ารวมกว่า 9,557 ล้านบาท และโครงการแนวราบ 2 โครงการ และปัจจุบัน บริษัทฯ มียอด Backlog อยู่ ถึง 19,500 ล้านบาท แบ่งเป็นสัดส่วนโครงการในกรุงเทพและปริมณฑล จำนวน13,700 ล้านบาท โครงการในทำเล EEC จำนวน 1,800 ล้านบาท และโครงการในภูเก็ตอีกกว่า 4,000 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ตั้งแต่ปี 2567 ต่อเนื่องไปถึงปี 2569 บทความน่าสนใจ AssetWise เข้าถือหุ้น 57% TITLE “รุกตลาดอสังหาฯ ภูเก็ต” สร้างรายได้ 10,000 ล้านบาทใน 3 ปี แอสเซทไวส์  กวาดยอดขายไตรมาสแรกเกือบ  3,500 ล้าน ลุยต่อเปิด 3 โครงการใหม่  
SC ASSET ตั้งเป้า5ปี 150,000 ล้าน ภายใต้แนวคิด “มหาศาล มั่นคง สมดุล“

SC ASSET ตั้งเป้า5ปี 150,000 ล้าน ภายใต้แนวคิด “มหาศาล มั่นคง สมดุล“

นายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC เปิดเผยว่า ที่ผ่านมา SC ทำยอดขายนิวไฮ 4 ปีต่อเนื่อง ต่อไปทิศทางการดำเนินธุรกิจของบริษัทในระยะเวลา 5 ปี จากนี้ (2567-2571)  คาดว่าจะสร้างรายได้รวมกว่า 150,000 ล้านบาท ซึ่งจะมาจากหลากหลายธุรกิจทั้งในส่วนของ อสังหาฯที่อยู่อาศัย โรงแรม และคลังสินค้า ภายใต้แนวคิด “มหาศาล  มั่นคง สมดุล”   SC ASSET ธุรกิจบนความหลากหลายเริ่มจาก  มหาศาล การสร้างรายได้รวม (portfolio revenue) รวม 5 ปี (2567-2571) จากหลากหลายธุรกิจที่คาดว่าจะทำรายได้มากกว่า 150,000 ลบ. สำหรับเป้าหมายและแผนธุรกิจในปี 2567 คาดการณ์จะทำยอดขายนิวไฮ 28,000 ล้านบาท แบ่งสัดส่วนเป็น โครงการแนวราบ 65% และโครงการแนวสูง 35% โครงการเพื่อขายทั้งสิ้น 86 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 91,000 ล้านบาท เป็นการเปิดโครงการใหม่รวม 17 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 30,000ล้านบาท แบ่งเป็น โครงการแนวราบ15 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 25,000 ล้านบาท โดยมีไฮไลท์เป็นแบรนด์ใหม่ชื่อ “คอนนาเซอร์” (Connoisseur) ราคาเริ่มต้น 80 ล้านบาท และบ้านไลฟ์สไตล์เฉพาะ และโครงการใหม่แนวสูง 2 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 5,000 ล้านบาท ภายใต้แบรนด์ “เรฟเฟอเรนซ์” (Reference) มั่นคง : ลงทุนอย่างเหมาะสม เพื่อการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยรักษาอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนทุน D/E น้อยกว่า 1.5 สมดุล : ส่วนผสมกำไร จากธุรกิจที่หลากหลาย โดยมีกำไรจากธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำสม่ำเสมอ (engine 2) มากกว่า 25%ในส่วนธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำสม่ำเสมอ มาจาก 4 ธุรกิจหลัก แบ่งเป็น 1.อาคารสำนักงานให้เช่า มีพื้นที่เช่ารวม 120,000 ตารางเมตร (ตร.ม.) จากอาคารสำนักงานรวม 6 อาคาร 2.โรงแรม มีจำนวนห้องพักรวม 545 ห้อง จากโรงแรม 3 โครงการ โดยเปิดแล้วที่ “YANH ราชวัตร” ขนาด 78 ห้องและกำลังจะเปิดปลายปี 2567 นี้ “ครอโม” (Kromo) ทำเลสุขุมวิท 29 บริหารโดย CurioCollection by Hilton จำนวน 306 ห้อง และเปิดต้นปี 2568 ในทำเลพัทยา จำนวน 161 ห้อง 3.คลังสินค้า มีพื้นที่เช่ารวม 160,000 ตร.ม. จากคลังสินค้ารวม4 โครงการ ดำเนินการแล้วที่ทำเลนครสววรค์พื้นที่ 16,000 ตร.ม. กำลังจะเปิดในปี 2567 นี้และปี 2568 อีก 144,000 ตร.ม. ใน 3 ทำเลคือ บางนา กม.20, บางนา กม.22 และแหลมฉบัง และยังมีการร่วมลงทุนกับสตอเรจเอเชีย บุกตลาด Self Storageภายใต้แบรนด์ “i-Store” 4.อสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่าในสหรัฐอเมริกา มีห้องพักรวม78 ห้อง ใน 4 ทำเลใจกลางเมืองบอสตัน   ในส่วนของภารกิจ SCeroMission ดำเนินธุรกิจอย่างใส่ใจสิ่งแวดล้อม ครอบคลุมตั้งแต่กระบวนการออกแบบ สร้าง ใช้ ทิ้ง จากต้นน้ำถึงปลายน้ำ ตั้งเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจก 25% ในปี 2573 ที่ผ่านมาองค์กรได้มีการติดตั้ง Solar Roof บริเวณอาคารสำนักงาน และโครงการบ้าน ติดตั้ง EV Charger ณ อาคารสำนักงาน และคอนโดมิเนียม เปลี่ยนหลอดไฟ LED เปลี่ยนระบบทำความเย็น ในอาคารสำนักงาน ช่วยลด GHG ได้กว่า 1,500 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ในปี 2565-2566 และตั้งเป้าหมายว่าจะลดก๊าซเรือนกระจก 15% จากการดำเนินงานตามปกติ ในปี 2567 นายณัฐพงศ์ กล่าวสรุปอย่างมั่นใจว่า “SC พร้อมและมุ่งมั่นสำหรับการเติบโตในทศวรรษที่ 3 ตามวิสัยทัศน์ SC the Evolution เติบโตด้วยการปรับตัวตามบริบท เติบโตด้วยการสร้างคุณค่าสู่คนและโลก เติบโตด้วยธุรกิจที่หลากหลาย ทั้งที่อยู่อาศัย โรงแรม คลังสินค้า ออฟฟิศ”   บทความน่าสนใจ SC เปิดบ้านหรูซีรีส์ใหม่ “อยู่แบบใหม่ แบบสับ” bangkok boulevard signature westgate Grand Bangkok Boulevard พระราม 9 กรุงเทพกรีฑา โครงการ Modern Luxury เป็นบ้านเดี่ยว 3 ชั้น  
สแตนดาร์ดจับมือ แสนสิริ และซีจี แคปปิตอล  เปิดเรสซิเดนซ์แห่งแรกในเอเชีย“หัวหิน-ภูเก็ต”

สแตนดาร์ดจับมือ แสนสิริ และซีจี แคปปิตอล เปิดเรสซิเดนซ์แห่งแรกในเอเชีย“หัวหิน-ภูเก็ต”

สแตนดาร์ด อินเตอร์เนชั่นแนล  จับมือ 2 ดีเวปลอปเปอร์ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน)  อสังหาริมทรัพย์ลักซ์ชัวรี่และซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่ของไทยและ บริษัท ซีจี แคปปิตอล จำกัด  บริษัทบริหารการลงทุนจากตระกูลจิราธิวัฒน์ในรูปแบบกองทุน Private Equity ที่เจาะกลุ่มธุรกิจโรงแรมและอสังหาริมทรัพย์เปิดตัวโครงการ “THE STANDARD RESIDENCES”   ที่พักอาศัยรูปแบบbranded residences บนทำเลสุดฮอตกับ 2 เมืองท่องเที่ยวระดับโลก ได้แก่เดอะสแตนดาร์ดเรสซิเดนซ์หัวหิน โครงการbranded residences แห่งแรกในเอเชีย กับทำเลบีชฟร้อนท์และเดอะสแตนดาร์ดเรสซิเดนซ์ภูเก็ตบางเทา ย่านที่ฮอตที่สุดในภูเก็ต ตอบโจทย์ทั้งการใช้ชีวิตอยู่อาศัยเองและซื้อไว้เป็นฮอลิเดย์โฮมด้วยดีไซน์ทันสมัย แปลกใหม่ และมาตรฐานที่ไม่เหมือนใครในแบบฉบับของ เดอะ สแตนดาร์ด มูลค่าทั้ง 2 โครงการรวมกว่า 8,500 ล้านบาท คุณอมาร์ ลัลวานี่ ประธานกรรมการบริหาร Standard International กล่าวว่า Standard International บริษัทเครือไลฟ์สไตล์โฮเทลระดับโลกและเป็นบริษัทแม่ของเครือโรงแรมเดอะสแตนดาร์ด  ซึ่งก่อตั้งมากว่า 25 ปีด้วยเอกลักษณ์ ตัวตน เปิดตัวโรงแรมแห่งแรกในฮอลลีวูด รวมทั้งปักหมุดเปิดให้บริการในทำเลสำคัญทั่วโลกได้แก่ นิวยอร์ก, ไมอามี่, ลอนดอน, อิบิซา, มัลดีฟส์, หัวหิน และกรุงเทพมหานครที่เป็นแฟล็กชิพของเอเชีย อย่าง The Standard, Bangkok Mahanakhon   โดยโครงการ The Standard Residences จะหยิบยกเอาจุดเด่นด้านดีไซน์ของโรงแรม The Standard ไม่ว่าจะเป็น ห้องนั่งเล่นที่ดูสนุกสนาน การผสมผสานโทนสี การเลือกสรรวัสดุ และเตียงนอนที่นุ่มสบาย มาต่อยอดกับบริการอันเป็นเอกลักษณ์  และสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันสร้างประสบการณ์พักผ่อนที่แตกต่าง ตลาด branded residences ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมีอัตราการเติบโตถึง 216% ด้วยโลเคชั่นที่มีความหลากหลายเพิ่มขึ้น The Standard Residences จึงไม่จำกัดเฉพาะในเมืองท่องเที่ยวหลักแต่ยังเล็งการขยายตัวไปยังเมืองที่มีศักยภาพในการเติบโตและมีเอกลักษณ์โดดเด่น ยกตัวอย่างเช่น บาหลี สิงคโปร์หรือ กรุงเทพมหานคร เป็นต้น   ทั้งนี้คุณอมาร์ มีความเชื่อมั่นว่า ทั้ง 2 โครงการใหม่ อย่าง The Standard Residences, Hua Hin โดย แสนสิริ และ The Standard Residences, Phuket Bang Tao ที่ได้ ซีจี แคปปิตอล ผู้บริหารกองทุน Private Equity  จะเพิ่มมูลค่าของ branded residences ภายใต้แบรนด์ The Standard มั่นใจว่า 2โครงการนี้จะสามารถปิดการขายได้อย่างรวดเร็วเช่นเดียวกับโครงการอื่นๆ   คุณอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า  แสนสิริ ก้าวเข้าสู่ปีที่ 40ในฐานะบริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์พัฒนามาแล้วรวมกว่า 500 โครงการ ทั้งนี้แสนสิริพัฒนาโครงการรีสอร์ทคอนโดมิเนียม(รวม The Standard Residences, Hua-Hin) ในหัวหินมาแล้วจำนวนรวม 25 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 31,000 ล้านบาท โดย 22 โครงการ Sold out (ปิดการขายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว)   คุณอุทัยกล่าวว่า หัวหินเป็นตลาดที่มีโอกาสในการเติบโตทางธุรกิจสูง เป็นเมืองท่องเที่ยวสำคัญ ในปี 66 มีนักท่องเที่ยวเข้ามาในหัวหิน 9 ล้านคนและคาดว่าในปี 67จะมีมากขึ้นกว่าเดิมด้วยมาตรการผ่อนปรนต่างๆ ส่งผลให้ดีมานด์ที่อยู่อาศัย Resort home เป็นบ้านหลังที่ 2 มากขึ้น ทั้งซื้อเพื่ออยู่เองเพื่อการลงทุนของชาวไทยและต่างชาติรวมทั้งปัจจัยด้านโครงสร้างพื้นฐานจากโครงการต่างๆ ของภาครัฐที่กำลังพัฒนา ด้านระบบคมนาคม รวมถึงการผลักดันของภาครัฐให้หัวหินเป็น World Class City of Relaxation ศูนย์กลางของด้าน Wellness และ Medical Tourism Hub การขยายสนามบินเพื่อรองรับไพรเวทเจ็ทของนักท่องเที่ยวกลุ่มลักซ์ซัวรี่และการตั้งเป้าให้หัวหินเป็นสมาร์ทซิตี้ที่มีความทันสมัยและปลอดภัยและที่สำคัญ The Standard Residences, Hua Hin นับเป็นโปรเจกท์ไฮไลท์ของแสนสิริในปีนี้โดยมีมูลค่าโครงการรวม 4,500 ล้านบาทและเป็น Beachfront branded residences ภายใต้แบรนด์ The Standard แห่งแรกในเอเชีย และมีกำหนดเปิดตัวเป็นแห่งที่ 3 ของโลก โครงการตั้งอยู่บนไพร์มโลเคชั่นบนที่ดินหายากติดหาดหัวหิน ที่สามารถพัฒนาโครงการใหญ่แบบฟรีโฮลด์ได้มาพร้อมกับไฮไลท์ Beachfront Pool Villa สุด Rare ราคาแตะ 100 ล้านบาท เพียง 2 ยูนิตเท่านั้น โดดเด่นด้วย programming experience ที่ยกระดับประสบการณ์ระดับเวิลด์คลาสไปกับ experience facilities ที่มีให้เฉพาะลูกบ้านของเรสซิเดนซ์เท่านั้นเพื่อสุดยอดประสบการณ์ไลฟ์สไตล์ที่ฉีกกรอบทุกการพักผ่อนอาทิ pickle ball court, the mud lounge, salt sauna และ experience shower จำนวน 245 ยูนิตบนพื้นที่ขนาด9 ไร่เริ่มตั้งแต่ 1 ห้องนอน ขนาด 40-65 ตารางเมตร, 2 ห้องนอน ขนาด77-120 ตารางเมตร, 3 ห้องนอน ขนาด107-153 ตารางเมตรและBeachfront Pool Villa สุด Rare ขนาด 220 ตารางเมตร ทั้งนี้โครงการพร้อมเปิดให้ชม sales gallery ครั้งแรกวันที่ 23-24 มีนาคม 2567 นี้และพร้อมเข้าอยู่ในช่วงไตรมาส 2 ของปี 2569 คุณภูมิ จิราธิวัฒน์กรรมการผู้จัดการบริษัท ซีจี แคปปิตอลจำกัด กล่าวว่า ซีจี แคปปิตอล ผู้บริหารกองทุน Private Equity ในเครือเซ็นทรัล ได้จัดตั้ง กองทุนแรกในมูลค่า 10,000 ล้านบาท เพื่อลงทุนในกลุ่มธุรกิจโรงแรมและอสังหาริมทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจการท่องเที่ยวลงทุนหลักได้แก่ 1. ครอบครัวจิราธิวัฒน์ 2. ธนาคารชั้นนำ 3. นักลงทุนสถาบันระดับโลกซึ่งมีแผนที่จะลงทุนทั้งในส่วนโรงแรม คอนโดมิเนียม สวนสนุกสวนน้ำ และโครงการมิกซ์ยูส ที่เกี่ยวข้อง โดยมุ่งเน้นในเมืองท่องเที่ยวหลักของประเทศได้แก่ กรุงเทพมหานครภูเก็ต สมุย และพัทยา โดยคาดว่าจะลงทุนปีละ 3-5 โครงการ   ยิ่งสำคัญ ภูเก็ต เมืองท่องเที่ยวอันโด่งดังติดอันดับ1 ใน 10 ของโลก และยังได้รับการโหวตให้เป็นเมืองที่ดีที่สุดสำหรับ Workation อันดับ 10 ของโลก หลังช่วงโควิดในปีที่ผ่านมา มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าภูเก็ตแล้วกว่า 11 ล้านคน ทำให้มีการเล็งเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยทุกประเภทจากหลายผู้ประกอบการมากที่สุดในเมืองไทยประกอบกับโดยมีโรงเรียนนานาชาติถึง 13 แห่ง และโรงพยาบาลระดับไฮเอ็นด์ ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา การเติบโตของคอนโดมิเนียมในภูเก็ตเพิ่มขึ้นถึง 113% โครงการ The Standard Residences Phuket Bang Tao ตั้งอยู่บนทำเลที่ดีที่สุดในย่านที่เป็นไลฟ์สไตล์เซ็นเตอร์ของภูเก็ต อย่างย่านบางเทา การเดินทางจากกรุงเทพฯเพียง 3 ชั่วโมงโดยเครื่องบิน โครงการเดินทางจากสนามบินนานาชาติภูเก็ตเพียง 25 นาที   พื้นที่ของโครงการทั้งหมดมีขนาด 19 ไร่โดยแบ่งเป็น 3 โปรเจค เริ่มจากThe Standard Residences, Phuket Bang Tao ที่มีขนาด 12 ไร่ และ โรงแรมเดอะ เภรี โฮเต็ล ภูเก็ต บางเทา(The Peri Hotel Phuket Bang Tao) รวมถึง F&B Concept ใหม่ล่าสุดจากThe Standard ที่อยู่ในพื้นที่เดียวกันอีก 7 ไร่   ทั้งนี้ตัวโครงการ branded residences ประกอบด้วยอาคาร7 ชั้นรวมแล้ว6 อาคารมีจำนวนห้องทั้งหมด 188 ยูนิตโดยออกแบบให้เป็นห้องตกแต่งพร้อมเฟอร์นิเจอร์เริ่มตั้งแต่1 ห้องนอนขนาด 75 ตารางเมตร, 2 ห้องนอน ขนาด 100-120 ตารางเมตร, 3 ห้องนอนขนาด167-172 ตารางเมตร และห้องดูเพล็กซ์สุดหรู ขนาด 301–313 ตารางเมตร โครงการให้บริการพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกที่หลาดหลายอาทิ โคเวิร์คกิ้งสเปซ, โซนเกมส์, ฟิตเนส, สระว่ายน้ำความยาว25 เมตร, สระว่ายน้ำเด็ก และสปา เป็นต้นพร้อมบริการอื่น ๆ ตามมาตรฐานโรงแรมเดอะ สแตนดาร์ดรวมถึงมีพนักงานดูแลอำนวยความสะดวกตลอด24 ชั่วโมง และบริการรถรับ-ส่งไปยังชายหาดบางเทา ทั้งนี้ The Standard Residences, Phuket Bang Tao เตรียมเปิดตัวด้วยราคาเริ่มต้นที่ 11.9 ล้านบาท รวมถึงเปิดsales gallery ครั้งแรกในเดือนเมษายนปี 2567 และพร้อมเข้าอยู่ช่วงไตรมาส 4 ของปี 2569   บทความน่าสนใจ เปิดตัว CG Capital บริษัทบริหารกองทุน โดยตระกูลจิราธิวัฒน์ เจาะตลาดอสังหาฯ โรงแรม ในเมืองท่องเที่ยว แสนสิริกางแผนปี 67 เปิดตัว 46 โครงการใหม่มูลค่า 6.1หมื่นล้านบุก 4 เมืองท่องเที่ยว  
[PR News]โฮมโปร ประกาศยุทธศาสตร์ 5 ปี สู่ธุรกิจแสนล้าน  ปั้นธุรกิจเติบโตสมดุลอย่างยั่งยืน

[PR News]โฮมโปร ประกาศยุทธศาสตร์ 5 ปี สู่ธุรกิจแสนล้าน ปั้นธุรกิจเติบโตสมดุลอย่างยั่งยืน

“โฮมโปร (HomePro)” ปรับตัวนำเทรนด์ ตอกย้ำความเป็นเบอร์หนึ่งผู้นำธุรกิจด้าน Home Solution and Living Experience ในประเทศไทย ด้วยการประกาศทิศทางและแผนยุทธศาสตร์ 5 ปี ขยายธุรกิจสู่แสนล้านบาท ตั้งเป้าส่วนแบ่งการตลาดเติบโตต่อเนื่อง พร้อมขับเคลื่อนโมเดลธุรกิจด้วยแผน Sustainability เติบโตสมดุลอย่างยั่งยืน สู่เป้าหมายองค์กร Net Zero ระดับโลก ภายในปี ค.ศ.2050 และผนึกกำลังพันธมิตรทุกภาคส่วน รับเทรนด์โลกอนาคตมุ่งเน้นพลังงานสะอาดครบวงจร พร้อมเปิดตัวครั้งแรก! "First Closed Loop Circular Appliances" ในงาน HOMEPRO NEXT CHAPTER ก้าวไปสู่ความสำเร็จ ภายใต้แนวคิด "MAKE EVERY CHANGE A BETTER LIFE" สร้างความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ในทุกความเปลี่ยนแปลงของช่วงชีวิต นายวีรพันธ์ อังสุมาลี กรรมการผู้จัดการ บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ โฮมโปร (HomePro) เปิดเผยว่า “เป็นการพลิกบทบาทธุรกิจครั้งใหญ่ของโฮมโปร บนความท้าทายใหม่ๆ โฮมโปรพร้อมสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า คู่ค้า รวมถึงพันธมิตร ตอกย้ำแบรนด์เบอร์หนึ่งผู้นำเรื่องบ้าน ด้วยยุทธศาสตร์ 5 ปี เพื่อก้าวสู่ธุรกิจแสนล้าน ภายใต้แผนการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืน ไม่ว่าจะเป็น ขยายสาขาครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วประเทศ กว่า 170 สาขา ช่องทางการขายออนไลน์ที่ครอบคลุม และเชื่อมถึงกันแบบไร้รอยต่อ รองรับลูกค้า B2C และขยายฐานลูกค้าไป B2B มากขึ้น พร้อมพัฒนา 3 แอปฯ ช้อปได้ไม่มีสะดุด (HomePro Online, Home Service, Home Card) พัฒนาด้านระบบขนส่งและโลจิสติกส์ ขยายพื้นที่เพิ่มกว่า 100,000 ตร.ม. รองรับทุกความต้องการทั่วประเทศ เพิ่มประสิทธิภาพศูนย์กระจายสินค้าที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย รับและส่งออกสินค้ามากกว่า 400,000 ชิ้นต่อวัน, ระบบคลังสินค้าอัตโนมัติ-จัดการคลังได้มีประสิทธิภาพ แม่นยำ ลดความผิดพลาด, บริการให้เช่าคลังสินค้า, บริการขนส่งกลับ ด้วยต้นทุนต่ำ ตลอดจนส่งมอบสินค้าและบริการที่มีคุณภาพ รวดเร็ว ถึงมือลูกค้า ยกระดับประสบการณ์การซื้อสินค้าและบริการสุดพิเศษให้กับลูกค้า ภายใต้แนวคิด Lifetime Eco-System โฮมโปร พร้อมขับเคลื่อนธุรกิจด้วยแผน Sustainability สร้างองค์กรเติบโตสมดุลอย่างยั่งยืนในทุกๆ มิติ อาทิ มุ่งสู่เป้าหมายองค์กร Net Zero ระดับโลก ภายในปี ค.ศ.2050 ผนึกกำลังพันธมิตรทุกภาคส่วน รับเทรนด์โลกอนาคตมุ่งเน้น ‘พลังงานสะอาดครบวงจร’ เปิดตัวครั้งแรก! "First Closed Loop Circular Appliances" ผู้ค้าปลีกรายแรกที่ดำเนินโครงการ รีไซเคิล Waste of Electrical and Electrical Equipment (WEEE) พัฒนาสู่ผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าหมุนเวียนแบบครบกระบวนการ ตั้งแต่การเก็บของที่ใช้งานแล้ว จากบ้านลูกค้า (HomePro Consumers) เพื่อเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลที่มีมาตรฐาน GRS รองรับ เพื่อให้ได้เม็ดพลาสติก PCR (Post Consumer Recycled) ที่มีคุณภาพ ในการนำกลับมาผลิตใหม่เป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าร่วมกับพันธมิตร ได้แก่ Haier, Toshiba, Venz และ SCG เพื่อเป้าหมายคือ ลดปริมาณขยะให้กับโลก อีกทั้ง ผนึกกำลังพันธมิตรทุกภาคส่วน รับเทรนด์โลกอนาคต มุ่งเน้นพลังงานสะอาดครบวงจร ด้านขนส่ง เปลี่ยนเป็นรถขนส่งพลังงานไฟฟ้า (EV Truck) ที่เร่งดำเนินการให้ได้ราว 50% ภายในปี ค.ศ.2030 ติดตั้งโซล่าเซลล์ ไปแล้วกว่า 80 สาขา คิดเป็นกำลังการผลิตไฟมากกว่า 60 MWh และมีแผนที่จะขยายเพิ่มเติมต่อเนื่อง EV Car สนับสนุนและส่งเสริมพนักงานใช้รถพลังงานสะอาด “เชื่อมั่นว่าครั้งนี้ จะเป็นก้าวใหม่ที่นำไปสู่ความสำเร็จอย่างยั่งยืนของธุรกิจโฮมโปร สร้างความเชื่อมั่นให้กับทุกภาคส่วน ว่าจะเติบโตอย่างยั่งยืนไปพร้อมๆ กัน” นายวีรพันธ์ กล่าว   โฮมโปรได้รับรางวัลแห่งความภาคภูมิใจ ที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืน มาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นการได้รับคัดเลือกอยู่ใน Dow Jones Sustainability Indices หรือ DJSI 2017-2023, MSCI Global Sustainability Index และ MSCI ESG Ratings Index 2015-2023, FTSE4Good Index 2015-2023, Thailand Sustainability Investment (THSI) 2015-2023 รวมถึงได้รับคัดเลือกให้เป็น 1 ใน 100 บริษัทจดทะเบียนที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล โดยสถาบันไทยพัฒน์ 2015-2023, บริษัทจดทะเบียนที่มีความโดดเด่นในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน SET Awards 2016-2022 และ Thailand’s Top Corporate Brands 2022-2023 ซึ่งรางวัลเหล่านี้ถือเป็นการการันตีว่าโฮมโปรนั้นได้ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมควบคู่กับการเติบโตที่ยั่งยืนของบริษัทฯ ทั้งในปัจจุบันและอนาคต อีกด้วย   บทความน่าสนใจ ใครท็อปฟอร์มสุด ในธุรกิจ ร้านวัสดุ-เฟอร์นิเจอร์ Q3/65 เช็คให้ชัวร์ !! ซื้อบ้านใหม่ vs สร้างบ้านเอง แบบไหนเหมาะกับคุณ?    
[PR News] ลลิล พร็อพเพอร์ตี้” ประกาศแผนธุรกิจปี 2567  เปิดโครงการใหม่ 8 – 12 โครงการ มูลค่า  8,000 ล้านบาท เป้ายอดขาย 6,550 ล้านบาท 

[PR News] ลลิล พร็อพเพอร์ตี้” ประกาศแผนธุรกิจปี 2567  เปิดโครงการใหม่ 8 – 12 โครงการ มูลค่า  8,000 ล้านบาท เป้ายอดขาย 6,550 ล้านบาท 

ลลิลฯ ประกาศแผนธุรกิจปี 2567  เดินหน้าขยายธุรกิจ สู่การเป็น National Property Company มุ่งเน้นการเติบโตอย่างยั่งยืนโดยมีแผนเปิดโครงการใหม่อย่างต่อเนื่องอีก 8 – 12 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 7,000 – 8,000 ล้านบาท  เพื่อทดแทนโครงการเดิมที่ใกล้จบ ตลอดจนขยายไปยังทำเลที่มีศักยภาพใหม่ๆ   พร้อมตั้งเป้ายอดขายและยอดรับรู้รายได้เติบโตจากปีก่อนหน้า  โดยตั้งยอดขายที่ 6,550 ล้านบาท และยอดรับรู้รายได้ที่ 5,250 ล้านบาท  งบการจัดซื้อที่ดิน 1,500 ล้านบาท   นายไชยยันต์ ชาครกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) (LALIN) (Mr.Chaiyan Chakarakul, Chairman of Executive Board, Lalin Property Plc.) ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์มากว่า 30 ปี กล่าวถึงภาพรวมของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยในปี 2566 ที่ผ่านมาว่า โลกยังคงต้องเผชิญความเสี่ยงที่ต่อเนื่องมาจากปีก่อน ไม่ว่าจะเป็นความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์  ประเด็นขัดแย้งที่ก่อเกิดขึ้นเป็นระยะในหลายภูมิภาค   การพยายามควบคุมเงินเฟ้อ โดยการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางในหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐฯ ยุโรป  โดยเฉพาะเฟดมีการขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องจนมาอยู่ที่ระดับ 5.25% - 5.50% ซึ่งเป็นระดับที่สูงสุดในรอบกว่า 20 ปี  ส่งผลให้ภาพรวมของเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงต่อเนื่องจากปี 2565   ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ ในส่วนของเศรษฐกิจไทย ซึ่งเศรษฐกิจมีการพึ่งพิงต่างประเทศอย่างมาก ทั้งจากการส่งออก การท่องเที่ยว รวมถึงการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI)  ซึ่งในปี 2566 ที่ผ่านมาได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าที่ชะลอตัว  ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐ  ยุโรป  ตลอดจนประเทศจีน  ส่งผลให้การส่งออกของไทยทั้งปีน่าจะหดตัวที่ราว 1.5%    ในขณะที่ภาคการท่องเที่ยว แม้จะสามารถขยายตัวได้ต่อเนื่องจากปี 2565  แต่ก็เป็นการขยายตัวได้ต่ำกว่าเป้าหมาย โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนที่ยังไม่กลับมา   ในส่วนของการบริโภคและการลงทุนภาครัฐ ก็หดตัวลงจากจัดตั้งรัฐบาล และการจัดทำงบประมาณที่ล่าช้า  ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยในปี 2566 ขยายตัวได้ต่ำกว่าที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้มาก สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี 2567 นี้ คาดว่าจะสามารถขยายตัวได้ราว 2.5% – 3.5%  อย่างไรก็ตามยังต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนสูง ทั้งปัจจัยจากต่างประเทศและในประเทศ  ไม่ว่าจะเป็นปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์   การเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในหลายประเทศสำคัญทั่วโลก  มาตรการกระตุ้นและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน  ในขณะที่ภายในประเทศ ภาระหนี้สาธารณะ และภาระหนี้ครัวเรือนที่ค่อนข้างสูง ยังคงเป็นความท้าทายสำหรับในปี 2567 นี้    อย่างไรก็ดีมองว่าภาคอสังหาริมทรัพย์ในปี 2567 นี้ ยังคงมีปัจจัยบวก  ไม่ว่าจะเป็นการที่อัตราดอกเบี้ยเริ่มนิ่ง และมีแนวโน้มที่จะปรับลดลงได้ในช่วงครึ่งหลังของปี จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัย   การต่ออายุมาตรการภาครัฐ ลดค่าธรรมเนียมการโอน และค่าธรรมเนียมจำนอง สำหรับที่อยู่อาศัยที่ราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ไปถึงสิ้นปี 2567    การส่งออก และการท่องเที่ยวที่ น่าจะดีขึ้น  รวมถึงการเข้ามาลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศที่เพิ่มมากขึ้น  จะช่วยให้เกิดการจ้างงาน และเกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจ ทั้งนี้ยังคงเชื่อมั่นว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์  โดยเฉพาะตลาด Real Demand  ยังคงไปได้   โดยบริษัทฯ จะเน้นการดำเนินธุรกิจ และการขยายธุรกิจเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน  ในตลาดที่บริษัทมีความเชี่ยวชาญ  และเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคเป็นอย่างดี  โดยในปี 2567 นี้บริษัทวางงบในการซื้อที่ดินไว้ที่ 1,500 ล้านบาท  โดยมีแผนเปิดโครงการเพิ่มเติมที่ 8 – 12 โครงการ มูลค่ารวม 7,000 – 8,000 ล้านบาท  และตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 6,550 ล้านบาท และยอดรับรู้รายได้ที่ 5,250 ล้านบาท   นายชูรัชฏ์ ชาครกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) (LALIN) (Mr. Churat Chakarakul, Managing Director, Lalin Plc.) กล่าวว่า ในปีนี้ ลลิลฯ ยังคงเน้นย้ำแนวคิดในการดำเนินธุรกิจเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยคำนึงถึงความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และการดำเนินธุรกิจตามหลักบรรษัทภิบาล (Environmental, Social and Governance : ESG)   นอกจากนี้ ยังคำนึงถึงปัจจัยการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและการประหยัดพลังงานไฟฟ้าและน้ำ การลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการใช้วัสดุก่อสร้างที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อส่งมอบสินค้าและบริการให้ลูกค้าได้รับคุณภาพวิถีชีวิต ความเป็นอยู่ และสังคมที่ดี  ซึ่งเป็นไปตามวิสัยทัศน์ของทางบริษัท สำหรับแผนการตลาด ในปี 2567 นี้  ยังคงมุ่งเน้นกลยุทธ์ที่ให้ความสำคัญกับลูกค้าโดยยึดหลัก Customer Centric ผ่านกลยุทธ์ทั้ง Lifestyle Marketing และ Experience Marketing เสริมประสิทธิภาพด้วยการสร้างภาพลักษณ์แบรนด์ โดยการทำ Brand collaboration เพื่อเพิ่มฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ ๆ อีกทั้งสามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในทุกกลุ่มเป้าหมายด้วย นอกจากนี้ ยังเน้นการทำการตลาดผ่านช่องทาง Digital ในช่องทางใหม่ให้หลากหลายมากขึ้น  เพื่อตอบรับกับพฤติกรรมผู้บริโภคในปัจจุบัน ทั้งยังส่งเสริมให้มีประสิทธิภาพที่ดีขึ้นด้วย การนำ Big Data มาใช้ในการวิเคราะห์หา Customer Insights   ทั้งนี้บริษัทฯ ยังคงมุ่งสู่การเป็นองค์กรพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่บริหารงานภายใต้แนวคิด Agile Principles โดยใช้กลยุทธ์ด้านดิจิทัลเป็นเครื่องมือสำคัญในการเปลี่ยนแปลง (Digital transformation) นอกจากนี้ บริษัทฯให้ความสำคัญกับตลาดที่อยู่อาศัยในกลุ่มที่เป็น Real Demand โดยให้ความสำคัญในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ทั้งในส่วนของ Design Innovation และ Smart & Flexible Function ของตัวบ้าน และยังคงนำรูปแบบความงดงามของสถาปัตยกรรมฝรั่งเศสที่เรียบหรู มาออกแบบบ้านสไตล์ฝรั่งเศสแบบ French Colonial Style ซึ่งเป็นจุดเด่นสำคัญของบริษัทฯที่เป็นรายแรกในการนำมาพัฒนาออกแบบบ้านในสไตล์ดังกล่าว บนทำเลศักยภาพ ในราคาที่คุ้มค่า และจับต้องได้ เพื่อให้สินค้าและบริการสามารถตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคได้อยู่เสมอ ในส่วนของสถานะทางการเงิน บริษัทฯ ดำรงสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง มีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) เพียง 0.76 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยโดยรวมของอุตสาหกรรมซึ่งอยู่ที่ 1.45 เท่า ค่อนข้างมาก   โดยบริษัทมีการใช้แหล่งเงินทุนที่หลากหลาย และการบริหารความเสี่ยงทางการเงินอย่างรัดกุมมาโดยตลอด จึงได้รับความเชื่อมั่นจากสถาบันการเงิน ทั้งธนาคารพาณิชย์ และบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ต่างๆ  จึงไม่ประสบปัญหาในเรื่องของแหล่งเงินทุน   โดยในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา บริษัทได้มีการออกขายหุ้นกู้อายุ 2 ปี อัตราดอกเบี้ย 3.80%  ซึ่งได้รับการตอบรับจากสถาบันเข้าลงทุนเต็มจำนวนที่ 500 ล้านบาท   บทความน่าสนใจ ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ วางเป้าขาย 8,600 ล้าน โต 10% เน้นธุรกิจทำกำไร-รักษาสภาพคล่อง
แสนสิริกางแผนปี 67 เปิดตัว 46 โครงการใหม่มูลค่า 6.1หมื่นล้านบุก 4 เมืองท่องเที่ยว

แสนสิริกางแผนปี 67 เปิดตัว 46 โครงการใหม่มูลค่า 6.1หมื่นล้านบุก 4 เมืองท่องเที่ยว

นายอภิชาติ จูตระกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI เปิดเผยว่า ในปี 2567 ถือเป็นปีแห่งการเติบโตที่สำคัญที่ แสนสิริ ก้าวเข้าสู่ปีที่ 40 ถือเป็นการก้าวต่ออย่างมั่นคงจากปี 2566 ที่ผ่านมา บริษัทสามารถ เปิดตัวโครงการใหม่ 44 โครงการ มูลค่ารวมสูงถึง 65,000 ล้านบาท สร้างสถิติใหม่ ALL-Time High เติบโตจากปีก่อนหน้า 50% และโตขึ้นจากช่วงเกิดโควิดถึง 10 เท่า ครอบคลุมทุกโปรดักต์ ทั้งคอนโดมิเนียม บ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์โฮม ทุกเซ็กเมนต์ระดับราคารองรับทุกความต้องการ และครอบคลุมในทุกทำเล เจาะกลุ่มที่มีความต้องการที่อยู่อาศัยจริง  เดินหน้าปรับโครงสร้างเพื่อมุ่งทรานฟอร์มองค์กร แต่งตั้งคนรุ่นใหม่เสริมทัพบริหาร สร้างการเติบโตสู่ทศวรรษใหม่ ตามวิสัยทัศน์ที่มุ่งสู่การเป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ชั้นนำของประเทศไทย นำเสนอทั้งผลิตภัณฑ์และบริการด้านการอยู่อาศัยที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้อย่างครบวงจร และสร้างประโยชน์อย่างยั่งยืนแก่ผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย แสนสิริกางแผนปี 67 แสนสิริกางแผนปี 67 พร้อมมอบกลับคืนสู่สังคม สนับสนุนลดความเหลื่อมล้ำ ตอบโจทย์ภาพใหญ่ที่สอดคล้องกับนโยบายการยกระดับการเข้าถึงการศึกษาภาคบังคับ ได้มีการลงนามร่วมมือกับกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษาเป็นระยะเวลา 3 ปี สร้างราชบุรีโมเดล กับโครงการ “Zero Dropout เด็กทุกคนต้องได้เรียน” โดยแสนสิริสนับสนุนเงินทุน 100 ล้านบาท นำร่องที่ราชบุรี ให้เป็นจังหวัดต้นแบบ ตั้งเป้าช่วยเด็กหลุดจากการศึกษาเป็นศูนย์ในปี 2567 ซึ่งมีความคืบหน้าไปมาก ที่สำคัญเราไม่มีธุรกิจในพื้นที่ จึงไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน   นายอุทัย  อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฎิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แสนสิริ ยังคงสามารถรักษาระดับการเติบโตท่ามกลางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ จากการเปิดโครงการใหม่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงจัดทำแคมเปญและกิจกรรมทางการตลาด อาทิ งาน Museum of YOU ที่จัดขึ้นเมื่อช่วงเดือนตุลาคม 2566 ที่ผ่านมา ส่งผลให้แสนสิริสร้างยอดขายในปี 2566 ได้ 49,000 ล้านบาท ในขณะที่ยอดโอน (รวมโครงการร่วมทุน) อยู่ที่ 39,000 ล้านบาท และสามารถ Sold Out ได้ถึง 28 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 51,000 ล้านบาท   สำหรับโครงการที่เปิดตัวมีทั้งการต่อยอดความสำเร็จแบรนด์นาราสิริและบูก้าน ในกลุ่ม Sansiri Luxury Collection ตลอดจนการรีเฟรชแบรนด์เศรษฐสิริและดีคอนโด ส่วนการเปิดตัวโครงการแนวสูงนั้น ก็มีการเปิดตัว “ดีคอนโด” ซีรีส์ใหม่ 6 โครงการ 6 ทำเลศักยภาพ ทั่วประเทศ รวมมูลค่าโครงการกว่า 6,300 ล้านบาท เจาะทำเลคอมมูนิตี้ใหญ่ ใกล้มหาวิทยาลัยและแหล่งงาน ทั้งในกรุงเทพฯ หาดใหญ่ และภูเก็ต รวมถึงการกลับมาของคอนโดมิเนียมระดับบน ได้แก่ ชูช์ ราชเทวี และเวีย อารีย์ ตลอดจนคอนโดมิเนียมแบรนด์ใหม่   สำหรับปี 2567 นี้ แสนสิริ วางแผนเปิดตัวรวม 46 โครงการ มูลค่ารวม 61,000 ล้านบาท บนทำเลศักยภาพในกรุงเทพฯ และตลาดต่างจังหวัด โดยเพิ่มสัดส่วนของโครงการบ้านลักซ์ชัวรี่มากขึ้น  และตั้งเป้ายอดขาย 52,000 ล้านบาท และยอดโอนที่ 43,000 ล้านบาท เริ่มจากกลุ่มธุรกิจแนวราบ วางแผนเปิดตัวรวม 26 โครงการ มูลค่ารวม 35,000 ล้านบาท โครงการที่เป็นไฮไลท์ในปีนี้ ประเดิมด้วยกลุ่ม Sansiri Luxury Collection 2 โครงการ ได้แก่ บ้านเดี่ยวระดับซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่ ‘นาราสิริ บางนา กม. 10’ มูลค่าโครงการ 3,800 ล้านบาท ราคา 45 – 70 ล้านบาท รวมถึงต่อยอดความสำเร็จของแบรนด์บ้านเดี่ยวระดับลักซ์ชัวรี่ กับการเปิดตัวเศรษฐสิริรวม 7 โครงการ มูลค่ารวม 14,400 ล้านบาท   เศรษฐสิริ วัชรพล - เทพรักษ์โครงการใหม่ สไตล์ Georgian ใกล้ทางด่วน ใจกลางวัชรพล มูลค่า 2,700 ล้านบาท และลุยต่อตลาดอสังหาฯ ระดับซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่และลักซ์ชัวรี่ ผ่านการเปิดตัวสราญสิริรวม 6 โครงการ มูลค่ารวม 9,100 ล้านบาท กับจุดขายบ้านเดี่ยวหลังแรกของครอบครัว และอณาสิริรวม 4 โครงการ มูลค่ารวม 4,100 ล้านบาท เพื่อส่งมอบโปรดักส์อย่างครอบคลุมทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝดและทาวน์โฮม พร้อมกันนี้ แสนสิริจ่อคิวขยายพอร์ตแนวราบ เตรียมเปิดตัว 2 แบรนด์ใหม่ ได้แก่ ‘ณริณสิริ’ (Narinsiri) แบรนด์บ้านเดี่ยวใหม่ระดับพรีเมียมโครงการแรก ‘ณริณสิริ กรุงเทพกรีฑา’ มูลค่าโครงการ 1,800 ล้านบาท และ ‘มาเบิล’ (Mabel) แบรนด์บ้านเดี่ยวใหม่ระดับราคาเข้าถึงง่ายประมาณ 5-7 ล้านบาท กับ ‘มาเบิล บางนา 26’ มูลค่าโครงการ 850 ล้านบาท   สำหรับกลุ่มธุรกิจแนวสูง แสนสิริเคาะแผนเปิดตัวคอนโดมิเนียม 20 โครงการ มูลค่ารวม 26,000 ล้านบาท พร้อมสานต่อกลยุทธ์ความสำเร็จในปีที่ผ่านมา รุกแผนขยายการเปิดตัวโครงการใหม่ เน้นขยายการลงทุนไปยังหัวเมืองท่องเที่ยวมากขึ้น โดยมีไฮไลท์ดังนี้ เริ่มจากกลุ่มคอนโดมิเนียมระดับลักซ์ชัวรี่ขึ้นไป ได้แก่ การเปิดขาย ‘เดอะ สแตนดาร์ด เรสซิเด้นซ์ หัวหิน’ มูลค่าโครงการ 4,100 ล้านบาท Branded Residence แห่งแรกในเอเชียและแห่งที่ 3 ของโลก ภายใต้เดอะ สแตนดาร์ด แบรนด์บูทีคโฮเทลและไลฟ์สไตล์ชั้นนำระดับโลก และการเปิดตัวเวีย 2 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 2,500 ล้านบาท บนสุดยอดทำเลศักยภาพที่มีดีมานด์ แต่ซัพพลายน้อย ในย่านสุขุมวิท 34 และ 61  ตลอดจนการลุยต่อตลาดคอนโดมิเนียมราคาเข้าถึงง่าย อย่างแบรนด์แคมปัสคอนโด กับการเปิดตัวดีคอนโดรวม 3 โครงการ มูลค่ารวม 2,800 ล้านบาท และการพัฒนาโครงการคอนโดในกลุ่มแบรนด์เดอะ มูฟและคอนโดมีอย่างต่อเนื่อง ยิ่งไปกว่านั้น เราได้เตรียมความน่าตื่นเต้นครั้งใหม่ กับการ รีเฟรชแบรนด์ เดอะ เบส เพื่อรองรับการเปิดตัวในปีนี้รวม 3 โครงการ มูลค่าราว 4,500 ล้านบาท” นายอุทัย กล่าว แสนสิริยังคงมุ่งมั่นเดินหน้าในพันธกิจสีเขียว ตั้งเป้าหมายปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net-Zero) ภายในปี 2050 (พ.ศ. 2593) ผ่านการขับเคลื่อน 4 แก่นสำคัญคือ ‘Process-Product-Partner-Investment’ และอีกหนึ่งแผนงานที่สำคัญคือการส่งมอบทุกโครงการใหม่ของแสนสิริด้วยนวัตกรรมบ้านสีเขียว หรือ Green Living Designed Home โดยเริ่มตั้งแต่การออกแบบ ก่อสร้าง จนถึงการส่งมอบบ้านพลังงานสะอาด เพื่อให้ลูกบ้านได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างสมบูรณ์ และที่สำคัญยังช่วยประหยัดพลังงาน โดยหนึ่งครัวเรือน สามารถลดการใช้พลังงานได้สูงสุดถึง 18% ต่อปี และได้ วางเป้าขยายผลสู่คอนโดมิเนียมแบรนด์เดอะเบสทุกโครงการใหม่ในปี 2567 ที่ส่วนกลางของโครงการจะมีการนำแนวทาง Green Living Designed Home ไปต่อยอดในการดำเนินงาน และตั้งเป้าสู่การลดใช้พลังงานในช่วงแรกให้ได้ราว 6%”   นายภูมิภักดิ์ จุลมณีโชติ ประธานผู้บริหารสายงานกลยุทธ์  บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ในปีที่ผ่านมาผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ยังคงมีการเปิดตัวโครงการใหม่อย่างเนื่อง เนื่องจากก่อนหน้านี้มีการหยุดชะงักการเปิดตัวไปในช่วงโควิด อย่างไรก็ตาม เรามองว่าเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้ายังไม่ฟื้นตัวอย่างเต็มที่ทั้งปัจจัยภายในประเทศและต่างประเทศ สำหรับในประเทศ มองว่าปัจจัยท้าทายคือเรื่องดอกเบี้ยเป็นตัวแปรสำคัญ ส่วนปัจจัยที่ส่งเสริมธุรกิจก็อาจจะมีจากการฟื้นตัวของตลาดท่องเที่ยว ซึ่งจะมีผลกระตุ้นให้มีแรงซื้อจากชาวต่างชาติเข้ามามากขึ้นโดยเฉพาะสินค้ากลุ่มคอนโดมีเนียม   เพื่อให้ประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้ แสนสิริยังคงเดินหน้าตาม 3 กลยุทธ์สำคัญขับเคลื่อนองค์กร ควบคู่กับความพร้อมรับมือทุกสถานการณ์ และรักษาอันดับความเป็นผู้นำในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อที่อยู่อาศัย ประกอบไปด้วย 1. รักษาระดับผลประกอบการให้เติบโตอย่างสม่ำเสมอ เพิ่มสัดส่วนการเปิดตัวโครงการให้มากขึ้นโดยเฉพาะโครงการแนวราบ และการใช้เงินลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพ รักษาสภาพคล่องให้อยู่ในระดับที่สูง สำหรับผลการดำเนินงานในรอบ 9 เดือนแรกของปี 2566 มีกำไรสุทธิที่ 4,760 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 91% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเป็นอันดับ 1 ในกลุ่มอสังหาฯ) สูงสุดเป็นประวัติการณ์ในรอบ 40 ปีนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท และมากกว่ากำไรสุทธิทั้งปีของปี 2565 สะท้อนถึงการบริหารงานที่มีประสิทธิภาพของบริษัท เพื่อสร้างการเติบโตที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นในอนาคต และนับเป็นผลการดำเนินงานที่เติบโตตาม Business Direction ที่วางไว้นอกจากนี้ แสนสิริยังมุ่งสร้างผลตอบแทนสูงสุดกับผู้ถือหุ้น จากผลกำไรที่เติบโตต่อเนื่อง เพื่อให้ นักลงทุนได้รับเงินปันผลที่สูงขึ้นในอนาคต จากสถิติการจ่ายปันผลที่มาพบว่า Dividend Yield ปี ล่าสุด  2566 อยู่ที่ 12.4% 2.บริหารจัดการพอร์ตสินค้าพร้อมขาย ให้กระจายไปในหลากหลายทำเล เพื่อสร้างโอกาสและความได้เปรียบในการแข่งขันที่มากกว่า ผ่านการควบคุมระดับสินค้าเพื่อการขายในแต่ละระดับราคาให้อยู่ระดับที่เหมาะสม ก่อนพิจารณาเปิดโครงการใหม่ในแต่ละครั้ง เน้นเรื่องวินัยในการลงทุนมากกว่าคว้าทุกโอกาสที่เข้ามา และเมื่อรวมโครงการเปิดใหม่ในปีนี้ แสนสิริจะมียูนิตพร้อมขายทั่วประเทศรวมมูลค่า 146,000 ล้านบาท ซึ่งส่งผลให้แสนสิริจะมีรายได้ที่เติบโตอย่างต่อเนื่องใน 3 ปีข้างหน้า ภายใต้กลยุทธ์นี้  แสนสิริ พร้อมขยายโอกาสในการลงทุนกับพันธมิตรทางธุรกิจรายใหม่ๆ เพื่อพัฒนาโครงการร่วมกัน ตลอดจนกลับไปรุก Strategic Location หัวเมืองใหญ่และเมืองท่องเที่ยวที่มีศักยภาพ มีโรดแมปการพัฒนาด้านโครงสร้างพื้นฐานที่ชัดเจน และได้รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวและเป็นที่นิยมของชาวต่างชาติ ได้แก่ ภูเก็ต เชียงใหม่ พัทยา หัวหิน โดยวางแผนจะเปิดตัวโครงการในต่างจังหวัดทั้งหมด 13 โครงการ มูลค่ารวม 16,000 ล้านบาท โตกว่าปีก่อนหน้าถึง 170%  สำหรับ Strategic Location อย่างภูเก็ต ได้มีการจัดทำแผนกลยุทธ์ 5 ปี ในการเปิดตัวโครงการใหม่ 16 โครงการ มูลค่ารวม 15,000 ล้านบาท รวมถึงวางแผนเปิดตัว Sansiri Hub หรือออฟฟิศของแสนสิริในจังหวัดภูเก็ตในปี 2567 นี้ด้วยเช่นกัน รวมถึงหัวหินกับโครงการเดอะ สแตนดาร์ด เรสซิเด้นซ์ หัวหิน ที่จะเปิดตัวในเดือนกุมภาพันธ์นี้  พร้อมสานต่อโมเดล Sansiri Community ในแต่ละทำเลที่แสนสิริเข้าไปพัฒนาโครงการ และยกระดับให้เป็นสังคมอยู่อาศัยสมบูรณ์แบบอีก 4 คอมมูนิตี้ ได้แก่ ศรีนครินทร์-แพรกษา, บางนา กม. 10, ศรีวารี และวงแหวน – ลำลูกกา จากที่ประสบความสำเร็จมาแล้ว 8 คอมมูนิตี้ คือ กรุงเทพกรีฑา, บางนา-เลค 26, รังสิต-บางพูน, ราชพฤกษ์-346, กรุงเทพ-ปทุมธานี, เวสต์เกต, พระราม 2-วงแหวน และประชาอุทิศ 90   3.ยกระดับคุณภาพของสินค้า บริการ และความยั่งยืน ให้เป็นอันดับ 1 ในกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่ออยู่อาศัย สอดคล้องกับโครงการในระดับกลางและบนที่มีการเปิดตัวมากขึ้น ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญด้านหนึ่งของแสนสิริเพื่อรักษามาตรฐานความเป็นหนึ่งของวงการอสังหาริมทรัพย์ในทุกมิติ และทุกโครงการของแสนสิริ ยังมั่นใจถึงคุณภาพในการบริหารจัดการที่อยู่อาศัยด้วยทีมงานมืออาชีพ ตอบโจทย์ทุกการดูแล จากบริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้  พร้อมส่งมอบคุณภาพการใช้ชีวิตอย่างยั่งยืนให้กับลูกค้าและ Stakeholder ที่เกี่ยวข้อง   บทความน่าสนใจ แสนสิริ ตุนยอดโอน 4 เดือนแรก โต 28% กวาดรายได้แล้ว 9,200 ล้าน  แสนสิริ เปิดทำเลโครงการใหม่ปี 66 บักหมุดพื้นที่กรุงเทพฯ​ และอีก 6 จังหวัด แสนสิริ โชว์กำไรครึ่งปี 66 โตก้าวกระโดด 162% ครึ่งปีหลัง เปิดโครงการใหม่ กว่า 56,700 ล้าน
RML เปิดแผนปี’67 ชู4 key success  เปิดปฐมบทใหม่สู่ที่สุดของที่อยู่อาศัย

RML เปิดแผนปี’67 ชู4 key success เปิดปฐมบทใหม่สู่ที่สุดของที่อยู่อาศัย

RML ประกาศแผนปี’67 ‘REIMAGINING THE PINNACLE OF LIVING’ ขับเคลื่อนองค์กรแข็งแกร่ง ภายใต้ 4 กุญแจสำคัญ เพื่อสร้างปฐมบทใหม่แห่งการอยู่อาศัยอันเป็นที่สุด  RML (บริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด มหาชน) เผยแผนรุกธุรกิจครั้งสำคัญปี 2567 ‘REIMAGINING THE PINNACLE OF LIVING – สร้างปฐมบทใหม่แห่งการอยู่อาศัยอันเป็นที่สุด’ ภายใต้ 4 กุญแจสำคัญ OCC   SUCCESSOR ครองความเป็นผู้นำอันดับ 1 ของอสังหาฯ ลักชัวรี่และอัลตร้าลักชัวรี่ THOUGHT LEADER เปิดตัว 2 โครงการใหม่รูปแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน CARETAKER เดินหน้าส่งมอบสุดยอดการดูแลลูกค้า และต่อยอดสู่การดูแลสังคมภายใต้วิสัยทัศน์ ‘Sustainable Living’ เพื่อความยั่งยืนของธุรกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม TASTEMAKER สร้างสรรค์สุดยอดการออกแบบโครงการและการบริการที่เหนือระดับจากพาร์ทเนอร์ระดับโลก ลุยเปิดตัว ‘OCC’ อาคารสำนักงานลักชัวรี่ Grade A+ ที่สูงที่สุดในไทย เต็มรูปแบบ ดึงแบรนด์ F&B และไลฟ์สไตล์ชั้นนำร่วมสร้างประสบการณ์การทำงานและการใช้ชีวิตรูปแบบใหม่ที่มากกว่าเดิมในฐานะ Lifestyle Destination แห่งใหม่ใจกลางกรุงเทพฯ   OCC นายกรณ์ ณรงค์เดช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร RML กล่าวว่า “สำหรับปี’67 บริษัทฯ ได้วางทิศทางการดำเนินงาน ภายใต้แนวคิด ‘REIMAGINING THE PINNACLE OF LIVING’ ผ่านการทำงาน 4 ด้าน เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจ และมอบประสบการณ์ที่อยู่อาศัยที่เป็นที่สุดในทุกมิติให้กับลูกค้า ซึ่งเราจะยังคงยึดโยงปรัชญา ‘Luxury Reimagined’ ของแบรนด์เป็นศูนย์กลางในการดำเนินธุรกิจเช่นเคย”   สำหรับแนวคิด ‘REIMAGINING THE PINNACLE OF LIVING’ มุ่งเน้นใน 4 ด้าน ดังต่อไปนี้ SUCCESSORRML จะมุ่งสร้างผลประกอบการที่แข็งแกร่ง ผ่านการปิดการขายทุกโครงการ และโควต้าลูกค้าชาวต่างชาติเต็มทั้งหมดดังที่เคยประสบความสำเร็จในอดีต โดยสำหรับโครงการพร้อมอยู่ในปีนี้ 2 โครงการ ได้แก่ ‘ดิ เอสเทลล์ พร้อมพงษ์ (The Estelle Phrom Phong)’ คอนโดฯ อัลตร้าลักชัวรี่ บริษัทฯ ตั้งเป้าลูกค้าโอนกรรมสิทธิ์เต็ม 100% ในไตรมาส 1 ปี’67  และ ‘เทตต์ สาทร ทเวลฟ์ (Tait Sathorn 12)’ ตั้งเป้าปิดการขายในครึ่งปีแรกของปี’67 และตั้งเป้าลูกค้าโอนกรรมสิทธิ์เต็ม 100% ในไตรมาส 3 ปี’67   THOUGHT LEADERบริษัทฯ เตรียมเปิดขายรอบพิเศษแบบเอ็กซ์คลูซีฟ สำหรับโครงการอัลตร้าลักชัวรี่แนวราบ 2 โครงการ รวมมูลค่าโครงการทั้งสิ้นประมาณ 10,000 ล้านบาท ได้แก่ โครงการอัลตร้าลักชัวรี่แนวราบ ทำเลสุขุมวิท จำนวน 5 หลัง ราคาเริ่มต้นเฉลี่ย 400 ล้านบาทต่อหลัง มูลค่าโครงการประมาณ 3,000 ล้านบาท โดยจะเปิดขายรอบพิเศษแบบเอ็กซ์คลูซีฟ ปลายไตรมาส 2 หรือต้นไตรมาส 3 ปี’67 และโครงการอัลตร้าลักชัวรี่แนวราบ บนหาดกมลา ที่ภูเก็ต ซึ่งเป็นวิลล่าสุดหรู พัฒนาเฟสแรกจำนวน 7 หลัง ราคาเริ่มต้นเฉลี่ยประมาณ 600 ล้านบาท มูลค่าโครงการประมาณ 7,000 ล้านบาท เปิดขายรอบพิเศษแบบเอ็กซ์คลูซีฟ ไตรมาส 4 ปี’67 CARETAKERส่งมอบสุดยอดการดูแลลูกค้า เพราะลูกค้าทุกคนคือคนสำคัญ จึงควรได้รับการดูแลอย่างใส่ใจและมอบประสบการณ์สุดพิเศษให้เกิดความประทับใจมากที่สุด โดยในปีนี้ RML จะสร้างสรรค์กิจกรรมใหม่ๆ ให้กับลูกค้าคนสำคัญผ่านการร่วมมือกับพันธมิตรแบรนด์ชั้นนำด้านลักชัวรี่ไลฟ์สไตล์ที่หลากหลายในเกือบทุกวงการ เพื่อยืนหยัดเป็นที่หนึ่งในใจของลูกค้านอกเหนือจากนี้ยังต่อยอดสู่การดูแลสังคม บริษัทฯ ยังคงสานต่อการดำเนินงานมูลนิธิเพื่อชีวิตที่ดีขึ้น (For Better Lives Foundation) ซึ่งก่อตั้งโดย RML เพื่อทำกิจกรรมที่เป็นประโยชน์และช่วยเหลือสังคม อีกทั้งยังคงสานต่อวิสัยทัศน์ ‘Sustainable Living’ โดยโครงการใหม่ๆ ของ RML ยังมุ่งพัฒนาโครงการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และมุ่งผลักดันพื้นที่สีเขียวในทุกโครงการ เพื่อเติมเต็มความสุขให้กับทุกชีวิตควบคู่ไปกับการใส่ใจสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน TASTEMAKER RML ยังคงจุดยืนเดิมอย่างแข็งแกร่งในด้านการดีไซน์ในระดับเวิลด์คลาส โครงการปัจจุบันและโครงการในอนาคตยังคงความมีดีไซน์ที่โดดเด่น เป็นเอกลักษณ์ เพื่อเป็นแลนด์มาร์กของเอเชีย โดยไม่ทิ้งการผสมผสานบริบทของภูมิศาสตร์ วัฒนธรรมของทำเลที่โครงการเข้าไปตั้งอยู่อย่างลงตัว อีกทั้งยังมอบการบริการที่เหนือระดับจากพาร์ทเนอร์ระดับโลก และ ทีม RML Service เพื่อมอบประสบการณ์ทางด้านการอยู่อาศัยที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้า “RML ยังคงเดินหน้าเติบโตต่อไปอย่างแข็งแกร่ง ควบคู่ไปกับการยืนหยัดในการเป็นผู้นำอันดับ 1 ของตลาดอสังหาฯ ลักชัวรี่และอัลตร้าลักชัวรี่ของไทย ที่พัฒนาโครงการในรูปแบบใหม่ที่ไม่มีใครเหมือน และเป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่ในเอเชีย โดยหนึ่งในโครงการไฮไลต์ของปีนี้คือ ‘OCC (One City Centre)’ อาคารสำนักงานลักชัวรี่ Grade A+ ที่สูงที่สุดในไทย ที่มีสกายวอล์กเชื่อมกับ BTS เพลินจิต โปรเจกต์ยักษ์ที่ร่วมทุนกับ มิตซูบิชิ เอสเตท (ประเทศไทย) ผู้พัฒนาอสังหาฯ ชั้นนำของญี่ปุ่น มูลค่าโครงการ 8,800 ล้านบาท ซึ่งเราจะเปิดอย่างเต็มรูปแบบในปีนี้ ปัจจุบันมีอัตราการเช่าพื้นที่สำนักงานจากบริษัทที่มีชื่อเสียงระดับโลกและบริษัทชื่อดังในไทย แล้วประมาณ 55% ซึ่งคาดว่าปีนี้จะมีอัตราการเช่าพื้นที่สำนักงานเกินกว่า 70% ในขณะที่มีอัตราการเช่าพื้นที่รีเทลจากร้านค้าพรีเมียมแล้วเกือบเต็ม อยู่ที่ประมาณ 90% เหลือเพียงไม่กี่ยูนิตเท่านั้น คาดว่าอัตราการเช่าพื้นที่รีเทลจะเต็ม 100% ในปี 2567 นี้แน่นอน” นายกรณ์ กล่าวเสริม สำหรับบริษัทที่เซ็นสัญญาเช่าพื้นที่สำนักงาน ‘OCC’ ล้วนเป็นบริษัทที่มีชื่อเสียงระดับโลก และเป็นที่รู้จักในไทยจากหลากหลายธุรกิจ ทั้งธุรกิจเทคโนโลยี อีคอมเมิร์ซ, โค-เวิร์คกิ้งสเปซ ตลอดจนธุรกิจการเงิน และธุรกิจบริการ   บทความน่าสนใจ RML เปิดให้ชมโฉม ‘เทตต์ สาทร ทเวลฟ์’ คอนโดฯ ลักชัวรี่ พร้อมอยู่ ใจกลางสาทร 10 เรื่องอินไซต์อาคาร OCC ตึกสูงสุดในไทย 317.95 เมตรของ RML  
“โนเบิล”  ปี 67 เปิด 7 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 14,310 ล้านบาท เปิดธุรกิจใหม่ดูแลลูกบ้าน

“โนเบิล” ปี 67 เปิด 7 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 14,310 ล้านบาท เปิดธุรกิจใหม่ดูแลลูกบ้าน

บมจ.โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ หรือ “บริษัทฯ” ปักธงปี 2567 เปิด 7 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 14,310 ล้านบาท และเดินเกมรุกตลาดต่างประเทศต่อเนื่อง ทุ่มงบซื้อที่ดินย่านพระราม 9 ประชาชื่น และบางนา-ตราด ปูทางขึ้นพร้อมต่อยอดธุรกิจให้ครบวงจร หนุนสร้างรายได้ประจำสม่ำเสมอ (Recurring Income)     นายธงชัย บุศราพันธ์ รองประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) “NOBLE”  เปิดเผยว่า ทิศทางการดำเนินงานของบริษัทฯ ในปี 2567 มีแนวโน้มการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องเมื่อเทียบกับปี 2566 โดยในช่วงปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้ประสบความสำเร็จจากการขายโครงการตลอดทั้งปี ซึ่งสามารถกวาดยอดขาย (Pre-sale) ได้กว่า 14,900 ล้านบาท แบ่งเป็นยอดขายจากสินค้าสร้างเสร็จพร้อมอยู่ (Inventory) จำนวน 6,600 ล้านบาท และเป็นยอดขายจากการเปิดตัวโครงการใหม่ และโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างอีกจำนวน 8,300 ล้านบาท   ซึ่งในปีที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้มีการเปิดตัวโครงการใหม่จำนวน 7 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 18,900   ล้านบาท ซึ่งสามารถสร้างยอดขายได้อย่างต่อเนื่องด้วยสินค้าที่มีคุณภาพและอยู่ในทำเลศักยภาพที่ดี ถึงแม้สภาพเศรษฐกิจอยู่ในช่วงที่ไม่เอื้ออำนวย รวมถึงดอกเบี้ยที่อยู่ในช่วงขาขึ้นแต่บริษัทฯ ยังคงสร้างยอดขายได้ในระดับที่น่าพอใจ นอกจากนี้ บริษัทฯ มียอดขายรอโอน (Backlog) ณ สิ้นปี 2566 ในมือรวมมูลค่ากว่า 19,700 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้ภายใน 3 ปีข้างหน้า นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังคงเห็น Sentiment (ความเชื่อมั่น) ที่ดีขึ้นต่อเนื่อง โดย Segment ที่ยังคงสร้างยอดขายที่ดีให้กับบริษัทฯ เป็นโครงการที่อยู่อาศัยประเภทแนวราบระดับ Luxury และคอนโดมิเนียมในเมือง   นายธงชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า ในปี 2566 บริษัทฯ ประสบความสำเร็จในด้านยอดขายกลุ่มลูกค้าต่างชาติ โดยมีสัดส่วนยอดขายที่ระดับกว่า 5,700 ล้านบาท สำหรับโครงการที่ได้การตอบรับที่ดีเป็นโครงการประเภทคอนโดมิเนียมระดับ Luxury บนทำเลถนนทองหล่อ ถนนสุขุมวิท และถนนวิทยุ เช่น โครงการโนเบิล ฟอร์ม ทองหล่อ โครงการโนเบิล สเตท 39 และโครงการ ดิ เอ็มบาสซี ไวร์เลส ซึ่งเป็นโครงการร่วมทุนระหว่างบริษัทฯ กับกลุ่มฮ่องกง แลนด์ โดยขณะนี้โครงการดังกล่าวมียอดขายต่างชาติเข้ามากว่า 2,200 ล้านบาท ขณะเดียวกันในปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้มีการขยายตลาดของลูกค้าต่างชาติไปในตลาดใหม่ๆ ให้มีความหลากหลายมากขึ้น เช่น เมียนมา ไต้หวัน สิงคโปร์ และฮ่องกง เป็นต้น แต่อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ เชื่อว่าในปี 2567 กลุ่มลูกค้าจีนจะกลับมามากขึ้นหลังเศรษฐกิจของจีนกลับมาดีขึ้น ซึ่งจะเป็นปัจจัยที่จะหนุนให้ยอดขายจากลูกค้าต่างชาติของบริษัทฯ กลับมามากยิ่งขึ้น   ล่าสุด ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2567 ที่ผ่านมาได้มีมติอนุมัติปันผลระหว่างกาลของผลการดำเนินงานงวด 3 เดือนของไตรมาส 3/2566 จำนวน 0.20 บาทต่อหุ้น หรือคิดเป็นอัตราการจ่ายปันผล  (Dividend Payout Ratio) ที่ 51.2% โดยกำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) ในวันที่ 29 มกราคม 2567 และจ่ายเงิน   ปันผลวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2567 นี้   ในปี 2567 บริษัทฯ มีแผนซื้อที่ดินเพิ่มอีก จำนวน 3 แปลง ประกอบด้วย 1. ที่ดินบนทำเล พระราม 9 เพื่อจะพัฒนาเป็นโครงการคอนโดมิเนียมแนวสูง มูลค่าเกือบหมื่นล้านบาท 2.ที่ดินทำเลย่านประชาชื่น เพื่อจะพัฒนาเป็นโครงการคอนโดมิเนียม Low Rise และ 3.ที่ดินบนทำเลบางนา-ตราด ซึ่งเป็นการร่วมทุนกับกลุ่ม BTS และสหพัฒน์ เพื่อพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยว ตอกย้ำถึงความสัมพันธ์ทางธุรกิจที่ยังคงแข็งแกร่งและยังคงมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง   นายธงชัย กล่าวทิ้งท้ายว่า บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าต่อยอดธุรกิจให้มีความครบวงจรเต็มรูปแบบมากขึ้น โดยการเพิ่มไลน์ธุรกิจ ซึ่งจะเป็นการดำเนินการภายใต้ บริษัท เซิร์ฟ โซลูชั่น จำกัด ในรูปแบบธุรกิจบริหารนิติบุคคล ธุรกิจบริการฝากขาย-ปล่อยเช่า รวมถึงธุรกิจการบริการจัดหาเฟอร์นิเจอร์ เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีธุรกิจต่อเนื่องที่จะสร้างรายได้ประจำ (Recurring Income ) เช่น ธุรกิจการให้บริการสายไฟเบอร์ออฟติก (Fiber Optic Cable) ในโครงการที่อยู่อาศัย ธุรกิจบริการสถานีชาร์จรถไฟฟ้า (EV Charger) ธุรกิจบริการติดตั้งแผงโซล่าเซลล์ (Solar Cell) บนหลังคาของโครงการที่อยู่อาศัย เป็นต้น อีกทั้ง ยังมองหาธุรกิจใหม่ๆ ที่จะทำร่วมกับพันธมิตรซึ่งมีความเชี่ยวชาญโดยตรง เช่น ธุรกิจบริการพื้นที่  เก็บของ (Self-Storage) คาดว่าจะสามารถเปิดเผยรายละเอียดได้เร็วๆ นี้ อย่างไรก็ตาม แผนการสยายปีกดังกล่าวเป็นการต่อยอดการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ฯ ให้มีความครบวงจรควบคู่กับการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับบริษัทฯ ในอนาคต   บทความน่าสนใจ โนเบิลเปิดตัว Noble Curate “ตัวคุณกำหนดทุกสิ่ง” ร่วมกับ 6 ไอคอนสถาปนิกไทย บ้านเดี่ยวทำเลหายาก ริมแม่น้ำเจ้าพระยา “Noble Aqua Riverfront Ratburana”  
สิงห์ เอสเตท ตั้งเป้า1.8 หมื่นล้าน ก้าวสู่ปีที่ 10 อย่างแข็งแกร่ง ทุกโครงการที่เปิดต้องมาสเตอร์พีซ

สิงห์ เอสเตท ตั้งเป้า1.8 หมื่นล้าน ก้าวสู่ปีที่ 10 อย่างแข็งแกร่ง ทุกโครงการที่เปิดต้องมาสเตอร์พีซ

บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) แถลงข่าวทิศทางการดำเนินธุรกิจปี 2567 ที่ยังคงเน้นการพัฒนาและลงทุนกับโครงการระดับมาสเตอร์พีซ ภายใต้ปรัชญา “Go Beyond Dreams” เดินหน้าสร้างซินเนอร์จีธุรกิจภายในเครือ ตลอดจนผนึกกำลังพันธมิตร พร้อมชูกลยุทธ์ด้านความยั่งยืน  โดยตั้งเป้ารายได้โต 20% อยู่ที่ 1.8 หมื่นล้านบาท   สิงห์ เอสเตท นางฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. สิงห์ เอสเตท กล่าวว่า  ถึงกลยุทธ์ในการสร้าง สิงห์ เอสเตท ในปี 2566 ที่ผ่านมา กลุ่มธุรกิจที่พักอาศัย ที่มีการเปิดตัวโครงการบ้านแนวราบขยายฐานลูกค้าครบทุก ลักซ์ชัวรีเซ็กเมนต์ และการขยายสัดส่วนการถือครองโครงการ The ESSE Sukhumvit 36 รับการฟื้นตัวของความต้องการในกลุ่ม ของตลาดคอนโดมิเนียม อีกทั้งการลงทุนในที่ดินในทำเลศักยภาพที่รองรับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องสำหรับโครงการในอนาคตตามกลยุทธ์หลักของบริษัทที่สร้างการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน   ขณะที่กลุ่มธุรกิจโรงแรมภายใต้การบริหารงานของ ‘เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท’ (SET: SHR) ก็มีความโดดเด่นจากการเปิดตัว SO/Maldives โรงแรมไลฟ์สไตล์หรูระดับ 5 ดาว ซึ่งตั้งอยู่ในโครงการครอสโรดส์ มัลดีฟส์ และการยกระดับห้องพักโรงแรมในเครืออีก 5 แห่ง เพื่อตอบรับโอกาสจากความต้องการของกลุ่มลูกค้าที่เพิ่มมากขึ้น รวมถึงเสริมการให้บริการในโรงแรมเพื่อให้สามารถเก็บอัตราห้องพักต่อวันและรายได้จากบริการอื่น ๆ ได้สูงขึ้นและเพิ่มมากขึ้น และการต่อยอดแบรนด์ ทราย (“SAii”)  ในการให้บริการที่มีความหลากหลายยิ่งขึ้นและเพิ่มรายได้อื่น ๆ นอกจากราคาห้องโรงแรมของกลุ่ม   ในส่วนของกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการค้า บริษัทมีการนำโมเดลธุรกิจที่มีความยืดหยุ่น เพื่อตอบโจทย์ความต้องการในการใช้พื้นที่ของคนทำงานยุคใหม่ และกลุ่มธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมและโครงสร้างพื้นฐานมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง ด้วยจุดแข็งของนิคมอุตสาหกรรม เอส อ่างทอง ที่มีการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) ของโรงไฟฟ้าเพิ่มอีก 2 แห่ง และแหล่งน้ำจืดขนาดใหญ่ภายในพื้นที่รองรับการลงทุนในอนาคต “โดยในปี 2567 นี้ เราตั้งเป้ารายได้รวมของบริษัทให้เติบโตขึ้นสูงถึง 20% หรือมีมูลค่ารวมอยู่ที่ 18,000 ล้านบาทผ่านแนวคิด Go Beyond Dream ที่ใช้ 3 แนวทางสนับสนุนสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตครั้งนี้ ได้แก่ 1) Go Expertise การสร้างซินเนอร์จีจากความชำนาญของทีมระหว่าง 4 กลุ่มธุรกิจ โดยดึงเอาจุดแข็งและความชำนาญที่แตกต่างและโดดเด่นของแต่ละธุรกิจเพื่อเกื้อหนุนกันและกัน เพื่อการสร้างประสบการณ์ที่น่าจดจำและส่งมอบคุณค่าแก่ลูกค้า 2) Go Elixir การผนึกกำลังกับพันธมิตรใหม่ เพื่อขยายโอกาสทางธุรกิจและการลงทุน 3) Go Exceed, Go Exit ความมุ่งมั่นในการพัฒนาอย่างยั่งยืน SDG13 Climate Change สู่การเป็นองค์กร Carbon Neutrality ของสิงห์ เอสเตท ในปี 2573 เพื่อสร้างความสมดุลของธุรกิจทั้งกับชุมชุน สังคมและสิ่งแวดล้อม” กลุ่มธุรกิจที่พักอาศัย จากความสำเร็จในการพัฒนาโครงการระดับมาสเตอร์พีซอย่าง โครงการสันติบุรี เดอะ เรสซิเดนเซส โครงการลาซัวว์ เดอ เอส และโครงการศิรนินทร์ เรสซิเดนเซส ทำให้เกิดความสำเร็จอย่างต่อเนื่องในโครงการใหม่ ๆ อาทิ SMYTH, S’RIN และ SHAWN ในปี 2567 นี้ สิงห์ เอสเตท เตรียมต่อยอดความสำเร็จโครงการบ้านแนวราบที่มีครบทุกเซ็กเมนลักซ์ชัวรีตามแผนงาน และยังคงไว้ซึ่งการถ่ายทอด DNA ที่ยึดถือในการพัฒนาโครงการให้ได้คุณภาพระดับ “Best in Class” ด้วยอัตลักษณ์ในแบบฉบับของสิงห์ เอสเตท โดยได้มีการลงทุนในที่ดินทำเลศักยภาพที่รองรับการพัฒนาสำหรับโครงการที่จะเกิดขึ้นระยะ 3-5 ปีต่อจากนี้ นอกจากนี้ ยังคาดว่าจะสามารถรับรู้รายได้จากยอดโอนเพิ่มขึ้นอีก 50% ในปีนี้   กลุ่มธุรกิจโรงแรมภายใต้การบริหารงานของ SHR ยังคงมีแผนที่จะปรับปรุงโรงแรมตามแผนการยกระดับพอร์ตโฟลิโออย่างต่อเนื่อง จำนวน 5 โรงแรมในเครือที่ประเทศไทยและต่างประเทศ โดยคาดว่าจะสามารถเพิ่มอัตราเฉลี่ยต่อห้องต่อคืน (RevPAR) ได้มากกว่า 25% รวมถึงแผนการเสริมการให้บริการด้านอื่น ๆ ให้สอดคล้องกับการยกระดับห้องพักที่จะสร้างรายได้เพิ่มเติม นอกเหนือจากรายได้การเข้าพัก (Non-Room Revenue) จากการใช้จ่ายต่อคนในการใช้บริการ ภายในโรงแรมเพิ่มขึ้นอีก 15% ขณะที่การหมุนเวียนสินทรัพย์ (Asset Rotation) ยังเป็นปัจจัยหนึ่งในการเสริมความแข็งแกร่งด้านผลประกอบการ โดยมุ่งเน้นไปที่สินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูง รวมถึงการมองหาโอกาสในการควบรวมกิจการของธุรกิจที่ทำให้เกิดโอกาสรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่องเพิ่มขึ้นด้วย   กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการค้า ยังคงมุ่งเน้นกลยุทธ์ในการใช้โมเดลธุรกิจที่มีความยืดหยุ่น ควบคู่ไปกับการชูจุดเด่นด้านที่ตั้งของโครงการต่างๆ ในเครือ ซึ่งจะทำให้มีอัตราการเช่าพื้นที่เฉลี่ยของอาคารสำนักงานในเครือที่มากกว่าในช่วงปี 2562 ด้วยอัตราการเช่าพื้นที่เฉลี่ย 85% ในทุกโครงการที่ดำเนินการมาก่อนหน้านี้ กลุ่มธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมและโครงสร้างพื้นฐาน มีการตั้งเป้ายอดโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินในนิคมอุตสาหกรรม เอส อ่างทอง อยู่ที่ 40% ของพื้นที่ขายรวม โดยใช้ทำเลยุทธศาสตร์ที่เป็นจุดศูนย์กลางระหว่างแหล่งวัตถุดิบและเส้นทางการขนส่ง ความพร้อมด้านระบบสาธารณูปโภคทั้งกำลังการผลิตกระแสไฟฟ้าที่มีสูงถึง 400 MWและปริมาณน้ำซึ่งเป็นหัวใจสำคัญสำหรับผู้ประกอบการเฉพาะทาง อาทิ กลุ่ม Semi-Conductor หรือ กลุ่ม Data Center นอกเหนือจากธุรกิจทางด้านอาหาร และความร่วมมือกับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เป็นแรงหนุนสำคัญในการทำให้สำเร็จตามเป้าหมาย   การดำเนินงานด้านความยั่งยืน มีแผนที่จะบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน หรือ Carbon Neutrality ด้วยกลยุทธ์ Climate Resilience Model เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ  รวมถึงการให้ความสำคัญของพื้นที่ความหลากหลายทางชีวภาพ โดยตั้งเป้าขยายพื้นที่ความหลากหลายทางทะเลถึง 30% นอกจากนี้ยังมุ่งเป็นศูนย์กลางในการสร้างสังคมคุณภาพ ผ่านโครงการต่าง ๆ ถึงกว่า 30 โครงการ นับเป็นจำนวนมากกว่า 100,000 คน ครอบคลุมพื้นที่การดำเนินงาน 5 ประเทศในทุกกลุ่มธุรกิจ  ได้แก่ ประเทศไทย สาธารณรัฐมัลดีฟส์ สาธารณรัฐมอริเชียส สหราชอาณาจักร และสาธารณรัฐหมู่เกาะฟิจิ     “ภายใต้แนวคิด Go Beyond Dreams เราพร้อมก้าวย่างเข้าสู่ปีที่ 10 ด้วยความมุ่งมั่นในการสร้างความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง โดยเตรียมที่จะพัฒนาโครงการคุณภาพระดับ “Best in Class” ในทุกกลุ่มธุรกิจ อย่างที่เราได้ประสบความสำเร็จมาแล้วกับโครงการระดับมาสเตอร์พีซ อาทิ โครงการสันติบุรี เดอะ เรสซิเดนเซส โครงการ  ครอสโรดส์ มัลดีฟส์ และโครงการสิงห์ คอมเพล็กซ์ แม้ว่า ปี 2567 จะเป็นอีกหนึ่งปีที่ท้าทายสำหรับเศรษฐกิจโลก แต่กลุ่มบริษัท สิงห์ เอสเตท มีกลยุทธ์ในการขยายธุรกิจไปพร้อมกับการเตรียมตั้งรับสถานการณ์ต่างๆ ที่มีการเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา เพื่อตอกย้ำแนวทางการทำธุรกิจแบบมั่นคงและยั่งยืน” นางฐิติมา กล่าว   บทความน่าสนใจ สิงห์ เอสเตท รุกตลาดบ้าน Ultra Luxury ปักหมุด SMYTH’S Ramintra เริ่ม 120 ล้าน สิงห์เอสเตท  ครึ่งปีแรกรายได้โต 92% พลิกมีกำไร 102 ล้าน สิงห์ เอสเตท เปิด 5 โครงการที่อยู่อาศัยหมื่นล้าน ขายบ้านอัลตร้า ลักชัวรี่ หลังละ 550 ล้าน
เปิดตัว CG Capital บริษัทบริหารกองทุน โดยตระกูลจิราธิวัฒน์ เจาะตลาดอสังหาฯ โรงแรม ในเมืองท่องเที่ยว

เปิดตัว CG Capital บริษัทบริหารกองทุน โดยตระกูลจิราธิวัฒน์ เจาะตลาดอสังหาฯ โรงแรม ในเมืองท่องเที่ยว

เปิดตัว ซีจี แคปปิตอล (CG CAPITAL) บริษัทผู้บริหารกองทุน Private Equity โดยทีมบริหารของผู้ก่อตั้ง “ภูมิ จิราธิวัฒน์” ประเดิมตั้งกองทุนแรก 10,000 ล้านบาท มุ่งลงทุนกลุ่มโรงแรม ท่องเที่ยวและอสังหาริมทรัพย์ในไทย ปักหมุด 4 เมืองท่องเที่ยวหลัก พร้อมประกาศลงทุนโครงการแรกกับ Standard International (สแตนดาร์ด อินเตอร์เนชั่นแนล) แบรนด์บูทีคโฮเทลและไลฟ์สไตล์ชั้นนำระดับโลก มูลค่า 5,000 ล้านบาท ในรูปแบบโครงการมิกซ์ยูส ที่มี The Standard Residences, Phuket Bang Tao (เดอะ สแตนดาร์ด เรสซิเดนซ์ ภูเก็ต บางเทา) และ The Peri Hotel Phuket Bang Tao (เดอะ เภรี โฮเต็ล ภูเก็ต บางเทา)   CG CAPITAL นายภูมิ จิราธิวัฒน์ ผู้ก่อตั้งและกรรมการบริหาร บริษัท CG Capital จำกัด เปิดเผยว่า ภาพรวมของธุรกิจท่องเที่ยวไทยหลังวิกฤตโควิด-19 สามารถพลิกฟื้นกลับมาขยายตัวได้อย่างรวดเร็ว เห็นได้ชัดจากสิ้นปี 2566 ตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาประเทศไทยจำนวนสูงถึง 28 ล้านคน และมีแนวโน้มที่ตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติจะเพิ่มขึ้นเท่าช่วงก่อนวิกฤตโควิด-19 และขยายตัวต่อไปได้อย่างแน่นอน จึงมองว่าแนวโน้มธุรกิจต่าง ๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับภาคท่องเที่ยวยังมีอัตราการเติบโตที่ดีอย่างต่อเนื่องในระยะยาว จึงตัดสินใจจัดตั้งบริษัท ซีจี แคปปิตอล ขึ้นมา ซึ่งเป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจบริหารการลงทุนในรูปแบบกองทุน Private Equity     นายสรวิศ ชัยโรจน์ ผู้ก่อตั้งและกรรมการบริหาร บริษัท CG Capital จำกัด กล่าวว่า  บริษัทได้จัดตั้งกองทุนแรกมูลค่า 10,000 ล้านบาท ซึ่งมีผู้ลงทุนหลักประกอบด้วย 1.ครอบครัวจิราธิวัฒน์ 2.ธนาคารชั้นนำ 3.นักลงทุนสถาบันระดับโลก โดยมีวัตถุประสงค์ลงทุนเพื่อสนับสนุนธุรกิจการท่องเที่ยวในประเทศไทยเป็นหลัก ซึ่งจะมีทั้งการลงทุนในโรงแรม คอนโดมิเนียม สวนสนุก สวนน้ำ และ Mixed-use ที่เกี่ยวข้อง มุ่งเน้นในเมืองท่องเที่ยวหลักของประเทศ ได้แก่ กรุงเทพ ภูเก็ต สมุย และพัทยา โดยคาดว่าจะลงทุนปีละ 3-5 โครงการ     นายภูมิ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในปี 2567 นี้ บริษัทจะเปิดตัวโครงการแรกที่ลงทุน ประกอบด้วย โครงการที่พักอาศัย Branded Residences ภายใต้เครือโรงแรมบูทีคไลฟ์สไตล์ระดับโลกอย่าง Standard International (สแตนดาร์ด อินเตอร์เนชั่นแนล) โดยใช้ชื่อว่า The Standard Residences, Phuket Bang Tao (เดอะ สแตนดาร์ด เรสซิเดนซ์ ภูเก็ต บางเทา) และ The Peri Hotel Phuket Bang Tao (เดอะ เภรี โฮเต็ล ภูเก็ต บางเทา) ซึ่งเป็นโรงแรมในเครือแบรนด์ Standard International เช่นเดียวกัน ทำเลที่ตั้งถือเป็นไข่แดงของย่านเชิงทะเล-บางเทา ซึ่งเป็นทำเลที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งในภูเก็ต ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก อีกทั้งใกล้แหล่งช้อปปิ้งและร้านอาหารดังในภูเก็ต อาทิเช่น โบ้ท อเวนิว, ลากูน่า กอล์ฟ คลับ, ปอร์โต เดอ ภูเก็ต, และสวนน้ำบลูทรี มูลค่าโครงการมากกว่า 5,000 ล้านบาท จะเปิดตัวภายในเดือนเมษายน 2567 และคาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จประมาณปี 2569     “เราจัดตั้งกองทุนแรกนี้ขึ้นมา เพราะมีความเชื่อมั่นว่าภาคธุรกิจท่องเที่ยวของประเทศไทยยังมีอนาคตที่ดี และเชื่อว่าภายใน 3-5 ปีข้างหน้า นักท่องเที่ยวจะเติบโตต่อเนื่องทั้งด้านปริมาณและคุณภาพ รวมถึงกลุ่ม Expat และ Digital Nomad ที่มองประเทศไทยเป็นจุดหมายอันดับต้น ๆ ของโลก ซึ่งการเข้าไปลงทุนในโครงการต่าง ๆ ที่มีศักยภาพการเติบโตสูง เป็นการช่วยสนับสนุนการพัฒนาของธุรกิจท่องเที่ยวในประเทศไทย และจะส่งผลให้ผู้ลงทุนมีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่ดีตามไปด้วยในระยะยาวบนความผันผวนที่ต่ำกว่าการลงทุนในตลาดหุ้น  ปัจจุบันการลงทุนในรูปแบบ Private Equity ถือเป็นทางเลือกที่ได้รับความนิยมจากนักลงทุนสถาบันชั้นนำของโลก เพราะมีความคล่องตัวในการบริหาร มีขั้นตอนและหลักเกณฑ์การลงทุนที่เป็นระบบ และให้การเติบโตทางมูลค่าที่แตกต่าง ทำให้นักลงทุนสถาบันชั้นนำทั่วโลกให้น้ำหนักในพอร์ตกันมากขึ้น” นายสรวิศกล่าวปิดท้าย   บทความน่าสนใจ อรสิรินโฮลดิ้ง เตรียมขาย IPO 406.5 ล้านหุ้นใน SET หลังก.ล.ต. นับหนึ่งไฟลิ่ง ส่อง ตลาดที่อยู่อาศัยปี 66 การเติบโตท่ามกลางปัจจัยเสี่ยง ดอกเบี้ย-ต้นทุนพุ่ง
“ออริจิ้น” เปิดเมกะโปรเจกต์ “Origin Resort World” ภูเก็ต เขาใหญ่ มูลค่ารวม 11,000 ล้าน

“ออริจิ้น” เปิดเมกะโปรเจกต์ “Origin Resort World” ภูเก็ต เขาใหญ่ มูลค่ารวม 11,000 ล้าน

ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ยกพลขึ้นบกที่หาดบางเทา จังหวัดภูเก็ตสุดยอดเมืองท่องเที่ยงของไทย แถลงข่าวเปิดโรดแมป 5 ปี พัฒนามิกซ์ยูสระดับเมกะโปรเจกต์ “Origin Resort World” ในหัวเมืองท่องเที่ยว พร้อมเปิดตัวพัฒนาแล้ว 2 ทำเลพร้อมกัน ภูเก็ต บางเทา บีช และเขาใหญ่ มูลค่าโครงการรวมกว่า 11,000 ล้านบาท  โครงการที่รวมเอาความสะดวกสบายและตอบโจทย์ทุกกลุ่มการอยุ่อาศัย ผสมผสานคอนโดมิเนียม, ลักชูรี วิลล่า, โฮเทล วิลล่า, บีชคลับ, เรสซิเดนซ์, โรงแรม 5 ดาว, บริการ Wellness เติมเต็มความสมบูรณ์เมืองท่องเที่ยว บูรณาการทุกองค์ประกอบ     นายกฤษณ์ เตชะสัมมา กรรมการผู้จัดการ บริษัท ออริจิ้น เนชั่นวายด์ จำกัด ในเครือบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดเผยว่า โมเดลการพัฒนาเมืองระดับเมกะโปรเจกต์ภายใต้คอนเซ็ปต์ “ออริจิ้น รีสอร์ท เวิล์ด” (Origin Resort World) เป็นการสร้างที่อยู่ศัยแบบครบวงจร โดยความร่วมมือกับบริษัทในเครือ อาทิ บริษัท ออริจิ้น เนชั่นวายด์ จำกัด,บริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน) หรือ BRI, บริษัท วัน ออริจิ้น จำกัด (มหาชน) หรือ ONEO, บริษัท ออริจิ้น เฮลท์แคร์ จำกัด มาร่วมกันพัฒนาอาณาจักรมิกซ์ยูสในทำเลท่องเที่ยวศักยภาพ สร้างเมืองที่บูรณาการทุกองค์ประกอบของการท่องเที่ยวและการพักผ่อนเข้าด้วยกัน อาทิ โรงแรมระดับ 5 ดาว, วิลล่า, คอนโดมิเนียม และ บริการด้าน Wellness ให้เป็น World Detitanation แห่งการพักผ่อนครบวงจรอย่างเหนือระดับ     บริษัทวางโรดแมประยะ 5 ปี (2567-2572) นำร่องพัฒนาโครงการออริจิ้น รีสอร์ท เวิล์ด ก่อนใน 2 ทำเล ได้แก่ “ออริจิ้น รีสอร์ท เวิล์ด ภูเก็ตบางเทา บีช” (Origin Resort World Phuket | Bangtao Beach) และ “ออริจิ้น รีสอร์ท เวิล์ด  เขาใหญ่” (Origin Resort World | Khao Yai) มูลค่าโครงการรวมกันกว่า 11,000 ล้านบาท เนื่องจากเป็น 2 ทำเลท่องเที่ยวระดับท็อปของประเทศ มีดีมานด์สำหรับทุกตลาด ทั้งตลาดที่อยู่อาศัยเพื่อการอยู่อาศัยเอง ตลาดบ้านพักตากอากาศ ตลาดลงทุนปล่อยเช่าระยะยาว ตลาดเข้าพักท่องเที่ยวระยะสั้น ตลอดจนตลาดเข้าพักระยะยาว   สำหรับ ออริจิ้น รีสอร์ท เวิล์ด ภูเก็ต  บางเทา บีช (Origin Resort World Phuket | Bangtao Beach) มูลค่าโครงการ 8,000 ล้านบาท ตั้งอยู่บนพื้นที่ประมาณ 25 ไร่ ติดหาดบางเทา หาดที่ขึ้นชื่อว่าพระอาทิตย์ตกสวยที่สุด และถือเป็นทำเลศูนย์กลางในการเดินทางเพื่อไปยังสถานที่สำคัญต่างๆ ของภูเก็ตได้อย่างสะดวก ประกอบด้วย 5 โครงการ ได้แก่   โซ ออริจิ้น บางเทา บีช  คอนโดมิเนียมหรู สูง 8 ชั้น บัลโค ลักชูรี พูล วิลล่า จำนวน 35 หลัง วัน ออริจิ้น โฮเทล บางเทา รงแรมระดับ 5 ดาว ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาเชน Branded Residences Tichuka Phuket Beach Club ยกทัพจากบาร์ชื่อดังในทองหล่อ สู่พื้นที่สังสรรค์และพักผ่อนริมทะเล   สำหรับ ออริจิ้น เนชั่นวายด์ เปิดโครงการ โซ ออริจิ้น บางเทา บีช มูลค่าโครงการ 2,500 ล้านบาท เป็นโครงการคอนโดมิเนียมระดับ Luxury สูง 8 ชั้น จำนวน 3 อาคาร 545 ยูนิต และ 1 คลับเฮ้าส์ ขนาดห้องชุดเริ่มต้นที่ 26 ตารางเมตร 32 ตารางเมตร และสูงสุด 50 ตารางเมตร  ขายแบบตกแต่งครบ Fully Furnished พร้อมอยู่ พร้อมลงทุน  คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างในช่วงไตรมาส 3ปี 2567 และคาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จในช่วงไตรมาส 1 ปี 2569 เปิดขายรอบ VVIP ในวันที่ 20 ม.ค.นี้ ณ สำนักงานขายโครงการ ราคาเริ่มต้น 3.59 ล้านบาท หลังจากนั้น บริทาเนีย จะเปิดขายบัลโค (Balco) อย่างเป็นทางการในเฟสถัดไปภายในปีนี้     นายประเสริฐกุล เจริญทวีมงคล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ออริจิ้น เนชั่นวายด์ จำกัด กล่าวว่า สำหรับ “ออริจิ้น รีสอร์ท เวิล์ด เขาใหญ่” (Origin Resort World | Khao Yai) เป็นเมกะโปรเจกต์มูลค่าโครงการรวมกว่า 3,000 ล้าน ในแปลงที่ดินขนาด 40 ไร่ บน ถ.ธนะรัชต์ ที่ประกอบด้วยความพิเศษหลายอย่าง ได้แก่ 1.เป็นโครงการที่เกิดขึ้นจากการ่วมทุนกันระหว่างเครือออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ และเครือบริษัท เอเชี่ยน ซี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ASIAN 2.มีบริการด้าน Wellness และ Well-Being พร้อมรองรับผู้พักอาศัยทุกช่วงวัย อาทิ บริการทางการแพทย์ระดับเวิลด์คลาส บริการตรวจสุขภาพประจำสัปดาห์ ศูนย์ฟื้นฟูและกายภาพ ศูนย์สันทนาการและพักผ่อนหย่อนใจ เติมพลังบวกให้แก่การพักผ่อนทั้งของคู่รัก ครอบครัว กลุ่มเพื่อน ตัวโครงการ พัฒนาขึ้นภายใต้คอนเซ็ปต์ The Integrated Well-Being Residence and Hospitality Destination บูรณาการพลังแห่งธรรมชาติอันเป็นจุดเด่นของเขาใหญ่ การออกแบบระดับมาสเตอร์พีซ บริการระดับเวิลด์คลาส และโปรแกรมการพักผ่อนที่ยกระดับ Well-Being ประกอบด้วย 4 ส่วน ได้แก่       Branded Residences Villa เป็น Luxury Pool Villa จำนวน 19 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 19 ล้านบาท Branded Residences Condominium เป็นอาคารขนาด 4-6 ชั้น จำนวน 20 อาคาร รวม 405 ยูนิตพักอาศัย ราคาเริ่มต้น 3.99 ล้านบาท โรงแรมระดับ 5 ดาว จำนวน 191 ห้องพัก  ศูนย์บริการด้าน Wellness “เขาใหญ่กำลังกลายเป็นเมืองตากอากาศที่จะมาแทนที่เชียงใหม่ เนื่องจากมีธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ เหมาะแก่การผ่อนคลายจากทุกความเหนื่อยล้าจากการทำงานและชีวิตในเมือง อยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ และยังสามารถเดินทางได้ด้วยรถยนต์​ เรามองว่าตลาดบ้านพักตากอากาศ ยังมีความต้องการสูงมากในพื้นที่นี้ ส่งผลให้เราเปิดตัว Branded Residences Villa และ Branded Residences Condominium ก่อนเปิดให้ชม Show unit ครั้งแรกพร้อมนำเสนอ 3D simulation urban & lifestyle เจ้าแรกเจ้าเดียวในเขาใหญ่ ปลายเดือนม ค. นี้ และ เปิดขายรอบ VVIP ปลายเดือนก.พ. นี้ และน่าจะมีการเปิดเผยรายละเอียดโครงการเพิ่มเติมเร็วๆ นี้” นายประเสริฐกุล กล่าว   บทความน่าสนใจ อาณาจักร ORIGIN PET FAMILY คอนโดเลี้ยงสัตว์ได้ 16 โครงการ 26,000 ล้าน ORIGIN NEXT LEVEL การเดินหน้าสู่ Top5 ผู้นำในทุกธุรกิจ
[PR News] Maison เปิดตัวบ้านใหม่ล่าสุด ทำเลดี ติด ม.เกษตร ศรีราชา

[PR News] Maison เปิดตัวบ้านใหม่ล่าสุด ทำเลดี ติด ม.เกษตร ศรีราชา

"ไมซัน ฮิลล์ สุขุมวิท-ศรีราชา" บ้าน French Colonial พร้อมคลับเฮาส์ที่โอบล้อมด้วยเขาและทะเล   บริษัท เพลินพัฒน์ แอสเสท จำกัด เตรียมเปิดตัวโครงการใหม่ล่าสุด บนทำเลศักยภาพใจกลางเมืองศรีราชา ใกล้มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตศรีราชา และนิคมฯ แหลมฉบัง เดินทางสะดวกทุกรูปแบบ เพียง 1 นาที ก็ถึงมหาลัยเกษตรศาสตร์ และ 5 นาที ถึงนิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง   โครงการ "ไมซัน ฮิลล์ สุขุมวิท-ศรีราชา" เป็นโครงการบ้านและทาวน์โฮมหรูในแบบบ้านสไตล์ เฟรนช์โคโลเนียล (French Colonial) พร้อมคลับเฮาส์ที่มีวิว Sunset โอบล้อมด้วยทะเลและภูเขา ในบรรยากาศสบายเหมาะกับการอยู่อาศัย ในราคาเริ่มต้น 2-4 ล้านบาท* พร้อมเปิดตัวภายใน 17-18 กุมภาพันธ์ 2567   ชื่อโครงการ  :  Maison hill (สุขุมวิท- ศรีราชา) เจ้าของโครงการ   : บริษัท เพลินพัฒน์ แอสเสท จำกัด ที่ตั้งโครงการ      : ซ.เขาน้ำซับ ตำบล ทุ่งสุขรา  อ.ศรีราชา ลักษณะโครงการ  : ทาวน์โฮม ทาวน์โฮมอิสระ บ้านแฝด บ้านเดียว พื้นที่โครงการ  : 22-3-20.1 ไร่ จำนวนยูนิต  : 176 ยูนิต ที่จอดรถ  : 2  คัน สิ่งอำนวยความสะดวก : สวนสวยขนาดใหญ่, สระว่ายน้ำระบบเกลือ , เข้า-ออกโครงการด้วยระบบสแกนทะเบียน  Auto Access, กล้องวงจรปิดรปภ. 24 ชม. (Smart home) รองรับ EV Ready ราคา  :  เริ่มต้น 2-4 ลบ. เปิดจอง  : 17-18 ก.พ. 67  
[PR News] “อยู่ดี มีสุข” มอบสุขภาพดีรับปีใหม่ผ่านกิจกรรม ‘KNOW YOURSELF, HELP YOUR MIND’

[PR News] “อยู่ดี มีสุข” มอบสุขภาพดีรับปีใหม่ผ่านกิจกรรม ‘KNOW YOURSELF, HELP YOUR MIND’

พฤกษา ร่วมกับ โรงพยาบาลวิมุตและโรงพยาบาลเทพธารินทร์ เดินหน้าส่งมอบสุขภาพดีอย่างยั่งยืนให้แก่ลูกบ้านพฤกษาด้วยกิจกรรม ‘KNOW YOURSELF, HELP YOUR MIND’ ที่ให้ความรู้ด้านสุขภาพเพื่อการป้องกันด้วยคำแนะนำจากแพทย์เฉพาะทางและทีมสหสาขา พร้อมให้บริการตรวจสุขภาพเบื้องต้นด้วยการวัดความดันและทดสอบความยืดหยุ่นของร่างกาย ซึ่งสอดคล้องตามกรอบแนวคิด “Live well Stay well อยู่ดี มีสุข” นำโดยนางสาวปุณณ์รัตน์ เบี้ยวไม กรรมการผู้จัดการกลุ่มธุรกิจบ้านเดี่ยว บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วยบุคลากรทางการแพทย์จากโรงพยาบาลวิมุตและโรงพยาบาลเทพธารินทร์ ณ คลับเฮ้าส์ โครงการเดอะปาล์ม บางนา วงแหวน   นางสาวปุณณ์รัตน์ เบี้ยวไม กรรมการผู้จัดการกลุ่มธุรกิจบ้านเดี่ยว บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การจัดกิจกรรม ‘KNOW YOURSELF, HELP YOUR MIND’ เป็นไปตามวิสัยทัศน์ของกลุ่มพฤกษาด้วยกรอบแนวคิด ใส่ใจเพื่อทั้งชีวิต “อยู่ดี มีสุข” (Live well Stay well) ที่สร้างปัจจัยสุขทั้ง 3 ด้านด้วยการส่งมอบความเป็นอยู่ที่ดี สุขภาพที่ดี และสร้างสรรค์สังคมชุมชนที่ดี ซึ่งที่ผ่านมาพฤกษาได้ส่งมอบความเป็นอยู่ที่ดีด้วยที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพและตอบโจทย์ทุกความต้องการมาโดยตลอด และครั้งนี้เรามีความตั้งใจที่จะมอบสุขภาพที่ดีให้แก่ผู้อยู่อาศัยในโครงการและชุมชนใกล้เคียงด้วยเช่นกัน จึงได้ร่วมมือกับโรงพยาบาลวิมุตและโรงพยาบาลเทพธารินทร์ซึ่งเป็นธุรกิจเฮลท์แคร์ในเครือพฤกษา โฮลดิ้ง เข้ามาช่วยสนับสนุนการจัดกิจกรรม โดยให้ความรู้เรื่องการส่งเสริมสุขภาพในเชิงป้องกันเพื่อสร้างการตระหนักรู้และสนับสนุนให้ทุกคนสามารถนำมาปรับใช้ในการดูแลสุขภาพของตนเอง     “กิจกรรม ‘KNOW YOURSELF, HELP YOUR MIND’ เกิดขึ้นจากการที่พฤกษาอยากสนับสนุนให้ทุกคนมีสุขภาพดีอย่างยั่งยืน โดยเริ่มต้นจากการมีความรู้เพื่อการป้องกันก่อนเกิดโรค ภายในงานจึงเปิดให้บริการ Fit Check เพื่อตรวจสุขภาพเบื้องต้นและทดสอบความยืดหยุ่นของร่างกาย พร้อมรับฟังสาระความรู้ในหัวข้อ ‘Fitness Do and Don’t ออกกำลังกายอย่างไรให้คุ้มค่าไม่พาป่วย’ โดยทีมผู้เชี่ยวชาญจากโรงพยาบาลเทพธารินทร์ และสาระความรู้เพื่อเตรียมรับมืออาการเจ็บป่วยในหัวข้อ ‘รู้ทัน 8 สัญญาณความเสื่อมเพื่อการป้องกัน’ โดยแพทย์หญิงกอบกาญจน์ ชุณหสวัสดิกุล แพทย์เวชศาสตร์ป้องกันและผู้บริหารฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท โรงพยาบาลวิมุต โฮลดิ้ง จำกัด และนายแพทย์เก่งพงศ์ ตั้งอรุณสันติ ผู้อำนวยการ Chersery Home โรงพยาบาลผู้สูงอายุและศูนย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู นอกจากนี้ ผู้ร่วมงานทุกท่านยังได้รับคำแนะนำด้านการปรับสมดุลร่างกายและจิตใจโดยผู้เชี่ยวชาญด้านดนตรีบำบัดและพลังงานบำบัด โดยกิจกรรมในครั้งนี้มีผู้สนใจเข้าร่วมอย่างคับคั่งและได้รับการตอบรับจากลูกบ้านและชุมชนใกล้เคียงเป็นอย่างดี เพราะสามารถนำไปปรับใช้เพื่อดูแลตัวเองรวมไปถึงคนในครอบครัว ซึ่งจากผลตอบรับที่ดีของกิจกรรมนี้ ทำให้พฤกษาวางแผนเดินหน้าที่จะจัดกิจกรรมด้านสุขภาพในโครงการอื่น ๆ ต่อไป” นางสาวปุณณ์รัตน์ กล่าว  
ศรีพันวาเปิดตัว The Sky Series เวิลด์คลาสลักชัวรี่วิลล่า หลังละ 250 ล้าน

ศรีพันวาเปิดตัว The Sky Series เวิลด์คลาสลักชัวรี่วิลล่า หลังละ 250 ล้าน

ศรีพันวา ผุดโปรเจกต์ The Sky Series เวิลด์คลาสลักชัวรี่วิลล่าเพียง 4 หลัง บนที่ดินกว่า 2 ไร่ มูลค่าโครงการ 1,000 ลบ. ภายใต้แนวคิด Modern Natural ชูสไตล์การออกแบบที่มีเอกลักษณ์จากสถาปนิกชั้นนำ บริษัทแฮบบิต้า เพื่อสร้างความเป็น World Class Tourist Destination ของจังหวัดภูเก็ต ราคาเริ่มต้น 250 ลบ.     The Sky Series นายดิฐวัฒน์ อิสสระ กรรมการ บริษัท ชาญอิสสระ เรสซิเดนซ์ จำกัด เปิดเผยถึงสถานการณ์ภาพรวมตลาดอสังหาฯ ภูเก็ตในปีนี้ว่ามีทิศทางการเติบโตขึ้น ซึ่งที่ผ่านมาภูเก็ตยังได้รับการยกย่องว่าเป็น World Class Tourist Destination ของโลก และในปัจจุบันกำลังจะก้าวเข้าสู่การเป็น World Class Investment Destination ของนักลงทุนไทยและต่างชาติที่สำคัญอีกด้วย โดยเห็นได้ชัดจากจำนวนนักท่องเที่ยว นักลงทุนต่างชาติ ที่เดินทางเข้าสู่จังหวัดภูเก็ตเป็นจำนวนมากขึ้น ซึ่ง ณ สิ้นไตรมาส 3 ของปีนี้มีนักท่องเที่ยวมากว่า 8.2 ล้านคน และคาดว่า ณ สิ้นไตรมาส 4 ของปีจะมีนักท่องเที่ยวสูงถึง 14 ล้านคน โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวรัสเซีย ออสเตรเลีย อินเดีย จีน และคาซัคสถาน ส่งผลให้ตลาดอสังหาฯ ภูเก็ต ในทุกพื้นที่ คึกคักเป็นอย่างมาก     “จากภาพรวมการท่องเที่ยวในจังหวัดภูเก็ตที่ฟื้นตัว ทำให้ภาคธุรกิจอสังหาฯ โรงแรม เร่งปรับตัว พร้อมพัฒนาโปรดักส์ที่อยู่อาศัยทั้งคอนโดมิเนียมและบ้านพักตากอากาศ โดยเฉพาะบ้านพักตากอากาศซึ่งค่อนข้างได้รับความสนใจซื้อจากเศรษฐี-นักลงทุน ทั้งคนไทยและต่างชาติอย่างมาก โดยเฉพาะบ้านพักตากอากาศตามแนวชายหาด วิวทะเล ที่เงียบสงบ ให้ความเป็นธรรมชาติ ซึ่งปัจจุบันที่ดินบริเวณนี้เริ่มหายากและมีราคาที่สูง บวกกับการปรับตัวของราคาที่ดินในพื้นที่เกาะภูเก็ตในช่วงที่ผ่านมาปรับตัวสูงขึ้นแบบก้าวกระโดด” นายดิฐวัฒน์ กล่าว   ล่าสุด ศรีพันวา ภูเก็ต เดินหน้าเปิดที่ดินส่วนเรสซิเดนซ์ผืนสุดท้ายของโครงการจำนวนกว่า 2 ไร่ 1,000 ล้านบาท เปิดตัว  The Sky Series เรสซิเดนซ์ 4 หลังในโครงการ ศรีพันวา ภายใต้แนวคิด Modern Natural ชูจุดเด่นด้านงานดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะจากสถาปนิกชั้นนำอย่างแฮบบิตา ในการสร้างให้สถานที่แห่งนี้คือจุดหมายปลายทางที่หลายคนใฝ่ฝันต้องมาเยือน ประกอบกับศักยภาพของทำเลที่ยังคงคอนเซ็ปต์การอนุรักษ์ธรรมชาติ เพราะเรสซิเดนซ์แต่ละหลังจะเน้นให้ผู้อยู่อาศัยได้เห็นทั้งวิวทะเล ต้นไม้ใหญ่ที่สมบูรณ์ อีกทั้งบางแอเรียจะได้สัมผัสกับบรรยากาศแบบซีวิว บางแอเรียจะได้สัมผัสบรรยากาศในแบบสกายวิว ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากการออกแบบ Baba Nest ภายในโครงการศรีพันวา ที่มีชื่อเสียงดังไกลระดับโลก มาย่อส่วนให้เรสซิเดนซ์ทั้ง 4 หลัง มี Baba Nest ส่วนตัว พร้อมสระว่ายน้ำ ให้สามารถขึ้นมาเทควิวที่สวยงาม ชมพระทิตย์ตก นอกจากนี้การออกแบบพื้นที่ใช้สอยยังถูกออกแบบให้พื้นที่ภายนอกและภายในเชื่อมต่อเป็นพื้นที่เดียวกัน ให้บรรยากาศของธรรมชาติ ท้องฟ้า ทะเล พื้นที่สีเขียว ให้เราได้อยู่กับธรรมชาติตลอดเวลา   “จากการพัฒนาโครงการของชาญอิสสระ เรสซิเดนซ์ ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา เรามีความเข้าใจกลุ่มลูกค้าเป็นอย่างดี และสามารถพัฒนาทุกโปรดักส์ออกมาตอบโจทย์ตรงตามความต้องการของกลุ่มลูกค้าในทุกเซกเมนต์ โดยโปรเจกต์ The Sky Series นับว่าเป็นสัญลักษณ์ความเป็นเวิลด์คลาสลักชัวรี่วิลล่า ที่จะเป็นแลนด์มาร์คที่โดดเด่น และสร้างความภาคภูมิใจในการครอบครอง โดย The Sky Series เป็นเรสซิเดนซ์ 3 ชั้น 5 ห้องนอน มีจำนวนเพียง 4 หลังสุดท้าย ขนาดพื้นที่ใช้สอยเริ่มต้น 1,200 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 250 ล้านบาท โดยทุกๆ หลัง จะคงคอนเซ็ปต์ในการอนุรักษ์ธรรมชาติ ต้นไม้ใหญ่สำคัญๆ ที่มีอยู่ อาทิต้นมะกอก ต้นมะค่า ที่ยังคงเก็บไว้ ดังนั้นการออกแบบของเรซิเดนซ์ทั้ง 4 หลัง จะไม่เหมือนกัน เพราะเราจะรักษาต้นไม้ดั่งเดิมไว้ และทำบ้านให้อยู่โอบล้อมธรรมชาติ โดยจะเริ่มก่อสร้างในช่วงเดือนมิถุนายน 2567” นายดิฐวัฒน์ กล่าว   ทั้งนี้จากจุดเด่นทั้งทำเลที่เป็นแลนด์มาร์ค งานออกแบบที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ ผสมผสานกับงานอินทีเรียดีไซน์ที่สื่อถึงความเป็น Craft และ Unique จะเป็นสิ่งที่ช่วยสร้างความภูมิใจที่เหนือระดับให้กับผู้อยู่อาศัยที่ได้ครอบครองวิลล่าหรูที่มีเพียงหนึ่งเดียวในโครงการศรีพันวา ภูเก็ต นอกจากนี้ยังจะได้รับบริการ สิ่งอำนวยความสะดวก สุดเอ็กซ์คลูซีฟจากโรงแรมที่ขึ้นชื่อระดับโลก ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร, รูฟท็อปบาร์, สปา ที่พร้อมให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง   สำหรับโครงการศรีพันวา ภูเก็ต เป็นโครงการบ้านพักตากอากาศ และโรงแรมสุดหรู แบบพูลวิลล่า ตั้งอยู่บนหาดส่วนตัว ปลายสุดของแหลมพันวา ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเกาะภูเก็ต บนเนื้อที่ 85 ไร่ วิลล่าของศรีพันวา แฝงตัวอยู่ท่ามกลางแมกไม้ และบรรยากาศที่เป็นส่วนตัว ทั้งยังเปิดให้เห็นทะเลแสนสวยของท้องทะเลอันดามันพร้อมหมู่เกาะล้อมรอบ วิลล่าทุกหลังมีสระว่ายน้ำส่วนตัว   ศรีพันวาได้รับการคัดเลือกให้เป็นหนึ่งในห้ารีสอร์ทชั้นนำของประเทศไทย และยังได้รับการคัดเลือก ให้เป็นโรงแรมที่มีเสน่ห์ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก วิลล่าออกแบบในสไตล์ทรอปิคอลร่วมสมัย ตั้งอยู่เหนือระดับน้ำทะเลสูงประมาณ 40-60 เมตร มีสิ่งอำนวยความสะดวก และกิจกรรมสันทนาการมากมาย เพียบพร้อมไปด้วย 6 ร้านอาหาร, 2 รูฟท็อปบาร์, สปา และสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการที่ครบครัน พร้อมให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง  และโซนใหม่ล่าสุด "Yaya" ห้องพัก Pool Suite 24 ห้อง พร้อมห้อง Convention ความจุ 400 คน รวมถึง Baba Soul Cafe และ รูฟท๊อปแห่งใหม่ TU Bar ชมพระอาทิตย์ตกบนชั้นดาดฟ้าที่วิวดีที่สุด แลนด์มาร์คแห่งใหม่ที่ทุกคนต้องมา   บทความน่าสนใจ ชาญอิสสระ อวดโฉม โครงการ ดิ อิสสระ สาทร ครั้งแรก ชู Luxury Urbanature ชาญอิสสระ แตกไลน์ 2 ธุรกิจ “เวลเนส-คริปโตฯ” พร้อมขนบ้าน-คอนโดหั่นราคา 50%
[PR News] “คริสตัล โฮม” ยกระดับความร่วมมือ “Villeroy & Boch” เปิด Flagship Store แห่งแรกในไทย

[PR News] “คริสตัล โฮม” ยกระดับความร่วมมือ “Villeroy & Boch” เปิด Flagship Store แห่งแรกในไทย

คริสตัล โฮม (Crystal Home) ธุรกิจจัดจําหน่ายสินค้าตกแต่งห้องน้ำหรูและบริการครบวงจร เดินหน้าผนึกความร่วมมือครั้งสำคัญกับแบรนด์เซรามิกชั้นนำจากเยอรมนี “Villeroy & Boch” เปิดตัว Flagship Store แห่งแรกในประเทศไทย จัดแสดงสินค้าห้องน้ำตัวอย่างหลากสไตล์ สร้างสรรค์แรงบันดาลใจเติมเต็มชีวิตชีวาให้ห้องน้ำครบครันในทุกความต้องการ พร้อมเปิดตัวคอลเลกชันพิเศษสำหรับโอกาสครบรอบ 275 ปี ‘Hommage to Hommage’ รวมถึงการเปิดตัว ‘Antao’ คอลเลกชันที่ได้รับแรงบันดาลใจจากธรรมชาติอันน่าหลงใหล ตอกย้ำแนวทางการคัดสรรแบรนด์ผู้ร่วมสร้างประสบการณ์ นำพาคุณภาพ นวัตกรรม และการออกแบบที่ยอดเยี่ยมไปสู่บ้าน โครงการ และทุกแง่มุมชีวิตของลูกค้าอย่างยั่งยืน คริสตัล โฮม (Crystal Home) คริสตัล โฮม (Crystal Home) นางสุทธิภา สวัสดิ์-ชูโต กรรมการบริษัท ลักซ์เซอรี แอท ลีฟวิง จำกัด เปิดเผยว่า จุดเริ่มต้นของแบรนด์ ‘คริสตัล โฮม (Crystal Home)’ เกิดจากความต้องการสร้างจุดศูนย์กลางให้บริการด้านการตกแต่งห้องน้ำหรูที่ครบวงจร ประกอบกับประสบการณ์กว่า 14 ปี ในการบริหารจัดการพัฒนาโครงการหรู ทำให้เราสามารถวางจุดแข็งที่ตอบโจทย์ต่อลูกค้าในแบบที่ครอบคลุม ตั้งแต่เป็นที่ปรึกษาที่เข้าใจในข้อกำหนดและรูปแบบของโครงการเป็นอย่างดี เป็นผู้จัดหาวัสดุที่มีคุณภาพมากที่สุดและเหมาะสมทั้งแง่การออกแบบและงบประมาณ จนถึงเป็นคนกลางที่สามารถบริหารจัดการงานให้ลูกค้าได้ทุกภาคส่วน ทั้งความร่วมมือกับผู้รับเหมา ผู้ออกแบบ รวมถึงกลุ่มผู้ผลิต ช่วยให้ลูกค้าสามารถไว้วางใจได้ว่าการตกแต่งห้องน้ำหรูเป็นเรื่อง “ง่ายและคุ้มค่า” เมื่อมาที่คริสตัล โฮม   นอกเหนือจากนี้ คริสตัล โฮม ยังทำงานภายใต้ความมุ่งมั่นในการส่งมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า ตามคอนเซปต์ ‘Leading Luxury Bathroom Company’ ทำให้แบรนด์มีการคัดสรรผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ รวมถึงความเป็นนวัตกรรมที่สะท้อนความหรูหราและความเหนือระดับรวมไว้อย่างครบครัน อาทิ Kohler, TOTO, AXOR, Hansgrohe รวมถึง ‘Villeroy & Boch’ แบรนด์ที่สื่อถึงความหรูหราและเป็นเลิศด้านเซรามิก โดยมี คริสตัล โฮม เป็นตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ อีกทั้งสองแบรนด์ยังได้ผนึกความร่วมมือครั้งสำคัญ ในการผสมผสานค่านิยม ความเชื่อ และแง่มุมที่โดดเด่นด้านนวัตกรรม การออกแบบ และคุณภาพที่เหนือระดับที่ทั้งคู่มี ร่วมกันเปิด Flagship Store Villeroy & Boch แห่งแรกในประเทศไทย ซึ่งเปิดตัวขึ้นอย่างเป็นทางการขึ้นที่ Crystal Design Center, CDC   นางสุทธิภา เสริมต่อว่า Flagship Store แห่งแรกในไทยของ Villeroy & Boch จะให้บริการโดยคริสตัล โฮม ณ CDC ศูนย์รวมของตกแต่งบ้านที่สมบูรณ์แบบที่สุดในเอเซีย โดยภายในโชว์รูมจะเน้นที่การจัดแสดงห้องน้ำตัวอย่างในสไตล์ต่าง ๆ เพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้กับกลุ่มดีไซน์เนอร์ เจ้าของงานโครงการ หรือกลุ่มลูกค้าบ้านระดับไฮเอนด์ เพื่อตอบรับทุกความต้องการในการสร้างสรรค์ห้องน้ำใหม่ หรือแม้แต่กับการปรับปรุงห้องน้ำเดิมให้มีชีวิตชีวา ด้วยการเลือกใช้สุขภัณฑ์และเครื่องใช้ในห้องน้ำที่มีมาตรฐาน เป็นไปตามคอนเซปต์ ‘A House Becomes A Home’ ของแบรนด์ Villeroy & Boch หรือช่วยปรับเปลี่ยนที่อยู่อาศัยให้กลายเป็นบ้านแสนสุข เพราะบ้านไม่ใช่เพียงที่พักอาศัย แต่เป็นพื้นที่ให้เราได้เป็นตัวของตัวเอง ได้แสดงออกถึงสไตล์และรสนิยมตัวเองได้อย่างเต็มที่  Mr. Georg Lörz (เกออร์ค เลอร์ซ) CEO of Bathroom & Wellness Division, Villeroy & Boch กล่าวว่า Villeroy & Boch เป็นแบรนด์จากประเทศเยอรมนีที่ได้รับการยอมรับอย่างดีเยี่ยมจากผู้ใช้งานทั่วยุโรปมายาวนานกว่า 275 ปี ซึ่งหัวใจหลักที่แบรนด์ให้ความสำคัญ คือคุณภาพของผลิตภัณฑ์ที่แบรนด์รักษาได้ดีมาอย่างต่อเนื่อง ด้านนวัตกรรมที่เราได้มีการพัฒนาวัสดุที่มีคุณภาพอย่าง Quaryl หรือ TitanCeram หรือแม้แต่กระบวนการผลิตที่ทันสมัยและได้มาตรฐาน, ด้านการออกแบบ ที่ได้มุ่งสร้างความหลายหลากสไตล์และความแตกต่างมีเอกลักษณ์ และยังรวมถึงด้านการตรวจสอบคุณภาพของสินค้าก่อนส่งมอบสิ่งที่ดีที่สุดมาถึงมือผู้บริโภค สะท้อนถึงภาพการเป็นมากกว่าสุขภัณฑ์หรือเครื่องใช้ในห้องน้ำ แต่เป็นสิ่งที่ถูกสร้างจากความพิถีพิถันอย่างที่สุด จึงทำให้ความร่วมมือของคริสตัล โฮม และ Villeroy & Boch ในการเปิด Flagship Store นี้ นับเป็นเกียรติครั้งสำคัญในการได้ส่งต่อความเชื่อมั่นที่ชาวยุโรปมีมาสู่ผู้ใช้งานชาวไทย ทั้งนี้ Villeroy & Boch Flagship Store ยังเป็นพื้นที่สำหรับช่วยเติมเต็มประสบการณ์ตกแต่งห้องน้ำที่ลงตัวทั้งทันสมัยและมีระดับ จากการจัดแสดงคอลเลกชันที่บ่งบอกถึงทุกแง่มุมความหรูหราของห้องน้ำ อาทิ ‘Artis’ ผลงานโดยดีไซน์เนอร์ Gesa Hansen พร้อมการออกแบบที่เลือกสรรโทนสีได้ตามใจทั้งอ่างล้างหน้าและอ่างอาบน้ำ, ‘ViConnect’ โซลูชั่นสำหรับการติดตั้งสุขภัณฑ์แบบแขวนผนังและโถสุขภัณฑ์ ที่รวดเร็วและได้มาตรฐาน   และไฮไลต์การเปิดตัวคอลเลกชันพิเศษสำหรับโอกาสครบรอบ 275 ปี ของ ‘Hommage to Hommage’ ชุดสุขภัณฑ์ อ่างล้างหน้า อ่างอาบน้ำที่แฝงด้วยกลิ่นอายของความคลาสสิคผสานความโดดเด่นในโทนสีพิเศษอย่าง Pure Black รวมถึงการเปิดตัว ‘Antao’ ที่ถอดแบบองค์ประกอบของธรรมชาติมาอยู่ในรูปทรงหยดน้ำและโทนสีอันน่าหลงใหล ไม่ว่าจะเป็น สีเขียว (Morning Green), สีน้ำตาล (Almond), สีดำ (Pure Black) และสองโทนสีพื้นฐานอย่าง สีขาว (White Alpin) และสีขาวด้าน (Stone White) ที่มีให้เลือกทั้ง ชุดสุขภัณฑ์ อ่างล้างหน้า อ่างอาบน้ำ “คริสตัล โฮม ดำเนินธุรกิจภายใต้แนวทางการคัดสรรแบรนด์ที่มีความสอดคล้องกับหลักการที่เรายึดถือ ทั้งด้านนวัตกรรม การออกแบบ และคุณภาพ ที่ได้รวมอยู่ในรากฐานของแบรนด์ที่เราให้บริการ เช่นเดียวกับ Villeroy & Boch ที่เราทั้งคู่ต่างมีความมุ่งมั่นทิศทางเดียวกันในการส่งมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้ลูกค้า ที่ไม่ได้เป็นเพียงแค่การขายอ่างล้างหน้า ฝักบัว อ่างอาบน้ำ หรือโถสุขภัณฑ์เท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องถึงการสร้างประสบการณ์ เพื่อนำพาคุณภาพและงานดีไซน์ ที่ยอดเยี่ยมนี้ไปสู่บ้าน โครงการ รวมไปถึงทุกแง่มุมชีวิตของลูกค้าให้ได้อย่างยั่งยืน” นางสุทธิภา กล่าวสรุป   บทความน่าสนใจ อิเกีย x STEPS ออกแบบออฟฟิศสำหรับทุกคน ด้วย 5 เทคนิครองรับความแตกต่าง สกาย กรุ๊ป ส่ง “เมทเธียร์” ลุยภารกิจใหญ่ Smart Facility Management  
[PR News] อาณาจักร ORIGIN PET FAMILY คอนโดเลี้ยงสัตว์ได้ 16 โครงการ 26,000 ล้าน

[PR News] อาณาจักร ORIGIN PET FAMILY คอนโดเลี้ยงสัตว์ได้ 16 โครงการ 26,000 ล้าน

Origin Pet Family ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ โชว์พอร์ตพัฒนาคอนโดตอบโจทย์ Pet Lover สะสม 16 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 26,000 ล้าน ขึ้นแท่นเบอร์ 1 ตลาด หลังกระจายบุกทำเลใหม่ๆ ครองใจผู้บริโภค-ทาสหมา-ทาสแมวทั่วกรุงเทพฯปริมณฑลต่อเนื่อง รองรับเทรนด์ Pet Humanization พุ่ง ชูจุดแกร่งตั้ง “ทีม RED” วิจัย Insight ของทั้งคนและสัตว์เลี้ยง คัดสรรสเปกวัสดุอย่างเข้าใจ สร้างสรรค์ดีไซน์และฟังก์ชันทั้งในพื้นที่ส่วนกลางและห้องพักเพื่อการอยู่อาศัยร่วมกันอย่างมีความสุข เนรมิตผลิตภัณฑ์เฉพาะเพื่อน้องหมาน้องแมว เดินหน้าขยายอาณาจักร Origin Pet Family ต่อเนื่อง จับมือหลากพันธมิตร สร้างอีโคซิสเท็ม เชื่อมโยงหลากบริการที่เกี่ยวข้องกับสัตว์เลี้ยงตอบโจทย์เจ้าของถึงที่พักอาศัย     Origin Pet Family นายอภิสิทธิ์ สุนทรชูเกียรติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น คอนโดมิเนียม จำกัด ผู้พัฒนาโครงการกลุ่มสมาร์ทคอนโดมิเนียมในเครือ บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI เปิดเผยว่า นับตั้งแต่ปี 2564 บริษัทได้เดินหน้าบุกตลาดคอนโดมิเนียมสำหรับกลุ่ม Pet Lover อย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบโจทย์กลุ่มคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะกลุ่ม Gen Y และ Gen Z ที่นิยมเลี้ยงสัตว์ในที่อยู่อาศัยมากขึ้น โดย ณ สิ้นปี 2566 จะมีโครงการภายใต้แผนพัฒนาสะสมทั้งสิ้น 16 โครงการ  คิดเป็นมูลค่าโครงการรวมประมาณ 26,000 ล้านบาท ครอบคลุมหลากหลาย แบรนด์ อาทิ บรอมพ์ตัน (Brompton) บริกซ์ตัน (Brixton) ดิ ออริจิ้น (The Origin) ออริจิ้น เพลย์ (Origin Play) ออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์​ เพลย์ (Origin Plug & Play) ออริจิ้น เพลส (Origin Place) ส่งผลให้ปัจจุบัน บริษัทก้าวขึ้นมาเป็นผู้พัฒนาคอนโดเลี้ยงสัตว์ได้สะสมในตลาดมากที่สุดอันดับ 1  ทั้งนี้ บริษัทได้รับการตอบรับที่ยอดเยี่ยมจากผู้บริโภคด้วยหลากหลายปัจจัย ได้แก่ 1.การเติบโตของเทรนด์ Pet Humanization ที่คนหันมาเลี้ยงสัตว์เสมือนลูกมากขึ้น อัตราการเติบโตของสุนัขและแมวที่มีเจ้าของ จากปี 2562 ถึง 2565 เพิ่มขึ้นถึง 64% สวนทางกับอัตราการเกิดใหม่ของเด็กที่มีอัตราลดลงถึง 20% ขณะเดียวกัน การเติบโตของ เทรนด์ดังกล่าว ยังสะท้อนผ่านมูลค่าตลาดสินค้าที่เกี่ยวข้องกับสัตว์เลี้ยง ซึ่งคาดการณ์ว่าในปี 2566 จะมีมูลค่าสูงถึง 5.6 หมื่นล้านบาท เติบโตจากปีที่ผ่านมาประมาณ 10-12% 2.ความสนใจเลี้ยงสัตว์ในคอนโด จากเดิมที่ผู้บริโภคนิยมเลี้ยงสัตว์ตามบ้านจัดสรรเป็นหลัก ก็เริ่มเปลี่ยนพฤติกรรม ต้องการเลี้ยงสัตว์ในคอนโดมิเนียมมากขึ้น สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงของสภาพสังคมเมือง 3.การกระจายบุกหลากทำเลทั่วกรุงเทพฯและปริมณฑล จากเดิมที่คอนโดสำหรับ Pet Lover มักกระจุกตัวอยู่เฉพาะในเขตเมือง บริษัทได้กระจายบุกไปทั่วทั้งกรุงเทพฯและปริมณฑล ครอบคลุมทั้งรถไฟฟ้าสายสีเขียว สายสีน้ำเงิน สายสีส้ม สายสีเหลือง ซึ่งเป็นทำเลที่ยังไม่มีคู่แข่ง แต่มีความต้องการสูง 4.ความใส่ใจคัดสรรวัสดุและการออกแบบที่เข้าใจทั้งคนและสัตว์เลี้ยง ผ่านการวิจัยและความร่วมมือกับพันธมิตร 5.การเลือกพัฒนาโครงการแบบมิกซ์โปรดักท์ กรณีพัฒนาคอนโดมิเนียม Low-rise ที่มีหลายอาคาร จะมีแบ่งบางอาคารเป็นคอนโดสำหรับ Pet Lover และบางอาคารเป็นคอนโดมิเนียมปกติ เพื่อเป็นทางเลือกให้ผู้บริโภคทั้งที่ต้องการเลี้ยงสัตว์และไม่ต้องการเลี้ยงสัตว์สามารถอยู่อาศัยในโครงการทำเลเดียวกันได้ ผ่านการแบ่งอาคารที่ชัดเจน โดยหากนับเฉพาะยูนิตที่เลี้ยงสัตว์ได้ จะมีสะสมแล้วถึง 3,550 ยูนิต คิดเป็นมูลค่าเฉพาะยูนิตเลี้ยงสัตว์ได้สะสมกว่า 8,700 ล้านบาท  สำหรับปี 2566 เครือออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ เปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมสำหรับ Pet Lover ทั้งสิ้น 8 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 13,025 ล้านบาท นายสมสกุล แสงสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่สายงานออกแบบผลิตภัณฑ์ บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI กล่าวว่า การพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมสำหรับ Pet Lover นั้น ต้องให้ความสำคัญกับเรื่องข้อมูลเชิงลึก หรือ Insight ของทั้งเจ้าของและสัตว์เลี้ยงเป็นอย่างมาก ที่ผ่านมา บริษัทจึงได้จัดตั้ง “RED Team By Origin” หรือ Research for Excellent Development Team (ทีมวิจัยเพื่อการพัฒนาที่เป็นเลิศ) ขึ้น รวบรวมบุคคลที่เชี่ยวชาญจากหลากหลายฝ่าย ทั้งทีมวิจัยการตลาด ทีมออกแบบ ทีมพัฒนาความยั่งยืน เป็นต้น มาร่วมกันดำเนินงาน 4 ด้านหลัก ได้แก่   1.Customer Experience Design รับผิดชอบด้านการวิจัยและพัฒนาเพื่อให้เกิดการออกแบบและการบริการที่รองรับกับพฤติกรรมลูกค้าได้อย่างตรงจุด 2.Product Development พัฒนาออกแบบสินค้าออกไปให้มีคุณภาพและตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าและการบริการที่ครอบคลุม ด้วยการออกแบบที่มีฐานการวิจัยรองรับ 3.Marketing Intelligence วิจัยด้านการตลาด เพื่อหาเทรนด์ใหม่ๆ และอัปเดตความต้องการให้เข้ากับยุคสมัยอย่างต่อเนื่อง 4.Sustainability Development ร่วมพัฒนาเพื่อสังคมและสภาพแวดล้อม ให้ผู้คนได้สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างมีคุณภาพชีวิตที่ดี บนความเป็นอยู่ที่ดีและยั่งยืน สำหรับโปรเจกต์แรกของทีม RED คือการวิจัยเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของสัตว์เลี้ยงและคนรักสัตว์เลี้ยงอย่างสร้างสรรค์ สู่การพัฒนาคอมมูนิตี้ที่ทุกชีวิตอยู่อาศัยร่วมกันอย่างมีความสุข กลายเป็นอาณาจักร Origin Pet Family โดยมีหัวข้อที่ได้ศึกษาและเผยแพร่แล้ว ได้แก่ 1.พฤติกรรมสัตว์เลี้ยง (Pet Behavior) 2.วัสดุ การออกแบบภายใน และพื้นที่ส่วนกลาง (Design) 3.ภูมิทัศน์ของโครงการ (Landscape) และ 4.บริการและความเป็นอยู่ที่ดีของสัตว์เลี้ยง (Pet Wellness and Service)   ทั้งหมดนำไปสู่การเลือกใช้วัสดุ สิ่งอำนวยความสะดวก และการออกแบบที่เป็นมิตรต่อสัตว์เลี้ยงและผู้เลี้ยง เช่น การเลือกใช้วัสดุพื้นที่ทำความสะอาดได้ง่าย ป้องกันรอยขีดข่วน รองรับกับข้อต่อน้อง ๆ การออกแบบความถี่ของราวระเบียงเพื่อความปลอดภัย การเพิ่มสิ่งอำนวยความสะดวกในพื้นที่ส่วนกลาง อาทิ ประตูกั้นพื้นที่ จุดล้างตัว พื้นที่เล่นแบบเนินโค้ง ลู่วิ่งพื้นยางรองรับข้อต่อ เครื่องเล่นฝึกทักษะ ตลอดจนพันธุ์ไม้ที่เหมาะกับสัตว์เลี้ยง นอกจากนี้ ออริจิ้น ได้มีการออกแบบผลิตภัณฑ์สำหรับน้องแมวที่เรียกว่า “CATSULE” และการออกแบบสำหรับน้องหมาเป็นพื้นที่โล่งกว้างภายนอก จัดตั้งตามส่วนกลางของคอนโดเลี้ยงสัตว์ได้ เพื่อให้เจ้าของได้ใช้ส่วนกลางอย่างไร้ความกังวล อีกทั้งยังช่วยให้สัตว์เลี้ยงได้มีพื้นที่ส่วนตัวระหว่างรอเจ้าของอีกด้วย   นอกจากนี้ บริษัทยังได้ร่วมมือกับหลากหลายพันธมิตร เพื่อร่วมกันสร้างระบบนิเวศที่ตอบโจทย์ทุกมิติการใช้ชีวิตของ Origin Pet Family อาทิ โรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อ ให้คำแนะนำ เป็นที่ปรึกษาโดยคุณหมอและผู้เชี่ยวชาญ ร่วมทำเวิร์คช็อปจัดคอร์สอบรมให้แก่พนักงานนิติบุคคล ยกระดับงานบริการให้สามารถดูแลสัตว์เลี้ยงในโครงการได้อย่างเข้าใจ PETTO CARE (เพ็ตโตะ แคร์) ในเครือ ออริจิ้น เฮลท์แคร์  ให้บริการอาบน้ำ ตัดขน ตัดเล็บ รวมถึงบริการรับฝากเลี้ยง โซนจำหน่ายอาหารสัตว์เลี้ยง และของเล่นตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรักสัตว์ รวมถึงประกันภัยสัตว์เลี้ยงจาก PRIM ตลอดจนมอบสิทธิพิเศษจากผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงภายใต้แบรนด์อาหารแมว เบลลอตต้า (Bellotta)  อาหารสุนัข มาร์โว่ (Marvo) และอาหารสัตว์เลี้ยงสูตรเป็นมิตรต่อไต เชนจเตอร์ (ChangeTer) และแบรนด์อาหารสัตว์เลี้ยง มองชู โดยหลังจากนี้ บริษัทยังคงมีแผนเดินหน้าพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมสำหรับกลุ่ม Pet Lover อย่างต่อเนื่อง รายชื่อโครงการคอนโดเลี้ยงสัตว์ได้ทั้ง 16 โครงการในเครือออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ประกอบด้วย บริกซ์ตัน เพ็ท แอนด์ เพลย์ สุขุมวิท 107 ซี (Brixton Pet & Play Sukhumvit 107 C) บริกซ์ตัน เพ็ท แอนด์ เพลย์ สุขุมวิท 107 บี(Brixton Pet & Play Sukhumvit 107 B) บรอมป์ตัน เพ็ท เฟรนด์ลี่ สำโรง สเตชั่น (Brompton Pet Friendly Samrong Station ) ออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์ เพลย์ รามอินทรา (Origin Plug&Play Ramintra) ออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์ เพลย์ สิรินธร สเตชั่น (Origin Plug & Play Sirindhorn Station) บริกซ์ตัน พหล 50 สเตชั่น (Brixton Phahol 50 Station) ออริจิ้น เพลย์ ศรีอุดม สเตชั่น (Origin Play Sri Udom Station) ออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์ เพลย์ อี 22 สเตชั่น (Origin Plug & Play E22 Station) ออริจิ้น เพลส พหลฯ 59 สเตชั่น (Origin Place Phahol 59 Station) ดิ ออริจิ้น บางแค (The Origin Bangkae) ออริจิ้น เพลส รามคำแหง 153 (Origin Place Ramkhamhaeng 153) ดิ ออริจิ้น พหล 57 (The Origin Phahol 57) ออริจิ้น เพลส เพชรเกษม (Origin place Phetkasem) ออริจิ้น เพลย์ บางขุนนนท์ ทริปเปิ้ล สเตชั่น (Origin Play Bangkhunnon Triple Station) ดิ ออริจิ้น เตรียมน้อม สเตชั่น (The Origin Triam Nom Station) ออริจิ้น เพลย์ ศรีลาซาล สเตชั่น (Origin Play Sri Lasalle Station)   บทความน่าสนใจ “ออริจิ้น” จับมือ “สมิติเวช” ให้ลูกบ้านพบแพทย์ออนไลน์ได้ 24 ชั่วโมงผ่านแอป “Origin Connect” รีวิวคอนโดย่านสะพานใหม่ THE ORIGIN Phahol-Saphanmai ใกล้รถไฟฟ้า ราคาล้านกว่า
[PR News] โครงการ “Arom Jomtien” จัดงาน “Jomtien Mood by Arom” ขอบคุณลูกค้า พร้อมฉลองความสำเร็จยอดขาย 70%

[PR News] โครงการ “Arom Jomtien” จัดงาน “Jomtien Mood by Arom” ขอบคุณลูกค้า พร้อมฉลองความสำเร็จยอดขาย 70%

Jomtien Mood by Arom โครงการ “Arom Jomtien”จัดงาน “Jomtien Mood by Arom” ภายใต้แนวคิด “The great escape an emotive discovery of home” ให้ช่วงเวลาของการพักผ่อนเป็นช่วงเวลาที่สมบูรณ์แบบที่สุด รังสรรค์บรรยากาศเฉลิมฉลองสุดเอ็กซ์คลูซีฟสำหรับลูกค้าที่ให้ความไว้วางใจเป็นเจ้าของโครงการอารมณ์ จอมเทียน อีกหนึ่งความภาคภูมิใจใน “AROM COLLECTION ” (อารมณ์ คอลเลคชั่น) ร่วมฉลองยอดขายทะลุ 70%   นายเฉลิมพล โขนแจ่ม กรรมการผู้จัดการ และผู้พัฒนาโครงการอารมณ์ จอมเทียน กล่าวว่า งาน “Jomtien Mood by Arom” จัดเพื่อร่วมกันฉลองยอดขายโครงการ อารมณ์ จอมเทียน ทะลุ 70% งานได้รับการจัดขึ้นอย่างพิถีพิถันและใส่ใจเพื่อขอบคุณลูกค้าที่ไว้วางใจเลือกซื้อโครงการอารมณ์ จอมเทียน และเพื่อนำเสนอความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของ AROM COLLECTION ให้กับลูกค้าสัมผัสถึงการความเหนือกว่าในทุกมิติของการเป็นลูกค้าภายใต้คอลเลคชั่นนี้ มีกิจกรรมมากมายให้ได้สัมผัสกับช่วงเวลาที่แสนพิเศษอย่างสุนทรีย์ตลอดทั้งวันด้วย Arom Jomtien SOUL CLUB เพลิดเพลินกับบรรยากาศพระอาทิตย์ตกดินของหาดจอมเทียนพร้อมความเป็นส่วนตัวกับอาหารท้องถิ่นที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของพัทยา ให้ลูกค้าคนสำคัญได้สัมผัสถึงความสนุก กับแสง เสียงของหาดจอมเทียนที่เป็นเอกลักษณ์ รวมถึงกิจกกรรมทางน้ำ ไม่ว่าจะเป็น เจ็ตสกี บานานาโบ๊ต บีชปิกนิก และกิจกรรม Therapist นวดผ่อนคลายริมชายหาด ลิ้มลองไวน์และคราฟต์เบียร์ที่ดีที่สุดของพัทยา รับสิทธิพิเศษและประสบการณ์มากมายตลอดทั้งงานที่จัดเตรียมไว้เพื่อลูกค้าคนสำคัญของ “AROM JOMTIEN” เหนือระดับด้วย Butler ดูแลส่วนตัวตลอดการร่วมงาน และ Exclusive Privilege Offer สำหรับลูกค้าจองซื้อโครงการ ด้วยที่พักสไตล์วิลล่าที่ดีที่สุดในพัทยา 2วัน 1 คืน ที่ Andaz Pattaya Jomtien Beach – a Concept by Hyatt สร้างความบันเทิง และสนุกสนานไปด้วยกันกับดนตรีฟังสบาย บรรยากาศผ่อนคลาย และเสียงเพลงเพราะๆจากนักร้องและนักดนตรีชื่อดัง คุณบุรินทร์ บุญวิสุทธิ์   โครงการคอนโดมิเนียม “AROM JOMTIEN” คือความงดงามของการออกแบบที่ได้รวบรวมจิตวิญญาณและพลังของหาดจอมเทียนเอาไว้ในที่เดียวภายใต้ AROM COLLECTION แนวคิดการออกแบบ SENSE THE SOULFULNESS ที่ได้ผสมผสานสีสันของหาดจอมเทียนและสีสันของธรรมชาติเข้าด้วยกัน สุดพิเศษด้วย Private living เพียง 314 ยูนิต รูปแบบ Direct sea view ผสมผสานอย่างลงตัวกับ POOL VILLA UNITเพื่อมอบประสบการณ์การอยู่อาศัยสุดเอ็กซ์คลูซีฟ บนพื้นที่หาดจอมเทียน ความสมบูรณ์แบบที่จะช่วยให้ทุกชีวิตที่นี่ได้พักผ่อนหย่อนใจท่ามกลางบรรยากาศสวนหน้าบ้าน และเติมเต็มช่วงเวลาพิเศษกับทะเล สายลม แสงแดด ทุกกิจกรรมสุดพิเศษ ริมชายหาดภายใต้บรรยากาศรื่นรมย์ริมหาดจอมเทียนที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกใฝ่ฝัน AROM COLLECTION (อารมณ์ คอลเลคชั่น) เปิดตัวด้วยโครงการ “AROM WONGAMAT” คอนโดมิเนียม Hi-Rise 55 ชั้น 319 ยูนิต บนทำเลที่ดีทีสุดบนพื้นที่หาดวงศ์อมาตย์ มนต์เสน่ห์แห่งความเงียบสงบ และความเรียบง่ายบนหาดส่วนตัว ภายใต้แนวคิด SENSE THE MASTERPIECE จุดเริ่มต้นของปรัชญาการใช้ชีวิตในแบบของ AROM เพื่อให้คุณได้สัมผัสทุกอารมณ์ความรู้สึก ทุกช่วงขณะของชีวิต และล่าสุดกับโครงการ “AROM JOMTIEN” โครงการคอนโดมิเนียมแนบชิดหาดจอมเทียน สูง 45 ชั้น พร้อม Direct sea view ทุกยูนิต ที่ได้รับการออกแบบอย่างพิถีพิถัน และใส่ใจ ทำให้ทั้งนี้ 2 โครงการภายใต้ AROM COLLECTION ประสบความสำเร็จอย่างมากทั้งแง่ยอดขาย และความพึงพอใจของลูกค้า พบกับประสบการณ์ความรู้สึกที่เหนือกว่าการได้พักอาศัยในพื้นที่แห่งสุนทรียะแห่งการพักผ่อนได้ที่ AROM COLLECTION    สนใจสัมผัส ทุกอารมณ์ความรู้สึกกับ สามารถลงทะเบียนเพื่อนัดหมายเข้าชมได้ที่ AROM COLLECTION    บทความน่าสนใจ “พัทยา” ทางเลือกเพื่อการลงทุนอสังหาฯ  กับโปรเจ็กต์ Lifestyle Mix Use  แห่งใหม่ “ONCE PATTAYA” คุ้มค่าทั้งการอยู่อาศัยและปล่อยเช่า : รีวิวคอนโด พัทยา ฮาบิแทท ฮอสพิทัลลิตี้ สนับสนุนบัตรห้องพักโรงแรมในเครือฯ ในงานพัทยามาราธอน 2566
[PR News] 14 กลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวฯ สนับสนุน นโยบายเร่งด่วนขับเคลื่อน Soft Power

[PR News] 14 กลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวฯ สนับสนุน นโยบายเร่งด่วนขับเคลื่อน Soft Power

14 กลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวฯ ยื่นหนังสือหนุนรัฐบาลคลอดนโยบายเร่งด่วนขับเคลื่อน Soft Power กระตุ้นท่องเที่ยวไทยทุกมิติ มั่นใจช่วยพลิกฟื้นเศรษฐกิจส่งท้ายปี ดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติ 35 ล้านคนเที่ยวไทยเข้าไทยปีหน้า สร้างเงินสะพัด 3.3 ล้านล้านบาท หนุนจ้างงานสร้างรายได้กว่า 4.56 ล้านคน วอนเร่งแก้ไขปลดล็อกกฎหมายที่เป็นอุปสรรคเพื่อขับเคลื่อนธุรกิจท่องเที่ยว กลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวและบริการ โรงแรม ร้านอาหาร สถานบันเทิงนักร้องและนักแสดง รวม 14 กลุ่มองค์กร นำโดย นายสง่า เรืองวัฒนกุล นายกสมาคมผู้ประกอบธุรกิจถนนข้าวสาร นางมาริสา สุโกศล หนุนภักดี นายกสมาคมโรงแรมไทย และนางสาวเขมิกา รัตนกุล นายกสมาคมธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไทย เดินทางเข้าทำเนียบรัฐบาลร่วมกันยื่นหนังสือถึง นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เรื่อง “ข้อเสนอเพื่อส่งเสริมขีดความสามารถในการแข่งขัน ขับเคลื่อนซอฟต์พาวเวอร์ด้านการท่องเที่ยวของประเทศไทยให้เติบโตครอบคลุมในทุกมิติอย่างสมดุลและยั่งยืน” โดยมีนายสมคิด เชื้อคง รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมืองเป็นผู้รับหนังสือ   Soft Power นายสง่า เรืองวัฒนกุล นายกสมาคมผู้ประกอบธุรกิจ ถนนข้าวสาร กล่าวว่ากลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยว บริการ โรงแรมที่พัก ร้านอาหาร และการบันเทิง 14 องค์กร และ 258 ร้านค้าสถานประกอบการมีความยินดีและพร้อมให้การสนับสนุนรัฐบาลที่มีนโยบายเร่งด่วนที่จะผลักดันการสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวเพื่อการกระตุ้นการฟื้นฟูการเติบโตทางเศรษฐกิจและการจ้างงาน โดยตั้งเป้าหมายด้านรายได้จากการท่องเที่ยวในปี 2567 ไว้ที่ 3.3 ล้านล้านบาทจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ 35 ล้านคน และนักท่องเที่ยวชาวไทย 200 ล้านคน/ครั้งนั้น โดยจะมีการบูรณาการการขับเคลื่อนการฟื้นฟูและพัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวทั้งระบบและครอบคลุมในทุกมิติเพื่อการเติบโตเป็นฮับการท่องเที่ยวของโลกอย่างยั่งยืน โดยคำนึงถึงความสอดคล้องต่อบริบทที่หลากหลายของการท่องเที่ยวทั้งภาคกลางวันและภาคกลางคืน ตลอดจนธุรกิจบริการที่เกี่ยวเนื่องรวมถึงอาหารและเครื่องดื่ม อย่างไรก็ตาม ในการนี้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของภาครัฐจำเป็นต้องทบทวนการดำเนินงานเพื่อให้เป็นอย่างมีประสิทธิภาพ ในทิศทางและเป้าหมายเดียวกัน เร่งเพิ่มขีดความสามารถและอำนวยความสะดวกในการดำเนินธุรกิจแก่ผู้ประกอบการ ปรับปรุงกฎหมายและกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรค พร้อมกำหนดยุทธศาสตร์ แผนงาน และขับเคลื่อนซอฟต์พาวเวอร์ (Soft Power) ประเทศไทย ซึ่งมีการท่องเที่ยวเป็นหนึ่งในสิบเอ็ดสาขาอุตสาหกรรมเป้าหมายอย่างเป็นรูปธรรมภายใต้ความร่วมมือกับภาคเอกชน นายสง่า กล่าวว่าอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเป็นกลไกที่สำคัญอย่างยิ่งยวดต่อการขับเคลื่อนการฟื้นฟูและการเจริญเติบโตเศรษฐกิจของประเทศไทยในปัจจุบัน ดังนั้นจึงต้องเร่งผลักดันการขับเคลื่อน Soft Power ด้านการท่องเที่ยวอย่างเข้มข้น เพื่อนำประเทศไทยสู่การเป็นประเทศจุดหมายปลายด้านการท่องเที่ยวของโลกที่ได้รับความเชื่อมั่นด้านคุณภาพ ความปลอดภัย ความหลากหลาย ความสะดวกสบาย ความคุ้มค่า สามารถตอบสนองและสร้างความพึงพอใจให้กับนักท่องเที่ยวทั่วโลก ดึงดูดนักท่องเที่ยวกลุ่มใหม่และกลุ่มที่มีคุณภาพและมีระดับการจับจ่ายใช้สอยสูง ทั้งที่มาเพื่อพักผ่อนหย่อนใจและกลุ่มไมซ์ให้กลับมาเยี่ยมเยือน อันจะส่งผลให้เกิดการฟื้นตัวและการเติบโตไม่เฉพาะในภาคธุรกิจการท่องเที่ยวและบริการ แต่ยังครอบคลุมถึงภาคการผลิตและบริการต้นน้ำและปลายน้ำ ตลอดจนเศรษฐกิจและการจ้างงานของประเทศโดยรวม ทั้งนี้ จากข้อมูลของกรมเศรษฐกิจการท่องเที่ยวกีฬา การจ้างงานในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวมีกว่า 4.56 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 11.50 ของการจ้างงานรวมของประเทศ เมื่อพิจารณารายได้จากการท่องเที่ยวปี 2562 ซึ่งเป็นช่วงก่อนเกิดวิกฤตโควิด 19 มีมูลค่าสูงถึง 3 ล้านล้านบาท หรือกว่าร้อยละ 18 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) นั้น พบว่าเป็นรายรับจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ 1.91 ล้านล้านบาท จากจำนวนนักท่องเที่ยว 39.9 ล้านคน โดย 5 ลำดับแรกของรายรับหรือค่าใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ได้แก่ ค่าใช้จ่ายด้านโรงแรมและที่พัก จำนวน 5.44 แสนล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 28.5 ค่าใช้จ่ายด้านการซื้อสินค้าและของที่ระลึก จำนวน 4.64 แสนล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 24.3 ค่าใช้จ่ายด้านอาหารและเครื่องดื่ม จำนวน 4.04 แสนล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 21.2 ค่าใช้จ่ายในการเดินทางภายในประเทศ จำนวน 1.86 แสนล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 9.8 และค่าใช้จ่ายเพื่อความบันเทิง จำนวน 1.73 แสนล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 9.0 ซึ่งค่าใช้จ่ายเพื่อความบันเทิงยามค่ำคืนในสถานบันเทิง ผับ บาร์ (Night Entertainment) มีสัดส่วนถึงร้อยละ 30 ของค่าใช้จ่ายเพื่อความบันเทิงทั้งหมด หรือคิดเป็นรายรับจำนวน 51.8 พันล้านบาท จะเห็นได้นักท่องเที่ยวต่างชาติใช้จ่ายด้านอาหารและเครื่องดื่ม รวมถึงความบันเทิงยามค่ำคืนสูงถึงกว่าหนึ่งในสี่ของค่าใช้จ่ายในการเดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทย   “ในนามกลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวและบริการ โรงแรม ร้านอาหาร สถานบันเทิงนักร้องและนักแสดง ดังมีรายนามที่ปรากฏในหนังสือฉบับนี้ ใคร่ขอชื่นชมรัฐบาลที่มีความเข้าใจในความต้องการและพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวที่เปลี่ยนแปลงไป และได้จัดทำแคมเปญ Amazing Thailand, Amazing New Chapters ซึ่งนำเสนอภาพลักษณ์ใหม่ด้านการท่องเที่ยววิถีปกติใหม่ ซึ่งมีความหลากหลาย ครอบคลุมในทุกมิติด้านการท่องเที่ยวและการบริการ ทั้งภาคกลางวันและยามค่ำคืนสร้างประสบการณ์ที่แปลกใหม่และน่าประทับใจ สะดวกสบาย และปลอดภัย เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะกลุ่มใหม่ กลุ่มที่มีศักยภาพและกำลังซื้อสูงให้เข้ามาท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นและมีระยะเวลาการพำนักนานขึ้น” นางสาวเขมิกา รัตนกุล นายกสมาคมธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไทยกล่าว นางสาวเขมิกา กล่าวเสนอด้วยว่าขอให้รัฐบาลกำหนดพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวยามค่ำคืนเพื่อเป็น “Soft Power” ผลักดันให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายสำหรับนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบการสังสรรค์และความบันเทิงยามค่ำคืนและเป็นชาติผู้นำด้านการท่องเที่ยวที่ครบวงจรและปลอดภัยในระดับโลก ได้แก่   กรุงเทพมหานคร พื้นที่ถนนข้าวสาร ถนนสีลม (ซอยพัฒน์พงษ์ และซอยธนิยะ) ถนนรัชดาภิเษก ถนนสุขุมวิท (ซอยสุขุมวิท 11 ซอยคาวบอย ซอยนานา) จังหวัดภูเก็ตพื้นที่ซอยบางลา เมืองพัทยา จังหวัดสุราษฎร์ธานีพื้นที่หาดเฉวง เกาะสมุย และหาดริ้น เกาะพะงัน พังงาพื้นที่เขาหลัก กระบี่พื้นที่อ่าวนาง ประจวบคีรีขันธ์พื้นที่เมืองหัวหิน จังหวัดสงขลาพื้นที่เมืองหาดใหญ่ เมืองสะเดา จังหวัดเชียงใหม่พื้นที่ถนนนิมมานเหมินทร์   พร้อมปรับปรุงแก้ไขมาตรการอำนวยความสะดวกในการดำเนินธุรกิจสำหรับพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวยามค่ำคืน ได้แก่ 1.อนุญาตให้สถานบริการ สถานบันเทิง ผับ บาร์ คาราโอเกะ ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่พิเศษสามารถเปิดดำเนินการจนถึงเวลา 4.00 น. 2.กำหนดเวลาจำหน่ายและบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในพื้นที่พิเศษตั้งแต่เวลา 11.00 – 4.00 น. 3.พิจารณายกเลิกคำสั่งห้ามมิให้มีสถานที่ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ตั้งอยู่ในบริเวณใกล้เคียงสถานศึกษาหรือหอพักในบริเวณใกล้เคียงสถานศึกษา 4.กำหนดมาตรการอำนวยความสะดวก และเฝ้าระวังความปลอดภัยเชิงรุก 5.บังคับใช้กฎหมายการห้ามมิให้จำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แก่ผู้ที่อายุยังไม่ถึงเกณฑ์หรือผู้ที่ครองสติไม่อยู่ รวมถึงการห้ามการเมาแล้วขับอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อเป็นเครื่องมือในการป้องกันการดื่มสุราในกลุ่มเด็กและเยาวชนและปัญหาอุบัติเหตุจราจรจากการเมาแล้วขับ 6.ตรวจสอบมาตรฐานการให้บริการและมาตรฐานความปลอดภัยของสถานประกอบการ มาตรฐานความปลอดภัยรอบพื้นที่พิเศษ รวมถึงการเป็นพื้นที่ปลอดยาเสพติดและอาวุธอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้กลุ่มตัวแทนดังกล่าวได้แนบเอกสารสำคัญ 3 เรื่องด้วยเพื่อประกอบการพิจารณา คือ 1. หนังสือสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ที่ นร 0913/320 ลงวันที่ 27 ธันวาคม 2564 2. บันทึกคณะกรรมการพัฒนากฎหมาย เรื่อง ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับมาตรการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่สร้างสมดุลกับนโยบายอื่นของภาครัฐ (เรื่องเสร็จที่ 1673/2564) 3.รายงานฉบับสมบูรณ์ (Final Report) โครงการศึกษาวิเคราะห์ทบทวนกฎหมาย กฎ ระเบียบข้อบังคับและกระบวนงานที่เกี่ยวกับการอนุญาต เพื่อลดขั้นตอนการดำเนินการและการอนุญาตที่ไม่จำเป็นหรือเป็นอุปสรรคต่อการประกอบอาชีพและการดำเนินธุรกิจของประชาชน เล่มที่ 2 “เรื่อง ผลการทบทวน: ใบขออนุญาตขายสุรา ประเภทที่ 1 และใบขออนุญาตขายสุรา ประเภทที่ 2 และผลการทบทวน: การกำหนดวันและเวลาห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์” ของสำนักงานขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติและการสร้างความสามัคคีปรองดอง (สำนักงาน ป.ย.ป.) สำหรับกลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวและบริการ โรงแรม ร้านอาหาร สถานบันเทิงนักร้องและนักแสดง 14 องค์กรดังกล่าว ประกอบด้วย กลุ่มผู้ประกอบการสถานบริการ ผับ บาร์ คาราโอเกะ, ชมรมสถานบันเทิงหาดป่าตอง, ไร่องุ่นมอนซูนแวลลีย์และมอนซูนแวลลีย์ ไวน์บาร์, สมาคมการค้าธุรกิจร้านอาหาร, สมาคมการค้าธุรกิจร้านอาหารกลางคืน, สมาคมการท่องเที่ยวเขาใหญ่, สมาคมบาร์เทนเดอร์ไทย, สมาคมธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไทย, สมาคมผู้ประกอบการร้านอาหาร, สมาคมผู้ประกอบธุรกิจถนนข้าวสารสมาคมโรงแรมไทย, สมาคมสุราท้องถิ่นไทย, สมาคมอุตสาหกรรมบันเทิงและการท่องเที่ยวเมืองพัทยา และสมาพันธ์เครือข่ายคนบันเทิงอาชีพแห่งประเทศไทย   บทความน่าสนใจ AWC จับมือ ททท. มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ จับมือร่วมสร้างการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน เปิดตัวโครงการ “AWC Stay to Sustain”   ส่องกำลังซื้อ ต่างชาติใน 5 เมืองท่องเที่ยว ช่วงครึ่งแรกปี 66 ตลาดที่อยู่อาศัยฟื้นตัวแค่ไหน?

1 2 3 ... 103