Tag : ดร. ทวิชา ตระกูลยิ่งยง

4 ผลลัพธ์
แสนสิริ ผนึกพลัส พร็อพเพอร์ตี้ เปิดตัว “Smart Command Centre” ศูนย์เฝ้าระวังอัจฉริยะจากส่วนกลาง แจ้งเตือนเหตุฉุกเฉิน 24/7 แห่งแรกของวงการอสังหาฯ ไทยเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดในการบริการ

แสนสิริ ผนึกพลัส พร็อพเพอร์ตี้ เปิดตัว “Smart Command Centre” ศูนย์เฝ้าระวังอัจฉริยะจากส่วนกลาง แจ้งเตือนเหตุฉุกเฉิน 24/7 แห่งแรกของวงการอสังหาฯ ไทยเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดในการบริการ

แสนสิริ ผนึกพลัส พร็อพเพอร์ตี้ เปิดตัว “Smart Command Centre” ศูนย์เฝ้าระวังอัจฉริยะจากส่วนกลาง แจ้งเตือนเหตุฉุกเฉิน 24/7 แห่งแรกของวงการอสังหาฯ ไทย เพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดในการบริการ ยกระดับความปลอดภัยและระบบวิศวกรรมอาคารจากศูนย์ควบคุมส่วนกลางตลอด 24 ชม. ต่อยอดเทคโนโลยี IoT ที่เชื่อมต่อข้อมูลเรียลไทม์จาก 4 โครงการนำร่อง   แสนสิริ จับมือพลัส พร็อพเพอร์ตี้ บริษัทในเครือ ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดตัว “Smart Command Centre” ศูนย์ควบคุมสังเกตการณ์จากส่วนกลางเต็มรูปแบบแห่งแรกของวงการอสังหาริมทรัพย์ไทย ณ อาคารสิริภิญโญ ภายใต้การลงทุนรวมกว่า  20 ล้านบาท เพื่อบริหารจัดการความปลอดภัยในพื้นที่ส่วนกลาง (Security Monitoring) และระบบวิศวกรรมอาคารส่วนกลาง (IoT Facility Management) ของโครงการที่พักอาศัย มายังศูนย์ควบคุมส่วนกลาง พร้อมผู้เชี่ยวชาญคอยเฝ้าระวัง สั่งการ และประสานงานตลอด 24 ชั่วโมงเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดในการบริการ ทั้งด้านการดูแลความปลอดภัย และระบบภายในอาคารให้ทุกระบบทำงานรวดเร็ว แม่นยำ จัดการปัญหาได้ตรงจุด พร้อมเสริมขีดความสามารถในการบริหารโครงการแบบป้องกันก่อนเกิดเหตุ (Preventive Maintenance) นำร่อง 4 โครงการส่งท้ายปี 61 เป็นของขวัญปีใหม่ให้ลูกบ้านแสนสิริ เผยแผนเตรียมเชื่อมต่อ Smart Command Centre เข้ากับ 11 โครงการแนวราบและกลุ่มโครงการคอนโดมิเนียม ภายใต้การบริหารโดยพลัส พร็อพเพอร์ตี้ที่จะแล้วเสร็จใหม่ ในปี 2562 ดร. ทวิชา ตระกูลยิ่งยง ประธานผู้บริหารสายงานเทคโนโลยี บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทเข้าใจลึกซึ้งถึงความต้องการของลูกค้าและไม่หยุดนิ่งในการพัฒนาการบริการในโครงการที่อยู่อาศัย ล่าสุดจึงประกาศความพร้อมในการเดินหน้าต่อเนื่องในการนำนวัตกรรม และเทคโนโลยีมาพัฒนายกระดับการบริการหลังการขายให้แก่ลูกบ้าน เพื่อสร้างประสบการณ์การอยู่อาศัยที่สมบูรณ์แบบ ภายใต้แนวคิดที่เป็นหัวใจหลักของแสนสิริและตอบโจทย์เทรนด์การใช้ชีวิตในยุคที่เทคโนโลยีและแพลตฟอร์มดิจิทัล มีบทบาท สำคัญในชีวิตประจำวัน หลังจากที่ก่อนหน้านี้ บริษัทประสบความสำเร็จในกระแสตอบรับการเปิดตัว Sansiri Security System หรือระบบรักษาความปลอดภัยภายในโครงการ (พื้นที่ส่วนกลาง) ที่แข็งแกร่งด้วยเทคโนโลยีอุปกรณ์รักษาความปลอดภัยที่ทันสมัยผสานกับการทำงานของทีมงานที่ได้รับการฝึกอบรมจากครูฝึกมากด้วยประสบการณ์ เพื่อสร้างความอุ่นใจให้กับการอยู่อาศัยของลูกบ้านในด้านความปลอดภัยอย่างรอบด้าน รวมถึงการเป็นผู้นำในการพัฒนา สมาร์ท คอนโด โดยการเดินหน้าใช้เทคโนโลยี Internet of Things (IoT) ในทุกโครงการคอนโดมิเนียมที่จะแล้วเสร็จตั้งแต่ปี 2562เป็นต้นไป “ในวันนี้ แสนสิริได้ต่อยอดการให้บริการด้านการอยู่อาศัยให้ล้ำหน้าไปอีกขั้นด้วยการร่วมมือกับพลัส พร็อพเพอร์ตี้ จัดตั้ง “Smart Command Centre” ศูนย์ควบคุมสังเกตุการณ์จากส่วนกลาง เต็มรูปแบบแห่งแรกของวงการอสังหาริมทรัพย์ไทย ด้วยมูลค่าการลงทุนรวมกว่า 20 ล้านบาท เพื่อสร้างความมั่นใจในการให้บริการที่ดีที่สุดให้กับลูกบ้านแสนสิริในโครงการที่บริหารจัดการโดยพลัส พร็อพเพอร์ตี้ทั้งด้านบริหารจัดการความปลอดภัย (Security Monitoring) ที่เพิ่มความอุ่นใจแก่ผู้อยู่อาศัยเป็น 2 เท่า และด้านการบริหารจัดการระบบวิศวกรรมอาคาร (IoT Facility Management) ด้วยเทคโนโลยี IoT อันล้ำสมัยที่สามารถช่วยในเรื่องของการบริหารจัดการ Facility และลดค่าใช้จ่ายส่วนกลางของโครงการได้อย่างมีประสิทธิภาพ” ดร.ทวิชา กล่าว สำหรับศูนย์ควบคุมสังเกตุการณ์จากส่วนกลางเต็มรูปแบบแห่งแรกของวงการอสังหาฯ ไทย (Smart Command Centre) ตั้งอยู่ที่อาคารสิริภิญโญ ได้รับการพัฒนาและวางระบบจากผู้นำในธุรกิจและเทคโนโลยีด้านการรักษาความปลอดภัยมาตรฐานสากลที่มีประสบการณ์มากว่า 40 ปี ได้แก่ บริษัท กัทส์ อินเวสติเกชั่น จำกัด ร่วมพัฒนาและวางระบบในการปฏิบัติการทั้งหมด โดย Smart Command Centre มีหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการ เฝ้าระวัง สังเกตุการณ์เหตุผิดปกติต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ส่วนกลาง รวมถึงแจ้งเตือนเมื่ออุปกรณ์ใกล้ถึงเวลาบำรุงรักษาแบบเรียลไทม์ พร้อมสั่งการเพื่อดำเนินการตรวจสอบความผิดปกติต่าง ๆ จากศูนย์ควบคุมฯ ได้ทันที นอกจากนี้ยังช่วยประสานงาน กับหน่วยงานต่างๆ เช่น ตำรวจ โรงพยาบาล หรือช่างผู้เชี่ยวชาญได้ทันทีเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินได้อย่างทันท่วงที เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการต่อเหตุการณ์ได้อย่างแม่นยำ รวดเร็ว และแก้ไขปัญหาได้ตรงจุด โดยภายในศูนย์ควบคุมฯ จะมีเจ้าหน้าที่ผู้ชำนาญการ 2 ทีมประจำ 24 ชั่วโมง ตลอดทั้ง 7 วัน ผ่านหน้าจอมอนิเตอร์คมชัดระดับ HD จำนวน 12  จอที่จะรับสัญญาณตรงมาจากโครงการแบบเรียลไทม์ นายชาญ ศิริรัตน์ รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายบริหารทรัพยากรอาคารและวิศวกรรม บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด กล่าวเพิ่มเติมว่า ความร่วมมือกับแสนสิริในการจัดตั้ง Smart Command Centre จะช่วยสร้างความอุ่นใจและสบายใจให้กับลูกบ้านแสนสิริในโครงการที่พลัส พร็อพเพอร์ตี้บริหารจัดการ ทั้งในด้านการเฝ้าระวัง (Preventive Monitoring) และการดูแลรักษาเชิงป้องกัน (Preventive Maintenance ) สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับโครงการที่อยู่อาศัยให้โดดเด่นด้านมูลค่าเหนือคู่แข่งในทำเลเดียวกัน จากระดับความปลอดภัยในการอยู่อาศัยและความสามารถในการดูแลรักษาโครงการให้มีประสิทธิภาพสวยงามอยู่เสมอ ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการตัดสินใจเช่าและการซื้อขายเปลี่ยนมือ รวมถึงช่วยบริหารค่าส่วนกลางได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วย “ในปลายปี 2561 นี้ Smart Command Centre จะเริ่มเชื่อมต่อข้อมูลจาก 4 โครงการ ประกอบด้วย โครงการคอนโดมิเนียม เดอะ เทอร์ทีไนน์ สุขุมวิท 39, โครงการ เดอะ ไลน์ อโศก-รัชดา, โครงการ เดอะ ไลน์ ราชเทวี และโครงการบ้านเดี่ยวคณาสิริ พระราม 2 – วงแหวน นอกจากนี้ในปี 2562 เรามีแผนที่จะเชื่อมต่อ Smart Command Centre เข้ากับโครงการแนวราบ 11 โครงการ และโครงการแนวสูงที่จะแล้วเสร็จทั้งหมด ในอนาคต แสนสิริ และพลัสฯ ยังมีแผนการต่อยอดขอบข่ายการทำงานของ Smart Command Centre ทั้งในด้านของการบริหารความปลอดภัย ที่จะเพิ่มการเชื่อมต่อข้อมูลจากระบบ Visitor Management System ที่ใช้ในการจัดเก็บข้อมูลของผู้มาติดต่อทั้งหมด และระบบ Face Recognition ที่สามารถจัดเก็บภาพใบหน้า ลายนิ้วมือ และข้อมูลของผู้รับเหมา และในส่วนของ IoT Facility Management จะนำมาใช้ในการบริหารจัดการซื้อขายพลังงานไฟฟ้าแสงอาทิตย์ (Smart Grid) และการบำรุงรักษาเชิงป้องกัน (Preventive Maintenance) เพิ่มเติม   “นอกเหนือจากความสามารถด้านการบริหารจัดการด้านความปลอดภัย และการดูแลระบบวิศวกรรมอาคารส่วนกลาง แสนสิริและพลัสฯ ยังมีแผนขยายขีดความสามารถของ Smart Command Centre ไปยังการใช้งานระบบ Touch Points & Intelligent ซึ่งเป็นเครื่องมือในการรับฟังและตอบรับ ความต้องการของลูกค้าทั่วประเทศผ่านทั้งช่องทางโซเชียลมีเดียและ คอลล์เซ็นเตอร์ รวมถึง Sansiri Infrastructure ที่จะสร้างความมั่นใจในความพร้อมเรื่อง CRM, Salesforce, Data Warehouse ต่าง ๆ เพื่อยกระดับประสิทธิภาพการดูแลลูกบ้านตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งทั้งหมดนี้ คือบริการจากแสนสิริและพลัสฯ ที่พัฒนาด้วยความใส่ใจ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดในการให้บริการและสร้างประสบการณ์การอยู่อาศัยที่สมบูรณ์แบบให้แก่ลูกบ้านแสนสิริครอบคลุมไปถึงในปี 2562” ดร. ทวิชากล่าว          
แสนสิริเผยโฉม “เดอะ ไลน์ อโศก-รัชดา” ชูโมเดลสมาร์ท  คอนโดเต็มรูปแบบแห่งแรกของแสนสิริ  ตอกย้ำผู้นำคอนโดมิเนียมอัจฉริยะผสานเทคโนโลยี IoT

แสนสิริเผยโฉม “เดอะ ไลน์ อโศก-รัชดา” ชูโมเดลสมาร์ท คอนโดเต็มรูปแบบแห่งแรกของแสนสิริ ตอกย้ำผู้นำคอนโดมิเนียมอัจฉริยะผสานเทคโนโลยี IoT

แสนสิริ ตอกย้ำความเป็นผู้นำในด้านผู้พัฒนานวัตกรรมเพื่อการใช้ชีวิตในยุคดิจิทัล เผยแผนพัฒนาสมาร์ท คอนโด ประกาศเดินหน้าใช้เทคโนโลยี Internet of Things (IoT) ในทุกโครงการคอนโดมิเนียมที่จะแล้วเสร็จตั้งแต่ปี 2562 เป็นต้นไป แบ่งแผนพัฒนาออกเป็น 3 ระดับตามเซ็กเมนต์โครงการ ตั้งแต่การควบคุมระบบพื้นฐานไปจนถึงอาคารอัจฉริยะเต็มรูปแบบ เน้นกลยุทธ์ในการยกระดับสมาร์ท คอนโด ของวงการอสังหาริมทรัพย์ ผ่านแนวคิด 3 ด้าน ได้แก่ iConvenience (ความสะดวกสบาย) iSafe (ความปลอดภัย) และ iGreen (ด้านประหยัดพลังงาน) ชู “เดอะ ไลน์ อโศก-รัชดา” โครงการภายใต้การร่วมทุนระหว่างแสนสิริและบีทีเอส กรุ๊ปฯ เป็นโมเดลสมาร์ท คอนโดแห่งแรกของแสนสิริ พร้อมยก ดิ เอดจ์ (The Edge) อาคารอัจฉริยะที่สุดในโลกของประเทศเนเธอร์แลนด์เป็นต้นแบบในการพัฒนาโครงการภายในปี 2563     ดร. ทวิชา ตระกูลยิ่งยง ประธานผู้บริหารสายงานเทคโนโลยีและวิเคราะห์ข้อมูล บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “แสนสิริเล็งเห็นถึงความสำคัญในเทรนด์ผู้อยู่อาศัยยุคใหม่ จึงนำแนวคิดการบริหารจัดการอาคารอัจฉริยะ ที่ใช้เทคโนโลยี IoT หรือ Internet of Things เข้าไปเชื่อมต่ออุปกรณ์กับซอฟต์แวร์และบริการที่มีภายในอาคาร ตั้งแต่ พื้นที่ส่วนกลางไปจนถึงภายในห้องพักอาศัย ยกระดับความสะดวกสบายและปลอดภัยให้แก่ลูกบ้าน และยังสามารถบริหารจัดการอาคารได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมช่วยควบคุมการทำงานเครื่องใช้ไฟฟ้าส่วนกลาง เช่น อุปกรณ์ดับเพลิง เครื่องปั่นไฟ ตู้ควบคุมระบบไฟฟ้าหลัก ลิฟต์ ปั๊มน้ำ ระบบท่อระบายน้ำและสระว่ายน้ำ ไปจนถึงการปรับสภาพอากาศภายในอาคาร (Heating, Ventilation and Air Conditioning : HVAC) ทำให้สามารถควบคุมอุณหภูมิให้อยู่ในสภาวะที่เหมาะสม เพื่อลดการใช้พลังงานเกินความจำเป็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสามารถช่วยคาดการณ์ความเสียหายของอุปกรณ์ต่าง ๆ (Preventive Maintenance) ให้สามารถวางแผนการซ่อมแซมได้อย่างทันท่วงที และช่วยประหยัดต้นทุนในการบริหารจัดการได้ในระยะยาว”     “จากความสำคัญดังกล่าว แสนสิริจึงได้วางแผนการพัฒนาสมาร์ท คอนโดออกเป็น 3 ระดับ ตามเซ็กเมนต์ที่แตกต่างกันของโครงการที่จะแล้วเสร็จตั้งแต่ปี 2562 ได้แก่ ระดับพื้นฐาน คือการใช้เทคโนโลยี IoT เข้ามาควบคุมระบบส่วนกลางของโครงการ ระดับปานกลาง คือการใช้เทคโนโลยี IoT เข้ามาควบคุมระบบพร้อมด้วยระบบ Building Automation System (BAS) ในการสั่งการระบบพื้นที่ส่วนกลาง ระดับสูงสุด คือสมาร์ท คอนโด ที่นำเทคโนโลยี IoT เข้ามาร่วมบริหารจัดการอาคารในการคาดการณ์ความเสียหายของอุปกรณ์ต่าง ๆ (Preventive Maintenance) เพิ่มศักยภาพในการบริหารจัดการให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น”     “แสนสิริ จึงได้นำแผนพัฒนาระดับสูงสุดดังกล่าวเข้ามาใช้ที่โครงการเดอะ ไลน์ อโศก-รัชดา ซึ่งเป็นโครงการภายใต้การร่วมทุนระหว่างแสนสิริและบีทีเอส กรุ๊ปฯ โครงการที่ 4 ที่สร้างเสร็จพร้อมอยู่แล้ววันนี้ ภายใต้คอนเซ็ปต์ Balance is Everything ที่ต้องการตอบสนองการใช้ชีวิตที่สมดุลให้กับคนเมือง ซึ่งประสบความสำเร็จจากการปิดการขายได้ทันทีในวันพรีเซลล์ และศักยภาพด้านทำเลใจกลางย่านธุรกิจแห่งใหม่ของกรุงเทพฯ อย่างย่านพระรามเก้า โดยโครงการได้รับผลตอบรับอย่างดีจากลูกค้า มียอดโอนแล้วเกือบ 40% เพียง 2 อาทิตย์หลังจากเริ่มโอน มั่นใจถึงเป้าที่ตั้งไว้ 80% ภายในปีนี้อย่างแน่นอน และอีกหนึ่งองค์ประกอบที่โดดเด่นของเดอะ ไลน์ อโศก-รัชดา คือ เทคโนโลยีสุดล้ำครอบคลุมทั้งการบริการจัดการระบบพลังงานและทรัพยากรต่าง ๆ ภายในอาคารแบบอัตโนมัติ พร้อมคาดการณ์การซ่อมบำรุง ทั้งระบบไฟฟ้า ระบบน้ำประปา ระบบระบายน้ำ ระบบการรักษาความปลอดภัย และระบบ Home Automation ภายในห้องพักอาศัยใน 3 ด้าน ได้แก่ iConvenience (ความสะดวกสบาย) iSafe (ความปลอดภัย) และ iGreen (ด้านประหยัดพลังงาน) เพื่ออำนวยความสะดวกในทุกมิติของการใช้ชีวิตของลูกบ้าน” ดร.ทวิชา กล่าว       นอกจากนี้ แสนสิริยังได้นำระบบลงทะเบียนอัจฉริยะสำหรับบุคคลภายนอกที่เข้ามาในโครงการได้เพียงใช้คิวอาร์โค้ด โดยลูกบ้านสามารถกำหนดวันและเวลา รวมทั้งบริเวณที่ผู้มาติดต่อสามารถเข้าถึงได้ (Smart Guest Registration) ซึ่งถือเป็นเทคโนโลยีที่แสนสิริสร้างสรรค์ขึ้นเข้ามาใช้ในโครงการนี้เป็นครั้งแรก นอกจากนี้ยังมี ศูนย์ควบคุมระบบการบริหารจัดการอาคารด้วยระบบ IoT of Building, ระบบควบคุมการใช้ไฟฟ้าส่วนกลาง (Smart Lighting Control), ระบบควบคุมการปิด-เปิดประตูหนีไฟ (Smart Door Safety Monitoring), ระบบสมาร์ทล็อคเกอร์และตู้จ่ายพัสดุอัติโนมัติเชื่อมต่อกับ iBox (Smart Delivery), แท่นชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า พร้อมบริการรถยนต์พลังงานไฟฟ้า Smartmove และสถานีชาร์จประจุไฟฟ้า โดยสามารถจองใช้บริการได้ง่าย ๆ บนแอพพลิเคชั่น Home Service, เครื่องซักผ้าอัจฉริยะ (Smart Wash), เครื่องรับคืนขวดพลาสติค (Refun Machine) และระบบเทเลคอมในอาคารจอดรถ     “ยิ่งไปกว่านั้น แสนสิริยังมุ่งมั่นที่จะก้าวข้ามขีดจำกัดในการพัฒนาการบริหารจัดการอาคารแบบสมาร์ท คอนโดให้เหนือขึ้นไปจากแผนพัฒนา 3 ระดับดังกล่าว โดยยกให้โครงการ ดิ เอดจ์ (The Edge) ประเทศเนเธอร์แลนด์ ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นอาคารอัจฉริยะที่สุดในโลกให้เป็นต้นแบบในการพัฒนาโมเดลสมาร์ท คอนโดในอนาคตของแสนสิริภายในปี 2563 ซึ่งโครงการดังกล่าวโดดเด่นด้านการใช้เทคโนโลยี IoT เข้ามาเชื่อมโยงการจัดการอาคารเข้ากับผู้ใช้งานหรือผู้อาศัยที่มีความต้องการและพฤติกรรมที่แตกต่างกัน (Personalization) ได้อย่างสมบูรณ์แบบในทุกมิติ โดยโครงการนี้ยังได้ชื่อว่าเป็นอาคารที่โดดเด่นด้านการจัดการพลังงานและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากที่สุดในโลก” ดร. ทวิชา กล่าวสรุป    
แสนสิริ จับมือไมโครซอฟท์-เอไอเอส เปิดตัว‘Mixed Reality (MR)’ ครั้งแรกในไทย!

แสนสิริ จับมือไมโครซอฟท์-เอไอเอส เปิดตัว‘Mixed Reality (MR)’ ครั้งแรกในไทย!

แสนสิริ ไมโครซอฟท์ และเอไอเอส เปิดตัวที่สุดนวัตกรรมเชื่อมโลกจริง และเสมือนจริง ‘Mixed Reality (MR)’ เป็นครั้งแรกของประเทศไทย กับ “MR Sales Gallery” จำลองสภาพแวดล้อมให้ลูกค้าได้สัมผัสบรรยากาศของโครงการที่พักอาศัยได้แบบอินเทอร์แอ็คทีฟด้วยฟังก์ชันในการออกแบบและปรับเปลี่ยนห้องตัวอย่างได้ในทุกมุมมอง สร้างประสบการณ์การซื้อที่อยู่อาศัย ดร. ทวิชา ตระกูลยิ่งยง ประธานผู้บริหารสายงานเทคโนโลยี บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แสนสิริมุ่งมั่นวิสัยทัศน์ Siri LifeTech ในการเป็นผู้นำทางด้านเทคโนโลยี ซึ่งได้ร่วมมือกับบริษัทผู้นำทางด้านไอที ไมโครซอฟท์และ เอไอเอส ร่วมมอบประสบการณ์ที่เหนือระดับแก่ลูกค้า โดยเปิดตัวสุดยอดนวัตกรรมเชื่อมโลกจริงและเสมือนจริง Mixed Reality (MR)  มาใช้เป็นครั้งแรกในไทยกับ  “MR Sales Gallery” จำลองสภาพแวดล้อมให้ลูกค้าได้สัมผัสบรรยากาศของโครงการที่พักอาศัยได้แบบอินเทอร์แอ็คทีฟ  ด้วยฟังก์ชันในการออกแบบและปรับเปลี่ยนห้องตัวอย่างได้ในทุกมุมมอง ซึ่งดิจิทัลแพลตฟอร์ม MR จะช่วยสร้างความแปลกใหม่และยกระดับประสบการณ์การซื้อที่อยู่อาศัยในวงการอสังหาริมทรัพย์ให้ล้ำไปอีกขั้น ขณะเดียวกัน MR ก็จะช่วยต่อยอดองค์ความรู้ทางด้านเทคโนโลยีให้กับพันธมิตรเอไอเอสและไมโครซอฟท์ เสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจอย่างต่อเนื่องอีกด้วย เทคโนโลยี Mixed Reality (MR) คือ การผสานจุดเด่นของเทคโนโลยี Virtual Reality (VR) และ Augmented Reality (AR) เข้าด้วยกัน และต่อยอดให้เหนือชั้นไปอีกขั้นด้วยการสร้างภาพจำลองที่ผู้ใช้งานสามารถมีปฏิสัมพันธ์ตอบได้ในสภาพแวดล้อมที่ผสานโลกจริงและโลกเสมือนจริงเป็นหนึ่งเดียว โดยเมื่อลูกค้าเข้าเยี่ยมชมห้องตัวอย่างดิจิทัล ลูกค้าจะต้องสวมอุปกรณ์ holographic computing devices ที่ถูกออกแบบมาเป็นพิเศษ เพื่อให้สามารถแสดงผลของภาพเสมือนจริงหรือภาพ Hologram ได้โดยไม่จำเป็นต้องเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ใดๆ ทั้งยังออกแบบให้ควบคุมได้ง่ายด้วยมือเปล่า ซึ่งจะทำให้ผู้สวมใส่เสมือนกำลังเดินอยู่ในสถานที่จริงของโครงการซึ่งสร้างเสร็จแล้ว ขณะเดียวกันก็ปรับแต่งการออกแบบและฟังก์ชันต่างๆ ได้ตามความต้องการของแต่ละบุคคลไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนย้าย เปลี่ยนขนาดเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งต่าง ๆ เปลี่ยนสี เปลี่ยนวัสดุชมทัศนียภาพจากหน้าต่างเหมือนดังสถานที่จริง ตลอดจนปรับบรรยากาศได้ตามแต่ละช่วงเวลา ซึ่งทั้งหมดนี้ช่วยให้ลูกค้าสามารถเห็นภาพจำลองของโครงการได้อย่างสมจริง ทั้งยังสอดรับเทรนด์ Customization ตามแนวคิดของแสนสิริในการพัฒนาสินค้าและบริการตามแนวความคิด customer-centric ที่รังสรรค์สินค้าและบริการตามความพึงพอใจและไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของลูกค้า นอกจากนี้ ลูกค้ายังสามารถบันทึกรูปแบบของห้องตัวอย่างที่ตนเองได้สร้างสรรค์ขึ้นเป็นไฟล์ภาพ หรือวีดิโอเพื่อประกอบการตัดสินใจแทนโบรชัวร์โครงการในอดีต "โซลูชั่น Mixed Reality (MR) จะกลายเป็นนวัตกรรมสำคัญที่จะขับเคลื่อนกลยุทธ์ทางการตลาดและขายโครงการ ช่วยยกระดับประสบการณ์ในการซื้ออสังหาริมทรัพย์ให้เหนือชั้นยิ่งกว่าเคย และสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันให้กับผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และช่วยอำนวยความสะดวกในการขายลูกค้าตลาดต่างประเทศ ซึ่งจะสามารถเยี่ยมชมโครงการได้แม้ไม่ได้เดินทางมาด้วยตัวเองในสถานที่จริง เพื่อเป็นข้อมูลในการประกอบการตัดสินใจซื้อได้อย่างแม่นยำ รวดเร็วยิ่งขึ้น" ดร. ทวิชา กล่าว ซึ่งแสนสิริมีแผนการในการนำร่องใช้งานห้องตัวอย่างดิจิทัล กับโครงการแสนสิริในเดือนกรกฎาคม 2561 นี้ และหลังจากนั้นจะมีการพัฒนาฟีเจอร์และการใช้งานในรูปแบบใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่องสำหรับการร่วมมือกันในครั้งนี้ ถือเป็นจุดเริ่มต้นในการต่อยอดนวัตกรรมระหว่างพันธมิตร ข้ามอุตสาหกรรมให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม และนำไปสู่การต่อยอดความเป็นพันธมิตรในระยะยาว เพื่อเดินหน้าพัฒนาต่อยอดโซลูชั่นและร่วมหาความเป็นไปได้ของนวัตกรรมอื่นๆ ที่จะมาเติมเต็ม Complete Living Experience ประสบการณ์การอยู่อาศัยของลูกค้าอย่างสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น นายธนวัฒน์ สุธรรมพันธุ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า จุดมุ่งหมายของไมโครซอฟท์คือการเสริมศักยภาพให้กับทุกคนและทุกองค์กรทั่วทุกมุมโลก เชื่อว่าเทคโนโลยี Mixed Reality จะเป็นเทคโนโลยีที่สามารถผสมผสานโลกดิจิทัลกับโลกแห่งความจริงเข้าไว้ด้วยกันได้อย่างลงตัว ต่อยอดจินตนาการได้อย่างเหนือชั้น และจะมีบทบาทสำคัญอย่างมาก ในการเชื่อมต่อความคิดของผู้คนเข้าไว้ด้วยกัน เปิดโอกาสให้เราได้สัมผัสกับความเป็นไปได้ใหม่ๆ ที่เหนือทุกความคาดหมาย สร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับลูกค้า ซึ่งจะทำให้เกิดรูปแบบใหม่ๆ ในการดำเนินธุรกิจที่อาศัยจุดเด่นและเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใครจากเทคโนโลยีนี้อีกด้วย นายปรัธนา ลีลพนัง หัวหน้าคณะผู้บริหารกลุ่มลูกค้าทั่วไป บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ด้วยวิสัยทัศน์ของเอไอเอส ในการนำศักยภาพด้านเครือข่ายและเทคโนโลยีดิจิทัล มาขยายบทบาทสู่การเป็น Digital Platform ของประเทศ เพื่อเป็นแกนกลางสนับสนุนการทำงาน ของพันธมิตรในทุกภาคส่วน ทุกอุตสาหกรรม ร่วมกันสร้างสรรค์นวัตกรรมดิจิทัลอันทันสมัย ขยายขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับภาคธุรกิจ สร้างการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลในภาพรวมของประเทศ รวมถึงยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับลูกค้าและประชาชนคนไทยได้อย่างยั่งยืน จึงเป็นการผนึกกำลังครั้งสำคัญที่จะนำความเชี่ยวชาญของทั้ง 3 บริษัทชั้นนำจาก 3 วงการ เพื่อเปิดประสบการณ์การอยู่อาศัยครั้งใหม่ โดยเอไอเอสได้พัฒนาดิจิทัลแพลตฟอร์มใหม่ที่ล้ำสมัยอย่าง Mixed Reality หรือ MR ที่ Customized ขึ้นมาด้วยทีมงานเอไอเอสผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีดิจิทัล และมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในการตอบโจทย์ประสบการณ์การซื้อที่อยู่อาศัย ของคนยุคใหม่ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยครั้งนี้ เราได้นำเทคโนโลยี MR มาประยุกต์ใช้ในห้องตัวอย่างในรูปแบบดิจิทัลให้กับทางแสนสิริ เพื่อมอบประสบการณ์เสมือนจริงยิ่งกว่า ในการเลือกชมและเลือกซื้อที่อยู่อาศัยที่สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของตัวเอง พลิกโฉมรูปแบบการชมห้องตัวอย่างจากเดิมที่เคยมีมา " ดิจิทัลแพลตฟอร์ม MR จะสามารถตอบโจทย์การทำธุรกิจ สร้างความแตกต่างและเสริมความแข็งแกร่งให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ถือเป็นการก้าวไปอีกขั้น ในฐานะผู้สร้างสรรค์ Digital Platform เพื่อทุกธุรกิจ ซึ่งเอไอเอสมีศักยภาพความพร้อมทั้งด้าน Digital Infrastructure และทีมงานผู้เชี่ยวชาญ รวมถึงพันธมิตรด้านเทคโนโลยีระดับโลกอย่างไมโครซอฟท์ ซึ่งมี Azure Cloud Platform ที่ทำให้ทีมงานของเอไอเอส สามารถออกแบบและ Customized ดิจิทัลโซลูชั่นส์และบริการใหม่ๆ ให้สอดคล้องกับลักษณะธุรกิจแต่ละประเภทโดยเฉพาะ ซึ่งเป็นการสร้าง Business Model ใหม่ๆ ให้กับตลาดอีกด้วย” นายปรัธนา กล่าว
แสนสิริดึงเทคโนโลยีระดับโลก “Amazon Web Services” ก้าวสู่การเปลี่ยนแปลงทางนวัตกรรมการอยู่อาศัยตอบโจทย์โลกยุคดิจิทัล

แสนสิริดึงเทคโนโลยีระดับโลก “Amazon Web Services” ก้าวสู่การเปลี่ยนแปลงทางนวัตกรรมการอยู่อาศัยตอบโจทย์โลกยุคดิจิทัล

แสนสิริดึงเทคโนโลยีระดับโลก “Amazon Web Services” ก้าวสู่การเปลี่ยนแปลงทางนวัตกรรมการอยู่อาศัยตอบโจทย์โลกยุคดิจิทัล นำร่องด้วย Artificial Intelligence solutions จาก Amazon Web Services ระบบสั่งงานด้วยเสียงภาษาไทยครั้งแรกปี’61 พร้อมวางแผนสานต่อพัฒนานวัตกรรมการอยู่อาศัยระดับโลกระยะยาวร่วมกันในอนาคต “แสนสิริ” ตอกย้ำความเป็นผู้นำ Proptech ในประเทศไทย ดึงเทคโนโลยีจากบริษัทระดับโลก “Amazon Web Services” ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มด้านไอทีผ่านอินเทอร์เน็ต ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ Amazon.com ที่มีบริการหลากหลายรวมทั้งแพลตฟอร์มปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence หรือ AI) โดยร่วมมือกับเดลิเทค พันธมิตรผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนานวัตกรรม และเทคโนโลยีบนคลาวด์ ก้าวสู่การเปลี่ยนแปลงทางนวัตกรรมการอยู่อาศัยที่สำคัญ เรียกว่า 'The New Era of Limitless Living' พร้อมเติมเต็มการใช้ชีวิตในโลกยุคดิจิทัลไม่รู้จบ นำร่องพัฒนาระบบสั่งงานด้วยเสียงภาษาไทยครั้งแรกด้วยเทคโนโลยี Artificial Intelligence solutions จาก Amazon Web Services ให้เป็นผู้ช่วยส่วนตัวอัจฉริยะครบวงจร บนแพลทฟอร์มชั้นนำของโลก พร้อมให้บริการเต็มรูปแบบในปี 2561 อนาคตเดินหน้าสานต่อพัฒนานวัตกรรมการอยู่อาศัยระดับโลกร่วมกันในระยะยาว ดร. ทวิชา ตระกูลยิ่งยง ประธานผู้บริหารสายงานเทคโนโลยีและวิเคราะห์ข้อมูล บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ปีนี้นับเป็นปีแห่งการปรับเปลี่ยนองค์กรของแสนสิริอย่างรอบด้านเพื่อให้บริษัทฯ เติบโตและรักษาความเป็นผู้นำได้อย่างยั่งยืน สิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัดคือการลงทุนด้านนวัตกรรม เพราะประสบการณ์เกือบ 35 ปีของเราในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ทำให้แสนสิริเห็นความเปลี่ยนแปลงในไลฟ์สไตล์และความต้องการของลูกค้าในยุคที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล เราเชื่อว่าเทคโนโลยีจะตอบโจทย์ของลูกค้าได้ดี จึงได้พยายามนำเทคโนโลยีมาต่อยอดใช้ประโยชน์ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในมิติใหม่ๆ อย่างไม่หยุดยั้ง  เพื่อยกระดับการบริการที่ตรงกับไลฟ์สไตล์ของลูกบ้านและรักษาความเป็นผู้นำในการบุกเบิกและพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการอยู่อาศัยของวงการอสังหาริมทรัพย์” แสนสิริเป็นบริษัทที่เน้นการพัฒนาจากมุมมองของลูกค้า มองลูกค้าเป็นศูนย์กลาง Customer Centric ทั้งนี้เป็นความโชคดีที่น่าภาคภูมิใจของแสนสิริที่เราสามารถสร้างข้อได้เปรียบในการทำธุรกิจจาก DNA ของทุกคนในองค์กรที่ทำงานด้วยทัศนคติการเปิดรับและพัฒนาสิ่งใหม่ๆอย่างไม่หยุดนิ่ง  ที่เราไม่เพียงจะมาช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีแต่เพียงเท่านั้น แต่ยังคำนึงถึงการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีต่างๆ ควบคู่ไปกับการวิจัยและพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง ทั้งด้วยตัวเองและร่วมกับพันธมิตรชั้นนำ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกบ้านอย่างตรงจุด เราเข้าใจว่าลูกค้าต้องการอะไร    ไลฟ์สไตล์เป็นแบบไหน ซึ่งเราจะต้องพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีต่างๆอย่างต่อเนื่อง เพราะความต้องการของลูกค้าไม่เคยหยุดนิ่ง เพื่อให้ "เติมเต็มการอยู่อาศัยอย่างสมบูรณ์แบบ (Complete Your Living Experience)" “ในปีนี้แสนสิริได้เดินหน้ารุก Innovation อย่างเต็มที่ โดยเราอยู่ระหว่างการสร้าง Innovation Center เพื่อให้เป็นแหล่งแสดงผลงาน และเป็นศูนย์กลางการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมการอยู่อาศัยของแสนสิริโดยเฉพาะ  พร้อมทั้งแสวงหาพันธมิตรที่มีศักยภาพระดับโลกและมีวิสัยทัศน์ตรงกันในการมองความต้องการของลูกค้าเป็นสำคัญ และพัฒนาสินค้าและบริการจากมุมมองของลูกค้าเป็นหลัก ซึ่งความร่วมมือกับพันธมิตรระดับโลกที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางอย่างอะเมซอนและเดลิเทคในวันนี้ จะทำให้ก้าวสู่การเปลี่ยนแปลงทางนวัตกรรมการอยู่อาศัยที่สำคัญ เรียกว่า 'The New Era of Limitless Living' ที่จะช่วยเติมเต็มการใช้ชีวิตในโลกยุคดิจิทัลไม่รู้จบในทุกๆ ด้าน” ดร.ทวิชา กล่าวเสริม การทำงานร่วมกันในครั้งนี้  ใช้เทคโนโลยีจากบริษัทระดับโลกอย่าง “Amazon Web Services” โดยเริ่มจากการพัฒนาแอพพลิเคชั่น Home Service ของแสนสิริให้เป็น “ผู้ช่วยส่วนตัวอัจฉริยะ” โดยการใช้เทคโนโลยี Artificial Intelligence solutions จาก Amazon Web Services ซึ่งเป็นแพลทฟอร์มสำหรับฟังก์ชั่นการสั่งงานด้วยเสียงที่ใช้งานง่ายและเป็นธรรมชาติ นับเป็นการปฏิวัติรูปแบบการใช้ชีวิตของผู้ใช้แอพพลิเคชั่นให้สามารถจัดการเรื่องราวต่าง ๆ ได้จากทุกที่ ทุกเวลา เพื่อความสะดวกสบายของลูกค้าตอบโจทย์การอยู่อาศัยในยุคดิจิทัล ดร.ชวพล จริยาวิโรจน์ ผู้จัดการประจำประเทศไทยบริษัท อะเมซอน เว็บ เซอร์วิสเซส (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวถึงว่า “เรามีความยินดีที่แสนสิริและเดลิเทค ได้เลือกเทคโนโลยีของ Amazon Web Services นำร่องด้วยเทคโนโลยี Artificial Intelligence มาใช้ในการเดินหน้าสู่การปฏิวัติองค์กร  ด้วยความมุ่งมั่นของ Amazon Web Services ในการพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ อย่างไม่หยุดยั้งให้กับลูกค้า และการที่แสนสิริเดินหน้าปรับเปลี่ยนองค์กรสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ สะท้อนให้เห็นว่าทั้งสองบริษัทมีวิสัยทัศน์สอดคล้องกัน โดยคำนึงถึงลูกค้าเป็นสำคัญ” ความสำเร็จครั้งนี้จึงเป็นการเดินทางมาบรรจบกันอย่างลงตัวของโลกเทคโนโลยีและโลกอสังหาริมทรัพย์ของประเทศไทย ผู้ที่จะได้ประโยชน์สูงสุดก็คือลูกค้าและผู้ใช้งานที่เชื่อมั่นได้ว่าจะได้รับประสบการณ์การใช้ชีวิตอย่างสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น ดร.วิชญ์ เนียรนาทตระกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เดลิเทค จำกัด ผู้เป็นพันธมิตรด้านเทคโนโลยีในการทำงานร่วมกันครั้งนี้  กล่าวถึงการพัฒนาความสามารถของเทคโนโลยี Artificial Intelligence solutions จาก Amazon Web Services ในการรองรับภาษาไทยสำหรับแสนสิริว่า “บริษัทเดลิเทคมีความยินดี ที่ได้มีส่วนร่วมในการพัฒนานวัตกรรมสำหรับแสนสิริ เรานำเทคโนโลยีจาก Amazon Web Services ที่มีจุดเด่นคือใช้งานง่าย มีการบริการที่หลากหลาย และเปิดให้นักพัฒนาสามารถนำมาต่อยอดเพื่อให้เกิดบริการใหม่ ๆ โดยเดลิเทคได้คัดสรรฟังก์ชั่นที่จะนำร่องให้บริการเกี่ยวกับความสะดวกสบายของลูกบ้านแสนสิริพร้อมใช้งานในปี 2561 ดังนี้ การรับคำสั่งพื้นฐานของฟังก์ชั่นต่างๆ ที่สอดรับกับการดำเนินชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการตรวจสอบยอดค่าน้ำ ตรวจเช็คพัสดุ การจองและตรวจสอบสถานะการใช้งานของห้องส่วนกลาง รวมถึงสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ในโครงการ เช่น การเปิดจองบริการของห้องโยคะ เป็นต้น Sansiri Home Automation Control เชื่อมต่อกับอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าได้อย่างง่ายดาย ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์ใดก็สามารถสั่งงานได้ด้วยการใช้เสียง ทั้ง เปิด-ปิดไฟ เครื่องปรับอากาศ ม่านไฟฟ้า หรือเปิด-ปิดเปลี่ยนช่องโทรทัศน์ เพิ่มขีดความสามารถในการใช้งานให้โต้ตอบได้หลากหลายมากขึ้น สามารถให้ข้อมูลพื้นฐานต่างๆ ได้ เช่น พยากรณ์อากาศ เช็คสภาพการจราจร สรุปข่าวรายวัน ฯลฯ ซึ่งผู้ใช้สามารถสั่งการทำงานไม่ว่าจะอยู่ในมุมไหนของห้องก็ตาม ตอบรับชีวิตยุคดิจิทัลด้วยการเชื่อมต่อความสนุกอย่างไม่รู้จบ สามารถฟังเพลงไทย หรือรับคลื่นวิทยุในประเทศไทย ดร. ทวิชา กล่าวสรุปว่า “แสนสิริจะยังคงนำเทคโนโลยีระดับโลกจาก Amazon Web Services มาใช้เพื่อพัฒนาบริการและฟังก์ชั่นใหม่ๆ ของ Home Service Application อย่างต่อเนื่อง โดยทำงานอย่างใกล้ชิดกับเดลิเทค ซึ่งจะทำให้แสนสิริมีนวัตกรรมต่างๆ มาสู่ลูกค้าได้อย่างง่ายดาย และมีประสิทธิภาพ โดยในอนาคตจะมุ่งเน้นบริการที่ครบวงจรและแตกต่าง ครอบคลุมตั้งแต่สุขภาพ อาหาร การเดินทาง ช้อปปิ้ง รวมทั้งการนำเทคโนโลยีอัจฉริยะของ Amazon Web Services เข้ามายกระดับศักยภาพด้านการขาย การทำธุรกิจ และบริการของแสนสิริอีกด้วย เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า เติมเต็มไลฟ์สไตล์และประสบการณ์ของลูกค้าอย่างครบวงจร นอกจากนี้ในอนาคตแสนสิริจะตอกย้ำจุดยืนของแสนสิริในฐานะ market shaper ที่ไม่หยุดยั้งในการสรรหาความเชี่ยวชาญจากบริษัทระดับโลก มาช่วยยกระดับการให้บริการ สามารถมอบประสบการณ์การอยู่อาศัยเหนือความคาดหมายให้ลูกค้า และเปิดให้ลูกค้าได้สัมผัสประสบการณ์แบบ Glocal (Global+Local) หรือการที่ลูกค้าได้มีโอกาสใช้ชีวิตระดับโลกได้อย่างง่ายๆ” เตรียมสัมผัสความอัจฉริยะของการสั่งงานภาษาไทยด้วยเทคโนโลยี Artificial Intelligence solutions จาก Amazon Web Services ที่รองรับทุกสำเนียงภาษา ที่พร้อมจะให้บริการแก่ลูกบ้านโครงการของแสนสิริอย่างเต็มรูปแบบในปี 2561 โดยสามารถติดตามรายละเอียดความเคลื่อนไหวด้านนวัตกรรมการอยู่อาศัยที่แสนสิริมุ่งมั่นพัฒนาอย่างต่อเนื่องได้ที่ www.sansiri.com