Tag : บริษัท เจ.เอส.พี. พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน)

3 ผลลัพธ์
เจ.เอส.พี. โชว์รายได้ไตรมาส 2 โต 16% กวาดยอดรายได้รวมครึ่งปีแรก กว่า 2,257 ลบ.  พร้อมลุยเปิดเพิ่มอีก 5 โครงการ มูลค่ารวม 703 ลบ.

เจ.เอส.พี. โชว์รายได้ไตรมาส 2 โต 16% กวาดยอดรายได้รวมครึ่งปีแรก กว่า 2,257 ลบ. พร้อมลุยเปิดเพิ่มอีก 5 โครงการ มูลค่ารวม 703 ลบ.

บริษัท เจ.เอส.พี. พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) เผยผลงานไตรมาส 2/2561 ทำรายได้แตะ 1,212 ล้านบาท หรือโตเพิ่ม16% โดยกวาดยอดรายได้รวมครึ่งปีแรกแล้วกว่า 2,257 ล้านบาท พร้อมลุยเดินเครื่องธุรกิจครึ่งปีหลังเปิดใหม่ 5 โครงการ มูลค่ารวมราว 703 ล้านบาท มั่นใจยอดขายรวมสิ้นปีนี้ 6,800 ล้านบาท ตามนัด นายลิขิต ลือสกุลกิจไพศาล ประธานคณะกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ.เอส.พี. พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ JSP แจงผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2561 ของบริษัทว่า รายได้ทั้งหมดเท่ากับ 1,212 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 16% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า โดยมีรายได้จากการขายอสังหาฯอยู่ที่ 1,176ล้านบาท มียอดโอนกรรมสิทธิ์ 626 ยูนิต เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 140 ล้านบาท “จากการเข้ามาบริหารงานพร้อมวางกลยุทธ์ใหม่ตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมานั้น ประกอบกับผลงานเริ่มต้นในช่วงครึ่งปีแรกนี้ ทำให้มั่นใจว่าบริษัทฯ จะก้าวต่อไปได้อย่างมั่นคงแข็งแรง จากการกำหนดเป้าหมายธุรกิจระยะสั้น คือปีแรกจะปรับฐานให้มีสภาพคล่องทางการเงินมากขึ้น ส่วนเป้าหมายในระยะ 3 ปี ก็จะสร้างอัตราการเติบโตให้บริษัทไม่ต่ำกว่า 25-30% ซึ่งสำหรับในปี 2561 ตั้งเป้ายอดขายรวมสิ้นปีนี้ 6,800 ล้านบาท โดยเน้นพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แนวราบเป็นหลักเพื่อชิงผู้นำตลาดบ้านแนวราบ ราคาต่ำกว่า 5 ล้านบาท” ในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทเตรียมเปิดโครงการใหม่ จำนวน 5 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 703 ล้านบาท ได้แก่ โครงการเจซิตี้ ติวานนท์-บางกะดี บ้านเดี่ยว-บ้านแฝด จำนวนรวม 79 ยูนิต ราคาขายเริ่มต้นที่ 3.6 ล้านบาทต่อยูนิต มูลค่าโครงการ 316 ล้านบาท, อาคารพาณิชย์ 1 ทำเล คือ โครงการเจซิตี้ รัตนาธิเบศร์-บางบัวทอง มูลค่าโครงการ 70 ล้านบาท และโครงการ เจอเวนิวรัตนาธิเบศร์-บางบัวทอง มูลค่าโครงการ 100 ล้านบาท ส่วนในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ได้แก่ โซนบางปะกง-บ้านโพธิ์ คือ โครงการเจ ทาวน์ เอ็กซ์คลูซีฟ ที่เป็นทาวน์เฮาส์ มูลค่าโครงการ 117 ล้านบาท รวมทั้งอาคารพาณิชย์ที่โครงการเจซิตี้ ศรีราชา-อัสสัมชัญ มูลค่าโครงการ 100 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าใกล้จะแล้วเสร็จและสามารถเปิดตัวได้ในช่วงปลายปีนี้ สำหรับภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยในช่วงครึ่งปีหลัง ของปี 2561 นี้น่าจะกลับมาสดใสมากขึ้น เนื่องจากผ่านความผันผวนจากช่วงครึ่งปีแรกมาแล้ว อีกทั้งเศรษฐกิจโดยรวมขยายตัวได้ดีขึ้นและคาดว่าทิศทางการเติบโตของเศรษฐกิจน่าจะเพิ่มขึ้นถึง 4% เนื่องจากความต้องการซื้อเพื่อการอยู่อาศัยหรือการซื้อเพื่อการลงทุนยังโตต่อเนื่อง นายลิขิตกล่าวสรุป
เจ.เอส.พี. เปิดศักราชใหม่ มุ่งดันกำไรสุทธิปี 61 พุ่งทะลุเป้า 15%  พร้อมเผยแผนยุทธศาสตร์ ประกาศบุกตลาดแนวราบเต็มสูบ

เจ.เอส.พี. เปิดศักราชใหม่ มุ่งดันกำไรสุทธิปี 61 พุ่งทะลุเป้า 15% พร้อมเผยแผนยุทธศาสตร์ ประกาศบุกตลาดแนวราบเต็มสูบ

  บมจ. เจ.เอส.พี. พร็อพเพอร์ตี้ สยายปีกความสำเร็จ หลังกวาดรายได้ไตรมาสแรกปี 2561 ทะลุเป้า 1,044,718 ล้านบาท ก่อนเปิดศักราชใหม่ ดึงผู้บริหารมืออาชีพเสริมทัพความแข็งแกร่ง ร่วมเดินหน้าปั้นกำไรสุทธิรวมทั้งปีโตเพิ่ม 15% พร้อมกางแผนยุทธศาสตร์ ประกาศบุกตลาดแนวราบเต็มสูบ   นายไพโรจน์ วัฒนวโรดม กรรมการผู้จัดการ บริษัท เจ.เอส.พี. พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าจากความ สำเร็จที่ผ่านมาในปี 2559-2560 บริษัทฯ ได้ทำการเปิดโครงการไปแล้วกว่า 25โครงการ และมียอดขายโตสูงขึ้นตาม ลำดับ โดยเฉพาะในปี 2560 บริษัทฯ สามารถทำยอดรายได้รวมถึง 4,521 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 3,327 ล้านบาท ซึ่งรายได้เพิ่มขึ้นมาถึง 35% จากปีก่อน ส่งผลให้พุ่งทะยานขึ้นติดท็อป 10 ของแบรนด์อสังหาริมทรัพย์ไทย ในกลุ่มสินค้าราคาต่ำกว่า 5 ล้านบาท อีกทั้งในส่วนของไตรมาสแรกในปี 2561 สามารถปรับอันดับขึ้นมาเป็นอันดับ 6 ของแบรนด์อสังหาริมทรัพย์ไทยในกลุ่มสินค้าราคาต่ำกว่า 5 ล้านบาท   “ล่าสุดในช่วงต้นปีที่ผ่านมาบริษัทฯ มีการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ โดยมีการเปลี่ยนผู้ถือหุ้นรายใหม่เข้ามาบริหาร ได้แก่ นายลิขิต ลือสกุลกิจไพศาล เข้ามาดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ผู้มีความเชี่ยวชาญในด้านการบริหารงานและการระดมทุน พร้อมกับมีวิสัยทัศน์ใหม่ในการขับเคลื่อนองค์กร เจ.เอส.พี. ให้เกิดความชัดเจนมากยิ่งขึ้น โดยกำหนดเป้าระยะสั้น คือในปีแรกจะเป็นการปรับฐานให้มีความแข็งแรง มั่นคง และมีสภาพคล่องทางการเงินมากขึ้น อีกทั้งตั้งเป้าภายใน 3 ปีจะสร้างอัตราการเติบโตให้กับบริษัทฯ ไม่ต่ำกว่า 25% และเน้นพัฒนาอสังหาฯ แนวราบเป็นหลัก ภายใต้หลักการดำเนินงาน 3 ทิศทาง ได้แก่ สร้างทรัพย์  ซื้อขายทรัพย์ และพัฒนาทรัพย์” นายไพโรจน์ กล่าว   บริษัทฯ เดินหน้ารักษาความสำเร็จต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา ซึ่งในปี 2561 นี้จะเป็นปีของการ Keep Fighting กับ    แบรนด์ยักษ์ใหญ่ที่ลงมาชิงดำตลาดอสังหาฯ ที่ราคาต่ำกว่า 5 ล้านบาท โดยสร้างรากฐานความเติบโตแบบยั่งยืน เน้นอัตราการเติบโตของกำไรสุทธิ (Net Profit Growth) เพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะทำการปรับสัดส่วนการดำเนินงานและสร้างรายได้จาก 2 กลุ่มธุรกิจหลัก คือ ธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อขาย จะทำการปรับจีพี (GP) มากขึ้น ส่วนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์หรือธุรกิจให้เช่า มีการลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นเพื่อสร้างกำไรสุทธิให้เป็นบวก   นอกจากนี้ ยังมีการดึงผู้บริหารระดับมืออาชีพที่มีความเชี่ยวชาญด้านการบริหารโครงสร้างการเงินและการบริหารตลาดธุรกิจให้เช่า ได้แก่ นายสมชาย วรุณพันธุลักษณ์ ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ ซึ่งเข้ามาช่วยดูแลในส่วนการดำเนินงาน และการจัดโครงสร้างการเงินของบริษัทฯ เพื่อให้เกิดกำไรสุทธิ ลดการด้อยค่าในสัดส่วนธุรกิจพื้นที่ให้เช่าให้กลับเป็นบวก พร้อมปักธงรายได้รวมสิ้นปีทะยานเพิ่ม 4,700 ล้านบาท   สำหรับกลยุทธ์การดำเนินงาน บริษัทฯ ได้กำหนดแนวทางเป็น 4 มิติ ได้แก่ ด้านการเงิน จะดำเนินการใน 3 ขั้นตอน คือ การเปลี่ยนแปลงแหล่งเงินกู้ระยะสั้นให้เป็นระยะยาว ซึ่งที่ผ่านมา เจ.เอส.พี. ได้ทำการชำระหนี้ จำนวน 2,500 ล้านบาท จากหุ้นกู้จำนวน 1,100 ล้านบาท และตั๋วแลกเงินระยะสั้น Bill of Exchange (B/E) จำนวน 1,400 ล้านบาท เป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงทำให้สถาบันการเงินพร้อมสนับสนุนสินเชื่อในการพัฒนาโครงการ ในขณะเดียวกันบริษัทฯ เตรียมจัดหาต้นทุนทางการเงินให้ต่ำลง โดยในปีหน้าเตรียมออกหุ้นกู้ใหม่ที่มีอายุ 2-3 ปี ซึ่งวางแผนจะทำการออกหุ้นกู้ในไตรมาสที่ 3จำนวน 1,000  ล้านบาท จึงทำให้เป็นการปรับโครงสร้างหนี้ให้สอดคล้องกับการพัฒนาโครงการที่บริษัทฯ มีกับสถาบันการเงิน    อีกทั้งบริษัทฯ ยังมีแผนสำหรับการขายทรัพย์สินบางส่วนที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ โดยจัดตั้งบริษัท เจ.เอส.พี. พร็อพเพอร์ตี้ แมเนจเมนท์ จำกัด (JPM) เข้ามาดูแลบริหารที่ดินในส่วนของพื้นที่เปล่าและพื้นที่ให้เช่า มุ่งเน้นการตลาดพื้นที่เช่าให้เป็นที่รู้จัก และพัฒนาตลาดให้เหมาะกับเทรนด์ไลฟ์สไตล์ (Trend Lifestyle) แต่อย่างไรก็ดี แนวทางการขายทรัพย์สินพื้นที่ธุรกิจให้เช่า บริษัทฯ ยังคงชะลอการดำเนินการ เพื่อเป็นโอกาสทางธุรกิจในการเปิดรับข้อเสนอจากนักลงทุนหรือผู้สนใจติดต่อเข้ามา ซึ่งในขณะนี้ก็มีนักลงทุนชาวต่างชาติที่ให้ความสนใจ   นายไพโรจน์ กล่าวเพิ่มเติมถึงแนวทางการดำเนินงานว่า ปีนี้บริษัทฯ เน้นการพัฒนาโครงการแนวราบเป็นหลัก โดยจะทำการปรับเพิ่มราคาสินค้าขั้นต้น 5-10% และลดต้นทุนค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นในการบริหารงาน ซึ่งเน้นทำตลาดแบบออนไลน์เป็นหลัก ทำการปรับการสร้างสต็อกสินค้าให้สมดุลกับยอดการขายในแต่ละเดือน ขณะเดียวกันปีนี้บริษัทฯ จะรับรู้รายได้ของคอนโด 2 โครงการ คือ โครงการเจ คอนโด สาทร - กัลปพฤกษ์ จำนวน 500 ล้านบาท และโครงการเจ คอนโด พระราม 2 จำนวน 206 ล้านบาท และจะชะลอการพัฒนาโครงการแนวดิ่ง โดยมุ่งพัฒนาและให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงการแนวราบเป็นหลัก แต่ยังคงจับตาภาพรวมเศรษฐกิจภายในระหว่าง 3-5 ปีนี้ หากมีความเสถียรแล้วก็จะกลับมาลงทุนเพิ่ม   ส่วนแนวทางในการพัฒนาสินค้าของปีนี้ บริษัทฯ จะทำการปรับโฉมโปรดักส์ใหม่ จับกลุ่มเซ็กเม้นต์ระดับพรีเมียม เพื่อเพิ่มจีพีให้สะท้อนกำไรสุทธิมากขึ้น โดยเน้นโครงการบ้านเดี่ยว - บ้านแฝด กลุ่มราคา 3-5 ล้านบาท เพิ่มอีก 4 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 1,116 ล้านบาท ในสัดส่วน 43% ได้แก่ โครงการเจซิตี้ ติวานนท์ - บางกะดี โครงการบ้านเดี่ยว -บ้านแฝด มูลค่า 316 ล้านบาท และโครงการเจ วิลล่า รัตนาธิเบศร์ - บางบัวทอง โครงการบ้านแฝด มูลค่าโครงการ 800 ล้านบาท ขณะเดียวกันก็เปิดโครงการอาคารพาณิชย์อีก 2 ทำเล ทั้งบนทำเลบางใหญ่และบางบัวทอง มูลค่าโครงการรวม 270 ล้านบาท ได้แก่ โครงการ เจบิซ วงแหวน - บางใหญ่ มูลค่า 200 ล้านบาท โครงการเจซิตี้ รัตนาธิเบศร์ - บางบัวทอง มูลค่า 70 ล้านบาท และเปิดโครงการใหม่ เป็นทาวน์โฮมเพิ่มอีก 1 ทำเลในโซนบางบัวทอง คือ โครงการเจ อเวนิว รัตนาธิเบศร์ - บางบัวทอง มูลค่า 100 ล้านบาท   ส่วนในต่างจังหวัดทางบริษัทฯ มีความสนใจในการพัฒนาอสังหาฯ ในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เตรียมเปิดโครงการทาวน์โฮม 2 ทำเล ในโซนบางปะกง - บ้านโพธิ์ คือ โครงการเจ ทาวน์ เอ็กซ์คลูซีฟ ที่เป็นทาวน์เฮ้าส์ มูลค่าโครงการ 107 ล้านบาท รวมทั้งบริษัทฯ ลงทุนซื้อที่ดินใหม่เพื่อพัฒนาโครงการเจซิตี้ บางพระ - ฉะเชิงเทรา ในอำเภอเมือง จังหวัดฉะเชิงเทรา อีกจำนวน 860ล้านบาท พร้อมกันนี้ในช่วงปลายปีเตรียมเปิดอาคารพาณิชย์ที่โครงการเจซิตี้   ศรีราชา - อัสสัมชัญ มูลค่าโครงการ 100 ล้านบาท   อย่างไรก็ตามจากนโยบายของผู้ถือหุ้นรายใหม่ที่เข้ามา พร้อมกับแผนกลยุทธ์ของบริษัทฯ ที่ตั้งไว้ในปีนี้ จะทำให้ บริษัทฯ เกิดการรับรู้รายได้ใน 2 ทาง ทั้งกลุ่มธุรกิจอสังหาฯ และพื้นที่ให้เช่า จึงถือเป็นปีแห่งการเก็บเกี่ยวรายได้ของ เจ.เอส.พี. ซึ่งมั่นใจว่ายอดขายจะโตทะลุเป้าที่ตั้งไว้ และสามารถก้าวติดท็อป 5 แบรนด์อสังหาฯ ของโครงการแนวราบในกลุ่มสินค้าราคา 3-5 ล้านบาท ที่ทำรายได้สูงสุดของประเทศได้อย่างแน่นอน และทั้งหมดนี้จะเป็นการสร้างการเติบโตแบบก้าวกระโดดในศักราชใหม่ของผู้ถือหุ้นรายใหม่ พร้อมผู้บริหารมืออาชีพคนใหม่ที่จะเข้ามาร่วมทัพในการสร้างความมั่นคงของ เจ.เอส.พี. เพื่อก้าวต่อไปในอนาคต นายไพโรจน์ กล่าวสรุป
เจ.เอส.พี.ทะยานสู่ท็อป 10 แบรนด์อสังหาฯ ไทย หลังกวาดรายได้ปี 60 โต 60% พร้อมเตรียมลุยตลาดบ้านเดี่ยว บ้านแฝดไม่เกิน 5 ล้านบาท ปีหน้า

เจ.เอส.พี.ทะยานสู่ท็อป 10 แบรนด์อสังหาฯ ไทย หลังกวาดรายได้ปี 60 โต 60% พร้อมเตรียมลุยตลาดบ้านเดี่ยว บ้านแฝดไม่เกิน 5 ล้านบาท ปีหน้า

20 พฤศจิกายน 2560 – เจ.เอส.พี. สานต่อความสำเร็จ หลังรีแบรนด์ เพิ่ม J Touch Point ปรับสไตล์การออกแบบ เดินหน้าเปิดโครงการต่อเนื่องมาตลอดทั้งปี ทำยอดขายโตทะลุเป้า 60% ก้าวติดท็อป 10 แบรนด์อสังหาฯ ที่ทำรายได้สูงสุดของประเทศในปี 2560 พร้อมประกาศวิสัยทัศน์ และกลยุทธ์ทางธุรกิจต่อเนื่องปี 2561 นายไพโรจน์ วัฒนวโรดม กรรมการผู้จัดการ บริษัท เจ.เอส.พี. พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภาพรวมของบริษัทฯ ในปี 2016 - 2017 ที่ผ่านมาบริษัทฯ ประสบความสำเร็จในเรื่องเรเวนิว โกรท และมาร์เก็ตแชร์(revenue growth and market share) เนื่องจากได้มีการรีแบรนด์ใหม่ทำ J Touch Point และปรับโฟกัสสินค้าเน้นเปิดแนวราบ ในกลุ่มราคาต่ำกว่า 5 ล้านบาทเป็นพอร์ตรายได้หลัก และปรับสไตล์การออกแบบ เพิ่มนวัตกรรม J ID บ้านอัจฉริยะ โดยสองปีที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้เดินหน้าขยายเปิดโครงการอย่างต่อเนื่อง โดยเปิดไปแล้วกว่า 20 โครงการ ทำให้ยอดขายโตขึ้นแบบก้าวกระโดด โดยเฉพาะในปีนี้ที่บริษัทฯ สามารถทำยอดรายได้สูงขึ้นถึง 60% ทำให้สามารถเบียดแทรกขึ้นไปอยู่บนชาร์ตท็อป 10 ของแบรนด์อสังหาฯ ระดับคุณภาพที่มีรายได้สูงสุด และทำให้เป็นที่รู้จักอันดับต้นๆ ของประเทศในตอนนี้ โดยกลุ่มโปรดักส์ที่ทำให้เจ.เอส.พี.ได้รับการจัดอันดับ และสามารถก้าวขึ้นมาอยู่บนท็อป 10 อสังหาฯ ของประเทศ ได้แก่โครงการกลุ่มทาวน์เฮ้าส์ แบ่งเป็น 2 เซ็กเม้นต์ 2 - 2.5 ล้านบาท มูลค่ารวมโครงการ 4,526 ล้านบาท ซึ่งกวาดรายได้ 2,869  ล้านบาท เพิ่มขึ้น 132% เมื่อเทียบจากปี 2559 และเซ็กเม้นต์ 3 - 5 ล้านบาท โครงการเจ แกรนด์ สาทร - กัลปพฤกษ์ มีมูลค่าโครงการรวม 610 ล้านบาท ซึ่งกวาดรายได้ 595 ล้านบาท และเป็นโครงการเพิ่งเปิดใหม่ไปเมื่อต้นปี “สำหรับในครึ่งปีแรกของปี 2560 บริษัทฯ มีรายได้เข้ามาแล้วกว่า 2,120 ล้านบาท และปัจจุบันบริษัทฯ มี (Backlog) ยอดรอโอนเพื่อรอรับรู้รายได้อยู่ที่ 4,000 ล้านบาท ซึ่งในช่วงโค้งท้ายปี บริษัทฯ พยามเร่งโอนกรรมสิทธิ์ โดยเน้นการทำการตลาดหนักขึ้นเพื่อให้ได้ตามแผน แม้ในช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมาจะมีการชะลอตัวเล็กน้อย แต่ในเดือนพฤศจิกายนและธันวาคมนี้ทั้งยอดขายและยอดโอนคาดว่าจะกลับมาคึกคักอีกครั้ง ทำให้รายได้ประมาณการรวมของปี 2560 ยังคงเป็นไปตามเป้าที่ตั้งไว้ที่ 4,500 - 5,000 ล้านบาท”นายไพโรจน์ กล่าว นายไพโรจน์ กล่าวถึงวิสัยทัศน์ และแผนการดำเนินธุรกิจในปี 2561 ว่า เพื่อการพัฒนาไปข้างหน้าอย่างยั่งยืน บริษัทฯ ได้กำหนดวิสัยทัศน์สำหรับปี 2561 คือเจ.เอส.พี.จะ Net Profit Growth หรือเป็นปีแห่งการสร้างการเติบโตของกำไรสุทธิให้ เติบโตอย่างมั่นคง เพื่อเป็นการตอบแทนผู้ถือหุ้น และนักลงทุน โดยบริษัทฯ จะมีการใช้กลยุทธ์ ประกอบด้วยกัน 4 มิติได้แก่ มิติด้านการเงิน บริษัทฯ มีการปรับโครงสร้างทางการเงินโดยมีการดำเนินงานใน 3 ขั้นตอน คือ 1.1) การเปลี่ยนแหล่งเงินกู้จากระยะสั้นให้เป็นระยะยาวมากขึ้น ซึ่งที่ผ่านมาเจ.เอส.พี.ได้ทำการชำระหนี้ จำนวน 2,500 ล้านบาท จากหุ้นกู้จำนวน 1,100 ล้านบาท และตั๋วแลกเงินระยะสั้น Bill of Exchange (B/E) จำนวน 1,400 ล้านบาท เป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงทำให้เป็นที่ยอมรับ และได้ความไว้วางใจจากทางธนาคารชั้นนำต่างๆ อีกทั้งยังมีแหล่งเงินทุนสถาบันต่างๆ เข้ามายื่นข้อเสนอในเรื่องการปล่อยกู้เพิ่มมากขึ้น 1.2) บริษัทฯ มีแผนการจัดหาต้นทุนทางการเงินให้ต่ำลง 1.3) มีการขายทรัพย์สินบางส่วนที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ไปพร้อมๆ กัน มิติด้านการบริหารงาน โดยมีการดำเนินงานใน 4 ขั้นตอน ได้แก่ 2.1 )บริษัทฯ ทำการปรับเพิ่มราคาสินค้าขั้นต้นขึ้นอีก 5 - 10% 2.2 ) ลดต้นทุนการขาย โดยเน้นทำการตลาดแบบออนไลน์เป็นหลัก เนื่องจากในปีที่ผ่านมาบริษัทฯ สามารถทำยอดขายได้จากออนไลน์ถึง 50% พร้อมกับปรับด้านการบริหารให้มีการจัดไซท์งานให้กระชับพื้นที่มากขึ้น 2.3 ) ทำการปรับการสร้างสต็อกสินค้าให้สมดุลกับยอดการขายในแต่ละเดือน 2.4 ) ขณะเดียวกันปีหน้า บริษัทฯ เริ่มรับรู้รายได้ของ 2 โครงการ ได้แก่ โครงการเจ คอนโด สาทร-กัลปพฤกษ์ ราคาเริ่มต้น 1.49 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 1,890 ล้านบาท เนื้อที่รวมกว่า 10 ไร่ จำนวน 1,039 ยูนิต จะม๊ยอดรายได้รับรู้ที่ 520 ล้านบาท และโครงการเจ คอนโด พระราม 2 ราคาเริ่มต้น 1.65 ล้านบาท มูลค่า โครงการ 270 ล้านบาท เนื้อที่รวมกว่า 1-1-29 ไร่ จำนวน 158 ยูนิต จะมียอดรายได้รับรู้ที่ 210 ล้านบาท นอกจากนี้ทางเจ.เอส.พี.ยังเพิ่มยุทธศาสตร์ในการดำเนินธุรกิจ คือ มิติด้านการพัฒนาสินค้า โดยปีหน้าบริษัทฯ จะมีการปรับโฉมโปรดักส์ และการให้บริการใน 3 ด้าน คือ 3.1 ) New product & New market จับกลุ่มเซ็กเม้นต์ระดับพรีเมี่ยมเพื่อเพิ่มจีพี (GP) ให้สะท้อน Net Profit Growth กำไรสุทธิมากขึ้น โดยหันมารุกเปิดโครงการแนวราบบ้านเดี่ยว บ้านแฝด กลุ่มราคา 3 - 5 ล้านบาทในสัดส่วน 40 - 60% 3.2 ) มีการปรับนวัตกรรมใหม่ในด้านดีไซน์เพื่อให้สามารถตอบโจทย์ลูกค้าโดยสัมผัสได้จริง เช่น พื้นที่ใช้สอยขนาดใหญ่แบบ (Extra bonus) 3.3 ) เน้นการบริการหลังการขายแบบมืออาชีพ โดยตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างรวดเร็วและถูกต้อง โดยปี 2561 บริษัทฯ จะเปิดตัวโครงการบ้านเดี่ยว จำนวน 3 โครงการ ได้แก่ โครงการ J  Villa Exclusive วงแหวน - บางใหญ่ ราคาเริ่มต้น 4.49 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 590 ล้านบาท เนื้อที่รวมกว่า 27 ไร่ จำนวน 122 ยูนิต ตามด้วยโครงการ J Villa บางปะกง - บ้านโพธิ์ ราคาเริ่มต้น 3.5 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 305 ล้านบาท เนื้อที่รวมกว่า 26 ไร่ จำนวน 95     ยูนิต และโครงการบ้านเดี่ยว บางเสร่ - ชลบุรี ราคาเริ่มต้น 4.4 ล้านบาท มูลค่าโครงการกว่า 1,000 ล้านบาท เนื้อที่รวมกว่า 57 ไร่ จำนวน 249 ยูนิตและโครงการบ้านแฝด จำนวน 3 โครงการ ได้แก่ โครงการ J City วงแหวน - บางใหญ่ ราคาเริ่มต้นที่ประมาณ 3 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 580 ล้านบาท เนื้อที่กว่า 35 ไร่ จำนวน 98 ยูนิต ต่อด้วยโครงการ J Villa รัตนาธิเบศร์-บางบัวทอง ราคาเริ่มต้น 4.1 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 800 ล้านบาท เนื้อที่กว่า 29 ไร่จำนวน 189 ยูนิต และโครงการ The Theorist ราคาเริ่มต้น 12.9 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 700 ล้านบาท เนื้อที่กว่า 9.5 ไร่ จำนวน 46 ยูนิต ซึ่งทำให้ในปีหน้าบริษัทฯ จะมีโครงการที่เปิดขายพร้อมกับทำการตลาดทั้งสิ้นไม่ต่ำกว่า 30 โครงการ ขณะเดียวกันยุทธศาสตร์ในด้านที่ 4.) มิติด้านการลงทุน โปรเจ็กต์ใหม่ โดยเจ.เอส.พี.ยังคงยึดหัวหาดบุกทำเลฝั่งกรุงเทพตะวันออก (Eastern Bangkok) เนื่องจากเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านอสังหาฯ ในฝั่งกรุงเทพตะวันออก โดยได้ซื้อที่ดินเพื่อขยายโครงการเพิ่มที่กิ่งแก้ว จ.สมุทรปราการ นอกจากนี้บริษัทฯ ยังให้ความสนใจในการพัฒนาอสังหาฯ รวมทั้งการลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ (EEC) จึงได้มีการวางงบลงทุนเข้าซื้อที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการจำนวน 1,500 ล้านบาท โดยได้ซื้อที่ดินใน อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา และจ.ชลบุรีเพิ่มเข้ามา ซึ่งจากการสำรวจพบว่า จังหวัดชลบุรีเป็นจังหวัดที่มีรายได้ประชากรสูงเป็นอันดับ 2 ในขณะที่จังหวัดฉะเชิงเทรามีรายได้ประชากรสูงเป็นอันดับ 4 ของประเทศ อีกทั้งรัฐบาลไทยยังมีการผลักดันให้ภาคตะวันออกเป็นเขตเศรษฐกิจใหม่ ซึ่งมีการเปิดให้ลงทุน และมีการเข้ามาอยู่อาศัยของชาวต่างชาติมากขึ้น รวมทั้งยังเป็นพื้นที่แหล่งงาน แหล่งที่อยู่อาศัย และแหล่งท่องเที่ยว จึงทำให้มีการกระจุกตัวของประชากรสูง ทางบริษัทฯ จึงมีความมั่นใจในการเข้าไปลงทุนยังพื้นที่ทำเลดังกล่าว สำหรับโปรเจ็กต์ส่งท้ายปี2560 ที่ล่าสุดเจ.เอส.พี.ได้ทำการเปิดเพิ่มไปในไตรมาส 3/2560 และประสบความสำเร็จ ได้แก่ โครงการเจ วิลล่า วงแหวน-บางใหญ่ “มหานครปารีสแห่งบางใหญ่” มูลค่าโครงการรวมกว่า 1,208ล้านบาท ที่ตอนนี้ทำยอดขายได้แล้วกว่า 342 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นการชิมลางของเจ.เอส.พี.ในการเข้ามาเล่นตลาดบ้านเดี่ยว บ้านแฝดอย่างถูกทาง และโครงการอาคารพาณิชย์ โครงการ เจ อเวนิว รัตนาธิเบศร์ บางบัวทอง มูลค่าโครงการกว่า 300 ล้านบาท ปัจจุบันสามารถทำยอดขายได้แล้วกว่า 120 ล้านบาท รวมถึงการบุกตลาด ทาวน์โฮม ต่างจังหวัดอย่าง โครงการ เจ ซิตี้ ศรีราชา - อัสสัมชัญ ที่มีมูลค่าโครงการกว่า 710 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันก็สามารถทำยอดขายได้แล้วกว่า 507 ล้านบาท ไปอย่างสวยงาม อย่างไรก็ตามบริษัทฯ ตั้งเป้ารับรู้รายได้ในอนาคตปี 2561 ไว้ที่ 5,200 ล้านบาท โตเพิ่มขึ้นอีก 15% และปักธงเน้นพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ระดับพรีเมี่ยมให้ติดท็อป 10 แบรนด์อสังหาฯ ในกลุ่มราคา 3 - 5 ล้านบาทให้ได้ภายในปีหน้านี้ ส่วนโปรดักส์ทาวน์เฮาส์หวังขยับขึ้นมาติดท็อป 5  ในตลาดต่ำกว่า 5 ล้านบาทให้ได้เช่นกัน นายไพโรจน์ กล่าวสรุป