Tag : นายอุทัย อุทัยแสงสุข

2 ผลลัพธ์
สิริ เวนเจอร์ส เผยก้าวแกร่ง PropTech ระยะยาว  3 ปี ลงทุนกว่า 1,500 ล้านบาท ในสตาร์ทอัพ พัฒนา 4 นวัตกรรมอสังหาฯ ล่าสุดจับมือ Partner ชั้นนำ ทั้งในระดับโลกและระดับประเทศ เตรียมเปิดมิติใหม่เติมเต็มประสบการณ์การอยู่อาศัยที่สมบูรณ์แบบ

สิริ เวนเจอร์ส เผยก้าวแกร่ง PropTech ระยะยาว 3 ปี ลงทุนกว่า 1,500 ล้านบาท ในสตาร์ทอัพ พัฒนา 4 นวัตกรรมอสังหาฯ ล่าสุดจับมือ Partner ชั้นนำ ทั้งในระดับโลกและระดับประเทศ เตรียมเปิดมิติใหม่เติมเต็มประสบการณ์การอยู่อาศัยที่สมบูรณ์แบบ

สิริ เวนเจอร์ส บริษัทร่วมทุนในรูปแบบ Corporate Venture Capital เพื่อทำการวิจัยและลงทุนด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับอสังหาฯและการอยู่อาศัยอย่างครบวงจรเต็มรูปแบบเพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ยุคดิจิทัล ภายใต้ความร่วมมือระหว่างบริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) และ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) เผยทิศทางการดำเนินธุรกิจในปี 2018 พร้อมก้าวสำคัญในการผนึกกำลังกับพันธมิตรชั้นนำทั้งในระดับประเทศและระดับโลก ได้แก่ Plug and Play และ SOSA แพลตฟอร์ม พาร์ทเนอร์จากซิลิคอน วัลเล่ย์ สหรัฐอเมริกา และอิสราเอล เตรียมเปิดมิติใหม่สำหรับการเติมเต็มประสบการณ์การอยู่อาศัยที่สมบูรณ์แบบรอบด้าน ผ่านการจัดสรรเงินลงทุนกว่า 1,500 ล้านบาทในระยะเวลา 3 ปี เพื่อสร้างสรรค์และต่อยอดนวัตกรรมสำหรับการอยู่อาศัยและการใช้ชีวิตอย่างไร้รอยต่อในยุคดิจิทัล นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในปีที่ผ่านมา แสนสิรินับว่ามีการรุกปรับองค์กรอย่างเต็มรูปแบบ หนึ่งในนั้นคือ การบริหารด้านเทคโนโลยีเพื่อก้าวสู่การเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำด้านเทคโนโลยีสำหรับอสังหาฯ และการอยู่อาศัยอย่างเต็มรูปแบบ (Digital Transformation) ซึ่งกลยุทธ์การดำเนินงานของแสนสิรินั้นครอบคลุมในทุกมิติของการใช้ชีวิต ผ่าน Siri LifeTech ซึ่งเป็นการนำเอาเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ มาตอบรับไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยในยุคดิจิทัล รวมถึงการพัฒนายกระดับการดำเนินงานภายในองค์กรแสนสิริให้ก้าวสู่การเป็น Performance Organization ทั้งในเรื่อง Big data, Sale Force เป็นต้น โดยมี สิริ เวนเจอร์ส เป็นผู้เสาะหาและพัฒนาต่อยอดนวัตกรรมใหม่ๆ อย่างไม่หยุดยั้ง ผ่านพาร์ทเนอร์ชั้นนำและสตาร์ทอัพที่มาร่วมกันพัฒนาให้นวัตกรรมนั้นเติมเต็มประสบการณ์การอยู่อาศัยที่สมบูรณ์แบบ โดยหลังจากที่มีการจัดตั้ง บริษัท สิริ เวนเจอร์ส เป็นระยะเวลาหนึ่งปี นับว่าประสบความสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรมทั้งด้านการลงทุนในสตาร์ทอัพผ่านการเปิดโครงการ “Siri Venture Partnership” เพื่อเฟ้นหาสตาร์ทอัพที่มีศักยภาพสูงมาร่วมพัฒนาต่อยอดธุรกิจ นอกจากนี้ยังมีการยกระดับกระบวนการทำงานให้สอดคล้องกับธุรกิจสตาร์ทอัพที่เติบโตอย่างรวดเร็ว มีการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ  รวมถึงการผลักดันระบบนิเวศของสตาร์ทอัพด้านอสังหาฯและการอยู่อาศัยให้เกิดขึ้นจริงในไทย ดังนั้น ในปีนี้เราจึงวางแผนระยะยาวในการขับเคลื่อน ด้วยงบประมาณลงทุนต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 3 ปี รวมทั้งสิ้น 1,500 ล้านบาท ซึ่งจะครอบคลุมทั้งส่วนงานการพัฒนาเทคโนโลยี การลงทุนร่วมกับพันธมิตร รวมทั้งการร่วมทุนกับสตาร์ทอัพชั้นนำทั้งในประเทศและระดับโลก หลังจากที่ผ่านมามีความร่วมมือกับ Farmshelf สตาร์ทอัพจากอเมริกา พลิกโฉมการปลูกผักอัจฉริยะภายในที่พักอาศัย ซึ่งได้รับความสนใจเป็นอย่างมากจากลูกบ้านแสนสิริ นอกจากนี้ในอนาคตยังมีแผนต่อยอดความร่วมมือในประเทศอื่นๆ อาทิ ฝรั่งเศส หรือ จีน เพื่อร่วมขับเคลื่อนให้เกิดระบบนิเวศสำหรับสตาร์ทอัพในประเทศไทยที่สมบูรณ์แบบและยั่งยืนอีกด้วย นายจิรพัฒน์ จันทร์เจิดศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่เทคโนโลยี บริษัท สิริ เวนเจอร์ส จำกัด กล่าวว่า ความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วทั้งทางด้านเทคโนโลยีและพฤติกรรมของผู้บริโภค เป็นความท้าทายสำหรับผู้ประกอบการในยุคปัจจุบัน ที่จะต้องมีการเรียนรู้และปรับเปลี่ยนธุรกิจเพื่อให้สามารถตอบโจทย์ปัจจัยแวดล้อมที่เปลี่ยนไป จากความสำเร็จในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมาของสิริ เวนเจอร์ส สะท้อนให้เห็นว่าเราได้เสาะแสวงหาเทคโนโลยี (Technology Acquisition) มาให้กับทั้งแสนสิริและลูกบ้าน รวมทั้งเป็นเสมือนประตูที่เชื่อมต่อลูกบ้านแสนสิริไปยังเทคโนโลยีและผู้ให้บริการใหม่ๆ และก้าวต่อไปของเราคือการมุ่งต่อยอดธุรกิจและเปิดประสบการณ์ใหม่ ๆ โดยเน้นใน 3 ด้าน ประกอบด้วย 1) ด้านการลงทุนในสตาร์ทอัพ – ซึ่งจะเน้นการลงทุนในเทคโนโลยีที่สอดคล้องกับแกนธุรกิจหลักของแสนสิริ ด้วยงบประมาณ 1,500 ล้านบาท ในระยะเวลา 3 ปี 2) ด้านความร่วมมือในการผลักดันให้เกิดระบบนิเวศสำหรับสตาร์ทอัพ (Ecosystem Partner) โดยการจับมือกับพันธมิตรเพื่อผนึกกำลังยกระดับระบบนิเวศสำหรับสตาร์ทอัพด้าน PropTech และ LivingTech ในไทยและภูมิภาคให้เติบโตอย่างยั่งยืน 3) ด้านการพัฒนาต่อยอดนวัตกรรม (Lab & Development) มุ่งพัฒนาสร้างสรรค์ “Sansiri Home Service Application” เพื่อเปิดประตูสู่มิติใหม่ของการใช้ชีวิตของลูกบ้านแสนสิริ รวมถึงเชื่อมโยงกลุ่มลูกค้าผ่านเครือข่ายพันธมิตรทางธุรกิจทั้งในไทยและทั่วโลก ด้านการลงทุนในสตาร์ทอัพ (Startup Investment) ในปีนี้สิริ เวนเจอร์สจะรุกลงทุนในสตาร์ทอัพโดยเน้นนวัตกรรม 4 ด้านที่สอดคล้องกับธุรกิจอสังหาฯ ของแสนสิริ ได้แก่ PropTech – นวัตกรรมเพื่อส่งเสริมด้านการซื้อขายแนวใหม่ การบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์ หรือ Know-how ใหม่ ๆ ที่ครอบคลุมและตอบโจทย์ผู้บริโภคได้หลากหลายยิ่งขึ้น LivingTech – นวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัยใหม่ๆ ที่จะมาเติมเต็มประสบการณ์การใช้ชีวิตของลูกบ้านแสนสิริได้อย่างรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นในด้านความสะดวกสบาย ความบันเทิง ความปลอดภัย และยังช่วยลดค่าใช้จ่าย ผ่านทสตาร์ทอัพที่ สิริ เวนเจอร์ส ลงทุนไปแล้ว เช่น Appysphere สตาร์ทอัพที่เชี่ยวชาญในเรื่องซอฟต์แวร์การพัฒนา Home Automation, Onionshack สตาร์ทอัพที่ร่วมพัฒนา Thai Voice AI, Techmatics สตาร์ทอัพที่พัฒนาหุ่นยนต์แสนดีที่เปิดตัวไปเมื่อปีที่แล้ว Health & Wellness Tech – นวัตกรรมเพื่อยกระดับคุณภาพการใช้ชีวิต และสุขภาพองค์รวมของลูกบ้าน ซึ่งรวมไปถึงนวัตกรรมด้านอาหาร (FoodTech) ที่จะช่วยให้การใช้ชีวิตในเมืองเป็นไปได้อย่างสมดุล โดยในปี 2018 สิริ เวนเจอร์สยังมีแผนลงทุนในสตาร์ทอัพที่มีเทคโนโลยีทางด้าน Health Monitoring สำหรับสังคมสูงวัยที่มีจะบทบาทสำคัญในสังคมไทยในอนาคตอีกด้วย Construction Tech – นวัตกรรมหรือเทคโนโลยีด้านการออกแบบ ก่อสร้าง ควบคุมคุณภาพ รวมไปถึงวัสดุในการก่อสร้างใหม่ๆ เพื่อให้โครงการของแสนสิริตอบสนองความต้องการของลูกค้ายุคดิจิทัล และลดต้นทุนโดยรวม โดยการนำ AR (Augmented Reality) ร่วมกับ BIM (Building Information Management) เข้ามาใช้ในการควบคุมคุณภาพการก่อสร้าง จะเห็นได้ว่าที่ผ่านมาสิริ เวนเจอร์สมีการรุกลงทุนในสตาร์ทอัพมากมายทั้งในไทยและต่างประเทศ เช่น Farmshelf สตาร์ทอัพด้าน LivingTech จากสหรัฐอเมริกาที่กำลังมาแรง ซึ่งนอกจากการลงทุนในสตาร์ทอัพแล้ว ล่าสุด สิริ เวนเจอร์สยังได้ร่วมมือกับ Innovation Platform ระดับโลก 2 ราย คือ “Plug and Play” จากซิลิคอน วัลเล่ย์ส สหรัฐอเมริกา และ “SOSA” จากอิสราเอล ซึ่งทั้งสองเป็นเครือข่ายของสตาร์ทอัพเกือบหมื่นรายจากทั่วโลก ซึ่งจะช่วยเชื่อมโยงสิริ เวนเจอร์สให้พบกับสตาร์ทอัพที่มีศักยภาพและเกี่ยวเนื่องได้เร็วและมากขึ้น โดยกิจกรรมที่ร่วมมือกันนั้นจะเริ่มตั้งแต่การเฟ้นหาจากโจทย์ปัญหา การจัดโปรแกรม Accelerate การจัดการ pitch รวมถึงการเฟ้นหาโอกาสในการร่วมลงทุน มร.ชอน เดฮ์พานาฮ์ รองประธานฝ่ายบริหาร ฝ่ายพันธมิตรองค์กรและนวัตกรรม จากบริษัท Plug and Play ที่มีส่วนการสร้างระบบนิเวศสตาร์ทอัพอันแข็งแกร่งของซิลิคอน วัลเล่ย์ กล่าวถึงก้าวสำคัญในการจับมือกับสิริ เวนเจอร์สว่า “Plug and Play เป็นแพลตฟอร์มที่มุ่งเน้นการสร้างเครือข่ายที่เชื่อมโยงสตาร์ทอัพกับนักลงทุนและองค์กรจากทั่วโลก ทำให้เกิดประโยชน์ร่วมสร้างให้ธุรกิจเหล่าเติบโตได้อย่างก้าวกระโดด ในขณะเดียวกันนักลงทุนและองค์กรจะได้ร่วมต่อยอดสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันในเครือข่ายของเรามีสตาร์ทอัพกว่า 6,000 รายจากทั่วโลกในหลากหลายสาขา มี corporate partner มากกว่า 220 บริษัท และมีออฟฟิศตั้งอยู่ในกว่า 28 แห่งทั่วโลก ในวันนี้เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้จับมือกับ สิริ เวนเจอร์ส บริษัทที่มีพันธกิจในการมุ่งเน้นการสร้างสรรค์ Disruptive Technology ทั้ง 4 ด้านอย่างเป็นรูปธรรม โดยเรามั่นใจว่าจะสามารถร่วมกันต่อยอดเพื่อผลักดันให้มีนวัตกรรมตอบรับไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยใหม่ๆ ที่เกิดจากสตาร์ทอัพ ได้อย่างแน่นอน” ด้าน มิสโรนี เคเน็ท ฮาร์เมลิน ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจจากบริษัท SOSA กล่าวถึงการเป็นพาร์ทเนอร์กับสิริ เวนเจอร์สว่า “SOSA เป็นศูนย์กลางการเชื่อมโยงสตาร์ทอัพที่มีศักยภาพในการเติบโตสูงในประเทศอิสราเอล เพื่อเพิ่มโอกาสในการเชื่อมต่อสตาร์ทอัพกับนักลงทุนและองค์กรต่างชาติทั่วโลก โดยปัจจุบันเรามีเครือข่ายสตาร์ทอัพกว่า 5,000 ราย ทั้งที่มุ่งเน้นสร้างเทคโนโลยีที่เกี่ยวกับการก่อสร้างโดยตรง สามารถเติบโตในตลาดได้อย่างยั่งยืน ในวันนี้นับเป็นอีกก้าวสำคัญที่เราจะได้ร่วมกับสิริ เวนเจอร์ส ในการมองหาความโดดเด่นของสตาร์ทอัพที่จะสามารถต่อยอดในการพัฒนานวัตกรรมต่างๆ สำหรับลูกบ้านแสนสิริได้” ด้านความร่วมมือในการผลักดันให้เกิดระบบนิเวศสำหรับสตาร์ทอัพในไทย (Ecosystem Partner) มุ่งเน้นการผนึกกำลัง (Synergy) กับพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญและมีจุดมุ่งหมายเช่นเดียวกัน เพราะสิริ เวนเจอร์สเชื่อว่าหากเราสนับสนุนสตาร์ทอัพโดยตรงอย่างเดียวก็จะได้เพียงแค่จำนวนหนึ่ง แต่หากทำงานร่วมกับพันธมิตรแล้วช่วยกันผลักดันระบบนิเวศโดยรวม จะช่วยให้ประเทศไทยผลิตสตาร์ทอัพที่มีคุณภาพและสามารถแข่งขันได้ในระดับโลก ในปีนี้สิริเวนเจอร์สได้ร่วมจับมือกับพันธมิตรที่แข็งแกร่งมากมาย ยกตัวอย่างเช่น Microsoft Thailand ในการร่วมสนับสนุนการแข่งขันพัฒนานวัตกรรมสำหรับนักศึกษา “Microsoft Imagine Cup Thailand 2018” ในหัวข้อการแข่งขัน Smart Living on the Cloud ซึ่่่งทางสิริ เวนเจอร์ส ได้เชิญ Unicef พันธมิตรของแสนสิริ มาร่วมในโครงการเดียวกันด้วย นอกจากนี้ยังมีพันธมิตรทั้งที่เป็น Accelerator มหาวิทยาลัย และองค์กรรัฐที่มีส่วนผลักดันการเติบโตของสตาร์ทอัพอีกมากมาย ด้านการพัฒนาต่อยอดนวัตกรรม (Lab & Development) มุ่งเน้นการยกระดับ Sansiri Home Service Application ไปอีกขั้น ให้เป็นมากกว่าแอพลิเคชั่นที่อำนวยความสะดวกสบายให้กับลูกบ้านแสนสิริ แต่ยังเป็นตัวกลางในการเชื่อมโยงลูกบ้านไปยังพันธมิตรที่มาร่วมพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ นอกจากนั้น พันธมิตรต่างๆ ยังสามารถร่วมต่อยอดเทคโนโลยี ทั้งในด้าน Home Automation หรือ Voice AI ภาษาไทย เพื่อให้เกิดเป็นนวัตกรรมบริการรูปแบบใหม่ที่ครอบคลุมในทุกมิติของการใช้ชีวิต และพร้อมที่จะขยายขอบข่ายบริการในตลาดที่กว้างขึ้น โดยทีม Lab & Development จะนำเทคโนโลยีของสตาร์ทอัพที่เราไปลงทุนเข้ามาใช้งานกับลูกบ้านผ่านทางแอพฯ ที่พัฒนาขึ้น “ด้วยแผนการดำเนินการธุรกิจที่มุ่งเน้นทั้ง 3 ด้าน ได้แก่ ด้านการลงทุน (Investment), ด้านความร่วมมือในการผลักดันให้เกิดระบบนิเวศสำหรับสตาร์ทอัพในไทย (Ecosystem Partner) และด้านการพัฒนาต่อยอดนวัตกรรม (Lab & Development) พร้อมเงินลงทุน 1,500 ล้านบาท ใน 3 ปีนี้  สิริ เวนเจอร์ส จึงพร้อมที่จะเปิดประตูสู่มิติใหม่สำหรับการอยู่อาศัยที่สมบูรณ์แบบครบวงจร ทั้งในเรื่องของการสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์และเติมเต็มประสบการณ์การอยู่อาศัยให้กับทุกคน ซึ่งในเร็วๆ นี้ เราจะมีการเปิดตัวนวัตกรรมใหม่ๆที่น่าตื่นเต้น อาทิ ด้านพลังงานทดแทนอัจฉริยะ โครงการบ้านอัพเกรดได้ รวมไปถึงพาร์ทเนอร์ใหม่ๆของ Home Service App ที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าในทุกด้านรวมถึงการยกระดับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของไทยผ่านการสร้างระบบนิเวศเพื่อการพัฒนาด้าน PropTech และ Living Tech ที่ยั่งยืนให้เกิดขึ้นในประเทศไทย” นายจิรพัฒน์ กล่าวปิดท้าย        
แสนสิริผนึกโตคิว กรุ๊ป เปิดตัว “taka HAUS” (ทากะ เฮาส์) มูลค่า 2,000 ลบ. เตรียมเปิด Global Launch พร้อมกันใน 6 ประเทศ 16-17 กย.นี้

แสนสิริผนึกโตคิว กรุ๊ป เปิดตัว “taka HAUS” (ทากะ เฮาส์) มูลค่า 2,000 ลบ. เตรียมเปิด Global Launch พร้อมกันใน 6 ประเทศ 16-17 กย.นี้

แสนสิริผนึกโตคิว กรุ๊ป เปิดตัว “taka HAUS” (ทากะ เฮาส์) มูลค่า 2,000 ลบ. เตรียมเปิด Global Launch พร้อมกันใน 6 ประเทศ 16-17 กย.นี้ตั้งเป้ายอดขายช่วงพรีเซลล์ 1,000 ล้านบาท วางเป้าหมายกลุ่มลูกค้าไทยและต่างชาติ 55 : 45 เปอร์เซ็นต์ แสนสิริผนึกโตคิว กรุ๊ป เปิดตัว “taka HAUS” (ทากะ เฮาส์) เอกมัย 12  มูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท คอนโดมิเนียมแบบ Low-rise ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Stay Unique, Stay Diverse” จำนวนเพียง 269 ยูนิตให้ความเป็นส่วนตัวสูง พร้อม Facility ตอบรับไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตที่แตกต่างและหลากหลายจับกลุ่มคนไทยและต่างชาติ บนทำเลเอกมัยที่ตอบรับทุกการใช้ชีวิตที่แตกต่างอย่างลงตัว เผยเอกมัย ถูกจัดอยู่ในโซนสุขุมตอนกลางด้วยศักยภาพของทำเลที่มีซอยเชื่อมสู่ทองหล่อ เข้าถึงสิ่งอำนวยความสะดวกซึ่งกันและกันได้อย่างครบครัน ขณะที่ราคาประเมินที่ดินโต 50% เทียบเท่าทองหล่อ และอัตราผลตอบแทนต่อการลงทุน 5 – 6% ต่อปี เป็นทำเลที่ได้รับความนิยมสูงในตลาดต่างชาติโดยเฉพาะชาวญี่ปุ่น เตรียมเปิด Global Launch เปิดขายอย่างเป็นทางการพร้อมกันใน 6 ประเทศ ไทย – ญี่ปุ่น – ฮ่องกง – จีน – สิงคโปร์ – ไต้หวัน วันที่ 16 – 17 ก.ย.นี้ในราคาเริ่มต้น 4.49 ล้านบาท วางเป้าหมายกลุ่มลูกค้าไทยและต่างชาติ 55 : 45 เปอร์เซ็นต์ และตั้งเป้าปิดยอดขายช่วงพรีเซลล์ประมาณ 1,000 ล้านบาท หรือเกินกว่า 50% จากจำนวนยูนิต นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ (Chief Operating Officer) บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทจะเปิดตัวโครงการ “taka HAUS” (ทากะ เฮาส์) ซึ่งนับเป็นคอนโดมิเนียมโครงการล่าสุดภายใต้แบรนด์ “HAUS” (เฮาส์) ที่มีแนวคิดการพัฒนาที่อยู่อาศัยที่ตอบรับไลฟ์สไตล์กลุ่มลูกค้าคนเมืองที่ต้องการที่อยู่อาศัยใกล้ชิดธรรมชาติกลางเมืองใหญ่ โดยพัฒนาโครงการภายใต้คอนเซ็ปต์ ‘Urban Resort Condominium’ ให้ทุกๆวันเป็นวันพักผ่อนได้ในแบบที่เป็นคุณ โดยที่ผ่านมาบริษัทประสบความสำเร็จจากการพัฒนาคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ HAUS ไปแล้ว 2 โครงการ โครงการแรกคือ ฮาสุ เฮาส์ ภายใต้แนวคิดแบบ Slow Living หรือการใช้ชีวิตอย่างละเมียดละไม และ โมริ เฮาส์ ภายใต้แนวคิด Trees of Life แบบ Eco-Living หรือการใช้ชีวิตที่อิงอาศัยธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในทำเลสุขุมวิท 77 หรือ T77 ของแสนสิริ ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีมากจากลูกค้าชาวต่างชาติ โดยเฉพาะลูกค้าชาวญี่ปุ่น ฮ่องกงและสิงคโปร์ เนื่องจากตอบโจทย์การอยู่อาศัย บรรยากาศดี เงียบสงบร่มรื่นด้วยคลองธรรมชาติที่ทอดตัวผ่านพื้นที่สีเขียว สามารถเดินทางเข้าเมืองสู่ย่านธุรกิจได้อย่างสะดวก สำหรับคอนโดมิเนียม ทากะ เฮาส์ จำนวน 269 ยูนิต มูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท ออกแบบภายใต้คอนเซ็ปต์ “Stay Unique, Stay Diverse” ตอบการใช้ชีวิตที่ไม่หยุดนิ่งในแบบที่เป็นคุณ พัฒนาภายใต้ บริษัท สิริ ทีเค วัน (Siri TK One Company Limited) ซึ่งเป็นบริษัทภายใต้ความร่วมมือระหว่าง  บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ครบวงจรระดับโลกและบริษัท โตคิว คอร์ปอเรชั่น จำกัด ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งนับเป็น ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาและให้บริการระบบรถไฟในเขตชานเมืองโตเกียว การพัฒนาเมืองและอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงกิจการโรงแรม รีสอร์ท และธุรกิจอื่นๆ และบริษัท สหโตคิว คอร์ปอเรชัน จำกัด ในสัดส่วน กลุ่มแสนสิริถือหุ้น 70% และกลุ่มโตคิวฯ ถือหุ้นสัดส่วน 30% ร่วมกันพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ประเภทคอนโดมิเนียม โดยบริษัทเตรียมเปิด Global Launch เปิดขายอย่างเป็นทางการพร้อมกันใน 6 ประเทศ ไทย – ญี่ปุ่น – ฮ่องกง – จีน – สิงคโปร์ – ไต้หวัน ในวันที่ 16 – 17 กันยายนนี้ ในราคาเริ่มต้น 4.49 ล้านบาท พร้อมโปรโมชั่นรับส่วนลดสูงสุดกว่า 50,000 บาท พร้อมลุ่นทริปไปฮาวายและสกีรีสอร์ท “คำว่า “ทากะ” มีความหมายถึง “เหยี่ยว” ซึ่งตามความเชื่อญี่ปุ่นสื่อถึงสิ่งที่ดี ความเป็นสิริมงคลในการใช้ชีวิต นับเป็นหนึ่งใน 3 ความฝันที่ดีในช่วงปีใหม่สำหรับการเริ่มต้นใช้ชีวิต สอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมายของโครงการทากะ เฮาส์ ซึ่งรักอิสระ คล่องแคล่ว ปราดเปรียว ทันสมัยชอบทำกิจกรรมที่หลากหลายเริ่มแยกจากครอบครัวออกมาอยู่เอง ใช้ชีวิตท่ามกลางแหล่งอำนวยความสะดวกครบครัน นอกจากนี้รูปแบบโครงการยังมีความโดดเด่น ทั้งฟังก์ชั่นการอยู่อาศัย ที่มียูนิต เลย์เอาท์ให้เลือกมากกว่า 30 แบบตอบโจทย์การอยู่อาศัยที่หลากหลาย จำนวนยูนิตพักอาศัยเพียง 269 ยูนิต ให้ความเป็นส่วนตัวสูงเทียบกับ Facility ภายในโครงการที่สามารถตอบรับไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตที่แตกต่างและหลากหลายเทียบเท่าคอนโดมิเนียมแบบไฮท์ไรซ์ โดยนับเป็นครั้งแรกของคอนโดมิเนียมแสนสิริที่มีการนำ ENDLESS JET POOL หรือ สระว่ายน้ำทวนกระแส สำหรับการออกกำลังกายในน้ำ UNDERWATER TREADMILL หรือลู่วิ่งใต้น้ำและ BIKE SIMULATOR เข้ามาใช้ในโครงการ นอกเหนือไปจากสิ่งอำนวยความสะดวก อาทิ สระว่ายน้ำ ห้องออกกำลังกาย สวนและมุมพักผ่อนแบบเอาท์ดอร์พร้อม Wifi Internet ระบบรักษาความปลอดภัย 24 ชั่วโมงพร้อมหน่วยงาน Sansiri Security Inspection (SSI) คุมเข้มความปลอดภัย ที่มีอยู่ในทุกคอนโดมิเนียมตามมาตรฐานการพัฒนาโครงการของแสนสิริ นอกจากนี้ Ground Floor ยังประกอบด้วย ล้อบบี้พร้อมห้องสมุด,     เอนเตอร์เทนเมนต์ รูม, Co-Kitchen, เกมส์ รูม และมุมพักผ่อนเก๋ๆแบบ Tree House ที่มีกระจกโดยรอบเพื่อให้กลมกลืนกับธรรมชาติอีกด้วย พร้อมก้าวสู่ PropTech การเป็นบริษัท Property Technology เต็มรูปแบบรายแรกของไทย โดยนำนวัตกรรม ผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ เข้ามาใช้ในโครงการเพื่อตอบโจทย์ลูกค้า โดยโครงการทากะ เฮาส์ จะมีการนำระบบ แสนสิริ โฮม เซอร์วิส แอปพลิเคชัน, สมาร์ท ล้อคเกอร์, EV Charging Station, Home Automation และ Alexa (Echo Dot By Amazon) เข้ามาใช้ภายในโครงการ” นายอุทัย กล่าว โครงการคอนโดมิเนียม ทากะ เฮาส์ ตั้งอยู่ในซอยสุขุมวิท 63 หรือเอกมัย 12 (ซอยเจริญใจ) ซึ่งเป็นซอยที่เชื่อมระหว่างถนนสุขุมวิทและถนนเพชรบุรีตัดใหม่ที่สามารถเดินทางเข้าออกสู่หลากหลายเส้นทางได้อย่างสะดวก อาทิ ถนนพระรามเก้า และถนนเลียบทางด่วนเอกมัย – รามอินทรา รวมทั้งยังอยู่ใกล้สถานที่ตอบรับไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตต่างๆ ทั้ง โรงพยาบาลชั้นนำโดยรอบ อาทิ โรงพยาบาลสมิติเวช, โรงเรียนนานาชาติชั้นนำ อาทิ โรงเรียนนานาชาติ บางกอกเพรพ (Bangkok Prep) คอมมูนิตี้ มอลล์ อาทิ Nihonmura Mall, เจ อเวนิว, คาเฟ่, บาร์, ซุปเปอร์มาเก็ต, ร้านอาหาร และแหล่ง Hangout ซึ่งเป็นที่นิยมมากมาย รวมทั้งยังสามารถเดินทางเข้าออกได้สะดวกสบายเนื่องจากมีทางทะลุเข้าออกได้หลากหลายเส้นทาง “ซอยเอกมัย นับเป็นทำเลที่อยู่อาศัยที่ได้รับความนิยมอีกแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ โดยที่ผ่านมาแสนสิริประสบความสำเร็จในการเปิดขายโครงการ CEIL by Sansiri (ซีล บาย แสนสิริ) จำนวน 374 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,700 ล้านบาทในทำเลนี้มาแล้ว ทั้งนี้ เอกมัย มีจุดเด่นในการเป็นทำเลที่ขนานไปกับทองหล่อและอยู่ห่างกันเพียง 500 เมตร มีซอยเชื่อมกันเป็นระยะๆ ทั้งทองหล่อซอย 10, ซอยแจ่มจันทร์ เอกมัยจึงถูกพ่วงเข้าไว้กับทองหล่อมาโดยตลอด ทำให้ทั้งสองย่านนี้จึงมีข้อได้เปรียบ และสามารถเข้าถึงสิ่งอำนวยความสะดวกซึ่งกันและกันได้ จึงมีการใช้ประโยชน์หลากหลายกว่าซอยสุขุมวิทอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งศักยภาพของที่ดินในทำเลดังกล่าว ราคาประเมินที่ดินในย่านเอกมัยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนใกล้เคียงกับสุขุมวิทตอนต้น อาทิ ซอยนานา ในขณะที่อัตราการเติบโตของราคาประเมินที่ดินก็สูงถึง 50% เทียบเท่าทองหล่อ นอกจากนี้ยังมีตัวแปรที่สำคัญอีกหลายอย่าง อาทิโครงการจากภาครัฐและเอกชน เน้นย้ำความเป็นสุขุมวิทตอนกลาง และเพื่อเตรียมความพร้อมในการเข้าสู่การเป็นสุขุมวิทตอนต้นให้มากขึ้น อาทิ โครงการพัฒนาและปรับปรุงฟื้นฟูย่านทองหล่อ-เอกมัย โดย UDDC หนึ่งในพื้นที่นำร่องของการพัฒนาและปรับปรุงฟื้นฟูย่าน ซึ่งศูนย์ออกแบบและพัฒนาเมือง (UDDC) ทำร่วมกับกรุงเทพมหานคร โดยมองว่าทำเลทองหล่อ-เอกมัยมีศักยภาพในหลายด้าน ทั้งการเป็นจุดเชื่อมต่อกับกรุงเทพชั้นกลางและชั้นนอก รวมไปถึงการเป็นพื้นที่ที่มีกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่หลากหลาย โดยแนวทางของการพัฒนาและปรับปรุงฟื้นฟูย่านทองหล่อ-เอกมัย คือการปรับปรุงโครงข่ายถนนตรอกซอยต่างๆ ให้สามารถเชื่อมต่อกันได้มากขึ้น กำหนดพื้นที่ที่เน้นการส่งเสริมการพัฒนา เพิ่มพื้นที่สีเขียว ปรับปรุงคลองให้มีทัศนียภาพที่ดีและเดินได้สะดวกขึ้น ซึ่งในอนาคต เราจะได้เห็นทองหล่อ-เอกมัยในบทบาทของย่านธุรกิจสร้างสรรค์ที่นำเทรนด์ของเมือง ย่านที่อยู่อาศัยหนาแน่นและแหล่งงานนานาชาติ รวมไปถึงสามารถเดินได้สะดวกและมีระบบ feeder รองรับอีกด้วย” นายอุทัย กล่าว นอกจากนี้จากการเปลี่ยนแปลงของเมืองและการขยายตัวของเส้นสุขุมวิทที่ขยายตัวออกมาทางเอกมัยมากขึ้น ยังส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของราคาและค่าเช่าที่อยู่อาศัย โดยการเปลี่ยนแปลงของราคาคอนโดมิเนียมรีเซลล์เติบโตเฉลี่ย 6 - 10% ต่อปี และราคาปล่อยเช่าในทำเลเอกมัยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 25,000-55,000 บาทต่อเดือน ขณะที่ผลตอบแทนในการลงทุนอยู่ที่ประมาณ 5-6% ต่อปี ซึ่งนับว่าราคาคอนโดมิเนียมในทำเลนี้ยังเหมาะสมในการซื้อเพื่อการลงทุน ดังนั้น “เอกมัย” จึงกลายเป็นทำเลที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่โฟกัสชาวต่างชาติเป็นหลัก โดยเฉพาะชาวญี่ปุ่น ซึ่งเป็นผู้เช่าเกรดพรีเมียมสำหรับกลุ่มนักลงทุน “บริษัทตั้งเป้าปิดยอดขายโครงการทากะ เฮาส์ ในช่วง Presale มากกว่า 50% หรือประมาณ 1,000 ล้านบาท ซึ่งเมื่อรวมกับยอดขายโครงการคอนโดมิเนียมของแสนสิริซึ่งทำได้แล้ว 11,800 ล้านบาท บริษัทจะสามารถสร้างยอดขายได้กว่า 12,800 ล้านบาท หรือคิดเป็น 50% จากเป้าหมายยอดขายคอนโดมิเนียมที่วางไว้ 25,000 ล้านบาท โดยการเปิดตัวโครงการ ทากะ เฮาส์ รวมทั้งโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ๆ เพื่อตอบรับความต้องการอยู่อาศัยของกลุ่มลูกค้าในปีนี้ยังคงเป็นไปอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปีตามแผนธุรกิจที่วางไว้รวมทั้งมั่นใจว่าบริษัทจะสามารถสร้างยอดขายได้ตามเป้าหมาย” นายอุทัย กล่าว