Tag : ข่าวอสังหาริมทรัพย์

48 ผลลัพธ์
เปิดรายงานผลสำรวจตลาดอสังหาฯ ครึ่งหลังปี 2561 เหลือขายกว่า 1.5 แสนยูนิต

เปิดรายงานผลสำรวจตลาดอสังหาฯ ครึ่งหลังปี 2561 เหลือขายกว่า 1.5 แสนยูนิต

ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ได้จัดทำรายงานสรุปผลการสำรวจอุปทานและอุปสงค์ของโครงการที่อยู่อาศัยที่อยู่ระหว่างการขายในช่วงครึ่งหลังปี 2561ในพื้นที่กรุงเทพฯ–ปริมณฑล โดยนับเฉพาะโครงการที่มียูนิตเหลือขายไม่ต่ำกว่า 6ยูนิต   จากการสำรวจพบว่า มีโครงการที่อยู่อาศัยอยู่ระหว่างการขายจำนวน 1,597 โครงการ มียูนิตในผังโครงการรวมทั้งสิ้น 492,436 ยูนิต เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2560  7.7% มีมูลค่าโครงการรวม 1,977,836 ล้านบาท ซึ่งประกอบด้วย   -โครงการบ้านจัดสรร 1,088โครงการ มียูนิตในผังจำนวน 207,216 ยูนิต จำนวนยูนิตลดลงจากช่วงเดียวกันของปี2560  2.6% มีมูลค่าโครงการรวม 925,579 ล้านบาท   -โครงการคอนโดมิเนียม 509 โครงการ มียูนิตในผังจำนวน 285,220 ยูนิต เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2560 16.8% มีมูลค่าโครงการรวม 1,052,257 ล้านบาท   ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ กล่าวว่า จากการสำรวจในช่วงครึ่งหลังปี 2561 มียูนิตเหลือขายจำนวน 154,765 ยูนิต หรือ 31.4% ของยูนิตในผังโครงการทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2560 8.5% โดยโครงการบ้านจัดสรรมียูนิตเหลือขายจำนวน 86,113 ยูนิต หรือ 41.6% ของยูนิตในผังโครงการบ้านจัดสรรทั้งหมด  เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 7.1% ส่วนโครงการคอนโดฯ มียูนิตเหลือขายจำนวน 68,652 ยูนิต หรือ 24.1% ของยูนิตในผังโครงการคอนโดฯ ทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน 10.3%   ภาพรวมจำนวนโครงการที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ–ปริมณฑล ช่วงครึ่งหลังปี 2561 เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2560 ทั้งโครงการบ้านจัดสรรและคอนโดฯ มีอัตราการดูดซับของที่อยู่อาศัยโดยรวม 4.8% ต่อเดือน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2560 ที่มีอัตราดูดซับ 4.6% โดยบ้านจัดสรรมีอัตราดูดซับ3.1% ต่อดือน ลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2560 ที่มีอัตราดูดซับ 3.5% และคอนโดฯมีอัตราดูดซับ 6.5% ต่อเดือน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2560 ที่มีอัตราดูดซับ 5.8% โดยมีรายละเอียดดังนี้   -โครงการบ้านจัดสรร ที่อยู่ในระหว่างการขายในเขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑล จำนวน 1,088 โครงการ มียูนิตในผังของทุกโครงการรวมกัน 207,216 ยูนิต มียูนิตเหลือขายหรือเป็นอุปทานในตลาด 86,113 ยูนิต คิดเป็นมูลค่ายูนิตเหลือขาย 388,600 ล้านบาท (เทียบกับในช่วงครึ่งหลังปี 2560 มีจำนวน 1,135 โครงการ มียูนิตในผังโครงการ 212,780 ยูนิต และมียูนิตเหลือขาย 80,398 ยูนิต คิดเป็นมูลค่ายูนิตเหลือขาย 339,612 ล้านบาท)   ทั้งนี้  ยูนิตในผังโครงการทั้งหมด 207,216ยูนิต ส่วนใหญ่ 53.5% เป็นทาวน์เฮ้าส์ รองลงมา เป็นบ้านเดี่ยว 30.6% เป็นบ้านแฝด 12.2%  ที่เหลือเป็นอาคารพาณิชย์และที่ดินเปล่า เมื่อแยกตามระดับราคา ยูนิตในผังส่วนใหญ่ อยู่ในช่วงราคา 3.01– 5.00 ล้านบาท 33.7 % รองลงมา อยู่ในช่วงราคา 2.01– 3.00 ล้านบาท 29.0% อยู่ในช่วงราคาเกินกว่า 5ล้านบาทขึ้นไป  24.2% และราคาไม่เกิน2ล้านบาท 13.2%   แยกตามสถานะของการก่อสร้าง พบว่า ส่วนใหญ่เป็นยูนิตที่ก่อสร้างเสร็จจำนวน 128,224 ยูนิต คิดเป็น 61.9% ของยูนิตในผังทั้งหมด รองลงมาเป็นยูนิตที่ยังไม่ได้เริ่มก่อสร้างจำนวน 44,522 ยูนิต คิดเป็น 21.5% และยูนิตที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างจำนวน 34,470 ยูนิต คิดเป็น 16.6% โดยยูนิตที่ก่อสร้างเหลือขาย หรือบ้านว่างมีจำนวน 16,388 ยูนิต หรือ 12.8% ของยูนิตที่ก่อสร้างแล้วเสร็จทั้งหมด ทำเลบ้านจัดสรรในกรุงเทพฯ ที่ขายดีมากที่สุด5อันดับแรก โดยดูจากสัดส่วนที่ขายได้ต่อยูนิตทั้งหมดในโครงการ ได้แก่ 1.ทำเลสีลม-สาทร-บางรัก 2.ทำเลหลักสี่-ดอนเมือง-สายไหม-บางเขน 3.ทำเลพระโขนง-บางนา-สวนหลวง-ประเวศ 4.ทำเลคลองสามวา-มีนบุรี-หนองจอก-ลาดกระบัง 5.ทำเลลาดพร้าว-วังทองหลาง-บางกะปิ   ทำเลบ้านจัดสรรในเขตปริมณฑลที่ขายดีมากที่สุด5อันดับแรก โดยดูจากสัดส่วนที่ขายได้ต่อยูนิตทั้งหมดในโครงการ ได้แก่ 1.ทำเลเมืองสมุทรสาคร 2.ทำเลบางพลี-บางบ่อ-บางเสาธง 3.ทำเลพุทธมณฑล-นครชัยศรี-สามพราน 4.ทำเลเมืองสมุทรปราการ-พระประแดง-พระสมุทรเจดีย์ 5.ทำเลกระทุ่มแบน-บ้านแพ้ว   โครงการคอนโดฯ ที่อยู่ในระหว่างการขายในกรุงเทพฯ - ปริมณฑล มีจำนวน 509 โครงการ มียูนิตในผังของทุกโครงการรวมกัน 285,220 ยูนิต มียูนิตห้องชุดเหลือขายหรือเป็นอุปทานในตลาด 68,652 ยูนิต มูลค่ายูนิตเหลือขาย 260,856 ล้านบาท (เทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2560 ซึ่งมีโครงการคอนโดฯ 449 โครงการ มียูนิตในผังโครงการ 244,293 ยูนิต มียูนิตเหลือขาย 62,240 ยูนิต คิดเป็นมูลค่ายูนิตเหลือขาย 209,044 ล้านบาท) ทั้งนี้ยูนิตในผังโครงการทั้งหมด 285,220 ยูนิต ส่วนใหญ่ 69.5% เป็นห้องชุดแบบหนึ่งห้องนอน รองลงมา 18.1% เป็นห้องแบบสตูดิโอ และ 11.8% เป็นแบบสองห้องนอน ที่เหลือเป็นแบบสามห้องนอนขึ้นไป   เมื่อแยกตามระดับราคายูนิตในผังโครงการส่วนใหญ่ 33.0% อยู่ในช่วงราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท 28.9% อยู่ในช่วงราคา 2.01–3.00 ล้านบาท 19.6% อยู่ในช่วงราคา 3.01– 5.00 ล้านบาท ที่เหลืออีก 18.5% อยู่ในช่วงราคาเกินกว่า 5ล้านบาท แยกตามสถานะของการก่อสร้าง พบว่า ส่วนใหญ่เป็นยูนิตที่ก่อสร้างเสร็จจำนวน 136,490 ยูนิต คิดเป็น 47.9% ของยูนิตในผังทั้งหมด รองลงมาเป็นยูนิตที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างจำนวน 106,702 ยูนิต คิดเป็น 37.4%และยูนิตที่ยังไม่ได้เริ่มก่อสร้างจำนวน 42,028 ยูนิต คิดเป็น 14.7%   โดยยูนิตที่ก่อสร้างเหลือขาย หรือบ้านว่างมีจำนวน 18,176 ยูนิต หรือ 13.3% ของยูนิตที่ก่อสร้างแล้วเสร็จทั้งหมดทำเลคอนโดฯในกรุงเทพฯ ที่ขายดีมากที่สุด 5 อันดับแรก โดยดูจากสัดส่วนที่ขายได้ต่อยูนิตทั้งหมดในโครงการ ได้แก่ 1.ทำเลสีลม-สาทร-บางรัก 2.ทำเลคลองสามวา-มีนบุรี-หนองจอก-ลาดกระบัง 3.ทำเลบางซื่อ-ดุสิต 4.ทำเลบึงกุ่ม-คันนายาว-สะพานสูง 5.ทำเลพระโขนง-บางนา-สวนหลวง-ประเวศ   ทำเลคอนโดฯในเขตปริมณฑลที่ขายดีมากที่สุด 5 อันดับแรก โดยดูจากสัดส่วนที่ขายได้ต่อยูนิตทั้งหมดในโครงการ ได้แก่ 1.ทำเลกระทุ่มแบน-บ้านแพ้ว 2.ทำเลเมืองปทุมธานี-ลาดหลุมแก้ว-สามโคก 3.ทำเลเมืองนครปฐม-กำแพงแสน-บางเลน-ดอนตูม 4.ทำเลเมืองสมุทรปราการ-พระประแดง-พระสมุทรเจดีย์ 5.ทำเลเมืองนนทบุรี-ปากเกร็ด    
“พฤกษา”เปิดขาย “รีเซล-อีคอมเมิร์ซ” เมื่อมาตรการรัฐไม่ได้ช่วยอะไร แต่ต้องทำเป้าให้ได้ 47,000 ล้าน

“พฤกษา”เปิดขาย “รีเซล-อีคอมเมิร์ซ” เมื่อมาตรการรัฐไม่ได้ช่วยอะไร แต่ต้องทำเป้าให้ได้ 47,000 ล้าน

ตลาดอสังหาริมทรัพย์ ในกรุงเทพฯ และปริมณฑลช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมาดูเหมือนจะได้รับผลกระทบเต็มๆ จากมาตรการ LTV (Loan to Value) หรืออัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อหลักประกันที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กำหนดว่าจะต้องวางเงินดาวน์ซื้ออสังหาริมทรัพย์อัตรา 10% ที่มีเป้าหมายสำคัญสกัดนักเก็งกำไรหรือบรรดานักลงทุน เพราะผลของมาตรการทำเอาตลาดอสังหาฯ​ ลงต่ำลงทั้งปริมาณและมูลค่า เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา   โดยตลาดอสังหาฯ​ ในไตรมาสแรกที่ผ่านมามีมูลค่า 100,809 ล้านบาท ลดลง 18% จากช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมามีมูลค่า 123,605 ล้านบาท ส่วนจำนวนยูนิตไตรมาสแรกปีนี้มีจำนวน 28,365 ยูนิต ลดลง 7% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมามีจำนวน 30,616 ยูนิต     นางสุพัตรา เป้าเปี่ยมทรัพย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดอสังหาฯ ไตรมาสแรกติดลบทั้งหมด เป็นผลจากกลุ่มนักเก็งกำไรชะลอตัวลง แต่ขณะเดียวกันภาพรวมตลาดก็มีความคึกคัก เกิดการเร่งการโอนกรรมสิทธิ์กันพอสมควร ส่งผลให้ภาพรวมของบริษัทมีอัตรการเติบโตทั้งรายได้ ยอดขายและกำไร   โดยบริษัททำกำไรสุทธิเติบโตถึง 96% อยู่ที่ 1,686 ล้านบาท สูงขึ้นเป็นเท่าตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไร 862 ล้าน สร้างรายได้ 11,881 ล้านบาท เติบโตขึ้น 44% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 8,274 ล้านบาทและทำยอดขายได้ 11,178 ล้านบาท โดยบริษัทมียอดขายรอรับรู้รายได้ ช่วงไตรมาสแรก 32,443 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นยอดขายรอรับรู้รายได้ในปี 2562 อยู่ที่ 17,834 ล้านบาท คิดเป็น 51% ของเป้ารายได้ที่เหลือของปี 2562 และยังมียอดขายรอรับรู้รายได้ที่รองรับความมั่นคงของบริษัทไปอีกใน 2 ปีข้างหน้า มูลค่า 14,608 ล้านบาท และมีโครงการที่อยู่ระหว่างเปิดขายจำนวน 185 โครงการ มูลค่า 94,430 ล้านบาท   4 กลยุทธ์สู่ความสำเร็จ  ควาสำเร็จของพฤกษา ยังคงเป็นไปตาม 4 กลยุทธ์หลักสำคัญที่ดำเนินการมาโดยตลอด คือ 1.รักษาความเป็นผู้นำอันดับ 1 ในธุรกิจอสังหาฯ ด้วยการปรับปรุงคุณภาพ บริการ และการพัฒนาสินค้าที่ดี ซึ่งยังส่งผลทั้งภาพลักษณ์จากเดิมที่เป็นภาพลบในสื่อออนไลน์และโซเชียลมีเดียที่เคยติดอันดับต้นๆ ปัจจุบันมาอยู่อันดับ 5 ในอัตรา 3% เท่านั้น 2.ใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยี จากการเปิดตัว The Living Application การบริการขายครบวงจร ส่งผลให้บริษัทเติบโตในช่องทางดิจิตอล 3.ควบคุมคุณภาพและบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ 4.เพราะพันธุ์ความสำเร็จในอนาคตกับการสร้างโรงพยาบาลวิมุตที่จะเป็นรายได้ประจำในอนาคต   “สิ่งที่ขับเคลื่อนความสำเร็จ คือ Sales Excellence พฤกษามีทีมขาย มีดาต้าเบส ลูกค้ากว่าล้านรายชื่อเป็นลูกค้าแล้วกว่า 2 แสนรายชื่อ เรามีการใช้แมชชีนเลินนิ่งมาจับลูกค้าและวิเคราะห์ หรือการทำวินแบ็คแก้ปัญหาการกู้ปัจจุบันอัตราการปฎิเสธสินเชื่อต่ำมากอยู่ประมาณ 7-8% บริษัทยังมีพฤกษา เมมเบอร์ 18 18,180 ราย มีบริษัทพันธมิตรซึ่งเป็นตลาดลูกค้ากลุ่มบีทูบี 1,079 รายและยังมีมีโบรกเกอร์อีก ​120 บริษัทที่ช่วยในการขาย”   เปิดธุรกิจ รีเซล-อีคอมเมิร์ซ ขายผ่าน Shopee เพื่อสร้างความสำเร็จต่อเนื่องในช่วงเวลาที่เหลือและผลักดันเป้าหมายยอดขายในปีนี้ให้ได้ 53,000 ล้านบาท และเป้าหมยายรายได้มูลค่า 47,000 ล้านบาท พฤกษาจึงเปิดธุรกิจใหม่อีก 2 ธุรกิจ คือ ธุรกิจรีเซล (Resale & Rental) และธุรกิจอีคอมเมิร์ซ (E-Commerce) เป็นการต่อยอดกลยุทธ์ Sale Excellence โดยธุรกิจรีเซลได้เปิดแบรนด์ DEAL เพื่อให้บริการด้านการซื้อ ขาย เช่าที่อยู่อาศัย เป็นการนำ Digital Platform มาใช้พัฒนาระบบ AI Matching เพื่อเลือกที่อยู่อาศัยให้ตรงใจกับความต้องการของลูกค้า พร้อมจัดทำระบบการบริหารจัดการยูนิตซื้อขาย บริหารข้อมูลต่างๆ ที่จะสามารถดึงข้อมูลได้แบบเรียลไทม์ทุกที่ตลอด 24 ชั่วโมง   ขณะที่ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ได้ประเดิมทำตลาดผ่านช่องทางออนไลน์ ด้วยการจับมือกับ Shopee ผู้นำด้านธุรกิจ E-Commerce ที่มียอดดาวน์โหลดสูงสุดเป็นอันดับ 1 นำเอาโครงการบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์ และคอนโดฯ​มากกว่า 79 โครงการ จำนวน 547 ยูนิตจัดแคมเปญ Mid Year Sale โดยจะเริ่มจัดโปรโมชั่นในวันที่ 6 เดือน 6 เพื่อมอบสิทธิพิเศษสำหรับลูกค้าในการจองบ้านเพียง 6 บาท ผ่าน Shopee เท่านั้น   “วันนี้จะเปิดอีก 2 ช่องทางขาย เป็นการลุยเก็บทุกเม็ด คือ การทำรีเซล และขายอีคอมเมิร์ซ แพลตฟอร์ม การเปิดตลาดจะกระตุ้นเรียลดีมานด์ในไตรมาส 2”   มาตรการภาครัฐ ไม่ได้ช่วยธุรกิจอสังหาฯ แม้ว่าในช่วงไตรมาส 2 นี้ ภาครัฐจะออกมาตรการมากระตุ้นตลาดอสังหาฯ ถึง 2 มาตรการคือ 1.การลดหย่อนภาษีสูงสุด 200,000 บาท สำหรับซื้ออสังหาฯ ไม่เกิน 5 ล้านบาท 2.การลดค่าธรรมเนียมการโอน และค่าจดจำนอง เหลือ 0.01% สำหรับผู้ซื้ออสังหาฯ ไม่เกิน 1 ล้านบาทนั้น ดูเหมือนว่าในมุมมองของผู้บริหารพฤกษา เห็นว่าไม่ได้ช่วยให้เกิดประโยชน์กับธุรกิจอสังหาฯ​ เพราะมาตรการแรกนั้น เป็นเรื่องปลายเหตุ เพราะปัญหาจริงๆ อยู่ที่ความสามารถในการกู้ซื้อบ้านของประชาชน สิ่งที่ควรทำคือการช่วยให้ประชาชนสามารถกู้ซื้ออสังหาฯ ให้ได้ก่อน และค่อยหามาตรการมาช่วยเหลืออย่างอื่น มาตรการนี้จึงไม่ตอบโจทย์ภาคธุรกิจอสังหาฯ ส่วนมาตการที่สองนั้น คงมีผู้ประกอบการไม่กี่รายที่ได้รับอานิสงค์นี้ และคงเป็นตลาดที่เล็กมากๆ เพราะปัจจุบันราคาที่ดินปรับสูงขึ้นจนทำให้ราคาบ้านสูงกว่าล้านบ้านแทบทั้งนั้นจึงเป็นการแก้ไขปัญหาไม่ตรงประเด็นเท่าที่ควร   “เรื่องของเศรษฐกิจและมาตรการแอลทีวีส่งผลต่อบรรยากาศและมู้ดของคนซื้อมาตั้งแต่ปลายปีที่แล้วจนถึงต้นปีนี้ มีผลกระทบส่วนหนึ่งต่อกลุ่มนักเก็งกำไรที่ลดลง แต่ตลาดก็ยังมีเรียลดีมานด์ ซึ่งมาตรการแอลทีวีมาไม่ถูกจังหวะ เพราะขณะนี้ประเทศไทยได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกอยากให้มีการหามาตรการกระตุ้นธุรกิจอสังหาฯ มากกว่านี้”   มองตลาดอย่างไร เห็นอยู่แล้วว่าความต้องการคนไทยอยากมีบ้านยังมีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นทาวน์เฮ้าส์​ บ้านเดี่ยว คอนโดฯ เราอยากให้คนไทยมีบ้าน สองการเก็งกำไรลดลงไม่เป็นไร เราวิ่งสู้ฟัด กลยุทธ์พฤกษาเก็บทุกเม็ด เอาทุกคน เมื่อผลกระทบจากแอลทีวีตลาดมันสโลว์ดาวน์ ขายทุกช่องทาง เราต้องขยายฐานลูกค้าเข้าถึงเรียลดีมานด์ให้มากขึ้นเร็วขึ้นอาศัยความเก็งของทีมคนพฤกษา ดิจิตอลแพลตฟอร์ม ดาต้าเบสสิ่งที่เราสะสมมา   สำหรับแนวโน้มในไตรมาส 2 ผู้ประกอบการยังเหนื่อย เนื่องจากเป็นไตรมาสไม่เหมือนปีที่แล้ว เพราะมีวันหยุดยาวหลายกรณี แต่ความต้องการของตลาดยังมีอยู่ไม่มีปัญหาระดับเป็นฟองสบู่อสังหาฯ เหมือนที่มีความกังวล แต่อยากให้รัฐบาลช่วยต่อเนื่องให้พิจารณาอีกว่ามีมาตรการอะไรออกมาช่วยได้อีกบ้าง    
เปิด 5 กลยุทธ์ “ธงชัย” หลังกลับมาบริหาร “Noble” หวังติดอันดับ Top10

เปิด 5 กลยุทธ์ “ธงชัย” หลังกลับมาบริหาร “Noble” หวังติดอันดับ Top10

หลังจาก​ “ธงชัย บุศราพันธ์” โบกมืออำลาบริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ Noble ไปในช่วงปลายปี 2555 ด้วยเหตุผลต้องการเป็นเจ้าของกิจการของตัวเอง จำใจทิ้งเก้าอี้รองประธานกรรมการและกรรมการผู้จัด ซึ่งบริหารงานโนเบิลมานานถึง 17 ปี ไปร่วมทุนกับครอบครัวลิปตพัลลภ พัฒนา โครงการคอนโดมิเนียมหรู พาร์ค 24 ซอยสุขุมวิท 24 ภายใต้บริษัท พราวด์ เรสซิเดนซ์ จำกัด ในเครือพราวเรียลเอสเตท โดยดำรงตำแหน่งซีอีโอ และผู้ถือหุ้นในสัดส่วน 30%   ส่วนบริษัท โนเบิลฯ อยู่ภายใต้การบริหารงานของ นายกิตติ ธนากิจอำนวย ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร นับตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันที่ 25 เมษายน 2562 ที่ผ่านมาได้แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่าที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทมีมติแต่งตั้ง นายกิตติ ธนากิจอำนวย ให้ดำรงตำแหน่งเป็นประธานกิตติคุณ และแต่งตั้ง นายธงชัย บุศราพันธ์  ให้ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม และกรรมการผู้จัดการ ของบริษัทโดยมีผลตั้งแต่วันที่ 25 เมษายน 2562 เป็นต้นไป นั่นหมายความว่า “ธงชัย บุศราพันธ์” หวนกลับมาบริหารโนเบิลอีกครั้ง หลังจากหันหลังให้เป็นระยะเวลาประมาณ ​7 ปี   กลับมาถือหุ้นใหญ่ การกลับมาของ “ธงชัย บุศราพันธ์” ครั้งนี้ เป็นการกลับมาที่มีความเป็นเจ้าของ มากกว่าแค่ผู้บริหาร เพราะมีการซื้อขายหุ้นกันแบบบิ๊กล็อต ส่งผลให้มีการปรับโครงผู้ถือหุ้นของบริษัทใหม่   โดยปัจจุบันมีผู้ถือหุ้นใหญ่ 3 รายได้แก่ 1.นายธงชัย บุศราพันธ์ ถือหุ้นในสัดส่วน 23.3% 2.บริษัท เอ็นคราวน์ จำกัด (nCrowne Pte. Ltd.) ถือหุ้นในสัดส่วน 24.9% ซึ่งบริษัทนี้อยู่ในเครือของ ฟัลครัม-โกลบอล แคปิตอล (Fulcrum Global Capital) ซึ่งมีนายแฟรงค์ เหลียง เป็นผู้ถือหุ้น 100% และ 3.บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) (BTSG) ถือหุ้นในสัดส่วน 9.9% ส่วนหุ้นที่เหลือเป็นผู้ถือหุ้นรายย่อยและอื่นๆ วางเป้าติด Top 10 อสังหาฯ ไม่เพียงแต่การกลับมาจะเป็นหนึ่งผู้ถือหุ้นหลักแล้ว “ธงชัย บุศราพันธ์” ยังมีเป้าหมายครั้งสำคัญ คือ การสร้างการเติบโตให้กับ “โนเบิล” เพื่อก้าวไปสู่การเป็นผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ขนาดกลาง หรือการติดอันดับ Top10 จากช่วงที่ผ่านมาเป็นผู้ประกอบการขนาดเล็ก ด้วยยอดขายไม่กี่พันล้านบาท ซึ่งการจะเป็นผู้ประกอบการขนาดกลางได้นั้น จะต้องมียอดขายหรือการพัฒนาโครงการที่เป็นระดับหมื่นล้านบาท   เป้าหมายของโนเบิลนับจากนี้ในระยะ 3 ปีข้างหน้าจึงต้องการสร้างยอดขายรวมกว่า 30,000 ล้านบาท หรือมียอดขายปีละไม่น้อยกว่า 10,000-12,000 ล้านบาท และมียอดรับรู้รายได้ปีละ 10,000 ล้านบาท มีอัตราผลตอบแทนต่อหุ้นที่เพิ่มขึ้น 2 เท่าจาก 15% เป็น 30% และรักษาอัตราส่วนของหนี้ต่อทุนสุทธิที่ 1.5 เท่า ซึ่งในแต่ละปีโนเบิลจะพัฒนาโครงการใหม่ปีละ 4-5 โครงการ จากเดิมปีละ 1-2 โครงการ โดยตั้งงบซื้อที่ดินไว้ปีละ 3,000 ล้านบาท   เฉพาะแผนธุรกิจในปีนี้ ได้เตรียมพัฒนาโครงการใหม่ 4-5 โครงการมูลค่ารวม 15,000 ล้านบาท ตั้งเป้ายอดขาย 10,000-12,000 ล้านบาท และยอดรับรู้รายได้ 10,000 ล้านบาท ปัจจุบันบริษัทมีสต๊อก 17,000 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นสต๊อกสร้างเสร็จพร้อมโอน 6,000 ล้านบาท และมียอดขายรอโอน (Backlog) มูลค่า 17,000 ล้านบาท คาดาว่าปีนี้จะสามารถรับรู้รายได้ประมาณ 3,000 ล้านบาท   “คุณกิตติ เขาอยากจะวางมือ ตอนที่ลาออกไป เพราะอยากทำของตัวเอง ไปทำธุรกิจจนมีตังค์ กลับมาครั้งนี้อยากเป็น 1 ใน 10 ของผู้ประกอบการอสังหาฯ และอยากเห็นบริษัทยั่งยืน ทำผลประกอบการ ผลตอบแทนผู้ถือหุ้นเหมาะสม เรามาไม่ได้กะอยู่แค่ 1-2 ปี แต่ลงทุนระยะยาว ถ้าไม่มี Sleep mode ช่วง 7 ปีที่ไม่ได้บริหาร ตอนนี้ก็น่าจะทำยอดขายได้ปีละ 15,000-20,000 ล้านบาท”   เตรียม 5 กลยุทย์สร้างความสำเร็จ เมื่อ “ธงชัย บุศราพันธ์” กลับมาและหวังจะทำให้โนเบิลกลับมาเติบโต และมีขนาดองค์กรที่ใหญ่ขึ้น จึงต้องเตรียมกลยุทธ์และแผนธุรกิจไปสู่เป้าหมายดังกล่าว และนี่คือ 5 กลยุทธ์ที่จะมาลุยธุรกิจอสังหาฯ นับจากนี้ 1.ระบายสต๊อก โครงการที่มีอยู่ในปัจจุบันมูลค่า 17,000 ล้านบาท ซึ่งโครงการสร้างเสร็จพร้อมโอนมูลค่า 6,000 ล้านบาท โดยถือว่าเป็นต้นทุนเดิมที่หากขายจะได้รับกำไรทันที   “ปัจจุบันบริษัทมีหลายโครงการที่พร้อมขายแต่ไม่ได้เร่งขาย ซึ่งยังเป็นต้นทุนเดิม เช่น ที่ดินโครงการเพลินจิต ซื้อมาตารางวาละ 1.3 ล้านบาท ตอนนี้แถวนี้ขายตารางวาละ 2 ล้านบาท ทุกอย่างเพิ่มขึ้นหมด ไม่ว่าจะเป็นค่าก่อสร้างเพิ่ม ที่ดินเพิ่ม โนเบิลเพลินจิตยังบันทึกราคาเดิม 140,000 บาทต่อตารางเมตร เราขายได้เกิน 140,000 บาท ก็เป็นกำไรทั้งหมด ตอนนี้สามารถทำกำไรได้ทันที 3,300 ล้านบาท ถ้าขายสต็อกสินค้าทั้งหมด”   2.ขายพื้นที่รีเทลสร้างรายได้  ปัจจุบันบริษัทมีโครงการที่ติดถนนใหญ่ และภายในมีพื้นที่รีเทล 4 โครงการมูลค่ารวมเกือบ 3,000 ล้านบาท ที่สามารถขายให้ผู้สนใจ และนำเงินที่ได้มาลงทุนพัฒนาโครงกาต่อ เพราะหากปล่อยเช่าจะได้ผลตอบแทนเพียง 5-7% เท่านั้น เช่น พื้นที่คอมเมอร์เชียลที่โครงการโนเบิล เพลินจิต ขายให้กลุ่มบีทีเอสไปมูลค่าประมาณ 800 ล้านบาท สามารถนำเงินไปลงทุนได้ผลตอบแทนทันที 30-40% เป็นผลตอบแทนให้ผู้ถือหุ้นได้ทันที   “สินทรัพย์เหล่านี้ จะมีต้นทุนการจัดการ และเหมาะสมกับผู้ต้องการลงทุนระยะยาวที่ไม่ต้องการความเสี่ยง แต่บริษัทเรา ถ้าเอาเงินที่ขายได้ไปลงทุนได้ผลตอบแทนได้ 30-40% ดีกว่า มันไม่ make sense สำหรับเรา ขายให้เขาแล้วเช่ากลับดีกว่า” 3.ขยายตลาดกลุ่ม ลูกค้าชาวต่างชาติ  ทั้งรูปแบบการพัฒนาโครงการภายในประเทศทำตลาดกับกลุ่มลูกค้าต่างชาติ  และนำโครงการไปขายในตลาดต่างประทศ​ การไปพัฒนาโครงการในต่างประเทศเพื่อขายให้กลุ่มลูกค้าต่างชาติ ซึ่งอาศัยจุดแข็งของบริษัท เอ็นคราวน์ จำกัด กลุ่มผู้ถือหุ้นต่างชาติที่เป็นนักลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในประเทศจีน ฮ่องกง สิงค์โปร์และอื่นๆ และมีเครือข่ายที่เป็นบริษัทตัวแทนนายหน้าอสังหาฯกว่า 400 รายและมีตัวแทนรายย่อยกว่า 6,000 ราย อยู่ในประเทศจีนกว่า 80% โดยปีนี้ตั้งเป้าหมายยอดขายจากลูกค้าต่างประเทศ 4,000 ล้านบาท ซึ่งช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมาทำยอดขายได้แล้ว 1,500 ล้านบาท โดยกลุ่มลูกค้าหลักเป็นชาวจีน 70% ส่วนปีที่ผ่านมามียอดขายกลุ่มลูกค้าต่างชาติ 2,500 ล้านบาท และเป็นกลุ่มชาวจีน 70% “ช่วงแรกๆ ที่ทำโครงการ Park 24 เอาโครงการไปขายปักกิ่ง เชี่ยงไฮ้ กวางโจว เซินเจิ้น และตลาดเริ่มกระจายจึงขยาย 20 เมืองรองที่มีประชากร 30 ล้านคนต่อเมือง เช่น เฉินตู ฉงฉิ่ง ตอนนนี้เริ่มเอาไปขายเมืองระดับรองลงไปอีก ที่มีนับ100 เมือง ที่มีประชากร 5-10 ล้านคนต่อเมือง ไซส์ของตลาดใหญ่มโหฬาร”   4.การบริหาร Product Mix และ Portfolio  ขยายตลาดไปยังกลุ่มสินค้าราคาอื่นๆ ซึ่งในอดีตโนเบิลพัฒนาโครงการเฉลี่ยปีละ 5,000 ล้านบาท ถ้าจะสร้างการเติบโตปีละ 10,000 ล้าน จะต้องการกระจายไปสินค้าไปในกลุ่มตลาดอื่น และในทำเลใหม่ๆ ด้วย โดยไม่จำกัดเฉพาะทำเลที่อยู่ในพื้นที่ใจกลางเมืองเท่านั้น แต่ยังคงเป็นแนวเส้นทางรถไฟฟ้า  โดยเฉพาะที่อยู่ระหว่างการพัฒนาและจะเกิดขึ้นมาในอนาคต เช่น สายสีชมพู สายสีเหลือง การพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมระดับราคา 1-1.5 แสนบาทต่อตารางเมตร หรือราคา 4-5 ล้านบาทต่อยูนิต การลงทุนโครงการระดับซุปเปอร์ลักชัวรี่ รวมถึงการลงทุนโครงการแนวราบ   “เมื่อก่อนเข้าใจว่าลูกค้าต้องการซื้อทำเล CBD แต่จริงๆ หากต้องการซื้อเพื่อให้ได้กำไร จะต้องกระจายไปในทำเลอื่นๆ แต่ยังเดินทางสะดวก ตลาดต่างชาติสนใจทำเลใหม่ๆ ลูกค้ารับได้เดินทางสัก 1 ชั่วโมงเขาก็รับได้ ซึ่งถ้าต้องการให้ได้กำไรต้องไปซื้อนอกเมืองด้วย ต่อไปฐานตลาดจะกว้างขึ้น”   5.เร่งปิดโครงการใหม่ เพื่อให้มีสต๊อกสินค้ารอขาย สำหรับการรับรู้รายได้ปีละ 10,000 ล้านบาท ตามที่ได้วางเป้าหมายเอาไว้    
เปิดแนวคิด “บดินทร์ธร” อีก 4 ปีจะพาอสังหาฯ ตระกูล “จึงรุ่งเรืองกิจ” สู่บริษัทมหาชน

เปิดแนวคิด “บดินทร์ธร” อีก 4 ปีจะพาอสังหาฯ ตระกูล “จึงรุ่งเรืองกิจ” สู่บริษัทมหาชน

แม้ว่า “บดินทร์ธร จึงรุ่งเรืองกิจ” ลูกชายคนสุดท้องของนางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ เจ้าของอาณาจักรไทยซัมมิท เพิ่งจะเข้ามารับช่วงต่อบริหารบริษัท เรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด จากพี่ชาย คือ นายสกุลกร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่ต้องไปดูแลกิจการของกลุ่มไทยซัมมิท แทนพี่ชายคนโต คือ นายธนากร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่หันไปเล่นการเมืองได้เพียงระยะเวลาปีกว่าๆ เท่านั้น แต่นายบดินทร์ธร จึงรุ่งเรืองกิจ ในฐานะประธานเจ้าหน้าที่บริหารในวัย 26 ปี ก็มีความมุ่งมั่นและพร้อมจะนำพาธุรกิจอสังหาริมทรัยพ์ของตระกูล ให้เติบโตและก้าวขึ้นมาเป็นที่รู้จักกับคนในวงการ   “เราอยากเป็นองค์กรคนรุ่นใหม่ ให้คนจดจำว่าเราเป็นเรียลเอสเตทที่ออกสินค้าไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ เหมือนกับอนันดา ดีเวลลอปเมนท์”   สร้างจุดขายด้วย เทคโนโลยี+ไลฟ์สไตล์ ด้วยการเป็นคนรุ่นใหม่ ทำให้นายบดินทร์ธร วางเป้าหมายที่จะขับเคลื่อนบริษัท ให้มีภาพลักษณ์เป็นคนรุ่นใหม่ พัฒนาสินค้าออกมาตอบโจทย์ความต้องการของคนรุ่นใหม่เป็นหลัก โดยหยิบเอาเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการสร้างความแตกต่างให้กับโครงการ อาทิ ใช้ระบบ AI, Face Recognition, Big Data และ Drone เป็นต้น นอกจากนี้ยังหยิบเอาไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ที่สนใจในเรื่องสุขภาพมาผสมผสานกับโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่พัฒนาด้วย อาทิ เลนส์สำหรับวิ่ง และจักรยานภายในโครงการ การจัดพื้นที่ออกกำลังกายที่มีระบบและอุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่างๆ เป็นต้น ซึ่งไม่เพียงแต่จะเอาแนวคิดดังกล่าวเข้ามาใช้ในการพัฒนาโครงการเท่านั้น แต่ยังวางแผนต่อยอดสร้างเป็นธุรกิจด้วย   แตกธุรกิจออฟฟิศให้เช่า-โรงแรม ด้วยแนวคิดคนรุ่นใหม่ที่มองเห็นโอกาสและการเติบโตในธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ทำให้บริษัทวางแผนขยายธุรกิจเพิ่มในส่นของโลจิสติกส์ เพื่อรองรับธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ด้วยการใช้ที่ดินของตระกูลที่มีอยู่ในอำเภอศรีราชาและจังหวัดชลบุรีมาพัฒนา ซึ่งรูปแบบการพัฒนายังไม่ได้กำหนดและปิดกั้นหากจะมีพันธมิตรเข้ามาร่วมทุนด้วย   นอกจากนี้ ยังมองเห็นโอกาสในตลาดสำนักงานให้เช่า โดยอาจจะนำเอาตึกไทยซัมมิททาวเวอร์เข้ามาบริหาร ภายหลังจากมีการปรับโครงสร้างธุรกิจของกลุ่มไทยซัมมิทเรียบร้อยแล้ว และยังจะนำเอาอาคารสำนักงานที่อยู่ในกรุงลอนดอน มูลค่า 60 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 24,000 ล้านบาท ของตระกูลเข้ามาร่วมบริหารด้วยเช่นกัน หรือแม้แต่ธุรกิจโรงแรมหากมีโอกาสก็พร้อมจะนำเอาเข้ามาเสริมพอร์ตให้กับบริษัทด้วย ซึ่งตอนนี้ก็อยู่ระหว่างการศึกษาและมองหาโอกาสความเป็นไปได้   ลุยแนวราบ ลดความเสี่ยง การติดเบรกของแบงก์ชาติ ด้วยการออกมาตรการ LTV ซึ่งเป็นการลดระดับความร้อนแรงของตลาดคอนโดมิเนียม ทำให้ภาพรวมของตลาดในปีนี้ ผู้ประกอบการแทบจะทุกรายหันไปเพิ่มพอร์ตธุรกิจในแนวราบกันมากขึ้น ไม่เว้นแต่เรียลเอสแสท ซึ่งปีนี้เตรียมพัฒนา 2 โครงการแนวราบรวมมูลค่าโครงการ 2,700 ล้านบาท   โครงการแรก ได้แก่ โครงการเดอะเซนส์ บางนา-สุวรรณภูมิ ทาวน์โฮมและบ้านเดี่ยว บนที่ดินกว่า 23 ไร่ จำนวน 150 ยูนิต มูลค่า 800 ล้านบาท ราคาขาย 2-3 ล้านบาท ส่วนโครงการที่ 2 ได้แก่ โครงการวิรัณยา บางนา-สุวรรณภูมิ โครงการบ้านเดี่ยว พัฒนาบนพื้นที่กว่า 40 ไร่ จำนวน 180 ยูนิต มูลค่า 1,900 ล้านบาท ราคาขายเฉลี่ย 7 ล้านบาท ซึ่งช่วงที่ผ่านมาบริษัทมีการพัฒนาโครงการไปแล้วรวม 12 โครงการ รวมมูลค่าโครงการกว่า 14,000 ล้านบาท  ส่วนปีนี้บริษัทคาดว่าจะมียอดโอนประมาณ​ 2,700 ล้านบาท และยอดขายประมาณ​ 2,700 ล้านบาทเช่นกัน   “หลายดีเวลอปเปอร์โฟกัสแนวราบ เพราะสภาพคล่องเร็วกว่า เราเองก็ไม่ได้ลงทุนอะไรมากมายแบ่งเป็นเฟส เฟสแรกไม่ใหญ่ และการผ่อนให้ลูกค้าผ่อนนานขึ้น เป็นผลจากมาตรการควบคุมของแบงก์ชาติ จากปกติ 6 เดือนอาจจะเพิ่มขึ้นเป็น 8-9 เดือน ถ้าบ้านเสร็จแล้ว แต่ยังโอนไม่ได้ก็จะผ่อนต่อไปอีก 2-3 เดือน”   แผน 4 ปีนำบริษัทสู่ “มหาชน” ปัจจุบันบริษัทถือว่ามีสินทรัพย์ประมาณ 8,000-9,000 ล้านบาท ในอนาคตภายในปี 2565 คาดว่าจะสามารถสร้างสินทรัพย์ได้ถึง 15,000 ล้านบาท ด้วยแนวทางการพัฒนาโครงการอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการขยายธุรกิจอื่นๆ เพิ่มเติม โดยกลยุทธ์สำคัญที่จะนำมาใช้คือ การมองหาทำเลพัฒนาโครงการที่มีศักยภาพ การศึกษาพฤติกรรมของลูกค้า และคู่แข่ง การเพิ่มมูลค่าให้กับโครงการด้วยการใช้นวัตกรรม เทคโนโลยี และผนวกกับการพัฒนาโครงการให้เข้าไลฟ์สไตล์ของกลุ่มเป้าหมายด้วย ซึ่งแต่ละปีจะพัฒนาโครงการแนวสูงประมาณ 1 โครงการ และแนวราบประมาณ 2-3 โครงการเพื่อสร้างยอดขายปีละ 5,000-6,000 ล้านบาท และภายในปี 2565 คาดว่าจะนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ได้สำเร็จด้วย    
เน็กซัสเผย 7 ประเด็นอสังหาฯ Q1 + แนวโน้มธุรกิจหลังการเลือกตั้ง

เน็กซัสเผย 7 ประเด็นอสังหาฯ Q1 + แนวโน้มธุรกิจหลังการเลือกตั้ง

แม้ตอนนี้ประเทศไทยยังไม่มีการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ขึ้นมาบริหารประเทศ แต่ก็ถือว่าการเมืองไทยมีความชัดเจนขึ้นระดับหนึ่ง เพราะได้จัดให้มีการเลือกตั้งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ประเด็นเรื่องการเมือง ต้องยอมรับว่าส่งผลกระทบต่อความมั่นใจของคนไทยทั้งประเทศ  เพราะการเมืองมีความเชื่อมโยงไปในทุกเรื่อง ในแวดวงอสังหาริมทรัพย์ การเมืองไทยก็ส่งผลทั้งกลุ่มผู้ประกอบการ ที่จะพัฒนาโครงการออกมาขาย และผู้บริโภคที่จะตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัย   ขณะที่ช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา ก็มีข่าวยังมีข่าวมาตรการ LTV ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)  ซึ่งเริ่มใช้ตั้งแต่วันที่1 เมษายน 2562 เป็นต้น ไป ก็ถือเป็นอีกปัจจัยสำคัญมีผลต่อภาพรวมของตลาดอสังหาฯ  บ้านเรา ว่าจะไปในทิศทางไหน จะดีหรือจะร้าย? โดยเฉพาะถ้าหากมีรัฐบาลชุดใหม่ออกมาแล้ว จะมีมาตรการอะไรออกมาช่วยกระตุ้นให้เศรษฐกิจเติบโต โดยใช้ธุรกิจอสังหาฯ เป็นตัวกระตุ้นเหมือนในอดีตที่ผ่านมาหรือไม่ ก็ยังเป็นปัจจัยที่ต้องจับตามองด้วยเช่นกัน   ล่าสุด นางนลินรัตน์ เจริญสุพงษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เน็กซัส พรอพเพอร์ตี้ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด หรือ “เน็กซัส” ได้เปิดออกมาเผยผลวิจัยตลาดอสังหาริมทรัพย์ไตรมาสแรกที่ผ่านมา พบว่า ยังคงเติบโตอย่างมีเสถียรภาพมากขึ้น พร้อมกับประเมินแนวโน้มของตลาดหลังจากที่ประเทศไทยได้จัดการเลือกตั้ง  ในช่วงที่ผ่านมา  โดยมี 7 ประเด็นสำคัญที่เกิดขึ้น   1.คอนโดฯ เปิดใหม่ลด 20% ช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ คอนโดมิเนียมเปิดใหม่เข้าสู่ตลาดมีจำนวนทั้งสิ้น 11,300 หน่วย จาก 30 โครงการ  เป็นปริมาณคอนโดฯ​ ที่เปิดตัวเข้าสู่ตลาดลดลงประมาณ 20%เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว แม้ว่าจะเปิดน้อยลง แต่ผู้ประกอบการก็ยังขายได้อย่างต่อเนื่อง โดยมีอัตราการขายก็ยังอยู่ในอัตรา 60%   2.โซนยอดฮิตเปิดตัวมากที่สุด ทำเลที่เปิดตัวคอนโดฯ มากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ 1.โซนพระโขนง สวนหลวง แบริ่ง  จำนวน ​2,400 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 21% 2.โซนพญาไท รัชดาภิเษก จำนวน  1,938  ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 17% 3.โซนลาดพร้าว วังทองหลาง จำนวน 1,580 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 14%     3.ซิตี้คอนโดเปิดเยอะสุด ภาพรวมของการเปิดตัวในไตรมาสแรก จะพบว่าคอนโดมิเนียมที่เปิดตัวเป็นกลุ่มซิตี้คอนโดฯ  ที่มีราคาต่อตารางเมตรไม่เกิน 75,000 บาท และ ตลาดกลาง หรือ mid market ที่มีราคาต่อตารางเมตรไม่เกิน 100,000 บาทรวมกันมากถึง 75% ของจำนวนหน่วยที่เปิดใหม่ทั้งหมด หรือมีจำนวนประมาณ 8,500 ยูนิต แสดงให้เห็นถึงการปรับตัวของผู้ประกอบการ ในการพัฒนาสินค้าให้สอดคล้องกับความต้องการที่แท้จริงมากขึ้น   4.ดีเวลลอปเปอร์หน้าใหม่เข้าสู่ตลาดมากขึ้น ช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา ฝั่งผู้ประกอบการยังคงมีความเชื่อมั่นในตลาดอสังหาริมทรัพย์ เห็นได้จากจำนวนผู้ประกอบการหน้าใหม่ ซึ่งบางรายเป็นรายเล็กๆ เข้ามาพัฒนาโครงการเป็นครั้งแรก รวมถึงผู้ประกอบการที่อยู่นอกตลาดหลักทรัพย์ก็พัฒนาโครงการเพิ่มขึ้น จากปกติมีสัดส่วน 30% เพิ่มขึ้นเป็น 47%     5.ราคาคอนโดฯ ลดลง 1% การเปิดตัวโครงการใหม่ในช่วงไตรมาสแรก ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของคอนโดฯ​ ที่เน้นไปตลาดกลางมากขึ้น  ส่งผลให้คอนโดฯ​ ที่อยู่ในตลาดกรุงเทพฯ มีราคาเฉลี่ยปรับตัวลงเล็กน้อยประมาณ 1%อยู่ที่ 139,400 บาทต่อตารางเมตร เมื่อเทียบกับปลายปีที่แล้วอยู่ที่ 140,600 บาทต่อตารางเมตร  ซึ่งราคาเฉลี่ยของคอนโดฯ ในทุกๆ ทำเลได้มีการปรับตัวลงเล็กน้อยเช่นเดียวกัน  แต่ถือว่าไม่ได้ส่งผลอย่างมีนัยสำคัญต่อ ภาพรวมราคาของตลาด  เพราะคอนโดฯ ที่เปิดใหม่อยู่ในทำเลที่ไกลออกไปเท่านั้น   6.การเมืองไม่กระทบตลาดคอนโดฯ แม้ว่าตอนนี้ยังจะไม่มีการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ออกมาบริหารประเทศ แต่ปัญหาการเมืองก็ไม่ได้ส่งผลต่อตลาดคอนโดฯ​โดยเฉพาะในเรื่องการเปลี่ยนแปลงของราคา  สิ่งที่จะมีผลต่อตลาดคอนโดฯ นั้น จะเป็นเรื่องนโยบายของรัฐบาลที่จะออกมากระตุ้นตลาดคอนโดฯ มากกว่า  โดยเฉพาะตลาดคอนโดฯ​ มือสอง  ยิ่งถ้ามีมาตรการประเภทลดภาษี หรือค่าธรรมเนียมต่างๆ จะทำให้เกิดดีมานด์เพิ่มมากขึ้นด้วย ซึ่งถ้ามีมาตรการต่างๆ ออกมากระตุ้นตลาดจริง ตลาดคอนโดฯ น่าจะมีดีมานด์ไปถึง 60,000-70,000ยูนิต จากสถานการณ์ปกติที่คาดว่าจะมีดีมานด์มาซื้อคอนโดฯ ประมาณ 50,000 ยูนิต   7.ต่างชาติเชื่อมั่นอสังหาฯ หลังไทยมีเลือกตั้ง หลังจากประเทศไทยจัดให้มีการเลือกตั้งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว  ถือเป็นสัญญาณบวกที่ดี ต่อกลุ่มนักลงทุนต่างชาติเกิดความเชื่อมั่นต่อตลาดอสังหาฯ ในไทยมากขึ้น  ต่อไปนี้คงมีเข้ามาลงทุนมากขึ้นเช่นกัน แต่แนวโน้มการลงทุนของกลุ่มนักลงทุนต่งชาติ  น่าจะเป็นตลาดในกลุ่มราคาที่จับต้องได้มากขึ้น  ไม่จำกัดเฉพาะตลาดไฮเอนด์เท่านั้น   “ทิศทางธุรกิจอสังหาฯ หลังการเลือกตั้ง  การพัฒนาสินค้าใหม่เทรนด์ยังคงเป็นตลาดกลุ่มซิตี้คอนโด และตลาดกลางมากขึ้น แต่ยังคงเห็นคอนโดฯ  ในตลาดไฮเอนด์และลักซูรี่ที่น่าสนใจ เกิดขึ้นอีกหลายโครงการ จากผู้ประกอบการในตลาดหลักทรัพย์ที่ได้ซื้อที่ดินไปแล้วตั้งแต่ช่วงปีที่แล้วสินค้าในกลุ่มนี้คงน่าสนใจในแง่การพัฒนาความหรูหราแนวใหม่ที่ตอบรับกับไลฟ์สไตล์ลักซูรี่ที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา โดยจะมุ่งเน้นประสบการณ์และเทคโนโลยีมากขึ้น  ปีนี้ประเมินว่าราคาเฉลี่ยคอนโดฯ  ในตลาดปรับตัวสูงขึ้นไม่น่าจะเกิน 5-6% จากปัจจัยต่างๆ ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อ มาตรการ LTV ตลาดหลักที่มีความต้องการแท้จริงเป็นกลุ่มตลาดซิตี้คอนโดฯ”      
ฮาบิแทท กรุ๊ป เปิดตัวคอนโดมิเนียมสไตล์รีสอร์ทแห่งใหม่  “รามาด้า บาย วินด์ดัม มิรา นอร์ท พัทยา”

ฮาบิแทท กรุ๊ป เปิดตัวคอนโดมิเนียมสไตล์รีสอร์ทแห่งใหม่ “รามาด้า บาย วินด์ดัม มิรา นอร์ท พัทยา”

ฮาบิแทท กรุ๊ป ผู้นำด้านการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ระดับพรีเมียมเพื่อการลงทุนของไทยทำพิธีลงนามเซ็นสัญญากับ วินด์ดัม โฮเทลส์ แอนด์ รีสอร์ทส์ ในการบริหารจัดการโครงการคอนโดมิเนียมสไตล์รีสอร์ทแห่งใหม่ในพัทยาของฮาบิแทท กรุ๊ป ภายใต้แบรนด์ชั้นนำอย่าง “รามาด้า บาย วินด์ดัม” โดย วินด์ดัม โฮเทลส์ แอนด์ รีสอร์ทส์ เป็นกลุ่มธุรกิจโรงแรมที่ใหญ่ที่สุดในโลกและเป็นผู้นำด้านการบริหารจัดการโรงแรมกว่า 9,200 แห่ง ใน 80 ประเทศทั่วโลก   บริษัท ฮาบิแทท กรุ๊ป จำกัด เป็นบริษัทผู้มีประสบการณ์พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนมากกว่า 7 ปี รวม 10 โครงการ มั่นใจศักยภาพเมืองพัทยา เดินหน้าเปิดตัวโครงการใหม่ “รามาด้า บาย วินด์ดัม มิรา นอร์ท พัทยา” คอนโดมิเนียมสไตล์รีสอร์ทหรูระดับ 5 ดาว ทำเลพัทยาเหนือ มูลค่า 1,500 ล้านบาท โดยเจาะกลุ่มทั้งลูกค้าคนไทยและต่างชาติ ราคาเริ่มต้น 3.9 ล้านบาท พร้อมชูการันตีผลตอบแทน 6% นาน 3 ปี   นายชนินทร์ วานิชวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฮาบิแทท กรุ๊ป จำกัด เปิดเผยว่า “แนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนในประเทศไทยยังแข็งแกร่งและเติบโตได้ดี โดยเฉพาะอสังหาริมทรัพย์ในทำเลแหล่งท่องเที่ยวสำคัญอย่าง เมืองพัทยา ซึ่งฮาบิแทท กรุ๊ป มีความมั่นใจในศักยภาพและยังคงลงทุนพัฒนาโครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยโครงการใหม่ล่าสุด รามาด้า บาย วินด์ดัม มิรา นอร์ท พัทยา เป็นโครงการคอนโดมิเนียมลักชัวรี่โลว์ไรซ์สไตล์รีสอร์ททำเลพัทยาเหนือ”   โครงการรามาด้า บาย วินด์ดัม มิรา นอร์ท พัทยา ตั้งอยู่บนพื้นที่ 3 ไร่ ทำเลพัทยาเหนือใกล้กับหาดวงศ์อมาตย์เพียง 1.4 กิโลเมตร และใกล้กับห้างสรรพสินค้าเทอร์มินอล 21 พัทยา เพียง 500 เมตร พัฒนาเป็นโครงการคอนโดมิเนียมลักชัวรี่โลว์ไรซ์สูง 8 ชั้นจำนวน 2 อาคาร รวมจำนวน 339 ยูนิต ตกแต่งครบพร้อมเฟอร์นิเจอร์ มีห้องพักให้เลือก 3 แบบ ขนาดพื้นที่ตั้งแต่ 29-55 ตร.ม. ประกอบด้วย แบบดีลักซ์ ขนาดพื้นที่ 29 ตร.ม. จำนวน 314 ยูนิต หรือคิดเป็น 92% ของจำนวนยูนิตทั้งหมด, แบบจูเนียร์ สวีท ขนาดพื้นที่ 42 ตร.ม. จำนวน 19 ยูนิตหรือคิดเป็น 6% ของจำนวนยูนิตทั้งหมด และแบบห้องสวีท มีขนาดพื้นที่ 55 ตร.ม.มีเพียง 6 ยูนิตเท่านั้น ราคายูนิตเริ่มต้นที่ 3.9 ล้านบาท หรือ ราคาเฉลี่ยที่ 140,000 บาทต่อ ตร.ม.   มิสเตอร์เดวิด เรย์ รองประธาน ฝ่ายพัฒนาโครงการ วินด์ดัม โฮเทลส์ แอนด์ รีสอร์ทส์ กล่าวว่า “เรามีความยินดีที่ได้ร่วมทำงานกับหนึ่งในบริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของไทยอย่าง บริษัท ฮาบิแทท กรุ๊ป ในการเปิดตัวแบรนด์รามาด้า บาย วินด์ดัม ในพัทยา โครงการรีสอร์ทหรูพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกและบริการชั้นเลิศจะสร้างประสบการณ์สุดพิเศษให้กับผู้เข้าพักได้เป็นอย่างดีที่สุด”   โครงการรามาด้า บาย วินด์ดัม มิรา นอร์ท พัทยา ได้รับการออกแบบมาเพื่อให้เป็นจุดหมายใหม่ของการพักผ่อนอย่างแท้จริง ตามคอนเซ็ปต์ “Make Irresistible Relaxation Alive” เพื่อสร้างบรรยากาศและให้ความรู้สึกผ่อนคลายแก่ผู้เข้าพักประกอบด้วย สระว่ายน้ำและน้ำตกที่เชื่อมต่อกัน พื้นที่สีเขียวธรรมชาติ Great Lawn ที่สามารถใช้เวลาพักผ่อนท่ามกลางบรรยากาศร่มรื่นและสงบ เติมเต็มความสนุกบนพื้นที่ Kid’s Zone และ Tree house พื้นที่แห่งความสุขสำหรับทุกคนในครอบครัว นอกจากนั้นห้องและอุปกรณ์ออกกำลังกาย Fitness Centre and Changing Room เพื่อให้ร่างกายและจิตใจแข็งแรง อีกทั้ง ทางโครงการยังได้มอบการบริการจัดการห้องพักให้อย่างครบครันในรูปแบบ Resort House Keeping โดยผู้เชี่ยวชาญระดับมืออาชีพ มีระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง กล้องวงจรปิดในพื้นที่ส่วนรวม ประตูรักษาความปลอดภัย และระบบคีย์การ์ดควบคุมการเข้าออก   โดยความคืบหน้าของโครงการปัจจุบันอยู่ระหว่างรอการตรวจสอบรายงานผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม (EIA) ซึ่งคาดว่าจะได้รับการอนุมัติและเริ่มก่อสร้างภายในไตรมาส 4 ปี 2562 และคาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จช่วงไตรมาส 4 ปี 2564   “พัทยา นับเป็นทำเลที่มีศักยภาพการเติบโตอย่างต่อเนื่องจากการเป็นแหล่งท่องเที่ยวชายทะเลยอดนิยมที่อยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ ใช้เวลาเดินทางเพียง 90 นาที นับเป็นจุดหมายปลายทางที่นักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติให้ความสำคัญ นอกจากจะยังได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวชาวจีนแล้ว ยังมีชาวญี่ปุ่น ไต้หวัน และฮ่องกง ประกอบกับมีปัจจัยสนับสนุนจากโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี), การพัฒนาขยายสนามบินอู่ตะเภาเป็นสนามบินพาณิชย์ และโครงการลงทุนรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ระหว่างสนามบินดอนเมือง สนามบินสุวรรณภูมิ และสนามบินอู่ตะเภา ตอกย้ำการลงทุนระยะยาวของภาคตะวันออก และยังเป็นการยกระดับเมืองพัทยาในฐานะแหล่งท่องเที่ยวระดับโลกอีกด้วย” นายชนินทร์ กล่าวเพิ่มเติม   โครงการรามาด้า บาย วินด์ดัม มิรา นอร์ท พัทยา เป็นคอนโดมิเนียมสไตล์รีสอร์ทสุดเอ็กซ์คลูซีฟเพื่อการลงทุนอย่างแท้จริง โดยฮาบิแทท กรุ๊ป นำเสนอโครงการที่มีรูปแบบการบริหารจัดการโดยแบรนด์โรงแรมระดับ 5 ดาว เพื่อโอกาสในการรับผลตอบแทนต่อเนื่องนาน 30 ปี พร้อมการันตีผลตอบแทนที่ 6% เป็นระยะเวลานาน 3 ปี หลังจากนั้นจะเป็นการแบ่งผลกำไรระหว่างผู้ซื้อ 70% และผู้พัฒนาโครงการ 30% นอกจากนี้ เจ้าของห้องยังสามารถเข้าพักฟรีได้ 14 วันต่อปี   สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมและข้อมูลโครงการต่างๆ ของ ฮาบิแทท กรุ๊ป ได้ที่ เว็ปไซต์ www.habitatgroup.co.th หรือ โทร. 02-168-8266 หรือ 081-451-0002      
‘เอพี ไทยแลนด์’ สุดยอดแบรนด์ครองใจมหาชน บริษัทอันดับ 1 ที่คนไทยเชื่อถือที่สุด

‘เอพี ไทยแลนด์’ สุดยอดแบรนด์ครองใจมหาชน บริษัทอันดับ 1 ที่คนไทยเชื่อถือที่สุด

บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และนวัตกรรมการอยู่อาศัย ครองตำแหน่งองค์กรและแบรนด์อันดับหนึ่งที่ผู้บริโภคไทยให้ความชื่นชมและเชื่อถือมากที่สุด ในหมวดอสังหาริมทรัพย์ จากผลการสำรวจเพื่อเฟ้นหา ‘สุดยอดแบรนด์ครองใจมหาชนปี 2019 (Thailand’s Most Admired Brand 2019)’ รางวัลการันตีแรกในปี 2019 ที่นำไปสู่เป้าหมายหลัก ภายใต้วิสัยทัศน์ ‘AP WORLD’ ผู้สร้างพิมพ์เขียวแห่งคุณภาพชีวิตที่ดี มีสินค้าและบริการคุณภาพครอบคลุมทุกความต้องการเชิงลึกของตลาดอย่างแท้จริง ผ่านกระบวนการทำความเข้าใจลูกค้าอย่างลึกซึ้ง   นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์องค์กรและการสร้างสรรค์ บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า“รางวัลสุดยอดแบรนด์ครองใจมหาชนปี 2019 (Thailand’s Most Admired Brand 2019) ที่ทางเอพี ไทยแลนด์ได้รับจากงานวิจัยโดยนิตยสารแบรนด์เอจนั้น ถือว่าสะท้อนภาพความเชื่อมั่นที่ผู้บริโภคคนไทยมีต่อสินค้าและบริการในเครือเอพี ไทยแลนด์ได้อย่างชัดเจน ซึ่งจากผลวิจัย 3 อันดับแรกที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้ออสังหาริมทรัพย์ของคนไทยนั้น ประกอบด้วยระบบการรักษาความปลอดภัย ความน่าเชื่อถือของผู้ประกอบการ และสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการ ซึ่งเอพี ไทยแลนด์ได้รับการโหวตจากผู้บริโภคให้เป็นอันดับ 1 ใน 3 ประเด็นที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้ออสังหาริมทรัพย์ในยุคปัจจุบัน นับเป็นความสำเร็จต่อเนื่องจากการเป็น ‘องค์กรพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ อันดับ 1 ในใจผู้บริโภคประจำปี 2018 (The Most Admired Company 2018)’ เมื่อปลายปีที่แล้ว โดยเราเชื่อว่าความสำเร็จของ เอพี ไทยแลนด์เกิดจากการเข้าใจลูกค้าอย่างลึกซึ้งประกอบกับการนำประสบการณ์ที่สั่งสมมากว่า 27 ปี มาคิดวิเคราะห์ และสร้างสรรค์สิ่งใหม่ให้เกิดขึ้นทั้งในด้านนวัตกรรม การออกแบบ แผนพัฒนาโครงการ กระบวนการทำงาน ตลอดจนการดูแลหลังการขาย โดยมีเป้าหมายให้ลูกบ้านในเครือเอพีรู้สึกว่าเขาไม่ได้เพียงซื้อบ้าน แต่ทุกคนในครอบครัวได้รับคุณภาพชีวิตที่ดีจากเอพี”   “กระบวนการที่จะทำให้ลูกค้ารู้สึกถึงคุณภาพชีวิตที่ดีในทุกมิติของการอยู่อาศัย ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะคำว่า คุณภาพชีวิต ทุกคนตีความในมุมมองที่แตกต่างกัน อีกทั้งมิติของคำว่าคุณภาพชีวิตยังสามารถเปลี่ยนแปลงไปตามลำดับความสำคัญที่คนในสังคมคำนึงถึง อย่างเช่น วันนี้เรื่อง PM 2.5 กลายเป็นส่วนหนึ่งของคุณภาพชีวิตไปแล้ว ซึ่งเมื่อปีที่แล้วเราอาจจะยังไม่รู้เลยว่า PM 2.5 คืออะไร และส่งผลต่อคุณภาพชีวิตเพียงใด ดังนั้น คำตอบในเรื่องคุณภาพชีวิตเปลี่ยนแปลงได้ตามบริบททางสังคมที่เราอยู่ เพราะฉะนั้นกระบวนการค้นหาความต้องการแฝง หรือ Unmet Need จึงมีความสำคัญมากต่อการพัฒนานวัตกรรมที่นำมาสู่พิมพ์เขียวแห่งคุณภาพชีวิตที่ดีในที่สุด” นายวิทการ กล่าว   ทั้งนี้ จากการขยายวิสัยทัศน์ไปสู่การเป็นองค์กรที่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของทุกคนในสังคม ภายใต้แนวคิด AP WORLD, A Vision for Quality of Life นั้น ถือเป็นการสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันให้กับเอพี ไทยแลนด์ อีกทั้งยังเอื้อต่อการเข้าถึงผู้บริโภคในวงกว้างที่มากขึ้น ผ่านการดำเนินธุรกิจในเครือ 6 รูปแบบ  1) ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ สําหรับคนเมือง คลอบคลุมสินค้าทั้งบ้านเดี่ยว คอนโดและทาวน์โฮม ราคาเริ่ม 2 ล้านจนถึง 50 ล้านขึ้นไป 2) ธุรกิจที่ปรึกษาด้านการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ให้บริการคลอบคลุม ทั้งการรับฝากขาย ฝากเช่า ทั้งในและต่างประเทศ 3) ธุรกิจบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร ดูแลคุณภาพชีวิตในโครงการต่างๆ ทั้งที่อยู่ในเครือเอพีและบริษัทอื่นๆ รวมถึงอีก 3 ธุรกิจใหม่ที่ได้จัดตั้งขึ้น 4) ธุรกิจสร้างระบบนิเวศที่สนับสนุนการบริหารจัดการคุณภาพชีวิต ลดความซ้ำซ้อนในการดำเนินชีวิตมอบประสบการณ์ใหม่ 5) ธุรกิจการพัฒนานวัตกรรมดีไซน์ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่ยังไม่ถูกค้นพบของคนในสังคม 6) ธุรกิจการศึกษาดิสรัปวิธีการเรียนรู้ของคนในองค์กรและคนในสังคมด้วยกระบวนการใหม่ๆ ซึ่งบริษัทฯ เชื่อมั่นว่าจากวิสัยทัศน์ที่มุ่งสร้างพิมพ์เขียวแห่งคุณภาพชีวิตที่ดี เพื่อทุกคนในสังคม ประสานกับความแข็งแกร่งในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และการขยายไปยังธุรกิจใหม่ๆ จะต่อยอดให้เอพี ไทยแลนด์ยังคงเป็นองค์กรและแบรนด์อันดับหนึ่งในใจผู้บริโภคไทยต่อไป   “เอพีผสานนวัตกรรมเข้าไปในทุกๆ กระบวนการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ไปจนถึงวิธีคิดของคนในองค์กรในการสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ ที่จะทำให้ทุกคนในสังคมได้ประโยชน์สูงสุด เราใส่ใจในทุกขั้นตอน ด้วยเหตุนี้แบรนด์ของเอพีจึงได้รับรางวัล ‘สุดยอดแบรนด์ครองใจมหาชนปี 2019 (Thailand’s Most Admired Brand 2019)’ โดยนิตยสารแบรนด์เอจ แบรนด์อันดับหนึ่งที่ผู้บริโภคไทยให้ความชื่นชมและเชื่อถือมากที่สุด ซึ่งเอพี (ไทยแลนด์) ยังคงเดินหน้า และไม่หยุดยั้งในการศึกษาค้นคว้า เพื่อส่งมอบนวัตกรรมรูปแบบใหม่ที่จะสร้างความแตกต่าง ทั้งด้านคุณภาพ ความสะดวกสบาย ความปลอดภัยในการดำเนินชีวิต พร้อมก้าวสู่เป้าหมายสูงสุด นั่นคือการสร้าง ‘AP WORLD’ พิมพ์เขียวแห่งคุณภาพชีวิตที่ดี ให้เกิดขึ้นอย่างทั่วถึงในสังคม” นายวิทการ กล่าวสรุป    
ความต้องการอสังหาริมทรัพย์ไทยจากจีนเพิ่มมากขึ้น

ความต้องการอสังหาริมทรัพย์ไทยจากจีนเพิ่มมากขึ้น

ซีบีอาร์อี บริษัทที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ระดับโลก รายงานว่า จีนกำลังมีบทบาทมากขึ้นต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจและตลาดอสังหาริมทรัพย์ของไทย   ในด้านการท่องเที่ยว  นักท่องเที่ยวจีนเดินมาเข้ามายังประเทศไทยจำนวน 10.5 ล้านคนเมื่อปีที่แล้ว คิดเป็น 30% ของจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งหมด  ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 1,175% ในช่วงสิบปีที่ผ่านมา   ในด้านการทำงาน ชาวจีนเป็นชาวต่างชาติที่ได้รับใบอนุญาตให้ทำงานในประเทศไทยมากเป็นอันดับสองรองจากชาวญี่ปุ่น โดยชาวจีนที่ได้รับใบอนุญาตให้ทำงานในไทยนั้นเพิ่มขึ้นถึง 185.25% ในช่วงแปดปีที่ผ่านมา   ในด้านเศรษฐกิจ ปัจจุบันประเทศจีนเป็นตลาดส่งออกที่ใหญ่ที่สุดของไทย และเมื่อปีที่แล้วจีนเป็นประเทศที่ลงทุนโดยตรง (FDI) ในประเทศไทยที่ใหญ่เป็นอันดับ 5   แผนกวิจัย ซีบีอาร์อี เชื่อว่า ความสำคัญของจีนในฐานะแหล่งที่มาของความต้องการและการลงทุนในตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยจะเพิ่มมากขึ้น  การเติบโตที่เห็นได้ชัดที่สุดก็คือจำนวนนักท่องเที่ยวจีนและเป็นที่คาดว่าจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นอีก  ทั้งนี้จำนวนนักท่องเที่ยวจีนจะมีความผันผวน ขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจของจีนและผลกระทบที่มีต่อกำลังซื้อของประชากร  รวมถึงทัศนคติของนักท่องเที่ยวชาวจีนที่มีต่อประเทศไทยในฐานะจุดหมายปลายทางในการท่องเที่ยว   ในด้านการลงทุน ปัจจุบันการลงทุนของจีนในอสังหาริมทรัพย์ประเภทโรงแรมในไทยนั้นยังมีจำนวนจำกัด   แม้ว่าชาวจีนที่ได้รับในอนญาตให้ทำงานในประเทศไทยจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างมาก แต่ก็ไม่ได้ส่งผลต่อตลาดที่พักอาศัยให้เช่าในย่านใจกลางธุรกิจหรือซีบีดีมากนัก เนื่องจากงบประมาณในการเช่าที่พักอาศัยของชาวจีนโดยทั่วไปแล้วนั้นอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าชาวญี่ปุ่น ชาวอเมริกัน และชาวยุโรป ซึ่งเป็นความต้องการหลักในการเช่าที่พักอาศัยใน ซีบีดี   ในตลาดคอนโดมิเนียม จำนวนผู้ซื้อชาวจีนได้พุ่งสูงขึ้นอย่างมากในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ผู้พัฒนาโครงการบางรายเผยว่ายอดขายคอนโดมิเนียมที่มาจากผู้ซื้อชาวต่างชาติสูงถึง 50% และส่วนใหญ่เป็นผู้ซื้อชาวจีน   นอกจากนี้ ยังรายงานอีกว่าคอนโดมิเนียมบางโครงการสามารถขายให้ผู้ซื้อชาวต่างชาติได้เต็มโควต้า 49% ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่แทบจะไม่เคยเกิดขึ้นในอดีต   ผู้ซื้อชาวจีนในตลาดคอนโดมิเนียมของไทยที่เพิ่มขึ้นนั้น ส่วนหนึ่งเกิดจากข้อจำกัดหรือภาษีที่เพิ่มมากขึ้นสำหรับผู้ซื้อชาวต่างชาติในตลาดอสังหาริมทรัพย์ประเทศอื่นๆ    สำหรับประเทศไทย ชาวต่างชาติได้รับการปฏิบัติเช่นเดียวกับคนไทยในเรื่องภาษีจากการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ ในขณะที่ประเทศอื่น ผู้ซื้อชาวต่างชาติจะต้องจ่ายค่าภาษีอากรแสตมป์สูงกว่าผู้ซื้อในประเทศ   ซีบีอาร์อีมีความกังวลเกี่ยวกับความยั่งยืนของความต้องการซื้อคอนโดมิเนียมจากลูกค้าชาวจีน เนื่องจากมีความเป็นไปได้ว่าผู้ซื้อบางรายอาจไม่ได้รับผลตอบแทนตามที่คาดหวังไว้ในแง่ของค่าเช่าหรือกำไรจากการลงทุน   นอกจากนี้ มาตรการควบคุมเงินทุนของจีนที่จำกัดการนำเงินออกไปยังต่างประเทศเพื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์ ประกอบกับการที่ผู้ซื้อชาวต่างชาติไม่สามารถกู้ยืมเงินในประเทศไทยเพื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์ได้นั้นอาจส่งผลกระทบต่อความต้องการ   การลงทุนจากจีนในการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมยังมีจำนวนจำกัด โดยนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาร่วมทุนในการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมส่วนใหญ่ยังคงมาจากญี่ปุ่น   บริษัทจีนเป็นที่มาของความต้องการที่เพิ่มขึ้นในตลาดพื้นที่สำนักงานของกรุงเทพมหานคร  โดยธุรกรรมการเช่าพื้นที่สำนักงานที่ใหญ่ที่สุดหลายธุรกรรมในปีที่แล้วก็มาจากบริษัทด้านอี-คอมเมิร์ซของจีน  สำหรับการลงทุนจากจีนในการพัฒนาอาคารสำนักงานยังคงมีอยู่จำกัด โดยนักลงทุนรายใหญ่ที่สุดคือไชน่า รีซอร์สเซส (China Resources) ซึ่งเป็นพันธมิตรที่ร่วมทุนในโครงการออล ซีซั่นส์ เพลส บนถนนวิทยุ ที่มีมานานกว่า 30 ปี   นักท่องเที่ยวชาวจีนได้กลายเป็นความต้องการที่สำคัญของตลาดค้าปลีกทั้งในกรุงเทพฯ และแหล่งท่องเที่ยวหลัก แต่จนถึงปัจจุบัน การลงทุนจากนักลงทุนจีนในการพัฒนาพื้นที่ค้าปลีกในประเทศไทยยังมีไม่มากนัก    บริษัทยักษ์ใหญ่ของจีนอย่างอาลีบาบาและ JD.com เป็นบริษัทแนวหน้าในตลาดอี-คอมเมิร์ซของไทย ซึ่งแข่งขันโดยตรงกับร้านค้าที่มีหน้าร้านและศูนย์การค้า   เป็นระยะเวลาหลายปีที่ญี่ปุ่นครองความเป็นผู้นำในการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศที่เข้ามาสู่ภาคการผลิตของไทย แต่ในปัจจุบันมีหลายปัจจัยด้วยกันที่ช่วยให้การลงทุนโดยตรงจากจีนในภาคการผลิตของไทยเพิ่มขึ้น ได้แก่ ต้นทุนด้านแรงงานของจีนที่เพิ่มขึ้น และมาตรการกำแพงภาษีของสหรัฐอเมริกาที่ออกมาเมื่อไม่นานมานี้ สำหรับสินค้านำเข้าที่มาจากจีน   ในไตรมาสที่ 4 ปี 2561  ผู้พัฒนานิคมอุตสาหกรรมรายใหญ่ของไทยหลายรายกล่าวว่าความต้องการซื้อที่ดินเพื่อสร้างโรงงานใหม่นั้นมาจากบริษัทของจีนมากที่สุด   นายเจมส์ พิทชอน หัวหน้าแผนกวิจัยและที่ปรึกษาการพัฒนาโครงการ ซีบีอาร์อี ประเทศไทย ให้ความเห็นว่า “ประเทศจีนจะยังคงเป็นแหล่งที่มาของความต้องการในตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยที่เพิ่มขึ้น แต่ความต้องการนั้นอาจผันผวนตามความเชื่อมั่นและมีความแตกต่างกันไปในแต่ละภาคธุรกิจ    นอกจากนี้ การลงทุนโดยตรงจากจีนในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ผ่านการร่วมทุนก็มีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นเช่นกัน”   ประเทศจีนนับเป็นตัวขับเคลื่อนหลักของการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ทั่วโลก   ข้อมูลจากแผนกวิจัยของซีบีอาร์อีแสดงให้เห็นว่าการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์จากจีนเพิ่มขึ้นจาก 8,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (256,000 ล้านบาท) ในปี 2556 เป็นเกือบ 35,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (1.12 ล้านล้านบาท) ในปี 2560   แต่แนวโน้มนี้จะชะลอตัวลงในระยะสั้นจากการที่รัฐบาลจีนจำกัดการลงทุนในต่างประเทศและการซื้ออสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศ     จีนยังคงเป็นแหล่งเงินทุนจากต่างประเทศที่ใหญ่ที่สุดในตลาดอสังหาริมทรัพย์ของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และการชะลอตัวของการลงทุนก็มีแนวโน้มที่จะเป็นจุดเริ่มต้นมากกว่าที่จะเป็นจุดจบของการลงทุนที่มาจากจีนในตลาดอสังหาริมทรัพย์ต่างประเทศ      
ออลล์ อินสไปร์ กางแผนธุรกิจปี 62 ประกาศเข้าตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ

ออลล์ อินสไปร์ กางแผนธุรกิจปี 62 ประกาศเข้าตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ

แกรนด์ ยูนิตี้ กางแผนธุรกิจปี 2562 เร่งตอกย้ำความสำเร็จแนวคิด “Simply Makes Sense. : ใช้ชีวิต…บนเหตุผลของคุณ” ชูการออกแบบและเลือกสรรวัสดุสำหรับการอยู่อาศัยบนพื้นฐานการใช้งานจริง พร้อมทำเลศักยภาพ ผ่านหลากหลายแบรนด์ใหม่หลังปรับกลยุทธ์นี้ตั้งแต่ปี 2561 พบผู้บริโภคเข้าใจสิ่งที่นำเสนอหนุนแบรนด์เป็นที่รู้จักมากขึ้น พร้อมเดินหน้าเปิดตัว 6 โครงการใหม่ หลากหลายเซกเมนต์ ตลอดทั้งปี มูลค่ารวมกว่า 9,600 ล้านบาท นายวรวรรต ศรีสอ้าน ประธานกรรมการบริหาร บริษัท แกรนด์ ยูนิตี้ ดิเวลล็อปเมนท์ จำกัด หรือ GRAND UNITY บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ คอนโดมิเนียมคุณภาพ ในเครือบริษัทยูนิเวนเจอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ UV เปิดเผยว่า ในปี 2562 นี้ บริษัทฯ จะเดินหน้าธุรกิจโดยเน้นต่อยอดความสำเร็จของแนวคิด Simply Makes Sense. : ใช้ชีวิต…บนเหตุผลของคุณ ซึ่งเปิดตัวในปีที่ผ่านมาแล้วได้ผลสำเร็จ เป็นอย่างดี โดยจากการสำรวจผลตอบรับหลังออกแนวคิดไป ผู้บริโภคที่ตอบแบบสำรวจรับรู้ในแบรนด์ของแกรนด์ ยูนิตี้เพิ่มขึ้น และยังรับรู้สิ่งที่ต้องการสื่อภายใต้แนวคิด เช่น การออกแบบที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตให้เป็นคอนโดที่ ผู้อยู่อาศัยใช้ชีวิตได้สะดวกสบายตามเหตุผลของตัวเอง สำหรับปีนี้ บริษัทฯ จะยังคงนำเสนอแนวคิดดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง พร้อมเพิ่มความมั่นใจถึงคุณภาพ และการตอบโจทย์การใช้ชีวิตได้อย่างแท้จริง ชูจุดเด่นด้านทำเล การออกแบบ รวมถึงการเลือกใช้วัสดุที่ให้ความสำคัญกับการมอบอุปกรณ์มาตรฐานที่มีคุณภาพในทุก ๆ โครงการดังเช่นที่ผ่านมา   เพื่อแสดงถึงความใส่ใจในการใช้ชีวิตของผู้อยู่อาศัยอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็น การติดตั้ง Tempered Glass หรือกระจกนิรภัยทั้งโครงการเพื่อมอบความรู้สึกปลอดภัยให้ผู้อยู่อาศัย และการติดตั้ง W/C Pod หรือ ห้องน้ำสำเร็จรูป เพื่อการดูแล และซ่อมแซมได้ง่าย ตลอดจนการให้พื้นที่สีเขียวในทุก ๆ โครงการ เพื่อการใช้ชีวิตในเมืองร่วมกับธรรมชาติได้อย่าง มีคุณภาพสูงสุด “ปีที่ผ่านมา แกรนด์ ยูนิตี้ ได้ปรับกลยุทธ์ พัฒนาเอกลักษณ์แบรนด์ให้ชัดเจนขึ้น ผ่านแนวคิด Simply Makes Sense. : ใช้ชีวิต…บนเหตุผลของคุณ และประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีด้านการรับรู้ ปีนี้บริษัทฯ จึงเดินหน้าแนวคิดนี้ต่อ ตอกย้ำให้เห็นเป็นรูปธรรมที่ชัดเจนขึ้น โดยเฉพาะการเป็นคอนโดมิเนียมที่สะดวกสบาย ผู้อยู่อาศัยใช้ชีวิตเป็นตัวของตัวเองได้ตามไลฟ์สไตล์ที่มีในพื้นที่ส่วนตัวใจบนทำเลศักยภาพของกรุงเทพฯ ที่เราเลือกสรรแล้ว”   ทั้งนี้ นายวรวรรต กล่าวเพิ่มเติมว่า แกรนด์ ยูนิตี้ ให้ความสำคัญกับการเพิ่มความแข็งแกร่งของธุรกิจ ในภาพรวม เพื่อการพัฒนาและเติบโตอย่างยั่งยืน (Towards Sustainable Growth) จึงเดินหน้าธุรกิจให้เป็นไปตามกลยุทธ์ 3 ปีให้มีความชัดเจนขึ้น ตามทิศทางของบริษัทแม่อย่าง บริษัท ยูนิเวนเจอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ UV ใน 5 ด้าน ไม่ว่าจะเป็น Optimization, Diversification, Supply Chain, Synergy, Opportunistic Investment ซึ่งมั่นใจว่าจะสร้างการเติบโตที่ดีอย่างต่อเนื่องทั้งในด้านผลการดำเนินการ รวมถึงการสร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่ง เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ได้อย่างแน่นอน ในขณะที่ นายปัฐวิน วงศ์เสถียร ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานการตลาดและการขาย บริษัท แกรนด์ ยูนิตี้ ดิเวลล็อปเมนท์ จำกัด หรือ GRAND UNITY เปิดเผยว่า นอกจากการสร้างแบรนด์ให้มีความแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง แกรนด์ ยูนิตี้ ยังคงเดินหน้าในการเปิดตัวโครงการคุณภาพใหม่ ๆ เช่นกัน   โดยในปี2562 มีแผนเปิดโครงการใหม่ จำนวน 6 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 9,600 ล้านบาท ซึ่งโครงการไฮไลท์ของปี ได้แก่ อนิล สาทร 12 (ANIL Sathorn 12) โครงการคอนโดมิเนียมระดับ Super Luxury โครงการแรกจากแกรนด์ ยูนิตี้ ตั้งอยู่ใจกลางเมืองย่านสาทร ติดสถานี BTS สายสีเขียว สถานีศึกษาวิทยา เป็นอาคาร 42 ชั้น จำนวน 222 ยูนิต มาพร้อมการออกแบบ และการเลือกใช้วัสดุระดับพรีเมี่ยมในทุกๆ รายละเอียด และเป็นโครงการที่พักอาศัย แห่งแรกของไทยที่มีการยื่นขอ WELL Multifamily Precertification ตามมาตรฐาน WELL Building Standard จาก IWBI หรือ International WELL Building Institute ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นมาตรฐานที่จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้พักอาศัยให้ได้อยู่ในสิ่ง แวดล้อมภายในอาคารที่ดีต่อสุขภาพในระดับเดียวกับอาคารที่พักอาศัยชั้นนำระดับโลก ถือได้ว่าเป็นการกำหนดนิยามใหม่ของที่พักอาศัยในระดับบน แบบที่เรากล้าเรียกว่า Luxury Redefined “นอกจากนี้ เรายังได้สานต่อความสำเร็จภายใต้แบรนด์ “เซียล่า” (CIELA) ที่ได้รับการตอบรับที่ดีในปีที่ผ่านมา ซึ่งจะเปิดตัวพร้อมกัน 2 โครงการ ได้แก่ โครงการ เซียล่า จรัญฯ 13 สเตชั่น (CIELA Charan 13 Station) คอนโดมิเนียมไฮไรส์ จำนวน 1 อาคาร 20 ชั้น 360 ยูนิต ตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพบนถนนจรัญสนิทวงศ์ ติดสถานีรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินสถานีจรัญฯ 13 แบบ “0 เมตร” ในขณะที่ เซียล่า เจริญนคร (CIELA Charoen Nakhon) จะเป็นคอนโดมิเนียมโลว์ไรซ์ 8 ชั้น 1 อาคาร จำนวน105 ยูนิต ตั้งอยู่บนถนนสมเด็จเจ้าพระยา ใกล้รถไฟฟ้าสายสีทอง ที่สามารถเชื่อมต่อกับทั้งสายสีเขียว และสายสีม่วงในอนาคต ตัวโครงการตั้งอยู่ในย่านแหล่งชุมชนเก่าที่มีเสน่ห์ มีความอุดมสมบูรณ์ โดยเฉพาะด้านอาหารการกิน อีกทั้งยังใกล้กับแลนด์มาร์คของฝั่งธน อย่าง ไอคอน สยาม ซึ่งเซียล่าทั้ง 2 โครงการใหม่จะมาพร้อมการออกแบบพื้นที่ภายในโครงการเพื่อการอยู่อาศัยที่สะดวกสบาย และครบครันด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก   อีกโครงการที่มีมูลค่าสูงที่สุดจากแกรนด์ ยูนิตี้ ในปีนี้ ได้แก่ เดนิม จตุจักร (DENIM Jatujak) คอนโดมิเนียมรูปแบบไฮไรส์ จำนวน 4 อาคารรวม 1,813 ยูนิต ตั้งอยู่ซอยพหลโยธิน 18/3 สะดวกสบายในการเดินทาง ด้วยทำเลที่ตั้งที่อยู่ใกล้ทั้ง BTS สายสีเขียว เเละ MRT สายสีน้ำเงิน อีกทั้งยังรายล้อมไปด้วยแหล่ง ช้อปปิ้ง, ร้านอาหาร, คาเฟ่ และบริษัทชั้นนำต่าง ๆ นับว่าเป็นทำเลที่เติมเต็มให้ชีวิตมีความสมบูรณ์แบบในการ พักอาศัย และใช้ชีวิตสำหรับคนรุ่นใหม่ และอีกหนึ่งโครงการ ตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพย่านอารีย์ - พระราม 6 ได้แก่ โครงการ คาร่า อารีย์ - พระราม 6 (KARA Ari - Rama 6) คอนโดมิเนียมระดับลักซ์ชัวรี แบบโลว์ไรซ์ 8 ชั้น จำนวน 1 อาคาร เพียง 28 ยูนิต ใกล้ทางด่วนพิเศษศรีรัช ที่ทำให้สะดวกสบายในทุกการเดินทาง มาพร้อมยูนิตใหญ่ และที่จอดรถ 100% ปิดท้ายด้วยโครงการพิเศษ เดอะ ไพรเวท เรสซิเด้นซ์ ราชดำริ (The Private Residence Rajdamri) คอนโดมิเนียมระดับลักซ์ชัวรี แบบโลว์ไรส์ จำนวน 8 ชั้น 29 ยูนิต ที่ตั้งอยู่บนทำเลใจกลางเมืองอย่างถนนสารสิน ห่างจาก BTS สถานีราชดำริ 500 เมตร ที่สำคัญคือเป็นที่ Free Hold ที่หายากมาก ๆ แล้วในทำเลย่านนี้ โดยเป็น ยูนิตขนาดใหญ่ มาพร้อมบรรยากาศเงียบสงบ เพียงข้ามถนนสารสินก็สามารถไปพักผ่อนที่สวนลุมพินี และอยู่กลาง CBD ที่ล้อมรอบด้วยอาคารสำนักงาน ศูนย์การค้า และเมกะโปรเจ็คสำคัญๆ ของกรุงเทพฯ” นายปัฐวิน กล่าวในตอนท้าย    
“Elevated Returns” จับมือ “ZMICO” เตรียมพลิกวงการอสังหาฯไทย แปลงสินทรัพย์เป็นโทเคน

“Elevated Returns” จับมือ “ZMICO” เตรียมพลิกวงการอสังหาฯไทย แปลงสินทรัพย์เป็นโทเคน

“Elevated Returns” จับมือ “ZMICO” เตรียมพลิกวงการอสังหาฯไทย เดินหน้าแปลงสินทรัพย์เป็นโทเคน พร้อมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2019 ตั้งเป้า 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯในปีนี้ ผลักดัน “Tezos Southeast Asia” จับมือ “จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย” สร้างหลักสูตรบล็อกเชนครั้งแรก มุ่งพาประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางของเทคโนโลยีบล็อกเชนระดับภูมิภาค   เอเลเวตเท็ด รีเทิร์นส์ (Elevated Returns หรือ ER) กลุ่มบริษัทจัดการสินทรัพย์ชั้นนำจากนิวยอร์กที่ทำงานด้านการเปลี่ยนสินทรัพย์ทางการเงินให้กลายเป็นสินทรัพย์ดิจิทัล จับมือบริษัทหลักทรัพย์ซีมิโก้ (ZMICO) และเทซอส (Tezos) บริษัทด้านเทคโนโลยีบล็อกเชน เพื่อขยายธุรกิจสู่ประเทศไทยอย่างเป็นทางการ หลังประสบความสำเร็จในการขายโทเคนของโรงแรมเซนต์รีจิส แอสเพน รีสอร์ตด้วยมูลค่ารวม 18 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดย ER วางแผนพลิกวงการอสังหาริมทรัพย์โลกด้วยการเปิดขายหุ้นแบบดิจิทัลในรูปแบบของโทเคน ตั้งเป้ายอดขายโทเคน 250 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยเป็นยอดขายโทเคนในไทย 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯในปีนี้ และวางแผนจะเปิดตัวผลิตภัณฑ์อย่างเป็นทางการในช่วงไตรมาสที่ 2 หรือไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังได้เตรียมยื่นคำร้องขอใบอนุญาตซื้อขายแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลกับสำนักคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อให้สามารถดำเนินธุรกิจการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลภายในประเทศไทย โดยบริษัท เอสอี ดิจิทัล จำกัด ในเครือของซีมิโก้ยังได้ยื่นขอใบอนุญาตเพื่อการเสนอขายหุ้นครั้งแรกในรูปแบบของเหรียญ (Initial Coin Offering Portal: ICO Portal) จากก.ล.ต.ด้วย การจับมือร่วมเป็นพันธมิตรในครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกของการจัดการสินทรัพย์ในรูป แบบดิจิทัลภายใต้เศรษฐกิจดิจิทัลในประเทศไทย และเพื่อสร้างระบบนิเวศบล็อกเชนที่ยั่งยืนให้เกิดขึ้นในประเทศไทยยังได้ผลักดันให้ Tezos Southeast Asia จับมือ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในการสร้างหลักสูตรและการวิจัยด้านบล็อกเชนเป็นครั้งแรกของประเทศ   นาย สเตฟาน เดอ เบตส์ ผู้ก่อตั้งและประธานบริหาร บริษัท เอเลเวตเท็ด รีเทิร์นส์ (Elevated Returns หรือ ER) กล่าวว่า “เอเลเวตเท็ด รีเทิร์นส์มีความตั้งใจที่จะนำเทคโนโลยีนี้มาใช้กับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ทั่วโลก โดยเฉพาะในประเทศไทย เรามองเห็นศักยภาพในการเติบโตในประเทศไทย เพราะประเทศไทยเป็นประเทศที่เปิดรับการดำเนินธุรกิจในรูปแบบดิจิทัล (digital transformation) โดยภาครัฐก็ให้การสนับสนุนผ่านนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ทั้งนี้ ภายใต้การขยายธุรกิจเข้ามาสู่ประเทศไทยของบริษัทฯ ER จึงได้เข้าซื้อหุ้นของบริษัท หลักทรัพย์ซีมิโก้ จำกัด (มหาชน) จำนวนร้อยละ 21 รวมมูลค่า 467.1 ล้านบาท เป็นการเสร็จสมบูรณ์เมื่อวันที่ 8 มีนาคมที่ผ่านมา โดย ER มีแผนที่จะพลิกวงการอสังหาริมทรัพย์ไทยด้วยการเปิดขายหุ้นแบบดิจิทัลในรูปแบบของโทเคน โดยใช้โมเดลความสำเร็จแบบเดียวกับที่บริษัทฯ เคยประสบความสำเร็จมาแล้วในสหรัฐอเมริกา กับการระดมทุนได้ 18 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ผ่านการขายโทเคนของโรงแรมเซนต์ รีจิส แอสเพน รีสอร์ต ซึ่งถือว่าเป็นการเสนอขายหลักทรัพย์ดิจิทัลของโครงการอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำระดับนานาชาติเป็นครั้งแรกของโลก ทั้งนี้ ER มีความมั่นใจอย่างยิ่งต่อการจับมือร่วมเป็นพันธมิตรกับซีมิโก้ในการให้องค์ความรู้ธุรกิจ การเข้าถึงกฏเกณฑ์ข้อบังคับ ฐานลูกค้าในประเทศไทยและช่องทางการจัดจำหน่ายในประเทศที่กว้างขวาง ในปีนี้ เราตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สำหรับการระดมทุนในประเทศไทย โดยเราวางแผนจะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ในช่วงไตรมาสที่ 2 หรือไตรมาสที่ 3 ของปีนี้”   “การขยายธุรกิจเข้ามาในประเทศไทยของ ER เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่การทำธุรกรรมทางโทรศัพท์มือถือกำลังเติบโตสูงถึง 74% ซึ่งถือเป็นหนึ่งในประเทศที่มีอัตราเติบโตสูงที่สุดในโลก และอัตราการเติบโตที่สูงเป็นลำดับที่ 2 ในเชิงของจำนวนผู้ถือเงินคริปโตที่ 9.9% ของจำนวนประชากรผู้ใช้อินเทอร์เนตในไทย บริษัทฯ เล็งเห็นว่าก.ล.ต.กำลังให้ความสำคัญกับอุตสาหกรรมนี้ในประเทศไทยเป็นอย่างมาก โดยกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องของประเทศไทยนั้นถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ให้การสนับสนุนอุตสาหกรรมบล็อกเชนมากที่สุดประเทศหนึ่งในโลก” นาย เดอ เบตส์ กล่าว   การแปลงสินทรัพย์ให้เป็นโทเคน (Tokenization) คือคำที่ใช้อธิบายการแปลงสินทรัพย์ เช่น อสังหาริมทรัพย์ หรืองานศิลปะ ให้กลายเป็นสัญญาดิจิทัลในรูปของโทเคนที่สามารถซื้อขายแลกเปลี่ยนได้ในบล็อกเชน แผนกเทคโนโลยีของERจับมือกับเทซอส ผู้นำในเทคโนโลยีบล็อกเชนและแพลตฟอร์มการทำสัญญาแบบ smart contracts ที่เปิดโอกาสให้องค์กรหรือลูกค้าบุคคลสามารถซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลโดยใช้ “Tezos (XTZ)” หน่วยเงินดิจิทัลของบริษัท ซึ่งถูกสร้างขึ้นมาเพื่อบริหารจัดการ smart contract จะช่วยทำให้ ER สามารถเปิดขายอสังหาริมทรัพย์ในรูปแบบของโทเคนด้วยความปลอดภัยสูงสุด   “การนำสินทรัพย์มาแปลงเป็นโทเคนคือกระบวนการที่จะช่วยมอบอิสรภาพในการลงทุนให้กับนักลงทุนเพราะเราไม่จำเป็นต้องมีคนกลางในการซื้อขายหลักทรัพย์อีกต่อไป นอกจากนี้ ยังเป็นโอกาสในการสร้างรายได้ที่เพิ่มมากขึ้นให้กับผู้ขายด้วยหากเทียบกับวิธีการซื้อขายหลักทรัพย์แบบเดิม เพราะเราสามารถลดค่าธรรมเนียมที่ต้องจ่ายให้กับคนกลางได้ และหากโทเคนมีสภาพคล่องที่ดีก็สามารถเพิ่มมูลค่าสูงขึ้นได้” นาย เดอ เบตส์กล่าว   นาย เดอ เบตส์ ยังกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า “ER ให้ความสนใจในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพราะอสังหาริมทรัพย์ในตลาดโลกเป็นหนึ่งในสินทรัพย์ที่มีขนาดใหญ่ ซึ่งมีมูลค่ามากถึง 228 ล้านล้านดอลลารสหรัฐฯ ทว่าเนื่องจากอสังหาริมทรัพย์เป็นสินทรัพย์ที่มีขนาดใหญ่ถือเป็นหนึ่งในสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องต่ำที่สุด อย่างไรก็ตาม อสังหาริมทรัพย์ยังคงเป็นสินทรัพย์ที่มีมูลค่าสูงขึ้นในระยะยาว หากเทียบกับเงินสดที่มูลค่าอาจลดลงได้เมื่ออยู่สภาวะเงินเฟ้อ”   นายสุเทพ วงศ์วรเศรษฐ ประธานกรรมการบริษัทหลักทรัพย์ ซีมิโก้ จำกัด (มหาชน) (ZMICO) กล่าวว่า “เรารู้สึกตื่นเต้นมากที่จะประกาศความร่วมมือครั้งสำคัญครั้งนี้กับเอเลเวตเท็ด รีเทิร์นส์ เพราะเราเชื่อว่า ความร่วมมือในครั้งนี้จะต่อยอดไปสู่การทำงานร่วมกันที่มีความสำคัญเทคโนโลยีและความเชี่ยวชาญในผลิตภัณฑ์ของ ER ประกอบกับความรู้ความเชี่ยวชาญในตลาดไทยของซีมิโก้จะช่วยปฏิวัติธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทยในแบบเดิมให้เกิดสิ่งใหม่ได้อย่างแน่นอน เรากำลังก้าวไปสู่การเป็นผู้นำในการดำเนินธุรกิจในรูปแบบดิจิทัลอย่างแท้จริง ทั้งนี้บริษัท เอสอี ดิจิทัล ในเครือของซีมิโก้กำลังอยู่ในขั้นตอนของการขอใบอนุญาตเพื่อการเสนอขายหุ้นครั้งแรกในรูปแบบของเหรียญ (ICO Portal) จาก ก.ล.ต. ซึ่งก.ล.ต.จะอนุมัติให้เฉพาะบริษัทที่จดทะเบียนในประเทศไทยและมีคนไทยเป็นเจ้าของเท่านั้น การเสนอขายหุ้นครั้งแรกในรูปแบบของเหรียญนั้นต้องผ่านการประเมิน การจัดการ และให้คำแนะนำตามระเบียบใหม่ของการทำ ICO ในฐานะพันธมิตรของ ก.ล.ต. ซึ่งเทียบได้กับการขอใบอนุญาตวาณิชธนกิจเพื่อการซื้อขายแลกเปลี่ยนหลักทรัพย์ดิจิทัล การจับมือกันระหว่างซีมิโก้และ ER จึงถือว่าเป็นการริเริ่มธุรกิจเป็นครั้งแรกในเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศ”   และเพื่อการสร้างระบบนิเวศของสินทรัพย์ทางการเงินดิจิทัลในประเทศไทย ER จึงอยู่ในช่วงของการเตรียมขอใบอนุญาตซื้อขายแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลกับ ก.ล.ต. ซึ่งใบอนุญาตนี้จะเปิดโอกาสให้บริษัทฯสามารถซื้อขายโทเคนได้อย่างถูกต้องบนแพลตฟอร์มของบริษัท และจะช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้กับตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ประสบปัญหาขาดสภาพคล่องก่อนหน้านี้   การจับมือเป็นพันธมิตรยังเปิดโอกาสให้ ERและซีมิโก้สามารถแปลงสินทรัพย์ให้กลายเป็นดิจิทัลผ่านแพลตฟอร์มบล็อกเชนของเทซอส สร้างโทเคนผ่าน ICO Portal และจัดหาตลาดรอง (Secondary Market) เพื่อเสนอขายในขั้นแรกได้สินทรัพย์ดิจิทัลจะถูกซื้อและแลกเปลี่ยนในหน่วยที่เล็กลงมาก ๆ เปิดโอกาสให้บุคคลภายนอกสามารถถือกรรมสิทธิ์ในสินทรัพย์ที่มีมูลค่าสูงได้ แนวทางนี้จะช่วยให้นักลงทุนสามารถเข้าถึงตลาดที่เคยอยู่ไกลการเข้าถึงทางการเงิน ทั้งยังเป็นการเปิดช่องทางใหม่ในการระดมเงินทุนผ่านสินทรัพย์ดิจิทัลด้วย นี่คือจุดหมายสำคัญสำหรับการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ เพราะนักลงทุนสามารถซื้อและขายอสังหาริมทรัพย์ได้ทุกเวลาที่ต้องการ โดยเฉพาะการสามารถขายได้ก่อนที่อสังหาริมทรัพย์นั้นๆ จะเปลี่ยนเจ้าของการจับมือร่วมกันเป็นพันธมิตรในครั้งนี้ถือเป็นสิ่งที่แปลกใหม่สำหรับตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย   “การบุกเบิกการดำเนินธุรกิจในรูปแบบดิจิทัลครั้งนี้จะช่วยเปิดโอกาสในเชิงบวกให้กับคนไทย รัฐบาล และภาคเอกชนในการเข้าถึงการสร้างแหล่งเงินทุนส่งเสริมความโปร่งใส และลดต้นทุนค่าดำเนินการ” นายสุเทพ กล่าวเพิ่มเติม   มากไปกว่านั้น เทซอส เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Tezos Southeast Asia หรือ TSA) องค์กรไม่แสวงหาผลกำไร ตั้งอยู่ที่ประเทศสิงคโปร์ ที่มุ่งส่งเสริมการสร้างความรู้ความเข้าใจและการดำเนินงานเชิงพาณิชย์ให้แก่เทคโนโลยีบล็อกเชนของ Tezos ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ทำงานร่วมกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเพื่อพัฒนาหลักสูตรและการวิจัยด้านบล็อกเชนเป็นครั้งแรกของประเทศไทย ซึ่งคาดว่าจะสามารถเปิดดำเนินการในปีการศึกษา 2562 ซึ่งการร่วมมือกันในครั้งนี้ TSA จะออกแบบหลักสูตรเพื่อจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในการสร้างความรู้ความเข้าใจถึงแนวคิดและพื้นฐานของเทคโนโลยีบล็อกเชนของเทซอส ทั้งยังจะมีการมอบทุนการศึกษาให้แก่นักศึกษาและเปิดรับการฝึกงานกับบริษัทสตาร์ทอัพมากมาย ซึ่งสนับสนุนโดย tzVentures โครงการบ่มเพาะและสนับสนุนเหล่าสตาร์ทอัพที่สร้างธุรกิจบนเทคโนโลยีบล็อกเชนของเทซอส ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวจะเป็นอีกหนึ่งแรงส่งเสริมสำคัญที่จะช่วยให้ความร่วมมื อระหว่าง ER และ ซีมีโก้ ในการถ่ายทอดองค์ความรู้เทคโนโลยีส่งเสริมประสิทธิภาพภายในประเทศจากการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีที่เข้ากับคนในประเทศ ความสำเร็จจากความร่วมมือในครั้งนี้จะส่งผลดีในเชิงเศรษฐกิจและสังคมผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของเทคโนโลยีบล็อกเชนได้ในระดับภูมิภาค    
HBA เตรียมเปิดงาน “รับสร้างบ้านและวัสดุ Home Builder & Material Focus 2019”

HBA เตรียมเปิดงาน “รับสร้างบ้านและวัสดุ Home Builder & Material Focus 2019”

HBA เตรียมเปิดงาน “รับสร้างบ้านและวัสดุ Home Builder & Material Focus 2019”  ระหว่างวันที่ 21-24 มีนาคม 2562 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์   นับถอยหลังเข้าสู่โหมดการจัดงานใหญ่ที่สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน (Home Builder Association : HBA )ได้รวมบริษัทรับสร้างบ้านชั้นนำที่ผนึกกำลังกันโชว์แบบบ้านอย่างมืออาชีพ!! ในงาน “รับสร้างบ้านและวัสดุ Home Builder & Material Focus 2019” ระหว่างวันที่ 21-24 มีนาคม 2562 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ...“ศิริพร สิงหรัญ” นายกสมาคมฯแอบกระซิบมาว่า นอกจากแบบบ้าใหม่แล้ว สมาชิกสมาคมฯยังพร้อมใจกันจัดโปรโมชั่นสุดพิเศษ เอาใจผู้บริโภค “ให้การสร้างบ้านเป็นเรื่องง่ายง่าย” ตามคอนเซ็ปต์การจัดงานแล้วยังมีกลุ่มผู้ผลิตวัสดุก่อสร้างชั้นนำที่จะนำเทคโนโลยี และนวัตกรรมใหม่ ๆ เข้ามาแสดงในงานนี้ด้วย   โดยผู้ที่จองปลูกสร้างบ้านภายในงานนอกจากจะได้รับโปรโมชันพิเศษจากบริษัทรับสร้างบ้านที่มาแสดงภายในงานแล้ว ยังมีสิทธิ์ลุ้นรับรางวัลทองคำมูลค่า 100,000 บาทด้วย ผู้ที่สนใจเข้าชมงานสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมงานได้ที่ https://www.hba-th.org/      
จีนเล็งศักยภาพอสังหาฯ ไทย เผยสงครามการค้าจีน-สหรัฐ อาจส่งบวกอสังหาฯ ไทย

จีนเล็งศักยภาพอสังหาฯ ไทย เผยสงครามการค้าจีน-สหรัฐ อาจส่งบวกอสังหาฯ ไทย

กลุ่มนักธุรกิจอสังหาฯจีน รวมตัวตั้งสมาคมการค้าตัวแทนขายอสังหาริมทรัพย์ไทย-จีน ฉายภาพโอกาสและศักยภาพของตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย รองรับนักลงทุนจากประเทศจีน หลังพบข้อมูลชาวจีนสอบถามข้อมูลอสังหาฯไทยเพิ่มขึ้นสูงถึง 154.9% กลายเป็นอันดับ 3 ที่นักลงทุนจีนสนใจ โดยเฉพาะกลุ่มวัยเกษียณ มองวิกฤตสงครามการค้าจีน-สหรัฐ อาจส่งผลจีนย้ายฐานการผลิตมาอาเซียนเพิ่มโดยเฉพาะไทย ซึ่งส่งผลต่อความต้องการที่อยู่อาศัยโดยเฉพาะคอนโดมีเนียมใกล้ห้างฯ รถไฟฟ้า โรงพยาบาล    ลุ่มนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ชาวจีน ร่วมกันจัดงาน“ประกาศผลรางวัลอสังหาริมทรัพย์ไทย ครั้งที่ 1 ประจำปี 2018” เป็นครั้งแรก พร้อมเปิดเผยถึงบทบาทสำคัญของ สมาคมการค้าตัวแทนขายอสังหาริมทรัพย์ไทย- จีน ที่จัดตั้งขึ้นในปี 2559โดยมี นายหลี่ หรง เป็นประธานสมาคมฯ   ซึ่งภายในงาน นางหลี่ หรง ประธานสมาคมฯ ได้เผยถึงบทบาท และมุมมองของชาวจีนต่อวงการอสังหาฯไทย ว่า “สมาคมการค้าตัวแทนขายอสังหาริมทรัพย์ไทย-จีน จัดตั้งขึ้นในปี 2559 มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นศูนย์รวมของผู้ประกอบธุรกิจตัวแทนการขายอสังหาริมทรัพย์จีนในประเทศไทยสร้างมาตรฐานในการให้บริการและแสวงหาแนวทางความร่วมมือระหว่างสมาชิก ประกอบด้วยบริษัทตัวแทนการค้าอสังหาริมทรัพย์จำนวน 20 บริษัทโดยเป็นสื่อกลางเชื่อมโยงนักลงทุนจากประเทศจีนและบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย ให้มีโอกาสทางธุรกิจร่วมกัน ทั้งนี้ การดำเนินงานของสมาคมฯ ได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดีจากกลุ่มดีเวลลอปเปอร์ไทย ในการแบ่งปันข้อมูลให้กับสมาคมฯ เพื่อนำเสนอให้กับกลุ่มนักลงทุนจากประเทศจีน ที่ให้ความสนใจเข้ามาลงทุนในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2561 ที่ผ่านมา ผลสำรวจขององค์กรระดับสากลชีว่า การจัดตลาดดาวรุ่งพุ่งแรงภาคอสังหาฯ ประเทศไทยถูกจัดอยู่ในอันดับที่ 8 ของโลก โดยในปีที่ผ่านมา พบว่า ผู้ซื้ออสังหาฯชาวจีนมีจำนวนการสอบถามข้อมูลอสังหาฯออสเตรเลีย ลดน้อยลง 9.7% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี ในขณะที่ในสหรัฐอเมริกาลดน้อยลง 18.4% แต่ความสนใจในประเทศไทยเพิ่มขึ้น 154.9%แซงหน้าแคนนาดา กลายเป็นอันดับ 3 ที่นักลงทุนชาวจีนสนใจ โดยเฉพาะในกรุงเทพมหานครและหัวเมืองหลัก ด้วยปัจจัยความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐาน ระบบสาธารณูปโภคที่ครบครัน และการเป็นจุดหมายด้านการท่องเที่ยวจากนักเที่ยวทั่วโลกที่เดินทางเข้ามาปีละไม่ต่ำกว่า 30 ล้านคน ในจำนวนนี้นักท่องเที่ยวจากประเทศจีนยังครองอันดับ 1ของจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทย รวมถึงไทยยังเป็นหนึ่งในเส้นทางสำคัญของยุทธศาสตร์ Belt and Road Initiative ของประเทศจีน ที่จะเชื่อมโยงเส้นทางคมนาคมขนส่งและเศรษฐกิจจีนกับ 65 ประเทศ ใน 3 ทวีป ซึ่งจะสร้างโอกาสด้านการค้าและการลงทุนในประเทศไทยอีกเป็นจำนวนมาก   นอกจากนี้ ข้อกฎหมายที่เกี่ยวเนื่องกับอสังหาริมทรัพย์ของไทย ยังเอื้อต่อการเข้ามาลงทุน หรือการอยู่อาศัยของชาวต่างชาติ โดยสามารถถือครองกรรมสิทธิ์คอนโดมิเนียมได้ถึง 49% ของพื้นที่ขาย ในช่วงปี 2560-2561 พบว่ายอดการซื้อคอนโดมิเนียมในไทยคิดเป็นมูลค่าไม่ต่ำกว่า 1 แสนล้านบาท มีกำลังซื้อจากชาวต่างชาติสูงถึง 7.6 หมื่นล้านบาท และในจำนวนดังกล่าวเป็นชาวจีน-ฮ่องกงมากที่สุดถึง 2.3 หมื่นล้านบาทโดยห้องชุดที่เป็นที่นิยมสูงสุดอยู่ที่ราคาตารางเมตรละ 100,000 บาท หรือราคาประมาณห้องละ 2-3 ล้านบาท ขณะที่คอนโดมิเนียมระดับราคา 10-20 ล้านบาท ยังเป็นที่ต้องการของลูกค้ากลุ่มผู้ที่มีรายได้สูงอีกด้วย สำหรับ ทำเลยอดนิยมสำหรัยชาวจีน คือ โครงการฯ แนวเส้นทางรถไฟฟ้าและรถไฟใต้ดิน เช่น อโศก สุขุมวิท สีลม รัชดาภิเษก ห้วยขวาง เป็นต้น   จากปัจจัยต่างๆ สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพของตลาดอสังหาฯ ของประเทศไทยที่ยังคงเป็นที่สนใจของนักลงทุนจากประเทศจีนได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะหากสงครามการค้าจีน-สหรัฐฯ เข้มข้นขึ้น นายหรี่ หรง มองว่าน่าจะเป็นโอกาสดีของอสังหาฯไทย เนื่องจากอาจมีผู้ประกอบการจีนจำนวนมากที่ย้ายฐานการผลิตจากอเมริกามาในอาเซียน และไทยจะเป็นประเทศที่นักลงทุนจีนเลือกเข้ามาลงทุนเป็นอันดับต้นๆ และมีความต้องการที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นตามมาแน่นอน โดยเฉพาะคอนโดมีเนียม ที่อยู่ใกล้โรงพยาบาล ห้างสรรพสินค้า รถไฟฟ้า จะได้รับความสนใจพิเศษ  ดังนั้น ผู้ประกอบการอสังหาฯ ในประเทศไทย จะต้องให้ความสำคัญในการพัฒนาโครงการเพื่อรองรับกับความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้น ต้องสร้างความโดดเด่น ทั้งด้านการออกแบบโครงการที่เอื้อต่อการมีคุณภาพชีวิตที่ดี โดยเฉพาะคนจีนวัยเกษียณที่มีกำลังซื้อสูง ซึ่งมีแนวโน้มการเข้ามาลงทุนและอยู่อาศัยในประเทศไทยมากขึ้นประกอบกับประเทศไทยมีนโยบายการทำวีซ่าเกษียณอายุ สำหรับชาวต่างชาติที่มีอายุ 50ปีขึ้นไป ให้สามารถพำนักในประเทศได้ถึง 1ปี คนกลุ่มนี้พร้อมจ่ายสำหรับคุณภาพที่ดีทั้งเรื่องสุขภาพ อาหารการกิน และที่อยู่อาศัย ผู้ประกอบการต้องศึกษาพฤติกรรมการตัดสินใจซื้อของชาวจีนอย่างลึกซึ้ง เพื่อนำเสนอจุดขายที่แตกต่างและสามารถนำมากำหนดกลยุทธ์ทางการตลาดให้สอดคล้องกับความต้องการ รวมทั้งต้องอาศัยช่องทางการโฆษณาประชาสัมพันธ์ โดยเฉพาะช่องทางออนไลน์ที่เป็นที่นิยมอย่างมากของชาวจีนในปัจจุบัน จะต้องสร้างแพลตฟอร์มที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายให้สามารถค้นหาข้อมูลโครงการได้อย่างละเอียดชัดเจน รวมถึงการนำเสนอโครงการผ่านเอเจนซี่หรือตัวแทนที่น่าเชื่อถือที่สามารถให้ข้อมูลที่เอื้อประโยชน์ต่อการซื้อ-ขายอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยได้อย่างถูกต้องและทันต่อสถานการณ์สำหรับแนวโน้มการเข้ามาลงทุนในประเทศไทยของนักลงทุนจากประเทศจีนยังคงมีทิศทางขยายตัวที่ดี นอกจากปัจจัยที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว ความชัดเจนหลังการเลือกตั้งในประเทศไทยน่าจะเป็นตัวช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนมากขึ้น รวมถึงเมกะโปรเจคของภาครัฐหลายโครงการจะเป็นตัวผลักดันให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ของไทยเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง   ทั้งนี้ ล่าสุดสมาคมการค้าตัวแทนขายอสังหาริมทรัพย์ไทย- จีน จึงได้จัดงานประกาศผลรางวัลอสังหาริมทรัพย์ไทย ครั้งที่ 1 ประจำปี 2018 ขึ้น โดยมีการมอบรางวัลให้กับบริษัทผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ไทย ที่มีผลงานโดดเด่นในหลากหลายสาขา อาทิ รางวัลด้านการออกแบบ การตกแต่งภายใน รางวัลคอนโดมิเนียมยอดนิยม รางวัลการทำการตลาดดีเด่น รางวัลโครงการยอดเยี่ยมฯลฯ รวม 17 รายการ 30 รางวัล โดยมีผู้บริหารระดับสูงของบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของไทย นักลงทุนจากประเทศจีน รวมถึงเอเจนซี่ตัวแทนซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ทั้งไทยและจีนเข้าร่วมงาน      
โนเบิล ประกาศผลการดำเนินงานปี 2561 พร้อมด้วยความแข็งแกร่งของปี 2562

โนเบิล ประกาศผลการดำเนินงานปี 2561 พร้อมด้วยความแข็งแกร่งของปี 2562

บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ประกาศผลการดำเนินงานประจําปีสิ้นสุด วันที่ 31 ธันวาคม 2561 บริษัทฯ มีผลกำไรสุทธิจำนวน 987.0 ล้านบาท โดยบริษัทฯ มีรายได้จำนวน 5,152.9 ล้านบาท อัตราส่วนกำไรขั้นต้นคิดเป็นร้อยละ 43.4 และมีอัตราส่วนกำไรสุทธิร้อยละ 19.2 กำไรต่อหุ้นขั้นพื้นฐานจำนวน 2.16 บาทต่อหุ้น   “สำหรับปี 2561 นับว่าเป็นปีที่ดีของบริษัทฯ ซึ่งผลสำเร็จมาจากปัจจัยพื้นฐานที่ดี เป็นแรงผลักดันที่จะส่งผลต่อเนื่องไปยังปี 2562 และในอนาคตตามที่บริษัทได้คาดการณ์” กล่าวโดยนาย แฟรงค์ เหลียง รองประธานกรรมการ และ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม “สำหรับปี 2561 ที่ผ่านมา บริษัทฯ สร้างยอดขายกว่า 9,800 ล้านบาท ซึ่งส่งผลให้บริษัทฯ มียอดขายที่รอรับรู้รายได้ในอนาคตเป็นจำนวนประมาณ 17,700 ล้านบาท สำหรับไตรมาสที่ 4 ของปี 2561 บริษัทฯ ประสบความสำเร็จจากการส่งเสริมการขายโครงการที่ก่อสร้างแล้วเสร็จเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โครงการ โนเบิล เพลินจิต ซึ่งมียอดจองกว่า 150 ยูนิต และมีการโอนกรรมสิทธิ์แล้วในต้นปี 2562”   “ในเดือน ธันวาคม 2561 บริษัทฯ ได้จำหน่ายที่ดินเปล่าจำนวนสองแปลง และได้ดำเนินการโอนกรรมสิทธิ์ในเดือนมกราคมและเดือนกุมภาพันธ์ 2562 อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ มีแผนงานในการซื้อที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการอย่างต่อเนื่อง และคาดว่าภายในไตรมาสที่ 2 ของปี 2562 บริษัทฯ จะเปิดขายโครงการที่อยู่อาศัยประมาณ 2 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 3,000 ล้านบาท” กล่าวโดยนาย แฟรงค์ เหลียง “บริษัทฯ คาดหวังว่าปี 2562 นี้และปีต่อๆ ไปในอนาคตข้างหน้าจะเป็นการเปิดศักราชใหม่ของโนเบิลที่จะก้าวไปสู่จุดที่สูงกว่าที่เคยเป็นมา”   บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เป็นผู้บุกเบิกและเป็นผู้นำในด้านนวัตกรรมใหม่ และสร้างเอกลักษณ์เฉพาะตัวของการอยู่อาศัย เพื่อตอบสนองความต้องการ พร้อมนำคุณภาพที่ดีกว่ามาสู่ลูกค้า บริษัทฯ ประกอบธุรกิจประเภทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ประเภทที่อยู่อาศัย ซึ่งมีทั้งรูปแบบของบ้านเดี่ยว อาคารชุดพักอาศัยทั้งเชิงราบและตึกสูง   ณ เดือน ธันวาคม 2561 บริษัทฯ ได้พัฒนาโครงการแล้วรวมทั้งสิ้น 47 โครงการ แบ่งเป็นโครงการที่พัฒนาและเปิดการขายก่อนปี 2545 จำนวน 8 โครงการ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 4,800 ล้านบาท และโครงการที่เปิดการขายตั้งแต่ปี 2545 ถึงปี 2561 มีจำนวน 39 โครงการ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 83,000 ล้านบาท    
ซีบีอาร์อีซีจัดงานสัมมนาแนวโน้มตลาดคอนโดมิเนียมกรุงเทพฯ

ซีบีอาร์อีซีจัดงานสัมมนาแนวโน้มตลาดคอนโดมิเนียมกรุงเทพฯ

ซีบีอาร์อี ประเทศไทย จัดงานสัมมนา “แนวโน้มตลาดคอนโดมิเนียมกรุงเทพฯ” สำหรับลูกค้าและนักลงทุน เพื่ออัพเดตแนวโน้มตลาดคอนโดมิเนียมของกรุงเทพฯ รวมถึงเคล็ดลับการลงทุนโดยนางสาวอลิวัสสา พัฒนถาบุตร กรรมการผู้จัดการ   นอกจากนี้ ลูกค้าทั้ง 100 ท่านยังได้รับข้อมูลเกี่ยวกับคอนโดมิเนียมโครงการใหม่ล่าสุดและข้อเสนอพิเศษสุดจากโครงการชั้นนำและคอนโดมิเนียมรีเซลส์ทั้งในกรุงเทพฯ และแหล่งตากอากาศที่สำคัญของไทยเมื่อไม่นานมานี้   ในภาพ นางสาวอลิวัสสา พัฒนถาบุตร กรรมการผู้จัดการ ซีบีอาร์อี ประเทศไทย ให้การต้อนรับนายกิติชัย เตชะงามเลิศ นักเขียนด้านการลงทุนติดอันดับขายดีและนักลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์และสินประเภททรัพย์อื่นๆ    
มั่นคงฯ เผยปี’ 61 กางแผนเตรียมเปิด 4 โครงการ

มั่นคงฯ เผยปี’ 61 กางแผนเตรียมเปิด 4 โครงการ

บมจ.มั่นคงเคหะการ (MK) ประกาศผลดำเนินงานปี 2561 (สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2561) มีรายได้รวม 4,546.81 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 48.37% เมื่อเทียบจากปี 2560 และมีผลกำไรสุทธิ 305.93 ล้านบาท เพิ่มขึ้น  31.16% โดยคิดเป็นกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ 0.31 บาท พร้อมเผยปีนี้วางเปิดตัว 4 โครงการ ชูแนวคิด Well-Being เพื่อผู้อยู่อาศัยมีคุณภาพชีวิตท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ดียิ่งขึ้น มูลค่ารวม 4,560 ล้านบาท เตรียมงบซื้อที่ดินเพิ่มอีก 1,600 ล้านบาท ย้ำเดินหน้าดำเนินธุรกิจอสังหาเพื่อเช่าและการบริการ อย่างต่อเนื่อง หวังปี 2564 ดันสัดส่วนกำไรเป็น 50/50 เพื่อการเติบโตของบริษัทอย่างมั่นคงและยั่งยืน   นายสุเทพ วงศ์วรเศรษฐ ประธานกรรมการ บริษัท มั่นคงเคหะการ จำกัด (มหาชน) หรือ MK บริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการขาย เพื่อเช่าและเพื่อการบริการ เผยภาพรวมธุรกิจตลาดอสังหาริมทรัพย์ปี 2562 จะเติบโตจากปีที่ผ่านมาแบบค่อยเป็นค่อยไป (Slightly growth) เนื่องจากช่วงปีที่ผ่านมาดีเวลลอปเปอร์มีการพัฒนาสินค้าออกมาเป็นจำนวนมาก จึงส่งผลให้สินค้าที่มีอยู่ในตลาดต้องค่อยๆ รอการระบายออก (Absorb) ซึ่งไม่ได้เป็นเรื่องของฟองสบู่ แต่เป็นเรื่องของดีมานด์ (Demand) กับซัพพลาย (Supply) ที่ถือเป็นเรื่องปกติ รวมถึงมาตรการคุมสินเชื่อที่อยู่อาศัยของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) หรือ LTV ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 เมษายนนี้ นับเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ผู้บริโภคชะลอการตัดสินใจซื้อ โดยในส่วนของ มั่นคงฯ ค่อนข้างมีผลกระทบน้อย เนื่องด้วยกลุ่มผู้บริโภคส่วนใหญ่ เป็นกลุ่มลูกค้าบ้านหลังแรกที่ซื้อไว้เพื่ออยู่อาศัยเอง (Real demand)   “การเติบโตของบริษัทฯ ในปีนี้ยังคงเป็นไปในทิศทางที่ดี ผนวกกับงานด้านการพัฒนาโครงการเพื่อเช่าและเพื่อการบริการที่สร้างรายได้หมุนเวียนระยะยาวนั้นเป็นไปตามแผนที่ได้วางเอาไว้ จึงยิ่งส่งผลให้เราสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันจากการสำรวจพฤติกรรมผู้บริโภคในปัจจุบันต่างหันมาให้ความสนใจเรื่องการดูแลสุขภาพตัวเองกันมากขึ้น (Wellness) ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาหารการกิน การออกกำลังกาย รวมถึงเทคโนโลยีต่างๆ ที่จะเข้ามาช่วยดูแลสุขภาพในทุกๆด้าน เน้นการใช้ชีวิตในแบบสุขภาวะที่ดี (Well-Being) คือ การสร้างคุณภาพชีวิต ความเป็นอยู่ที่ดีระหว่างสิ่งมีชีวิตและธรรมชาติ ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้ล้วนเป็นหัวใจสำคัญที่เรานำมาเป็นโจทย์ในการพัฒนาสินค้าและบริการตลอดมาเพื่อส่งมอบให้แก่ผู้บริโภค”   โดยปี 2561 บริษัทฯ มีรายได้รวมทั้งสิ้น 4,546.81 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,482.31 ล้านบาท หรือ 48.37% คิดเป็นกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ 0.31 บาท สามารถแบ่งเป็นรายละเอียดได้ดังนี้ รายได้จากธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ 4,152.93 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,387.60 ล้านบาท หรือคิดเป็น 50.18% ในขณะที่ยอดรายได้รับรู้จากการให้เช่าและบริการ ในปี 2561 มีทั้งสิ้น 252.14 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 56.24 ล้านบาท หรือ 28.71% ส่วนรายได้จากการให้บริการของสนามกอล์ฟ109.25 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27.98 ล้านบาท หรือ 34.4%   สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจพัฒนาโครงการในปี 2562 บริษัทฯ ยังคงมุ่งเน้นพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่สามารถ ตอบโจทย์ทุกการใช้ชีวิตของผู้พักอาศัยทั้งเพื่อขาย เพื่อเช่าและการบริการอย่างต่อเนื่อง ตามแผนธุรกิจ 5 ปีที่ได้วางไว้ โดยเตรียมเปิดตัวโครงการเพื่อขายใหม่จำนวน 4 โครงการ ได้แก่ บ้านเดี่ยว 1โครงการ บ้านแฝด 1 โครงการ และทาวน์โฮม 2 โครงการ มูลค่ารวมทั้งสิ้น 4,560 ล้านบาท บนทำเลศักยภาพ ภายใต้แนวคิด “การใช้ชีวิตในแบบสุขภาวะที่ดี หรือ Well-Being” เน้นการออกแบบโดยคำนึงถึงสุขภาวะที่ดีของผู้อยู่อาศัย ใส่ใจตั้งแต่การวางผังโครงการให้สอดคล้องกับทิศทางลม เพื่อช่วยในเรื่องของการประหยัดพลังงาน การเลือกใช้วัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมการนำนวัตกรรมบ้านเย็นด้วยระบบ Air Flow มาใช้ ตลอดจนการวางฟังก์ชั่นที่อยู่อาศัยเพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตในกลุ่มคนทุกวัยเป็นสำคัญ เพื่อให้ทุกพื้นเป็นพื้นที่แห่งความสุขที่ทุกคนได้อยู่ร่วมกัน       ด้านธุรกิจเพื่อเช่าและการบริการนั้น นายสุเทพ กล่าวต่อไปว่าในปี 2562 บริษัทฯ เตรียมรุกตลาดธุรกิจเช่าและการบริการ โดยมีแผนพัฒนาโครงการบางกอกฟรีเทรดโซนโรงงานและคลังสินค้าเพื่อเช่า ที่บริหารงานโดย บริษัท พรอสเพค ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด เพิ่มขึ้นเป็น 173,500ตารางเมตร ส่วน โครงการ พาร์ค คอร์ท (Park Court) สุขุมวิท 77 คอนโดมิเนียมและอพาร์ตเมนต์ระดับลักซ์ชัวรี่ไฮเอนด์ ที่สามารถขายและปล่อยเช่าได้แล้วเกือบ 50% ตั้งเป้าปล่อยเช่าเต็มพื้นที่ 100% ได้ภายในปี 2562 ขณะเดียวกัน ธุรกิจ สนามกอล์ฟ ฟลอร่า วิลล์ กอล์ฟ แอนด์ คันทรีคลับ ที่หลังจากได้มีการปรับเปลี่ยนรูปโฉมใหม่เมื่อปีที่ผ่านมา ก็ได้รับการตอบที่ดีจากลูกค้าทั้งจากชาวไทยและชาวต่างประเทศคาดการณ์ปีนี้รายได้โตขึ้น 10% ด้านบริษัท ยัวร์ส พร็อพเพอร์ตี้ แมเนจเม้นท์ จำกัด  ซึ่งเป็นผู้ให้บริการด้านดูแลจัดการบริหารโครงการอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ พร้อมรับบริหารโครงการเพิ่ม 10 โครงการ ตั้งเป้ารายได้โตขึ้น 70% จากปี 2561   “ปีนี้เราเดินหน้าสานต่อนโยบายสร้างความสมดุลของรายได้ธุรกิจเพื่อขายและธุรกิจที่สร้างรายได้อย่างสม่ำเสมอทั้งเช่าและการบริการมากยิ่งขึ้น โดยมุ่งมองหาโอกาสในการพัฒนาโครงการที่มีศักยภาพและมีแนวโน้มทางเศรษฐกิจที่ดีเพิ่มขึ้น เพื่อขยายในส่วนของธุรกิจเพื่อสร้างรายได้ตามแผนการดำเนินธุรกิจ 5 ปีที่ได้วางไว้ พร้อมขยับสัดส่วนกำไรของทั้ง 2 ฝั่งให้อยู่ที่ 50/50 ภายในปี 2564 เพื่อเป็นการเพิ่มความมั่นคงให้บริษัทฯ มากยิ่งขึ้น” นายสุเทพ กล่าวสรุป      
พฤกษาโชว์ผลงานปี 61 สร้างยอดขายสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในรอบ 25 ปี

พฤกษาโชว์ผลงานปี 61 สร้างยอดขายสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในรอบ 25 ปี

พฤกษาผู้นำอันดับหนึ่งในวงการอสังหาฯ โชว์ผลประกอบการปี 61 ทำผลงานนิวไฮเรคดอร์ดสร้างยอดขาย 51,101 ล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์ในรอบ 25 ปี มีรายได้ 44,901 ล้านบาท และกำไร 6,022 ล้านบาท เตรียมเดินหน้าชูแผนกลยุทธ์ รักษาความเป็นผู้นำอันดับ 1 ด้วย Portfolio ที่แข็งแกร่ง ชูนวัตกรรมเทคโนโลยี INNO-TECH ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า พร้อมเปิดตัว The Living Application ที่ทำให้ทุกเรื่องบ้าน ครบ จบในแอปเดียวตลอดจนใส่ใจในเรื่องของคุณภาพเป็นเลิศและบริหารต้นทุนให้มีประสิทธิภาพ   นางสุพัตรา เป้าเปี่ยมทรัพย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “ผลการดำเนินงานในปี 2561 บริษัทฯ สามารถทำได้อย่างยอดเยี่ยม โดยทำยอดขายได้สูงถึง 51,101 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นยอดขายสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในรอบ 25 ปี นับจากก่อตั้งพฤกษา เติบโตเพิ่มขึ้น 7.5% จากปี 2560 ที่มียอดขายรวม 47,535 ล้านบาท มีรายได้อยู่ที่ 44,901 ล้านบาท เติบโต 2.2% จากปี 2560 ที่มีรายได้ 43,935 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 6,022 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 10.4% จากปี 2560 ที่มีกำไรอยู่ที่ 5,456 ล้านบาท   ด้านภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ ปี 2562 ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ท่ามกลางสถานการณ์การแข่งขันที่เข้มข้นในปีนี้ คาดว่าจะเติบโตขึ้นเล็กน้อยที่ประมาณ 5% โดยในปีนี้บริษัทฯ ตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 54,000 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 5.7% เป้ารายได้ 47,000 ล้านบาท เติบโต 4.7% โดยมาจากแผนการเปิดโครงการใหม่ จำนวน 55 โครงการ มูลค่า 68,100 ล้านบาท ทั้งนี้บริษัทฯ ยังมียอดขายที่รอรับรู้ราย ณ สิ้นปี 2561 ที่ 33,233 ล้านบาท ซึ่งเป็นยอดที่สูงสุดเท่าที่ผ่านมา และเป็นยอดขายรอรับรู้รายได้ในปี 2562 อยู่ที่ 21,638 ล้านบาท   สำหรับแผนกลยุทธ์หลักในปี 62 บริษัทฯ มุ่งเน้นรักษาความเป็นผู้นำอันดับ 1 อย่างต่อเนื่อง โดยมีแผนปรับ Portfolio ของกลุ่มธุรกิจทาวน์เฮาส์ เพื่อขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มระดับกลางบนเพิ่มมากขึ้น และขยายโครงการใหม่ไปยังจังหวัดที่มีศักยภาพ อาทิ ขอนแก่น ระยอง สระบุรี และนครปฐม พร้อมรักษาฐานลูกค้าเดิมในตลาดแวลู โดยในปีนี้มีแผนเปิดตัวโครงการไฮไลท์หลายโครงการ อาทิ โครงการบ้านเดี่ยวสำหรับกลุ่มตลาดบนกับแบรนด์ The Palm รวมถึงมีการนำแบรนด์ IVY กลับมาพัฒนาเป็นคอนโดมิเนียมเพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าไฮเอนด์มากขึ้น และรุกตลาดพรีเมียมเพื่อก้าวสู่ความเป็นผู้นำตลาดโดยเตรียมเปิดตัวแบรนด์ “Chapter” ซึ่งเป็นแบรนด์น้องใหม่ของพฤกษา เพื่อขยายตลาดไปยังกลุ่มลูกค้าในระดับราคา 5 – 10 ล้านบาท ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย   ทั้งนี้พฤกษาได้ต่อยอดความสำเร็จ ขับเคลื่อนองค์กรผ่าน Digital Transformation เดินหน้าด้วยนวัตกรรมเทคโนโลยี INNO -TECH เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของคนไทย สามารถตอบโจทย์ลูกค้าได้อย่างตรงจุด ด้วยการนำดิจิทัลเทคโนโลยีมาปรับใช้ในทุกกระบวนการทำงานตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ เริ่มตั้งแต่การนำ Big Data ที่มีอยู่มาวิเคราะห์พฤติกรรมและไลฟ์สไตล์ของลูกค้าเพื่อนำมาใช้พัฒนาในด้านต่างๆ อาทิ การนำข้อมูลมาพัฒนาด้าน Product and Innovation Design สำหรับที่อยู่อาศัยเพื่อสร้างความแตกต่างและตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ตรงกับความต้อง การมากขึ้น การทำการตลาดที่สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายในทุก Customer Journey ได้เฉพาะเจาะจง รวมไปถึงการพัฒนาด้านการบริการด้วยการนำนวัตกรรมเทคโนโลยีมาใช้ เพื่อมอบความสะดวกสบายแก่ลูกบ้านในการอยู่อาศัยแบบครบวงจรอย่าง The Living Application ที่ทำให้ทุกเรื่องบ้าน ครบ จบ ในแอปเดียว ตั้งแต่เริ่มค้นหาบ้าน ข่าวสารและโปรโมชั่น ไปจนถึงการตรวจรับบ้านและเข้าอยู่อาศัย ได้แก่ การชำระค่าผ่อนดาวน์ รวมไปถึงระบบ Smart Home (สั่งการเปิด-ปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านผ่านมือถือ), Smart Facilities (จองพื้นที่ส่วนกลาง), Mail Parcel แจ้งเตือนรับจดหมายหรือพัสดุ และในแอปพลิเคชันยังมีข้อมูลสิทธิพิเศษสำหรับลูกค้า Pruksa Member และบริการต่างๆ จากผู้ช่วยอัจฉริยะ อาทิ บริการทำความสะอาด ล้างแอร์ รับ-ส่งพัสดุ งานช่าง เป็นต้น สำหรับลูกค้าพฤกษาสามารถดาวน์โหลดผ่าน Play Store และ App Store ได้แล้ววันนี้   นอกเหนือจากแผนกลยุทธ์ตามที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว ในเรื่องของคุณภาพเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่พฤกษายังคงมุ่งเน้นใส่ใจอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการบริหารต้นทุนให้มีประสิทธิภาพ ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นแผนรุกธุรกิจเพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้บริษัทฯ มากยิ่งขึ้น” นางสุพัตรา กล่าว    
SAM โชว์ผลงานปี 61 ยอดเงินสดรับกว่าหมื่นล้านบาท

SAM โชว์ผลงานปี 61 ยอดเงินสดรับกว่าหมื่นล้านบาท

SAM เปิดตัว “นิยต” นั่งเก้าอี้ผู้บริหารระดับสูง โชว์ผลงานปี 61 ยอดเงินสดรับกว่าหมื่นล้านบาท พร้อมชูกลยุทธ์ใหม่ปี 62  ช่วยเหลือและดูแลลูกค้าทุกมิติ  เน้นให้บริการผ่านเทคโนโลยีและช่องทางการสื่อสารที่ทันสมัย สะดวก รวดเร็ว และเข้าถึงง่าย    SAM เปิดตัวผู้บริหารสูงสุดคนใหม่ “นิยต มาศะวิสุทธิ์” พร้อมโชว์ผลงานปี 61 ยอดเงินสดรับกว่า 1.1 หมื่นล้านบาท คิดเป็น 134% ของเป้าหมายและซื้อสินทรัพย์เข้าพอร์ตได้อีกกว่า 1 หมื่นล้านบาท เผยกลยุทธ์ปี 62 ดูแลอย่างจริงใจ โดยให้คำปรึกษาและพัฒนาบริการลูกค้า NPL และ NPA ผ่านเทคโนโลยีและช่องทางการสื่อสารที่ทันสมัย สะดวก รวดเร็ว เข้าถึงง่ายผ่านโซเชียลมีเดีย   นายนิยต มาศะวิสุทธิ์ ผู้บริหารสูงสุด บริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด (บสส.) หรือ SAM เปิดเผยว่า ด้วยประสบการณ์กว่า 14 ปีในฐานะผู้บริหารของ SAM ทำให้หลังจากเข้ารับตำแหน่งผู้บริหารสูงสุดเมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา จึงมีความพร้อมเดินหน้าและสามารถทำงานได้ต่อเนื่อง รวดเร็ว โดย SAM พร้อมสนับสนุนนโยบายภาครัฐและทำงานอย่างมืออาชีพ  ตลอดปี 2561 ที่ผ่านมา SAM สามารถบรรลุตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ ผลการดำเนินงาน ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2561 SAM ได้รับชำระเงินสด รวมจำนวนทั้งสิ้น 11,422 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 134 ของเป้าหมาย โดยมาจากการบริหารสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL) ประมาณ 7,000 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 62  และการจำหน่ายทรัพย์สินรอการขาย (NPA) จำนวนมากกว่า 4,000 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 38 โดยตลอดปี 2561 SAM สามารถซื้อสินทรัพย์ NPL เพิ่มเติมได้ประมาณ 10,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมาย และหากนับจากปี 2560 ถึงปัจจุบัน SAM มีการลงทุนอย่างต่อเนื่องมาตลอดและมีแผนลงทุนในปีต่อๆ ไปตามแผนระยะยาวที่ได้วางไว้  จากความสำเร็จและความมุ่งมั่นในการดำเนินงาน ส่งผลให้ตั้งแต่ปี 2543 ถึง ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2561 SAM สามารถนำส่งเงินคืนกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (กองทุนฯ) เป็นเงินสะสมรวมทั้งสิ้นกว่า 250,000 ล้านบาท   ส่วน โครงการคลินิกแก้หนี้ ในปี 2561 มีผู้สมัครเข้าโครงการ 9,800 ราย  โดยยอดรวมผู้ผ่านคุณสมบัติและลงนามสัญญาปรับโครงสร้างหนี้แล้วจำนวน 1,087 ราย  ปัจจุบันมีลูกหนี้ที่ยังผ่อนชำระอยู่กับโครงการเกือบ 1,000 ราย ภาระหนี้รวมทั้งสิ้น 270 ล้านบาท นอกจากนี้  SAM ยังดำเนินงานด้านการอบรมและให้ความรู้ทางการเงิน เพื่อเสริมสร้างวินัยทางการเงินให้แก่ประชาชนทั่วไปอย่างต่อเนื่อง ผ่านหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน เช่น สถานีตำรวจภูธร อ.ด่านช้าง สำนักงานปลัด กระทรวงกลาโหม สถาบันคุ้มครองเงินฝาก บจ.ธนบุรีประกอบรถยนต์ บจ.สยามมิชลิน เป็นต้น   นายนิยต กล่าวเพิ่มเติมว่า แผนงานในปี 2562  SAM มีเป้าหมายเก็บเงินสดรับที่ 11,600 ล้านบาท และเพิ่มขนาดพอร์ตสินทรัพย์เพิ่มเติมด้วยการเข้าประมูลซื้อสินทรัพย์ด้อยคุณภาพจากธนาคารพาณิชย์ตามแผนระยะยาวที่ตั้งไว้ให้ได้ตามเป้าหมายที่ 16,500 ล้านบาท ปัจจุบัน SAM มีสินทรัพย์ NPL คงเหลือมูลค่ารวมทั้งสิ้น 335,000 ล้านบาท แบ่งเป็นลูกหนี้รายใหญ่ ร้อยละ 66  SME ร้อยละ 30 และรายย่อย ร้อยละ 4 จึงมุ่งเน้นการช่วยเหลือลูกค้าปรับโครงสร้างหนี้ทุกกลุ่มให้บรรลุข้อตกลงได้ง่ายและสะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น โดยมีแผนการจัดกิจกรรมพิเศษต่างๆ อาทิ กิจกรรมลดหนี้มีสุข กิจกรรมเปิดบ้านทำงานวันหยุด เพื่ออำนวยความสะดวกให้ลูกค้าเข้ามาเจรจาปรับโครงสร้างหนี้นอกวันทำการ และเพิ่มเติมกิจกรรมสัญจร (Mobile Branch) เพื่อเดินทางไปพบลูกค้าและให้บริการในพื้นที่อย่างทั่วถึงตลอดปี ส่วนทรัพย์สิน NPA คงเหลือจำนวน  3,700 รายการ มูลค่ารวม 21,000 ล้านบาท แบ่งเป็นทรัพย์รายใหญ่มูลค่ามากกว่า 20 ล้าน ร้อยละ 5 ที่เหลือเป็นทรัพย์มูลค่าต่ำกว่า 20 ล้าน ร้อยละ 95 โดยกว่าร้อยละ 50 เป็นทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัย ดังนั้น กลยุทธ์การบริหารจัดการ NPA ในปีนี้ SAM จึงเน้นการทำตลาดเข้าถึงลูกค้ารายย่อย พร้อมวางแผนจัดกิจกรรมต่างๆ ตลอดปี เช่น การจัดงานประมูลทรัพย์ NPA จำนวน 9 ครั้ง การเข้าร่วมงานมหกรรมกับหน่วยงานพันธมิตร จำนวน 5 ครั้ง รวมถึงการเปิดบูธ “ทรัพย์มือสองต้อง SAM” จำนวน 6 ครั้ง รวมทั้งการจัดโปรโมชั่นและกิจกรรมส่งเสริมการขายที่น่าสนใจมากมาย  เช่น  “SAM อีซี่ โปร” ฟรีค่าโอน 1% พร้อมอีก 2 โปรโมชั่นยอดนิยม ทั้ง “SAM จัดให้” และ “SAM Light ผ่อนสบายๆ 0%” และอื่นๆ คาดว่าจะกระตุ้นยอดขายNPA ได้ยาวถึงสิ้นปี   ส่วนแผนงานโครงการคลินิกแก้หนี้  SAM ได้เตรียมความพร้อมขยายขอบเขตการให้บริการเพื่อรองรับลูกค้ากลุ่ม Non-Bank และเพิ่มความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น เครดิตบูโร เพื่อลดกระบวนการและขั้นตอนการตรวจสอบให้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น  รวมทั้งยังมีแผนจัดกิจกรรม เปิดบ้านทำงานวันหยุดกับ คลินิกแก้หนี้  ทุกวันเสาร์ โดยเริ่มครั้งแรกวันเสาร์ที่ 23 กุมภาพันธ์และตลอดเดือนมีนาคมนี้   ณ ที่ทำการ ชั้น 12 อาคารเล้าเป้งง้วน ถ.วิภาวดีรังสิต ด้วยหวังว่าการจัดกิจกรรมนี้ จะช่วยสร้างโอกาสและกระตุ้นกลุ่มเป้าหมายให้เข้ามาขอคำปรึกษาและเข้าร่วมโครงการฯ มากขึ้น ซึ่งจะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนด้านหนี้สินส่วนบุคคลของผู้ที่ประสบปัญหาดังกล่าวได้ไม่มากก็น้อย และช่วยให้ลูกหนี้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น นอกจากนี้  SAM ยังให้ความสำคัญกับการจัดกิจกรรมเพื่อสังคม เช่น การอบรมและให้ความรู้ทางการเงินเพื่อเสริมสร้างวินัยทางการเงินให้แก่ประชาชนทั่วไปอย่างต่อเนื่องตลอดปี โดยเฉพาะนักศึกษาที่จบการศึกษาใหม่ที่กำลังจะเข้าทำงาน เพื่อสร้างความตระหนักเรื่องการวางแผนการเงินก่อนเริ่มมีรายได้  ทั้งนี้  ในปี 62 SAM  ยังให้ความสำคัญกับการนำเทคโนโลยีการสื่อสารที่ทันสมัยเข้ามาให้บริการลูกค้า ผ่านแอปพลิเคชัน เว็บไซต์ และสื่อโซเชียลอื่นๆ อย่างต่อเนื่อง  เพื่อเข้าถึงลูกค้าและให้บริการอย่างสะดวก รวดเร็วยิ่งขึ้น      
แนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยปี 2562

แนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยปี 2562

ซีบีอาร์อี บริษัทที่ปรึกษาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำระดับโลก เผยแนวโน้มปี 2562 ว่าตลาดอสังหาฯในกรุงเทพมหานครจะเกิดการเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างมาก ทั้งด้านการชะลอตัวของตลาดในหลายๆ ภาคอสังหาริมทรัพย์และซัพพลายใหม่จำนวนมากที่กำลังจะออกสู่ตลาด   การแข่งขันในการหาที่ดินแบบมีกรรมสิทธิ์ถาวรหรือฟรีโฮลด์ในทำเลที่หายากในย่านใจกลางเมืองยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง   อย่างไรก็ตาม ข้อกำหนดใหม่ๆ รวมถึงผังเมืองกรุงเทพฯ ใหม่ที่กำลังจะประกาศใช้ในปี 2563 นี้ จะส่งผลต่อการตัดสินใจของผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ให้ต้องกลับมาประเมินสถานการณ์ใหม่อีกครั้ง   กฎข้อบังคับใหม่และความไม่แน่นอน ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยจะต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงหลายประการด้วยกัน ทั้งมาตรการควบคุมสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยที่เข้มงวดมากขึ้น  การเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้นในปีนี้  รวมถึงภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างฉบับใหม่ และผังเมืองใหม่ของกรุงเทพฯ ที่   ผังเมืองใหม่ของกรุงเทพฯ และภาษีภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างฉบับใหม่ที่คาดว่าจะประกาศใช้ในปี 2563 ยังคงอยู่ขั้นตอนการวางแผนและยังไม่เสร็จสิ้น การเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดคาดว่าจะเกิดขึ้นในทำเลที่เป็นจุดเชื่อมต่อของเส้นทางรถไฟฟ้า   การเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้นในวันที่ 24 มีนาคม 2562 จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในประเทศไทยเช่นกัน   ความท้าทายในตลาดส่งออกและการท่องเที่ยว ตลาดส่งออกและการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นภาคธุรกิจสำคัญต่อการผลักดันเศรษฐกิจไทย จะต้องเผชิญหน้ากับความท้าทายหลายประการในปีนี้   ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีนที่ยังไม่มีความแน่ชัดว่าจะส่งผลต่ออุตสาหกรรมส่งออกของไทยในด้านบวกหรือลบ รวมถึงการดึงดูดให้ชาวจีนกลับเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยหลังเหตุการณ์เรือล่มในภูเก็ตก็ยังคงเป็นเรื่องที่ท้าทายที่สุดสำหรับภาคการท่องเที่ยว ทั้งนี้ ปริมาณนักท่องเที่ยวจีนในช่วงเทศกาลตรุษจีนจะเป็นตัวช่วยบ่งชี้ถึงทัศนคติของนักท่องเที่ยวจีนที่มีต่อไทย   ซีบีอาร์อีเชื่อว่าตลาดการท่องเที่ยวในกรุงเทพฯ จะสามารถฟื้นคืนกลับสู่สภาวะเดิมได้อย่างรวดเร็วแม้ว่าจะได้รับผลกระทบจากปริมาณนักท่องเที่ยวจีนที่ลดลง ดังเช่นเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมืองหลายๆ ครั้งในอดีตที่ผ่านมา ที่สามารถฟื้นตัวกลับมาเข้มแข็งกว่าเดิม   เงินดาวน์ที่สูงขึ้นทำให้ตลาดที่พักอาศัยชะลอตัวลง ความต้องการจากนักเก็งกำไรและนักลงทุนที่ซื้อเพื่อปล่อยเช่าจะลดลง เนื่องจากราคาคอนโดมีเนียมที่สูงขึ้นจากต้นทุนที่ดิน อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น และเงินดาวน์ที่เพิ่มมากขึ้นตามกำหนดของธนาคารแห่งประเทศไทย ทำให้การสร้างผลกำไรจากการปล่อยเช่าและการขายต่อคอนโดมิเนียมที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างนั้นทำได้ยากขึ้น ตลาดจะกลับมาให้ความสำคัญกับผู้ที่ซื้อเพื่อพักอาศัยเองและการขายยูนิตที่เหลือขายในโครงการที่แล้วเสร็จ   จากความต้องการภายในประเทศที่ลดลงส่งผลให้ผู้พัฒนาโครงการหันไปโฟกัสที่ผู้ซื้อต่างชาติที่ใช้เงินทุนของตนเองในการซื้อคอนโดมิเนียม  แต่หากจะพึ่งพาการขายให้ผู้ซื้อต่างชาติเป็นส่วนใหญ่ ก็อาจเกิดความไม่แน่นอนว่าผู้ซื้อต่างชาติเหล่านี้จะโอนกรรมสิทธิ์หรือไม่เมื่อโครงการแล้วเสร็จ รวมถึงผู้ที่จะพักอาศัยในยูนิตเหล่านั้นจะเป็นใคร นอกจากนี้ ผู้ซื้อต่างชาติยังมีความอ่อนไหวจากภาวะเศรษฐกิจในประเทศของตนอีกด้วย   การแข่งขันสูงขึ้นในตลาดคอนโดมิเนียมระดับบน ในปีที่ผ่านมาผู้พัฒนาโครงการหลายรายได้เปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ในย่านใจกลางกรุงเทพฯ ด้วยราคาขายที่สูงกว่า 3 แสนบาทต่อตารางเมตร และดูเหมือนว่าราคาขาย 2.5 แสนบาทต่อตารางเมตรจะกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว อย่างไรก็ตาม ในตลาดจะมีทั้งโครงการที่ขายดีและไม่ดี  ขึ้นอยู่กับการวางตำแหน่งของสินค้าและราคาที่เหมาะสม การที่ตลาดนี้มีตัวเลือกมากมายในระดับราคานี้ ก็ย่อมทำให้ยอดขายโดย รวมในหลายโครงการชะลอตัว  รวมทั้งมีการลดราคายูนิตเหลือขายในโครงการที่แล้วเสร็จหลายแห่งเพื่อเคลียร์สินค้าที่มีอยู่ให้หมดไป   โครงการใหม่ไม่ได้แข่งขันกันด้วยราคาที่จับต้องได้เท่านั้น แต่ผู้พัฒนาโครงการต่างๆ พยายามหาจุดขายที่โดดเด่นเพื่อดึงดูดผู้ซื้อ ระบบบ้านอัจฉริยะ การจัดการปล่อยเช่า และการพัฒนาโครงการแบบมิกซ์ยูส เป็นตัวอย่างส่วนหนึ่งของจุดขายที่มีในตลาดปัจจุบัน ภายใต้สภาวะตลาดที่มีการแข่งขันสูงเช่นนี้ ซีบีอาร์อีเชื่อว่าผู้ที่ประสบความสำเร็จจะไม่ใช่โครงการที่ได้รับการออกแบบหรือมีผังห้องที่ดีที่สุดเท่านั้น แต่ต้องเป็นโครงการที่ตอบโจทย์รูปแบบการใช้ชีวิตได้ตรงใจและอยู่ในราคาที่เหมาะสมด้วย   ซีบีอาร์อีเชื่อว่าปี 2562 จะเป็นโอกาสทองของกลุ่มผู้ซื้อเพื่ออยู่เองและลงทุนในระยะยาวเนื่องจากมาตรการควบคุมสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยที่เข้มงวดขึ้น จะทำให้จำนวนผู้ซื้ออสังหาริมทรัพย์ลดน้อยลง ในขณะที่ผู้พัฒนาจะต้องแข่งขันที่จะเร่งระบายสินค้าคงเหลือก่อนที่มาตรการดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ ผู้ซื้ออาจสามารถซื้อโครงการที่ใกล้จะสร้างเสร็จในราคาที่เท่ากับตอนที่โครงการเปิดตัวได้    ความต้องการพื้นที่สำนักงานที่เปลี่ยนแปลงไป จากแนวโน้มที่เกิดขึ้นทั่วโลก ตลาดพื้นที่สำนักงานในกรุงเทพฯ เองก็ได้เปลี่ยนแปลงไปตามกระแสในเรื่องของพื้นที่ทำงานที่มีความคล่องตัว (Agile Workplace) และโคเวิร์กกิ้งสเปซ ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญต่อการเช่าพื้นที่สำนักงานขนาดใหญ่ในกรุงเทพฯ พื้นที่สำนักงานใหม่ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตจะสร้างแรงกดดันให้กับอาคารสำนักงานเก่าให้มีการปรับปรุงและยกระดับเพื่อให้คงความสามารถในการแข่งขันในตลาดที่กำลังเปลี่ยนไป   ในอีก 4 ปี กรุงเทพฯ จะมีการเปลี่ยนแปลงในตลาดอาคารสำนักงาน เนื่องจากพื้นที่ 2 ล้านตารางเมตรที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างและการวางแผนจะเข้าสู่ตลาด ซีบีอาร์อีคาดว่าการใช้พื้นที่สำนักงานในกรุงเทพฯ จะอยู่ที่ 2 แสนตารางเมตรต่อปี   การปรับตัวในตลาดค้าปลีก จากการที่ตลาดค้าปลีกทั่วโลกขยับไปสู่อี-คอมเมิร์ซและการซื้อขายออนไลน์มากขึ้น  ตลาดค้าปลีกในกรุงเทพฯ เองก็กำลังค่อยๆ เดินไปในทิศทางเดียวกัน ผู้ค้าปลีกที่มีหน้าร้านต่างคิดหากลยุทธ์ในการนำเสนอสิ่งที่การซื้อขายออนไลน์ไม่สามารถให้ได้ เช่น การสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ในศูนย์การค้า หรือทำให้ร้านเป็น Retailtainment หรือการผสมผสานความบันเทิงกับการให้บริการเพื่อสร้างความแตกต่าง   ซีบีอาร์อีคาดการณ์ว่าตลาดค้าปลีกจะมีแนวโน้มที่ดีซึ่งเป็นผลมาจากภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว อัตราการเช่าพื้นที่จะยังคงอยู่ในระดับที่สูง แต่พื้นที่ค้าปลีกใหม่ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตนั้นก็มีมาก ศูนย์การค้าที่มีผลประกอบการไม่ดีนักจะมีปัญหาในการรักษาและดึงดูดผู้เช่า ทั้งยังต้องเผชิญกับการแข่งขันจากอี-คอมเมิร์ซและและซัพพลายใหม่ในอนาคต  แต่ค่าเช่าจะยังคงไม่มีความเปลี่ยนแปลง   อีอีซี: แรงจูงใจในตลาดอุตสาหกรรม โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ อีอีซี จะมีความชัดเจนมากขึ้นในปีนี้เมื่อการประมูลโครงการพัฒนาพื้นที่รอบสถานีขนส่งมวลชน (Transit Oriented Development - TOD) ตลอดเส้นทางรถไฟฟ้าความเร็วสูงที่มุ่งหน้าสู่เขตอีอีซีนั้นสิ้นสุดลง ซีบีอาร์อีเชื่อว่าโครงการดังกล่าวจะเป็นตัวกระตุ้นให้ประเทศไทยได้รับความสนใจมากขึ้นจากผู้ผลิตและนักลงทุนต่างชาติเพื่อเข้ามาลงทุนในพื้นที่เขตอีอีซี นอกจากนี้ รัฐบาลยังมีการเสนอให้มีสิทธิพิเศษด้านการเงินและการยกเว้นภาษีในเขตปลอดอากรในนิคมอุตสาหกรรมให้แก่บริษัทผู้ผลิตต่างชาติอีกด้วย   ตอนนี้ยังเร็วเกินไปที่จะบอกได้ว่าประเทศไทยได้รับประโยชน์จากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีนหรือไม่  แต่ซีบีอาร์อีเห็นว่ามีบริษัทผู้ผลิตจากจีนบางแห่งสนใจที่จะย้ายฐานการผลิตมายังประเทศไทยบริเวณเขตอีอีซี      การลงทุนชะลอตัว อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยปรับขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 7 ปี จาก 1.50% เป็น 1.75% เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2561 อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นจะทำให้ต้นทุนในการพัฒนาโครงการของผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์นั้นเพิ่มขึ้น และยังทำให้ผู้ซื้ออสังหาริมทรัพย์ในประเทศชะลอการซื้อออกไป ความต้องการในประเทศที่ลดลง ราคาที่ดินที่เพิ่มสูงขึ้น และซัพพลายใหม่จำนวนมาก จะทำให้ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์มีความระมัดระวังมากขึ้นในการเปิดโครงการใหม่และการซื้อที่ดินในปี 2562   ที่ดินฟรีโฮลด์ในทำเลชั้นนำของกรุงเทพฯ จะยังคงเป็นที่ต้องการอย่างมาก โดยเฉพาะตามแนวรถไฟฟ้า การที่แปลงที่ดินชั้นดีในย่านใจกลางธุรกิจหรือซีบีดีเหลือไม่มากนัก ส่งผลให้ราคาที่ดินเพิ่มสูงขึ้นไปอีกจากสถิติราคาสูงสุดในปัจจุบัน ซึ่งเป็นที่ดินบนถนนหลังสวนที่ราคา 3.1 ล้านบาทต่อตารางวา   ด้วยราคาที่ดินฟรีโฮลด์ที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว บวกกับการเริ่มชะลอตัวของตลาดคอนโดมิเนียม ทำให้ผู้ประกอบการหันมาพิจารณาที่ดินแบบเช่าระยะยาวมากขึ้น โดยมีการปรับแผนการลงทุน และกระจายความเสี่ยงไปยังตลาดอื่นๆ เช่น อาคารสำนักงาน โรงแรม และ เซอร์วิสอพาร์ทเม้นท์ ซึ่งไม่จำเป็นต้องพัฒนาบนที่ดินแบบฟรีโฮลด์      
‘เอพี ไทยแลนด์’ เปิดตัว 3 ธุรกิจใหม่ เตรียมเปิด 39 โครงการ

‘เอพี ไทยแลนด์’ เปิดตัว 3 ธุรกิจใหม่ เตรียมเปิด 39 โครงการ

‘เอพี ไทยแลนด์’ ปิดปี ’61 คาดโตสวนกระแสกว่า 30% เติบโตเป็นประวัติการณ์ ขึ้นแท่นอันดับ 2 ผู้พัฒนาอสังหาฯ รายได้สูงสุด ดินหน้าเต็มสูบ ชูวิสัยทัศน์และพันธกิจยิ่งใหญ่ พัฒนาระบบนิเวศใหม่ นำเทคโนโลยีเชื่อมโยงกับการใช้ชีวิตยุคใหม่ ทำวิสัยทัศน์ ‘มอบคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุดให้คนในสังคม’   บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และนวัตกรรมการอยู่อาศัยของประเทศไทย ประกาศความสำเร็จคาดปิดปี 2561 ธุรกิจโดยรวมโตสวนกระแส 30% ขึ้นแท่นอันดับ 2 ผู้พัฒนาอสังหาฯ รายได้สูงสุด เดินหน้าประกาศวิสัยทัศน์ครั้งใหญ่ นำองค์กรก้าวสู่ศักราชใหม่ที่มากกว่าธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ด้วยการเป็นรายแรกที่ริเริ่มสร้างสรรค์โลกแห่งคุณภาพชีวิตที่ดี ภายใต้แนวคิด ‘AP World, A New Vision of Quality of Life’ สร้างพิมพ์เขียวแห่งคุณภาพชีวิตที่ดีในวันข้างหน้า พร้อมเปิดตัว 3 ธุรกิจใหม่นอกธุรกิจอสังหาฯ อย่างสมภาคภูมิ ได้แก่ SEAC (เอสอีเอซี) VAARI (วาริ) และ CLAYMORE (เคลย์มอร์) มุ่งสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน เท่าทันความเปลี่ยนแปลงของโลกและการเติบโตที่ยั่งยืน ตั้งเป้าภายในปี 2565 ทั้ง 3 ภาคธุรกิจใหม่จะมีส่วนช่วยผลักดันรายได้รวมของเอพีให้เติบโตแบบก้าวกระโดดแตะหลัก 60,000 ล้านบาท   นายอนุพงษ์ อัศวโภคิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. เอพี (ไทยแลนด์) เปิดเผยว่า “ในปี 2561  ที่ผ่านมาธุรกิจโดยรวมของเอพี ไทยแลนด์เติบโตมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ เราคาดการณ์ว่า ในปี 2561 บริษัทฯ จะสามารถสร้างรายได้รวมเติบโตขึ้นประมาณ 30% จากปีก่อนหน้า ซึ่งคาดว่าจะส่งผลให้เอพี ไทยแลนด์ ขยับขึ้นเป็นอันดับ 2 บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีรายได้สูงสุดของเมืองไทย การเติบโตแบบสวนกระแสของเอพีเป็นผลลัพธ์ของความสำเร็จในทุกธุรกิจที่เราดำเนินกิจการ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ในสินค้าทั้งคอนโดมิเนียม บ้านเดี่ยว และทาวน์โฮม ต่างได้รับ    การตอบรับที่ดีจากตลาด สะท้อนได้ทั้งจากยอดขายและการโอนกรรมสิทธิ์ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี”   นอกจากนี้ ธุรกิจอื่นๆ ในเครือเอพี ทั้ง ธุรกิจ Property Agent ภายใต้ชื่อ ‘BC (บีซี)’ ที่ให้บริการรับฝากขาย ฝากเช่าอสังหาริมทรัพย์ทุกรูปแบบ และไม่ได้จำกัดอยู่ที่สินค้าของเอพีเพียงอย่างเดียว มีผลการดำเนินงานที่เติบโตแบบก้าวกระโดด มีอสังหาริมทรัพย์ที่ซื้อ-ขาย-เช่า ผ่าน บีซี รวมมูลค่าสูงกว่า 12,000 ล้านบาทก้าวขึ้นเป็น Property Agent อันดับ 1 ของประเทศอย่างเต็มภาคภูมิ และธุรกิจ Property Management ภายใต้ชื่อ ‘SMART (สมาร์ท)’ เป็นธุรกิจบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร ด้วยประสบการณ์มากกว่า 20 ปี ส่งผลให้วันนี้ สมาร์ทได้รับความไว้วางใจให้เข้าบริหารจัดการคุณภาพชีวิตในโครงการต่างๆ ที่ไม่ใช่แต่เฉพาะเครือเอพีกว่า 55,000 ครอบครัว ในกว่า 200 โครงการ ซึ่งก้าวต่อไปทั้งสองบริษัท ‘บีซีและสมาร์ท’ จะยังคงเดินหน้าขยายขอบเขตการให้บริการเพื่อเพิ่มมูลค่าสินทรัพย์ให้กับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง   ทั้งนี้ ทั้ง 3 ภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ได้สะท้อนถึงวิสัยทัศน์ของเอพี ไทยแลนด์ในการเป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์อันดับต้นๆ ของเมืองไทยที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการในทุกช่วงชีวิตของผู้บริโภคได้อย่างสมบูรณ์และครบวงจรที่สุด (Space Expert for Living Satisfaction) ซึ่งก้าวต่อไปจากนี้ เอพี ไทยแลนด์จะไม่หยุดอยู่เพียงภาคธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เท่านั้น แต่จะก้าวไปสู่ศักราชใหม่ ภายใต้วิสัยทัศน์ ‘AP World, A New Vision of Quality of Life’ วิสัยทัศน์ในการสร้างพิมพ์เขียวแห่งคุณภาพชีวิตที่ดีในวันข้างหน้า ซึ่งจะสมบูรณ์ไปด้วยระบบนิเวศ (Eco System) ที่เอพีพัฒนาขึ้นอย่างไม่หยุดนิ่ง เพื่อมุ่งสู่การเป็นรายแรกที่ริเริ่มสร้างสรรค์โลกแห่งคุณภาพชีวิตที่ดี อีกทั้ง ยังเพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืน บริษัทฯ จึงพร้อมเปิดตัว 3 ภาคธุรกิจใหม่ (Disruptive Business) ได้แก่ 1) VAARI ดำเนินธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการสร้างระบบนิเวศที่สนับสนุนการบริหารจัดการคุณภาพชีวิต 2) CLAYMORE ดำเนินธุรกิจสร้างและผลักดันนวัตกรรมดีไซน์ที่ตอบโจทย์ความต้องการที่ยังไม่ถูกค้นพบ และ 3) SEAC ดำเนินธุรกิจในการดิสรัปวิธีการเรียนรู้ของคนในองค์กรและคน ในสังคมด้วยกระบวนการใหม่ๆ  ผ่านความร่วมมือจากสถาบันระดับโลก   ทั้ง 3 ธุรกิจใหม่จะเป็นจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญที่ช่วยเสริมวิสัยทัศน์ในการส่งมอบคุณภาพชีวิตที่ดีให้ประสบความสำเร็จ เคียงคู่ไปกับ Core Business คือ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และบริษัทในเครือ ที่จะแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น โดยตั้งเป้าภายในปี 2565 สามภาคธุรกิจใหม่นี้จะมีส่วนช่วยผลักดันรายได้รวมของเอพีให้เติบโตแบบก้าวกระโดดแตะหลัก 60,000 ล้านบาท      นายอนุพงษ์กล่าวว่า “หนทางในการไปถึงวิสัยทัศน์ในการส่งมอบคุณภาพชีวิตที่ดีนั้น มีความท้าทายหลัก   3 ประการที่เราจะต้องตระหนัก ต้องบริหารจัดการ และต้องเตรียมการทุกอย่างให้พร้อม นั่นคือ 1. โลกที่กำลังดิสรัปและทุกอย่างเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว คำถาม คือ เราจะนำ Technology มาช่วยสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้เกิดขึ้นได้อย่างไร 2. เราจะรู้จักและพัฒนานวัตกรรมให้สอดคล้องและตอบรับกับความต้องการที่ยังไม่ถูกค้นพบที่แตกต่างกันของคนในสังคมได้อย่างไร 3. เราจะพัฒนาความรู้ ความสามารถของ ‘คนในองค์กรและคนในสังคม’ ให้ก้าวทันกระแสดิสรัปชั่นได้อย่างไร ดังนั้นการขยายองค์กรสู่ 3 ภาคธุรกิจใหม่ล่าสุดของเรา จึงช่วยตอบโจทย์และเติมเต็มให้วิสัยทัศน์ในการมอบคุณภาพชีวิตแก่คนในสังคมให้เป็นผลสำเร็จ อีกทั้งยังช่วยส่งเสริมให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของเอพีแข็งแกร่งยิ่งขึ้น”   บริษัทใหม่ทั้ง 3 มีลักษณะการดำเนินธุรกิจ และเป้าหมายสำคัญแตกต่างกัน ดังนี้ บริษัท วาริ จำกัด: ดำเนินธุรกิจสร้างระบบนิเวศที่สนับสนุนการบริหารจัดการคุณภาพชีวิต (LIFE MANAGEMENT ECOSYSTEM) ที่จะมาจุดประกายคุณภาพชีวิตในวันข้างหน้าให้มีประสิทธิภาพ สร้างสรรค์สังคมแห่งการอยู่อาศัยในอุดมคติให้เกิดขึ้น ลดทอนความซ้ำซ้อนที่เป็น Pain ของผู้อยู่อาศัยในวันนี้ และมอบประสบการณ์ใหม่ที่ยกระดับรูปแบบการดำเนินชีวิตให้ดียิ่งขึ้น ผ่านนวัตกรรมดีไซน์ที่เข้าถึงทุกไลฟ์สไตล์ของคนในสังคม บริษัท เคลย์มอร์ จำกัด: ดำเนินธุรกิจการพัฒนานวัตกรรมดีไซน์ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่ยังไม่ถูกค้นพบของคนในสังคม ผ่านการสร้างทีมนวัตกรรมที่มีจิตวิญญาณในการเป็นผู้ประกอบการขึ้นภายในองค์กร มีบทบาทหน้าที่สำคัญในการเป็น Innovation Lab สร้างนวัตกรรมโดยใช้กระบวนการ Stanford Design Thinking ต่อยอดธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เดิมไปสู่ธุรกิจใหม่ โดยมีเป้าหมายให้นวัตกรรมที่คิดค้น จับต้องได้ และใช้งานได้จริง SEAC (เอสอีเอซี): ศูนย์พัฒนาและส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตแห่งภูมิภาคอาเซียน ดำเนินธุรกิจในการดิสรัปวิธีการเรียนรู้ของคนในองค์กรและคนในสังคมด้วยกระบวนการใหม่ๆ มุ่งพัฒนาความพร้อม ความสามารถของคนให้ก้าวทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกในวันนี้และอนาคต โดยได้รับความร่วมมือจากสถาบันระดับโลก อาทิ Stanford University ที่มีมุมมองในเรื่องการเรียนรู้ตรงกัน เพื่อช่วยยกระดับขีดความสามารถและกระบวนการคิดของผู้นำในเมืองไทยและระดับภูมิภาคให้มีศักยภาพทัดเทียมผู้นำระดับโลก   “การรุกขึ้นมาปรับวิสัยทัศน์ในครั้งนี้ มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการปรับเปลี่ยนโฉมหน้าของเอพี ไทยแลนด์ ไปสู่การเป็นบริษัทที่ช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนในสังคมแทนที่จะเป็นเพียงผู้ส่งมอบที่อยู่อาศัยเพียงเท่านั้นซึ่งสุดท้ายแล้วนวัตกรรมหรือระบบนิเวศต่างๆ ที่ถูกพัฒนาจะเปิดกว้างให้บริการกับทุกคนไม่จำกัดว่าจะต้องเป็นลูกค้าเอพีเท่านั้น โดยเราคาดหวังว่า ดอกผลที่เกิดขึ้นจากการขยายภาคธุรกิจ ภายใต้วิสัยทัศน์ AP World นี้ จะมีส่วนช่วยผลักดันรายได้รวมของเอพี ไทยแลนด์ให้เติบโตแบบดับเบิ้ล หรือตั้งเป้าสร้างรายได้รวมแตะหลัก 60,000 ล้านบาทภายในปี 2565” นายอนุพงษ์ กล่าว   นอกจากความสำเร็จด้านผลประกอบการณ์แล้ว ในปี 2561 ที่ผ่านมายังเป็นเกียรติยศของเอพี ไทยแลนด์ จากการคว้ารางวัลทรงเกียรติ ทั้งจากในประเทศและระดับนานาชาติ มาครองได้มากถึง 14 รางวัล อาทิ ‘บริษัทผู้ทรงอิทธิพลแห่งเอเชียประจำปี 2018’ จากเวที The Asia Corporate Excellence & Sustainability Awards (ACES) ประเทศสิงคโปร์, ‘ที่สุดของบริษัทพัฒนาคอนโดมิเนียมยอดเยี่ยมแห่งเอเชียประจำปี 2018’ จากเวที Property Guru Asia Property Awards 2018 และได้รับการจัดอันดับให้เป็น ‘The Most Admired Company 2018’ องค์กรพัฒนาอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ในใจผู้บริโภคประจำปี 2018 อีกด้วย      
อนันดาฯ เปิดแผนปี 62

อนันดาฯ เปิดแผนปี 62

คุณชานนท์ เรืองกฤตยา (ที่ 2 จากซ้าย) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ANAN พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูง ประกาศความสำเร็จปี 2561 มียอดโอนเป็นสถิติสูงสุดถึง 33,000 ล้านบาท เติบโตร้อยละ 120 จากปีก่อน โดยในปี 2562 ยังคงเดินหน้าดำเนินธุรกิจด้วยกลยุทธ์พัฒนาคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้าร่วมกับยักษ์ใหญ่อสังหาของญี่ปุ่นอย่างมิตซุย ฟูโดซัง อย่างต่อเนื่อง มีแผนเปิดโครงการใหม่ จำนวน 10 โครงการ มูลค่ากว่า 38,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าร้อยละ 42 โดยแบ่งเป็น คอนโดมิเนียม 8 โครงการ ซึ่งเป็นโครงการร่วมทุนกับมิตซุย ฟูโดซัง 7 โครงการ และโครงการแนวราบ 2 โครงการ พร้อมมีกระแสเงินสดที่แข็งแกร่งของกลุ่มกว่า 13,000 ล้านบาท เพื่อต่อยอดทางธุรกิจ และขยายไปสู่ธุรกิจ Recurring Income ในอนาคตต่อไป ณ โรงแรม ดิ โอกุระ เพรสทีจ กรุงเทพฯ เมื่อเร็วๆ นี้      
แสนสิริประกาศวิสัยทัศน์ FOR GREATER WELL-BEING กำหนดทิศทางอสังหาฯยุคใหม่ ยืนหนึ่งผู้นำด้านการออกแบบและสร้างนวัตกรรม

แสนสิริประกาศวิสัยทัศน์ FOR GREATER WELL-BEING กำหนดทิศทางอสังหาฯยุคใหม่ ยืนหนึ่งผู้นำด้านการออกแบบและสร้างนวัตกรรม

แสนสิริประกาศวิสัยทัศน์ FOR GREATER WELL-BEING กำหนดทิศทางอสังหาฯยุคใหม่ ยืนหนึ่งผู้นำด้านการออกแบบและสร้างนวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัย รับกระแสผู้บริโภคใส่ใจสุขภาพ-สิ่งแวดล้อม เตรียมเปิดตัว “Dust-free House” บ้านปลอดฝุ่นครั้งแรกของเมืองไทยปีนี้ พร้อมวางแผนเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนด้วยยอดขาย 3 ปีรวมกว่า 160,000 ล้านบาท   บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ประกาศให้ปี 2561 เป็นปีแห่งความสำเร็จสูงสุด #SansiriBestYearEver ด้วยยอดขายสูงสุดในรอบ 34 ปี 48,500 ล้านบาทโตขึ้น 25% และยอดขายต่างชาติอันดับหนึ่งของประเทศ 14,000 ล้านบาท สูงขึ้น 51% พร้อมเดินหน้าวิสัยทัศน์ For Greater Well-being สร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนตลอดปี 2562ต่อยอดกลยุทธ์ Green & Well-being สู่ทุกโครงการใหม่เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัยทุกมิติ ประกาศมาตรการต่อสู้มลภาวะและฝุ่นละออง PM 2.5 อย่างจริงจัง ด้วยการเปิดตัว “Dust-free House” บ้านปลอดฝุ่นครั้งแรกในประเทศในปีนี้ ตอกย้ำภาพลักษณ์ของแสนสิริในการเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัยที่ใส่ใจสุขภาพและสิ่งแวดล้อม พร้อมเคาะแผนเปิดตัว 28 โครงการใหม่รวมมูลค่ากว่า 46,600 ล้านบาท ในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ภายใต้คุณภาพระดับ Best in Class ทุกประเภท ทุกระดับราคา ควบคู่กับการสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่ง ระบุดีมานด์ที่อยู่อาศัยปีนี้ยังมีแต่ลูกค้าจะเลือกแบรนด์ที่เชื่อถือได้มากขึ้น ซึ่งแสนสิริมั่นใจว่าจะมีลูกค้าใหม่ที่เป็น Real-demand มาซื้อโครงการแสนสิริมากขึ้น เหตุเชื่อมั่นในคุณภาพและการดูแล หลังเข้าอยู่อาศัย พร้อมวางเป้าเติบโตแบบยั่งยืนด้วยยอดพรีเซลรวม 3 ปี (2561 – 2564) ทะลุเป้า 1.6 แสนล้าน   นายวันจักร์ บุรณศิริ ประธานผู้บริหารสายงานการเงินและสนับสนุนธุรกิจ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน)  กล่าวว่า “ปี 2561 ที่ผ่านมาเป็นปีที่ถือว่าดีที่สุดของในการดำเนินธุรกิจของแสนสิริมาตลอด 34 ปีที่ผ่านมาหรือ Sansiri Best Year Ever จากความสำเร็จรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นมูลค่าการเปิดตัวโครงการใหม่สูงที่สุดกว่า  65,200 ล้านบาทจาก 25 โครงการ ยอดพรีเซลปี 2561 กว่า 48,500 ล้านบาทสูงสุดเป็นประวัติการณ์โดยเติบโตกว่าปี 2560 ที่อยู่ที่ 38,500 ล้านบาทถึง 25% รวมถึงยอดขายต่างชาติกว่า 14,000 ล้านบาทเติบโตกว่าปีที่ผ่านมาถึง 51% หรือเติบโตกว่า 5 ปีก่อนถึง 10 เท่า ซึ่งแสนสิริครองอันดับหนึ่งยอดขายต่างชาติสูงสุดมาต่อเนื่องตลอด 5 ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ปัจจุบันแสนสิริยังมียอด Backlog รวมกว่า 63,500 ล้านบาทที่จะช่วยการันตียอดรับรู้รายได้อันแข็งแกร่งในอีก 3 ปีข้างหน้า”   ปัจจัยที่ช่วยผลักดันให้เราสามารถบรรลุเป้าหมาย Sansiri Best Year Ever ในปี 2561 คือการตอบรับที่ดีของลูกค้าในทุกประเภทที่อยู่อาศัยและทุกเซกเมนต์ โดยเฉพาะในกลุ่มบ้านเดี่ยวเติบโตขึ้นถึง 34 % กลุ่มทาวน์เฮาส์เติบโต 77% และกลุ่มคอนโดมิเนียมเติบโตกว่า 20% ทั้งนี้ โครงการที่ได้รับการตอบรับดีเกินเป้าหมายเมื่อปีที่ผ่านมา อาทิ บ้านแสนสิริที่กวาดยอดขายไปกว่า 75%ของมูลค่าโครงการทั้งหมดภายในระยะเวลาเพียง 6 เดือนซึ่งถือเป็นสถิติใหม่ของบ้านเดี่ยวระดับซูเปอร์ลักซ์ซัวรี่ของเมืองไทย การเปิดตัวคอนโดมิเนียมไลฟ์สไตล์เพื่อคนรุ่นใหม่อย่าง XT ที่มูลค่าการเปิดตัว 3 โครงการรวมกว่า 21,000 ล้านบาทแต่ก็สามารถขายได้ถึง 12,000 ล้านบาทภายใน 3 เดือน รวมทั้งทาวน์เฮ้าส์แบรนด์ใหม่ “สิริ เพลส” ที่ยอดขายดีจนสามารถดันยอดขายทาวน์เฮ้าส์ให้โตขึ้นกว่าปี 2559 ได้ถึง 3 เท่า ขณะที่ยอดขายจากตลาดต่างจังหวัดเป็นอีกหนึ่งปัจจัยความสำเร็จของปีที่ผ่านมาด้วยยอดขายถึง 12,000 ล้านบาทหรือคิดเป็น 25% ของยอดขายรวมทั้งหมด เติบโตขึ้นกว่าปีก่อนถึง 51%   คุณวันจักร์กล่าวต่อว่า “ในปี 2562 นี้ แสนสิริมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ 28 โครงการรวมมูลค่ากว่า 46,600 ล้านบาท ประกอบด้วย คอนโดมิเนียม 12 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 22,400 ล้านบาท บ้านเดี่ยว 9 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 18,700 ล้านบาท และทาวน์เฮ้าส์ 7 โครงการรวมมูลค่า 5,500 ล้านบาท ซึ่งมุ่งเน้นเปิดตัวโครงการระดับกลาง (Medium Segment)และระดับราคาที่เข้าถึงได้มากขึ้น (Affordable Segment) โดยคิดเป็นสัดส่วนรวม 96% ของมูลค่าการเปิดตัวโครงการทั้งหมด พร้อมตั้งเป้าพรีเซลปีนี้ไว้ที่ 36,000 ล้านบาทและเป้าโอนรวมที่ 32,000 ล้านบาท รวมทั้งวางเป้าหมายระยะยาว 3 ปี ในการสร้างยอดพรีเซลรวมกว่า 160,000 ล้านบาทระหว่างปี 2562-2564”   นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2562 ยังคงเติบโตแต่อาจจะชะลอตัวบ้างในส่วนของการซื้อเพื่อลงทุนของลูกค้าคนไทย แต่อย่างไรก็ตาม แสนสิริเชื่อว่าการซื้อเพื่ออยู่เองจะยังคงโตในระดับเดียวกับปีก่อน ทั้งนี้ จากการแข่งขันด้านราคาและการพัฒนาโครงการของทุกผู้ประกอบการในปีนี้ ทำให้ลูกค้ามีทางเลือกในการตัดสินใจซื้ออสังหาริมทรัพย์มากขึ้น ซึ่งแสนสิริเชื่อมั่นว่าปี 2562 นี้จะเป็นปีที่ได้เปรียบทางธุรกิจของบริษัท เพราะลูกค้าที่ซื้อเพื่ออยู่เองจะเลือกแบรนด์ใหญ่ที่ได้รับการยอมรับในเรื่องคุณภาพและบริการหลังการขายมากกว่าแบรนด์เล็กเพราะเป็นการซื้อเพื่ออยู่เองในระยะยาว นอกจากนั้น แสนสิริเชื่อมั่นว่ายอดโอนโครงการของแสนสิริในปีนี้จะเป็นไปได้ดีตามเป้าเพราะมียอดพรีเซลที่รอการรับรู้รายได้ในระดับสูงจากลูกค้าที่มีคุณภาพและกำลังซื้อจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกค้าชาวจีนและชาวต่างชาติ ที่วางเงินดาวน์สูงและเชื่อมั่นในศักยภาพการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ไทยเพื่อผลตอบแทนระยะยาว”   คุณอุทัย กล่าวต่อถึงกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจปี 2562 ว่า แสนสิริให้ความสำคัญและลงลึกในทุกรายละเอียด  ของความต้องการของผู้บริโภคเพื่อเติมเต็มประสบการณ์การใช้ชีวิตของลูกค้าเสมอมา โดยปีนี้แสนสิริมองเห็นเทรนด์และความต้องการในการอยู่อาศัยที่เปลี่ยนแปลงไปของคนยุคปัจจุบันที่มีความตื่นตัวในเรื่องการดูแลสุขภาพและปัญหาสิ่งแวดล้อมกันมากขึ้น จึงวางวิสัยทัศน์ For Greater Well-being เพื่อต่อยอด 2 แนวคิด Green & Well-being มาประยุกต์ใช้กับทุกโครงการใหม่ของแสนสิริ นำร่องด้วยโครงการเศรษฐสิริ ทวีวัฒนา บ้านเดี่ยวภายใต้คอนเซปต์ Well-being โครงการแรกของแสนสิริที่จะเปิดตัวในช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์นี้ รวมทั้งเตรียมเปิดขายอย่างเป็นทางการ Wellness Residence คอนโดมิเนียมสำหรับคนรักสุขภาพแห่งแรกของไทยบนทำเลศักยภาพกรุงเทพกรีฑา ที่จะเปิดมิติใหม่แห่งการอยู่อาศัยที่สามารถดูแลสุขภาพแบบองค์รวม ในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ ตลอดจนจะรุกแบรนด์บุราสิริมากขึ้นด้วย เพราะเล็งเห็นดีมานด์คนในกรุงเทพที่อยากได้บ้านสไตล์รีสอร์ตเพื่อเติมเต็มสุขภาพกายและสุขภาพใจ นอกจากนั้น แสนสิริยังวางแผนที่จะสร้างปรากฎการณ์ใหม่แก่วงการอสังหาฯด้วยการเปิดตัว “บ้านปลอดฝุ่น” หรือ Dust-free House ครั้งแรกของเมืองไทยภายในปีนี้และประกาศนโยบายรับผิดชอบต่อสังคมอย่างจริงจังผ่านการลดการใช้พลังงานและการใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่สร้างผลกระทบเชิงลบต่อสิ่งแวดล้อมโลกในทุกขั้นตอน   ด้านการพัฒนาโครงการใหม่ในปี้นี้จะมุ่งเน้นกลยุทธ์ Diversification ที่จะนำเสนอหลากหลายประเภทโครงการที่อยู่อาศัยมากขึ้น ครอบคลุมในทุกระดับราคาและทุกทำเลทั่วประเทศเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าในทุกกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยมีสัดส่วนการเปิดตัวโครงการบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์เพิ่มมากขึ้นใน    ปีนี้เพื่อรองรับดีมานด์การอยู่อาศัยเอง นำโดยแบรนด์เศรษฐสิริที่เป็นบ้านเดี่ยวตอบโจทย์ลูกค้าระดับบนที่ต้องการบ้านขนาดใหญ่เพื่อครอบครัวขยาย และแบรนด์สิริ เพลสทาวน์เฮ้าส์สำหรับผู้ที่อยากมีบ้านหลังแรกในราคาที่จับต้องได้แต่ยังได้ส่วนกลางมาตรฐานแสนสิริและฟังก์ชั่นการใช้งานบ้านที่ให้มากกว่าทาวน์เฮ้าส์โดยทั่วไป ขณะที่คอนโดมิเนียมก็จะมีการเปิดตัวโครงการในทุกระดับราคาและหลายทำเลเช่นกัน   คุณอุทัย กล่าวต่อว่า “แสนสิริยังมุ่งมั่นที่จะสร้างความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์ทั้งในประเทศและในตลาดต่างประเทศอย่างต่อเนื่องเพื่อให้สามารถครองใจลูกค้าต่างชาติได้ในทุกเซกเมนต์โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มลูกค้าไฮเอนด์ โดยปีนี้เราเปิด SIRI HOUSE  ที่สิงคโปร์และที่เมืองไทยด้วยหวังเป็นอีกหนึ่งช่องทางในการถ่ายทอดประสบการณ์                การใช้ชีวิตแบบแสนสิริให้ลูกค้าได้สัมผัส ตลอดจนเราจะสร้างความแข็งแรงให้กับโครงการปัจจุบันด้วยการเปิดตัว Sansiri Club Collection ซึ่งเป็นการรวมกลุ่มโครงการที่เจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ และ Sansiri Luxury Collection การรวมกลุ่มโครงการระดับลักซ์ชัวรี่และซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่เข้าไว้ด้วยกัน เพื่อสร้างเอกลักษณ์ในการสื่อสารการตลาดผ่านวิธีการและแคมเปญที่เหมาะสมกับความต้องการและไลฟ์สไตล์ของลูกค้าแต่ละกลุ่มมากยิ่งขึ้น   นอกจากนั้น ในปีนี้แสนสิริจะเดินหน้านำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาใช้ในพัฒนาการดำเนินธุรกิจให้มากขึ้นเพื่อความสะดวกสบายของลูกค้าและเพิ่มประสิทธิภาพในดำเนินธุรกิจของบริษัท โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำนวัตกรรมมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการรักษาความปลอดภัยในการอยู่อาศัยก็เป็นอีกจุดแข็งของแบรนด์ที่แสนสิริต้องการที่จะเน้นย้ำ ในปีนี้เช่นกันเพราะเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจซื้ออสังหาริมทรัพย์ของผู้บริโภค นอกจากนั้น แสนสิริจะรุก ในการสร้างองค์กรที่มีความแข็งแกร่งอย่างยั่งยืนด้วยการนำการทำงานแบบ Agile มาใช้สนับสนุนการทำงานของคนรุ่นใหม่ให้มีประสิทธิภาพ  รวมทั้งสานต่อ Sansiri Green Mission ตลอดจนการช่วยเหลือเด็กไทยและต่างชาติอย่างต่อเนื่องผ่านกิจกรรม Social Change และการเป็น UNICEF’s Selected Partner องค์กรแรกและองค์กรเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้   “แสนสิริเชื่อมั่นว่าแนวคิด For Greater Well-being ที่แสนสิริมุ่งมั่นในการมอบรูปแบบและนวัตกรรมการอยู่อาศัยที่ใส่ใจสุขภาพและสิ่งแวดล้อมในปี 2562 นี้ จะสร้างความโดดเด่นและแตกต่างให้กับแบรนด์แสนสิริในฐานะบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่เข้าใจความต้องการผู้บริโภคในทุกยุคทุกสมัยอย่างแท้จริง ตลอดจนเป็นผู้เซตมาตรฐานการพัฒนาที่อยู่อาศัยของประเทศไทยเพื่อคุณภาพการชีวิตที่ดีขึ้นของลูกค้าและเพื่อโลกที่ดีขึ้นของเราได้” คุณอุทัย กล่าวสรุป          
อนันดาฯ ยึดเบอร์ 1 คอนโดติดรถไฟฟ้า ลุยเปิด 38,000ล้าน

อนันดาฯ ยึดเบอร์ 1 คอนโดติดรถไฟฟ้า ลุยเปิด 38,000ล้าน

บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ANAN ผู้นำแห่งวงการพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับคนเมือง ครองตำแหน่งผู้นำตลาดคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้าย้ำมั่นใจความสำเร็จที่ผ่านมาจากกลยุทธ์ที่ดำเนินมาถูกต้องของบริษัทมุ่งตอบโจทย์ชีวิตคนเมืองได้อย่างลงตัวที่สุด ด้วยประสบการณ์พร้อมความเชี่ยวชาญตลอด 20 ปีที่ผ่านมาภายใต้แนวคิด Urban Living Solutions เน้นศักยภาพการเติบโตของบริษัทในอนาคตแบบมั่นคงและยั่งยืนพร้อมความแข็งแกร่งทางการเงินและการสนับสนุนอย่างดีจากพันธมิตรชั้นนำมิตซุย ฟูโดซัง ประกาศแผนธุรกิจปี 2562 เติบโตต่อเนื่องพร้อมความระมัดระวัง เดินหน้าเปิด 10 โครงการใหม่ มูลค่ากว่า 38,000 ล้านบาท เน้นทำเลติดรถไฟฟ้าที่ยังมีศักยภาพขยายตัวได้อีกมาก   นายชานนท์ เรืองกฤตยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทอนันดาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า  บริษัทฯ ยังคงเป้าหมายครองตำแหน่งผู้นำในการพัฒนาที่อยู่อาศัยติดรถไฟฟ้าจากวิสัยทัศน์ที่คิดและทำเป็นรายแรกของเมืองไทยพร้อมเป็นองค์กรที่พัฒนาตัวเองอย่างไม่หยุดยั้ง รวมทั้งมีการเตรียมความพร้อมและความยืดหยุ่นในการปรับตัวเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ต่างๆได้อย่างเหมาะสมเพื่อสามารถขับเคลื่อนองค์กรสู่ความสำเร็จแบบแข็งแกร่งและยั่งยืนต่อไป ซึ่งจากความสำเร็จที่ผ่านมานั้น บริษัทมั่นใจว่ากลยุทธ์ที่ได้ดำเนินมาโดยตลอดเป็นสิ่งที่ถูกต้องโดยการพัฒนาที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพบนทำเลศักยภาพสูงติดรถไฟฟ้า สามารถตอบสนองความต้องการของคนเมืองยุคใหม่ที่ต้องการความสะดวกสบายพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน พร้อมพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมต่างฯ มาปรับใช้ในโครงการเพื่อช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของคนเมืองให้ดียิ่งขึ้นในราคาที่สมเหตุผลและสามารถจับต้องได้ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังให้ความสำคัญในการดำเนินธุรกิจด้วยความระมัดระวังโดยการวางแผนทางการเงินอย่างรอบคอบตลอดเวลาพร้อมกระแสเงินสดในมือกว่า 13,000 ล้านบาทซึ่งสามารถนำไปลงทุนเพิ่มเติมเพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้ธุรกิจได้อย่างต่อเนื่องต่อไปในอนาคต   ซึ่งในปี 2562 บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าดำเนินธุรกิจด้วยกลยุทธ์พัฒนาคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้าโดยเพิ่มความระมัดระวังมากยิ่งขึ้น  ซึ่งยังคงได้รับความเชื่อมั่นและไว้วางใจจากพันธมิตรที่แข็งแกร่งอย่างบริษัท มิตซุย  ฟูโดซัง  จำกัดเป็นอย่างดีตั้งแต่เริ่มร่วมทุนในปี 2013–จนถึงปัจจุบันทำให้บริษัทเป็นอันดับหนึ่งที่มีมูลค่าการร่วมทุนสูงที่สุดในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของไทยนอกจากนี้ ยังมีแผนในการกระจายช่องทางรายได้โดยการเพิ่มพอร์ตจากธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำสม่ำเสมอ (Recurring Income) โดยอนันดาฯมองเห็นโอกาสในการขยายธุรกิจและเป็นการลงทุนที่มีรายได้ต่อเนื่องในระยะยาวจึงได้มีการเริ่มดำเนินโครงการเซอร์วิสอพาร์ทเม้นท์ที่เป็นการจับมือกับพันธมิตรระดับโลกอย่างดิ แอสคอทท์ ลิมิเต็ดซึ่งเป็นอันดับหนึ่งในผู้ประกอบการธุรกิจเซอร์วิสเรสซิเดนซ์ระดับลักชัวรี่ชั้นนำของโลกโดยมีรางวัลจำนวนมากการันตีโดยปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการพัฒนาโครงการเซอร์วิส อพาร์ทเม้นท์ 5 โครงการ ได้แก่ Somerset Rama 9, Ascott Embassy Sathorn, AscottThonglor, LYF Sukhumvit 8 และ โครงการล่าสุด อยู่ระหว่างดำเนินโครงการ ณ ชายหาดพัทยากลาง   “นอกจากนี้ในส่วนของกระแสเงินสดของบริษัทยังมีความแข็งแกร่งโดยมีนโยบายในการรักษาระดับเงินสดของกลุ่มรวมทั้งบริษัทร่วมทุนไว้ในระดับสูงกว่า 13,000 ล้านบาท ทั้งยังได้รับการสนับสนุนที่แข็งแกร่งและต่อเนื่องจากสถาบันการเงินชั้นนำ และมีทางเลือกในการจัดหาแหล่งเงินทุนที่หลากหลายสามารถเลือกใช้ได้ตามสถานการณ์ และถึงแม้ว่าบริษัทจะมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องแต่ก็ยังคงรักษาวินัยทางการเงินอย่างเข้มงวด โดยสามารถรักษาอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อทุนไว้ภายใต้เป้าหมายที่ 1:1”   ในปี 2561 บริษัทฯมีโครงการร่วมทุนเพิ่มขึ้น 5 โครงการ มูลค่ารวม 23,000 ล้านบาท คือ ไอดีโอ สาทร-วงเวียนใหญ่ ไอดีโอรัชดา-สุทธิสาร เอลลิโอ สาทร-วุฒากาศ ไอดีโอ โมบิ สุขุมวิท อีสพอยท์ และโครงการคอนโดมิเนียมย่านสะพานควาย ทั้งยังร่วมพัฒนาโครงการร่วมกับมิตซุย ฟูโดซัง โดยการลงทุนในธุรกิจเซอร์วิส อพาร์ทเม้นท์ 4 โครงการดังกล่าวมูลค่าการลงทุนทั้งหมด 10,000 ล้านบาท   บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายในการพัฒนาโครงการร่วมทุนเพิ่มขึ้น ด้วยมูลค่าโครงการร่วมทุนเกินกว่า 157,600 ล้านบาท ในปี 2562 จากปี 61 ที่มีมูลค่า 128,000 ล้านบาท ส่งผลให้บริษัทฯ สามารถรักษาตำแหน่งผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีมูลค่าโครงการร่วมทุนสูงที่สุดในประเทศ   บริษัทฯ ประสบความสำเร็จในการทำสถิติยอดขายใหม่ (นิวไฮ) การขายไปยังต่างประเทศจากโครงการใหม่และโครงการที่เปิดขายไปก่อนหน้า โดยมียอดขายถึง 10,000 ล้านบาท ในปี 2561 ซึ่งเติบโตขึ้นร้อยละ 4 จากปีก่อน   ในปี 2561 บริษัทฯ ประสบความสำเร็จสูงเกินคาดจากแผนการดำเนินงานที่ตั้งไว้ โดยนับว่าเป็นปีที่บริษัทสามารถสร้างสถิติใหม่ในส่วนของยอดโอนเป็นสถิติสูงสุดถึง 33,000 ล้านบาท เติบโตร้อยละ 120 จากปีก่อนหน้าและมียอดโอนในส่วนของลูกค้าต่างชาติที่สามารถทำสถิติสูงสุดเช่นกันที่ 6,300 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 300 จากปีก่อนหน้าในส่วนของแบ็คล็อค ณ สิ้นปี 2561 อยู่ที่ 41,000 ล้านบาทเพื่อรองรับการเติบโตของยอดโอนของบริษัทในระยะ 3 ปีข้างหน้าโดยปกติอัตราการขายคอนโดมิเนียมของบริษัทมีมากกว่า 90% ของสต๊อกซึ่งมีการขายภายในระยะเวลา 3 ปีนับตั้งแต่การเปิดตัวโครงการ สอดคล้องกับในช่วงหลายปีที่ผ่านมา นอกจากนี้เกือบ 70% ของสต็อกประกอบด้วยโครงการคอนโดมิเนียม และโครงการแนวราบกำลังอยู่ในระหว่างการก่อสร้างและคาดว่าจะขายเพื่อรองรับและรักษาอัตราการเติบโตของธุรกิจ     บริษัทฯ มีแผนเปิดโครงการใหม่ในปี 2562 จำนวน 10 โครงการ มูลค่ากว่า 38,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าร้อยละ 42 โดยเป็นโครงการคอนโดมิเนียม 8โครงการ ซึ่งเป็นโครงการร่วมทุนกับมิตซุย ฟูโดซัง 7 โครงการ และโครงการแนวราบ 2 โครงการ โดยตั้งเป้ายอดขายเพิ่มขึ้นร้อยละ14 อยู่ที่ 36,000 ล้านบาท จาก 31,500 ล้านบาท ในปีก่อน และตั้งเป้ายอดโอนเติบโตที่ร้อยละ 9 จากปีก่อนอยู่ที่ 36,000 ล้านบาท โดยในปี 2562 บริษัทฯ คาดว่ามีคอนโดมิเนียมที่จะก่อสร้างแล้วเสร็จและเริ่มโอน 10 โครงการเพิ่มเติมจากในปี 2561 ซึ่งมีคอนโดมิเนียมใหม่ที่สร้างแล้วเสร็จ และเริ่มโอนกว่า 10 โครงการ   ในปีนี้บริษัทได้กำหนดทิศทางกลยุทธ์การตลาด โดยให้ความสำคัญกับ 3 สิ่งที่สำคัญ ได้แก่   1.กลยุทธ์การบริหารจัดการโครงสร้าง และมาตรฐานของแต่ละแบรนด์สินค้า เพื่อให้มีจุดยืนที่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าแต่ละเซ็กเม้นท์ได้อย่างเหมาะสม ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ รูปแบบการใช้ชีวิตของผู้อยู่อาศัย ที่มีความแตกต่างในด้านความสนใจ รสนิยม และ กำลังซื้อ ครอบคลุมตั้งแต่โครงการระดับพรีเมี่ยมจนถึงโครงการที่ราคาคุ้มค่า จับต้องได้ และตอบโจทย์ทุกด้านในการใช้ชีวิต Ashton (Accessible Luxury Condominium) แบรนด์ Top-Tier ของอนันดา ที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์สุนทรียะของการอยู่อาศัย ใส่ใจในทุกรายละเอียด บนทำเลที่ดีที่สุด (Prime area) ของกรุงเทพ IDEO Q ( Premium Condominium ) โดดเด่นกับดีไซน์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ด้วยโลเคชั่นใจกลางเมือง สำหรับกลุ่มเป้าหมายที่มองหาที่อยู่อาศัยที่สะท้อนถึงความสำเร็จและความก้าวหน้าในชีวิต IDEO MOBI (Innovative Condominium) คอนโดที่เน้นการนำนวัตกรรมมาใช้ในการออกแบบ ให้มี Function การอยู่อาศัยที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น IDEO ( Mass Transit Condominium ) ที่อยู่อาศัยบนทำเลติดรถไฟฟ้า ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์พื้นที่ชีวิตที่ต้องการความสะดวก และสามารถใช้ชีวิตเต็มที่ในทุกด้าน Live-Work-Play ได้อย่างมีประสิทธิภาพ Elio (Value Condominium) คอนโดที่คุ้มค่า ราคาจับต้องได้ มีพื้นที่ส่วนกลางที่โดดเด่น เหมาะสำหรับกลุ่มเป้าหมายที่เป็นคนรุ่นใหม่ และกำลังมองหาที่อยู่อาศัยเพื่อเริ่มต้นการใช้ชีวิต เช่นเดียวกันกับ Housing Brand Portfolios ที่มีการวางรากฐานของแบรนด์เพื่อให้ครอบคลุมความต้องการของลูกค้าตั้งแต่ระดับพรีเมี่ยมจนถึงโครงการที่ราคาคุ้มค่า ภายใต้แบรนด์ Artale (บ้านเดี่ยวหรู ใจกลางเมือง) , Airi (บ้านเดี่ยวสมัยใหม่ สไตล์มินิมอล) , Arden (ทาวน์โฮมดีไซน์โดดเด่น ทำเลเมือง) และ Atoll (บ้านเดี่ยวสำหรับครอบครัวรุ่นใหม่)  เพื่อตอบโจทย์ความเป็น Urban Living Solutions ได้อย่างดีที่สุด   2.ขับเคลื่อนองค์กรและกลยุทธ์การตลาดด้วยแนวทางดิจิทัลเต็มรูปแบบ เชื่อมโยงสินค้าเข้าสู่ความต้องการของลูกค้าได้อย่างตรงจุด พร้อมมอบประสบการณ์ที่ดีให้กับกลุ่มลูกค้าในช่องทางต่างๆ โดยเฉพาะช่องทางดิจิทัลที่ในปัจจุบันสามารถเข้าถึงลูกค้าได้อย่างใกล้ชิด รวมทั้งยกระดับการทำการตลาดดิจิทัลไปสู่อีกขั้นภายใต้ความร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ระดับชั้นนำ   3.กลยุทธ์การเปิดโครงการใหม่ในปีนี้ จะเน้นไปที่กลุ่มลูกค้าระดับกลางจนถึงพรีเมี่ยมภายใต้แบรนด์ ไอดีโอ, ไอดีโอ คิว และ แอชตัน ซึ่งโครงการที่นำมาเปิดขายในปีนี้ ทางบริษัทฯ มั่นใจว่า จะได้รับการตอบรับที่ดีเหมือนอย่างเช่นเคย และยังมีโครงการที่มีมูลค่าโครงการสูงสุดเท่าที่อนันดาฯ เคยพัฒนามา   สำหรับโครงการที่เป็นไฮไลท์ในปีนี้ ได้แก่ โครงการ ไอดีโอ คิว พหล-สะพานควาย ตั้งอยู่ติดกับรถไฟฟ้าบีทีเอส สถานีสะพานควาย (0 เมตร) บนที่ดินขนาดประมาณ 5 ไร่  มีจำนวนห้องพักอาศัยทั้งหมด 1,114 ห้อง มูลค่าโครงการประมาณ 10,000 ล้านบาท แบ่งเป็น 3 อาคาร อาคารเอ มีจำนวนห้อง 396 ห้อง อาคารบี มีจำนวนห้อง 287 ห้อง และอาคารซี มีจำนวนห้อง 431 ห้อง ทั้งยังมีร้านค้าปลีก 5 ร้าน จุดเด่นของโครงการ คือ ติดรถไฟฟ้าบีทีเอส สถานีสะพานควาย โดยมีคอนเซ็ปต์ในการพัฒนามาจาก Urban -Human- Nature (เมือง-คน-ธรรมชาติ) Urban-คือการเชื่อมต่อ 0 เมตรจากรถไฟฟ้าบีทีเอสสถานีสะพานควาย Human– คือการเป็นโครงการที่ให้ความสำคัญเกี่ยวกับสุขภาพร่างกายของผู้อยู่อาศัย โดยจัดให้มีสิ่งอำนวยความสะดวก ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่สิ่งอำนวยความสะดวกประจำโครงการ, รูปลักษณ์โครงการ หรือ สังคมของผู้พักอาศัย ที่มุ่งเน้นถึงสุขภาพที่ดีของผู้อยู่อาศัย Nature–คือการผสมผสานธรรมชาติเข้าไปในรูปลักษณ์การดีไซน์ของตัวตึก โดยโครงการจะเปิด Presales กลางปีนี้ และ โครงการเซอร์วิส อพาร์ทเม้นต์ ณ ชายหาดพัทยากลางบนที่ดินขนาดประมาณ 4 ไร่ มีจำนวนห้องพัก 324 ห้อง มูลค่าโครงการเกือบ 2,000 ล้านบาท    
HQ เปิดตัวพื้นที่ทำงานสำหรับคนยุคใหม่แห่งแรกในไทย ณ อาคาร เอสพีอี ทาวเวอร์ พหลโยธิน

HQ เปิดตัวพื้นที่ทำงานสำหรับคนยุคใหม่แห่งแรกในไทย ณ อาคาร เอสพีอี ทาวเวอร์ พหลโยธิน

HQ เปิดตัวครั้งแรกเพื่อตอบโจทย์พื้นที่การทำงานที่ยืดหยุ่นได้และมีความสำคัญสำหรับเหล่าคนทำงาน ฟรีแลนซ์ และธุรกิจขนาดเล็กในประเทศไทย   HQ ผู้ให้บริการเช่าพื้นที่สำนักงานชั้นนำภายใต้เครือ IWG ผู้นำธุรกิจให้บริการเช่าพื้นที่สำนักงานระดับโลกและผู้ดำเนินการบริหารบริษัทพื้นที่ทำงานชั้นนำทั่วโลก ได้แก่ รีจัส และสเปซเซส เปิดตัวสาขาแรกในประเทศไทย ณ อาคาร เอสพีอี ทาวเวอร์ ถนนพหลโยธิน พื้นที่ทำงานแห่งใหม่นี้อยู่ใกล้กับสถานีรถไฟฟ้าสนามเป้าและห่างจากสถานีรถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ พญาไท เพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น   HQ มีเป้าหมายในการนำเสนอพื้นที่ทำงานสำหรับมืออาชีพและฟรีแลนซ์ในกรุงเทพฯ ด้วยสถานที่ที่เอื้ออำนวยต่อการทำงานและส่งมอบคุณค่าที่เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินธุรกิจ โดยสาขาแรกนี้ตั้งอยู่บนชั้น 10 ของอาคารเอสพีอี ทาวเวอร์ แบ่งเป็นพื้นที่สำนักงาน 910 ตารางเมตร ประกอบไปด้วยห้องทำงาน 60 ห้อง พื้นที่ทำงาน 188 ที่นั่ง และห้องประชุม 2 ห้อง มาพร้อมกับทางออกของการทำงานที่ปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการการใช้พื้นที่ทำงานทุกรูปแบบไม่ว่าจะเป็นโคเวิร์คกิ้ง เลานจ์ ออฟฟิศส่วนตัว และห้องประชุม   คุณโนเอล โค้ก ผู้อำนวยการใหญ่ HQ ประจำประเทศไทย กล่าวว่า “เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ความสำเร็จของสเปซเซสและรีจัสในประเทศไทยได้ปูทางให้เราเปิดตัว HQ สาขาแรกในกรุงเทพฯ สาขาใหม่นี้ซึ่งตอบโจทย์พื้นที่ทำงานที่ยืดหยุ่นได้และมีความสำคัญสำหรับเหล่าคนทำงาน ฟรีแลนซ์ และธุรกิจขนาดเล็กในประเทศไทยเรามั่นใจว่า แบรนด์ HQ จะเป็นอีกหนึ่งแบรนด์เวิร์คสเปซระดับโลกที่ตอบสนองความต้องการพื้นที่ทำงานในกรุงเทพฯได้เป็นอย่างดี”   เอชคิวนำเสนอคอนเซ็ปต์หลัก 3 คอนเซ็ปต์ ได้แก่ ออกแบบมาเพื่อการทำงานที่มีประสิทธิภาพ – HQ ช่วยอำนวยความสะดวกให้ลูกค้าในการดำเนินธุรกิจและทำงานชิ้นสำคัญ โดยปราศจากการรบกวน ความยุ่งยาก ปัญหาเรื่องเทคโนโลยี และราคาที่ไม่แพงเกินไป พื้นที่ทำงานสำหรับทุกคน – HQ ออกแบบมาเพื่อให้เหมาะกับทุกคนตั้งแต่องค์กรธุรกิจขนาดใหญ่ไปจนถึงฟรีแลนซ์ต่างๆ แม้ว่าลูกค้าจะต้องการพื้นที่ทำงานสำหรับ 1 คน หรือ 1,000 คน เวิร์คสเปซแห่งนี้นำเสนอเงื่อนไขการใช้งานต่างๆ ที่สามารถปรับเปลี่ยนได้และมีราคาที่เหมาะสมเพื่อให้ทุกคนมาใช้บริการได้ ง่ายต่อการใช้งาน – HQ มีแอพพลิเคชั่นที่ลูกค้าสามารถจองห้องประชุมหรือจองพื้นที่ทำงานได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทุกวัน ง่ายๆ เพียงปลายนิ้ว   “HQ เล็งเห็นว่าประเทศไทยเป็นตลาดที่กำลังขยายตัวด้วยจำนวนที่เพิ่มขึ้นของคนทำงานยุคใหม่แบบไร้ออฟฟิศขณะเดียวกันบริษัทเองก็ได้รับผลดีจากความยืดหยุ่นที่เพิ่มขึ้น ลดค่าใช้จ่ายการเช่าสถานที่ ตลอดจนเพิ่มความสุขในการทำงานให้แก่พนักงาน HQ มีวิสัยทัศน์ที่จะนำข้อดีเหล่านี้มาใช้เพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับธุรกิจทุกขนาดและทุกขั้นตอน ยกตัวอย่างเช่น ฟรีแลนซ์และเจ้าของธุรกิจเอสเอ็มอีที่ต้องการย้ายที่นั่งทำงานจากห้องนั่งเล่นหรือร้านกาแฟแถวบ้านมาเป็นสถานที่ทำงานที่สะท้อนความเป็นมืออาชีพ HQ นำเสนอความต้องการพื้นฐานที่ช่วยสนับสนุนให้การทำงานประสบผลสำเร็จและได้ผลงานที่มีคุณภาพ ตลอดจนส่งมอบคุณค่าที่ช่วยผลักดันให้ธุรกิจเติบโตมากยิ่งขึ้น” คุณโนเอล กล่าวเพิ่มเติม          
“พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค” ประกาศแผนปี 62 เดินหน้ากลยุทธ์ด้านสิ่งแวดล้อม

“พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค” ประกาศแผนปี 62 เดินหน้ากลยุทธ์ด้านสิ่งแวดล้อม

“พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค” เดินหน้ากลยุทธ์การพัฒนาโครงการสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีอย่างยั่งยืน ต่อยอดการดำเนินงานด้านการจัดการสิ่งแวดล้อมและประหยัดพลังงาน เพื่อส่งมอบคุณภาพชีวิตที่ดีแก่ผู้อยู่อาศัย ด้านทิศทางธุรกิจปี 2562 วางเป้าขายของกลุ่มบริษัทที่ 21,600 ล้าน เปิดโครงการใหม่รวม 20 โครงการ มูลค่า 38,400 ล้าน    นายชายนิด อรรถญาณสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร นายวงศกรณ์ ประสิทธิ์วิภาต กรรมการผู้จัดการ และ นางสาวศิริรัตน์ วงศ์วัฒนา ประธานเจ้าหน้าที่กลุ่มการเงิน บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) แถลงถึงแผนธุรกิจของกลุ่มบริษัท โดยกลยุทธ์ในปีนี้จะเดินหน้าต่อยอดการพัฒนาโครงการที่คำนึงถึงการรักษาสิ่งแวดล้อมให้ดีอย่างยั่งยืนและการอนุรักษ์พลังงานอย่างจริงจัง เพื่อสร้างมาตรฐานใหม่ของการอยู่อาศัย เริ่มตั้งแต่การเปิดตัวโครงการบ้านนวัตกรรมภายใต้เทคโนโลยีที่ดีที่สุดของญี่ปุ่น ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมตั้งแต่ขั้นตอนการก่อสร้างไปจนถึงการอยู่อาศัยได้อย่างสบาย และปลอดภัยจากปัญหามลพิษ โดยความร่วมมือกับ เซกิซุย เคมิคอล ประเทศญี่ปุ่น บริษัทยังได้ร่วมกับ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) ซึ่งมีความเชี่ยวชาญทางด้านพลังงาน ในการนำเทคโนโลยีด้าน Smart Energy ได้แก่ EV Wall Charger (เป็นผลิตภัณฑ์ที่ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ PTTOR และ ปตท.ได้ร่วมกันพัฒนาขึ้น โดยเข้ามาเป็นมาตรฐานใหม่ในกลุ่มบ้านระดับไฮเอนด์ และรองรับมาตรฐาน EV Ready ในบ้านระดับทั่วไป) และอยู่ในระหว่างการพัฒนาโครงการและหารือกับปตท. ในการนำเทคโนโลยีการจัดการพลังงาน (Smart energy monitoring and management) โดยใช้ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) และพลังงานหมุนเวียน เช่น Solar PV เพื่อนำมาให้บริการในโครงการของ พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค เป็นครั้งแรกในอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย   บริษัทยังจะมีแนวทางการดำเนินงานที่ให้ความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อม ได้แก่ การเดินหน้าต่อเนื่อง สร้างพื้นที่ทะเลสาบ อีก 3 แห่ง รวมเป็นพื้นที่ 183 ไร่ เพื่อช่วยลดอุณหภูมิในโครงการ มีแผนเพิ่มพื้นที่สีเขียวในโครงการ โดยเพิ่มต้นไม้เพื่อช่วยฟอกอากาศ การจัดการขยะภายในโครงการ โดยเพิ่มจำนวนบ้านที่ก่อสร้างด้วยระบบพรีแฟบ เป็น 80% ของจำนวนบ้านทั้งหมด หรือ 2,000 หลังในปีนี้ เพื่อลดปัญหาเศษวัสดุที่เกิดจากงานก่อสร้าง มีการติดตั้งเครื่องตรวจวัดคุณภาพอากาศภายในโครงการ ด้านประหยัดพลังงาน มีแนวคิดอาคารประหยัดพลังงาน โดยติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ทั้งคลับเฮ้าส์และสำนักงานขาย ผลิตไฟฟ้าจากแสง อาทิตย์เพื่อนำมาใช้ในอาคาร และเปลี่ยนหลอดไฟทั้งหมดเป็นหลอดประหยัดไฟรวมทั้งติดตั้งโคมไฟถนนอัจฉริยะที่ทำงานอัตโนมัติ มีกล้อง CCTV ใช้พลังงานจากโซล่าเซล     สำหรับแผนงานในส่วนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ปีนี้กลุ่มบริษัทตั้งเป้าขาย 21,600 ล้านบาท ประกอบด้วย เป้าขายของ พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค 20,500 ล้านบาท จากโครงการแนวราบ 12,000 ล้านบาท คอนโดมิเนียม 7,000ล้านบาท และคอนโดประเทศญี่ปุ่น 1,500 ล้านบาท สำหรับเป้าขาย แกรนด์ แอสเสทฯ ตั้งไว้ที่ 1,100 ล้านบาท การเปิดโครงการใหม่ ปีนี้ พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค มีแผนเปิด 17 โครงการ มูลค่า 20,000 ล้านบาท เป็นแนวราบ 16 โครงการ 18,000 ล้านบาท และคอนโดมิเนียม 1 โครงการ 2,000 ล้านบาท ขณะที่แกรนด์ แอสเสทฯ มีแผนเปิดโครงการใหม่ 3 โครงการ มูลค่า 18,300 ล้านบาท เป็นคอนโดมิเนียม 2 โครงการ มูลค่า 16,000 ล้านบาท และโครงการวิลล่าจังหวัดระยอง มูลค่า 2,300 ล้านบาท   นอกเหนือจากการเปิดตัวโครงการบ้านนวตกรรมระบบโมดูลาร์ ภายใต้ความร่วมมือกับ เซกิซุย เคมิคอล ในเดือนมีนาคมนี้ พร้อมกันใน 4 ทำเล ได้แก่ กรุงเทพกรีฑา, รามคำแหง, แจ้งวัฒนะ และรัตนาธิเบศร์ รวมมูลค่า 2,200 ล้านบาท ในไตรมาส 4 บริษัทยังจะมีการเปิดตัวโครงการบ้านเดี่ยวไฮเอนด์ภายใต้ความร่วมมือกับ ฮ่องกง แลนด์ ทำเลแจ้งวัฒนะ มูลค่า 10,000 ล้านบาท และ ทำเลบางนามูลค่า 5,000 ล้านบาท ด้านโครงการคอนโดมิเนียมภายใต้ความร่วมมือกับ ซูมิโตโม ฟอเรสทรี ได้แก่ โครงการไฮด์ เฮอริเทจ ทองหล่อ คอนโดมิเนียมไฮเอนด์ มูลค่าโครงการ 6,000 ล้านบาท กำหนดเปิดตัวในเดือนกุมภาพันธ์ และมีแผนเปิดตัวคอนโดมิเนียมริมแม่น้ำเจ้าพระยา ถนนเจริญนคร มูลค่าโครงการ 10,000 ล้านบาท ในไตรมาส 4/2562 อีกด้วย   สำหรับประมาณการรายได้ของกลุ่มบริษัทปีนี้ ตั้งไว้ที่ 27,555 ล้านบาท ประกอบด้วยรายได้ของ พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค 20,000 ล้านบาท รายได้ของ แกรนด์ แอสเสทฯ 1,100 ล้านบาท รายได้จากธุรกิจโรงแรม 4,500 ล้านบาท รายได้จากการขายที่ดิน 1,740 ล้านบาท และจากธุรกิจให้เช่าอีก 215 ล้านบาท โดยมั่นใจว่าจะสามารถทำได้ตามเป้าซึ่งปีนี้ กลุ่มบริษัทมียอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) อยู่ถึง 32.29% หรือ6,813 ล้านบาท ในส่วนของธุรกิจโรงแรมของกลุ่มบริษัท ปีนี้ประมาณการรายได้จากธุรกิจโรงแรมจะเพิ่มขึ้นจากโรงแรมรอยัล ออคิด เชอราตัน ซึ่งได้รับผลจากการเปิดตัวของไอคอนสยาม นอกจากนี้ ยังจะเพิ่มขึ้นจากการเปิดตัวโรงแรมไฮแอท รีเจนซี่ สุขุมวิท อย่างเป็นทางการของในเดือนมีนาคมนี้ พร้อมทั้งยังมีการเปิดบริการห้องอาหารรูฟท็อป และเน้นธุรกิจ MICE เพื่อเพิ่มรายได้ในส่วนของอาหารและเครื่องดื่ม