Tag : บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้

7 ผลลัพธ์
พลัส พร็อพเพอร์ตี้ เผยภูเก็ต-หาดใหญ่ สองเมืองหลักภาคใต้มาแรง  เศรษฐกิจและการท่องเที่ยวคึกคักดันดีมานด์คอนโด ยอดตอบรับสูง 80-90%

พลัส พร็อพเพอร์ตี้ เผยภูเก็ต-หาดใหญ่ สองเมืองหลักภาคใต้มาแรง เศรษฐกิจและการท่องเที่ยวคึกคักดันดีมานด์คอนโด ยอดตอบรับสูง 80-90%

  พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เผยผลสำรวจอสังหาริมทรัพย์ ภูเก็ต–หาดใหญ่ คึกคักต้อนรับยอดนักท่องเที่ยว-การค้าเติบโตต่อเนื่อง โซนตัวเมืองภูเก็ตเนื้อหอม เป็นจุดศูนย์กลางเดินทางสะดวกทั่วเกาะ และใกล้ชิดสถาปัตยกรรมเมืองเก่า โครงการคอนโดมิเนียมได้รับความนิยม ยอดขาย 81% ด้านหาดใหญ่ตลาดคอนโดฯมาแรงยอดขาย 93% ดีมานด์นักธุรกิจ นักศึกษาท่วมท้น ส่งผลทุกโครงการปิดการขายรวดเร็ว ทำเลถนนกาญจนวณิชศักยภาพสูง เป็นเส้นหลักเชื่อมหาดใหญ่สู่หลายจังหวัด และเชื่อมชายแดนมาเลเซีย ดันการค้าชายแดนสูงสุดในภาคใต้ มูลค่ากว่า 5 แสนล้านบาท   นายอนุกูล รัฐพิทักษ์สันติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดเผยว่า จากผลสำรวจของฝ่ายวิจัยและพัฒนาของพลัส พร็อพเพอร์ตี้ ที่ได้ทำการสำรวจที่อยู่อาศัยในโซนภาคใต้พบว่ามีการเติบโตที่น่าสนใจ โดยเฉพาะในพื้นที่ จ.ภูเก็ต และพื้นที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เนื่องจากเป็นจังหวัดที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงทั้งด้านท่องเที่ยวและการค้า ส่งผลให้ความต้องการที่อยู่อาศัยเติบโตในทิศทางเดียวกัน ไม่เพียงเท่านี้ตลาดที่อยู่อาศัยในภูเก็ต และหาดใหญ่ ยังมีแนวโน้มเติบโตจากการได้รับแรงผลักดันจากการพัฒนาด้านโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมที่กระตุ้นเศรษฐกิจทั้ง 2 พื้นที่ให้คึกคักมากขึ้น รวมถึงราคาที่ดินที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งล่าสุดจากข้อมูลของกรมธนารักษ์ พบว่าราคาประเมินในพื้นที่ภูเก็ต ช่วงปี 2555 – 2558 และ 2559-2562 โซนใจกลางเมืองเติบโต 19 – 35% ขณะที่ราคาประเมินที่ดินหาดใหญ่ ช่วงปี 2555 – 2558 และ 2559 – 2562 เพิ่มขึ้น 20 – 25%   จากการสำรวจตลาดอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่ จ.ภูเก็ต ล่าสุด ปี 2561 พบว่าตลาดหลักคือคอนโดมิเนียม มีสัดส่วนอยู่ที่ 80% มีอุปทานสะสม 13,702 ยูนิต อุปสงค์ให้การตอบรับแล้ว 11,062 ยูนิต และมียอดขายอยู่ที่ 81% ขณะที่ราคาเสนอขายเฉลี่ยทั้งตลาดประมาณ 100,000 บาทต่อตารางเมตร โซนที่มีการเติบโตของราคาสูงคือโซนตัวเมืองภูเก็ต ที่มีราคาขายเฉลี่ยประมาณ 81,000 บาทต่อตารางเมตร เพิ่มขึ้น 13% จากปีก่อนหน้า โดยมีโครงการใหม่ที่คาดว่าจะเข้าสู่ตลาดในปีนี้ราว 1,200 ยูนิต สอดคล้องกับความต้องการที่อยู่อาศัยจากทั้งคนในพื้นที่และจากนักท่องเที่ยวที่เติบโตมากขึ้นทุกปี โดยในปี 2560 มีนักท่องเที่ยวเดินทางมายังภูเก็ตมากกว่า 12 ล้านคน เพิ่มขึ้น 30% จากปีก่อน ซึ่งภูเก็ตถือเป็นศูนย์กลางด้านการท่องเที่ยวของภาคใต้ ด้วยรายได้จากการท่องเที่ยวที่มีมูลค่าสูงเป็นอันดับ 1 ของภาคใต้ (มูลค่า 330,000 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 12% ของทั้งหมด) และมีมูลค่าเป็นอันดับ 2 ของประเทศรองจากกรุงเทพฯ อีกทั้งภูเก็ตมีแผนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทั้งรถไฟรางเบาจากสนามบินภูเก็ตสู่ใจกลางเมืองภูเก็ต ดังนั้นการเดินทางเชื่อมต่อทั้งเกาะภูเก็ตจึงมีความสะดวกสบาย ที่อยู่อาศัยโซนใจกลางเมืองจึงได้รับการตอบรับที่ดีเพราะสามารถเดินทางไปยังโซนอื่นๆ ได้ ไม่เพียงเท่านี้ในอนาคตภูเก็ตจะพัฒนาสู่ Smart City จะทำให้ราคาที่ดินปรับตัวสูงขึ้น คาดว่าราคาเสนอขายคอนโดฯจะเติบโตขึ้นอีก โดยโซนตัวเมืองราคาน่าจะขยับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องปีละ 8-10 % เนื่องจากในอนาคตจะมีการคมนาคมสะดวกขึ้น จากความคืบหน้าตามแผนการก่อสร้างรถไฟฟ้ารางเบาของภูเก็ต นอกจากนี้ในส่วนของการนำกลับมาขายใหม่หรือรีเซล (resale) ราคาปรับเพิ่มขึ้น 6-9% ต่อปี เติบโตจากความต้องการของกลุ่มคนทำงานในพื้นที่ นักลงทุน รวมถึงกลุ่มที่ซื้อเก็บไว้เป็นทรัพย์สินและมรดก โดยพบว่าราคาขายรีเซลอยู่ที่ประมาณ 85,000 – 90,000 บาทต่อตารางเมตร คิดเป็นอัตรากำไรประมาณ 4-5% ต่อปี ส่วนการเช่ามีราคาปล่อยเช่าอยู่ที่ 14,000 - 15,000 บาทต่อปี อัตราผลตอบแทนอยู่ที่ 6-7% ต่อปี โดยเน้นปล่อยเช่าให้กับชาวต่างชาติและกลุ่มคนที่เข้ามาทำงานในพื้นที่ซึ่งถือเป็นกลุ่มประชากรแฝงที่มีอยู่จำนวนมาก ทั้งแรงงาน นักธุรกิจ และนักเรียนนักศึกษา ดังนั้นโครงการที่ได้รับความนิยมจึงเป็นโครงการที่อยู่ในโซนที่ตอบสนองการใช้ชีวิตประจำวันของผู้อยู่อาศัย ทำให้โครงการที่อยู่ในตัวเมืองได้รับความสนใจเพราะสามารถเดินทางสะดวก และยังแวดล้อมไปด้วยสถาปัตยกรรมเมืองเก่า เปี่ยมด้วยเสน่ห์ที่ผสานหลากหลายวัฒนธรรมทั้งไทย จีน และมลายู   สำหรับพื้นที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา พบว่าตลาดคอนโดฯเริ่มเติบโตอย่างน่าสนใจ เนื่องจากหาดใหญ่เป็น หัวเมืองที่เป็นประตูสู่ประเทศเพื่อนบ้านเช่นมาเลเซีย จึงเป็นเมืองแห่งศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ การค้าชายแดน การลงทุนที่สำคัญ นอกจากนี้ยังเป็นศูนย์กลางทางการศึกษาของ 7 จังหวัดภาคใต้ตอนล่าง เป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ มหาวิทยาลัยที่ใหญ่ที่สุดในภาคใต้ และยังเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ มีโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ โรงพยาบาลที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาค จึงส่งผลให้มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 1 ของภาคใต้ มีการค้าขายกับมาเลเซียที่เติบโต 12% และมีมูลค่าการค้าชายแดนประมาณ 550,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นมูลค่าที่สูงสุดของการค้าชายแดนของภาคใต้ และจากการที่เป็นศูนย์กลางการค้าและแหล่งงานจึงทำให้ตลาดคอนโดมิเนียมเริ่มคึกคักขึ้น โดยล่าสุดพบว่ามีอุปทานเสนอขายสะสม 2,970 ยูนิต อุปสงค์ให้การตอบรับ 2,763 ยูนิต มียอดขายสูงถึง 93% ซึ่งโครงการที่เปิดขายเหล่านี้ได้รับการตอบรับอย่างท่วมท้น ปิดการขายได้เร็ว เนื่องจากอยู่ใกล้สถานที่สำคัญเช่นมหาวิทยาลัย ศูนย์การค้าที่สำคัญ และพัฒนาโดยผู้ประกอบการรายใหญ่ทำให้ตัวโครงการมีความน่าเชื่อถือ และมีสิ่งอำนวยความสะดวกในพื้นที่ส่วนกลางที่แตกต่างจากโครงการทั่วไปในตลาด ปัจจุบันไม่พบอุปทานคงค้างแล้วในโซนนี้ หากมีโครงการเปิดใหม่จึงคาดว่าจะสามารถปิดการขายได้เร็ว โดยพบว่าผลตอบแทนจากการขายต่ออยู่ที่ประมาณ 4% ต่อปี ส่วนการปล่อยเช่ามีอัตราผลตอบแทนอยู่ที่ 6-7% ต่อปี โดยโซนที่น่าจับตาคือโซนถนนกาญจนวนิช ซึ่งเป็นเสมือนเส้นเลือดหลักของหาดใหญ่ เชื่อมสถานที่สำคัญของหาดใหญ่และจังหวัดใกล้เคียง และเชื่อมไปสู่ชายแดนประเทศมาเลเซียได้ และยังเป็นเส้นทางหลักของรถไฟรางเดี่ยวที่จะเกิดในอนาคตอีกด้วย
ก้าวใหม่วงการอสังหาฯ พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จับมือ รีฟินน์ รุกฟินเทค  เปิดตัวบริการสินเชื่อบ้านมือสอง  “ฟิน ครบ จบที่เดียว ได้ทั้งบ้าน-คอนโด และสินเชื่อตรงใจ”

ก้าวใหม่วงการอสังหาฯ พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จับมือ รีฟินน์ รุกฟินเทค เปิดตัวบริการสินเชื่อบ้านมือสอง “ฟิน ครบ จบที่เดียว ได้ทั้งบ้าน-คอนโด และสินเชื่อตรงใจ”

นางสาวสมสกุล หลิมศุทธพรรณ รองกรรมการผู้จัดการ สายงานบริหารสินทรัพย์ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร ตอกย้ำนโยบายดิจิทัล ทรานส์ฟอร์เมชั่น จับมือ บริษัท รีฟินน์ อินเตอร์เนชั่นแนล ดอท คอม จำกัด ฟินเทคสตาร์ทอัพชั้นนำ โดยนางสาวพรพิมล ปฐมศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ร่วมเปิดตัวบริการใหม่ล่าสุด สินเชื่อบ้านมือสอง “ฟิน ครบ จบที่เดียว ได้ทั้งบ้าน-คอนโด และสินเชื่อตรงใจ” ต่อยอดกลยุทธ์ทางธุรกิจของพลัสฯ ด้าน Customer Focus ยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง โดยพัฒนาบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า ลดขั้นตอนการค้นหาสินเชื่อ เพิ่มทางเลือกสำหรับลูกค้าที่สนใจใช้บริการซื้อที่อยู่อาศัยกับพลัสฯ สามารถใช้บริการขอสินเชื่อผ่านรีฟินน์ได้แบบครบวงจร พร้อมสิทธิประโยชน์พิเศษอีกมาก อาทิ ดอกเบี้ย 0% นาน 6 เดือน และดอกเบี้ย 3 ปีแรกต่ำกว่า 3% ฟรีจดจำนองและประเมิน เป็นต้น   นางสาวสมสกุล หลิมศุทธพรรณ รองกรรมการผู้จัดการ สายงานบริหารสินทรัพย์ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดเผยว่า พลัสฯได้ร่วมมือกับรีฟินน์ ซึ่งเป็นฟินเทคสตาร์ทอัพชั้นนำ ในการเป็นพันธมิตรให้บริการสินเชื่อบ้านมือสองสำหรับลูกค้าที่ซื้อที่อยู่อาศัยกับพลัสฯ เพื่อเพิ่มทางเลือกให้ลูกค้าด้วยบริการที่ “ฟิน ครบ จบที่เดียว ได้ทั้งบ้าน-คอนโด และสินเชื่อตรงใจ” ซึ่งการร่วมมือกันในครั้งนี้ถือเป็นก้าวใหม่ของวงการอสังหาริมทรัพย์ที่เดินหน้าพัฒนาการบริการผ่านฟินเทค และเป็นการต่อยอดนโยบายของพลัสฯ ที่จะเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิตอลอย่างเต็มรูปแบบ (Digital Transformation) โดยจับมือกับรีฟินน์ เพื่อยกระดับการให้บริการลูกค้าพลัสฯ ที่ต้องการสินเชื่อบ้านหรือคอนโดมิเนียมมือสองให้มีทางเลือกมากขึ้น สามารถเปรียบเทียบสินเชื่อจากหลากหลายสถาบันการเงินชั้นนำ พร้อมเลือกสมัครขอสินเชื่อที่ตรงใจและตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะได้ในที่เดียว สะดวกและรวดเร็วมากขึ้น ไม่เพียงเท่านี้ ยังมีข้อเสนอพิเศษอีกมากมายเพื่อลูกค้า อาทิ ดอกเบี้ย 0% นาน 6 เดือน หรือดอกเบี้ย 3 ปีแรก ไม่ถึง 3% หรือขอวงเงินสินเชื่อได้สูงสุด 100% ฟรีจดจำนอง ฟรีประเมิน หรือสามารถเลือกยอดผ่อนชำระต่ำ และดอกเบี้ยคงที่ระยะยาวได้อีกด้วย โดยสามารถตรวจสอบระยะเวลาและเงื่อนไขโปรโมชั่นได้ทาง www.plus.co.th/plusxrefinn   “นับเป็นมิติใหม่ในวงการอสังหาฯ ที่ลูกค้าสามารถเลือกซื้อบ้าน-คอนโด พร้อมสินเชื่อตรงใจได้ทันที ครบจบในที่เดียว ซึ่งความร่วมมือในเฟสแรกกับรีฟินน์นี้ พลัสฯ มั่นใจว่าลูกค้าที่ใช้บริการกับเราจะได้รับความสะดวกสบายด้วยทางเลือกที่หลากหลายไม่ต้องเสียเวลาในการติดต่อสถาบันการเงินแต่ละแห่ง และด้วยจุดแข็งของทั้งพลัสฯ ที่เป็นตัวแทนขายมืออาชีพพร้อมประสบการณ์กว่า 20 ปี มีพอร์ตบ้านและคอนโดฯ มือสองคุณภาพในทำเลศักยภาพให้ลูกค้าได้เลือกสรร และรีฟินน์ซึ่งเป็นตัวกลางระหว่างลูกค้าและธนาคารในการเปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ยของธนาคารต่างๆ ช่วยให้ลูกค้าได้รับบริการสินเชื่อที่คุ้มค่าสอดคล้องกับความต้องการ ส่วนเฟสถัดไปจะมีการพัฒนาดิจิตอลแพลตฟอร์มร่วมกัน เพื่อให้ลูกค้าที่จะซื้อบ้านหรือคอนโดฯ มือสองของพลัสฯ สามารถเลือกซื้อทางเว็บไซต์ และประเมินหาสินเชื่อบ้านมือสองได้พร้อมกันในที่เดียว” นางสาวสมสกุล กล่าว   นางสาวพรพิมล ปฐมศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท รีฟินน์ อินเตอร์เนชั่นแนล ดอท คอม จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบันรีฟินน์ นับเป็นเว็บไซต์ที่ให้บริการค้นหาโปรโมชั่นสินเชื่อบ้านที่ได้รับความนิยมที่สุด โดยมียอดผู้เข้าชมเว็บไซต์ www.Refinn.com แล้วกว่า 1.2 ล้านราย ด้วยการนำเสนอข้อมูลอัตราดอกเบี้ยบ้านออนไลน์ที่ทำให้ลูกค้าสะดวก และง่ายในการใช้บริการ อีกทั้งยังรวดเร็ว เป็นกลาง โปร่งใส และไม่มีค่าบริการกับผู้ใช้บริการอีกด้วย โดยบริการสินเชื่อบ้านมือสอง เป็นบริการใหม่ล่าสุดที่รีฟินน์เปิดตัวเป็นครั้งแรกร่วมกับพลัสฯ ซึ่งจะเป็นการเสริมจุดแข็งทางธุรกิจร่วมกันได้เป็นอย่างดี เพราะพลัสฯ เองมีฐานลูกค้าที่มีศักยภาพจำนวนมากที่ต้องการขอสินเชื่อบ้านมือสอง ทางรีฟินน์เองก็สามารถตอบโจทย์การให้บริการสินเชื่อดังกล่าวได้เป็นอย่างดี เนื่องจากเรามีโปรแกรมออนไลน์คำนวณเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายและอัตราดอกเบี้ยจากธนาคารชั้นนำจำนวนมาก โดยที่ลูกค้าสามารถสมัครขอสินเชื่อได้ทันทีโดยที่ไม่ต้องเสียเวลาไปติดต่อเอง และทราบผลอนุมัติเบื้องต้นอย่างรวดเร็ว จึงเป็นการเพิ่มทางเลือกให้กับลูกค้าด้วยบริการที่ครบจบในที่เดียว ตอบโจทย์เทรนด์คนรุ่นใหม่ที่มีเวลาน้อย และต้องการข้อมูลเพื่อช่วยในการตัดสินใจ ซึ่งการผนึกกำลังเป็นพันธมิตรกันในครั้งนี้จึงถือเป็นการเพิ่มโอกาสการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ตรงกับการให้บริการของรีฟินน์ เพราะลูกค้าที่มาซื้อที่อยู่อาศัยกับพลัสฯ เป็นลูกค้าที่มีคุณภาพให้ความสำคัญกับการได้ข้อมูลครบถ้วนและเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีไลฟ์สไตล์ชื่นชอบการใช้บริการผ่านช่องทางออนไลน์ ซึ่งในอนาคตลูกค้าจะได้รับบริการซื้อบ้านและคอนโดฯ จากพลัสฯ พร้อมโปรแกรมคำนวณสินเชื่อบ้านมือสองของรีฟินน์ได้อีกด้วย   สำหรับลูกค้าที่สนใจ สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมสินเชื่อบ้านมือสอง “ฟิน ครบ จบที่เดียว ได้ทั้งบ้าน-คอนโด และสินเชื่อตรงใจ” ได้ที่ www.plus.co.th/plusxrefinn หรือโทร 02-688-7555
พลัส พร็อพเพอร์ตี้ เผยตลาดอาคารสำนักงาน โซนสีลม-สาทร ฮอต

พลัส พร็อพเพอร์ตี้ เผยตลาดอาคารสำนักงาน โซนสีลม-สาทร ฮอต

  พลัส พร็อพเพอร์ตี้ เผยทำเลสีลม-สาทรติดลมบนโซนยอดนิยมของคนทำงาน ครองอันดับหนึ่งพื้นที่สำนักงานสูงสุด 2.1 ล้านตารางเมตร ล่าสุด  co–working space มาแรงโตถึง 35% เริ่มมีผู้ให้บริการต่างชาติเข้ามาเจาะตลาดโซนสีลม-สาทร รองรับกลุ่มคนทำงาน สตาร์ทอัพ ฟรีแลนซ์ และ expat ส่วนตลาดที่อยู่อาศัยพบพื้นที่พัฒนาโครงการใหม่จำกัด ส่งผลให้ตลาดรีเซลและปล่อยเช่าน่าสนใจ ผลตอบแทนขายต่อ-ปล่อยเช่าอยู่ที่ 4-5%   นายอนุกูล รัฐพิทักษ์สันติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด เปิดเผยว่า จากผลสำรวจของพลัส พร็อพเพอร์ตี้ ในตลาดอาคารสำนักงานในกรุงเทพมหานครและปริมณฑลพบว่ามีพื้นที่สำนักงานรวมทั้งสิ้น 8.6 ล้านตารางเมตร โดยโซนสีลม-สาทร เป็นโซนยอดนิยมของคนทำงาน มีพื้นที่สำนักงานสูงสุดเป็นอันดับหนึ่ง ประมาณ 2.1 ล้านตารางเมตร คิดเป็น 24% ของพื้นที่สำนักงานทั้งหมด รองลงมาคือโซนสุขุมวิท 1.7 ล้านตารางเมตร คิดเป็น 20% และ โซนรัชดาภิเษก 1.2 ล้านตารางเมตร คิดเป็น 14% ซึ่งนอกจากโซนสีลม-สาทร จะเป็นย่านสำนักงานที่ใหญ่ที่สุดของกรุงเทพฯ ยังเพียบพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกที่ตอบสนองการใช้ชีวิตของคนวัยทำงานมากมาย อาทิ การเดินทางโดยระบบขนส่งมวลชนที่สะดวกมีรถไฟฟ้าหลายสถานีล้อมรอบเกือบทุกมุมถนน มีสถานีเชื่อมต่อ BTS และ MRT จึงเป็นทำเลกลางเมืองที่สามารถเดินทางเชื่อมต่อไปยังสถานที่สำคัญๆ ได้ง่าย นอกจากนี้โซนสีลม-สาทร ยังเริ่มเป็นทำเลที่มีพื้นที่สำนักงานร่วม (co-working space) ที่เติบโตตามกระแสเศรษฐกิจแบ่งปัน ที่กำลังมาแรงในกลุ่มคนทำงาน ซึ่ง co-working space ยังมีแนวโน้มเติบโตทั่วโลกและในไทยเองก็มีแนวโน้มการเติบโตไปในทิศทางเดียวกัน โดยล่าสุดในปี 2560 พบว่ามีผู้ใช้บริการทั่วโลก จำนวน 1.74 ล้านราย เติบโตจากปี 2558 เฉลี่ย 83%     จากข้อมูลของ Global Co-Working Space Unconference Conference ได้วิเคราะห์ว่าภายในปี 2565 จำนวนผู้ใช้บริการ co-working space ทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นถึง 5.1 ล้านราย ด้วยเหตุนี้จึงส่งผลให้จำนวนพื้นที่สำนักงานร่วมมีการขยายตัวเพื่อรองรับความต้องการที่มากขึ้น จากปัจจุบันในปี 2561 ที่น่าจะมีจำนวนพื้นที่สำนักงานร่วมอยู่ที่ 17,725 แห่งและเติบโตเฉลี่ยราว 16% ต่อปีนั้น เพิ่มเป็น 30,432 แห่งทั่วโลกในปี 2565   สำหรับประเทศไทยเริ่มมีความต้องการหลังจากผ่านเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่เมื่อปี 2554 เนื่องจากหลายๆ คนไม่สามารถเดินทางไปยังสำนักงานได้ ซึ่งปัจจุบันพบว่ามีพื้นที่ co-working space ทั้งหมด 91 แห่งทั่วประเทศ โดย 70% เป็นพื้นที่ที่ให้บริการในกรุงเทพฯ และ 30% ไปกระจายอยู่ตามหัวเมืองต่างจังหวัด เช่น เชียงใหม่ ภูเก็ต พัทยา หาดใหญ่ เป็นต้น โดยมีอัตราค่าใช้บริการแบบรายวันประมาณ 180 - 500 บาท หรืออาจคิดค่าบริการแบบเหมารายเดือนประมาณ 3,000 - 7,450 บาท ด้วยรูปแบบที่ยืดหยุ่นและตอบโจทย์การทำงานของคนรุ่นใหม่ จึงทำให้ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาธุรกิจมีการขยายสาขาเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 35% ซึ่งล่าสุดพบว่ามีผู้ให้บริการต่างชาติรายใหญ่ เช่น JustCo ได้เข้ามาเปิดให้บริการในทำเล สีลม-สาทร ซึ่งถือเป็นทำเลยอดนิยมของกลุ่มคนทำงาน ตอบโจทย์ความต้องการของพนักงานออฟฟิศและสตาร์ทอัพในย่านนี้   “อย่างไรก็ตามในส่วนของตลาดที่อยู่อาศัยในย่านสีลม-สาทรนั้น พบว่าเหลือพื้นที่ในการพัฒนาโครงการจำกัด ส่งผลให้มีความต้องการด้านที่อยู่อาศัยสูง ทั้งความต้องการในการซื้อต่อและความต้องการเช่า ทำให้คอนโดมิเนียมในทำเลนี้มีราคาปรับตัวขึ้นมาอย่างน่าสนใจโดยราคานำกลับมาขายใหม่ (resale) และผลตอบแทนจากการปล่อยเช่าอยู่ในระดับที่น่าสนใจทั้งคู่ โดยในส่วนของตลาดรีเซลมีผลตอบแทนการขายต่อ (capital gain) ประมาณ 4-5% ต่อปี ราคาขายต่อเฉลี่ยประมาณ 230,000 บาท/ ตารางเมตร ขณะที่ผลตอบแทนจากการปล่อยเช่า (rental yield) อยู่ที่ประมาณ 4-5% ต่อปีเช่นกัน โดยราคาปล่อยเช่าอยู่ที่ 800-1,000 บาท/ตารางเมตร สาเหตุที่ทำเลสีลม-สาทรได้รับความนิยมทั้งพื้นที่สำนักงาน co-working space และที่อยู่อาศัยนั้น เนื่องจากไม่เพียงตอบสนองความต้องการของกลุ่มคนทำงานทั่วไป สตาร์ทอัพ และฟรีแลนซ์ ยังพบว่ามีความต้องการจากกลุ่มต่างชาติที่ทำงานอยู่ในประเทศไทย (expat) และอยู่อาศัยในย่านธุรกิจอีกเป็นจำนวนมาก โดยข้อมูลปี 2560 พบว่ามีจำนวน expat ในกรุงเทพฯ รวมประมาณ 1.2 ล้านคน” นายอนุกูล กล่าว
พลัส พร็อพเพอร์ตี้ เผยศักยภาพคอนโดพัทยา-หัวหินโตรับอานิสงค์ภาครัฐเชื่อมต่อคมนาคมสู่สองฝั่งอ่าวไทยตะวันออก-ตะวันตก

พลัส พร็อพเพอร์ตี้ เผยศักยภาพคอนโดพัทยา-หัวหินโตรับอานิสงค์ภาครัฐเชื่อมต่อคมนาคมสู่สองฝั่งอ่าวไทยตะวันออก-ตะวันตก

พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร พบสัญญาณลงทุนอสังหาริมทรัพย์พัทยาและหัวหิน ได้ปัจจัยบวกจากการลงทุนคมนาคมของภาครัฐ จากการเชื่อมต่อพัทยาสู่หัวหินทางเรือ เชื่อมต่อการเดินทางจาก ส่งผลให้อุปสงค์การท่องเที่ยวและอสังหาริมทรัพย์เติบโตต่อเนื่อง ล่าสุดราคาขายคอนโดมิเนียมพัทยาสูงสุดอยู่ที่ 180,000 บาทต่อตารางเมตร ช่วง 5 ปีเติบโตสูงสุดที่ 36% ขณะที่คอนโดมิเนียมหัวหินราคาเสนอขายสูงสุดที่ 140,000 บาทต่อตารางเมตร ผลตอบแทนการขายต่อสูงถึง 59% นายอนุกูล รัฐพิทักษ์สันติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด เปิดเผยว่า จากการสำรวจของพลัส พร็อพเพอร์ตี้ พบว่า อสังหาริมทรัพย์ในทำเลเมืองท่องเที่ยวมีแนวโน้มเติบโตดี โดยเฉพาะเมืองที่อยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ เช่นในพื้นที่พัทยาและหัวหิน เนื่องจากภาครัฐได้พัฒนาระบบคมนาคมเชื่อมการเดินทางทั้งการลงทุนในโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินสู่ภาคตะวันออก ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา โครงการรถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ-หัวหิน และโครงการทางพิเศษสายพระราม3-ดาวคะนอง-วงแหวนรอบนอกด้านตะวันตก ทั้งยังมีการเชื่อมโยงเมืองท่องเที่ยว 2 ฝั่งอ่าวไทยเข้าด้วยกันโดยได้เปิดบริการเรือเฟอร์รี่จากหัวหิน-พัทยา ตั้งแต่ต้นปี 2560  สามารถลดระยะเวลาการเดินทางจาก 5-6 ชั่วโมงทางรถยนต์ ให้เหลือเพียง 1 ชั่วโมง 40 นาทีเท่านั้น  ซึ่งในอนาคตจะมีการขยายการเชื่อมโยงมายังท่าเรือกรุงเทพฯ  นับเป็นการกระตุ้นทั้งด้านการท่องเที่ยวและดึงดูดการลงทุนไปในตัว น่าจะทำให้นักท่องเที่ยวกระจายตัวมากขึ้น ส่งผลให้เกิดอุปสงค์ด้านการท่องเที่ยวและความต้องการบ้านพักหลังที่ 2 เพิ่มมากขึ้น สำหรับภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ของพัทยาและหัวหินปัจจุบันพบว่าเติบโตขึ้นอย่างน่าสนใจ โดยในส่วนของพัทยา ปี 2560 พบอุปทานเสนอขายคอนโดมิเนียมถึง 55,641 ยูนิต ได้รับการตอบรับแล้วสูงถึง 85% เพิ่มขึ้น 5% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน จึงเหลือยูนิตคงค้างเพียง 8,496 ยูนิต ซึ่งคาดว่าจะขายหมดในเวลา 15 เดือน โดยราคาเฉลี่ยที่เสนอขายในทุกโซนพัทยาอยู่ที่ 95,000 – 100,000 บาทต่อตารางเมตร และมีแนวโน้มเติบโตขึ้นทุกปี ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาพบว่าราคาเสนอขายเติบโตสูงถึง 28% ซึ่งคาดว่าหากมีโครงการใหม่ราคาจะเติบโตไปได้ถึง 100,000 – 150,000 บาท ด้านอุปสงค์พบว่า โครงการที่มีราคาเสนอขายมากกว่า 120,000 บาทต่อตารางเมตร มีอุปสงค์ขยายตัวสูงขึ้นทุกปี จากปี 2556-2560 โดยสูงขึ้นถึง 159% และยังพบโครงการระดับบนที่มีราคาขายสูงถึง 180,000 บาทต่อตารางเมตร ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยรวมทั้งตลาด การตอบรับในช่วงเปิดตัวของโครงการเหล่านี้เคยสูงถึง 10 Fยูนิตต่อเดือนต่อโครงการ ซึ่งคาดว่าราคาเสนอขายยังจะเติบโตขึ้นได้อีก โดยเฉพาะพื้นที่แถวพัทยากลางที่เหลือพื้นที่พัฒนาโครงการน้อยและยังเป็นแหล่งรวมสีสันของเมืองพัทยาและมีราคาที่ดินสูงถึงตารางวาละ 400,000 บาท  จึงเป็นไปได้ว่าในอนาคตทำเลนี้จะกลายเป็นทำเลทอง ไม่เพียงเท่านี้ผลตอบแทนจากการขายต่อในแต่ละปีมีการเติบโตสูงราว 21-36% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา สำหรับตลาดปล่อยเช่ายังเติบโตดี ห้องชุดปล่อยเช่าให้ต่างชาติมีราคาเฉลี่ย 600-700 บาทต่อตารางเมตร โครงการแนวสูงจะได้รับความนิยม ผลตอบแทนการเช่าเฉลี่ย 4-5% ต่อปี โดยผู้เช่ายังทำสัญญาเช่าระยะยาวต่อเนื่อง ซึ่งอย่างน้อยนิยมเข้าพักราว 2-3 เดือนต่อครั้ง ในปี 2560 จำนวนผู้เช่าเติบโตขึ้นถึง 54% ซึ่งปัจจัยที่ส่งผลให้ภาคอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่พัทยาเติบโตมาจากการท่องเที่ยวเป็นตัวผลักดันที่สำคัญ ข้อมูลจากเดือนพฤศจิกายนปีที่ผ่านมามีปริมาณนักท่องเที่ยวในชลบุรีกว่า 15 ล้านคน เพิ่มขึ้น 8% จากปีก่อน รายได้จากการท่องเที่ยวเติบโตขึ้นโดยเฉลี่ย 17% หรืออยู่ที่กว่า 2 แสนล้านบาท พื้นที่พัทยาจึงเป็นอีกทำเลที่น่าลงทุน ขณะที่ภาพรวมอสังหาริมทรัพย์ทำเลหัวหินล่าสุดพบว่า อุปทานเสนอขายคอนโดมิเนียมในพื้นที่หัวหินและชะอำอยู่ที่ 11,641 ยูนิต มียอดตอบรับแล้ว 78% โดยในพื้นที่หัวหิน ราคาเสนอขายเฉลี่ยประมาณ 90,000 บาทต่อตารางเมตร แต่หากเป็นโซนใกล้ทะเล ราคาเสนอขายจะอยู่ในช่วง 91,000 – 96,000 บาทต่อตารางเมตร โดยพบราคาเสนอขายโครงการสูงถึง 140,000 บาทต่อตารางเมตร ในโครงการเลียบชายหาด สำหรับพื้นที่ศักยภาพอย่างโซนตัวเมืองหัวหินและโซนใกล้ทะเล รวมถึงโซนเขาตะเกียบ ปัจจุบันพบอุปทานอยู่ที่ 4,274 ยูนิต มียอดตอบรับแล้ว 77% ทำให้ปัจจุบันเหลือยูนิตคงค้างเพียง 967 ยูนิตเท่านั้น โดยราคาเฉลี่ยของโซนนี้ที่เพิ่มสูงขึ้นถึง 15% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สำหรับพื้นที่หัวหินในภาพรวม ตลาด Resale ช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมา พบว่าราคาเติบโตต่อเนื่อง ทำให้ผลตอบแทนการขายต่อสูงถึงราว 59% ส่วนการปล่อยเช่าก็ยังสร้างผลตอบแทนสูงราว 4-5% ต่อปี และมีผู้สนใจเข้าพักอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะช่วงเทศกาลหรือวันหยุดยาวที่ต่างชาตินิยมมาพักอาศัยเฉลี่ยครั้งละ 1.5 – 3 เดือน และคนไทยที่ทำงานในหัวหินนิยมทำสัญญาเช่าระยะยาว อัตราการพักอาศัยสูงถึง 86% ซึ่งเพิ่มขึ้นต่อเนื่องทุกปี ปัจจัยที่สนับสนุนภาคอสังหาริมทรัพย์ของหัวหินจะมาจากภาคการท่องเที่ยว ซึ่งหัวหินเป็นเมืองท่องเที่ยวอันดับต้นๆ ของชาวไทยและต่างประเทศ และยังมีความปลอดภัยสูง เป็นเมืองคลาสสิกที่รวมเอาเอกลักษณ์ของยุคตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 มาผสานกับยุคปัจจุบันที่ห้อมล้อมด้วยความเจริญได้อย่างลงตัว นอกจากทะเลแล้วยังมีแลนด์มาร์คแห่งใหม่อย่างศูนย์การค้าบลูพอร์ตหัวหิน ที่ช่วยยกระดับการท่องเที่ยวขึ้นอีก โดยปีที่ผ่านมามีปริมาณนักท่องเที่ยวในประจวบฯ จำนวนกว่า 4.4 ล้านคน เพิ่มขึ้น 6% จากปีก่อน “การลงทุนในอสังหาฯ โดยเฉพาะคอนโดมิเนียม ในพัทยาและหัวหินนับว่ามีแนวโน้มดีและน่าจับตามองมากขึ้น เพราะเป็นทำเลที่มีโอกาสเติบโตอย่างน่าสนใจจากการเชื่อมโยงเมืองหลวงกับเมืองท่องเที่ยวฝั่งอ่าวไทย ตลอดจนเชื่อมเมืองท่องเที่ยวสำคัญในฝั่งอ่าวไทยเข้าด้วยกัน น่าจะทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวไหลเวียนระหว่างกันได้มากขึ้น คาดว่าจะทำให้เกิดความต้องการซื้อมากขึ้น ทั้งซื้อเพื่อเป็นบ้านหลังที่ 2 และซื้อเพื่อการลงทุน เนื่องจากเป็นสินทรัพย์ที่มีมูลค่าเพิ่มสูงในอนาคต ซึ่งน่าจะเป็นสัญญาณที่ดีที่ทำให้การลงทุนในตลาดคอนโดคึกคักมากขึ้น” นายอนุกูล กล่าว
ปี’61 พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ตั้งเป้ารายได้1,300 ลบ. ลงทุนดิจิตอลต่อเนื่อง

ปี’61 พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ตั้งเป้ารายได้1,300 ลบ. ลงทุนดิจิตอลต่อเนื่อง

นายอนุกูล รัฐพิทักษ์สันติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดเผยว่า ในปี 2561 ตั้งเป้าหมายรายได้รวมไว้ที่ 1,300 ล้านบาท หรือเติบโต 18% จากปี 2560 ซึ่งมีรายได้รวม 1,100ล้านบาท (เติบโต 14% จากปี 2559) โดยสัดส่วนรายได้ยังคงแบ่งเป็น 60% มาจากงานด้านการขาย และ 40% มาจากงานด้านการบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์ และลงทุนระบบด้านเทคโนโลยีเพื่อให้พนักงานทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น   สำหรับ กลยุทธ์และแผนงานของพลัสฯ ในปี 2561 บริษัทกำหนดไว้ 4 ด้าน ประกอบด้วย 1 PLUS Experience การสร้างประสบการณ์ที่แตกต่างและเหนือความคาดหมาย  2 . Customer  Focus ยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง ตอบสนองความต้องการของลูกค้าอย่างตรงจุด  3. Technology and Data Driven เก็บรวบรวมข้อมูลลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย (Big Data) จากทุกหน่วยธุรกิจ โดยในปีนี้ได้ลงทุนนำซอฟท์แวร์ Sales Force เพื่อทำการเชื่อมต่อข้อมูลขนาดใหญ่ที่รวบรวมไว้ให้พนักงานทุกคนเข้าถึงข้อมูลเดียวกัน และระบบ Machine Learning ที่สามารถศึกษาพฤติกรรมการใช้งานเว็บไซต์ เพื่อนำเสนอข้อมูลบริการที่เหมาะสมและตอบโจทย์ผู้ใช้แต่ละรายในรูปแบบที่แตกต่างกันไป นอกจากนี้ ยังมีการนำ QR Code มาใช้ในการติดตามตรวจสอบระบบและอุปกรณ์การทำงานด้วย และ  4.  Business and Financial Enhancement ขยายงาน เพิ่มศักยภาพบุคลากร เกิดการกระจายรายได้อย่างมีเสถียรภาพ     ทั้งนี้ นายอนุกูล กล่าวเพิ่มเติมว่า ในปีนี้รัฐบาลลงทุนด้านคมนาคมต่อเนื่อง มีเม็ดเงินเข้ามาในระบบประมาณ 30% ของงบลงทุนรวมทั้งประเทศ ซึ่งส่งผลดีต่อการขยายตัวของอสังหาริมทรัพย์ในช่วง 2-3 ปีต่อจากนี้ โดยเฉพาะตลาดคอนโดมิเนียม เนื่องจากเป็นตลาดที่รองรับการอยู่อาศัยจริงและเพื่อการลงทุน อย่างไรก็ตาม ยังคงมีปัจจัยที่ต้องติดตาม คือ ร่างกฎหมายผังเมือง ที่คาดว่าจะประกาศใช้และปัญหาขาดแคลนแรงงาน คาดการณ์ทิศทางอสังหาริมทรัพย์ปี 2561 จะยังคงเติบโตใกล้เคียงกับปีก่อน ซึ่งยังคงมีกำลังซื้อในกลุ่มตลาดคอนโดมิเนียม รองลงมาคือทาวน์เฮาส์ และตามด้วยบ้านเดี่ยว โดยคอนโดมิเนียมและทาวน์เฮาส์กลุ่มตลาดระดับกลางถึงกลุ่มระดับบนจะเป็นที่ต้องการในตลาดสูงขึ้น และตลาดบ้านเดี่ยวกลุ่มระดับกลางยังเป็นอุปทานหลักและมีแนวโน้มขยายตัวได้ดี เนื่องจากตลาดระดับกลาง-บน ยังมีแรงขับโดยเฉพาะจากกลุ่มตลาดแนวสูงอย่างคอนโดมิเนียมเป็นหลักเช่นเดิม และจะเริ่มขยายพื้นที่เติบโตตั้งแต่พื้นที่ชั้นในไปยังแถบชั้นกลางของกรุงเทพฯ  
พลัส พร็อพเพอร์ตี้ วิเคราะห์อสังหาฯ ปี 61 คาดทาวน์เฮาส์มาแรง ส่วนคอนโดระดับกลาง-บนไปได้สวย

พลัส พร็อพเพอร์ตี้ วิเคราะห์อสังหาฯ ปี 61 คาดทาวน์เฮาส์มาแรง ส่วนคอนโดระดับกลาง-บนไปได้สวย

พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เผยทิศทางอสังหาริมทรัพย์ปี 2561 พบตลาดทาวน์เฮาส์และคอนโดมิเนียมยังขยายตัวดี กำลังซื้อระดับกลาง-ระดับบนยังไปได้ต่อโดยเฉพาะตลาดคอนโดมิเนียมแนวสูง และทาวน์เฮาส์บนทำเลรอบนอกกรุงเทพฯ พร้อมมองเทรนด์พฤติกรรมผู้บริโภคเริ่มเปลี่ยนหันพักอาศัยในคอนโดมิเนียมมากขึ้น จากเดิมได้รับความนิยมในกลุ่มวัยทำงาน เริ่มขยายสู่กลุ่มครอบครัวและวัยผู้ใหญ่ เนื่องจากจากโจทย์ด้านทำเลและการเดินทางที่สะดวก นายอนุกูล รัฐพิทักษ์สันติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร นายอนุกูล รัฐพิทักษ์สันติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดเผยว่า พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ได้คาดการณ์ทิศทางอสังหาริมทรัพย์ปี 2561 ทิศทางโดยรวมจะทรงตัวต่อเนื่องจากปี 2560 โดยยอดขายทั้งปี 2560 คอนโดมิเนียม ทาวน์เฮาส์ และบ้านเดี่ยว อยู่ที่ประมาณ 95,723 ยูนิต ซึ่งชะลอตัวจากปี 2559 ประมาณ 4% แม้ว่าครึ่งปีแรก’60 จะมีการขยายตัวได้ดีแต่ตลาดบ้านเดี่ยวยังคงชะลอตัว เหตุผลหลักมาจากหนี้ครัวเรือนที่ยังคงอยู่ในระดับสูง และแม้ว่าความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่มีต่อสถานการณ์ในปัจจุบันจะมีการเติบโตที่ดีขึ้นตามลำดับมาอยู่ที่ 33.9 ในเดือน ธ.ค. 2560 นั้นแต่ยังถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดัชนีที่ตำกว่ามาตรฐานที่  50.0 จึงอาจเป็นเหตุให้เกิดภาวะกำลังซื้อต่ำเพราะยังไม่มั่นใจในสถานการณ์ปัจจุบันภายในประเทศ  โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมระดับล่าง ซึ่งเป็นอุปทานหลักในตลาด นอกจากความกดดันต่อภาระหนี้สินแล้วยังถูกกดดันจากผู้ให้บริการสินเชื่อที่ควบคุมการให้สินเชื่อที่รัดกุมมากขึ้นทำให้ผ่านการอนุมัติยากขึ้นด้วย อย่างไรก็ตามคาดว่าภาพรวมตลาดปี 2561 แม้จะยังคงเติบโตใกล้เคียงกับปี 2560 ซึ่งยังคงมีกำลังซื้อในกลุ่มตลาดคอนโดมิเนียม รองลงมาคือทาวน์เฮาส์ และตามด้วยบ้านเดี่ยว โดยคอนโดมิเนียมและทาวน์เฮาส์กลุ่มตลาดระดับกลางถึงกลุ่มระดับบนจะเป็นที่ต้องการในตลาดสูงขึ้น และตลาดบ้านเดี่ยวกลุ่มระดับกลางยังเป็นอุปทานหลักและมีแนวโน้มขยายตัวได้ดี เนื่องจากตลาดระดับกลาง-บน ยังมีแรงขับโดยเฉพาะจากกลุ่มตลาดแนวสูงอย่างคอนโดมิเนียมเป็นหลักเช่นเดิม และจะเริ่มขยายพื้นที่เติบโตตั้งแต่พื้นที่ชั้นในไปยังแถบชั้นกลางของกรุงเทพฯ คอนโดระดับล่างที่เคยขยายตัวได้ดีเมื่อ 4-5 ปีก่อนจะเริ่มลดลงสาเหตุจากราคาที่ดินที่ดันตัวสูงขึ้นและการปรับผังเมืองในบางพื้นที่ที่จะทำให้ตลาดเกิดการเปลี่ยนแปลง ส่วนตลาดแนวราบคาดว่าทาวน์เฮาส์จะเป็นตลาดที่ผู้บริโภคให้ความสนใจมากขึ้น พื้นที่รอบนอกกรุงเทพฯจนถึงปริมณฑลจะเกิดการขยายตัว ทั้งนี้หากมองด้านอัตราการเติบโตในปี 2561 พบว่า หากเทียบทั้ง 3 ตลาดจนถึงสิ้นปีนี้คาดว่า ทาวน์เฮาส์จะเป็นตลาดที่มีอัตราการเติบโตสูงสุด รองลงมาคือคอนโดมิเนียม และบ้านเดี่ยว ซึ่งอัตราการขยายตัวน่าจะใกล้เคียงกับปี 2560 ที่อุปทานทาวน์เฮาส์ขยายตัวขึ้นจากปี 2559 ที่ 4% รองลงมาคือคอนโดมิเนียมที่ 1% และบ้านเดี่ยวอุปทานจะชะลอลงจากปีก่อน อย่างไรก็ตามในปี 2561 ที่จะถึงนี้สถานการณ์ภาพรวมตลาดที่เติบโตยังคงเป็นตลาดกลางและระดับบน “อีกสาเหตุหนึ่งที่ตลาดบ้านเดี่ยวชะลอมาจากไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป โดยปัจจุบันผู้คนหันมาซื้อที่อยู่อาศัยในรูปแบบคอนโดมิเนียมมากขึ้น แม้กลุ่มเป้าหมายหลักในปัจจุบันยังเป็นกลุ่มคนวัยทำงานแต่ปัจจุบันกลุ่มคนที่อยู่แบบครอบครัวขนาดเล็ก 2-4 คน ก็เริ่มหันมาพักอาศัยในคอนโดด้วยเพราะสะดวกในการเดินทาง และไลฟ์สไตล์ของคนเริ่มเปลี่ยนไป  นอกจากนี้ผู้บริโภคกลุ่มหลักของคอนโดมิเนียมในปัจจุบันมีแนวโน้มช่วงอายุที่ขยายกลุ่มกว้างขึ้นไปจนถึงวัยผู้ใหญ่ที่มากขึ้นด้วย เนื่องจากคอนโดมิเนียมในปัจจุบันตอบสนองไลฟ์สไตล์ของคนหลากหลายกลุ่ม Generation จึงทำให้เห็นวัยผู้ใหญ่ใกล้เกษียณเริ่มเข้ามาลงทุนในอสังหาฯประเภทนี้เช่นกัน อย่างไรก็ตามยังเกิดตลาดใหม่สำหรับกลุ่มนักลงทุนมีนักลงทุนหน้าใหม่วัยทำงานเริ่มต้น 3 – 5 ปีที่หันมาลงทุนอสังหาฯ เพิ่มมากขึ้น โดยเน้นลงทุนระดับล่าง – กลาง โดยมีแนวโน้มในการซื้อเพื่อผ่อนดาวน์เป็นการเก็บเงิน และขายต่อเพื่อได้ Capital Gain หรือซื้อเพื่อปล่อยเช่า โดยใช้ค่าเช่ามาผ่อนชำระเพื่อเป็นรายได้เสริมและเป็นสินทรัพย์ของตนเอง” นายอนุกูล กล่าว
พลัส พร็อพเพอร์ตี้เผยคอนโดฯ สีลม-สาทร เป้าหมายใหม่นักลงทุน ผลตอบแทนปล่อยเช่าเฉลี่ย 5% ต่อปี

พลัส พร็อพเพอร์ตี้เผยคอนโดฯ สีลม-สาทร เป้าหมายใหม่นักลงทุน ผลตอบแทนปล่อยเช่าเฉลี่ย 5% ต่อปี

บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เผยผลสำรวจอสังหาริมทรัพย์ย่าน สีลม – สาทร ราคาติดลมบนทั้งราคาที่ดินและคอนโดมิเนียม ล่าสุดพบซื้อขายที่ดินอยู่ที่ 1.45 ล้านบาทต่อตารางวา ขณะที่ราคาคอนโดมิเนียมอยู่ที่ 200,000 – 300,000 บาท ต่อตารางเมตร เหตุเป็นทำเลธุรกิจแวดล้อมด้วยสำนักงานบริษัทชั้นนำ โรงเรียนชื่อดัง โรงพยาบาลและสถานที่ราชการ ดึงดูดทั้งผู้ซื้อเพื่ออยู่เองทั้งชาวไทยและต่างชาติและซื้อลงทุน พบตลาดปล่อยเช่าโดดเด่นอัตราผลตอบแทนเฉลี่ย 5% ต่อปี ส่วนราคาขายต่อไปได้สวยย้อนหลัง 5 ปี เฉลี่ยขยับเพิ่ม 7% ต่อปี นายอนุกูล รัฐพิทักษ์สันติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดเผยว่า จากการสำรวจอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่ สีลม – สาทร พบว่าเป็นทำเลที่มีศักยภาพสูง แม้จะเป็นโซนที่มีที่ดินสำหรับพัฒนาอสังหาริมทรัพย์อย่างจำกัดแต่อัตราการเติบโตของคอนโดมิเนียมในทำเลนี้ถือว่ามีความน่าสนใจอย่างมาก โดยตัวเลขล่าสุดเมื่อครึ่งแรกของปี 2560 มีอุปทานอยู่ที่ 6,786 ยูนิต  ปัจจุบันพบว่าราคาขายโครงการคอนโดมิเนียมในทำเล สีลม – สาทร มีราคาขายเฉลี่ยอยู่ในระดับสูง เนื่องจากมีข้อจำกัดด้านที่ดินที่มีน้อยและมีราคาปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ต้นทุนการพัฒนาโครงการสูงขึ้นไปด้วย โดยโครงการใหม่ที่อยู่ใกล้ถนนหลัก หรือใกล้แนวรถไฟฟ้า มีราคาอยู่ในช่วง 200,000  - 300,000 บาทต่อตารางเมตร ซึ่งก็ยังได้รับการตอบรับอย่างดี โดยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา มีโครงการเปิดขายในพื้นที่นี้เพียง 5 โครงการ พบว่ามียอดขายเฉลี่ยสูงถึง 85% ในช่วงเปิดตัวไม่เกิน 6 เดือน โดยกลุ่มผู้ที่ตัดสินใจซื้อคอนโดมิเนียมทำเลนี้มีทั้งคนไทยและต่างชาติ ประกอบด้วย กลุ่มคนทำงาน กลุ่มผู้ปกครองนักเรียนในพื้นที่ กลุ่มคนในพื้นที่ รวมถึงกลุ่มนักลงทุนที่ซื้อเพื่อลงทุน เนื่องจากทำเล สีลม-สาทร เป็นทำเลที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นศูนย์กลางธุรกิจอันดับต้นๆของกรุงเทพฯ หนาแน่นไปด้วยอาคารสำนักงานที่ทันสมัยเป็นที่ตั้งของบริษัทขนาดใหญ่ รวมทั้งสถานที่ราชการสำคัญอาทิสถานทูตหลายแห่ง อีกทั้งยังมีโรงเรียนชั้นนำ และโรงพยาบาลขนาดใหญ่ มีการคมนาคมที่สะดวกสบาย จึงทำให้คอนโดมิเนียมในย่านนี้ได้รับความสนใจและมีอัตราการตอบรับสูง ในด้านการซื้อเพื่อลงทุน พบว่าตลาดปล่อยเช่าได้รับความสนใจอย่างมากเนื่องจากคอนโดมิเนียมพื้นที่สีลม – สาทร สามารถสร้างผลตอบแทนจากการปล่อยเช่าได้ในอัตราสูง โดยคอนโดมิเนียมราคาประมาณ 6.5 ล้านบาท สามารถปล่อยเช่าได้ในราคา 30,000 บาทต่อเดือน หากคิดเป็นอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยอยู่ที่  5% ต่อปี โดยปัจจุบันอัตราค่าเช่าเฉลี่ยของคอนโดมิเนียมในพื้นที่สีลม – สาทรในทำเลใกล้รถไฟฟ้า อยู่ที่ 700 -1,000 บาทต่อตารางเมตร ส่วนการซื้อเพื่อขายต่อนั้น พบว่าราคานำกลับมาขายใหม่ (รีเซล) ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา พบว่ารูปแบบ 1 ห้องนอน ราคารีเซลอยู่ที่ 210,000 บาทต่อตารางเมตร รูปแบบ 2 ห้องนอนอยู่ที่ 200,000 บาทต่อตารางเมตร ซึ่งปรับเพิ่มขึ้นจากราคาช่วงเปิดตัวประมาณ 7% ต่อปี ซึ่งได้รับอานิสงค์จากราคาที่ดินมีการเติบโตอย่างอย่างต่อเนื่อง ซึ่งราคาที่ดินปัจจุบันมีการซื้อขายกันอยู่ที่ 1.45 ล้านบาทต่อตารางวา  โดยที่ดินบน ถ.สาทร โดยเฉพาะในทำเลที่ติดถนนหรือใกล้รถไฟฟ้า มีอัตราการเติบโตของราคาที่ดินประเมินนับตั้งแต่ปี 2551 และคาดการณ์จนถึงปี 2562 เติบโตเฉลี่ยสูงถึง 78% ส่วนที่ดินย่านถนนสีลม ขยับขึ้น 53% ฃ“ถึงแม้ย่าน สีลม – สาทรจะเป็นย่านที่มีการคมนาคมสะดวก สามารถเดินทางด้วยรถไฟฟ้า BTS และ MRT แต่จากความหนาแน่นของจำนวนผู้ใช้รถไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นทุกปี โดยข้อมูลจาก บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ พบว่า มีผู้ใช้บริการ BTS เพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 3-10% ดังนั้นคนที่ทำงานในพื้นที่นี้จึงมองหาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัยเพื่อหลีกหนีความแออัดจากการเดินทางด้วยรถไฟฟ้า อีกทั้งพื้นที่นี้ยังมีสภาพการจราจรที่แออัดมีรถติดจำนวนมากในชั่วโมงเร่งด่วน ความต้องการอสังหาริมทรัพย์ในย่านนี้เพื่อพักอาศัยมีแนวโน้มสูงขึ้นเพราะไม่เพียงแต่ช่วยลดความเหนื่อยล้าจากการเดินทางเท่านั้น แต่ยังช่วยลดค่าใช่จ่ายด้านการเดินทางได้อีกด้วย และยังมีแหล่งไลฟสไตล์ต่างๆ ทั้งห้างสรรพสินค้า ร้านอาหารชั้นนำในบริเวณใกล้เคียงที่สามารถเดินทางเข้าถึงง่าย” นายอนุกูล กล่าว