Tag : บ้านร้อน

2 ผลลัพธ์
5 ต้นไม้ใหญ่ เสริมสิริมงคล ช่วยให้เย็นสบายที่ควรปลูกไว้ในบ้าน

5 ต้นไม้ใหญ่ เสริมสิริมงคล ช่วยให้เย็นสบายที่ควรปลูกไว้ในบ้าน

ใกล้เข้าสู่ฤดูร้อนคราใด ปัญหากวนใจคงหนีไม่พ้นกับความร้อนระอุของสภาพอากาศที่ทุกคนต่างเคยสัมผัสกันดี เนื่องจากประเทศไทยตั้งอยู่บนพื้นที่เขตร้อน อุณหภูมิจึงค่อนข้างสูงในเวลากลางวัน และจะค่อยๆ ทวีคูณความร้อนขึ้นในช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคม ของทุกปี ซึ่งแน่นอนค่ะว่า "หน้าร้อน" กับ "บ้านร้อน" เป็นของคู่กัน ยิ่งอากาศภายนอกสูงเท่าไหร่ แอร์คอนดิชั่นก็ยิ่งทำงานหนักจากการเปิดใช้เครื่องปรับอากาศตลอดทั้งวัน โดยปัญหาที่ตามมาก็คือค่าไฟที่สูงกว่าปกติ นับว่าส่งผลกระทบกับการอยู่อาศัยไม่ใช่น้อยเลยนะคะ ซึ่งวิธีลดความร้อนไม่ให้เข้าสู่ตัวบ้านนอกจากการติดตั้งฉนวนกันความร้อนใต้หลังคา, การทำระแนงไม้กรองแสง หรือจะเป็นการเลือกใช้วัสดุอย่างอิฐมวลเบาแทนการก่อผนังอิฐ และคอนกรีตที่สะสมความร้อนแล้ว ยังมีอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยป้องกันความร้อนเข้าสู่บ้านได้ง่ายๆ คือ ปลูกต้นไม้ใหญ่ เพื่อช่วยสร้างความร่มรื่นและให้ร่มเงาแก่อาคารที่พักอาศัย นอกจากนี้ยังเป็นไม้ประดับเพื่อโชว์ความสวยงามของลำต้น รูปทรงของเรือนยอด ทรงพุ่มใบ รูปทรงหรือสีสันของดอก และกลิ่นหอมก็ช่วยทำให้บรรยากาศในบริเวณนั้นน่าพักผ่อนมากขึ้นไปอีก นับว่าเป็นวิธีป้องกันความร้อนด้วยธรรมชาติก็ว่าได้ค่ะ   แต่ปัญหากวนใจของการปลูกต้นไม้ใหญ่ หลายคนคงกลัวว่ารากลึกของไม้ใหญ่จะมีผลกระทบต่อโครงสร้าง ซึ่งเราอาจแก้ปัญหานี้ได้โดยเลือกต้นไม้ที่มีพุ่มแผ่กว้าง เลือกต้นไม้ที่รากไม่ลึกนักเพื่อป้องกันการทำลายโครงสร้างนั่นเองค่ะ ทั้งนี้ต้นไม้ใหญ่ก็มีให้เลือกหลากหลายพรรณนะคะ แต่จะมีต้นอะไรบ้างที่ช่วยบดบังแสงแดดทำให้บ้านเย็นสบาย ดูแลรักษาง่าย และเสริมสิริมงคล เรามีคำตอบมาให้แล้วค่ะ 1.มะม่วง ต้นไม้ใหญ่ให้ผลดี ต้นไม้ใหญ่ขนาดกลางที่แนะนำให้ปลูกติดบ้านไว้ ก็คือต้นมะม่วงค่ะ ซึ่งเป็นไม้มงคลที่มีมาตั้งแต่พุทธกาล เชื่อกันว่าหากปลูกมะม่วงเอาไว้ในบ้านจะทำให้คนในบ้านมีความร่ำรวยมากขึ้น และควรปลูกไว้ทางทิศใต้เพื่อความเป็นสิริมงคลหรือปลูกในหน้าฝนเนื่องจากจะเจริญเติบโตได้ดี นอกจากแผ่กิ่งก้านสาขาออกมาให้ความร่มเงากับตัวบ้านแล้ว ในช่วงฤดูร้อนยังออกผลให้เจ้าของบ้านสามารถเก็บรับประทานได้ด้วย สำหรับพันธุ์มะม่วงที่นิยมปลูกกันก็คือ เขียวเสวย, อกร่อง, โชคอนันต์, แรด, น้ำดอกไม้ และฟ้าลั่น หากใครอยากขยายพันธุ์ก็สามารถทำได้โดยการเพาะเมล็ด หรือการตอนกิ่งง่ายๆ นับว่าเป็นต้นไม้ที่ดูแลไม่ยากและมีประโยชน์อีกด้วยค่ะ   ข้อแนะนำ : ควรปลูกให้ห่างจากรั้วบ้านและตัวบ้าน เนื่องจากการเจริญเติบโตของต้นมะม่วงอาจทำให้เกิดรอยแตกร้าวได้ 2.ต้นหูกระจง หรือต้นไม้ใหญ่แผ่บารมี "หูกระจงควรปลูกให้ห่างจากตัวบ้าน" เชื่อว่าหลายคนคงคุ้นหูคุ้นตากับประโยคนี้ดี แต่เคยสงสัยไหมคะว่าทำไมต้องปลูกให้ห่างจากตัวบ้านด้วย เหตุผลก็เพราะต้นหูกระจงค่อนข้างเติบโตเร็ว เมื่อปลูกใกล้ตัวบ้านเวลาโตขึ้นเรื่อยๆ กิ่งก้าน และพุ่มจะขยายใหญ่จนอาจทำให้เกิดความเสียหายกับหลังคาบ้านได้ ดังนั้นจึงควรปลูกโดยเว้นระยะห่างสัก 8 เมตร พุ่มจึงจะแผ่กิ่งก้านออกมาสวยงาม ซึ่งส่วนใหญ่นิยมปลูกเป็นไม้ประดับเพื่อให้ความร่มเงาแก่อาคารที่พักอาศัย ซึ่งลำต้นมีความสูงประมาณ 15-20 เมตร ลักษณะเด่นคือมีพุ่มใบละเอียดแผ่เป็นชั้นสวยงาม ใบมีลักษณะเหมือนหูกวาง แต่ขนาดใบเล็กกว่า มักออกดอกช่วงกุมภาพันธ์ถึงเมษายน และมีความเชื่อว่าหากปลูกไว้ในบริเวณบ้านจะทำให้มีบารมีกว้างไกล สามารถใช้เป็นไม้ประธานในสวนได้   ข้อแนะนำ : ไม่ควรปลูกใกล้สระหรือบ่อน้ำ เพราะใบร่วงง่าย 3.อโศกอินเดีย ต้นไม้ใหญ่กันฝุ่นละออง ต้นอโศกอินเดียเป็นไม้ยืนต้นทรงสูงแบบผลัดใบ สูงเต็มที่ได้ถึง 25 เมตร  มีลักษณะเป็นพุ่มพีระมิดแคบๆ กิ่งโน้มลู่ลงทั้งต้น ใบเดี่ยวและปลายแหลม มีสีเขียวเป็นมันเงางาม ขอบใบเป็นคลื่น มักออกดอกในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน ทนแดดทนฝนได้ดี สามารถใช้เป็นไม้ประดับอำพรางสายตาจากเพื่อนบ้านได้ เนื่องจากส่วนใหญ่นิยมปลูกไว้ริมรั้วเพื่อสร้างความเป็นส่วนตัว โดยควรปลูกห่างจากริมรั้วอย่างน้อยประมาณ 30 เซนติเมตร นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติช่วยบดบังแสงแดด และป้องกันฝุ่นละอองได้ดี ทั้งยังมีความเชื่อว่าเป็นต้นไม้มงคลที่ใครปลูกไว้ในบริเวณบ้านแล้วจะหมดทุกข์หมดโศกนั่นเองค่ะ   ข้อแนะนำ : ในช่วงหน้าแล้งใบจะร่วงเยอะ ทำให้ต้องหมั่นเก็บกวาดและรดน้ำบ่อยๆ หากเจ้าของบ้านต้องการควบคุมความสูงของลำต้นก็ควรหมั่นตัดยอดเรื่อยๆ นะคะ 4.ต้นสารภี ต้นไม้ใหญ่ดูแลง่าย ต้นสารภี จัดว่าเป็นไม้ดอกยืนต้นขนาดกลาง มีลำต้นสูงประมาณ 10-15 เมตร เป็นไม้ไม่ผลัดใบ ลำต้นตรง มีเรือนยอดเป็นทรงพุ่มทึบ ใช้ปลูกเพื่อให้ความร่มเงาและบังลมได้ อีกทั้งยังมีดอกและพุ่มใบที่สวยงาม จึงใช้ปลูกเป็นไม้ประดับได้ด้วย ทั้งนี้มีความเชื่อว่าหากบ้านไหนปลูกต้นสารภีจะทำให้มีอายุยืนยาว ซึ่งสามารถปลูกในดินได้ทุกสภาพ ปลูกได้ดีทั้งในที่ร่มรำไรและกลางแจ้ง นอกจากนี้ยังออกดอกและผลให้สามารถนำใช้ประโยชน์ได้มากมายไม่ว่าจะเป็น ผลไม้สำหรับรับประทาน, สมุนไพรรักษาโรค และผลิตภัณฑ์แปรรูปต่างๆ ไม่เพียงเท่านี้เนื้อไม้สารภียังมีความแข็งแรง ทนทาน สามารถนำมาใช้สร้างเป็นที่อยู่อาศัย หรือทำเฟอร์นิเจอร์ได้อีกด้วยค่ะ ข้อแนะนำ : เพื่อความเป็นสิริมงคลคนไทยโบราณเชื่อว่า การปลูกไม้เอาคุณนั้นควรปลูกในวันเสาร์ และควรปลูกไว้ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อช่วยป้องกันสิ่งไม่ดี และผู้ปลูกควรเป็นสุภาพสตรีเท่านั้น เนื่องจากสารภีเป็นชื่อที่เหมาะสำหรับสตรี 5.ไทรย้อย ต้นไม้ใหญ่ดูดสารพิษ ต้นไทรย้อยก็เป็นอีกหนึ่งไม้ยืนต้นขนาดกลางไปถึงใหญ่ ที่มีความเชื่อมาตั้งแต่โบราณว่าเป็นที่อาศัยของเทพารักษ์ หากปลูกไว้ในบริเวณบ้านจะทำให้ร่มเย็นเป็นสุข ป้องกันอันตรายทั้งปวง และยังช่วยดูดสารพิษได้ดีด้วย ซึ่งลักษณะของลำต้นจะมีความสูงตรง เมื่อโตเต็มที่จะมีความสูงประมาณ 10-20 เมตร แตกก้านเป็นพุ่ม มีรากอากาศแตกย้อยห้อยลงมาตามกิ่งก้านและลำต้นเป็นจำนวนมาก ทำให้ดูสวยงามและสามารถบังแดดได้ดี จัดเป็นไม้ประดับที่นิยมปลูกไว้ทางทิศตะวันตก เพื่อความเป็นสิริมงคลกับบ้าน นอกจากนี้ยังทนแดด ทนฝนได้ดีอีกด้วยค่ะ   ข้อแนะนำ : หากอยากควบคุมการเจริญเติบโตของรากไม่ให้กระทบโครงสร้าง สามารถสร้างกระบะปลูกต้นไม้ได้นะคะ สำหรับไม้ที่ใหญ่เกินกว่าจะปลูกลงในกระถาง เพื่อให้ต้นไม้เติบโตได้เฉพาะตำแหน่งและพื้นที่ที่กำหนดไว้ สามารถทำได้โดยการก่อกระบะบนผิวดินและฝังไว้ใต้ดิน เพราะการเจริญเติบโตของทรงต้นจะสัมพันธ์กับการแตกทรงพุ่ม ทำให้เราสามารถบังคับทรงพุ่มให้มีขนาดที่ต้องการได้ค่ะ แนะนำต้นไม้กันไปแล้ว หากแฟนๆ ชาว Review Your Living คนไหนอยากตกแต่งสวนในบริเวณบ้านของตัวเองให้ร่มรื่นและเขียวขจี แต่ไม่รู้จะไปหาซื้อต้นไม้ที่ไหนดี วันนี้เรามีแหล่งขายตลาดต้นไม้และอุปกรณ์จัดสวนในราคาย่อมเยามาฝากด้วยค่ะ 1. ตลาดนัดสวนจตุจักร  เรียกได้ว่าเป็นตลาดต้นไม้อันดับต้นๆ ของประเทศกันเลยค่ะ สำหรับตลาดนัดจตุจักร ซึ่งการเดินทางมาตลาดต้นไม้ในครั้งนี้ก็ง่ายและสะดวกมากๆ เพราะสามารถนั่งรถไฟฟ้า BTS มาลงสถานีหมอชิต หรือนั่งรถไฟฟ้าใต้ดิน MRT มาลงที่สถานีกำแพงเพชร เดินเท้าเพียงไม่กี่ก้าวก็ถึงแล้วค่ะ ภายในตลาดมีต้นไม้ให้เลือกซื้อหลากหลายสายพรรณเลยนะคะ ตั้งแต่ต้นไม้ยอดฮิต, ต้นไม้ใหญ่, ไม้มงคล, แคคตัส หรือแม้กระทั่งต้นไม้พันธุ์หายาก ก็มีหมดเลย โดยทุกคนสามารถแวะเวียนไปได้ในช่วงเวลาขายส่ง วันพุธ-วันพฤหัสบดี ตั้งแต่เวลา 08.00-17.00 น. ของทุกสัปดาห์ หากใครทำงานไม่มีเวลาช่วงกลางวัน แนะนำให้ไปเดินซื้อในวันอังคารนะคะ เพราะจะมีบรรดาพ่อค้าแม่ค้ามาเริ่มขายตั้งแต่เวลา 15.00 ไปจนถึง 23.00 น. เลยค่ะ 2. ตลาดต้นไม้ บางใหญ่-บางบัวทอง สำหรับใครที่มีรถส่วนตัว แนะนำให้ขับรถลัดเลาะไปตามเส้นทางถนนกาญจนาภิเษก บางใหญ่-บางบัวทอง เรื่อยๆ จะพบกับร้านขายต้นไม้เรียงรายอยู่ริมฝั่งถนนตลอดเส้นทาง ซึ่งก็มีต้นไม้สารพัดชนิดให้เลือกซื้อกลับไปปลูกในสวนที่บ้านไม่ต่างกับตลาดนัดจตุจักรเลยค่ะ นอกจากนี้ยังมีอุปกรณ์ทำสวนขายอีกด้วย โดยตลาดย่านนี้จะเปิดขายทุกวันนะคะ แต่แอบกระซิบว่าวันเสาร์-อาทิตย์ จะมีร้านต้นไม้มาเปิดขายกันเยอะเป็นพิเศษ 3.ตลาดต้นไม้ คลอง 15 มีทั้งต้นไม้ใหญ่-ไม้ประดับ อีกหนึ่งตลาดต้นไม้แถบชานเมืองที่เรียกว่าขายต้นไม้แบบครบวงจรเลยทีเดียวค่ะ เพราะนอกจากจะเป็นตลาดต้นไม้แล้ว ยังขึ้นชื่อว่าเป็นอันซีนไทยแลนด์อีกด้วย เพราะมีทั้งการจำหน่ายพันธุ์ไม้ดอก-ไม้ประดับ, บอนไซ, ไม้ถัก, ไม้ล้อม, ไม้หายากนานาชนิด และอุปกรณ์ทำสวน ซึ่งตลาดแห่งนี้ตั้งอยู่บริเวณ รังสิต-องครักษ์ คลอง 15 หากขับรถลัดเลาะมาตามเลียบคลองรังสิต จะเจอป้ายบอกทางอยู่ตลอดเลยค่ะ ไม่ต้องกลัวหลงนะคะ แถมตลาดต้นไม้ที่นี่ก็เปิดให้บริการทุกวันด้วยค่ะ เมื่อรู้แหล่งซื้อขายต้นไม้ราคาย่อมเยาแบบครบวงจรหลักๆ ที่เราคัดมาแนะนำกันไปแล้ว ก็อย่าลืมจด list ไว้นะคะว่าสนใจต้นไม้ชนิดไหนบ้าง เวลาไปเลือกซื้อจะได้ควบคุมเงินได้ ซึ่ง 5 ต้นไม้มงคล (ขนาดใหญ่) ที่เรานำมาฝากในบทความด้านบนนั้น จัดว่าเป็นไม้ยืนต้นที่มีคุณค่าและมีประโยชน์ เนื่องจากเป็นต้นไม้หายากที่กำลังจะถูกลืม เพราะไม่ได้เป็นที่รู้จักมากนัก จึงควรค่าแก่การอนุรักษ์ ทั้งยังเหมาะแก่การนำมาปลูกเป็นไม้ประดับเพื่อชื่นชมความงามของดอกและผลที่มีลักษณะสวยงาม นอกจากนี้ยังเป็นต้นไม้ที่มีทรงพุ่มสวยงาม เหมาะแก่การใช้ปลูกเพื่อตกแต่งสวน ปลูกให้ความร่มรื่นและร่มเงาแก่ตัวบ้านให้เย็นสบาย อีกทั้งยังเสริมสิริมงคลตามความเชื่อของคนโบราณได้เป็นอย่างดี รูปภาพจาก : Pinterest รายละเอียดของตลาดไม้เพิ่มเติม ตลาดไท ตลาดต้นไม้ มิกซ์จตุจักร ตลาดต้นไม้ใกล้บ้านเนอวานา   บทความเกี่ยวกับต้นไม้อื่นๆ  9 ต้นไม้มงคล ช่วยเสริมโชคลาภ มอบเป็นของขวัญปีใหม่ 10 ต้นไม้มงคล ควรปลูกไว้ในบ้าน ต้นไม้ไล่ยุง ปลูกไว้ไร้แมลงร้าย
5 แนวทางบ้านเย็น เพิ่มสภาวะอยู่สบาย

5 แนวทางบ้านเย็น เพิ่มสภาวะอยู่สบาย

ออกแบบบ้านให้เย็นสบาย สุขได้ทุกฤดูกาล การออกแบบบ้านที่ดี นอกจากภาพลักษณ์อันสวยงามที่ทางสถาปนิกได้ออกแบบให้บ้านในฝันของเรามีเอกลักษณ์สวยเท่ไม่ซ้ำใครแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดในการออกแบบบ้าน คือ ออกแบบอย่างไรให้ฟังก์ชั่นถูกใจเจ้าของบ้าน เพื่อการอยู่อาศัยที่สุขกายและสุขใจไปพร้อม ๆ กัน ด้วยสภาพอากาศที่ร้อนอบอ้าวมากขึ้น ทำให้เทรนด์การออกแบบบ้านสมัยใหม่ ให้ความสำคัญกับ “สภาวะอยู่สบาย” บ้านที่ดีเมื่อเดินเข้าบ้านไปแล้ว อุณหภูมิภายในบ้านควรเย็นกว่าอุณหภูมิภายนอกประมาณ 5 องศาขึ้นไป ซึ่งนอกจากจะช่วยให้ผู้อยู่อาศัยสัมผัสได้ถึงความสบายเนื้อ สบายตัวแล้ว ยังช่วยลดการใช้พลังงานไฟฟ้าได้ดีอีกด้วยครับ บ้านไอเดียขอนำเสนอ 5 แนวทางพื้นฐานในการออกแบบ ที่จะช่วยให้บ้านของเราเกิดสภาวะอยู่สบาย โดยเน้นการออกแบบเพื่อให้สอดรับกับหลักธรรมชาติ นำข้อดีต่าง ๆ ที่ธรรมชาติสรรสร้างมาให้เกิดประโยชน์สูงสุดครับ 1. วางผังบ้าน ให้เหมาะกับแดด การวางผังห้องต่างๆ ภายในบ้านให้สอดรับกับธรรมชาติ นับเป็นจุดเริ่มต้นที่ต้องวางแผนในงานออกแบบ เพราะการใช้งานแต่ละห้องมีความแตกต่างกัน บางห้องต้องการแสงแดดเพื่อลดความอับชื้น ในขณะเดียวกันบางห้องต้องการความร่มรื่นตลอดทั้งวัน โดยปกติแล้วในช่วงฤดูร้อนและฤดูฝนซึ่งมีระยะเวลายาวนานถึง 9 เดือน แสงอาทิตย์เริ่มต้นขึ้นทางทิศตะวันออก จากนั้นอ้อมไปทางทิศใต้และตกในทิศตะวันตก ด้านที่ได้รับแสงแดดร้อนจึงเป็นทิศใต้และทิศตะวันตก ส่วนทิศเหนือเฉลี่ยทั้งปีจะเป็นทิศที่ได้รับแสงอาทิตย์น้อยที่สุดครับ เพราะฉะนั้น หากต้องการออกแบบบ้านให้อยู่สบาย ห้องที่ใช้สำหรับพักผ่อน เช่น ห้องนั่งเล่น, ห้องนอน ควรจัดวางในทางทิศตะวันออกหรือทิศเหนือ ส่วนห้องที่มีความอับชื้นสูง เช่น ห้องน้ำ, ห้องครัว, ห้องเก็บของ ควรจัดวางไว้ในทางทิศตะวันตกหรือทิศใต้ เพื่อให้ห้องดังกล่าวได้รับแสงแดดช่วยป้องกันความอับชื้นและในขณะเดียวกัน ช่วยบดบังแสงแดดให้กับห้องอื่นๆ ครับ 2. มีช่องระบายอากาศ ช่องลมเข้า ช่องลมออก การบดบังแสงแดดด้วยการจัดผังห้องให้เหมาะสมกับทิศเพียงอย่างเดียว ยังไม่เพียงพอต่อหลักการบ้านเย็น เพราะส่วนที่ได้รับแสงแดดมากที่สุดไม่ใช่ผนังบ้าน แต่เป็นหลังคาบ้าน การออกแบบบ้านให้มีช่องระบายอากาศจึงเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยให้อากาศภายในบ้านหมุนเวียนอยู่เสมอ บ้านที่ดีจึงควรมีช่องระบายอากาศ ทั้งช่องลมเข้าและช่องลมออก ซึ่งหากพิจารณาจากหลักธรรมชาติแล้ว ลมธรรมชาติจะมาทางทิศใต้และทิศตะวันตกเฉียงใต้ประมาณ 9 เดือน ส่วนทิศเหนือและทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ประมาณ 3 เดือน เพราะฉะนั้นในทิศดังกล่าว ควรมีช่องหน้าต่างหรือช่องลมระบายอากาศเพื่อให้ลมสามารถพัดผ่านเข้ามาภายในบ้านได้ สำหรับทิศใต้และตะวันตกเฉียงใต้ แม้จะได้รับลมดีเกือบทั้งปี แต่ทิศนี้นับเป็นทิศที่มีแสงแดดร้อนจัดเช่นเดียวกัน ทิศดังกล่าวจึงควรออกแบบลักษณะปิดแต่โปร่ง บดบังความร้อนจากแสงแดดได้แต่ในขณะเดียวกันต้องได้รับลมที่ดีด้วย ผู้ออกแบบจึงนิยมใช้บล็อคช่องลม, ระแนง หรือวัสดุใดๆ ที่มีความโปร่ง มาช่วยออกแบบในทิศนี้ ส่วนทิศเหนือได้รับแสงน้อยส่งผลให้ห้องมืด การออกแบบจึงเน้นใช้วัสดุกระจก เพื่อให้แสงธรรมชาติมีอย่างเพียงพอ 3. เลือกใช้หลังคาทรงสูง  จากหัวข้อที่ผ่านมาได้เกริ่นไว้ว่า หลังคาเป็นส่วนที่ได้รับความร้อนจากแสงอาทิตย์มากที่สุด หลังคาบ้านที่ดีจึงควรมีรูปทรงที่สอดรับกับธรรมชาติ โดยหลักการแล้วมวลอากาศร้อนจะลอยตัวขึ้นสู่ที่สูงเสมอ เพราะฉะนั้นหลังคาบ้านจึงควรมีรูปทรงสูงโปร่ง มีโถงหลังคาเพื่อเปิดพื้นที่ให้มวลอากาศลอยตัวขึ้นไปได้ พร้อมกับออกแบบให้โถงหลังคามีช่องระบายอากาศ มวลอากาศร้อนที่สะสมภายในบ้านจะค่อยๆ ถ่ายเทออกและหมุนเวียนอากาศใหม่เข้ามาอยู่เสมอครับ นอกจากโถงหลังคาแล้ว องศาความชันของหลังคาก็มีส่วนในการรับความร้อน สำหรับบ้านหลังคาแบน หลังคาจะสัมผัสกับแสงอาทิตย์โดยตรงทั้งผืน ส่วนหลังคาที่มีองศาความชันสูง เช่น หลังคาจั่ว, หลังคามะนิลา และหลังคาปั้นหยา จะสัมผัสกับแสงอาทิตย์ได้น้อยกว่า อีกทั้งเมื่อแสงอาทิตย์เปลี่ยนไปอีกด้าน ส่งผลให้ด้านตรงกันข้ามเกิดเงาช่วยบดบังให้กันและกัน ส่วนหลังคาแบนจะไม่มีส่วนใดบดบังให้ครับ นอกจากนี้..หลังคาที่มีองศาความชันสูง ยังส่งผลดีต่อการระบายน้ำเมื่อฝนตก ยิ่งชันมากน้ำจะยิ่งระบายได้เร็วมากขึ้น ลดโอกาสปัญหารั่วซึมได้ดีอีกด้วยครับ 4. วัสดุช่วยกันความร้อนเข้าสู่ตัวบ้าน ทั้ง 3 ข้อที่ผ่านมา เป็นแนวทางการออกแบบเพื่อให้สอดรับกับหลักธรรมชาติ ทิศทางลม แสงแดด และหลักการถ่ายเทมวลอากาศร้อนออกสู่ตัวบ้าน ส่วนหัวข้อนี้เป็นส่วนประกอบเสริมที่ช่วยปกป้องบ้านจากความร้อนได้ดียิ่งขึ้น โดยการเลือกวัสดุก่อสร้างที่มีคุณสมบัติเป็นฉนวนกันร้อน, ไม่นำและไม่อมความร้อนครับ พื้นสวนรอบบ้าน : ควรเลี่ยงการเทพื้นซีเมนต์รอบๆ บริเวณบ้าน เพราะพื้นซีเมนต์มีคุณสมบัติอมความร้อน ส่งผลให้ช่วงเย็นและค่ำคืน ความร้อนที่สะสมมาตลอดทั้งวันคายตัวออก ผู้อยู่อาศัยจึงรู้สึกร้อนอบอ้าว แนะนำให้เลือกวัสดุที่มีช่องระบายอากาศ เช่น พื้นตัวหนอน, พื้นอิฐ, พื้นช่องลม, พื้นหิน, ระเบียงไม้, พื้นสนามหญ้า หรือวัสดุใดๆ ที่สามารถ่ายเทอากาศได้สะดวกครับ ผนังบ้าน : วัสดุผนังเย็นที่มีในประเทศไทย ผนังบ้านโฟมจะให้ความเย็นสบายสูงสุดแต่ยังได้รับความนิยมน้อยเนื่องด้วยราคาและมีช่างที่สามารถสร้างบ้านโฟมได้ไม่มากนัก รองลงมาและกำลังเป็นที่นิยมสูง คือการเลือกก่อผนังด้วยอิฐมวลเบา ซึ่งมีคุณสมบัติกันร้อนได้ดีกว่าอิฐมอญแดง แต่หากผู้อ่านต้องการใช้อิฐมอญแดง แนะนำให้เลือกก่อผนัง 2 ชั้นในด้านทิศตะวันตกและทิศใต้ การก่อผนัง 2 ชั้นจะช่วยปกป้องผนังด้านใน ไม่ให้สัมผัสกับความร้อนโดยตรง นอกจากนี้ยังสามารถใช้วัสดุประเภทระแนง, บล็อคช่องลม และฟาซาด เพื่อช่วยกรองแสงแดดให้มีความร้อนลดน้อยลง ในขณะเดียวกันบ้านยังรับลมธรรมชาติได้อีกด้วย สำหรับผนังกระจกควรเลือกใช้เฉพาะทิศเหนือและทิศตะวันออกเท่านั้น ส่วนทิศใต้และทิศตะวันตกควรเลี่ยงที่จะใช้กระจก เพราะกระจกนำความร้อนได้ดีมากครับ หลังคาบ้าน : นอกจากการเลือกหลังคาทรงสูงโปร่งแล้ว การเพิ่มฉนวนกันความร้อนใต้โถงหลังคา ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้บ้านเย็นขึ้นได้มาก สามารถติดตั้งได้ 2 ลักษณะ ติดตั้งบนฝ้าเพดานและติดตั้งใต้แผ่นกระเบื้องหลังคา หรือจะติดตั้งทั้ง 2 ลักษณะก็สามารถทำได้เช่นกันครับ 5. ปลูกไม้ยืนต้นให้ถูกทิศทาง อีกสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้เลย คือ ต้นไม้ โดยเฉพาะบ้านที่ไม่เอื้อต่อการวางผังในทิศทางที่เหมาะสมกับธรรมชาติ หรือต้องการให้บ้านมีความโปร่งสบาย เช่น ต้องการรับลมธรรมชาติในทางทิศใต้ หากออกแบบผนังบ้านในลักษณะปิด ลมจะไม่สามารถพัดผ่านเข้ามาได้ การออกแบบเปิดโปร่งจึงช่วยให้ลมพัดเข้ามาได้อย่างสะดวก แต่ในขณะเดียวกันทิศใต้มีแสงแดดร้อนกว่าทิศอื่น ๆ การปลูกไม้ยืนต้นจึงเป็นทางเลือกที่ลงตัวและช่วยให้บ้านเย็นขึ้นได้มากครับ นอกจากจะช่วยบดบังแสงแดดได้ดีแล้ว ลมที่พัดผ่านเข้ามาจะกระทบกับพุ่มไม้ก่อนเข้าสู่ตัวบ้าน ส่งผลให้ลมร้อนถูกเปลี่ยนสถานะกลายเป็นลมเย็น พร้อมกันนี้ต้นไม้ยังช่วยกรองฝุ่นละออง บ้านจึงเย็นสบายและมีอากาศที่สดชื่นเกือบตลอดทั้งปี แนวทางการออกแบบทั้ง 5 ข้อนี้ เป็นแนวทางพื้นฐานที่เหมาะสำหรับการสร้างบ้านในประเทศไทย แต่หากเป็นบ้านเรือนในประเทศอื่นๆ ที่มีอากาศหนาว การออกแบบจะตรงกันข้ามกัน ผู้อ่านท่านใดที่ชอบชมผลงานการออกแบบบ้านจากสถาปนิกต่างประเทศ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องนำไอเดียเหล่านั้นมาประยุกต์ใช้งาน เพื่อให้เกิดความเหมาะสมลงตัวกับสภาพภูมิอากาศในไทยครับ สำหรับผู้อ่านท่านใดที่ต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการออกแบบบ้านเย็น สามารถคอมเม้นต์สอบถามมาทางเพจบ้านไอเดียได้ครับ หรือสถาปนิก นักออกแบบท่านใดต้องการแบ่งปันความรู้ในงานออกแบบเพื่อบ้านเย็น ร่วมเสนอความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ใต้เนื้อหาชุดนี้ได้ ขอบคุณแหล่งที่มา : http://www.banidea.com/how-to-cool-house-design/