Tag : บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน)

7 ผลลัพธ์
สิงห์ เอสเตท ปั้นแบรนด์สู่ความพรีเมียมระดับโลก เดินหน้าIPO ธุรกิจโรงแรมครั้งแรก

สิงห์ เอสเตท ปั้นแบรนด์สู่ความพรีเมียมระดับโลก เดินหน้าIPO ธุรกิจโรงแรมครั้งแรก

แม้จะก่อตั้งบริษัทมาได้เพียง 5 ปี แต่สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) กลับสามารถโชว์ศักยภาพขยายธุรกิจไปไกลทั่วโลก ตอกย้ำวิสัยทัศน์ในการก้าวขึ้นสู่ “Global Holding Company” ประกาศเดินหน้าธุรกิจโรงแรม รีสอร์ท ในนามบริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) เพื่อรองรับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง มุ่งสู่การเป็นผู้ลงทุนและบริหารจัดการโรมแรมชั้นนำระดับนานาชาติ   นายนริศ เชยกลิ่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) เผยว่า สำหรับสิงห์ เอสเตท ปัจจุบันมีธุรกิจด้านการลงทุนและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในสามส่วนหลัก ได้แก่   Residential ธุรกิจที่อยู่อาศัย ปัจจุบันที่มีทั้งหมด 21 โครงการ ซึ่งในปีนี้จะรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่องจากโครงการ THE ESSE ASOK, Santiburi The Residences, Banyan Tree Residence Riverside Bangkok และ THE ESSE at SINGHA COMPLEX ที่จะเริ่มโอนกรรมสิทธิ์ประมาณไตรมาส 3-4 ปีนี้   Commercial ธุรกิจอาคารสำนักงานทั้ง Prime Real Estate Investment Trust และอาคารสำนักงานให้เช่าอย่าง SINGHA COMPLEX ที่ตอนนี้มีพื้นที่ว่างเหลือเพียง 10%   Hospitality ธุรกิจโรงแรม รีสอร์ท ทั้งที่เป็นเจ้าของแบรนด์เอง การซื้อแบรนด์มาบริหาร การเข้าไปบริหารจัดการให้ และการร่วมทุน ซึ่งตั้งอยู่ในแหล่งท่องเที่ยวสำคัญระดับโลกกระจายอยู่ใน 5 ประเทศ 3 ภูมิภาคทั้งหมด 39 แห่งในปีนี้ (จากเดิม 37 แห่ง) รวมทั้งหมด 4,647 ห้อง   “สำหรับปี 2019 นี้ถือเป็นปีแห่งการเริ่มเก็บเกี่ยวที่สำคัญมากสำหรับ สิงห์ เอสเตท เพราะตั้งแต่เริ่มก่อตั้งองค์กรเมื่อปี 2014 ก็มีการลงทุนเรื่อยมา จนในปีนี้จะเริ่มรับรู้รายได้เต็มจากการลงทุนทั้ง 3 ธุรกิจ ซึ่งเราสามารถทำทุกอย่างเป็นไปตามแผนที่วางเอาไว้ตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทปี 2014 ที่แรกเริ่มนั้นมีมูลค่าสินทรัพย์รวม 9,000 ล้านบาท จนถึงปัจจุบันมีมูลค่าสินทรัพย์ 60,000 ล้านบาท เติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดดถึง 700% ซึ่งเป็นส่วนของธุรกิจโรงแรม 26,000 ล้านบาท”   หลังจากที่นำธุรกิจต่างๆ เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ โดยเริ่มจากบริษัทเนอวานา ไดอิ จำกัด (มหาชน) กองทรัสต์ Sprime สำหรับธุรกิจอาคารสำนักงาน และล่าสุดกับธุรกิจ Hospitality อย่างบริษัทเอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) เน้นสินค้าที่เป็นพรีเมียมเท่านั้น และการขยายธุรกิจไปทั่วโลก รวมถึงการพัฒนาอย่างยั่งยืนก็จะทำให้ปี 2019 นี้ บริษัทฯ จะก้าวสู่ความเป็น Global Holding Company อย่างสมบูรณ์   นายเดิร์ก เดอ ไคย์เปอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ SHR กล่าวถึงธุรกิจโรงแรม รีสอร์ทว่า บริษัทมีวิสัยทัศน์ที่จะเป็นผู้ลงทุนและบริหารจัดการโรงแรม รีสอร์ท ในระดับพรีเมียมมอบความแตกต่างให้กับลูกค้าด้วยประสบการณ์การพักผ่อนท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ดีและกิจกรรมอันหลากหลาย ใส่ไอเดียความคิดสร้างสรรค์ลงไปแล้วออกแบบมาเพื่อความยั่งยืน โดยเราให้ความสำคัญกับการกำหนดทิศทางธุรกิจเพื่อการเติบโตและรักษาสมดุลในสังคม ชุมชนและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน   ปัจจุบัน SHR มีโรงแรมทั้งหมด 39 แห่งกระจายอยู่ทั่วโลก เช่น สาธารณรัฐมัลดีฟส์ สาธารณรัฐหมู่เกาะฟิจิ สาธารณรัฐมอริเชียส สหราชอาณาจักร และประเทศไทยโดยมีการแบ่งกลุ่มทรัพย์สินตามลักษณะการประกอบธุรกิจ ได้แก่   -โรงแรมที่บริษัทฯ บริหารจัดการเอง คือ โรงแรม พีพี ไอส์แลนด์ วิลเลจ บีช รีสอร์ท และ โรงแรมสันติบุรี เกาะสมุย   -โรงแรมในสหราชอาณาจักร จำนวน 29 แห่ง ดำเนินงานภายใต้แบรนด์ Mercure และแบรนด์ Holiday Inn   -โรงแรม Outrigger ซึ่งเป็นกลุ่มโรงแรมจำนวน 6 แห่งที่ดำเนินกิจการภายใต้แบรนด์ Outrigger   -โครงการ ครอสโรดส์ (CROSSROADS) เฟส 1 ซึ่งเป็นการพัฒนาโครงการบนเกาะจำนวน 3 เกาะ ในสาธารณรัฐมัลดีฟส์ ประกอบด้วย โรงแรม 2 แห่ง ได้แก่ โรงแรม SAii Lagoon Maldives, Curio Collection by Hilton และโรงแรม Hard Rock Hotel Maldives รวมถึงศูนย์รวมการให้บริการ เพื่อการพักผ่อนและสิ่งบันเทิงในโครงการ Marina @ CROSSROADS และเกาะที่อยู่ระหว่างการพัฒนาเป็นโรงแรมอีก 1 เกาะ   มีอัตราการเข้าพักของแต่ละตลาดคือ ในสหราขอาณาจักร​ 71% ในประเทศไทย​ ประมาณ​ 76% และในตลาดต่างประเทศอื่นๆ​ เฉลี่ย​ 80% ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ในภูมิภาคเอเชีย ในส่วนของมัลดีฟส์ โครงการยังอยู่ระหว่างก่อสร้าง​ แต่ยอด​ Occupancy เฉลี่ยของตลาดอยู่ที่​ 70-71% ซึ่งคาดว่าเมื่อเริ่มเปิดดำเนินงาน​น่าจะมียอด​พอๆ​ กัน   ทั้งนี้มีแผนการพัฒนาแบรนด์ใหม่ “SAii” โดยจะเริ่มใช้ในโรงแรมแห่งใหม่ที่มีชื่อว่า “SAii Lagoon Maldives, Curio Collection by Hilton” ที่ตั้งอยู่ในโครงการ CROSSROADSเฟส 1นอกจากนี้ยังมองหาโอกาสใหม่ๆ ที่จะทำให้สามารถทำธุรกิจโรงแรมระดับกลางค่อนไประดับบน (Upper Mid-scale) ได้อย่างต่อเนื่องในอนาคตซึ่งปัจจัยในการเลือกที่จะเข้าไปลงทุนในแต่ละสถานที่จะต้องประกอบไปด้วยการอยู่ในแหล่งท่องเที่ยวที่มีศักยภาพ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้อสูง ทำเลของโครงการที่ดี งบในการพัฒนา​ สามารถพัฒนาแบบ​ Greenfield หรือพัฒนาแบบ​ Brownfieldและได้ตั้งเป้าในปี 2025 ว่าจะมีโรงแรม รีสอร์ทรวม 75 แห่งทั่วโลก   นางฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวปิดท้ายว่า SHR มีทุนจดทะเบียน 17,000 ล้านบาท โดยชำระไปส่วนหนึ่งแล้ว 1 หมื่นล้าน โดยธุรกิจโรงแรมนี้ถือเป็นธุรกิจที่สามารถสร้างรายได้หมุนเวียนที่สร้างรายได้แบบต่อเนื่องหรือที่เรียกว่า recurring income ให้กับสิงห์ เอสเตท โดยในปี 2018 ที่ผ่านมา SHR ถือเป็นหนึ่งในรายได้หลักคิดเป็น 1 ใน 3 สิงห์ เอสเตท โดยในปี 2018 ที่ผ่านมา รายได้นับเป็น 40% ของรายได้ทั้งหมดของ Singha Estateจากการให้เช่าโรงแรม รีสอร์ท 37 แห่งทั่วโลก   “การนำเอา SHR เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยก็เพื่อสร้างเสถียรภาพให้มีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นกับองค์กร ทำให้เป็นแหล่งระดมทุนที่มีศักยภาพ เพิ่มความคล่องตัวในการทำธุรกิจ และเพิ่มโอกาสในการขยายทางธุรกิจ เพื่อตอบโจทย์ด้านกลยุทธ์ในการเติบโตต่อไป”   ขณะนี้ได้ทำการยื่น Filing กับ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) แล้วเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม โดยวางแผนเสนอขายหุ้นIPO ทั้งในและต่างประเทศเป็นจำนวนไม่เกิน 40% ของทุนชำระแล้ว ซึ่งจะยังคงสัดส่วนการถือหุ้นใหญ่ใน SHRไม่ต่ำกว่า 51% และคาดว่าจะสามารถเปิดเทรดในตลาดได้ประมาณไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ สามารถตรวจสอบรายละเอียดของการเสนอขายหลักทรัพย์จากแบบรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์และร่างหนังสือชี้ชวนของ เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท ได้ทาง www.sec.or.th และ www.shotelsresorts.com      
“สิงห์ คอมเพล็กซ์” โครงการลักชัวรีมิกซ์ ยูส แห่งแรกในย่านอโศก-เพชรบุรี พร้อมเปิดอย่างเป็นทางการ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตได้อย่างสมบูรณ์แบบ ผ่านการผสมผสานแนวคิดในทุกมิติอย่างลงตัว

“สิงห์ คอมเพล็กซ์” โครงการลักชัวรีมิกซ์ ยูส แห่งแรกในย่านอโศก-เพชรบุรี พร้อมเปิดอย่างเป็นทางการ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตได้อย่างสมบูรณ์แบบ ผ่านการผสมผสานแนวคิดในทุกมิติอย่างลงตัว

บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดตัว ‘สิงห์ คอมเพล็กซ์’ เดอะ ลักชัวรี มิกซ์ ยูส คอมเพล็กซ์ โครงการลักชัวรี มิกซ์ ยูส บริเวณหัวมุมถนนอโศก-เพชรบุรีอย่างเป็นทางการ โครงการตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 11 ไร่ ประกอบไปด้วย อาคารสำนักงานเกรดเอ “ดิ ออฟฟิศ แอท สิงห์ คอมเพล็กซ์” 42 ชั้น ที่มีโซนพื้นที่ค้าปลีกรวมร้านค้าและร้านอาหารชื่อดังกว่า 30 ร้าน และคอนโดมิเนียมลักชัวรี “ดิ เอส แอท สิงห์ คอมเพล็กซ์” สูง 39 ชั้น จำนวน 319 ยูนิต โดดเด่นด้วยแนวคิดในการออกแบบอย่างพิถีพิถัน ใส่ใจในทุกรายละเอียด พร้อมเติมเต็มไลฟ์สไตล์คนยุคใหม่ได้อย่างสมบูรณ์แบบ จากทำเลที่ตั้งเดิมของสถานทูตญี่ปุ่น ณ บริเวณหัวมุมถนนอโศก-เพชรบุรี สู่ทำเลศักยภาพในย่านเขตธุรกิจใหม่ของกรุงเทพมหานคร การเป็นจุดศูนย์กลางคมนาคม ติดกับสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินสถานีเพชรบุรี ใกล้สถานีรถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ ท่าเรืออโศกคลองแสนแสบ และทางพิเศษศรีรัช ทำให้ สิงห์ เอสเตท บริษัทชั้นนำ ด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และการลงทุนในประเทศไทยและต่างประเทศ นำโดยนายนริศ เชยกลิ่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัทฯ เล็งเห็นศักยภาพของทำเลที่ตั้งดังกล่าว จึงตัดสินใจพัฒนาโครงการ “สิงห์ คอมเพล็กซ์” (SINGHA COMPLEX) โครงการลักชัวรี มิกซ์ ยูส แห่งแรกของย่านอโศก-เพชรบุรี บนพื้นที่ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานแห่งนี้ นายนริศ เชยกลิ่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าว “สิงห์ คอมเพล็กซ์ สะท้อนให้เห็นวิสัยทัศน์ที่ต้องการเพิ่มมูลค่าให้กับพื้นที่ประวัติศาสตร์ รวมถึงกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจเพื่อเจาะตลาดพรีเมียมของบริษัทฯ ผ่านการพัฒนาและออกแบบอย่างพิถีพิถัน ใส่ใจในทุกรายละเอียด มีการจัดสรรพื้นที่ใช้สอยในส่วนของอาคารสำนักงาน พื้นที่ค้าปลีก และคอนโดมิเนียมระดับลักชัวรีให้สามารถรองรับการใช้งานได้หลากหลายรูปแบบ เพื่อการจัดการทรัพยากรที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด บนพื้นฐานของความตั้งใจของ สิงห์ เอสเตท ที่จะนำเสนอสิ่งใหม่ในการใช้ชีวิต (Premier Lifestyle Developer) ส่งมอบคุณภาพที่ดีที่สุดทั้งสินค้าและบริการ และที่สำคัญคือการส่งเสริมสังคมและสภาพแวดล้อมให้ยั่งยืน” โดย สิงห์ คอมเพล็กซ์ มุ่งเน้นการสร้างประสบการณของผู้คนเพื่อให้ทุกวินาทีของการใช้ชีวิตครบถ้วน ด้วยการจัดพื้นที่ได้อย่างลงตัว ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตได้อย่างสมบูรณ์แบบ ระหว่างการทำงาน พักผ่อน พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกและการบริการระดับมืออาชีพ ผ่านมิติการใช้ชีวิตทั้ง 4 ด้าน คือ การเดินทางและการเชื่อมโยงทุกการใช้ชีวิต (Life Associated) เชื่อมโยงทุกการเดินทางอย่างสะดวกเพื่อคืนเวลาในการใช้ชีวิต สร้างสมดุลทั้งทำงาน พักผ่อน และสังสรรค์กับเพื่อนฝูงภายในที่เดียว การตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่มีเอกลักษณ์เพื่อสะท้อนตัวตนของคนยุคใหม่ (Life Characteristics) ค้นหาแรงบันดาลใจใหม่ๆ ในการทำงาน ใช้ชีวิตกับสังคมคุณภาพ พร้อมรับพลังงานจากสิ่งดี ๆ รอบตัว การใช้ชีวิตทุกวันให้เป็นโอกาสพิเศษ (Life Exclusivity) สีสันใหม่ของชีวิต ถูกสร้างจากความพิถีพิถันในรายละเอียด และบริการที่เป็นเลิศ เพื่อมอบประสบการณ์และโอกาสที่พิเศษยิ่งกว่า และการใช้ชีวิตอย่างยั่งยืนในทุกมิติ (Life Dimension) แสงแดดที่พอเพียง อุณหภูมิที่พอเหมาะ และมีเวลาที่มีคุณภาพ ก่อเกิดเป็นความสุขในทุกมิติ   สิงห์ คอมเพล็กซ์ ประกอบด้วย คอนโดมิเนียมลักชัวรี “ดิ เอส แอท สิงห์ คอมเพล็กซ์” (THE ESSE at SINGHA COMPLEX) ความสูง 39 ชั้น จำนวน 319 ยูนิต ซึ่งจะมีการส่งมอบให้กับลูกค้าในช่วงปลายปี 2562 และอาคารสำนักงานให้เช่าพร้อมพื้นที่ค้าปลีกให้เช่า ความสูง 42 ชั้น แบ่งเป็น อาคารสำนักงานเกรดเอ “ดิ ออฟฟิศ แอท สิงห์ คอมเพล็กซ์” (THE OFFICE at SINGHA COMPLEX) สมาร์ทออฟฟิศแห่งใหม่บนถนนอโศก เพชรบุรี โดดเด่นออกแบบด้วยการนำเทคโนโลยีต่างๆ เข้ามาช่วยการใช้ชีวิตทำงาน และส่วนพื้นที่ค้าปลีก ซึ่งเป็นศูนย์รวมร้านค้าและร้านอาหารชื่อดังกว่า 30 ร้าน พร้อมมีพื้นที่สำหรับการพักผ่อนหย่อนใจ พื้นที่ออกกำลังกายลู่วิ่งจ็อกกิ้งบนดาดฟ้า (Rooftop Jogging Track) และพื้นที่ทำงานแบบ Co-working space ซึ่งอยู่ในส่วนของ “Amphitheatre” เป็นพื้นที่พักผ่อนหย่อนใจที่เปิดให้ผู้มาใช้บริการสามารถทำงานและพักผ่อนได้ตามอัธยาศัย รวมทั้งการบริการระดับมืออาชีพตามมาตรฐานโรงแรมห้าดาว นอกจากนั้นเพื่อรองรับการใช้ชีวิตในยุคดิจิตอล พร้อมเติมเต็มประสบการณ์ด้านการใช้ชีวิตแบบ SMART LIFE มีบริการ Super WIFI ความเร็วสูงถึง 1GB/Sec. ให้บริการฟรี เรียกได้ว่าเชื่อมโยงทุกแง่มุมของการใช้ชีวิตของคนยุคใหม่ได้อย่างลงตัว ไม่ว่าจะเป็นแง่มุมการทำงาน การพักผ่อน หรือการพบปะสังสรรค์กับเพื่อนฝูง ทั้งนี้ สิงห์ คอมเพล็กซ์ ยังได้รับการออกแบบมาให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและส่งเสริมคุณภาพชีวิตของชุมชน ตามหลักกลยุทธ์ในการพัฒนาธุรกิจเพื่อความยั่งยืนของ สิงห์ เอสเตท ที่ให้ความสำคัญกับศักยภาพของทำเลที่ตั้ง และการสร้างสรรค์งานที่มีคุณภาพ โดยเฉพาะรายละเอียดที่จะสร้างความยั่งยืนให้แก่สิ่งแวดล้อมและชุมชนรอบข้าง นายนริศกล่าว “โครงการ สิงห์ คอมเพล็กซ์ สะท้อนให้เห็นแนวคิดในด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Sustainable Development) อย่างชัดเจน เริ่มตั้งแต่การเลือกที่จะรักษาต้นไม้ใหญ่ที่มีอยู่ในพื้นที่แต่เดิมไว้เพราะต้นจามจุรีสามต้นนี้เป็นสัญลักษณ์ของอโศก และการออกแบบพื้นที่สีเขียวทั้งภายในและภายนอกอาคารภายใต้แนวคิด Urban Sanctuary นอกจากนี้เรายังให้ความสำคัญเรื่องความสวยงามควบคู่ไปกับการเลือกใช้นวัตกรรมอัจฉริยะ เช่น การออกแบบฟินสีทองที่สร้างความโดดเด่นสวยงามให้ตัวอาคารภายนอก ในขณะเดียวกันได้เลือกติดตั้งกระจก Double Glazed ทั้งอาคารเพื่อช่วยในเรื่องลดความร้อน ป้องกันแสงยูวี กันเสียงจากภายนอก และสามารถนำแสงธรรมชาติมาใช้ในอาคาร รวมถึงการออกแบบที่ได้การรับรองมาตรฐาน LEED (Leadership in Energy and Environmental Design) ซึ่งเป็นมาตรฐานอาคารเพื่อสิ่งแวดล้อมระดับสากล” ร่วมสัมผัสประสบการณ์การใช้ชีวิตอันสมบูรณ์แบบที่ สิงห์ คอมเพล็กซ์ โครงการลักชัวรี มิกซ์ ยูส แห่งแรกในย่านอโศก-เพชรบุรี ที่รวบรวมทุกรายละเอียดเพื่อเติมเต็มทุกความต้องการของไลฟ์สไตล์คนยุคใหม่ไว้อย่างลงตัวได้แล้ววันนี้ ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Facebook.com/SinghaComplex          
สิงห์ เอสเตท เปิด “สิงห์ คอมเพล็กซ์” เดอะ ลักชัวรี่ มิกซ์ ยูส คอมเพล็กซ์ หัวมุมอโศก-เพชรบุรี พร้อมให้บริการเฟสแรกออฟฟิศ-พื้นที่ค้าปลีกกว่าแสนตรม.

สิงห์ เอสเตท เปิด “สิงห์ คอมเพล็กซ์” เดอะ ลักชัวรี่ มิกซ์ ยูส คอมเพล็กซ์ หัวมุมอโศก-เพชรบุรี พร้อมให้บริการเฟสแรกออฟฟิศ-พื้นที่ค้าปลีกกว่าแสนตรม.

บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดให้บริการมิกซ์ยูสแฟล็กชิป สิงห์ คอมเพล็กซ์ ในเฟสแรกส่วนออฟฟิศ-ค้าปลีก บนทำเลแห่งศักยภาพหัวมุมถนนอโศก-เพชรบุรี ชูจุดแข็งสมาร์ทออฟฟิศแห่งใหม่บนทำเลศูนย์กลางธุรกิจ เดินทางสะดวก คับคั่งด้วยร้านค้าและร้านอาหารชื่อดังกว่า 30 ร้าน ตอบโจทย์การใช้ชีวิตที่สมบูรณ์แบบของคนเมือง เชื่อจะเป็นหนึ่งธุรกิจหลักที่ผลักดันให้สิงห์ เอสเตท บรรลุเป้าหมายในการสร้างรายได้รวม 2 หมื่นล้านบาทในปี 2020   นายนริศ เชยกลิ่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) บริษัทชั้นนำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และการลงทุนในประเทศไทยและต่างประเทศ กล่าวว่า ขณะนี้ได้เปิดให้บริการ สิงห์ คอมเพล็กซ์ โครงการมิกซ์ ยูส แฟล็กชิปแห่งแรกของทางบริษัทฯ โดยโครงการตั้งอยู่บริเวณหัวมุมถนนอโศก – เพชรบุรีที่เดินทางสะดวก ติดกับสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินเพชรบุรี ใกล้สถานีรถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ ท่าเรืออโศกคลองแสนแสบ และทางด่วน ซึ่งถือเป็นทำเลศักยภาพแห่งอนาคตในย่านธุรกิจที่สำคัญ  และโครงการใหม่ๆที่จะเกิดขึ้น โดยโครงการพัฒนาขึ้นบนพื้นที่ดินทั้งหมด 11 ไร่ ประกอบด้วย อาคารสำนักงานเกรดเอ 42 ชั้น พื้นที่ค้าปลีก 4 ชั้น ซึ่งทั้ง 2 ส่วนนี้ มีขนาดพื้นที่รวม 120,000 ตารางเมตร และคอนโดมิเนียมระดับลักชัวรี มีความสูง 39 ชั้น จำนวน 319 ยูนิต โดยโครงการได้ก่อสร้างตามมาตรฐานอาคาร LEED Gold ด้านประหยัดพลังงาน ซึ่งโครงการเปิดให้บริการเฟสแรกเมื่อต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ประกอบด้วย สำนักงานเกรดเอ ดิ ออฟฟิศ แอท สิงห์ คอมเพล็กซ์ (The Office at SINGHA COMPLEX) และพื้นที่ค้าปลีก 4 ชั้น ทั้งนี้อาคารสำนักงาน ดิ ออฟฟิศ แอท สิงห์ คอมเพล็กซ์ ได้เตรียมความพร้อมในการเป็นสมาร์ทออฟฟิศอย่างสมบูรณ์แบบโดยนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้ามาใช้ภายในอาคารควบคุมผ่านแอปพลิเคชั่นที่จัดทำขึ้นมาโดยเฉพาะ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้เช่าพื้นที่ในอาคารสำนักงานและผู้ใช้บริการพื้นที่ค้าปลีก ด้านจำนวนผู้เช่า ขณะนี้มีทำสัญญาเช่าไปแล้วกว่า 80% และตั้งเป้าว่าจะมีผู้เช่าเต็มพื้นที่ 100% ภายในสิ้นปี 2561 โดยขณะนี้เริ่มมีบริษัทฯ ทยอยย้ายเข้ามาในอาคาร และจะมีพนักงานออฟฟิศเข้ามาทำงานในอาคารภายในสิ้นเดือนพฤศจิกายน รวมกว่า 3,000 คน   นายนิธิพัฒน์ ทองพันธุ์ กรรมการบริหาร หัวหน้าแผนกพื้นที่สำนักงาน บริษัท ซีบีอาร์อี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ จากสถาปัตยกรรมของสิงห์ คอมเพล็กซ์และการเป็นออฟฟิศเกรดเอที่มีคุณภาพสูงพร้อมทั้งสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันและตรงต่อความต้องการของผู้เช่าชั้นนำทั้งในและต่างประเทศ จึงทำให้สามารถทำสัญญาค่าเช่าล่วงหน้าก่อนโครงการเสร็จได้มากกว่า80% และมีอัตราค่าเช่าพื้นที่เฉลี่ยดีที่สุดในย่านเดียวกัน”   สำหรับอาคารค้าปลีกสูง 4 ชั้น ที่เตรียมเป็นพื้นที่รองรับไลฟ์สไตล์ของทั้งพนักงานออฟฟิศและผู้อยู่อาศัยในคอนโดมิเนียม THE ESSE at SINGHA COMPLEX รวมถึงเป็นแหล่งกินช้อปแห่งใหม่ของคนกรุงเทพฯ ทั้งไทยและต่างชาติในย่านอโศก-เพชรบุรี ประกอบไป ด้วยร้านค้าและร้านอาหารชื่อดังมากมาย อาทิ  Gontran Cherrier, Bake Cheese Tart, Coffee arigato, Dressed, Bake Café by Farm Design, THE COFFEE CLUB, On-Yasai, Hoshi, Hokkaido Butadon Tokachi, Phuket Town, EST.33, ซาลาเปาโกอ้วน, Gyu Kaku, Kazan และบริการ Wellness อื่น ๆ อาทิ Cut & Curl, ศูนย์ทันตกรรม ALL ABOUT TEETH, BLOSSOM CLINIC, EYE CLASS,  Digital Banking ได้แก่ SCB Express, BAY และร้าน Tops Daily ซึ่งเป็นคอนเซปต์สโตร์ท็อปส์ดิจิตอลแห่งแรกของเมืองไทย รวมถึงร้าน 1887 ศูนย์กลางประชาสัมพันธ์เมืองท่องเที่ยวในญี่ปุ่น ที่นำเสนอสินค้าพื้นเมืองและสถานที่ท่องเที่ยวจากเมืองต่างๆ ของญี่ปุ่น โดยมีการผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนสินค้าใหม่ๆ ทุกเดือน นอกจากนี้ยังมี foodPLACE ศูนย์อาหารซึ่งเปิดให้บริการอยู่บนชั้น 3 ของพื้นที่ค้าปลีก ซึ่งเป็นโซนอาหารที่รวบรวมร้านอาหารชื่อดังในตำนานทั่วกรุงเทพมหานครมาเปิดให้บริการ อาทิ ก๋วยเตี๋ยวเนื้อวัฒนาพานิช, ข้าวแกงเจ๊จู, ไก่ย่างจีระพันธ์, มงคลชัย ข้าวมันไก่ หลา ลูกชิ้นปลาเยาวราช, ราดหน้าครัวอัปสร เป็นต้น นอกจากนี้ยังมี Co-working space และพื้นที่รีแลกซ์ที่ลูกค้าสามารถนั่งทำงานและพักผ่อนได้ตามอัธยาศัย โดยจะมีบริการ Free Super WIFI ความเร็ว 1GB/Sec. ซึ่งจะเป็น WIFI ฟรีที่เร็วที่สุดในกรุงเทพฯ ครอบคลุมทั้งอาคาร รวมถึงในบริเวณดาดฟ้าชั้น 4 ยังจัดให้เป็นสวนหย่อมสีเขียวกลางใจเมือง พื้นที่พบปะพูดคุยกันแบบคอมมูนิตี้ของทุกๆ คน ซึ่งโดยรวมทั้งหมดของพื้นที่ค้าปลีกขณะนี้เปิดให้บริการแล้วกว่า 70% และจะมีการเปิดร้านทั้งหมดอย่างเต็มรูปแบบภายในต้นปีหน้า   “จากการตอบรับที่ดีทั้งจากผู้เช่าและลูกค้าที่เข้ามาในสิงห์ คอมเพล็กซ์ นับเป็นการตอกย้ำศักยภาพของสิงห์ คอมเพล็กซ์ในการเป็นธุรกิจที่สามารถตอบสนองไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคได้อย่างตรงจุด ซึ่งสอดคล้องกับพันธกิจของบริษัทสิงห์ เอสเตทที่มุ่งพัฒนาโครงการคุณภาพเพื่อสร้างรายได้ให้แก่ธุรกิจ รวมทั้งเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุน เป็นสัญญาณที่ดีในการสร้างการเติบโตให้แก่บริษัทฯ และขยายโอกาสในการลงทุนหลากหลายรูปแบบทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ นอกจากนี้ สิงห์ คอมเพล็กซ์ จะเป็นกลุ่มธุรกิจที่สำคัญในการผลักดันให้สิงห์ เอสเตท บรรลุเป้าหมายในการสร้างรายได้รวม 2 หมื่นล้านบาทในปี 2020 พร้อมเป็นส่วนหนึ่งในการรองรับดีมานด์และขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในการเป็นศูนย์กลางการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวในภูมิภาคนี้” นายนริศกล่าวปิดท้าย              
‘สิงห์ เอสเตท’ จับมือ ‘ไดวะ เฮ้าส์ กรุ๊ป’ ประกาศร่วมทุน EYSE Sukhumvit 43

‘สิงห์ เอสเตท’ จับมือ ‘ไดวะ เฮ้าส์ กรุ๊ป’ ประกาศร่วมทุน EYSE Sukhumvit 43

สิงห์ เอสเตท ร่วมทุนกับ ไดวะ เฮ้าส์ กรุ๊ป บริษัทรับก่อสร้างและรับสร้างบ้านรายใหญ่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่น เพื่อร่วมพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมในตลาดลักชัวรี ประเดิมโครงการแรก EYSE Sukhumvit 43 (อีส สุขุมวิท 43) มูลค่าโครงการ 2 พันล้านบาท มุ่งนำสุดยอดนวัตกรรมก่อสร้างและเทคโนโลยีสำหรับที่อยู่อาศัยจากญี่ปุ่นมาปรับใช้ในโครงการเพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตของลูกค้าอย่างสมบูรณ์แบบที่สุด พร้อมเผยเตรียมเจรจาขยายความร่วมมือรูปแบบอื่นๆ เพิ่มเติมในอนาคต   นายนริศ เชยกลิ่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “ล่าสุดบริษัทฯ ได้ลงนามในสัญญาความร่วมมือกับทาง ไดวะ เฮ้าส์ กรุ๊ป ซึ่งเป็นบริษัทก่อสร้างและรับสร้างบ้านที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น โดยความร่วมมือนี้ถือเป็นอีกก้าวสำคัญในการดำเนินธุรกิจของทางสิงห์ เอสเตท ตามนโยบายที่จะขับเคลื่อนธุรกิจสู่การเป็น “พรีเมียร์ พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ แอนด์ อินเวสต์เม้นท์ โฮลดิ้ง คัมปานี” (Premier Property Development & Investment Holding Company) ซึ่งแผนกลยุทธ์ในการร่วมทุนในครั้งนี้เป็นก้าวสำคัญที่จะทำให้บริษัทฯ เติบโตอย่างต่อเนื่อง พร้อมรองรับโอกาสในอนาคต รวมทั้งยังส่งเสริมจุดแข็งของธุรกิจที่พักอาศัยในการขึ้นสู่การเป็น Leading Premium Developer ซึ่งถือเป็นหนึ่งในธุรกิจของบริษัทฯ     สำหรับการร่วมทุนในครั้งนี้ในฐานะตัวแทนของบริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) รู้สึกยินดีเป็นอย่างมาก ที่ได้รับเกียรติร่วมทุนกับพาร์ทเนอร์ที่มีชื่อเสียงที่สุดในด้านการก่อสร้างและรับสร้างบ้านในประเทศญี่ปุ่นและในหลายประเทศอย่าง ไดวะ เฮ้าส์ เพราะความร่วมมือในครั้งนี้จะเป็นแรงสำคัญที่จะส่งเสริมให้การเติบโตทางธุรกิจของทั้งสองบริษัทเป็นไปตามแผนที่วางไว้ได้อย่างชัดเจนและบรรลุเป้าหมายได้รวดเร็วยิ่งขึ้น   ด้านรายละเอียดการร่วมทุนระหว่างสิงห์ เอสเตท และ ไดวะ เฮ้าส์ ในครั้งนี้ เพื่อลงทุนและพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพักอาศัย โดยเบื้องต้นจะเริ่มโครงการแรกที่ EYSE Shukhumvit 43 (อีส สุขุมวิท 43) คอนโดมิเนียมลักชัวรี บริเวณซอยสุขุมวิท 43 มูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท ซึ่งทางไดวะ เฮ้าส์ จะนำความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีการก่อสร้างจากญี่ปุ่น รวมถึงเทคโนโลยีสำหรับที่อยู่อาศัยเข้ามาปรับใช้ในโครงการ โดยมีเป้าหมายในการร่วมทุนเพื่อเป็น Strategic Partnership หรือร่วมทุนพัฒนาโครงการระยะยาวแบบต่อเนื่อง พร้อมกับมีแผนในการเจรจาเพิ่มเติมความร่วมมือรูปแบบอื่นๆ ในอนาคต”   นายโนบูยะ อิชิคิ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายงานต่างประเทศ บริษัท ไดวะ เฮ้าส์ อินดัสทรี จำกัด กล่าวว่า “บริษัทรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะเข้ามาร่วมพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ร่วมกับทางสิงห์ เอสเตท เนื่องจากสิงห์ เอสเตท เป็นบริษัทที่เป็น good corporate citizenship มีความซื่อตรง และใส่ใจในคุณภาพชีวิตของชุมชน และสิ่งแวดล้อม โดยเรามีความมุ่งมั่นที่จะนำความเชี่ยวชาญในด้านงานก่อสร้างและความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมเพื่อที่อยู่อาศัยต่างๆ ของทางบริษัท จะสามารถเข้ามาปรับใช้ในการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยร่วมกับทางสิงห์ เอสเตท ให้มีความโดดเด่นมากยิ่งขึ้นได้อย่างแน่นอน และการเข้ามาในครั้งนี้ถือเป็นโอกาสที่ดีที่ทางเราจะได้เข้ามาศึกษาตลาดที่อยู่อาศัยในประเทศไทย ทั้งเรื่องของการทำการตลาด และความต้องการของผู้บริโภค รวมถึงการเข้ามาศึกษาสภาพแวดล้อมต่างๆ เพื่อประเมินความเป็นไปได้ในการนำนวัตกรรมก่อสร้างจากญี่ปุ่นเข้ามาประยุกต์ใช้ในประเทศไทย”   โดย ไดวะ เฮ้าส์ กรุ๊ป เป็นบริษัทรับสร้างบ้านรายแรกและรายใหญ่ที่สุดของประเทศญี่ปุ่น โดยมีความเชี่ยวชาญในการใช้นวัตกรรมการก่อสร้างที่ทันสมัยและมีการคิดค้นเทคโนโลยีเพื่อการอยู่อาศัยใหม่ๆ อยู่เสมอ โดยได้มีการก่อตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีของตนเองที่เมืองนารา ประเทศญี่ปุ่น เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่ดีและตอบโจทย์การใช้ชีวิตของผู้คน ดังเช่นวิสัยทัศน์ของบริษัทที่มุ่งมั่นในการสร้างคุณค่าใหม่ให้กับสังคม ผ่านการสร้างคุณค่าร่วมกับบุคคล ชุมชน และวิถีชีวิตของผู้คน     “สำหรับโครงการ EYSE Shukhumvit 43 (อีส สุขุมวิท 43) ที่ได้มีการเปิดตัวไปเมื่อต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาได้รับความสนใจและการตอบรับจากลูกค้าทั้งที่กำลังมองหาที่พักอาศัยเพื่ออยู่เอง รวมถึงนักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติเข้าเยี่ยมชมโครงการเป็นอย่างมาก ซึ่งเป็นโครงการแรกในเซ้กเม้นต์ Luxury Condominium ของบริษัท ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าที่ต้องการความเป็นส่วนตัว มีคุณภาพชีวิตที่ดี ท่ามกลางสิ่งแวดล้อมและสังคมที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง” นายนริศ เชยกลิ่น กล่าวปิดท้าย
SINGHA COMPLEX พร้อมเปิดให้บริการตุลาคมนี้  เผยยอดจองพื้นที่ออฟฟิศพุ่งแล้วกว่า 75% – รีเทลพุ่งแล้วกว่า 80%

SINGHA COMPLEX พร้อมเปิดให้บริการตุลาคมนี้ เผยยอดจองพื้นที่ออฟฟิศพุ่งแล้วกว่า 75% – รีเทลพุ่งแล้วกว่า 80%

สิงห์ เอสเตท พร้อมเปิดโปรเจกต์แฟล็กชิปโครงการแรกย่านอโศก-เพชรบุรี “สิงห์ คอมเพล็กซ์” (SINGHA COMPLEX) ช่วงเดือนตุลาคมนี้ ปัจจุบันสร้างแล้วเสร็จกว่า 95% โดยส่วนพื้นที่ “ดิ ออฟฟิศ แอท สิงห์ คอมเพล็กซ์” มียอดผู้เช่าแล้วกว่า 75% ขณะที่ส่วนรีเทลปิดการขายไปแล้วกว่า 80% นายนริศ เชยกลิ่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) บริษัทชั้นนำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และการลงทุนทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ (Premier Property Development and Investment Holding Company)กล่าวว่า “สำหรับโปรเจกต์แฟล็กชิป SINGHA COMPLEX ซึ่งเป็นโครงการมิกซ์ ยูส ใจกลางธุรกิจย่านอโศก- เพชรบุรี ขณะนี้งานก่อสร้างคืบหน้าแล้วกว่า 95% และคาดว่าจะเสร็จสมบูรณ์พร้อมเปิดให้เข้าใช้บริการได้ประมาณเดือนตุลาคม พร้อมแผนจัดงานเปิดตัวอย่างเป็นทางการในช่วงปลายปี ด้านการปล่อยเช่าพื้นที่ในส่วนอาคารสำนักงานเกรดเอ “ดิ ออฟฟิศ แอท สิงห์ คอมเพล็กซ์ (The Office at SINGHA COMPLEX)” ปัจจุบันได้มีบริษัทชั้นนำทั้งไทยและต่างชาติสนใจเข้าทำสัญญาเช่าพื้นที่แล้วกว่า 35,000ตารางเมตร หรือคิดเป็น 75% ส่วนพื้นที่รีเทลปัจจุบันได้มีผู้สนใจเช่าพื้นที่แล้วกว่า 80% รวมแล้วกว่า 30 ร้าน ประกอบด้วย ร้านอาหารชั้นนำที่เลือกสรรมาให้มีความหลากหลาย มินิซูเปอร์มาร์เก็ตที่มีความครบครัน เพื่อให้สามารถตอบโจทย์ความชื่นชอบของลูกค้าได้ทุกไลฟ์สไตล์ นอกจากนั้นยังมีไฮไลต์เป็นร้านคาเฟ่และเบเกอรี่ชื่อดังระดับโลกที่มาเปิดตัวในประเทศไทยเป็นครั้งแรกอย่าง กองทาน เชอร์เรียร์ (Gontran Cherrier)รวมถึง คาเฟ่ เดล มาร์ (Café del Mar) บีชคลับชื่อดังระดับโลกที่จะมาเปิดร้านอาหารคอนเซปท์ใหม่ครั้งแรกในกรุงเทพมหานคร โครงการ สิงห์ คอมเพล็กซ์ (SINGHA COMPLEX) เป็นโครงการแบบ Mixed-use Complex ประกอบด้วย อาคารสำนักงานเกรดเอ พื้นที่ค้าปลีก และคอนโดมิเนียมระดับลักชัวรี ที่พัฒนาขึ้นบนพื้นที่ดิน 11ไร่ บริเวณหัวมุมถนนอโศก-เพชรบุรี โดยส่วนพื้นที่อาคารสำนักงานมีความสูง 42 ชั้น และส่วนรีเทลเป็นอาคารสูง 4 ชั้น ขนาดพื้นที่รวม 2 อาคารประมาณ120,000 ตารางเมตร และมีมูลค่าก่อสร้างรวมกว่า4,200 ล้านบาท (ไม่รวมมูลค่าที่ดิน)  
สิงห์ เอสเตท ผุดโครงการคอนโดแบรนด์ใหม่ใจกลางสุขุมวิท “EYSE” ตอบโจทย์คนเมืองด้วยคอนเซปท์ “The Hidden Treasure”

สิงห์ เอสเตท ผุดโครงการคอนโดแบรนด์ใหม่ใจกลางสุขุมวิท “EYSE” ตอบโจทย์คนเมืองด้วยคอนเซปท์ “The Hidden Treasure”

บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดตัวโครงการคอนโดโลว์ไรซ์หรูใจกลางสุขุมวิท ภายใต้แบรนด์ใหม่ EYSE (อีส) บนแนวคิด The Hidden Treasure ขยายเซ็กเม้นท์ธุรกิจ หลังมองเห็นเทรนด์คอนโดโลว์ไรซ์โต เผยกำลังซื้อกลุ่มนี้ยังสดใส เจาะไลฟ์สไลต์กลุ่มลูกค้าระดับบนที่ชอบความสะดวกสบายแต่ได้ความรู้สึกเหมือนอยู่บ้าน เน้นโลเคชั่นใจกลางเมือง เดินทางสะดวก ประเดิมโครงการแรก “EYSE Sukhumvit 43” (อีส สุขุมวิท 43) นายณัฐวุฒิ มัธยมจันทร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการพัฒนาธุรกิจพักอาศัย บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปัจจุบันยังคงเป็นกลุ่มดีเวลลอปเปอร์รายใหญ่ ที่มีสัดส่วนการพัฒนาโครงการถึง 80% โดยส่วนใหญ่เป็นประเภทคอนโดมิเนียมสำหรับกลุ่มลูกค้าระดับบนขึ้นไปที่ยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสินค้ากลุ่มนี้ยังคงได้รับความสนใจเป็นอย่างมากทั้งจากผู้ที่ซื้อเพื่อพักอาศัยเอง ชาวต่างชาติ และกลุ่มนักลงทุน โดยทำเลที่มีศักยภาพที่จะพัฒนาโครงการค่อนข้างมีอยู่อย่างจำกัด ทั้งนี้ ในปัจจุบันที่ดินที่ติดถนนใหญ่ หรือติดรถไฟฟ้ามีความต้องการสูง และราคาที่ดินยังมีการปรับตัวสูงขึ้นอยู่ตลอดเวลา จึงทำให้แนวโน้มการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมแบบโลว์ไรซ์ในซอยบนทำเลใจกลางเมืองน่าจะมีการเปิดตัวเพิ่มขึ้น สิงห์ เอสเตท ได้มองเห็นโอกาสจากตลาดกลุ่มนี้ จึงได้พัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมลักชัวรีโลว์ไรซ์ที่มีจุดเด่นในแง่ของความเป็นส่วนตัว พื้นที่ใช้สอยในห้องขนาดใหญ่ขึ้น และรองรับพฤติกรรมของลูกค้าที่เน้นการอยู่อาศัยจริง ภายใต้แบรนด์ใหม่ “EYSE” (อีส) เพื่อตอบสนองความต้องการของทั้งกลุ่มคนไทยและคนต่างชาติที่เข้าใจความต้องการในการอยู่อาศัยของตนเองอย่างชัดเจน รวมถึงกลุ่มนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่มีศักยภาพอีกด้วย   “สัดส่วนของกลุ่มเป้าหมาย จะเน้นกลุ่มที่ซื้อเพื่ออยู่อาศัยเองโดยแบ่งเป็น 3 กลุ่มใหญ่ตามช่วงอายุและไลฟ์สไตล์ คือ กลุ่มแรก Single Adult เป็นกลุ่มที่ต้องการคอนโดมิเนียมเพื่อที่อยู่อาศัยจริงๆ ห้องต้องมีขนาดพื้นที่กว้าง เพราะใช้เวลาอยู่บ้านมากกว่าใช้ชีวิตข้างนอก ชอบความเป็นส่วนตัว กลุ่มที่สองเป็นกลุ่ม Small Family ที่มองหาคอนโดมิเนียมเพื่อใช้ชีวิตในวันจันทร์ถึงศุกร์โดยไม่ต้องฝ่ารถติดเพื่อมาทำงานหรือส่งลูกเรียนในเมือง และกลุ่มที่สามคือ กลุ่ม Early Stage Retirees ที่เคยอยู่บ้านหลังใหญ่ๆ นอกเมือง แล้วเริ่มรู้สึกว่าบ้านเป็นภาระที่ต้องดูแล ไม่มีลูกหรือลูกแยกย้ายไปมีครอบครัวกันหมด จึงมองหาคอนโดมิเนียมที่เดินทางสะดวกเพื่อที่จะได้ไม่ต้องขับรถเข้ามาในเมืองบ่อยๆ ส่วนกลุ่มที่ซื้อเพื่อการลงทุนจะเน้นกลุ่มนักลงทุนที่มีลักษณะเป็น Thoughtful Investor หรือนักลงทุนที่ซื้ออสังหาฯที่มีคอนเซปท์โครงการที่ตนเองชอบ โดยจะซื้อโครงการไว้เพื่อทั้งอยู่อาศัยเองและสามารถขายต่อได้ด้วย ซึ่งมีแนวโน้มที่จะลงทุนในระยะยาวมากกว่าลงทุนในระยะสั้น” นายณัฐวุฒิ กล่าวเพิ่มเติม นางสาวผดาพร มูลศาสตร์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดพัฒนาธุรกิจพักอาศัย บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แนวคิดของคอนโดมิเนียมลักชัวรีโลว์ไรซ์ของสิงห์ เอสเตท ภายใต้แบรนด์ “EYSE” (อีส) ทุกแห่งจะตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย ที่มองหาโครงการคอนโดมิเนียมที่เป็น “Absolute Urban Retreat” หรือพื้นที่ผ่อนคลายใจกลางเมือง ที่มีองค์ประกอบตอบโจทย์เรื่องความปลอดภัย (Safe) ความเป็นส่วนตัว (Private) ความผ่อนคลาย (Sanctuary) และความอบอุ่นเหมือนบ้าน (Like a House) โดยทุกโครงการในแบรนด์ “EYSE” จะถูกพัฒนาภายใต้คอนเซปท์ “The Hidden Treasure” ที่มีองค์ประกอบคือ Hidden Gem Location ที่ตั้งโครงการที่มีความเฉพาะตัว เน้นความเป็นส่วนตัวสูง มีทำเลที่เงียบสงบ แต่อยู่ใจกลางเมือง เต็มไปด้วยความสะดวกสบายและไลฟ์สไตล์ที่ตอบโจทย์ Hidden Life in Nature การออกแบบที่เน้นให้ผู้อยู่อาศัยได้ใช้ชีวิตผสานไปกับความเป็นธรรมชาติ สร้างความรู้สึกผ่อนคลายแม้อยู่ใจกลางเมือง Serve Everyone Hidden Needs ตอบโจทย์ความต้องการแบบปัจเจกของผู้อยู่อาศัย และสุดท้าย คือ Hidden Function in One Space การออกแบบพื้นที่ส่วนกลางให้เป็น Multi-Function Facilities ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่บ้าน แต่เพิ่มฟังก์ชั่นการใช้งานต่างๆ เพื่อความสะดวกสบายสำหรับการอยู่อาศัย ไว้อย่างครบครัน   “สำหรับโครงการแรกภายใต้แบรนด์ใหม่นี้ คือ “EYSE Sukhumvit 43” (อีส สุขุมวิท 43) มาพร้อมกับคอนเซปท์เฉพาะตัวโครงการคือ “Embrace Your Hidden Fascination หรือ ชีวิตชีวาในโลกส่วนตัว” ถ่ายทอด อารมณ์และไลฟ์สไตล์ในการอยู่อาศัย ผ่านงานศิลปะแบบ Contemporary Impressionism ที่แสดงถึงความสดใสและมีชีวิตชีวา สะท้อนถึงทุกๆ ช่วงเวลาที่มีความสุข โดยโครงการตั้งอยู่ในซอยสุขุมวิท 43 บนพื้นที่ 1.4 ไร่ เป็นคอนโดมิเนียมแนวราบความสูง 7 ชั้น จำนวน 2 อาคาร 107 ยูนิต มูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท ซึ่งจุดเด่นของโครงการ คือ ทำเลที่ตั้งย่านพร้อมพงษ์ที่เรียกได้ว่าเป็นทำเลที่มีเสน่ห์เฉพาะตัว เป็นย่าน Walking community ที่ทันสมัยมากที่สุดแห่งหนึ่งของกรุงเทพฯ เพราะเป็นย่านที่มีความเป็นศูนย์กลางธุรกิจ ศูนย์กลางของการช้อปปิ้ง และไลฟ์สไตล์ รวมถึงที่พักอาศัยในระดับลักชัวรี อีกทั้งยังมีสวนสาธารณะขนาดใหญ่ ที่เปรียบเสมือนปอดของคนสุขุมวิท และยังสะดวกสบายในการเดินทาง โดยทำเลที่ตั้งของโครงการอยู่ในซอยสุขุมวิท 43 เป็นซอยที่เงียบสงบและรายล้อมด้วยเพื่อนบ้านคุณภาพ แต่ห่างจากสถานีรถไฟฟ้า BTS พร้อมพงษ์ และศูนย์การค้าเอ็มควอเทียร์เพียง 550 เมตร จึงสามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่ต้องการทั้งความเงียบสงบและความเป็นส่วนตัวและความมีชีวิตชีวาของไลฟ์สไตล์ใจกลางเมือง โครงการถูกออกแบบให้ผู้อยู่อาศัยได้ใกล้ชิดกับความเป็นธรรมชาติ และเต็มไปด้วยประโยชน์ใช้สอย การออกแบบอย่างพิถีพิถันที่ทำให้ผู้อยู่อาศัยรู้สึกอบอุ่นเหมือนอยู่บ้าน ด้วยจำนวนยูนิตที่มีเพียง 107 ยูนิต ขนาดห้องที่กว้างกว่าคอนโดมิเนียมตามแนวรถไฟฟ้าในราคาที่เท่ากันประกอบด้วย ห้องชุดแบบ 1 ห้องนอน ขนาด 52.25-54.50 ตารางเมตร ห้องชุดแบบ 2 ห้องนอน ขนาด 62.50-94.75 ตารางเมตร และขนาด 99.50-99.75 ตารางเมตร พร้อมที่จอดรถประจำทุกยูนิต นอกจากนั้น ลูกค้าที่ซื้อโครงการฯยังสามารถเลือก Customized Option ของ Layout และเลือกสีของวัสดุมาตรฐานภายในห้องชุดได้ตามความชอบ และที่สำคัญการออกแบบพื้นที่ส่วนกลางให้เป็น Multi-Function Facilities ผสานอารมณ์ความเป็น “บ้าน” ที่ซ่อนฟังก์ชั่นการใช้งานต่างๆ ให้สามารถปรับเปลี่ยนการใช้งานได้หลากหลาย และยังเพิ่มโอกาสการพบปะกันเพื่อก่อให้เกิดสังคมของผู้อยู่อาศัยในโครงการด้วย” น.ส.ผดาพร กล่าว นายณัฐวุฒิ กล่าวสรุปว่า ปัจจุบันพอร์ตโฟลิโอของธุรกิจที่พักอาศัยของสิงห์ เอสเตท ในส่วนของคอนโดมิเนียมประเภทลักชัวรีนับว่ามีครบทั้งแนวสูงและแนวราบ โดยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาได้มีการเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ THE ESSE (ดิ เอส) ไปแล้วทั้งสิ้น 3 โครงการ ได้แก่ THE ESSE Asoke (ดิ เอส อโศก) THE ESSE at SINGHA COMPLEX (ดิ เอส แอท สิงห์ คอมเพล็กซ์) และ THE ESSE Sukhumvit 36 (ดิ เอส สุขุมวิท 36) มูลค่าโครงการรวมแล้วกว่า 15,000 ล้านบาท ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากลูกค้าชาวไทยและชาวต่างชาติ เนื่องจากเป็นโครงการระดับลักชัวรีที่ตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้อย่างตรงใจ ด้วยยอดขายรวมประมาณ 80% ทั้งหมดนับเป็นความสำเร็จก้าวสำคัญที่ทำให้เกิดโครงการใหม่ล่าสุดอย่าง EYSE Sukhumvit 43 (อีส สุขุมวิท 43) ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งโครงการที่ช่วยเติมเต็มพอร์ตโฟลิโอของธุรกิจ และเพิ่มทางเลือกให้กับลูกค้ามากขึ้น โดยคาดการณ์ยอดขายหลังเปิดโครงการไว้ที่ 50% ทั้งนี้ ในอนาคต สิงห์ เอสเตท ยังคงมีแผนที่จะลงทุนพัฒนาโครงการใหม่อย่างน้อยปีละ 3 โครงการ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 8,500 ล้านบาทต่อปี ในทำเลที่มีศักยภาพทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด โดยยังคงเน้นการทำตลาดลักชัวรี เจาะกลุ่มเป้าหมายทั้งอาศัยอยู่เองและกลุ่มนักลงทุน โครงการ EYSE Sukhumvit 43 ราคาเริ่มต้นต่อยูนิตอยู่ที่ 13.99 ล้านบาท เริ่มก่อสร้างในช่วงไตรมาส 4/2561 และคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในไตรมาส 4/2563 ทั้งนี้โครงการจะเปิดให้ชมห้องตัวอย่างที่สำนักงานขายของสิงห์ เอสเตท ติดรถไฟฟ้าสถานีทองหล่อ ตั้งแต่วันที่ 16 ก.ค. 2561 เป็นต้นไป และจะมีงาน Pre-Sales ในวันที่ 21-22 ก.ค. 2561 สิทธิพิเศษสำหรับผู้ที่ซื้อในช่วงวันดังกล่าว จะได้รับส่วนลดมูลค่า 200,000-400,000 บาท สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร.1221 หรือ www.singhaestate.co.th
สิงห์ เอสเตท ส่ง ดิ เอส สุขุมวิท 36 บุกตลาดฮ่องกง  กวาดยอดขาย 200 ล้านบาท

สิงห์ เอสเตท ส่ง ดิ เอส สุขุมวิท 36 บุกตลาดฮ่องกง กวาดยอดขาย 200 ล้านบาท

  นายณัฐวุฒิ มัธยมจันทร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการพัฒนาธุรกิจพักอาศัย บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า หลังจากที่ทาง บมจ.สิงห์ เอสเตท ได้เปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมในระดับลักชัวรี ดิ เอส สุขุมวิท 36 (THE ESSE at SUKHUMVIT 36) เมื่อช่วงปลายปี 2560 ซึ่งเป็นการร่วมทุนกับทาง ฮ่องกง แลนด์ บริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ระดับเอเชีย โดยที่ผ่านมาถือได้ว่าได้รับความสนใจจับจองโครงการจากกลุ่มลูกค้าไทยและต่างชาติอย่างต่อเนื่อง   “ปีนี้บริษัทฯ ได้วางแผนนำโครงการออกงานโรดโชว์ที่ต่างประเทศตลอดทั้งปี  ประเดิมงานแรกของปีด้วยการออกโรดโชว์โครงการ ดิ เอส สุขุมวิท 36 ที่ฮ่องกงเมื่อช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งกลุ่มนักลงทุนฮ่องกงถือว่าเป็นตลาดหลักสำคัญที่สนใจลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ในเมืองไทย รวมถึงยังมีฐานลูกค้าที่มาจากพาร์ทเนอร์อย่าง ฮ่องกง แลนด์ โดยรวมยอดขายจากโรดโชว์ 2 วันอยู่ที่ 200 ล้านบาท ซึ่งทำให้ขณะนี้โครงการฯ มียอดขายรวมแล้วกว่า 60% โดยมีสัดส่วนของลูกค้าชาวต่างชาติ 20% ของทั้งโครงการ และตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนลูกค้าต่างประเทศให้ได้ถึง 40%อีกทั้งคาดว่าปีนี้จะมีการนำโครงการออกโรดโชว์อีกครั้งในช่วงไตรมาส 3 ซึ่งยังคงมุ่งไปยังประเทศในแถบเอเชียเป็นหลัก” นายณัฐวุฒิ กล่าว     สำหรับโครงการคอนโดมิเนียมที่ผ่านมาของสิงห์ เอสเตท ได้แก่ ดิ เอส อโศก (THE ESSE Asoke) และ ดิ เอส แอท สิงห์ คอมเพล็กซ์ (THE ESSE at SINGHA COMPLEX) ทั้ง 2 โครงการต่างได้รับการตอบรับที่ดีในกลุ่มลูกค้าคนไทย รวมถึงได้รับความสนใจจากนักลงทุนต่างชาติทั้งนักลงทุนรายใหญ่และนักลงทุนรายย่อย ทำให้ปัจจุบันทั้งสองโครงการมียอดขายรวมแล้วกว่า 85%   “ทั้งนี้โครงการ ดิ เอส สุขุมวิท 36 เป็นโครงการคอนโดมิเนียมระดับลักชัวรี สูง 43 ชั้น จำนวน 338 ยูนิต ราคาเริ่มต้นต่อยูนิตอยู่ที่ 12.3 ล้านบาท โดยออกแบบภายใต้แนวคิด “A Harmony of Contrast”  หรือ สมดุลแห่งความต่าง โดยการหลอมรวมอัตลักษณ์ของความเป็นไทยกับเทรนด์การอยู่อาศัยในยุคปัจจุบันเข้าด้วยกันอย่างลงตัว เริ่มก่อสร้างในช่วงไตรมาส 1 ปี 2561 ที่ผ่านมา และคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือน ตุลาคม 2563”  นายณัฐวุฒิ กล่าวปิดท้าย