Tag : นายวิทการ จันทวิมล

4 ผลลัพธ์
‘เอพี ไทยแลนด์’ รุกตลาดซูเปอร์ลักชัวรี่ เปิดตัวคฤหาสน์หรู THE PALAZZO ศรีนครินทร์ รับตลาดอสังหาฯ โค้งสุดท้ายสดใส

‘เอพี ไทยแลนด์’ รุกตลาดซูเปอร์ลักชัวรี่ เปิดตัวคฤหาสน์หรู THE PALAZZO ศรีนครินทร์ รับตลาดอสังหาฯ โค้งสุดท้ายสดใส

เอพี ไทยแลนด์ ผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์สำหรับคนเมืองมั่นใจตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยโค้งสุดท้ายยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง เผยแผนธุรกิจไตรมาส 4/2561 เปิดเกมรุกตลาดบ้านเดี่ยวซูเปอร์ลักชัวรี่ อีกหนึ่งกลยุทธ์สู่การเติบโตในระยะยาว ด้วยโครงการ ‘THE PALAZZO ศรีนครินทร์’ คฤหาสน์หรูบนที่ดินล้ำค่าผืนสุดท้ายที่ดีที่สุดบนถนนศรีนครินทร์ แตกต่างด้วยการผสานเสน่ห์งานศิลป์เข้ากับการออกแบบสถาปัตยกรรมที่ทรงคุณค่า เพียง 52 ยูนิต เริ่ม 29 ล้านบาท เตรียมเปิดตัว 18 โครงการใหม่ มูลค่ารวมกว่า 31,230 ล้านบาท ด้านผลงาน 9 เดือนที่ผ่านมามียอดขายแล้วกว่า 30,700 ล้านบาท คิดเป็น 77% ของเป้ายอดขายที่ปรับขึ้นใหม่เป็น 39,800 ล้านบาท   THE PALAZZO ศรีนครินทร์ มาพร้อมคอนเซปต์ ‘Masterpiece for Generations’ สุนทรียะแห่ง การอยู่อาศัยเหนือระดับ ใส่ใจในทุกรายละเอียด ตั้งอยู่บนพื้นที่รวม 31 ไร่ แวดล้อมด้วยพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ เป็นความสง่างามบนถนนศรีนครินทร์ ประหนึ่งของขวัญล้ำค่าที่พร้อมส่งมอบให้กับคนรุ่นถัดไป ด้วยความ-พิเศษเพียง 52 ยูนิตเท่านั้น พร้อมเปิดให้เข้าชมโครงการตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ราคาเริ่มต้น 29 - 60 ล้านบาท นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์องค์กร และการสร้างสรรค์ บมจ. เอพี (ไทยแลนด์) กล่าวว่า “ตลาดอสังหาฯ ไตรมาสสุดท้ายมีแนวโน้มการเติบโตดี กำลังซื้อในธุรกิจอสังหาฯ ยังมีอยู่ สถานการณ์โดยรวมของตลาดมีสัญญาณการตอบรับที่ดีโดยเฉพาะเซกเมนต์สินค้าระดับกลางบนที่โฟกัสทำเลใจกลางเมือง ยังคงได้รับความสนใจจากกลุ่มลูกค้าครอบครัวคนเมือง สะท้อนได้จากยอดขาย 9 เดือนที่ผ่านมาของเอพี มียอดขายแล้วกว่า 30,700 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากทั้งการเปิดตัวคอนโดมิเนียมใหม่ คอนโดมิเนียมที่อยู่ระหว่างการพัฒนา (Existing Projects) รวมถึงโครงการแนวราบซึ่งมีสัดส่วนการเติบโตทางยอดขายที่ดีขึ้นเช่นกัน” “ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี บริษัทฯ ยังคงสานต่อกลยุทธ์การดำเนินงานสู่ความสำเร็จที่วางไว้ ด้วยการรุกตลาดซูเปอร์ลักชัวรี่ ในกลุ่มสินค้า THE PALAZZO ที่ประสบความสำเร็จอย่างมากและเป็นที่ยอมรับของผู้บริโภค เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าระดับบน ที่มองหาที่อยู่อาศัยพรีเมี่ยมในทำเลศักยภาพ ด้วยการออกแบบภาพลักษณ์โครงการใหม่ที่สอดรับกับพฤติกรรมลูกค้าในปัจจุบัน โดยพร้อมเปิดตัวคฤหาสน์หรูโมเดลใหม่เป็นโครงการแรก ที่ ‘THE PALAZZO ศรีนครินทร์’ โครงการแฟล็กชิพระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ที่ได้รับการออกแบบให้เหมาะสำหรับการอยู่อาศัย ภายใต้คอนเซปต์ Masterpiece for Generations ที่พร้อมส่งมอบเป็นมรดกล้ำค่าแก่สมาชิกในครอบครัวทุกเจนเนอเรชั่น” นายวิทการกล่าว “ทั้งนี้ จุดต่างของแบรนด์ THE PALAZZO คือการผสานความงดงามของศิลปะสไตล์ American Neo Classic เข้ากับการพัฒนาโครงการ จนเกิดเป็นงานสถาปัตยกรรมที่สวยงามข้ามกาลเวลา ภายใต้แนวคิด ‘แอนทีเบลลัม (Antebellum Architectural)’ ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะทาง ด้วยงานสถาปัตยกรรมที่โดดเด่น ทั้งรูปร่างอาคารที่สมมาตร (Symmetrical Shape) สามเหลี่ยมจั่วด้านหน้าอาคาร (Triangular Pediment) เสาที่สูงขึ้นไปจนเต็มความสูงอาคาร (Tall Column) แนวระเบียงรอบตัวอาคาร (Balcony) และจุดเด่นที่สำคัญที่งานสถาปัตยกรรมส่งผลไปสู่การออกแบบพื้นที่ใช้สอยภายในคือ การมีบานหน้าต่างที่อยู่รายล้อมบ้าน ส่งผลให้ทุกห้องภายใน THE PALAZZO เชื่อมต่อกับพื้นที่ภายนอกผ่านบานหน้าต่างหรือช่องแสงได้ทุกพื้นที่บ้าน” นายวิทการกล่าวเสริม   นอกจากนั้นแล้ว โครงการยังได้รับการพัฒนาภายใต้แนวคิด Landscape within Landscape ซึ่งหมายถึงนอกจากความตั้งใจในการจัดวางงานภูมิสถาปัตยกรรมภายในให้ร่มรื่น เป็นส่วนตัวด้วยจำนวนยูนิตเพียง 52 ยูนิตแล้ว ที่ตั้งของโครงการยังถือเป็นที่ดินผืนเดียวและผืนสุดท้ายที่แวดล้อมด้วยปอดขนาดใหญ่ กับพื้นที่สีเขียวจากสวนหลวง ร.9 โครงการแก้มลิงตามพระราชดำริฯ บึงหนองบอน สวนวนธรรม และสนามกอล์ฟศรีนครินทร์ THE PALAZZO ศรีนครินทร์ ได้รับการออกแบบให้เป็นมาสเตอร์พีซจากรุ่นสู่รุ่น เพียงแห่งเดียวบนถนนศรีนครินทร์ (Land of Longevity) มอบความสงบและเป็นส่วนตัว ปลีกตัวจากความวุ่นวายของเมืองใหญ่แก่ 52 ครอบครัวเท่านั้น สะดวกสบายด้วยทำเลที่เข้าถึงได้ทุกการเดินทาง เชื่อมต่อกับตัวเมืองทั้งถนนสุขุมวิท ถนนพัฒนาการ และถนนบางนา-ตราด อีกทั้งยังใกล้รถไฟฟ้าสายสีเหลือง (ลาดพร้าว-สำโรง) ที่จะสร้างเสร็จในปี 2564 โดยยังรายล้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างครบครัน ทั้งแหล่งช้อปปิ้ง สถานศึกษา สถานพยาบาล และเดินทางสะดวกสู่สนามบินสุวรรณภูมิ   คฤหาสน์หรู THE PALAZZO ศรีนครินทร์ เอกสิทธิ์พิเศษสำหรับ 52 ครอบครัวเท่านั้น ทุกพื้นที่ใช้สอยภายในโครงการล้วนได้รับการออกแบบโดยคำนึงถึงการพักผ่อนที่เป็นส่วนตัวสูงสุด (Ultimate Retreat) ด้วยแบบบ้าน 3 Type ที่สอดรับกับจำนวนสมาชิกในครอบครัวที่แตกต่างกัน 1) ANTONIO คฤหาสน์ 2 ชั้น 4 ห้องนอน 5 ห้องน้ำ 3 ที่จอดรถ พื้นที่ใช้สอย 391 ตารางเมตร พื้นที่ 102 ตารางวา  2) MONTICELLO คฤหาสน์ 2 ชั้น 5 ห้องนอน 6 ห้องน้ำ 4 ที่จอดรถ พื้นที่ใช้สอย 528 ตารางเมตร พื้นที่ 125 ตารางวา 3) LORENZO คฤหาสน์ 2 ชั้น 5 ห้องนอน 6 ห้องน้ำ 4 ที่จอดรถ พื้นที่ใช้สอย 547 ตารางเมตร พื้นที่ 160 ตารางวา  พร้อม Clubhouse สระว่ายน้ำระบบเกลือ ฟิตเนส และ Social Club ขนาดใหญ่ รองรับกิจกรรมสำหรับครอบครัวตลอด 365 วัน เอกสิทธิ์ของการใช้ชีวิตเหนือระดับ เริ่มต้น 29 – 60 ล้านบาท ทั้งนี้ ณ 9 เดือนแรก บริษัทฯ สามารถสร้างยอดขายมูลค่า 30,700 ล้านบาท คิดเป็น 77% ของเป้ายอดขายใหม่ ที่ปรับขึ้นใหม่เป็น 39,800 ล้านบาท ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2561 บริษัทฯ เตรียมเปิดตัวโครงการอีก 18 โครงการ มูลค่า 31,230 ล้านบาท โดยเป็นคอนโดมิเนียม 2 โครงการ มูลค่า 14,000 ล้านบาท บ้านเดี่ยว 6 โครงการ มูลค่า 7,840 ล้านบาท และทาวน์โฮม 10 โครงการ มูลค่า 9,390 ล้านบาท พร้อมโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนา (Existing Projects) อีกกว่า 90 โครงการ ซึ่งมั่นใจว่าจะสามารถสร้างยอดขายได้เกินเป้าหมายใหม่ที่ตั้งไว้   “โดยเอพียังคงมุ่งสานต่อเป้าหมายในการรักษาความเป็นผู้นำตลาดอย่างต่อเนื่อง เราพร้อมเปิดตัวสินค้าใหม่ เน้นย้ำจุดแข็งทั้ง ‘การเป็นหนึ่งเดียวเรื่องทำเลที่ตั้ง’ ‘การพัฒนานวัตกรรมดีไซน์และแบบบ้านโมเดลใหม่ๆ’ ความโดดเด่นด้านแนวคิดของ ‘การดีไซน์พื้นที่’ ที่สร้างความแตกต่างให้กับการอยู่อาศัย พร้อมการออกแบบ ที่สอดรับกับพฤติกรรมลูกค้าครอบครัวเมือง รวมถึงรูปลักษณ์และฟังก์ชั่นการใช้งานภายใน ซึ่งเอพีเชื่อมั่นว่าทั้งหมดนี้จะได้รับการตอบรับที่ดี และเราจะสามารถบรรลุยอดขายเป้าหมายใหม่ที่ตั้งไว้ โดยในช่วงไตรมาสสุดท้ายนี้เอพียังคงเดินหน้าเปิดตัวโครงการที่จับกลุ่มเป้าหมายระดับกลางถึงระดับบน ด้วยแพคเกจราคาขายที่ครอบคลุมความสามารถในการซื้อของคนเมืองในปัจจุบัน ที่เริ่มตั้งแต่ 2 ล้านบาท จนถึงกลุ่มสินค้าระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ ที่เริ่มต้นในราคา 29 ล้านบาทเป็นต้นไป” นายวิทการกล่าวสรุป   สรุปในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา บริษัทฯ สร้างยอดขายรวมได้แล้วถึง 30,700 ล้านบาท แบ่งเป็นยอดขายจากคอนโดมิเนียม มูลค่า 15,080 ล้านบาท แนวราบมูลค่า 15,620 ล้านบาท มีสินค้ารอรับรู้รายได้ (Backlog) มูลค่ามากถึง 55,240 ล้านบาท เป็นโครงการแนวราบมูลค่าราว 10,035 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะรับรู้ทั้งหมดภายในปีนี้ และคอนโดมิเนียมมูลค่า 45,205 ล้านบาท (รวมโครงการร่วมทุน) โดยจะทยอยรับรู้ไปจนถึงปี 2566
‘เอพี ไทยแลนด์’ จับมือ ‘มูจิ’ ไลฟ์สไตล์แบรนด์ดังระดับโลก นำเสนอพื้นที่พักอาศัยสไตล์ญี่ปุ่น ผสานชีวิตส่วนตัวและการทำงานอย่างลงตัว

‘เอพี ไทยแลนด์’ จับมือ ‘มูจิ’ ไลฟ์สไตล์แบรนด์ดังระดับโลก นำเสนอพื้นที่พักอาศัยสไตล์ญี่ปุ่น ผสานชีวิตส่วนตัวและการทำงานอย่างลงตัว

บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านการพัฒนาโครงการ อสังหาริมทรัพย์และเจ้าแห่งนวัตกรรมคอนโดมิเนียมเพื่อส่งมอบ ‘คุณภาพชีวิตที่สมบูรณ์อย่างยั่งยืน’ จับมือ ไลฟ์สไตล์แบรนด์ยักษ์ใหญ่ที่ได้รับความนิยมอย่างสูงจากกลุ่มผู้บริโภคทั่วโลก มูจิ ประเทศไทย (MUJI) ร่วมนำเสนอการดีไซน์ห้องชุดสู่อัตลักษณ์ใหม่ของสเปซคุณภาพ ที่ตอบรับไลฟ์สไตล์ชีวิตในอนาคต ด้วยดีไซน์พื้นที่การใช้ชีวิตที่ผสานชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัว ผ่านความเชี่ยวชาญในการสร้างสรรค์สเปซสำหรับการอยู่อาศัยของเอพี และความชำนาญในเรื่องการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ให้ความสำคัญกับฟังก์ชั่นการใช้งาน เพื่อการอยู่อาศัยอย่างพอเพียง พอดีและเป็นมิตรกับโลกของมูจิ นำร่องโครงการแรก Life  ปิ่นเกล้า ไฮเอ็นด์คอนโดพร้อมเข้าอยู่แห่งแรกและแห่งเดียวใจกลางปิ่นเกล้า ราคาเริ่มต้น 2.49 ล้านบาท พร้อมเปิดชมห้องจริงแล้ววันนี้ นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานธุรกิจคอนโดมิเนียม บมจ. เอพี (ไทยแลนด์) กล่าวว่า “ด้วยประสบการณ์มากกว่า 25 ปีของเราที่เข้าใจการใช้ชีวิตและไลฟ์สไตล์คนเมือง เรามีความเชี่ยวชาญในการออกแบบพื้นที่การใช้ชีวิตคุณภาพ เอพีจึงมุ่งนำเสนอการออกแบบที่อยู่อาศัยร่วมกันแห่งอนาคต ผ่านวิธีการมองสเปซในทุกมิติ โดยเฉพาะการใช้ชีวิตในคอนโดมิเนียมที่ทุกตารางนิ้วมีคุณค่า จึงต้องใช้ได้อย่างมากประโยชน์ ในครั้งนี้เราได้ผสานความเชี่ยวชาญในการบริหารสเปซของเรา ผนวกกับความเป็น Function Expert ของ  MUJI ที่มีความเป็นเอกลักษณ์และแตกต่างจากแบรนด์อื่นๆ นอกจากจะโดดเด่นในเรื่องความเรียบง่ายของผลิตภัณฑ์แล้ว แนวคิดการออกแบบของมูจิที่ละเอียดอ่อนในทุกๆขั้นตอน ยังสามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์และการใช้ชีวิตของคนไทยยุคใหม่ ในขณะเดียวกันก็สามารถใช้งานได้อย่างเกิดประโยชน์สูงสุดทุกตารางนิ้ว” “โปรเจคพิเศษการออกแบบห้องชุด 1 Bedroom plus ขนาด 35 ตร.ม. โครงการ Life ปิ่นเกล้า โดดเด่นด้วยการโชว์เอกลักษณ์วัสดุจากธรรมชาติ อาทิ ลวดลายไม้ หิน และสวนแนวตั้ง ภายใต้วิธีคิดการวางแผนการใช้ชีวิตด้วยการออกแบบอย่างมีประสิทธิภาพและผลิตภัณฑ์ตกแต่งมากประโยชน์ของมูจิ ทำให้เกิดความลงตัวของการผสานพื้นที่ส่วนตัวและชีวิตการทำงานเข้าไว้ด้วยกัน ในคอนเซปต์ “Co-working Space Insert layout” จัดสรรพื้นที่ห้องนั่งเล่นเป็นพื้นที่ทำงาน ที่ผสานได้อย่างลงตัวกับการใช้ชีวิตประจำวัน ชั้นวางของ และตู้เก็บของสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามการใช้งาน พื้นที่ทำงานขนาดใหญ่รองรับการทำงานเป็นกลุ่ม ทั้งยังสามารถใช้เป็นพื้นที่สำหรับพักผ่อนได้ ผนังห้องสามารถใช้เขียน หรือปรับเปลี่ยนเป็นพื้นที่สำหรับฉายโปรเจคเตอร์ หรือสามารถตกแต่งเพื่อความสวยงามได้เช่นเดียวกัน” นายวิทการ กล่าวเสริม มร. อากิฮิโระ คาโมโกริ กรรมการผู้จัดการ บจก. มูจิ รีเทล (ประเทศไทย) กล่าวว่า “แบรนด์ MUJI เติบโตอยู่บนแนวคิดเชิงพัฒนาที่แตกต่างจากไลฟ์สไตล์แบรนด์อื่นๆ ที่เน้นความชัดเจนในด้านคอนเซปท์ด้วยแนวคิด Compact Life โดยผลิตภัณฑ์ต่างๆ ได้รับการออกแบบอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อการใช้งานจริงได้อย่างหลากหลาย ด้วยความโดดเด่นของการเลือกใช้วัสดุอิงธรรมชาติ  พร้อมด้วยโทนสีที่เน้นความสุขุมของผลิตภัณฑ์ ที่จะช่วยขับความโดดเด่นของงานอินทีเรียดีไซน์เพื่อสร้างสเปซให้เด่นยิ่งขึ้น พร้อมส่งเสริมความสำเร็จในการใช้ชีวิตที่เรียบง่ายและยั่งยืน และสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการใช้งานของผู้ใช้แต่ละคน ” โครงการ Life ปิ่นเกล้า คอนโดมิเนียม 23 ชั้น บนเนื้อที่ 4.3 ไร่ มีทั้งหมด 803 ยูนิต ตั้งอยู่ห่างจากรถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงิน สถานีบางยี่ขันเพียง 40 เมตร ผสมผสานรูปแบบแนวคิดญี่ปุ่น ที่มีความละเมียดละไม ทั้งยังนำความเป็นธรรมชาติเข้ามาอยู่ใกล้ตัวมากขึ้น ด้วยสระว่ายน้ำบรรยากาศในสวนแบบญี่ปุ่น และล็อบบี้เปิดรับวิวต้นไม้ เอพี ไทยแลนด์ เชิญเยี่ยมชมสเปซจริงการออกแบบห้องชุด 1 Bedroom Plus ขนาด 35 ตารางเมตร  ที่ๆ พื้นที่การใช้ชีวิตและการทำงาน ถูกดีไซน์ให้สอดผสานกันได้อย่างลงตัว ตอบรับไลฟ์สไตล์ของชีวิตในอนาคต พร้อมเปิดให้เข้าชมแล้ววันนี้ที่ Life ปิ่นเกล้า ข้อมูลเพิ่มเติม 1623 หรือ www.apthai.com
‘เอพี ไทยแลนด์’ เดินหน้าติดตั้งเครื่องช็อกไฟฟ้าหัวใจอัตโนมัติ AED ที่คอนโดเอพี รณรงค์ให้คนไทยตระหนักและพร้อมรับมือ ‘ภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน’ มหันตภัยเงียบคร่าชีวิต

‘เอพี ไทยแลนด์’ เดินหน้าติดตั้งเครื่องช็อกไฟฟ้าหัวใจอัตโนมัติ AED ที่คอนโดเอพี รณรงค์ให้คนไทยตระหนักและพร้อมรับมือ ‘ภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน’ มหันตภัยเงียบคร่าชีวิต

รายแรกในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่จัดสรรพื้นที่คอนโดเอพีเป็น “พื้นที่ช่วยชีวิต” ติดตั้งเครื่องช็อกไฟฟ้าหัวใจอัตโนมัติ เพื่อคุณภาพชีวิตของลูกบ้านเอพีกว่า 25,000 ครอบครัว เอพีรณรงค์ให้คนไทยเท่าทันและพร้อมรับมือ ‘ภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน’ ที่คร่าชีวิตคนไทยเป็นอันดับ 3 รองจากโรคมะเร็ง และอุบัติเหตุ บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์สำหรับคนเมืองและคอนโดมิเนียมติดแนวรถไฟฟ้า จัดแถลงข่าวเปิดตัวแคมเปญเพื่อสังคม “ขอพื้นที่เล็กๆ ให้หัวใจได้เต้นต่อ” (The Smallest Space to Save Lives) ต่อยอดแนวคิดในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์คุณภาพไปสู่การส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีให้เกิดขึ้นในสังคมเอพีและสังคมวงกว้าง ด้วยการตระหนักถึงอันตรายจาก “ภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน” ที่คร่าชีวิตคนไทยได้ในทุกเพศ ทุกวัย ด้วยการเดินหน้าติดตั้งเครื่องช็อกไฟฟ้าหัวใจอัตโนมัติ (AED) ในคอนโดมีเนียมของเอพีที่ส่งมอบไปแล้ว รวมถึงคอนโดมิเนียมโครงการอื่นๆ ที่บริหารจัดการโดย บริษัท สมาร์ท เซอร์วิส แอนด์ แมนเนจเมนท์ จำกัด บริษัทบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์ในเครือเอพี รวมทั้งสิ้นกว่า 40 โครงการ คิดเป็นผู้อยู่อาศัยกว่า 25,000 ครอบครัว และเตรียมร่วมรณรงค์ส่งต่อความรู้การกู้ชีพขั้นพื้นฐานก่อนส่งถึงมือแพทย์สู่ประชาชน เพื่อให้ตระหนักและพร้อมรับมือเมื่อพบผู้ประสบภาวะดังกล่าว ทั้งนี้ จากสถิติพบว่าภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันคือสาเหตุการเสียชีวิตสูงสุดอันดับที่ 3 (รองจากมะเร็งและอุบัติเหตุ) คร่าชีวิตคนไทยถึง 54,000 คนต่อปี (เฉลี่ยถึง 6 คนต่อชั่วโมง) ปัจจุบัน  เอพีได้เริ่มทะยอยติดตั้งเครื่องช็อกไฟฟ้าหัวใจอัตโนมัติ AED ในคอนโดมีเนียมที่บริหารจัดการโดยทีมเอพีแล้ว โดยแผนจะติดตั้งให้ครบทั้งสิ้นกว่า 40 โครงการที่โอนกรรมสิทธิ์เข้าอยู่แล้ว งานแถลงข่าวครั้งนี้ บมจ. เอพี (ไทยแลนด์) โดย นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการสายงานธุรกิจคอนโดมิเนียม ร่วมกับ พล.ต.ต. นายแพทย์โสภณ กฤษณะรังสรรค์ ประธานมูลนิธิสอนช่วยชีวิตและที่ปรึกษาคณะกรรมการมาตรฐานการช่วยชีวิต สมาคมแพทย์โรคหัวใจแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ และบริษัทรักษาความปลอดภัยไทยซีคอม จำกัด รณรงค์ถ่ายทอดความรู้การช่วยชีวิตขั้นพื้นฐาน (Basic Life Support – BLS) สู่สังคม นอกจากนี้ เอพีพร้อมเป็นตัวแทนเชิญชวนทุกภาคส่วนร่วมเปลี่ยนพื้นที่เล็กๆ ให้เป็นพื้นที่ที่สามารถลดอัตราการเสียชีวิตจากภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันได้ ผ่านแคมเปญ “ขอพื้นเล็กๆ ให้หัวใจได้เต้นต่อ” (The Smallest Space to Save Lives) เพื่อนำไปสู่เป้าหมายสูงสุดของเอพี คือ “การสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืนให้กับสังคมไทย โดยเริ่มต้นที่สังคมเล็กๆ ในโครงการต่างๆ ของเอพี” พร้อมกันนี้ เอพียังได้มอบเครื่องช็อกไฟฟ้าหัวใจอัตโนมัติ AED ให้กับศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุบ้านบางแค ท่าเรือสาทร และศูนย์ประสานงาน อาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน เขตธนบุรี เพื่อติดตั้งเป็นสาธารณะประโยชน์ในการช่วยกู้ชีพหากเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้น นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานพัฒนาธุรกิจกลุ่มสินค้าคอนโดมิเนียม บมจ. เอพี (ไทยแลนด์)  กล่าวว่า “ภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันสามารถเกิดได้กับทุกเพศทุกวัย โดยไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า  ผู้ประสบภาวะดังกล่าวควรได้รับการช่วยเหลืออย่างทันท่วงที เพราะมิฉะนั้นอาจถึงแก่ชีวิต บมจ. เอพี เราให้ความสำคัญอย่างมากกับคุณภาพชีวิต และการสร้างคุณค่าให้กับพื้นที่ทุกพื้นที่เพื่อคุณภาพชีวิต เราจึงริเริ่มจัดสรรพื้นที่ 0.1 ตารางเมตรภายในคอนโดของเราเป็น ‘พื้นที่ช่วยชีวิต’ โดยได้เริ่มติดตั้งเครื่องช็อกไฟฟ้าหัวใจอัตโนมัติ AED เพื่อช่วยชีวิตในเบื้องต้นของผู้ที่ประสบภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันก่อนส่งถึงมือแพทย์ ประกอบกับการสนับสนุนด้านข้อมูลพื้นฐานที่ได้รับจากพันธมิตรทางธุรกิจของเอพีอย่าง มิตซูบิชิ เอสเตท กรุ๊ป ซึ่งในประเทศญี่ปุ่นเครื่องช็อกไฟฟ้าหัวใจอัตโนมัติ AED ถือเป็นอุปกรณ์ช่วยชีวิตพื้นฐานที่ติดตั้งในพื้นที่ที่มีคนหนาแน่น ทั้งพื้นที่สาธารณะและพื้นที่อยู่อาศัย ซึ่งจากข้อมูลพบว่าประเทศญี่ปุ่นมีเครื่องช็อกไฟฟ้าหัวใจอัตโนมัติ AED ติดตั้งมากที่สุดในโลกประมาณ 6 แสนกว่าเครื่อง” “ปัจจุบัน เอพีมีคอนโดที่สร้างเสร็จและบริหารจัดการโดยบริษัท สมาร์ท เซอร์วิส แอนด์ แมนเนจเมนท์ จำกัด บริษัทบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์ในเครือเอพีอยู่รวมกว่า 40 โครงการ และราวกว่า 25,000ครอบครัวที่เราดูแล เราจึงไม่ลังเลที่จะติดตั้งเครื่องช็อกไฟฟ้าหัวใจอัตโนมัติ AED เพื่อให้ลูกบ้านรู้สึกอุ่นใจและมั่นใจในคุณภาพชีวิต โดยเราเดินหน้าทะยอยติดตั้งเครื่องช็อกไฟฟ้าหัวใจอัตโนมัติ AED แล้ว และจะติดตั้งให้ครบทั้งหมดกว่า 40 โครงการโดยเร็วที่สุด และสำหรับคอนโดมิเนียมใหม่ที่กำลังจะก่อสร้างแล้วเสร็จตั้งแต่ปี 2560 นี้เป็นต้นไป บริษัทก็จะมีการจัดเตรียมพื้นที่สำหรับติดตั้งเครื่องช็อกไฟฟ้าหัวใจอัตโนมัติ AED ไว้เช่นกัน ” นายวิทการกล่าว “คอนโดมิเนียมกว่า 40 โครงการที่มีการติดตั้งเครื่องช็อกไฟฟ้าหัวใจอัตโนมัติ AED นั้น จะมีเจ้าหน้าที่ภายใต้การดูแลของบริษัท สมาร์ท เซอร์วิส แอนด์ แมนเนจเมนท์ จำกัด รวมกว่า 300 คน ซึ่งผ่านการฝึกอบรมหลักสูตรการช่วยชีวิตขั้นพื้นฐาน (Basic Life Support) ที่ได้รับการรับรองจากบริษัทรักษาความปลอดภัย ไทยซีคอม และคณะกรรมการช่วยชีวิต สมาคมแพทย์โรคหัวใจแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ โดยคอนโดมิเนียมในแต่ละโครงการจะมีเจ้าหน้าที่ประจำการและพร้อมให้ความช่วยเหลือหากลูกบ้านของเอพีประสบภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันตลอด 24 ชม.” นายวิทการกล่าวเสริม ภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน คือ ภาวะที่หัวใจไม่สามารถส่งเลือดไปเลี้ยงอวัยวะส่วนต่างๆ ของร่างกายอย่างทันที ซึ่งภาวะนี้เกิดได้กับทุกคน โดยไม่จำเป็นต้องเป็นโรคหัวใจหรือมีโรคประจำตัวอื่น และไม่มีอาการเตือนล่วงหน้า เมื่อหัวใจหยุดเต้นลงจะไม่มีเลือดไปเลี้ยงอวัยวะใดๆ ในร่างกาย สมองเมื่อขาดเลือดมาเลี้ยงจะหยุดทำงานในทันที ดังนั้นผู้ที่สมองขาดเลือดจากภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันจะหมดสติลงในเวลาเพียง 10 วินาที ซึ่งผู้ป่วยที่หมดสติควรได้รับการช่วยเหลือภายในระยะเวลา 4 นาที หากไม่ได้รับการช่วยเหลือ เนื้อสมองจะเริ่มเสียหาย หากผู้ที่อยู่ใกล้เคียงมีประสบการณ์การใช้เครื่องช็อกไฟฟ้าหัวใจอัตโนมัติ AED สลับกับการทำ CPR จะสามารถลดอัตราการเสียชีวิตของผู้มีภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันได้ *จากสถิติที่ประเทศญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกา พบว่าผู้ที่ประสบภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน หากได้รับการช่วยชีวิตภายในระยะเวลา 4 นาทีหลังเกิดเหตุด้วยการทำ CPR (การช่วยฟื้นคืนชีพ หรือปั้มหัวใจด้วยมือ) สลับกับการใช้เครื่องช็อกไฟฟ้าหัวใจอัตโนมัติ AED จะสามารถเพิ่มโอกาสในรอดชีวิตได้มากถึง 50% แต่หากได้รับการช่วยชีวิตด้วยการทำ CPR เพียงอย่างเดียวจะมีโอกาสรอดชีวิตเพียง 27% พล.ต.ต. นายแพทย์โสภณ กฤษณะรังสรรค์ ประธานมูลนิธิสอนช่วยชีวิตและที่ปรึกษาคณะกรรมการมาตรฐานการช่วยชีวิต สมาคมแพทย์โรคหัวใจแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวว่า “จากการศึกษาพบว่า การสอนแพทย์กู้ชีพเพียงหน่วยงานเดียวไม่สามารถลดอัตราการเสียชีวิตจากภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลันได้ เนื่องจากภาวะนี้มักเกิดนอกโรงพยาบาล และผู้ป่วยไม่สามารถถึงโรงพยาบาลภายใน 4 นาที ซึ่งเป็นเวลาที่จะสามารถช่วยเหลือผู้ป่วยได้ทัน ดังนั้นการช่วยลดอัตราการเสียชีวิตจากภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน คือการส่งต่อความรู้ให้ประชาชนทั่วไปสามารถทำการปฐมพยาบาลเบื้องต้นได้เมื่อประสบเหตุ และควรมีอุปกรณ์เครื่อง AED ติดตั้งอยู่ในจุดที่ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าถึงได้ทันที” “ในฐานะตัวแทนประธานมูลนิธิสอนช่วยชีวิตและที่ปรึกษาคณะกรรมการมาตรฐานการช่วยชีวิต สมาคมแพทย์โรคหัวใจแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ผมขอชื่นชมเอพี (ไทยแลนด์) ที่ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในสังคมไทย โดยการริเริ่มติดตั้งเครื่องช็อกไฟฟ้าหัวใจอัตโนมัติ AED ทำให้สังคมไทยทัดเทียมนานาประเทศ และเป็นส่วนหนึ่งในพลังขับเคลื่อนสังคมให้เกิดความตระหนักถึงภัยใกล้ตัว ซึ่งถ้าทุกคนมีความรู้ในการกู้ชีพขั้นพื้นฐาน รู้จักวิธีการโทรขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานเฉพาะด้านซึ่งที่ประเทศไทยคือ สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) เบอร์ 1669 เราทุกคนสามารถร่วมกันลดปริมาณการสูญเสียได้” พล.ต.ต. นายแพทย์โสภณกล่าวและเสริมว่า “นอกจากอาคารที่พักอาศัยที่มีหลายครอบครัวพำนักอย่างคอนโดมิเนียมแล้ว สถานที่ที่มีผู้คนสัญจรคับคั่งและควรมีการติดตั้ง AED เพื่อช่วยชีวิตด้วย ได้แก่ สนามบิน สถานีขนส่ง ท่าเรือ รถไฟฟ้า ห้างสรรพสินค้า เป็นต้น” เครื่องช็อกไฟฟ้าหัวใจอัตโนมัติ AED เป็นเครื่องที่ใช้กับผู้ที่เกิดภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน โดยเครื่องจะทำการวินิจฉัยคลื่นหัวใจโดยอัตโนมัติและทำการรักษาด้วยการปล่อยกระแสไฟเพื่อกระตุกหัวใจทำให้หัวใจกลับมาเต้นเป็นปกติ เพียงผู้ใช้อุปกรณ์ปฏิบัติตามขั้นตอนตามที่เสียงบรรยายของเครื่อง AED ก็สามารถเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือชีวิตผู้ที่ภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันได้ บมจ. เอพี (ไทยแลนด์) คือ บริษัทพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของไทยที่มีความเชี่ยวชาญในการสร้างสรรค์นวัตกรรมดีไซน์เพื่อพื้นที่ใช้สอยที่ไม่จำกัดเพื่อการใช้ชีวิตของคนเมือง ครอบคลุมทั้งมิติด้าน คุณภาพ การบริการ ความสะดวกสบาย และความปลอดภัย โดยมีเป้าหมายสูงสุดคือการสร้าง ‘คุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน โดยเริ่มต้นกับสังคมเล็กๆ ในโครงการต่างๆ ของเอพี เพื่อมีส่วนช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของสังคมไทย’ ติดตามข้อมูลแคมเปญเพิ่มเติมได้ที่ http://www.SmallestSpaceToSavLives.com
‘เอพี ไทยแลนด์’ มุ่งลดคาร์บอนในอากาศ จับมือ ‘บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป’ ลงนามเปิดตัวโครงการ ‘ChargeNow’ สนับสนุนการใช้รถยนต์ไฟฟ้า นวัตกรรมล้ำหน้าแห่งอนาคต

‘เอพี ไทยแลนด์’ มุ่งลดคาร์บอนในอากาศ จับมือ ‘บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป’ ลงนามเปิดตัวโครงการ ‘ChargeNow’ สนับสนุนการใช้รถยนต์ไฟฟ้า นวัตกรรมล้ำหน้าแห่งอนาคต

บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ที่ตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยสำหรับคนเมือง ประกาศความร่วมมือเป็นพันธมิตรอย่างเป็นทางการกับบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ริเริ่มโครงการ ‘ChargeNow’ เครือข่ายสถานีชาร์จไฟฟ้าสาธารณะสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์ปลั๊กอิน ไฮบริด ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ตอกย้ำความเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ ที่ไม่หยุดนิ่งในการพัฒนาเพื่อเท่าทัน และล้ำหน้าต่อเทรนด์การใช้ชีวิตด้วยความใส่ใจในทุกรายละเอียด ไม่เพียงแต่ที่อยู่อาศัย แต่ยังหมายรวมถึงคุณภาพสังคมและคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้นของสังคมเมืองอีกด้วย เอพีมุ่งหวังนำพาสังคมไทยไปสู่สังคมไร้การปล่อยก๊าซคาร์บอนในที่สุด โดยจะเริ่มสร้างสถานีชาร์จไฟฟ้ากับคอนโดมิเนียมเครือเอพี และขยายต่อไปยังโครงการอื่นๆ ในอนาคต นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานพัฒนาสินค้ากลุ่มคอนโดมิเนียม กล่าวว่า “เอพี (ไทยแลนด์) เราดำเนินธุรกิจภายใต้กลยุทธ์สำคัญ คือ ‘AP Think Different’ โดยเราให้ความสำคัญกับการคิดต่าง และพัฒนาธุรกิจเพื่อความสำเร็จแบบยั่งยืน เราจึงไม่หยุดนิ่งที่จะพัฒนา เพื่อเท่าทันและล้ำหน้าต่อเทรนด์การใช้ชีวิต และเทรนด์การอยู่อาศัยในอนาคต และตอนนี้เรากำลังก้าวเข้าสู่ปีที่ 26 โดยเป้าหมายสูงสุดของเราไม่เคยเปลี่ยนแปลง นั่นก็คือ การสร้างคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้นให้กับคนเมือง เรามุ่งมั่นที่จะสร้าง       ที่อยู่อาศัยซึ่งตอบโจทย์ทุกมิติของการใช้ชีวิตอันทันสมัย เราเปิดรับทุกไอเดียใหม่ๆ ทางเลือกในการใช้ชีวิตรูปแบบใหม่ๆ รวมถึงการใช้พื้นที่ต่างๆ อย่างสร้างสรรค์ เพื่อการมีชีวิตที่ดียิ่งขึ้นของผู้อยู่อาศัย และเอพี (ไทยแลนด์) มองว่าโครงการ ChargeNow จึงเป็นแง่มุมใหม่ของการใช้ชีวิตอันทันสมัย และยังสามารถลดจำนวนการปล่อยก๊าซคาร์บอนอย่างแท้จริง เรารู้สึกยินดีที่ได้ร่วมเป็นพันธมิตร ผู้ริเริ่มโครงการที่ดี และล้ำสมัยอย่างโครงการ ChargeNow เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนไทย และนำไปสู่การใช้ชีวิตที่ดีขึ้น พร้อมเติบโตไปกับธรรมชาติอย่างยั่งยืนในอนาคต” “การสนับสนุนให้คนไทยหันมาใช้รถยนต์ระบบไฟฟ้า และระบบปลั๊กอิน ไฮบริดจะช่วยให้สามารถลดปริมาณการใช้น้ำมันของประเทศได้ เนื่องจากการหันมาใช้รถยนต์ระบบไฟฟ้า หรือระบบปลั๊กอิน ไฮบริดจะช่วยลดปริมาณการใช้น้ำมันได้ถึง 50% เมื่อลดการใช้ปริมาณน้ำมันจะสามารถลดการผลิตมลพิษทางอากาศได้ด้วยเช่นกัน” นายวิทการกล่าวเสริม ในปัจจุบัน โครงการ ChargeNow ให้บริการสถานีสาธารณะในการชาร์จรถยนต์ปลั๊กอิน ไฮบริดและรถยนต์ไฟฟ้ามากกว่า 65,000 แห่ง ใน 27 ประเทศทั่วโลก ด้วยวิธีการชาร์จที่สะดวกและรวดเร็ว สำหรับในประเทศไทย สถานีโครงการ ChargeNow จะแสดงที่ตั้งผ่านสมาร์ทโฟน และในเว็บไซต์ ซึ่งสามารถช่วยให้ลูกค้าทราบได้ว่าสถานีไหนว่างพร้อมให้บริการหรือมีการใช้งานอยู่ โดยลูกค้าจะได้รับการ์ด ChargeNow และสามารถเข้ารับบริการในสถานีซึ่งตั้งอยู่ในทำเลที่ลูกค้าสะดวก ลูกค้าจะได้รับบิลค่าบริการทุกสิ้นเดือนเช่นเดียวกับบิลค่าบริการโทรศัพท์มือถือ โครงการ ChargeNow จะเริ่มเปิดรับลงทะเบียนล่วงหน้าสำหรับเจ้าของรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดและรถยนต์ไฟฟ้าที่มีหัวชาร์จ AC ทั้งแบบ Type 1 (SAE J1772) และ Type 2 (IEC 62196) ไม่ว่าจะเป็นรุ่นใดหรือยี่ห้อใดโดยจะมีการชี้แจงถึงรายละเอียดในการลงทะเบียนล่วงหน้า ในช่วงประมาณไตรมาสที่สามของปี 2560 นี้ “เอพี ไทยแลนด์ กล้าที่จะแตกต่าง ผู้นำด้านนวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัยสำหรับคนเมือง”