Tag : ข่าวอสังหา

9 ผลลัพธ์
โอกาสในตลาดที่พักอาศัยให้เช่าใจกลางกรุงเทพฯ

โอกาสในตลาดที่พักอาศัยให้เช่าใจกลางกรุงเทพฯ

ซีบีอาร์อี บริษัทที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำระดับโลกเผยตลาดที่พักอาศัยให้เช่าในย่านใจกลางกรุงเทพมหานครเป็นตลาดที่ขับเคลื่อนโดยผู้เช่าชาวต่างชาติที่ทำงานอยู่ในประเทศไทย ซึ่งต้องการเช่าที่พักอาศัยในไม่กี่ทำเลเท่านั้น และมักจะเลือกเช่าอพาร์ตเมนต์ คอนโดมิเนียม หรือเซอร์วิส อพาร์ตเมนต์เป็นหลักจำนวนชาวต่างชาติที่ทำงานในประเทศไทยนั้นเพิ่มขึ้นต่อเนื่องอย่างช้าๆ และงบประมาณโดยเฉลี่ยต่อเดือนที่ผู้เช่ายินดีที่จะจ่ายเพื่อเช่าที่พักอาศัยไม่ได้มีการปรับเพิ่มขึ้นมาเป็นระยะเวลาหลายปีแล้ว หากพิจารณาในด้านปริมาณที่พักอาศัยให้เช่านั้น แผนกวิจัย ซีบีอาร์อี พบว่า อพาร์ตเมนต์ใหม่ที่กำลังอยู่ระหว่างการก่อสร้างมีจำนวนไม่มากนักต่างจากคอนโดมิเนียมใหม่ที่มีจำนวนมาก ที่พักอาศัยให้เช่ามีปริมาณเพิ่มขึ้นมากแต่ความต้องการกลับเพิ่มขึ้นในปริมาณที่จำกัด ทำให้เกิดการแข่งขันในตลาด  ทว่ายังคงมีโอกาสสำหรับผู้พัฒนาโครงการอพาร์ตเมนต์และนักลงทุนที่ซื้อคอนโดมิเนียมเพื่อปล่อยเช่า  ปัจจัยสำคัญก็คือการเข้าใจในความต้องการของผู้เช่า เพื่อให้ประสบความสำเร็จในการปล่อยเช่าและได้รับค่าเช่าในอัตราที่สูง การหมุนเวียนของผู้เช่าชาวต่างชาติเกิดขึ้นอยู่เสมอ เพราะระยะเวลาเฉลี่ยในการทำงานในไทยอยู่ที่ประมาณ 3 ปี ซึ่งหมายถึงว่าจะมีผู้เช่ารายใหม่ตัดสินเลือกว่าอยากจะพักอาศัยในทำเลใดอยู่เสมอ จากการสำรวจโดยแผนกวิจัย ซีบีอาร์อี ณ ไตรมาส 2 ปี 2561 พบว่า มีอพาร์ตเมนต์ราว 10,000 ยูนิตในย่านที่เป็นที่นิยมสำหรับผู้เช่าต่างชาติอย่างสุขุมวิท ลุมพินี และสาทร  ขณะที่คอนโดมิเนียมมีอยู่ราว 76,000 ยูนิตในย่านเดียวกัน โดยแผนกวิจัย ซีบีอาร์อี ประเมินว่าคอนโดมิเนียมราว 25,000 - 30,000 ยูนิตเป็นของนักลงทุนที่ซื้อไว้เพื่อปล่อยเช่า ผู้เช่าโดยเฉพาะชาวญี่ปุ่นนิยมพักอาศัยในอพาร์ตเมนต์ที่มีเจ้าของเพียงผู้เดียวมากกว่าเช่าคอนโดมิเนียม เพราะสามารถพูดคุยกับตัวแทนเจ้าของห้องได้ในทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการบำรุงรักษาต่างๆ ในขณะที่ถ้าเป็นคอนโดมิเนียม ผู้จัดการอาคารมีหน้าที่รับผิดชอบในการดูแลรักษาเฉพาะพื้นที่ส่วนกลาง และเจ้าของห้องจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบดูแลพื้นที่ภายในห้อง ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ยากกว่าสำหรับผู้เช่าในการซ่อมแซมสิ่งต่างๆ ภายในห้องพักในกรุงเทพฯ มีเจ้าของคอนโดมิเนียมเพียงไม่กี่แห่งที่ว่าจ้างตัวแทนเพื่อดูแลห้อง รวมถึงการเจรจาในเรื่องต่างๆ กับผู้เช่า   โดยทั่วไปผู้เช่าคอนโดมิเนียมจะต้องติดต่อกับเจ้าของห้องโดยตรงในทุกเรื่องที่เกี่ยวกับภายในห้องพัก และเจ้าของห้องก็มีความสามารถในการจัดการเรื่องการบำรุงรักษาแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับประสบการณ์แต่ละคน และจะเป็นเรื่องที่ยากขึ้นไปอีกหากเจ้าของห้องไม่ได้อาศัยอยู่ในไทย  เฉพาะในกรณีที่คอนโดมิเนียมนั้นบริหารจัดการโดยเครือโรงแรมและมีส่วนงานบริการลูกค้าแยกออกมาโดยเฉพาะ ซึ่งเจ้าของห้องจะต้องจ่ายค่าบริหารจัดการพื้นที่ส่วนกลางสูงเป็นพิเศษ ฝ่ายบริหารอาคารก็จะดูแลในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการบำรุงรักษาภายในห้องควบคู่ไปด้วยด้านเจ้าของอพาร์ตเมนต์ที่ตั้งอยู่ในย่านยอดนิยมของผู้เช่าชาวต่างชาติและมีความเข้าใจในความต้องการของผู้เช่าจะยังคงประสบความสำเร็จในการปล่อยเช่า มีอัตราการเข้าพักในระดับสูง และได้รับค่าเช่าในอัตราที่ดี นายธีราธร ประพันธ์พงศ์ หัวหน้าแผนกให้เช่าที่พักอาศัย ซีบีอาร์อี ประเทศไทย ได้เป็นที่ปรึกษาให้แก่เจ้าของอพาร์ตเมนต์ใหม่ 2 แห่งในเรื่องการออกแบบและการเลือกใช้วัสดุในการพัฒนาโครงการ รวมทั้งได้รับการแต่งตั้งให้เป็นตัวแทนแต่เพียงผู้เดียวในการปล่อยเช่า โครงการแรกคือ ปิยะ เรสซิเดนซ์ ตั้งอยู่ในซอยสุขุมวิท 28 และ 30 สร้างแล้วเสร็จเมื่อไตรมาส 1 ปี 2561 เจ้าของโครงการได้ปรับผังห้องและขนาดห้องเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งานและเพื่อให้ได้รับค่าเช่าต่อตารางเมตรสูงสุด โดยปัจจุบันสามารถปล่อยเช่าได้แล้วกว่า 60% อีกโครงการคือ ฌาณิ เรสซิเดนซ์  ในซอยทองหล่อ 13 สร้างแล้วเสร็จเมื่อปี 2560 โครงการนี้ได้รับการออกแบบให้ตรงกับความต้องการของผู้เช่าชาวญี่ปุ่นและปัจจุบันสามารถปล่อยเช่าได้แล้วมากกว่า 70% ทั้งสองโครงการ ส่วนใหญ่เป็นยูนิตขนาด 2 และ 3 ห้องนอน ซึ่งเป็นขนาดห้องที่มีความต้องการอยู่มากในตลาด เพราะคอนโดมิเนียมใหม่ที่นำมาปล่อยเช่านั้นส่วนใหญ่มักเป็นขนาด 1 ห้องนอน   นอกจากนี้ นายธีราธรยังเป็นที่ปรึกษาให้แก่โครงการอพาร์ตเมนต์แห่งใหม่ล่าสุด จิติมนต์ เรสซิเด้นซ์ ในซอยทองหล่อ 16 ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จพร้อมเข้าอยู่ในช่วงต้นปี 2562 อพาร์ตเมนต์ใหม่แห่งนี้สูง 8 ชั้นประกอบด้วยยูนิตขนาดตั้งแต่ 1 - 3 ห้องนอน และจุดเด่นที่สำคัญคือมีความหนาแน่นน้อย และมีสวนขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่แตกต่างจากโครงการอื่นๆ ในตลาดที่เจ้าของอพาร์ตเมนต์ส่วนใหญ่ต่างต้องการใช้พื้นที่ให้ได้ประโยชน์มากที่สุด ปัจจัยที่สำคัญมากที่สุดประการหนึ่งที่จะทำให้ประสบความสำเร็จในการปล่อยเช่าอพาร์ตเมนต์ คือ การพัฒนาโครงการที่ตรงกับความต้องการของลูกค้าทั้งในเรื่องขนาดห้อง ผังห้อง วัสดุอุปกรณ์ ทำเลที่ตั้ง และสิ่งอำนวยความสะดวก   “การที่ซีบีอาร์อีสามารถให้คำแนะนำที่นำไปปรับใช้ได้จริงให้กับเจ้าของอพาร์ตเมนต์ได้นั้นมาจากฐานข้อมูลจริงที่บริษัทรวบรวมจากการปล่อยเช่าให้กับผู้เช่าชาวต่างชาติมากกว่า 1,000 คนในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ทำให้รู้ว่าผู้เช่าต้องการอะไรจริงๆ และมีงบประมาณมากเพียงใด” นายธีราธรกล่าวเพิ่มเติม ตลาดที่พักอาศัยให้เช่าในย่านใจกลางกรุงเทพฯ จะยังคงมีการแข่งขันที่สูงอย่างต่อเนื่อง ทั้งเจ้าของอพาร์ตเมนต์และเจ้าของคอนโดมิเนียมให้เช่าจำเป็นต้องรักษาและปรับปรุงห้องพักและพื้นที่ส่วนกลางให้ดีอยู่เสมอ เพื่อทำให้ห้องพักของตนนั้นมีความน่าสนใจและดึงดูดผู้เช่าได้
ตลาดอาคารสำนักงานคาดแข่งขันเดือด อุปทานใหม่เตรียมจ่อเข้าตลาดอีกกว่า 3.5 แสน ตร.ม.

ตลาดอาคารสำนักงานคาดแข่งขันเดือด อุปทานใหม่เตรียมจ่อเข้าตลาดอีกกว่า 3.5 แสน ตร.ม.

เน็กซัสเผย ตลาดอาคารสำนักงานในย่านธุรกิจมีแนวโน้มในการแข่งดุ ปัจจุบันพบว่าตลาดอาคารสำนักงานในย่านธุรกิจมี อัตราว่างของพื้นที่เช่า อยู่ในระดับต่ำ ค่าเช่าสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง คาดว่าในอีก 3-4 ปีข้างหน้า การแข่งขันจะดุเดือดยิ่งขึ้น เนื่องจากมีอุปทานใหม่เกิดขึ้นในตลาดอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าอุปทานที่เพิ่มขึ้นจะสูงขึ้นกว่า 30 เปอร์เซ็นต์ จาก 1.175 ล้านตารางเมตร แนะเจ้าของอาคารเก่าควรปรับปรุงอาคารให้ทันสมัยอยู่เสมอ เพื่ออัตราค่าเช่าที่ดีขึ้น นายธีระวิทย์ ลิ้มทองสกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เน็กซัส เรียลเอสเตท แอ็ดไวเซอรี่ จำกัด กล่าวว่า “หากเรามองย้อนกลับไปในช่วง 10 ปีที่ที่ผ่านมา จะพบว่าอัตราว่างเฉลี่ยของพื้นที่เช่าสำนักงานอยู่ที่ประมาณไม่เกิน 10% ซึ่งถือว่าเป็นอยู่ในระดับที่ต่ำแล้ว แต่ในปัจจุบันพบว่าอัตราว่างกลับน้อยลงไปอีก คือ มีอัตราว่างเพียง  7-8% เท่านั้น และยังมีแนวโน้มที่จะลดลงอย่างต่อเนื่อง ทั้งหมดเป็นผลมาจากการเกิดขึ้นของบริษัทต่างๆ มีมากขึ้น มีการลงทุนของต่างชาติที่เข้ามาเช่าพื้นที่อาคารสำนักงานมากขึ้น และการเติบโตของธุรกิจของไทย โดยเฉพาะในกรุงเทพเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเมื่ออุปทานในตลาดมีอยู่อย่างจำกัดทำให้อัตราว่างของอาคารสำนักงานมีน้อยลงนั่นเอง” แต่สถานการณ์ดังกล่าว จะคงอยู่อีกไม่นานนัก เนื่องจากในปัจจุบันมีการเปิดตัวเมกกะโปรเจกต์มากมาย โดยเฉพาะบริเวณถนนพระรามที่ 4 ที่จะมีอาคารสำนักงานเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 3 โครงการ คือ สามย่านมิตรทาวน์ วัน แบงคอก และเดอะ ปาร์ค โดยทั้ง 3 โครงการนี้ คาดว่าจะมีพื้นที่เช่ารวมประมาณ 350,000 ตารางเมตร หรือคิดเป็นประมาณ 30% ของพื้นที่เช่าสำนักงานเกรดเอ ในย่านศูนย์กลางธุรกิจ โดยแต่ละโครงการจะถูกสร้างเสร็จในเวลาที่ไล่เลี่ยกัน ซึ่งจะ ส่งผลให้อุปสงค์ในตลาดอาคารสำนักงานจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในอีก 3-4 ปีข้างหน้า นั่นจะส่งผลกระทบให้ตัวเลขอัตราว่างของพื้นที่เช่าอาคารสำนักงานอาจสูงขึ้นมากกว่า 10% เป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี   แต่อย่างไรก็ตาม ตัวเลขของอัตราการว่างของอาคารสำนักงานเกรดเอที่มีอัตราเฉลี่ยสิบกว่า เป็นตัวเลขระดับค่าเฉลี่ยมาตรฐานที่เมื่อเปรียบเทียบกับตัวเลขของทั้งภูมิภาคเอเชีย จากการสำรวจของ Cushman & Wakefield ซึ่งเป็นบริษัทพันธมิตรของเน็กซัสฯ พบว่า อัตราว่างของพื้นที่เช่าอาคารสำนักงานเกรดเอ ในย่านธุรกิจของไตรมาสที่ 2 ยังคงอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกัน และอัตราว่างของกรุงเทพฯ อยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจเมื่อเทียบกับประเทศในเอเชีย ไม่ว่าจะเป็น สิงคโปร์ ฮ่องกง เซี่ยงไฮ้ หรือแม้กระทั่งปักกิ่ง เมื่อพิจารณาด้านราคาค่าเช่าอาคารสำนักงานเกรดเอ ในกรุงเทพ พบว่าในไตรมาสที่ 3 อัตราค่าเช่าของอาคารสำนักงานเกรดเอ ทั้งในและนอกย่านศูนย์กลางธุรกิจนั้น ยังคงสร้างสถิติสูงสุดใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยที่ค่าเช่าสูงสุดในปัจจุบันอยู่ที่ 1,500 บาท/ตารางเมตร/เดือน และราคาเฉลี่ยที่ 980 บาท/ตารางเมตร/เดือน นอกจากนี้ยังพบว่า อายุเฉลี่ยของอาคารสำนักงานเกรดเอ ในย่านศูนย์กลางธุรกิจจะอยู่ที่ประมาณ 17 ปี ดังนั้นบางอาคารเริ่มมีแผนปรับปรุงอาคารที่ชัดเจน หรือมีแผนสร้างอาคารใหม่ทดแทนของเดิม เพื่อเพิ่มศักยภาพและยกระดับอาคารให้ตอบสนองกับความต้องการที่เปลี่ยนไปในปัจจุบัน ทั้งนี้เพราะอายุของอาคารสำนักงานจะส่งผลต่อราคาค่าเช่าด้วย โดยเราพบว่าอาคารสำนักงานใหม่ที่อายุไม่เกิน 5 ปี สามารถทำราคาค่าเช่าเฉลี่ยได้สูงถึง 1,200 บาท/ตารางเมตร/เดือน ทำให้ผู้ประกอบการหลายรายเริ่มปรับปรุงพื้นที่เพื่อให้ได้ค่าเช่าที่สูงขึ้น โดยเฉพาะอาคารเกรดบี โดยเฉพาะในย่านสีลม ซึ่งในอนาคต โดยเราคาดว่าในย่านสีลมจะมีการพัฒนาอาคารสำนักงานเกรดเอให้เห็นเพิ่มมากขึ้นจากปัจจุบัน    
พลัส พร็อพเพอร์ตี้ เผยพบกำลังซื้อที่อยู่อาศัยนครปฐมมาแรง คอนโดฯ เติบโตสูงสุดรองรับดีมานด์ซื้ออยู่จริง-ปล่อยเช่ารอบมหาวิทยาลัย

พลัส พร็อพเพอร์ตี้ เผยพบกำลังซื้อที่อยู่อาศัยนครปฐมมาแรง คอนโดฯ เติบโตสูงสุดรองรับดีมานด์ซื้ออยู่จริง-ปล่อยเช่ารอบมหาวิทยาลัย

พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เผยผลสำรวจอสังหาริมทรัพย์ พื้นที่ จ.นครปฐม มีกำลังซื้อเติบโตโดดเด่น โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมโซน พุทธมณฑล กำแพงแสน และตัวเมืองนครปฐม เหตุเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยชื่อดัง ดึงดูดกำลังซื้อจาก อาจารย์- บุคลากรในมหาวิทยาลัย ผู้ปกครองซื้อให้บุตรหลาน และกลุ่มนักลงทุนที่ซื้อไว้ปล่อยเช่า ส่งผลยอดขายคอนโดมิเนียมเติบโตดีสุดในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา ชี้ทิศทางในอนาคตสดใสจากปัจจัยบวกภาครัฐพัฒนาโครงการคมนาคม อาทิรถไฟรางคู่ รถไฟความเร็วสูง และมอเตอร์เวย์ ช่วยหนุนราคาอสังหาริมทรัพย์เติบโตต่อเนื่อง  นายอนุกูล รัฐพิทักษ์สันติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดเผยว่า จากการสำรวจตลาดอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่ จ.นครปฐม  ล่าสุดเมื่อเดือนมิถุนายน 2560 พบว่ามีกำลังซื้อที่เติบโตอย่างน่าสนใจ โดยเฉพาะในโซนพุทธมณฑล กำแพงแสน และตัวเมืองนครปฐม ในบริเวณใกล้กับมหาวิทยาลัย เช่น มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขต กำแพงแสน และมหาวิทยาลัยศิลปากร พระราชวังสนามจันทร์  ซึ่งโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่ถูกพัฒนารอบสถานศึกษา ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือประเภทคอนโดมิเนียม รองลงมาคือทาวน์เฮ้าส์ และบ้านเดี่ยว ทั้งนี้ จากการสำรวจตลาดอสังหาฯ จังหวัดนครปฐม ในรอบสำรวจ มิถุนายน 2560 พบอุปทานเสนอขายในตลาดทั้งหมด 14,783 ยูนิต จาก 77 โครงการ ด้านอุปสงค์ตอบรับแล้ว 75% ทั้งนี้ ส่วนใหญ่เน้นเสนอขายโครงการคอนโดมิเนียม รองลงมาคือ ทาวน์เฮาส์ และบ้านเดี่ยว โดยคอนโดมิเนียม มีจำนวนอุปทาน 9,625 ยูนิต (ส่วนแบ่ง 65%) , ทาวน์เฮาส์ 2,884 ยูนิต (ส่วนแบ่ง 20%) และบ้านเดี่ยว 2,774 ยูนิต (ส่วนแบ่ง 15%) โดยเฉลี่ยเปิดขายแล้วประมาณ 2-3 ปี ตลาดคอนโดมิเนียม  มีจำนวนยูนิตเสนอขายสูงสุดในพื้นที่นี้ เริ่มพบคอนโดมิเนียมโครงการใหม่เข้าสู่ตลาดในช่วง 2-3 ปีก่อน เน้นกลุ่มดีมานด์จากอาจารย์ บุคลากรในมหาวิทยาลัย รวมถึงผู้ปกครองที่ซื้อไว้ให้บุตรหลานพักอาศัย ซึ่งเป็นกลุ่มดีมานด์ที่มีแนวโน้มเติบโตขึ้นเรื่อยๆ โดยในรอบสำรวจนี้พบว่าตลาดคอนโดฯมีอัตราการดูดซับดี ยอดขายได้สูง  ประมาณ 10.1 ยูนิตต่อเดือนต่อโครงการ ส่วนโครงการแนวราบ พบว่าตลาดทาวน์เฮาส์  อุปทานส่วนใหญ่อยู่ในโซนพุทธมณฑล ในราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท พบอัตราการดูดซับเฉลี่ย 3.66 ยูนิตต่อเดือนต่อโครงการ สำหรับตลาดคอนโดมีแนวโน้มดูดซับได้ดีขึ้น เนื่องจากมีการดึงส่วนแบ่งอุปสงค์จากทาวน์เฮาส์ เนื่องจากคอนโดมิเนียมมีสิ่งอำนวยความสะดวก และรูปแบบโครงการที่สวยงามกว่า และคอนโดมิเนียมยังสามารถนำไปปล่อยเช่าได้ง่ายกว่า ตลาดบ้านเดี่ยว ส่วนใหญ่อยู่ในโซนพุทธมณฑล ในราคา 3 - 5 ล้านบาท อุปสงค์ตอบรับได้ช้า เป็นอุปสงค์จากโครงการเก่าที่เปิดขายมานาน ประมาณ 2-3 ปี อัตราการดูดซับเฉลี่ยอยู่ที่ 1.5 ยูนิตต่อเดือนต่อโครงการ   หากพิจารณาถึงทำเลบริเวณมหาวิทยาลัย พบว่าในแต่ละปีจะมีจำนวนนิสิต นักศึกษาที่เข้ามา ในแต่ละโซนเป็นจำนวนมาก ประมาณ 36,000 คนต่อปี โดยเป็นนิสิตมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กำแพงแสน มากที่สุด ประมาณ 14,000 คน รองลงมามหาวิทยาลัยศิลปากร พระราชวังสนามจันทร์ ประมาณ 13,000 คน และนักศึกษามหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา ประมาณ 9,000 คน   สำหรับในทำเลกำแพงแสน ยังไม่พบจำนวนคอนโดมิเนียมมากนัก แต่จำนวนดีมานด์ที่เข้ามาในแต่ละปียังมีจำนวนมากเนื่องจากมีนักศึกษาจำนวนมาก จากการสำรวจพบว่าราคาขายเฉลี่ยของโครงการคอนโดมิเนียมในปัจจุบัน อยู่ที่ 50,000 – 60,000 บาทต่อตารางเมตร สำหรับรูปแบบ 1 ห้องนอน ขนาด 27 - 30 ตารางเมตร หากนำมาปล่อยเช่าจะได้ค่าเช่าเฉลี่ย 6,000 - 7,000 บาทต่อเดือน หรือคิดเป็นผลตอบแทนจากการปล่อยเช่าอยู่ที่ 5-6% ต่อปี   “ภาพรวมตลาดอสังหาฯ ในพื้นที่นครปฐมเริ่มเติบโตอย่างน่าสนใจ โดยตลาดคอนโดมิเนียมมีแนวโน้มเติบโตกว่าตลาดอื่นๆ ซึ่งช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมาเริ่มเห็นโครงการใหม่เริ่มเปิดขายทำเลเน้นบริเวณใกล้มหาวิทยาลัย เพื่อดึงกลุ่มอุปสงค์จากอาจารย์มหาวิทยาลัย บุคลากร ผู้ปกครองที่ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง รวมถึงกลุ่มนักลงทุนที่เล็งเห็นถึงผลตอบแทนจากการปล่อยเช่าในอนาคต ซึ่งถือว่าได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนดี เมื่อเทียบกับดอกเบี้ยธนาคาร  ส่วนตลาดแนวราบยังพอไปได้ในบางทำเล มีแรงตอบรับดีในราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ในอนาคตพื้นที่นครปฐมมีโอกาสเติบโตสูง จากโครงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคม เช่น รถไฟรางคู่นครปฐม-หัวหิน รถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ-หัวหิน  มอเตอร์เวย์สายนครปฐม-ชะอำ และมอเตอร์เวย์สายบางใหญ่ - กาญจนบุรี ล้วนเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ราคาที่ดินในนครปฐมสูงขึ้นได้อีกในอนาคต” นายอนุกูล กล่าว  
เนาวรัตน์ฯ ทุ่ม 600 ล้านบาท เปิดตัว “มานะพัฒนาการ” เดินหน้ารุกธุรกิจพัฒนาอสังหาฯ พร้อมสานต่อโครงการ “บารานี”

เนาวรัตน์ฯ ทุ่ม 600 ล้านบาท เปิดตัว “มานะพัฒนาการ” เดินหน้ารุกธุรกิจพัฒนาอสังหาฯ พร้อมสานต่อโครงการ “บารานี”

เนาวรัตน์ฯ ทุ่ม 600 ล้านบาท เปิดตัว “มานะพัฒนาการ” เดินหน้ารุกธุรกิจพัฒนาอสังหาฯ พร้อมสานต่อโครงการ “บารานี” เจาะตลาดทั้งแนวราบ และแนวสูง ประเดิม “บารานี พาร์ค ร่มเกล้า” บ้านเดี่ยวหรู เริ่มต้นที่ 8.89 ล้านบาท บมจ.เนาวรัตน์ ส่ง มานะพัฒนาการ เดินหน้ารุกธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เต็มเหนี่ยว ทุ่มทุนจดทะเบียนบริษัทกว่า 600 ล้านบาท ประกาศรุกการพัฒนาทั้งโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบ แนวสูง อาคารสำนักงาน และคลังสินค้าปี 58 ตั้งเป้าเปิด 3 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 2,300 ล้านบาท เปิดตัวโครงการภายใต้ชื่อ “บารานี” ประเดิมด้วยโครงการแรก “บารานี พาร์ค (ร่มเกล้า)” บ้านเดี่ยวหรูสไตล์ Courtyard เริ่มต้นที่ 8.89 ล้านบาท พร้อมวางเป้าแผนธุรกิจระยะสั้น เปิดตัวอย่างน้อยปีละ 1-3 โครงการ เติบโตไม่ต่ำกว่า 10% ต่อปี ด้านแผนระยะยาวภายใน 5 ปี ขยายตัวเพิ่มรองรับรายได้และยอดขายไม่ต่ำกว่าปีละ 2,000 ล้านบาท   นายพลพัฒ กรรณสูต กรรมการผู้จัดการ บริษัท เนาวรัตน์พัฒนาการ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เนาวรัตน์พัฒนาการ เป็นบริษัทรับเหมาก่อสร้างชั้นนำของประเทศที่มีประสบการณ์มาอย่างยาวนาน และได้รับการยอมรับจากกลุ่มลูกค้าทั้งภาครัฐและเอกชน ด้วยการนำเทคโนโลยีชั้นสูงมาใช้ในงานก่อสร้าง กลุ่มธุรกิจผลิตเสาเข็มคอนกรีตอัดแรงและผลิตภัณฑ์คอนกรีต กลุ่มธุรกิจเหล็กแปรรูป จากประสบการณ์ในด้านการก่อสร้างที่ผ่านมา ทำให้บริษัทมองเห็นโอกาสในการพัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เพราะมองว่าธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เป็นอีกธุรกิจบนพื้นฐานของการดำรงชีวิต ซึ่งมีการเติบโตค่อนข้างสูงและต่อเนื่องในปัจจุบัน ทั้งยังสามารถสร้างรายได้และผลกำไรที่ดี ซึ่งเป็นโอกาสของบริษัทในการนำจุดแข็งของการก่อสร้างมาต่อยอด และสร้างโอกาสทางธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ให้กับบริษัทอีกทางหนึ่ง ด้านนายปสันน สวัสดิ์บุรี ประธานกรรมการบริหาร บริษัท มานะพัฒนาการ จำกัด กล่าวว่า บริษัท มานะพัฒนาการ จำกัด ก่อตั้งขึ้นมาเพื่อรองรับการพัฒนาโครงการในกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ด้วยทุนจดทะเบียน 600 ล้านบาท (ชำระเต็ม) โดยทางบริษัท เนาวรัตน์พัฒนาการ จำกัด (มหาชน) จะเป็นผู้ถือหุ้น 99.99% ในการพัฒนาโครงการต่างๆ เราจะนำประสบการณ์เกือบ 10 ปี ในการบริหารธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของทีมงานรวมกับจุดเด่นในด้านการรับเหมาก่อสร้างมาใช้ ซึ่งจะทำให้เรามีจุดเด่นในเรื่องของการเข้าใจความต้องการของลูกค้า ส่งมอบบ้านที่มีคุณภาพสูง ตรงตามเวลา และมีต้นทุนค่าก่อสร้างที่ต่ำ เมื่อเทียบกับผู้ประกอบการรายอื่น   นอกจากนี้ทางบริษัทยังวางเป้าหมายในการพัฒนาโครงการอย่างน้อยปีละ 1-3 โครงการ มูลค่าประมาณ 800 ล้านบาทต่อโครงการ เน้นการพัฒนาโครงการแนวราบเป็นหลัก เนื่องจากเป็นชนิดโครงการที่เหมาะสมกับทำเลกรุงเทพฯ รอบนอก ส่วนโครงการแนวสูงจะลงทุนในทำเลที่มีศักยภาพและมีความมั่นใจ เช่น ใกล้แนวรถไฟฟ้า เป็นต้น โดยมีสัดส่วนของการลงทุนดังนี้ แนวราบ 60% แนวสูง 30% และอื่นๆ 10% ด้านนายอภิชาติ รักช้าง กรรมการผู้จัดการ บริษัท มานะพัฒนาการ จำกัด กล่าวถึงการพัฒนาโครงการต่างๆ ของบริษัทว่า เราจะใช้โครงการ “บารานี” เป็นโครงการนำร่อง สำหรับโครงการ “บารานี” ได้เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 10 ปีที่ผ่านมา เริ่มจากการที่บริษัทมีความสนใจในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และทีมงานของบริษัทได้มีโอกาสเข้าไปบริหารโครงการบารานี ซึ่งพัฒนาเป็นโครงการบ้านเดี่ยวบนถนนรังสิต-คลอง 3 จึงทำให้เป็นที่รู้จักในย่านนั้น และภาพลักษณ์ของโคงการ “บารานี” ได้รับการยอมรับในเรื่องบ้านที่มีการจัดพื้นที่ใช้สอยลงตัว สวยงาม คุณภาพของการก่อสร้าง การบริการและดูแลหลังการขายที่ดี และจากการที่โครงการ บารานี เริ่มเป็นที่รู้จักและได้รับการยอมรับของลูกค้าในบริเวณนั้น ทำให้บริษัทมั่นใจจึงได้พัฒนาโครงการต่อมา คือ โครงการ “วิลล่า บารานี” บนถนนรังสิต-คลอง 3 และปัจจุบันก็ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีเช่นกัน ดังนั้นเมื่อบริษัทจะรุกธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จึงเห็นว่าควรจะใช้ “บารานี” ที่มีฐานลูกค้าอยู่แล้วมาต่อยอดและสร้างการรับรู้ให้เป็นที่รู้จักในวงกว้างขึ้น นายอภิชาติ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับโครงการแรกที่จะเปิดตัวภายใต้การพัฒนาของบริษัท มานะพัฒนาการ จำกัด คือ โครงการ “บารานี พาร์ค (Paranee Park) ร่มเกล้า” พัฒนาในรูปแบบของบ้านเดี่ยว สไตล์ Courtyard จำนวน 86 หลัง บนพื้นที่โครงการประมาณ 22 ไร่ มูลค่าโครงการ 900 ล้านบาท ภายใต้แนวคิด “การออกแบบที่จะให้คุณได้ใกล้ชิดธรรมชาติมากขึ้น” โดยภายนอกดูเรียบง่าย แต่สร้างลวดลายจากธรรมชาติให้กับบ้านด้วยการใช้แสงเงาของต้นไม้ที่ตกกระทบผนัง ส่วนพื้นที่ใช้สอยถูกจัดวางมาอย่างลงตัวจนเกิดเป็น Courtyard ภายในบ้าน ที่จะทำให้ผู้อยู่อาศัยใกล้ชิดกลมกลืนกับธรรมชาติ จากซ้ายสุด นายอภิชาติ รักช้าง กรรมการผู้จัดการ บริษัท มานะพัฒนาการ จำกัด, นายพลพัฒ กรรณสูต กรรมการผู้จัดการ บริษัท เนาวรัตน์พัฒนาการ จำกัด (มหาชน), นายปสันน สวัสดิ์บุรี ประธานกรรมการบริหาร บริษัท มานะพัฒนาการ จำกัด
‘เพซ’ เปิดตัวโครงการ “นิมิต หลังสวน” ที่พักอาศัยระดับซูเปอร์ลักชัวรี กรรมสิทธิ์ฟรีโฮลด์ใกล้สวนลุมพินี

‘เพซ’ เปิดตัวโครงการ “นิมิต หลังสวน” ที่พักอาศัยระดับซูเปอร์ลักชัวรี กรรมสิทธิ์ฟรีโฮลด์ใกล้สวนลุมพินี

เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2558 ที่ผ่านมา บริษัท เพซ ดีเวลลอปเมนท์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ประกาศเปิดตัวโครงการที่พักอาศัยระดับซูเปอร์ลักชัวรี “นิมิต หลังสวน” ความสูง 53 ชั้น ชูจุดเด่นที่ตั้งทำเลทองใจกลางกรุงเทพฯ ใกล้สวนลุมพินี กรรมสิทธิ์ฟรีโฮลด์ ออกแบบและก่อสร้างได้มาตรฐานสูงสุดระดับโลก ตั้งเป้าดึงดูดกำลังซื้อที่สูงขึ้นจากการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC (ASEAN Economic Community) โครงการนิมิต หลังสวน ประกอบด้วย ที่พักอาศัยสุดหรูระดับซูเปอร์ลักชัวรีจำนวน 187 เรสซิเดนซ์  ไพรเวทคลับบนดาดฟ้า และครั้งแรกของ “กรีนเฮ้าส์” สวนสีเขียวสไตล์เรือนกระจกอันร่มรื่นทอดตัวสู่ทางเข้าโครงการ ให้ความกลมกลืนกับสภาพแวดล้อม พร้อมด้วยนวัตกรรมด้านการดีไซน์สุดล้ำของสถาปัตยกรรมอันเป็นเอกลักษณ์ โดยอาคารโอบล้อมรอบด้วยแผ่นกระจกสามมิติ มอบความโปร่งใส แวววาว งดงามมีเอกลักษณ์ เหนือกาลเวลา ซึ่งการออกแบบอาคารสูงด้วยผิวหน้าอาคารแบบกระจกนิรภัยสามมิตินี้นับได้ว่าเป็นครั้งแรกในโลก นิมิต หลังสวน มีมูลค่าโครงการกว่า 7,500 ล้านบาท ตั้งอยู่บนที่ดินกรรมสิทธิ์ฟรีโฮลด์ขนาดประมาณ 3 ไร่ บนถนนหลังสวน โดยจะเริ่มก่อสร้างในเดือนตุลาคม 2558 และมีกำหนดแล้วเสร็จภายในครึ่งปีหลังของปี 2561   นายสรพจน์ เตชะไกรศรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เพซ ดีเวลลอปเมนท์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “โครงการนิมิต หลังสวนสร้างปรากฏการณ์ทำลายทุกสถิติการจองในช่วงก่อนเปิดขาย (Pre-Sales) ของเพซทุกโครงการ ด้วยยอดจองพร้อมจ่ายมัดจำเรียบร้อยแล้วถึง 70% โดยปัจจัยที่ทำให้โครงการสามารถขายได้อย่างรวดเร็วนั้นมาจากลูกค้าส่วนใหญ่ซึ่งเป็นลูกค้าเก่าที่เชื่อมั่นในคุณภาพและชื่อเสียงของเพซ และอานิสงส์ของการเปิดตลาดเออีซี ที่ส่งผลให้ความต้องการในตลาดอสังหาริมทรัพย์ระดับไฮเอนด์เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะโครงการที่พักอาศัยคุณภาพระดับสูงสุด เพื่อรองรับการเดินทางเพื่อติดต่อทางธุรกิจในภูมิภาคที่จะเพิ่มขึ้นของลูกค้ากลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง” นายสรพจน์กล่าวว่า “เพซให้ความสำคัญกับทุกองค์ประกอบของโครงการ ทั้งด้านสถาปัตยกรรมอาคารและ การตกแต่งภายในเรสซิเดนซ์ ที่ได้รับการออกแบบและคัดสรรวัสดุที่ใช้ด้วยคุณภาพมาตรฐานระดับโลก เพื่อมอบความสมบูรณ์แบบในการพักอาศัย เพียบพร้อมสำหรับการใช้ชีวิตที่ดีที่สุดแก่กลุ่มลูกค้าที่มีมาตรฐานสูง ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่มีความเชื่อมั่นในเพซ จากความสำเร็จของบริษัทกับโครงการที่ผ่านมา อาทิ มาตรฐานซีโร่ ดีเฟกท์ ของ โครงการศาลาแดง เรสซิเดนซ์ รวมถึงโครงการที่เรากำลังทำอยู่คือ เดอะ ริทซ์-คาร์ลตัน เรสซิเดนเซส บางกอก ในโครงการมหานคร โดยต้องยอมรับว่าชื่อเสียงของเพซมีส่วนสำคัญในการเพิ่มยอดขายพรี-เซลส์ให้กับโครงการนิมิต หลังสวน” นายสรพจน์กล่าวเสริมว่า “ประมาณ 90% ของยอดจองโครงการมาจากผู้ซื้อชาวไทย โดยมีทั้งผู้ที่ต้องการพักอาศัยเอง และผู้ที่มองเห็นโอกาสในการปล่อยเช่าให้กับผู้บริหารระดับสูงในภูมิภาค” “จากความสำเร็จในการเปิดจองโครงการนิมิต หลังสวน ด้วยราคาขายที่สูงกว่าตารางเมตรละ 300,000 บาท ทำให้บริษัทฯ มีเงินทุนหมุนเวียนภายใน และยังช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการวางแผนเติบโตขององค์กร โดยเราจะเดินหน้าโครงการอื่นๆ อย่างต่อเนื่องควบคู่กันเพื่อให้เพซคงความเป็นผู้นำในตลาดอสังหาริมทรัพย์ไฮเอนด์ที่คำนึงถึงคุณภาพสูงสุด รวมถึงการขยายธุรกิจแบรนด์ไลฟ์สไตล์ระดับโลกของ ดีน แอนด์ เดลูก้า อย่างเต็มที่” นายสรพจน์ กล่าว โครงการนิมิต หลังสวน ตั้งอยู่ใจกลางกรุงเทพฯ ใกล้สวนลุมพินี ศูนย์การค้าชั้นนำระดับพรีเมี่ยมหลายแห่ง ในย่านราชประสงค์ ชิดลม และเพลินจิต รวมถึงย่านธุรกิจสีลม สามารถเดินทางได้อย่างสะดวกสบาย ด้วยเส้นทางเชื่อมต่อจากถนนหลังสวนและถนนสารสิน มีรูปแบบเรสซิเดนซ์ตั้งแต่ขนาด 2 - 4 ห้องนอน และเพนท์เฮ้าส์ ในขนาดพื้นที่ตั้งแต่ 78 – 617 ตารางเมตร เพดานสูง 3 เมตรขึ้นไป ราคาขายโดยประมาณ 25 - 250 ล้านบาท
แมกโนเลียฯ เปิดตัว “วิสซ์ดอม อเวนิว รัชดา-ลาดพร้าว” คอนโดมิเนียมระดับคุณภาพ ที่สุดของความสะดวกสบาย

แมกโนเลียฯ เปิดตัว “วิสซ์ดอม อเวนิว รัชดา-ลาดพร้าว” คอนโดมิเนียมระดับคุณภาพ ที่สุดของความสะดวกสบาย

เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2558 ที่ผ่านมา แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น หรือ MQDC บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ทั้งบ้านเดี่ยวและคอนโดมิเนียมคุณภาพระดับลักชัวรี่ และเป็นเจ้าของและผู้พัฒนาโครงการที่พักอาศัยแบรนด์วิสซ์ดอม ประกาศเปิดตัว “วิสซ์ดอม อเวนิว รัชดา-ลาดพร้าว” (Whizdom Avenue Ratchada-Ladprao) คอนโดมิเนียมมาตรฐานเหนือระดับ เพื่อการใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพ บนทำเลทองเพื่อการอยู่อาศัยใจกลางย่านรัชดา-ลาดพร้าว ที่สุดของความสะดวกสบายด้วยทำเลที่ตั้งติดกับรถไฟฟ้าใต้ดิน MRT สถานีลาดพร้าว เจาะกลุ่มเป้าหมายคนเมือง และคนรุ่นใหม่ที่ประสบความสำเร็จในชีวิต ผู้มีไลฟ์สไตล์ทันสมัย และพิถีพิถันในการเลือกสรรสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเอง พร้อมเปิดให้ชมห้องตัวอย่าง และเปิดจองแล้ววันนี้เป็นต้นไป   นายถนอมศักดิ์ แก้วเขียว รองประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือ MQDC กล่าวว่า “โครงการ วิสซ์ดอม อเวนิว รัชดา-ลาดพร้าว ตอกย้ำความมุ่งมั่นและพันธกิจของ MQDC ในการพัฒนาโครงการคุณภาพ เพื่อมอบสภาพแวดล้อมที่ดียิ่งขึ้นสำหรับการอยู่อาศัย และสำหรับการใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพให้กับผู้คน โครงการ วิสซ์ดอม อเวนิว รัชดา-ลาดพร้าว เป็นคอนโดมิเนียมที่พักอาศัยคุณภาพ จำนวน 1 อาคาร สูง 27 ชั้น ตั้งอยู่บนพื้นที่ 3 ไร่ 42 ตารางวา บนถนนลาดพร้าวติดถนนรัชดา ด้านหน้าโครงการเป็น สถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน MRT สถานีลาดพร้าว ทำให้ มีจุดเด่นที่พิเศษและแตกต่างอยู่ที่โลเคชั่น ซึ่งเป็นที่สุดของความสะดวกสบาย เพราะเพียงไม่กี่ก้าวเดินก็ถึงสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน MRT สถานีลาดพร้าวซึ่งตั้งอยู่บริเวณด้านหน้าของโครงการ แวดล้อมด้วยแหล่งช้อปปิ้ง โรงพยาบาล สถานศึกษา สถานที่เพื่อการพักผ่อนหย่อนใจและความบันเทิงต่างๆ มากมาย อีกทั้งโครงการตั้งอยู่ไม่ไกลจากใจกลางย่านธุรกิจใหม่ (New CBD) รัชดาภิเษก-พระราม 9 และสามารถเดินทางเชื่อมต่อไปยังพื้นที่อื่นๆ ได้อย่างสะดวก” ภายในโครงการพรั่งพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อการใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพ ตอบโจทย์การอยู่อาศัยและไลฟ์สไตล์อย่างแท้จริง ด้วยพื้นที่สีเขียวทั้งบนพื้นดินและพื้นที่สีเขียวลอยฟ้าขนาดใหญ่ กว่า 1,700 ตารางเมตร เพื่อให้ผู้อยู่อาศัยได้ใกล้ชิดกับธรรมชาติมากยิ่งขึ้น พร้อมด้วย Sunset Lounge หรือห้องสมุด สำหรับต้อนรับแขกผู้มาเยี่ยมเยือน หรือนั่งอ่านหนังสือสบายๆ ในบรรยากาศท้องฟ้ายามเย็น  Sky Infinity Edged Swimming Pool สระว่ายน้ำขนาดใหญ่บนชั้นสูงสุด เพื่อการออกกำลังกายและการพักผ่อนอย่างมีสไตล์ Sky Lounge สำหรับการสังสรรค์ที่เหนือระดับ กับวิวกรุงเทพฯ แบบพาโนรามา และ  Whizdom Lobby ดีไซน์โมเดิร์น เสมือนหน้าบ้านที่สะท้อนความมีรสนิยมของผู้เป็นเจ้าของ พร้อมเจ้าหน้าที่และระบบรักษาความปลอดภัย 24 ชั่วโมง   โครงการถูกออกแบบอย่างพิถีพิถันและใส่ใจในทุกรายละเอียด ผสมผสานการวิจัยและพัฒนา เข้ากับการดีไซน์ และความใส่ใจในเรื่องการประหยัดพลังงานและรักษาสิ่งแวดล้อม ออกแบบตามมาตรฐาน “สถาบันอาคารเขียวไทย” (Thai Green Building Institute) คุณภาพอาคาร “ระดับ SILVER” (SILVER Tree Certificate) เพื่อนำเสนอโครงการคุณภาพที่ตอบสนองทุกฟังก์ชั่นของชีวิต และเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้นในทุกวัน อาทิ รูปแบบและการจัดวางพื้นที่ภายในห้องพักสอดคล้องกับหลักสรีระศาสตร์เหมาะสมกับระยะร่างกายของมนุษย์เพื่อความสะดวกสบายสำหรับทุกกิจกรรม อยู่สบายและไม่รู้สึกอึดอัด การวางตำแหน่งไฟ ตำแหน่งแอร์ที่ส่งเสริมสุขภาพที่ดีของผู้อยู่อาศัย ทิศทางการวางตำแหน่งตัวตึกสอดคล้องกับทิศทางแสงอาทิตย์และทิศทางลม เพื่อลดความร้อน และเพิ่มการหมุนเวียนถ่ายเทของอากาศภายในห้องพัก เป็นการช่วยประหยัดพลังงาน และเพิ่มความสบายให้ผู้อยู่อาศัย การจัดวางห้องพักซึ่งเริ่มต้นที่ชั้น 5 เพิ่มความเป็นส่วนตัวและห่างไกลจากเสียงรบกวน มีการออกแบบสวนและแนวต้นไม้ช่วยบังแนวเสียงและฝุ่นละอองในอากาศที่จะพัดเข้าสู่ตัวอาคาร เป็นต้น “วิสซ์ดอม อเวนิว รัชดา-ลาดพร้าว ได้รับการตอบรับอย่างดีมากจากกลุ่มเป้าหมาย เนื่องจากมีโลเคชั่นที่เรียกได้ว่าสะดวกสบายที่สุด เพราะอยู่ติดกับสถานี MRT พร้อมกับคุณภาพที่เหนือระดับในทุกรายละเอียดด้วยมาตรฐานของบริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น (MQDC) พร้อมการรับประกันที่ยาวนานถึง 10 ปี ทำให้มีผู้สนใจจับจองห้องชุดพักอาศัยในช่วงพรีเซลล์แล้วเป็นจำนวนกว่า 60 % ซึ่งหลังจากเปิดให้ชมห้องตัวอย่าง คาดว่าจะได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากมองว่าตลาดยังมีดีมานด์หรือความต้องการคอนโดมิเนียมระดับคุณภาพอยู่มาก โดยเฉพาะในทำเลดีๆ ที่เป็นไพร์มโลเคชั่น (Prime Location) ซึ่งเรากำลังจะมีงาน Grand Opening ระหว่างวัน 26 – 29 มีนาคมนี้ ณ ชั้น 1 สยามพารากอนอีกด้วย” นายถนอมศักดิ์ กล่าว วิสซ์ดอม อเวนิว รัชดา-ลาดพร้าว ประกอบด้วยห้องชุดพักอาศัยหลากหลายรูปแบบให้เลือกตามความต้องการ ไม่ว่าจะเป็นห้องแบบสตูดิโอ ขนาดพื้นที่ 27 ตารางเมตร, แบบ 1 ห้องนอน ขนาดพื้นที่ 30-38 ตารางเมตร, แบบ 2 ห้องนอน ขนาดพื้นที่ 47-56 ตารางเมตร, แบบดูเพล็กซ์ ขนาดพื้นที่ 76-77 ตารางเมตร และแบบเพ้นซ์เฮ้าส์ ขนาดพื้นที่ 105-129 ตารางเมตร คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2560 ทั้งนี้ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร.02-789-9999 หรือทางเว็บไซต์ www.MQDC.com แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น หรือ MQDC คือ บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ทั้งบ้านเดี่ยวและคอนโดมิเนียมคุณภาพ ระดับลักชัวรี่ ที่มุ่งเน้นพัฒนาโครงการระดับคุณภาพ โดยผสมผสานการวิจัยและพัฒนา เข้ากับการดีไซน์อย่างมีคุณภาพที่ใส่ใจในเรื่องความยั่งยืนของมนุษย์ ตลอดจนการประหยัดพลังงานและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพื่อมอบสภาพแวดล้อมที่ดียิ่งขึ้นสำหรับการอยู่อาศัย และการใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพให้กับผู้คน ทั้งผู้อยู่อาศัยในโครงการ และชุมชนโดยรอบ
บจ.สิรยศ ส่ง “โดว์เช่ อุดมสุข” ลงตลาดรับปีแพะ ด้วยมูลค่าโครงการ 200 ลบ.

บจ.สิรยศ ส่ง “โดว์เช่ อุดมสุข” ลงตลาดรับปีแพะ ด้วยมูลค่าโครงการ 200 ลบ.

บจ.สิรยศ ส่ง “โดว์เช่ อุดมสุข” ลงตลาดรับปีแพะ ด้วยมูลค่าโครงการ 200 ลบ. หลังประสบความสำเร็จอย่างงดงามจากโครงการบูทีค รัชดา เมื่อหลายปีก่อน ชูจุดขายราคาต้นเพียง 2 ลบ.  เด่นด้วยศักยภาพทำเล 600 ม. จาก BTS อุดมสุข, Fully Furnished บจ.สิรยศ เตรียมส่งโลว์ไลส์คอนโดแบรนด์ “โดว์เช่ อุดมสุข” (Dolce Udomsuk) ลงตลาดอสังหาฯ บนทำเลศักยภาพสูงใกล้บีทีเอสอุดมสุข ประกาศชูจุดขายความเป็นส่วนตัวสูงเพียง 79 ยูนิต ให้ความรู้สึกหรูหราด้วยความสูงจากพื้นถึงเพดานถึง 2.85 เมตร พร้อม Fully Furnished และ Fully built in มูลค่าโครงการกว่า 200 ล้านบาท สนนราคาเริ่มต้นเพียง 2 ล้านบาท มั่นใจเข้าใจลูกค้าทำให้พัฒนาสินค้าดีมีคุณภาพรองรับความต้องการของตลาดได้อย่างแน่นอน เผยใช้ประสบการณ์ความสำเร็จจากการพัฒนาโครงการบูทีค รัชดา ทั้ง 2 โครงการ ที่สามารถปิดการขายได้ภายใน 30 วัน มาเป็นต้นทุนต่อยอดพัฒนาโครงการใหม่   นายวิจาร คุปติพงศ์กุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท สิรยศ จำกัด บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มุ่งใส่ใจด้านการออกแบบ และความเป็นอยู่ของลูกค้าเป็นสำคัญ กล่าวถึงการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ภายใต้แบรนด์ “โดว์เช่ อุดมสุข” (Dolce Udomsuk) ว่า “โครงการโดว์เช่ อุดมสุข เป็นโลว์ไลส์คอนโดฯ 7 ชั้น 79 ยูนิต มีมูลค่าโครงการกว่า 200 ล้านบาท ราคาเริ่มต้นเพียง 2 ล้านบาท ตั้งอยู่บนเส้นสุขุมวิท 103/2 ห่างจากถนนสุขุมวิทสายหลักเพียง 400 เมตร เดินทางสะดวกสามารถทะลุออก บางนาตราด ซอย 1 อุดมสุข 18 และ ถนน ศรีนครินทร์ได้อย่างสะดวกสบาย สำหรับกลุ่มเป้าหมายของเราแน่นอนว่าเป็นกลุ่มคนวัยทำงานที่ต้องการความเป็นเมืองในราคาที่สามารถจับต้องได้ เพื่อหาพื้นที่ให้ความเป็นส่วนตัวแก่ตัวเองเพิ่มขึ้น ซึ่งนั่นหมายถึงราคาก็จะขยับลงมาสบายกระเป๋ามากกว่าอยู่บนเส้นสุขุมวิทหลัก และอีกหนึ่งกลุ่มเป้าหมายที่เรามองไว้ คือ กลุ่มลูกค้าญี่ปุ่น เนื่องจากเมื่อเราวิเคราะห์ทำเลแล้วจะเห็นได้ว่าบริเวณนี้เริ่มมีร้านสะดวกซื้อของคนญี่ปุ่น หรือ Lawson ซึ่งสามารถเป็นจุดชี้วัดได้ว่ากลุ่มคนญี่ปุ่นเริ่มมีการขยายตัวจากใจกลางสุขุมวิท 49 ออกมาเรื่อยๆ ดังนั้น กลุ่มญี่ปุ่นเป็นอีกกลุ่มเป้าหมายที่เราจะไม่ทิ้งกลุ่มเป้าหมายของโครงการ สำหรับโครงการนี้เราได้ออกแบบให้เหมาะกับผู้ที่รักความเป็นส่วนตัวเนื่องจากมีจำนวนยูนิตน้อย ไม่พลุกพล่านเมื่อเข้าอยู่อาศัยจริง ทั้งยังให้ความรู้สึกในการอยู่อาศัยที่ไม่อึดอัด เนื่องจากเราออกแบบให้อาคารมีเพียง 7 ชั้น เพื่อที่จะสามารถขยับความสูงของพื้นจรดฝ้าเพดานได้ถึง 2.85 เมตร ซึ่งโดยปกติโครงการทั่วไป อาจจะสูงเพียงแค่ 2.6 เมตรเท่านั้น” สำหรับโครงการโดว์เช่ อุดมสุข เป็นอสังหาริมทรัพย์โครงการที่ 4 ของบริษัท สิรยศ จำกัด โดย 3 โครงการที่ผ่านมา คือ คอนโดมิเนียม 2 โครงการ ได้แก่ โครงการบูทีค รัชดา และโครงการบูทีค รัชดา 2 ซึ่งทั้ง 2 โครงการได้เปิดขายเมื่อปี  2549 และสามารถปิดการขายได้อย่างรวดเร็ว โดยโครงการแรกใช้เวลาเพียง 1 เดือน ส่วนโครงการที่ 2 ใช้เวลาเพียง 4 เดือนเท่านั้นก็สามารถปิดการขายได้แล้ว ส่วนอีก 1 โครงการ เป็นโครงการแนวราบ ได้แก่ โครงการวิลล่าเจ้าพระยา ใกล้ทางด่วนบางพูน เป็นโครงการที่ตั้งอยู่บนถนนติวานนท์ ปัจจุบันโครงการแล้วเสร็จและโอนให้ลูกค้าได้เกือบ 100% แล้ว สำหรับโครงการที่พัฒนาโดยสิรยศนั้น เราใช้ประสบการณ์ในการพัฒนาโครงการคือ การเลือกทำเลที่ดี และพัฒนาสินค้าได้ตรงกับความต้องการของลูกค้าเป็นสำคัญ ส่วนหนึ่งที่เรามั่นใจด้านการออกแบบเป็นอย่างมากเนื่องจาก ทางเราเองเป็นกลุ่มบริษัทที่รวมเอาบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์กับบริษัทอินทีเรียร์ คอนแทร็คแอนด์ดีไซน์เข้าด้วยกัน คือ บริษัท อาร์ทิซติค ฮาร์โมนี จำกัด ตั้งมานานกว่า 15 ปี ทำงานด้านอินทีเรียร์ และบริษัท สิรยศ จำกัด ทำงานด้านพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ดังนั้น เมื่อเรามีบริษัทออกแบบของเราเอง ทั้งยังมีทีมงานการตลาดที่สามารถวิเคราะห์ความต้องการของลูกค้าได้ เราจึงมั่นใจในการออกแบบ และพัฒนาโครงการเป็นอย่างดี “อันที่จริงส่วนตัวผมเองทำงานในวงการอสังหาฯ มาโดยตลอด เป็นเวลานานกว่า 20 ปี ก่อนที่จะมาเปิดบริษัท สิรยศ จำกัด ผมได้ดำเนินการภายใต้บริษัท สเต็ปออฟโมเดิร์น จำกัด มีผลงานการพัฒนาโครงการร่มรื่นการ์เด้น - วังน้อย จ.อยุธยา ระหว่างปี 2537 - 2545 โครงการเป็นบ้านจัดสรรและที่ดินเปล่า ซึ่งเราสามารถพาบริษัทให้ผ่านวิกฤตเศรษฐกิจในปี 2540 ได้โดยไม่เป็น NPL และจากนั้นเราได้พัฒนาอีก 1 โครงการ คือ โครงการร่มรื่นการ์เด้น – บางปะอิน จ.อยุธยา ระหว่างปี 2547 – 2548 โครงการมียอดขาย 100% ภายใน 2 ปี มูลค่า 600 ล้านบาท ซึ่งแนวราบทั้ง 2 โครงการนี้ เราพัฒนาในนามของ บริษัท สเต็ปออฟโมเดิร์น จำกัด แต่เมื่อราขยับเข้ามาในกรุงเทพ เราพัฒนาในนามของ บริษัท สิรยศ จำกัด โดยพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมอีก 2 โครงการ และแนวราบ 1 โครงการ คือ บูทีครัชดา, บูทีครัชดา 2  และโครงการวิลล่าเจ้าพระยา ใกล้ทางด่วนบางพูน เป็นโครงการที่ตั้งอยู่บนถนนติวานนท์ ปัจจุบันโครงการแล้วเสร็จและโอนให้ลูกค้าได้เกือบ 100% แล้ว” นายวิจาร กล่าว   สำหรับโครงการโดว์เช่ อุดมสุข เป็นโครงการคอนโดมิเนียมสูง 7 ชั้น 1 อาคาร 79 ยูนิต มูลค่าโครงการกว่า 200 ล้านบาท ตั้งอยู่บนพื้นที่โครงการประมาณ 0-3-11 ไร่ มีแบบห้องให้เลือก 2 ขนาด คือ ขนาด 1 ห้องนอน 31 ตร.ม. และขนาด 2 ห้องนอน 67 ตร.ม. มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน อาทิ ลิฟท์โดยสาร 2 ตัว, ห้องฟิตเนส, สระว่ายน้ำระบบเกลือ, ห้องนั่งเล่น และห้องสมุด (Library room)  ตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพกลางสุขุมวิท สามารถเดินทางเข้าสู่ CBD หรือใจกลางเมืองเพียง 20 นาที หรือเดินทางไปทองหล่อเพียง 10 นาที ด้วย BTS เส้นหลัก ทั้งยังใกล้กับ Bangkok Mall ทั้งยังสามารถเดินทางไปยังเส้นทางสายตะวันออกได้ด้วย Monorail บางนา – สุวรรณภูมิ อีกด้วย โดยโครงการโดว์เช่ อุดมสุข พร้อมเปิดขายอย่างเป็นทางการในวันเสาร์ที่ 8 มีนาคม 2558 ราคาเริ่มต้นเพียง 2 ล้านบาท สำหรับผู้สนใจจองในวันงานจะได้รับโปรโมชั่นพิเศษ คือ. จองเท่าไหร่ ลดเท่านั้น มูลค่าสูงสุดถึง 100,000 บาท สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร 02-399-2220-1 หรือ www.dolcecondo.com อ่านพรีวิวโครงการ Dolce Udomsuk ได้ที่นี่..
5 โลเคชั่นในอนาคต สำหรับนักลงทุนซื้อคอนโด

5 โลเคชั่นในอนาคต สำหรับนักลงทุนซื้อคอนโด

อย่างที่ทราบกันอยู่แล้วในเริ่องของกฎ 3 ข้อในการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ คือ Location Location Location นักลงทุนต่างให้ความสนใจในการลงทุนในทำเลที่มีศักยภาพ ซึ่งจะช่วยให้ประสบผลสำเร็จในการลงทุน เป็นต้นว่า ลงทุนซื้อมาหากขายก็ได้กำไร หรือลงทุนเพื่อปล่อยเช่าก็สามารถปล่อยเช่าได้ง่าย หากเราเลือกทำเลที่มีศักยภาพซึ่งก็คงหนี้ไม่พ้นทำเลแนวรถไฟฟ้า หรือทำเลของการสร้างเมืองใหม่ ดัง 5 ทำเลนี้ค่ะ 1. ทำเลบางใหญ่ ซึ่งรถไฟฟ้าสายสีม่วง เตาปูน-บางใหญ่ ส่งผลให้ที่ดินตามแนวรถไฟฟ้า ช่วง ติวานนท์ รัตนาธิเบศร์ บางใหญ่ ราคาปรับตัวสูงมากและมีคอนโดมิเนียมเกิดใหม่จำนวนมาก ทำเลนี้เป็นที่น่าจับตามองเพราะจะเป็น   ทำเลอนาคตที่มีศักยภาพในการเดินทางจากต่างจังหวัดเข้าสู่ใจกลางเมือง นอกจากรถไฟฟ้าสายสีม่วงแล้ว ยังเพิ่มระบบขนส่งทางถนนเชื่อมกับประเทศพม่า และยังมีการลงทุนของธุรกิจขนาดใหญ่อย่าง “เซ็นทรัล เวสต์เกต” ที่กลุ่มเซ็นทรัลจะพัฒนาให้เป็นศูนย์การค้าขนาดใหญ่ เทียบเท่าเซ็นทรัลเวิลด์ ย่านราชประสงค์ และจะมีการเปิดตัวเมกะโปรเจคที่บริษัท สยามฟิวเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ร่วมกับประเทศสวีเดน เปิด “อีเกีย” สโตร์เฟอร์นิเจอร์ขนาดใหญ่ และจะมีโครงการก่อสร้างมอเตอร์เวย์สายบางใหญ่-บ้านโป่ง-กาญจนบุรี จึงคาดกันว่า...บางใหญ่จะกลายเป็นฮับของพื้นที่กรุงเทพฯในโซนตะวันออกอีกด้วย 2. ทำเลรัชดา-ลาดพร้าว นอกจากเป็นทำเลที่มีศักยภาพแล้ว ยังเป็นศูนย์กลางธุรกิจของไทยแห่งใหม่ในอนาคตอีกด้วยค่ะ นอกจากเดิมที่มีสถานบันเทิงที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวยามราตรีอยู่แล้ว อีกไม่นานจะกลายเป็น CBD แห่งใหม่ เป็นที่รวมศูนย์กลางธุรกิจ อาคารสำนักงานเช่า ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งจะดึงธุรกิจอีกมากมารวมไว้ที่นี่ สำหรับคอนโดในย่านนี้เกิดขึ้นมาอย่างมากเพื่อรองรับ ทั้งนักท่องเที่ยวและนักลงทุนชาวต่างชาติจำนวนมากไม่ว่าจะเป็น ชาวจีน เกาหลี ฮ่องกง และอีกหลายเชื้อชาติที่จะมารวมอยู่ในศูนย์กลางธุรกิจแห่งใหม่ อีกทั้งในย่านนี้ยังเป็นแหล่งทำงาน ช็อปปิ้ง สถานบันเทิง จึงยังเป็นทำเลที่มีความต้องการที่อยู่อาศัยอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหากเปรียบเทียบกับย่านสุขุมวิทตอนต้นและตอนกลาง ซึ่งปัจจุบันราคาสูงขึ้นไปไม่ต่ำกว่า 1 แสนบาทต่อตารางเมตรแล้ว เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้คนเริ่มขยับขยายย้ายถิ่นการทำงานมาในย่านนี้ ประกอบกับในอนาคตโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลืองช่วงรัชดา/ลาดพร้าว–พัฒนาการ และช่วงพัฒนาการ-สำโรง สำเร็จจะเป็นรถไฟฟ้าสายหนึ่งที่จะเป็นที่นิยมของผู้ประกอบการด้านอสังหาริมทรัพย์และนักลงทุนอย่างมาก 3. ทำเลย่านบางนา โครงการเส้นทางรถไฟฟ้าใหม่ แบริ่ง-สมุทรปราการซึ่งช่วงนั้นมีคอนโด โครงการใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมาย ช่วงทางยกระดับไปตามแนวเกาะกลางของถนนสุขุมวิท ผ่านคลองสำโรง แยกเทพารักษ์ แยกปู่เจ้าสมิงพราย และมีแนวโน้มว่าจะเกิดคอนโดมิเนียมย่านบางปูมากขึ้น เนื่องจากเรื่องผังเมืองที่หมดอายุทำให้เกิดช่องว่างในการยื่นขออนุญาตก่อสร้างอาคารสูงได้ถึง 10 เท่าของที่ดิน อาจเป็นมีผลให้คอนโดมิเนียมในจังหวัดสมุทรปราการเติบโตขึ้นแต่ราคาอาจจะยังไม่สูงมากอยู่ในระดับ 1.5-2 ล้านต้นๆ แต่หากจะลงทุนบริเวณนี้จริงๆ ต้องคำนวนค่าเช่าเปรียบเทียบกับเงินที่ลงทุนไปอาจได้ผลตอบแทนไม่สูงมากนัก แต่สำหรับคอนโดมือสองยังพอทำกำไรได้บ้าง ส่วนบริเวณพัฒนาการ-ศรีนครินทร์ ใกล้รถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงค์ ที่ร่างผังเมืองใหม่มีแนวโน้มจะเปลี่ยนจากสีเหลืองเป็นสีแดง จะผลักดันให้เกิดบ้านแนวสูงในย่านนี้มากขึ้น ถือเป็นอีกหนึ่งทำเลที่น่าจับตามองมากขึ้น 4. ทำเลรถไฟฟ้าส่วนต่อขยาย ตากสิน – บางหว้า นับว่าคึกคักไม่แพ้สายสีม่วง เตาปูน – บางใหญ่เลยที่เดียว ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ได้ทำการสำรวจพบว่าคอนโดมิเนียมจากแนวรถไฟฟ้านั้นมีโครงการคอนโดมิเนียมหลายโครงการเกิดขึ้นและขายหมดในเวลาอันรวดเร็ว เพียงระยะเวลาไม่ถึง 2 ปี มีโครงการคอนโดต่างๆ ผุดขึ้นเป็นสิบโครงการ เนื่องจากส่วนต่อขยายเส้นนี้อยู่ห่างจากใจกลางธุรกิจ สาธร สีลมไม่ไกลนัก ทำให้เกิดความสะดวกสบายในการเดินทางเข้ามาทำงานในเมือง ตั้งแต่สถานีกรุงธนบุรี จนถึงสถานีบางหว้า เป็นบริเวณซึ่งมีศักยภาพสูงในเหมาะที่จะพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะคอนโดมิเนียม ถึงแม้ว่าสถานีวุฒากาศ และสถานีบางหว้า จะมีลักษณะเป็นชานเมืองไกลออกไปสักนิด เมื่อเทียบกับสถานีกรุงธนบุรี หรือสถานีวงเวียนใหญ่ แต่ก็ใช้เวลาเดินทางจากสถานีบางหว้าถึงสถานีสยามเพียง 20-25 นาทีเท่านั้น และในอนาคตสถานีบางหว้าจะเป็นจุดเชื่อมต่อที่สำคัญระหว่างรถไฟฟ้าสายสีเขียวและสายสีน้ำเงิน (สถานีหัวลำโพง-สถานีบางแค) จึงมีผู้ประกอบการเข้ามาพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียมจำนวนมาก และได้รับความสนใจจากผู้ซื้อมากตามไปด้วย และคาดว่าในอนาคตหากมีการเปิดให้บริการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน (สถานีหัวลำโพง-สถานีบางแค) อย่างเป็นทางการประมาณปี 2560 จะทำให้พื้นที่ย่านนี้มีศักยภาพเพิ่มขึ้นอีกในอนาคต 5. ทำเลย่านรังสิต ปทุมธานี เป็นทำเลที่น่าจับตามองของนักลงทุน เพราะเป็นประตูทางออกสู่ภาคเหนือ ภาคอีสานของประเทศไทย ทั้งยังใกล้ที่ตั้งมหาวิทยาลัย ห้างสรรพสินค้าและนิคมอุตสาหกรรมอีกด้วย ดังนั้นย่านรังสิต จึงเป็นแหล่งที่อยู่ของพนักงาน แรงงาน นักศึกษาและประชากรจำนวนมาก ซึ่งในอนาคตจะมีการปรับปรุงศูนย์การค้าฟิวเจอร์ปาร์ครังสิตให้มีขนาดใหญ่กว่าเดิม และยังมีการพัฒนาที่ดินของกลุ่ม CPN กว่า 600 ไร่  อีกทั้งโครงการ MEGA Rangsit ซึ่งเป็นการร่วมทุนระหว่างประเทศไทยกับสวีเดน ที่จะร่วมกันพัฒนาที่ดินกว่า 250 ไร่ ให้กลายเป็นเมืองใหม่งานนี้ต้องติดตามกันให้ดีๆค่ะ ดังนั้นจะเห็นได้ว่าทำเลย่านรังสิตเป็นอีกทำเลที่น่าสนใจและจะเพิ่มมูลค่าในอนาคตได้มากทีเดียว ซึ่งเอื้อกับ โครงการรถไฟฟ้าสายสีแดงเข้ม ที่มีการก่อสร้างตามแนวเส้นทางรถไฟสายเหนือ ที่มีแนวจากกลางเมืองกรุงเทพฯ สถานีบางซื่อ มุ่งหน้าออกไปสู่ย่านรังสิต ที่มีโครงการต่อขยายไปยังมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์(ศูนย์รังสิต) ในอนาคตค่ะ "การลงทุนในทำเลรถไฟฟ้านั้นเราสามารถลงทุนได้ทุกทำเลค่ะ แต่ควรเป็นทำเลที่เราสนิทคุ้นเคย เช่น ใกล้บ้าน ใกล้ที่ทำงาน เพราะจะเห็นความเคลื่อนไหวของประชากรแถบนั้นอยู่ทุกๆ วัน" จากข้อมูลที่รวบรวมมาเพื่อใช้ในการวิเคราะห์การลงทุนคอนโดในแนวรถไฟฟ้า แต่โดยส่วนตัวถ้าจะให้ฟันธงว่าเลือกแนวรถไฟฟ้าแนวไหนดีกว่ากัน  จริงๆ แล้วยุ้ยว่าการลงทุนในทำเลรถไฟฟ้านั้นเราสามารถลงทุนได้ทุกทำเลค่ะ แต่ควรเป็นทำเลที่เราสนิทคุ้นเคย เช่น ใกล้บ้าน ใกล้ที่ทำงาน เพราะจะเห็นความเคลื่อนไหวของประชากรแถบนั้นอยู่ทุกๆ วัน จะทำให้เรารู้ถึงกลุ่มเป้าหมายว่า ใครจะเป็นผู้เช่า จะปล่อยเช่าได้มั้ยจะขายต่อได้มั้ย สุดท้ายแล้วคำตอบในการเลือกทำเลในการลงทุน เราจะเป็นผู้ตัดสินเองและจะเป็นการตัดสินเต็มไปด้วยความมั่นใจเพราะเราคุ้นเคยกับถิ่นฐานนั้นเป็นอย่างดี หวังว่าข้อมูลทำเลน่าลงทุนแนวรถไฟฟ้าที่นำมาเล่าสู่กันฟังคงจะได้เป็นส่วนหนึ่งในการนำไปประกอบการตัดสินในการลงทุนได้นะคะ   ที่มา : www.krungsri.com
SENA ทุ่มงบลงทุนเดินหน้าสร้าง Brand ผุด 11 โครงการใหม่

SENA ทุ่มงบลงทุนเดินหน้าสร้าง Brand ผุด 11 โครงการใหม่

SENA ทุ่มงบลงทุนเดินหน้าสร้าง Brand ผุด 11 โครงการใหม่ เผยเตรียมเจาะ New Segment ภายใต้กลยุทธ์ ”ไฟนีออน” ส่องสว่างชัดเจน พร้อมเปิด-ปิด ได้ทันสถานการณ์ บมจ.เสนาดีเวลลอปเม้นท์ (SENA) เปิดแผนธุรกิจปี ”58 เตรียมพร้อมลงทุนครั้งใหญ่ เปิดตัว 11 โครงการอสังหาฯ ทั้งแนวราบและคอนโดฯ “เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์” ชูกลยุทธ์ “ไฟนีออน” เล็งเจาะฐานลูกค้าระดับกลางบน - ขยายธุรกิจ โซลาร์รูฟ หวังผลักดันรายได้เติบโตอย่างยั่งยืน เตรียมออกหุ้นกู้เพื่อลดอัตราดอกเบี้ยจ่ายของบริษัทฯและบริหารจัดการหนี้สินให้อยู่ในสัดส่วนที่เหมาะสม แย้มไตรมาส 3/58 เตรียมปรับแบรนด์เพื่อเป็นหนึ่งในดวงใจของผู้บริโภค ตั้งเป้าหมายรายได้ประมาณ 3 พันล้านบาท เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาที่คาดว่าจะมีรายได้ตามเป้าที่ตั้งไว้ ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการบริหาร บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) (SENA) เปิดเผยว่า แนวโน้มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปี 2558 คาดว่าจะเติบโตอย่างต่อเนื่องจากปีนี้ เนื่องจากได้รับปัจจัยหนุนจากภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว หลังจากสถานการณ์การเมืองในประเทศเริ่มคลี่คลาย และรัฐบาลเดินหน้ากระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องผ่านการลงทุนในเมกะโปรเจค  อีกทั้ง แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่คาดว่าจะปรับตัวลดลงในปีนี้ ถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยบวกที่ช่วยให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปีหน้าเติบโตอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ในแง่ของปัจจัยลบที่น่าเป็นห่วงในปีนี้ จะเป็นเรื่องของหนี้สินครัวเรือนที่สูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะกลุ่มคนรายได้น้อย ถึงรายได้ปานกลาง เป็นผลให้เกิดการชะลอการตัดสินใจซื้อหรือลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ นอกจากนี้  ราคาที่ดินที่ปรับตัวสูง และความไม่แน่นอนด้านนโยบายที่เกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์ถือเป็นอีกตัวแปรหนึ่งที่ส่งผลกระทบในเชิงลบกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ผศ.ดร.เกษรา เผยเกี่ยวกับกลยุทธ์ของบริษัทฯ ในปีนี้ว่า “กลยุทธ์การดำเนินธุรกิจของบริษัท เรียกว่า "กลยุทธ์ไฟนีออน"  ด้วยคุณสมบัติเด่นของไฟนีออน ที่จะส่องสว่างชัดเจน ก็แสดงให้เห็นว่าทิศทางการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ จะเน้นไปที่ความชัดเจนทั้งในเรื่องของ Branding และ Segmentation รวมไปถึงบริการหลังการขาย 360 องศา ซึ่งในช่วงไตรมาส 3 เราเตรียมปรับแบรนด์ SENA ให้เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น เพื่อเป็นหนึ่งในดวงใจของผู้บริโภคที่คิดจะซื้อบ้าน หรือลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ อีกหนึ่งคุณสมบัติของไฟนีออน คือเรื่องของความพร้อมเปิด-ปิด ได้อย่างรวดเร็ว คือเราเตรียมตัวพร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างทันท่วงที” สำหรับแผนการลงทุนในปี 2558 ผศ.ดร.เกษรา กล่าวว่า ได้มีการเปิดตัวโครงการมากที่สุดนับจากการก่อตั้งบริษัท โดยเตรียมเปิดโครงการใหม่ 11 โครงการ และมีการขยายฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ในระดับที่มีรายได้ประมาณ 100,000 บาท (กลุ่มลูกค้า B+) พร้อมลุยพัฒนาโครงการในเขตกรุงเทพฯฝั่งตะวันตกมากขึ้น รวมทั้งขยายการลงทุนไปสู่ธุรกิจ Recuring Income  และทำโซลาร์รูฟท็อปในโครงการ เพื่อเพิ่มฐานที่มาของรายได้ ซึ่งจะทำให้ธุรกิจของบริษัทเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต “เนื่องจากในปีนี้เปิด 11 โครงการ แบ่งเป็น โครงการแนวราบ 6 โครงการ และคอนโดมิเนียม 5 โครงการ มูลค่าสูงกว่า 1 หมื่นล้านบาท  ซึ่งเราได้มีการเตรียมแผนรองรับไว้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการออกหุ้นกู้ ซึ่งถือว่าเป็นครั้งแรกของเสนาฯที่มีการระดมทุนผ่านการออกหุ้นกู้ และเตรียมเพิ่มทุนในหลายรูปแบบ ผ่านตลาดทุน เพื่อคุมสัดส่วนหนี้สินต่อทุนไม่ให้ปรับตัวสูงมากนัก” ดร.เกษรา กล่าว สำหรับเป้าหมายรายได้ในปี 2558 ไว้ที่ 3,000 ล้านบาท เป้ายอดขาย 4,500 ล้านบาท เนื่องจากคาดว่ากำลังซื้อเริ่มดีขึ้น หลังจากเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวดีขึ้น กรรมการบริหาร บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์  กล่าวอีกว่า ในปีนี้บริษัทจะมีการรับรู้กำไรพิเศษจากการจำหน่ายไฟฟ้าของโครงการโซลาร์รูฟท็อป 750 กิโลวัตต์  ในช่วงไตรมาส 2 โดยจะมีกำไรพิเศษเข้ามาประมาณ 6 ล้านบาทต่อปี   นอกจากนี้ บริษัทมีแผนการซื้อที่ดินโดยเตรียมงบซื้อที่ดินไว้ที่ 1 พันล้านบาท สำหรับการซื้อที่ดินใหม่ และยังมีการวางแผนที่จะออกหุ้นกู้ระยะยาว 2-3 ปี มูลค่า 1,200 ล้านบาท ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2558