Tag : พลัส พร็อพเพอร์ตี้

21 ผลลัพธ์
แสนสิริ ผนึกพลัส พร็อพเพอร์ตี้ เปิดตัว “Smart Command Centre” ศูนย์เฝ้าระวังอัจฉริยะจากส่วนกลาง แจ้งเตือนเหตุฉุกเฉิน 24/7 แห่งแรกของวงการอสังหาฯ ไทยเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดในการบริการ

แสนสิริ ผนึกพลัส พร็อพเพอร์ตี้ เปิดตัว “Smart Command Centre” ศูนย์เฝ้าระวังอัจฉริยะจากส่วนกลาง แจ้งเตือนเหตุฉุกเฉิน 24/7 แห่งแรกของวงการอสังหาฯ ไทยเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดในการบริการ

แสนสิริ ผนึกพลัส พร็อพเพอร์ตี้ เปิดตัว “Smart Command Centre” ศูนย์เฝ้าระวังอัจฉริยะจากส่วนกลาง แจ้งเตือนเหตุฉุกเฉิน 24/7 แห่งแรกของวงการอสังหาฯ ไทย เพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดในการบริการ ยกระดับความปลอดภัยและระบบวิศวกรรมอาคารจากศูนย์ควบคุมส่วนกลางตลอด 24 ชม. ต่อยอดเทคโนโลยี IoT ที่เชื่อมต่อข้อมูลเรียลไทม์จาก 4 โครงการนำร่อง   แสนสิริ จับมือพลัส พร็อพเพอร์ตี้ บริษัทในเครือ ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดตัว “Smart Command Centre” ศูนย์ควบคุมสังเกตการณ์จากส่วนกลางเต็มรูปแบบแห่งแรกของวงการอสังหาริมทรัพย์ไทย ณ อาคารสิริภิญโญ ภายใต้การลงทุนรวมกว่า  20 ล้านบาท เพื่อบริหารจัดการความปลอดภัยในพื้นที่ส่วนกลาง (Security Monitoring) และระบบวิศวกรรมอาคารส่วนกลาง (IoT Facility Management) ของโครงการที่พักอาศัย มายังศูนย์ควบคุมส่วนกลาง พร้อมผู้เชี่ยวชาญคอยเฝ้าระวัง สั่งการ และประสานงานตลอด 24 ชั่วโมงเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดในการบริการ ทั้งด้านการดูแลความปลอดภัย และระบบภายในอาคารให้ทุกระบบทำงานรวดเร็ว แม่นยำ จัดการปัญหาได้ตรงจุด พร้อมเสริมขีดความสามารถในการบริหารโครงการแบบป้องกันก่อนเกิดเหตุ (Preventive Maintenance) นำร่อง 4 โครงการส่งท้ายปี 61 เป็นของขวัญปีใหม่ให้ลูกบ้านแสนสิริ เผยแผนเตรียมเชื่อมต่อ Smart Command Centre เข้ากับ 11 โครงการแนวราบและกลุ่มโครงการคอนโดมิเนียม ภายใต้การบริหารโดยพลัส พร็อพเพอร์ตี้ที่จะแล้วเสร็จใหม่ ในปี 2562 ดร. ทวิชา ตระกูลยิ่งยง ประธานผู้บริหารสายงานเทคโนโลยี บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทเข้าใจลึกซึ้งถึงความต้องการของลูกค้าและไม่หยุดนิ่งในการพัฒนาการบริการในโครงการที่อยู่อาศัย ล่าสุดจึงประกาศความพร้อมในการเดินหน้าต่อเนื่องในการนำนวัตกรรม และเทคโนโลยีมาพัฒนายกระดับการบริการหลังการขายให้แก่ลูกบ้าน เพื่อสร้างประสบการณ์การอยู่อาศัยที่สมบูรณ์แบบ ภายใต้แนวคิดที่เป็นหัวใจหลักของแสนสิริและตอบโจทย์เทรนด์การใช้ชีวิตในยุคที่เทคโนโลยีและแพลตฟอร์มดิจิทัล มีบทบาท สำคัญในชีวิตประจำวัน หลังจากที่ก่อนหน้านี้ บริษัทประสบความสำเร็จในกระแสตอบรับการเปิดตัว Sansiri Security System หรือระบบรักษาความปลอดภัยภายในโครงการ (พื้นที่ส่วนกลาง) ที่แข็งแกร่งด้วยเทคโนโลยีอุปกรณ์รักษาความปลอดภัยที่ทันสมัยผสานกับการทำงานของทีมงานที่ได้รับการฝึกอบรมจากครูฝึกมากด้วยประสบการณ์ เพื่อสร้างความอุ่นใจให้กับการอยู่อาศัยของลูกบ้านในด้านความปลอดภัยอย่างรอบด้าน รวมถึงการเป็นผู้นำในการพัฒนา สมาร์ท คอนโด โดยการเดินหน้าใช้เทคโนโลยี Internet of Things (IoT) ในทุกโครงการคอนโดมิเนียมที่จะแล้วเสร็จตั้งแต่ปี 2562เป็นต้นไป “ในวันนี้ แสนสิริได้ต่อยอดการให้บริการด้านการอยู่อาศัยให้ล้ำหน้าไปอีกขั้นด้วยการร่วมมือกับพลัส พร็อพเพอร์ตี้ จัดตั้ง “Smart Command Centre” ศูนย์ควบคุมสังเกตุการณ์จากส่วนกลาง เต็มรูปแบบแห่งแรกของวงการอสังหาริมทรัพย์ไทย ด้วยมูลค่าการลงทุนรวมกว่า 20 ล้านบาท เพื่อสร้างความมั่นใจในการให้บริการที่ดีที่สุดให้กับลูกบ้านแสนสิริในโครงการที่บริหารจัดการโดยพลัส พร็อพเพอร์ตี้ทั้งด้านบริหารจัดการความปลอดภัย (Security Monitoring) ที่เพิ่มความอุ่นใจแก่ผู้อยู่อาศัยเป็น 2 เท่า และด้านการบริหารจัดการระบบวิศวกรรมอาคาร (IoT Facility Management) ด้วยเทคโนโลยี IoT อันล้ำสมัยที่สามารถช่วยในเรื่องของการบริหารจัดการ Facility และลดค่าใช้จ่ายส่วนกลางของโครงการได้อย่างมีประสิทธิภาพ” ดร.ทวิชา กล่าว สำหรับศูนย์ควบคุมสังเกตุการณ์จากส่วนกลางเต็มรูปแบบแห่งแรกของวงการอสังหาฯ ไทย (Smart Command Centre) ตั้งอยู่ที่อาคารสิริภิญโญ ได้รับการพัฒนาและวางระบบจากผู้นำในธุรกิจและเทคโนโลยีด้านการรักษาความปลอดภัยมาตรฐานสากลที่มีประสบการณ์มากว่า 40 ปี ได้แก่ บริษัท กัทส์ อินเวสติเกชั่น จำกัด ร่วมพัฒนาและวางระบบในการปฏิบัติการทั้งหมด โดย Smart Command Centre มีหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการ เฝ้าระวัง สังเกตุการณ์เหตุผิดปกติต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ส่วนกลาง รวมถึงแจ้งเตือนเมื่ออุปกรณ์ใกล้ถึงเวลาบำรุงรักษาแบบเรียลไทม์ พร้อมสั่งการเพื่อดำเนินการตรวจสอบความผิดปกติต่าง ๆ จากศูนย์ควบคุมฯ ได้ทันที นอกจากนี้ยังช่วยประสานงาน กับหน่วยงานต่างๆ เช่น ตำรวจ โรงพยาบาล หรือช่างผู้เชี่ยวชาญได้ทันทีเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินได้อย่างทันท่วงที เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการต่อเหตุการณ์ได้อย่างแม่นยำ รวดเร็ว และแก้ไขปัญหาได้ตรงจุด โดยภายในศูนย์ควบคุมฯ จะมีเจ้าหน้าที่ผู้ชำนาญการ 2 ทีมประจำ 24 ชั่วโมง ตลอดทั้ง 7 วัน ผ่านหน้าจอมอนิเตอร์คมชัดระดับ HD จำนวน 12  จอที่จะรับสัญญาณตรงมาจากโครงการแบบเรียลไทม์ นายชาญ ศิริรัตน์ รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายบริหารทรัพยากรอาคารและวิศวกรรม บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด กล่าวเพิ่มเติมว่า ความร่วมมือกับแสนสิริในการจัดตั้ง Smart Command Centre จะช่วยสร้างความอุ่นใจและสบายใจให้กับลูกบ้านแสนสิริในโครงการที่พลัส พร็อพเพอร์ตี้บริหารจัดการ ทั้งในด้านการเฝ้าระวัง (Preventive Monitoring) และการดูแลรักษาเชิงป้องกัน (Preventive Maintenance ) สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับโครงการที่อยู่อาศัยให้โดดเด่นด้านมูลค่าเหนือคู่แข่งในทำเลเดียวกัน จากระดับความปลอดภัยในการอยู่อาศัยและความสามารถในการดูแลรักษาโครงการให้มีประสิทธิภาพสวยงามอยู่เสมอ ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการตัดสินใจเช่าและการซื้อขายเปลี่ยนมือ รวมถึงช่วยบริหารค่าส่วนกลางได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วย “ในปลายปี 2561 นี้ Smart Command Centre จะเริ่มเชื่อมต่อข้อมูลจาก 4 โครงการ ประกอบด้วย โครงการคอนโดมิเนียม เดอะ เทอร์ทีไนน์ สุขุมวิท 39, โครงการ เดอะ ไลน์ อโศก-รัชดา, โครงการ เดอะ ไลน์ ราชเทวี และโครงการบ้านเดี่ยวคณาสิริ พระราม 2 – วงแหวน นอกจากนี้ในปี 2562 เรามีแผนที่จะเชื่อมต่อ Smart Command Centre เข้ากับโครงการแนวราบ 11 โครงการ และโครงการแนวสูงที่จะแล้วเสร็จทั้งหมด ในอนาคต แสนสิริ และพลัสฯ ยังมีแผนการต่อยอดขอบข่ายการทำงานของ Smart Command Centre ทั้งในด้านของการบริหารความปลอดภัย ที่จะเพิ่มการเชื่อมต่อข้อมูลจากระบบ Visitor Management System ที่ใช้ในการจัดเก็บข้อมูลของผู้มาติดต่อทั้งหมด และระบบ Face Recognition ที่สามารถจัดเก็บภาพใบหน้า ลายนิ้วมือ และข้อมูลของผู้รับเหมา และในส่วนของ IoT Facility Management จะนำมาใช้ในการบริหารจัดการซื้อขายพลังงานไฟฟ้าแสงอาทิตย์ (Smart Grid) และการบำรุงรักษาเชิงป้องกัน (Preventive Maintenance) เพิ่มเติม   “นอกเหนือจากความสามารถด้านการบริหารจัดการด้านความปลอดภัย และการดูแลระบบวิศวกรรมอาคารส่วนกลาง แสนสิริและพลัสฯ ยังมีแผนขยายขีดความสามารถของ Smart Command Centre ไปยังการใช้งานระบบ Touch Points & Intelligent ซึ่งเป็นเครื่องมือในการรับฟังและตอบรับ ความต้องการของลูกค้าทั่วประเทศผ่านทั้งช่องทางโซเชียลมีเดียและ คอลล์เซ็นเตอร์ รวมถึง Sansiri Infrastructure ที่จะสร้างความมั่นใจในความพร้อมเรื่อง CRM, Salesforce, Data Warehouse ต่าง ๆ เพื่อยกระดับประสิทธิภาพการดูแลลูกบ้านตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งทั้งหมดนี้ คือบริการจากแสนสิริและพลัสฯ ที่พัฒนาด้วยความใส่ใจ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดในการให้บริการและสร้างประสบการณ์การอยู่อาศัยที่สมบูรณ์แบบให้แก่ลูกบ้านแสนสิริครอบคลุมไปถึงในปี 2562” ดร. ทวิชากล่าว          
พลัส พร็อพเพอร์ตี้ เผยภูเก็ต-หาดใหญ่ สองเมืองหลักภาคใต้มาแรง  เศรษฐกิจและการท่องเที่ยวคึกคักดันดีมานด์คอนโด ยอดตอบรับสูง 80-90%

พลัส พร็อพเพอร์ตี้ เผยภูเก็ต-หาดใหญ่ สองเมืองหลักภาคใต้มาแรง เศรษฐกิจและการท่องเที่ยวคึกคักดันดีมานด์คอนโด ยอดตอบรับสูง 80-90%

  พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เผยผลสำรวจอสังหาริมทรัพย์ ภูเก็ต–หาดใหญ่ คึกคักต้อนรับยอดนักท่องเที่ยว-การค้าเติบโตต่อเนื่อง โซนตัวเมืองภูเก็ตเนื้อหอม เป็นจุดศูนย์กลางเดินทางสะดวกทั่วเกาะ และใกล้ชิดสถาปัตยกรรมเมืองเก่า โครงการคอนโดมิเนียมได้รับความนิยม ยอดขาย 81% ด้านหาดใหญ่ตลาดคอนโดฯมาแรงยอดขาย 93% ดีมานด์นักธุรกิจ นักศึกษาท่วมท้น ส่งผลทุกโครงการปิดการขายรวดเร็ว ทำเลถนนกาญจนวณิชศักยภาพสูง เป็นเส้นหลักเชื่อมหาดใหญ่สู่หลายจังหวัด และเชื่อมชายแดนมาเลเซีย ดันการค้าชายแดนสูงสุดในภาคใต้ มูลค่ากว่า 5 แสนล้านบาท   นายอนุกูล รัฐพิทักษ์สันติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดเผยว่า จากผลสำรวจของฝ่ายวิจัยและพัฒนาของพลัส พร็อพเพอร์ตี้ ที่ได้ทำการสำรวจที่อยู่อาศัยในโซนภาคใต้พบว่ามีการเติบโตที่น่าสนใจ โดยเฉพาะในพื้นที่ จ.ภูเก็ต และพื้นที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เนื่องจากเป็นจังหวัดที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงทั้งด้านท่องเที่ยวและการค้า ส่งผลให้ความต้องการที่อยู่อาศัยเติบโตในทิศทางเดียวกัน ไม่เพียงเท่านี้ตลาดที่อยู่อาศัยในภูเก็ต และหาดใหญ่ ยังมีแนวโน้มเติบโตจากการได้รับแรงผลักดันจากการพัฒนาด้านโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมที่กระตุ้นเศรษฐกิจทั้ง 2 พื้นที่ให้คึกคักมากขึ้น รวมถึงราคาที่ดินที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งล่าสุดจากข้อมูลของกรมธนารักษ์ พบว่าราคาประเมินในพื้นที่ภูเก็ต ช่วงปี 2555 – 2558 และ 2559-2562 โซนใจกลางเมืองเติบโต 19 – 35% ขณะที่ราคาประเมินที่ดินหาดใหญ่ ช่วงปี 2555 – 2558 และ 2559 – 2562 เพิ่มขึ้น 20 – 25%   จากการสำรวจตลาดอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่ จ.ภูเก็ต ล่าสุด ปี 2561 พบว่าตลาดหลักคือคอนโดมิเนียม มีสัดส่วนอยู่ที่ 80% มีอุปทานสะสม 13,702 ยูนิต อุปสงค์ให้การตอบรับแล้ว 11,062 ยูนิต และมียอดขายอยู่ที่ 81% ขณะที่ราคาเสนอขายเฉลี่ยทั้งตลาดประมาณ 100,000 บาทต่อตารางเมตร โซนที่มีการเติบโตของราคาสูงคือโซนตัวเมืองภูเก็ต ที่มีราคาขายเฉลี่ยประมาณ 81,000 บาทต่อตารางเมตร เพิ่มขึ้น 13% จากปีก่อนหน้า โดยมีโครงการใหม่ที่คาดว่าจะเข้าสู่ตลาดในปีนี้ราว 1,200 ยูนิต สอดคล้องกับความต้องการที่อยู่อาศัยจากทั้งคนในพื้นที่และจากนักท่องเที่ยวที่เติบโตมากขึ้นทุกปี โดยในปี 2560 มีนักท่องเที่ยวเดินทางมายังภูเก็ตมากกว่า 12 ล้านคน เพิ่มขึ้น 30% จากปีก่อน ซึ่งภูเก็ตถือเป็นศูนย์กลางด้านการท่องเที่ยวของภาคใต้ ด้วยรายได้จากการท่องเที่ยวที่มีมูลค่าสูงเป็นอันดับ 1 ของภาคใต้ (มูลค่า 330,000 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 12% ของทั้งหมด) และมีมูลค่าเป็นอันดับ 2 ของประเทศรองจากกรุงเทพฯ อีกทั้งภูเก็ตมีแผนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทั้งรถไฟรางเบาจากสนามบินภูเก็ตสู่ใจกลางเมืองภูเก็ต ดังนั้นการเดินทางเชื่อมต่อทั้งเกาะภูเก็ตจึงมีความสะดวกสบาย ที่อยู่อาศัยโซนใจกลางเมืองจึงได้รับการตอบรับที่ดีเพราะสามารถเดินทางไปยังโซนอื่นๆ ได้ ไม่เพียงเท่านี้ในอนาคตภูเก็ตจะพัฒนาสู่ Smart City จะทำให้ราคาที่ดินปรับตัวสูงขึ้น คาดว่าราคาเสนอขายคอนโดฯจะเติบโตขึ้นอีก โดยโซนตัวเมืองราคาน่าจะขยับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องปีละ 8-10 % เนื่องจากในอนาคตจะมีการคมนาคมสะดวกขึ้น จากความคืบหน้าตามแผนการก่อสร้างรถไฟฟ้ารางเบาของภูเก็ต นอกจากนี้ในส่วนของการนำกลับมาขายใหม่หรือรีเซล (resale) ราคาปรับเพิ่มขึ้น 6-9% ต่อปี เติบโตจากความต้องการของกลุ่มคนทำงานในพื้นที่ นักลงทุน รวมถึงกลุ่มที่ซื้อเก็บไว้เป็นทรัพย์สินและมรดก โดยพบว่าราคาขายรีเซลอยู่ที่ประมาณ 85,000 – 90,000 บาทต่อตารางเมตร คิดเป็นอัตรากำไรประมาณ 4-5% ต่อปี ส่วนการเช่ามีราคาปล่อยเช่าอยู่ที่ 14,000 - 15,000 บาทต่อปี อัตราผลตอบแทนอยู่ที่ 6-7% ต่อปี โดยเน้นปล่อยเช่าให้กับชาวต่างชาติและกลุ่มคนที่เข้ามาทำงานในพื้นที่ซึ่งถือเป็นกลุ่มประชากรแฝงที่มีอยู่จำนวนมาก ทั้งแรงงาน นักธุรกิจ และนักเรียนนักศึกษา ดังนั้นโครงการที่ได้รับความนิยมจึงเป็นโครงการที่อยู่ในโซนที่ตอบสนองการใช้ชีวิตประจำวันของผู้อยู่อาศัย ทำให้โครงการที่อยู่ในตัวเมืองได้รับความสนใจเพราะสามารถเดินทางสะดวก และยังแวดล้อมไปด้วยสถาปัตยกรรมเมืองเก่า เปี่ยมด้วยเสน่ห์ที่ผสานหลากหลายวัฒนธรรมทั้งไทย จีน และมลายู   สำหรับพื้นที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา พบว่าตลาดคอนโดฯเริ่มเติบโตอย่างน่าสนใจ เนื่องจากหาดใหญ่เป็น หัวเมืองที่เป็นประตูสู่ประเทศเพื่อนบ้านเช่นมาเลเซีย จึงเป็นเมืองแห่งศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ การค้าชายแดน การลงทุนที่สำคัญ นอกจากนี้ยังเป็นศูนย์กลางทางการศึกษาของ 7 จังหวัดภาคใต้ตอนล่าง เป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ มหาวิทยาลัยที่ใหญ่ที่สุดในภาคใต้ และยังเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ มีโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ โรงพยาบาลที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาค จึงส่งผลให้มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 1 ของภาคใต้ มีการค้าขายกับมาเลเซียที่เติบโต 12% และมีมูลค่าการค้าชายแดนประมาณ 550,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นมูลค่าที่สูงสุดของการค้าชายแดนของภาคใต้ และจากการที่เป็นศูนย์กลางการค้าและแหล่งงานจึงทำให้ตลาดคอนโดมิเนียมเริ่มคึกคักขึ้น โดยล่าสุดพบว่ามีอุปทานเสนอขายสะสม 2,970 ยูนิต อุปสงค์ให้การตอบรับ 2,763 ยูนิต มียอดขายสูงถึง 93% ซึ่งโครงการที่เปิดขายเหล่านี้ได้รับการตอบรับอย่างท่วมท้น ปิดการขายได้เร็ว เนื่องจากอยู่ใกล้สถานที่สำคัญเช่นมหาวิทยาลัย ศูนย์การค้าที่สำคัญ และพัฒนาโดยผู้ประกอบการรายใหญ่ทำให้ตัวโครงการมีความน่าเชื่อถือ และมีสิ่งอำนวยความสะดวกในพื้นที่ส่วนกลางที่แตกต่างจากโครงการทั่วไปในตลาด ปัจจุบันไม่พบอุปทานคงค้างแล้วในโซนนี้ หากมีโครงการเปิดใหม่จึงคาดว่าจะสามารถปิดการขายได้เร็ว โดยพบว่าผลตอบแทนจากการขายต่ออยู่ที่ประมาณ 4% ต่อปี ส่วนการปล่อยเช่ามีอัตราผลตอบแทนอยู่ที่ 6-7% ต่อปี โดยโซนที่น่าจับตาคือโซนถนนกาญจนวนิช ซึ่งเป็นเสมือนเส้นเลือดหลักของหาดใหญ่ เชื่อมสถานที่สำคัญของหาดใหญ่และจังหวัดใกล้เคียง และเชื่อมไปสู่ชายแดนประเทศมาเลเซียได้ และยังเป็นเส้นทางหลักของรถไฟรางเดี่ยวที่จะเกิดในอนาคตอีกด้วย
พลัส พร็อพเพอร์ตี้ เผยบ้านเดี่ยวตลาดลักซ์ชัวรี่โตสวนกระแส  ตอบรับการเพิ่มขึ้นของกลุ่มไฮเน็ตเวิร์ธ

พลัส พร็อพเพอร์ตี้ เผยบ้านเดี่ยวตลาดลักซ์ชัวรี่โตสวนกระแส ตอบรับการเพิ่มขึ้นของกลุ่มไฮเน็ตเวิร์ธ

  พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เผยตลาดบ้านเดี่ยวราคาเกิน 20 ล้านบาทยังเติบโตดี แม้ภาพรวมตลาดบ้านเดี่ยวยังชะลอตัว ระบุผลสำรวจพบข้อมูลการเติบโตบ้านเดี่ยวเจาะกลุ่มตลาดลักซ์ชัวรี่เติบโตสอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นของกลุ่ม High Net Worth พบทำเลบ้านเดี่ยวที่ตอบโจทย์ยังเติบโตดี อาทิ โซนเหนือและโซนตะวันตกของกรุงเทพฯ และยังมีโซนดาวรุ่งดวงใหม่อย่างพัฒนาการที่ตอบโจทย์ครบถ้วน ทั้งการคมนาคมที่หลากหลาย เชื่อมต่อศูนย์กลางธุรกิจและสนามบินสุวรรณภูมิ ใกล้โรงเรียนนานาชาติ โรงพยาบาล และศูนย์การค้าขนาดใหญ่   นายอนุกูล รัฐพิทักษ์สันติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดเผยว่า จากผลสำรวจของฝ่ายวิจัยและพัฒนาของพลัส พร็อพเพอร์ตี้ ในตลาดบ้านเดี่ยวพบว่าปัจจุบันแม้สถานการณ์ตลาดบ้านเดี่ยวยังชะลอตัวทั้งในส่วนของอุปทานและอุปสงค์ แต่พบว่าบ้านเดี่ยวที่เจาะกลุ่มตลาดระดับลักซ์ชัวรี่ยังไปได้ดี โดยผลสำรวจในปี 2560 บ้านเดี่ยวราคามากกว่า 20 ล้านบาท มีอุปทานขยายตัวสูงถึง 34% และอุปสงค์ขยายตัว 19% ซึ่งการขยายตัวนี้สอดคล้องกับข้อมูลการเพิ่มขึ้นของบุคคลที่มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิสูง (High Net Worth Individual; HNWI) ซึ่งในประเทศไทยมีจำนวนเพิ่มขึ้นทุกปี จากรายงาน World Wealth Report 2017 ของ Capgemini พบว่า HNWI ในประเทศไทยมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปี 2559 เพิ่มขึ้น 12.7% และทรัพย์สินเพิ่มขึ้น 13.3% ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้ให้ความสำคัญในการซื้อโครงการบ้านเดี่ยวโดยเฉพาะบ้านระดับลักซ์ชัวรี่หรือที่ราคามากกว่า 20 ล้านบาท ในทำเลที่มีสภาพแวดล้อมที่ดี มีความเป็นส่วนตัว มีความสะดวกในการเดินทาง     สำหรับทำเลที่มีการตอบรับในตลาดบ้านเดี่ยวค่อนข้างดี มักเป็นทำเลที่มีการพัฒนาโครงข่ายคมนาคมอย่างหลากหลาย เดินทางเข้าสู่ศูนย์กลางธุรกิจได้สะดวก เช่น บริเวณโซนเหนือของกรุงเทพมหานคร ตั้งแต่ลาดพร้าว-จตุจักร ไปจนถึงปทุมธานี-ลำลูกกา ปัจจุบันมีจำนวนอุปทานบ้านเดี่ยวสะสมอยู่ที่ 16,805 ยูนิต อุปสงค์ให้การตอบรับแล้ว 83% เป็นโซนที่มีรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายสายสีเขียว (หมอชิต – สะพานใหม่ – คูคต) โครงการรถไฟระบบชานเมืองสายสีแดง (บางซื่อ-รังสิต) และในอนาคตยังมีโครงการพัฒนาแอร์พอร์ตลิงค์เชื่อมสนามบินดอนเมืองและสนามบินสุวรรณภูมิ ขณะที่โซนตะวันตกตั้งแต่ธนบุรีไปจนถึงศาลายา-บางใหญ่-นนทบุรี นับเป็นอีกหนึ่งโซนที่มีศักยภาพ มีอุปทานบ้านเดี่ยวสะสม 17,993 ยูนิต อุปสงค์ให้การตอบรับแล้ว 83% ซึ่งจากที่มีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานขึ้นมากมายในพื้นที่ ตั้งแต่การที่มีรถไฟฟ้า ทั้งสายสีม่วง สายสีน้ำเงินส่วนต่อขยาย (บางซื่อ-ท่าพระ / หัวลำโพง-บางแค) สายสีแดง (ตลิ่งชัน-ศาลายา) และสายสีส้ม (ตลิ่งชัน-ศูนย์วัฒนธรรม) รวมไปถึงทางด่วนศรีรัช-วงแหวนรอบนอก และมอเตอร์เวย์เส้นทางบางใหญ่กาญจนบุรี ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2562   นอกจากนี้ยังพบว่าโซนพัฒนาการถือเป็นอีกหนึ่งทำเลที่น่าจับตา เนื่องจากมีความครบครันสำหรับการอยู่อาศัย โดยเฉพาะด้านคมนาคมที่หลากหลาย ใกล้จุดขึ้น-ลงทางด่วนรามอินทรา-อาจณรงค์และทางพิเศษศรีรัช รวมถึงมีโครงการคมนาคมที่อยู่ในช่วงพัฒนาอีกจำนวนมากประกอบไปด้วย - โครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว – สำโรง ซึ่งรถไฟฟ้าสายสีเหลืองนี้สามารถเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงค์ได้ที่สถานีพัฒนาการ รวมไปถึงเชื่อมต่อกับโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มที่ทางแยกลำสาลี และโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ ที่สถานีสำโรง รวมถึงมีโครงการก่อสร้างถนนศรีนครินทร์-ร่มเกล้า โครงการก่อสร้างทางลอดถนนพัฒนาการ-รามคำแหง-ถาวรธวัช ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการจราจรของถนนพัฒนาการและโครงข่ายถนนบริเวณใกล้เคียง นอกจากนี้ยังสามารถเดินทางเข้าเมืองและศูนย์กลางธุรกิจได้หลายเส้นทาง เชื่อมต่อกับถนนสุขุมวิท 71 ไปยังเอกมัย-ทองหล่อ ใกล้พระราม 9 ที่เป็นโซนแหล่งศูนย์กลางธุรกิจแห่งใหม่ และสามารถเดินทางเชื่อมไปยังถนนเพชรบุรีตัดใหม่ และถนนรามคำแหงได้ ไม่เพียงเท่านี้ข้อมูลราคาที่ดินของทาง Agency for Real Estate Affairs (AREA) บริเวณเส้นถนนพัฒนาการ-สวนหลวง ราคาในปี 2560 อยู่ที่ 150,000 บาท/ตารางวา มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยปีละ 4% ส่วนบริเวณถนนศรีนครินทร์-พัฒนาการ อยู่ที่ 250,000 บาท/ตารางวา เติบโตโดยเฉลี่ยปีละ 9% ส่วนราคาประเมินจากกรมที่ดินบริเวณเส้นถนนพัฒนาการ ปีประเมิน 2559-2562 เทียบกับ 2555-2558 มีอัตราการเติบโตของราคาที่ดินอยู่ที่ 7-16% จึงทำให้เห็นว่าการพัฒนาบ้านเดี่ยวในระดับกลางลงไปทำได้ยากขึ้น เพราะต้นทุนสูงขึ้นต่อเนื่อง บ้านเดี่ยวระดับไฮเอนด์ขึ้นไปจึงเริ่มเข้าสู่ตลาดและดูเหมือนว่าจะเป็นกลุ่ม niche market อีกกลุ่มที่น่าจับตามอง ทั้งความต้องการในตลาดยังให้การตอบรับดีและศักยภาพของทำเลพัฒนาการที่ดึงดูดกลุ่มผู้ซื้อระดับบนได้ไม่ยากนัก ปัจจุบันมีอุปทานเหลือขายในกลุ่มบ้านระดับราคามากกว่า 20 ล้านบาทเพียงไม่กี่ยูนิต ซึ่งที่ผ่านมาได้รับการตอบรับสูงถึง 68% ทั้งยังครบครันด้วยศูนย์การค้าที่หลากหลาย เช่น พาราไดซ์ พาร์ค เมกาบางนา ตลอดจนโรงเรียนนานาชาติมากถึง 4 แห่ง และโรงพยาบาลชั้นนำอย่างสมิติเวช อีกทั้งไม่ไกลจากสนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งสามารถเดินทางไปด้วยรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงค์ได้ที่สถานีหัวหมาก และยังมีสวนสาธารณะขนาดใหญ่อย่างสวนหลวง ร.9   “จากภาพรวมดังกล่าว จึงเป็นเหตุผลให้บ้านเดี่ยวที่เจาะตลาดลักซ์ชัวรี่ (ราคา 20 ล้านบาทขึ้นไป) เป็นที่ต้องการของตลาดและมีอัตราเติบโตต่อเนื่อง ถึงแม้จะมีสัดส่วนยูนิตไม่มากนักทั้งอุปทานและอุปสงค์เมื่อเทียบกับระดับราคาอื่นๆ แต่เมื่อเทียบในส่วนของมูลค่านั้นมีสัดส่วนค่อนข้างสูง โดยภาพรวมอุปทานและอุปสงค์บ้านเดี่ยวที่เจาะตลาดลักซ์ชัวรี่ในปี 2560 พบว่ามีสัดส่วนยูนิตอยู่ที่ 7% และ 5% ตามลำดับ หากพิจารณาในส่วนของมูลค่าแล้วพบว่ามีสัดส่วนสูงถึง 27% และ 19% ตามลำดับ” นายอนุกูล กล่าว
พลัส พร็อพเพอร์ตี้ เทรนด์ทาวน์เฮาส์ตอบรับไลฟ์สไตล์ เซ็กเม้นท์ 2-4 ลบ. น่าจับตา

พลัส พร็อพเพอร์ตี้ เทรนด์ทาวน์เฮาส์ตอบรับไลฟ์สไตล์ เซ็กเม้นท์ 2-4 ลบ. น่าจับตา

พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เผยผลสำรวจทาวน์เฮาส์ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล พบอัตราการเติบโตดี ราคา 2 – 4 ล้านบาทมาแรงเป็นที่นิยมของผู้ซื้อ ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาอุปทานขยายตัวเฉลี่ยปีละ 15% ส่วนอุปสงค์ขยายตัวเฉลี่ยปีละ 18% และมีอัตราดูดซับต่อเดือนสูง ส่วนทำเลที่น่าสนใจ คือกรุงเทพฯ โซนฝั่งตะวันตกและเหนือ ซึ่งนับเป็นโซนหลักของที่อยู่อาศัยที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันและเป็นพื้นที่ที่มีการขยายการก่อสร้างรถไฟฟ้าและโครงข่ายคมนาคมตามแผนภาครัฐ ดันความต้องการอยู่ในอาศัยในทำเลเพิ่มสูงขึ้น นอกจากนี้อีกหนึ่งทำเลศักยภาพใกล้กรุงเทพฯ ที่ได้รับความนิยม คือ นิคมอุตสาหกรรมนวนคร มีอัตราการดูดซับเฉลี่ยอยู่ที่ 7.9 ยูนิตต่อเดือนต่อโครงการ พบแนวโน้มผู้บริโภคเลือกซื้อทาวน์เฮาส์ที่ตอบรับไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต   นายอนุกูล รัฐพิทักษ์สันติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดเผยว่า จากข้อมูลของฝ่ายวิจัยและพัฒนาของพลัส พร็อพเพอร์ตี้ ที่ได้ทำการสำรวจที่อยู่อาศัยประเภททาวน์เฮาส์ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล พบว่ามีแนวโน้มเติบโตที่โดดเด่น เป็นการเติบโตทั้งในส่วนของอุปทานและอุปสงค์ สอดคล้องตามทิศทางเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มขยายตัวดี ภาครัฐมีการขยายการก่อสร้างรถไฟฟ้าและโครงข่ายคมนาคม ซึ่งปัจจุบันหลายเส้นทางเริ่มแผนการก่อสร้างอย่างเป็นรูปธรรม จึงเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ความต้องการที่อยู่อาศัยในพื้นที่ใกล้โครงการเหล่านี้เพิ่มสูงขึ้น รวมไปถึงความต้องการด้านที่อยู่อาศัยของผู้คนเปลี่ยนแปลงไป ต้องการอยู่ไม่ไกลจากเมือง หรือไม่ไกลจากศูนย์กลางธุรกิจ และระดับราคาที่อยู่อาศัยไม่สูงมากเมื่อเทียบกับอสังหาริมทรัพย์อื่นๆ ทำให้ทาวน์เฮาส์ในพื้นที่ปริมณฑล หรือย่านชานเมืองใกล้กรุงเทพฯ ได้รับการตอบรับที่ดี   จากข้อมูลล่าสุด (ณ สิ้นปี 2560) พบว่าทาวน์เฮาส์ที่ระดับราคา 2-4 ล้านบาท เป็นตลาดหลักของตลาดทาวน์เฮาส์ มีอัตราการเสนอขายที่โดดเด่น ด้วยสัดส่วนที่สูงถึง 68% รองลงมาคือระดับราคาต่ำกว่า 2 ล้านบาท อยู่ที่ 22% ระดับราคา 4-7 ล้านบาท อยู่ที่ 9% และระดับราคาสูงกว่า 7 ล้านมีเพียง 1% ซึ่งการเติบโตของระดับราคา 2-4 ล้านบาทนั้นถือว่ามีความน่าสนใจเพราะมีการขยายตัวได้ดีทั้งในส่วนของอุปทานและอุปสงค์ สะท้อนได้จากข้อมูลในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาอุปทานขยายตัวโดยเฉลี่ยปีละ 15% ส่วนอุปสงค์ขยายตัวเฉลี่ยปีละ 18% อีกทั้งมีอัตราดูดซับต่อเดือนสูง รวมไปถึงจำนวนเดือนที่คาดว่าจะขายหมด อยู่ที่ 11.5 เดือนซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดที่ 13.9 เดือน ทำให้ตลาดทาวน์เฮาส์ที่ราคา 2–4 ล้านบาทเป็นตลาดที่มีศักยภาพและมีความน่าสนใจสูง   สำหรับทำเลที่น่าสนใจและมีศักยภาพในการเติบโตได้แก่โซนตะวันตกตั้งแต่ธนบุรีไปจนถึงศาลายา-บางใหญ่-นนทบุรี โดยเฉพาะบริเวณราชพฤกษ์ รัตนาธิเบศร์ กัลปพฤกษ์ สุขสวัสดิ์ และโซนเหนือตั้งแต่ลาดพร้าว-จตุจักรไปจนถึงปทุมธานี-ลำลูกกา-ลาดหลุมแก้ว โดยทั้งสองโซนเป็นพื้นที่อยู่อาศัยที่มีประชากรหนาแน่น มีการพัฒนาโครงข่ายคมนาคมที่หลากหลาย ทำให้เอื้ออำนวยในการเดินทางเข้าสู่ตัวเมืองของกลุ่มที่มีกำลังซื้อ อีกทั้งโซนนี้ยังเป็นทำเลที่ประกอบไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย ได้แก่ ศูนย์การค้าขนาดใหญ่ และโรงพยาบาล ส่งผลดีต่อโครงการที่อยู่อาศัยในพื้นที่ ซึ่งศักยภาพพื้นที่ตอบรับได้ดีกับกลุ่มพนักงานบริษัทเอกชน ข้าราชการ ตลอดจนเจ้าของกิจการในละแวกเหล่านี้ และอีกหนึ่งทำเลที่น่าจับตามองและอยู่ใกล้กรุงเทพฯ ได้แก่ โซนนิคมอุตสาหกรรมนวนคร เป็นอีกโซนหนึ่งที่มีความน่าสนใจในตลาดทาวน์เฮาส์ มีอัตราการดูดซับเฉลี่ยอยู่ที่ 7.9 ยูนิตต่อเดือนต่อโครงการ อุปสงค์หลักมาจากกลุ่มคนในท้องถิ่นรวมไปถึงแรงงานทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติที่ย้ายมาทำงานในนิคมอุตสาหกรรม ทั้งเพื่ออยู่อาศัยเองและซื้อลงทุน โดยแรงขับเคลื่อนมาจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐ และโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคม ทำให้เกิดการลงทุนของบริษัทต่างๆ เพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้ความต้องการที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นตามกลุ่มแรงงานที่ย้ายเข้ามาพื้นที่ด้วยเช่นกัน   “การที่ตลาดทาวน์เฮ้าส์ระดับราคา 2 – 4 ล้านบาท และทำเลข้างต้นได้รับความสนใจจากกลุ่มผู้ซื้อนั้น มาจากระดับราคาที่ไม่สูงมากและมีอรรถประโยชน์ที่เหมาะสม สอดคล้องกับกำลังซื้อของคนในพื้นที่ (รายได้เฉลี่ยของครัวเรือนปัจจุบันในแต่ละพื้นที่กรุงเทพมหานครอยู่ที่ 30,000-40,000 บาทต่อครัวเรือน) โดยเฉพาะโครงการที่สามารถตอบสนองรูปแบบไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของผู้บริโภคพบว่ามีแนวโน้มน่าจับตา และที่สำคัญการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านโครงข่ายคมนาคมโดยเฉพาะอย่างยิ่งรถไฟฟ้า รวมไปถึงการพัฒนาถนน ทางด่วน วงแหวนและมอเตอร์เวย์ ทำให้เกิดความหลากหลายในการเดินทาง สามารถเดินทางเข้าสู่ศูนย์กลางธุรกิจได้โดยง่ายและสะดวก อีกทั้งการตั้งอยู่ใกล้แหล่งงาน ไม่ว่าจะเป็นโรงงานหรือนิคมอุตสาหกรรม ศูนย์ราชการ และศูนย์กระจายสินค้า ก่อให้เกิดความต้องการในที่อยู่อาศัยเพิ่มมากขึ้น ทำให้ทาวน์เฮาส์ระดับนี้เข้ามาตอบโจทย์ได้ง่าย ทำให้พื้นที่ดังกล่าวมีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น” นายอนุกูล กล่าว
พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ประเมินแนวรถไฟฟ้าสายสีม่วง จุดเชื่อมที่อยู่อาศัยในเขตปริมณฑลเดินทางเข้าเมือง

พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ประเมินแนวรถไฟฟ้าสายสีม่วง จุดเชื่อมที่อยู่อาศัยในเขตปริมณฑลเดินทางเข้าเมือง

พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร พบข้อมูลการเติบโตของประชากรเขตปริมณฑลเพิ่มขึ้นต่อเนื่องย้อนหลัง 20 ปี เพิ่มเฉลี่ย 21% ส่งผลที่อยู่อาศัยแนวรถไฟฟ้าสายสีม่วงมีแนวโน้มคึกคัก เหตุเป็นจุดเชื่อมต่อในรูปแบบวงแหวนขนาดใหญ่ ส่งผลให้ราคาที่ดินแนวรถไฟฟ้าสายสีม่วงปรับตัวสูงขึ้นกว่า 40% ในช่วง 5 ปี โดยทำเลที่อยู่อาศัยย่านบางใหญ่  เตาปูน วงศ์สว่าง โดดเด่นสุด นายอนุกูล รัฐพิทักษ์สันติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดเผยว่า พลัส พร็อพเพอร์ตี้ พบข้อมูลจำนวนการเพิ่มของประชากรในเขตกรุงเพทมหานครและปริมณฑลในช่วงปี 2540-2560 หรือ 20 ปีผ่านมา มีประชากรในเขตกรุงเทพมหานคร ขยายตัวเพียงเล็กน้อยราว 1% เท่านั้น ในขณะที่เขตปริมณฑลกลับมีประชากรอยู่อาศัยเพิ่มขึ้นถึง 21% โดยจังหวัดที่ได้รับความนิยมคือ ปทุมธานีเพิ่มขึ้น 40%  นนทบุรีเพิ่ม 24%  และสมุทรสาครเพิ่มขึ้น 19% ปัจจัยที่สนับสนุนให้ประชากรในพื้นที่ดังกล่าวเพิ่มขึ้นมาจากทำเลที่ไม่ได้ไกลจากกรุงเทพฯ ราคาที่ยังไม่ปรับตัวขึ้น สามารถเดินทางเข้ามาทำงานได้อย่างสะดวก ส่งผลให้ที่อยู่อาศัยในเขตปริมณฑลจะมีความโดดเด่นมากขึ้น โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมทำเลแนวรถไฟฟ้าสายสีม่วง เนื่องจากเป็นจุดเชื่อมต่อลักษณะวงแหวนที่เชื่อมพื้นที่การเดินทางที่สำคัญของกรุงเทพฯ เข้าไว้ด้วยกัน โดยเริ่มจากการเป็นส่วนต่อขยายที่เชื่อมต่อจากรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน (บางซื่อ-หัวลำโพง) จากสถานีเตาปูนวิ่งไปตามถนนกรุงเทพฯ-นนทบุรี, ติวานนท์, รัตนาธิเบศร์ และสุดสถานีที่ถนนกาญจนาภิเษกในอำเภอบางใหญ่ นอกจากนี้ ในอนาคตที่รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินอยู่ระหว่างขยายเส้นทางส่วนต่อขยายจากฝั่งบางซื่อไปท่าพระ จากฝั่งหัวลำโพงไปบางแค บริเวณนี้จะกลายเป็นลูปรถไฟฟ้าเส้นทางวงแหวนที่เชื่อมการเดินทางบนพื้นที่สำคัญ นั่นหมายถึงผู้ที่อยู่อาศัยใกล้แนวรถไฟฟ้าสายสีม่วงจะได้อานิสงส์การเดินทางที่สะดวกและครอบคลุมในทุกพื้นที่มากขึ้น และยังเป็นจุดเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าสายต่างๆ 3 เส้นทาง ซึ่งได้แก่ ที่สถานีบางซ่อนสามารถเชื่อมต่อไปรถไฟชานเมืองสายสีแดงอ่อน (ตลิ่งชัน-บางซื่อ) และที่สถานีเตาปูนจะเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินช่วงบางซื่อ-ท่าพระ และยังเป็นจุดเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ อีกหนึ่งสายคือช่วงเตาปูน-ราชบูรณะถึงแม้ว่าในช่วงแรกที่รถไฟฟ้าสายสีม่วงเริ่มเปิดให้บริการในปี 2559 ผู้โดยสารอาจจะยังไม่ค่อยให้ความนิยม แต่ภายหลังทำการเชื่อมต่อในเดือนสิงหาคม 2560 ทำให้ยอดผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้น จากข้อมูลของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ระบุว่าปัจจุบันมีผู้ใช้รถไฟฟ้าสายสีม่วงกว่า 48,000 คนต่อวัน และคาดว่าในปี 2561 จะเพิ่มขึ้นเป็นหนึ่งแสนคนต่อวัน สำหรับแนวโน้มด้านที่อยู่อาศัยแนวรถไฟฟ้าสายสีม่วงในปี 2560 พบคอนโดมิเนียมที่เปิดขายอยู่ 56 โครงการ คิดเป็น 69,761  ในจำนวนนี้ขายไปแล้วถึง 91% ซึ่งเป็นผลจากผู้ประกอบการเร่งระบายสินค้าด้วยการทำโปรโมชั่นภายหลังจากรัฐบาลได้เชื่อมต่อทั้งสองสถานีแล้ว โดยโครงการที่ได้รับความสนใจมักตั้งอยู่ไม่เกิน 500 เมตรจากสถานีรถไฟฟ้า ซึ่งเชื่อว่าทิศทางในปีนี้ต่อเนื่องถึงปีหน้ามีแนวโน้มที่ดีขึ้นอย่างแน่นอน นอกจากนี้ยังพบว่าราคาที่ดินกับราคาขายคอนโดมิเนียมตามแนวรถไฟฟ้าสายสีม่วง จากปี 2556 – 2560 พบราคาที่ดินเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 41% ในขณะที่ภาพรวมราคาคอนโดมิเนียมที่อยู่ใกล้กับโดยสถานีรถไฟฟ้าที่มีจำนวนผู้ที่ใช้บริการสูงสุด 3 สถานีคือ เตาปูน, บางซื่อ,  และวงศ์สว่าง พบว่า ราคาเฉลี่ยของห้องในโครงการเหล่านี้กลับเพิ่มขึ้นเพียง 15-29% ซึ่งเป็นผลมาจากกลยุทธ์ด้านราคาของผู้ประกอบการจึงถือเป็นจังหวะดีสำหรับลูกค้าและนักลงทุนในการตัดสินใจซื้อในช่วงนี้ สำหรับผู้ที่เลือกอยู่อาศัยคอนโดมิเนียมและต้องการเดินทางด้วยรถไฟฟ้านั้นจุดเชื่อมต่อถือว่ามีความสำคัญโดยเฉพาะช่วง 3 สถานีต้นทางจากบางซื่อ ได้แก่ สถานีเตาปูน สถานีบางซ่อน สถานีวงศ์สว่าง ถือเป็นสถานีที่จะได้รับผลประโยชน์อย่างมาก เป็นจุดเปลี่ยนทำเลให้กลายเป็นสยามสแควร์แห่งที่ 2 ในอนาคต เพราะมีความต้องการหลักอยู่ ประกอบกับมีเมกะโปรเจกต์ ทั้งทางด่วนสายใหม่ ตลอดจนมี Center Station บางซื่อ และจุดเชื่อมกับรถไฟฟ้าสายสีแดงที่สถานีบางซ่อนอีกด้วย “หากวิเคราะห์ทำเลที่อยู่อาศัยที่โดดเด่นบนแนวรถไฟฟ้าสายสีม่วงพบ 3 ทำเล เริ่มต้นจาก บางใหญ่ ศูนย์กลางธุรกิจในฝั่งตะวันตก (WBD : West Business District) มีห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่  รวมถึงยังมีโครงการก่อสร้างทางพิเศษมอเตอร์เวย์บางใหญ่-บ้านโป่ง-กาญจนบุรี พบอุปทานคอนโดมิเนียมบริเวณบางใหญ่ (MRT สามแยกบางใหญ่ และคลองบางไผ่) ที่เสนอขายอยู่ 4 โครงการ จำนวน 2,840 ยูนิต มียอดขายเฉลี่ย 83% ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 60,000 -70,000 บาทต่อตารางเมตร ด้านผลตอบแทนจากการปล่อยเช่าคอนโดมิเนียมในย่านนี้เดือนละ 6,000 – 6,500 บาท คิดเป็นผลตอบแทนจากการปล่อยเช่าที่ 4.8% ต่อปี แม้ผลตอบรับจากการปล่อยเช่าคอนโดฯ จะยังไม่สูงมาก แต่ในอนาคตคาดว่าทำเลยังมียอดดีมานด์ตอบรับอย่างต่อเนื่อง  ย่านเตาปูน เป็นที่ตั้งสถานีต้นสายและในอนาคตจะเป็นสถานีอินเตอร์เชนจ์ เชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ส่งผลให้ราคาที่ดินบริเวณนี้เพิ่มขึ้นสูงที่สุด ปัจจุบันอยู่ที่ 280,000 บาทต่อตารางวา (เฉลี่ยประมาณ 17% ต่อปี) นอกจากนี้ยังอยู่ใกล้เคียงกับอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ ซึ่งจะดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2562 และจะกลายเป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่ จากการสำรวจข้อมูล พบอุปทานคอนโดมิเนียมในรัศมีไม่เกิน 1.5 กิโลเมตร จากสถานีเตาปูนจำนวน 2,820 ยูนิต จาก 5 โครงการ ยอดตอบรับอยู่ที่ 79% เป็นทำเลที่มีราคาขายเฉลี่ยสูงที่สุดในแนวรถไฟฟ้าสายสีม่วงประมาณ 90,000 – 110,000 บาทต่อตารางเมตร ซึ่งราคาขายปรับเพิ่มขึ้นจากช่วง 5 ปีที่ผ่านมาถึง 35% ด้านผลตอบแทนจากการปล่อยเช่าอยู่ที่ 10,000 – 15,000 บาทต่อเดือน ผลตอบแทนเฉลี่ย 4.5% ต่อปี ส่วนราคารีเซลในปัจจุบันแตะที่ 100,000 – 120,000 บาทต่อตารางเมตรแล้ว ซึ่งเป็นการปรับขึ้นตามราคาขายห้องใหม่ในปัจจุบัน ย่านวงศ์สว่าง เป็นทำเลช่วงต้นๆ ของรถไฟฟ้าสายสีม่วง เป็นจุดตัดระหว่างกรุงเทพฯ และ จ.นนทบุรี ตรงบริเวณแยกวงศ์สว่างที่เชื่อมต่อกับถนนรัชดาภิเษกสามารถเดินทางเข้าเมืองได้อย่างง่ายดาย พบโครงการคอนโดมิเนียมเสนอขายในตลาดจำนวน 4 โครงการ 4,443 ยูนิต มียอดขายแล้ว 67%  อย่างไรก็ตาม พบว่าโครงการที่มีการตอบรับดีจะอยู่บริเวณรอบสถานีวงศ์สว่างไม่เกิน 100 เมตร ซึ่งขายเกือบหมดแล้ว ด้านราคาขายเฉลี่ยโครงการคอนโดมิเนียมใกล้สถานีฯ ปัจจุบันประมาณ 90,000-100,000 บาทต่อตารางเมตร และในอนาคตคาดว่าราคาขายจะขยับขึ้นไปได้อีกตามราคาที่ดินที่เพิ่มขึ้นประมาณ 6% ต่อปี ด้านผลตอบแทนจากการปล่อยเช่าอยู่ที่ 5-6% ต่อปี หรือ 10,000 – 13,000 บาทต่อเดือน เนื่องจากเป็นทำเลที่อยู่ใกล้เคียงกับส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าทั้งสายสีน้ำเงิน และสายสีแดงอ่อน เพราะฉะนั้น หากมีโครงการที่สามารถพัฒนาให้มีราคาในระดับนี้และอยู่ติดสถานีฯจะเป็นโครงการที่น่าสนใจมาก” นายอนุกูล กล่าว
พลัส พร็อพเพอร์ตี้ วิเคราะห์อสังหาฯ ปี 61 คาดทาวน์เฮาส์มาแรง ส่วนคอนโดระดับกลาง-บนไปได้สวย

พลัส พร็อพเพอร์ตี้ วิเคราะห์อสังหาฯ ปี 61 คาดทาวน์เฮาส์มาแรง ส่วนคอนโดระดับกลาง-บนไปได้สวย

พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เผยทิศทางอสังหาริมทรัพย์ปี 2561 พบตลาดทาวน์เฮาส์และคอนโดมิเนียมยังขยายตัวดี กำลังซื้อระดับกลาง-ระดับบนยังไปได้ต่อโดยเฉพาะตลาดคอนโดมิเนียมแนวสูง และทาวน์เฮาส์บนทำเลรอบนอกกรุงเทพฯ พร้อมมองเทรนด์พฤติกรรมผู้บริโภคเริ่มเปลี่ยนหันพักอาศัยในคอนโดมิเนียมมากขึ้น จากเดิมได้รับความนิยมในกลุ่มวัยทำงาน เริ่มขยายสู่กลุ่มครอบครัวและวัยผู้ใหญ่ เนื่องจากจากโจทย์ด้านทำเลและการเดินทางที่สะดวก นายอนุกูล รัฐพิทักษ์สันติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร นายอนุกูล รัฐพิทักษ์สันติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดเผยว่า พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ได้คาดการณ์ทิศทางอสังหาริมทรัพย์ปี 2561 ทิศทางโดยรวมจะทรงตัวต่อเนื่องจากปี 2560 โดยยอดขายทั้งปี 2560 คอนโดมิเนียม ทาวน์เฮาส์ และบ้านเดี่ยว อยู่ที่ประมาณ 95,723 ยูนิต ซึ่งชะลอตัวจากปี 2559 ประมาณ 4% แม้ว่าครึ่งปีแรก’60 จะมีการขยายตัวได้ดีแต่ตลาดบ้านเดี่ยวยังคงชะลอตัว เหตุผลหลักมาจากหนี้ครัวเรือนที่ยังคงอยู่ในระดับสูง และแม้ว่าความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่มีต่อสถานการณ์ในปัจจุบันจะมีการเติบโตที่ดีขึ้นตามลำดับมาอยู่ที่ 33.9 ในเดือน ธ.ค. 2560 นั้นแต่ยังถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดัชนีที่ตำกว่ามาตรฐานที่  50.0 จึงอาจเป็นเหตุให้เกิดภาวะกำลังซื้อต่ำเพราะยังไม่มั่นใจในสถานการณ์ปัจจุบันภายในประเทศ  โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมระดับล่าง ซึ่งเป็นอุปทานหลักในตลาด นอกจากความกดดันต่อภาระหนี้สินแล้วยังถูกกดดันจากผู้ให้บริการสินเชื่อที่ควบคุมการให้สินเชื่อที่รัดกุมมากขึ้นทำให้ผ่านการอนุมัติยากขึ้นด้วย อย่างไรก็ตามคาดว่าภาพรวมตลาดปี 2561 แม้จะยังคงเติบโตใกล้เคียงกับปี 2560 ซึ่งยังคงมีกำลังซื้อในกลุ่มตลาดคอนโดมิเนียม รองลงมาคือทาวน์เฮาส์ และตามด้วยบ้านเดี่ยว โดยคอนโดมิเนียมและทาวน์เฮาส์กลุ่มตลาดระดับกลางถึงกลุ่มระดับบนจะเป็นที่ต้องการในตลาดสูงขึ้น และตลาดบ้านเดี่ยวกลุ่มระดับกลางยังเป็นอุปทานหลักและมีแนวโน้มขยายตัวได้ดี เนื่องจากตลาดระดับกลาง-บน ยังมีแรงขับโดยเฉพาะจากกลุ่มตลาดแนวสูงอย่างคอนโดมิเนียมเป็นหลักเช่นเดิม และจะเริ่มขยายพื้นที่เติบโตตั้งแต่พื้นที่ชั้นในไปยังแถบชั้นกลางของกรุงเทพฯ คอนโดระดับล่างที่เคยขยายตัวได้ดีเมื่อ 4-5 ปีก่อนจะเริ่มลดลงสาเหตุจากราคาที่ดินที่ดันตัวสูงขึ้นและการปรับผังเมืองในบางพื้นที่ที่จะทำให้ตลาดเกิดการเปลี่ยนแปลง ส่วนตลาดแนวราบคาดว่าทาวน์เฮาส์จะเป็นตลาดที่ผู้บริโภคให้ความสนใจมากขึ้น พื้นที่รอบนอกกรุงเทพฯจนถึงปริมณฑลจะเกิดการขยายตัว ทั้งนี้หากมองด้านอัตราการเติบโตในปี 2561 พบว่า หากเทียบทั้ง 3 ตลาดจนถึงสิ้นปีนี้คาดว่า ทาวน์เฮาส์จะเป็นตลาดที่มีอัตราการเติบโตสูงสุด รองลงมาคือคอนโดมิเนียม และบ้านเดี่ยว ซึ่งอัตราการขยายตัวน่าจะใกล้เคียงกับปี 2560 ที่อุปทานทาวน์เฮาส์ขยายตัวขึ้นจากปี 2559 ที่ 4% รองลงมาคือคอนโดมิเนียมที่ 1% และบ้านเดี่ยวอุปทานจะชะลอลงจากปีก่อน อย่างไรก็ตามในปี 2561 ที่จะถึงนี้สถานการณ์ภาพรวมตลาดที่เติบโตยังคงเป็นตลาดกลางและระดับบน “อีกสาเหตุหนึ่งที่ตลาดบ้านเดี่ยวชะลอมาจากไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป โดยปัจจุบันผู้คนหันมาซื้อที่อยู่อาศัยในรูปแบบคอนโดมิเนียมมากขึ้น แม้กลุ่มเป้าหมายหลักในปัจจุบันยังเป็นกลุ่มคนวัยทำงานแต่ปัจจุบันกลุ่มคนที่อยู่แบบครอบครัวขนาดเล็ก 2-4 คน ก็เริ่มหันมาพักอาศัยในคอนโดด้วยเพราะสะดวกในการเดินทาง และไลฟ์สไตล์ของคนเริ่มเปลี่ยนไป  นอกจากนี้ผู้บริโภคกลุ่มหลักของคอนโดมิเนียมในปัจจุบันมีแนวโน้มช่วงอายุที่ขยายกลุ่มกว้างขึ้นไปจนถึงวัยผู้ใหญ่ที่มากขึ้นด้วย เนื่องจากคอนโดมิเนียมในปัจจุบันตอบสนองไลฟ์สไตล์ของคนหลากหลายกลุ่ม Generation จึงทำให้เห็นวัยผู้ใหญ่ใกล้เกษียณเริ่มเข้ามาลงทุนในอสังหาฯประเภทนี้เช่นกัน อย่างไรก็ตามยังเกิดตลาดใหม่สำหรับกลุ่มนักลงทุนมีนักลงทุนหน้าใหม่วัยทำงานเริ่มต้น 3 – 5 ปีที่หันมาลงทุนอสังหาฯ เพิ่มมากขึ้น โดยเน้นลงทุนระดับล่าง – กลาง โดยมีแนวโน้มในการซื้อเพื่อผ่อนดาวน์เป็นการเก็บเงิน และขายต่อเพื่อได้ Capital Gain หรือซื้อเพื่อปล่อยเช่า โดยใช้ค่าเช่ามาผ่อนชำระเพื่อเป็นรายได้เสริมและเป็นสินทรัพย์ของตนเอง” นายอนุกูล กล่าว
พลัส พร็อพเพอร์ตี้ เปิด 7 ทำเลทาวน์เฮ้าส์น่าลงทุนรอบ กทม. หลังพบยอดขายย้อนหลัง 3 ปี พุ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ย

พลัส พร็อพเพอร์ตี้ เปิด 7 ทำเลทาวน์เฮ้าส์น่าลงทุนรอบ กทม. หลังพบยอดขายย้อนหลัง 3 ปี พุ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ย

พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจรเผยผลสำรวจอสังหาริมทรัพย์ประเภททาวน์เฮ้าส์พื้นที่กรุงเทพและปริมณฑล พบ 7 ทำเลเด่นคุ้มค่าการซื้ออยู่อาศัยและลงทุน ทั้งกระทุ่มแบน-สาม พราน ,ทุ่งครุ-พระ ประแดง , ธนบุรี-ราษฎร์บูรณะ , ลาดหลุมแก้ว, ดอนเมือง-สายไหม, อ่อนนุชบางนา และสุวรรณภูมิ-บางเสาธง เผยราคาขายปัจจุบันน่าสนใจ ส่วนทิศทางปี 2561 คาดยังเติบโตดี เหตุได้แรงส่งจากปี 2560 ที่เติบโตทั้งอุปสงค์และอุปทาน นายอนุกูล รัฐพิทักษ์สันติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดเผยว่า พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ได้ทำการสำรวจที่อยู่อาศัยประเภททาวน์เฮ้าส์ ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล (นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร นครปฐม) ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (2557-2560) โดยพิจารณาอัตราขายได้และอัตราดูดซับเฉลี่ยของแต่ละทำเลเทียบกับค่าเฉลี่ยกลาง (อัตราดูดซับ 6.00 ยูนิต/เดือน/โครงการ และอัตราขายได้ 47%) พบว่ามีทำเลศักยภาพที่ขายดีและน่าลงทุน (มียอดขายเฉลี่ยสูงกว่าค่าเฉลี่ยกลาง) ทั้งสิ้น 7 ทำเล ประกอบด้วย ได้แก่ ทิศไต้: 1.กระทุ่มแบน-สาม พราน 2. ทุ่งครุ-พระ ประแดง, ตะวันตก : 3. ธนบุรี-ราษฎร์บูรณะ, ทิศเหนือ : 4. ลาดหลุมแก้ว 5. ดอนเมือง-สายไหม, ตะวันออก: 6. อ่อนนุชบางนา และ 7. สุวรรณภูมิ-บางเสาธง  โดยทั้ง 7 ทำเลนี้มีราคาระหว่าง 1.2 – 2.99 ล้านบาท และสามารถเชื่อมต่อด้านการคมนาคมเข้าสู่ตัวเมืองได้โดยสะดวกจึงได้รับความนิยมค่อนข้างมาก จากการวิเคราะห์พบว่า ในทุกๆ ทำเลมีราคาเสนอขายที่ไม่สูงมาก (ระหว่างราคา 1.2 -2.99 ล้านบาท) ยกเว้นทำเลกระทุ่มแบน – สามพรานที่ราคาเสนอขายยังอยู่ในระดับต่ำกว่า 1.2 ล้านบาท หากพิจารณาในด้านของศักยภาพของแต่ละทำเลนั้น พบว่า กระทุ่มแบน-สามพราน เป็นพื้นที่เขตปริมณฑลที่มีจุดเด่นจากทำเลไม่ไกลจากกรุงเทพฯ ทำให้ผู้ที่พักอาศัยในพื้นที่นี้สามารถเดินทางเข้าสู่ตัวเมืองกรุงเทพฯ ด้วยถนนพระราม 2 และถนนเพชรเกษมได้โดยง่าย นอกจากนี้ราคาทาวน์เฮ้าส์ในทำเลนี้ยังเสนอขายในระดับต่ำกว่า 1.2 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันพบทาวน์เฮาส์ระดับราคาต่ำ กว่า 1.2 ล้านบาทหาได้ยากและเสนอขายเพียงบางทำเลที่ราคาที่ดินยังไม่ทะยานตัวสูงมากนัก ซึ่งกระทุ่มแบน-สามพรานเป็นทำเลที่มียอดตอบรับทาวน์เฮาส์ในระดับราคานี้สูงที่สุด จากการพัฒนาโครงการที่สามารถตอบสนองกลุ่มกำลังซื้อในพื้นที่ได้เป็นอย่างดี   ทำเลทุ่งครุ-พระประแดง เป็นทำเลที่อยู่ใกล้กับกับทางพิเศษเฉลิมมหานครและถนนกาญจนาภิเษก (วงแหวนรอบนอก) จึงดึงดูดให้เกิดกำซื้อในทำเลนี้เพราะสามารถเดินทางเข้าสู่ใจกลางเมืองกรุงเทพฯ และเชื่อมต่อไปยังภูมิภาคอื่นได้อย่าง สะดวกสบาย นอกจากนี้ยังอยู่ไม่ไกลจากรถไฟฟ้าสายสีม่วง สถานีเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ ที่กำลังจะเริ่มก่อสร้างช่วงปลายปี 2561 และจะช่วยดึงผู้คนจากฝั่งธนบุรีเข้าสู่ฮับการเดินทาง หรือสถานีกลางบางซื่อ เพื่อเชื่อมต่อไปยังสถานที่ต่างๆ ในเมืองได้อย่างสะดวก ทำเลธนบุรี-ราษฎร์บูรณะ เป็นทำเลฝั่งธนบุรีที่ใกล้ย่านศูนย์กลางธุรกิจแวดล้อมด้วยแนวรถไฟฟ้า 3 สาย ได้แก่ รถไฟฟ้าบีทีเอสสายสีเขียวเข้ม (สายสีลม) ที่เปิดให้บริการมาเป็นเวลานาน รถไฟฟ้าสายสีม่วง (สถานีเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ) ที่เริ่มก่อสร้างช่วงปลายปี 2561 และรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน (สถานีหัวลำโพง-บางแค) ที่การก่อสร้างคืบหน้าแล้วเกินกว่า 85% ทำให้ผู้อยู่อาศัยในทำเลนี้สามารถเดินทางเข้าสู่ตัวเมืองกรุงเทพฯได้หลากหลายเส้นทาง ทำเลลาดหลุมแก้ว เป็นทำเลในเขตปทุมธานีที่สามารถเดินทางเข้าสู่ตัวเมืองกรุงเทพฯ ได้ผ่านทางด่วนสายอุดรรัถยาและเชื่อมต่อไปยังภูมิภาคต่างๆได้ผ่านถนนกาญจนาภิเษก(วงแวนรอบนอก) นอกจากนี้ยังอยู่ในทำเลที่ไม่ไกลจากรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง (สถานีบางซื่อ-รังสิต) ที่มีความคืบหน้าในการก่อสร้างแล้ว 60% ซึ่งมีแผนเปิดให้บริการในอีก 3 ปีข้างหน้า และในอนาคตภาครัฐมีแผนพัฒนาส่วน ต่อขยายจากสถานีรังสิตไปยังมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ศูนย์รังสิตอีกด้วย เอื้ออำนวยให้การเดินทางเข้าสู่ตัวเมืองของกลุ่มกำลังซื้อ ทั้งพนักงานบริษัทเอกชน ข้าราชการ หรือเจ้าของกิจการในละแวกนี้มีความสะดวกมากขึ้นในอนาคต ดอนเมือง – สายไหม เป็นทำเลในโซนเหนือที่มีรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง (สถานีบางซื่อ-รังสิต) และรถไฟฟ้าสายสีเขียว ส่วนต่อขยาย (สถานีหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต) พาดผ่านซึ่งทั้งสองเส้นทางมีแผนเปิดให้บริการอีก 3 ปีข้างหน้า อีกทั้งการเข้าสู่ตัวเมืองกรุงเทพฯได้สะดวก ผ่านทางยกระดับอุตราภิมุข (โทลเวย์) และทางด่วนรามอินทรา-อาจณรงค์ ทำให้ทำเลนี้ได้รับความนิยมจากพนักงานบริษัทเอกชน พนักงานที่ทำงานในสนามบินดอนเมือง หรือเจ้าของกิจการในละแวกนั้นเป็นอย่างดี อ่อนนุช – บางนา เป็นทำเลใกล้ย่านศูนย์กลางธุรกิจที่สามารถเข้าสู่ตัวเมืองได้ผ่านรถไฟฟ้าบีทีเอส สายสีเขียว (สถานีหมอชิต-แบริ่ง) ซึ่งเปิดให้บริการมาเป็นเวลานาน และล่าสุดก็ได้เปิดให้บริการในส่วนต่อขยาย ประกอบกับการมีทางพิเศษเฉลิมมหานคร ช่วยให้การเดินทางเชื่อมต่อไปยังสถานที่ต่างๆ ของกลุ่มกำลังซื้อในพื้นที่นี้มีความสะดวกสบายจากรถไฟฟ้าบีทีเอสสายสีเขียวหรือสายสุขุมวิทที่เปิดให้บริการเป็นเส้นทางแรกในกรุงเทพฯ และตอบสนองการใช้ชีวิตของผู้คนได้เป็น อย่างดีทำให้ทาวน์เฮาส์ที่พัฒนาใกล้ใจกลางเมืองในย่านอ่อนนุช-บางนาได้รับความนิยมมาอย่างต่อเนื่อง จากช่วง 2 ปี ที่ผ่านมา สุวรรณภูมิ – บางเสาธง เป็นทำเลในจังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งเป็นที่ตั้งของสนามบินสุวรรณภูมิ สามารถเดินทางเข้าสู่ตัวเมืองกรุงเทพฯ และเชื่อมต่อไปยังภูมิภาคต่างๆ ได้ผ่านทางพิเศษบูรพาวิถี, มอเตอร์เวย์, ถนนกาญจนาภิเษก (วงแหวนรอบนอก) ประกอบกับการมี รถไฟฟ้า Airport Rail Link (สถานีพญาไท-สุวรรณภูมิ), รถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยาย (สถานีแบริ่งสมุทรปราการ) และรถไฟฟ้าสายสีเหลือง (สถานีลาดพร้าว-สำโรง) ที่ภาครัฐมีการเตรียมแผนพัฒนาอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งกระตุ้นให้เกิดความต้องการซื้อทาวน์เฮาส์จากพนักงานในสนามบินสุวรรณภูมิหรือเจ้าของกิจการในพื้นที่นี้ได้เป็นอย่างดี   “จากข้อมูลที่ทำการสำรวจนี้สะท้อนว่ากำลังซื้อในที่อยู่อาศัยประเภททาวน์เฮ้าส์เริ่มกลับมา แม้ว่าปี 2560 ที่ผ่านมาจะไม่มีนโยบายกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์โดยเฉพาะ แต่อุปสงค์และอุปทานยังเติบโตได้ดี จึงคาดว่าทิศทางในปี 2561 ตลาดทาวน์เฮ้าส์จะยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง เหตุจากราคาเสนอขายยังไม่ปรับตัวขึ้นสูงมากนัก ซึ่งเหมาะกับกำลังซื้อของคนในพื้นที่ นอกจากนี้ความเชื่อมั่นผู้บริโภคน่าจะมีสัญญาณเติบโตตามทิศทางเศรษฐกิจที่เริ่มคลี่คลายอย่างต่อเนื่องในปี 2560 และจะมีแรงส่งต่อไปยังปี 2561 ต่อไป” นายอนุกูล กล่าว
พลัส พร็อพเพอร์ตี้ เผยคอนโดเมืองท่องเที่ยวกินส่วนแบ่งอันดับ 1 หัวหิน-ชะอำราคาขายต่อพุ่ง 19% เทรนด์คนรุ่นใหม่ซื้อไว้พักผ่อน-ปล่อยเช่าช่วงไฮซีซั่น

พลัส พร็อพเพอร์ตี้ เผยคอนโดเมืองท่องเที่ยวกินส่วนแบ่งอันดับ 1 หัวหิน-ชะอำราคาขายต่อพุ่ง 19% เทรนด์คนรุ่นใหม่ซื้อไว้พักผ่อน-ปล่อยเช่าช่วงไฮซีซั่น

พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจรเผยผลสำรวจอสังหาริมทรัพย์ 5 เมืองท่องเที่ยวหลัก ได้แก่ เชียงใหม่ ภูเก็ต พัทยา หัวหิน-ชะอำ และเขาใหญ่ พบคอนโดมิเนียมมาแรงสุดขึ้นอันดับหนึ่งมาร์เก็ตแชร์สูง 76% ขณะที่บ้านเดี่ยวมีส่วนแบ่งอันดับสองที่ 19% ตามด้วยทาวน์เฮาส์ครองส่วนแบ่ง 5% เหตุเติบโตตามภาคการท่องเที่ยวที่ยังโดดเด่น โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมมียอดขายเฉลี่ย 5 พื้นที่ 80% จากอุปทานราว 100,00 ยูนิต ส่งผลตลาดเช่าคึกคัก พื้นที่ภูเก็ตให้ผลตอบแทนต่อปี 6-8% ต่อปี พัทยาผลตอบแทนสูง 5-7% ต่อปี ด้านเขาใหญ่ราคารีเซลเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 5 – 6% ต่อปี ส่วนราคาขายต่อยังคึกคักพื้นที่หัวหิน – ชะอำ ราคาขายต่อพุ่งแรงสุด ปี 2560 ราคาโครงการติดทะเลสูงจากปีก่อน 10% โครงการไม่ติดทะเลพุ่ง 19% พบเทรนด์คนรุ่นใหม่ชื่นชอบการซื้อไว้พักผ่อนและถือโอกาสปล่อยเช่าช่วงไฮซีซั่น นายอนุกูล รัฐพิทักษ์สันติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดเผยว่า พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ได้ทำการสำรวจที่อยู่อาศัยในทำเลเมืองท่องเที่ยวสำคัญ 5 พื้นที่ ได้แก่ เชียงใหม่ ภูเก็ต พัทยา หัวหิน-ชะอำ และเขาใหญ่ พบว่าปัจจุบันที่อยู่อาศัยในรูปแบบคอนโดมิเนียมมีส่วนแบ่งการตลาดสูงเป็นอันดับ 1 ครองส่วนแบ่งถึง 76% (98,163 ยูนิต) ในขณะที่บ้านเดี่ยวครองส่วนแบ่งอันดับสองมี 19% (24,925 ยูนิต) และทาวน์เฮ้าส์ครองส่วนแบ่งอันดับสามที่ 5% (5,998 ยูนิต) โดยการสำรวจล่าสุดพบว่าในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา (2558-2560) คอนโดมิเนียมเมืองท่องเที่ยวยังเติบโตได้ดีมียอดขายเฉลี่ยทั้ง 5 พื้นที่ประมาณ 80% จากอุปทานเกือบ 100,000 ยูนิต ซึ่งการตอบรับที่อยู่ในเกณฑ์ดีนี้มาจากการท่องเที่ยวที่เติบโตอย่างโดดเด่น และนักท่องเที่ยวที่มาพักผ่อนระยะยาวนิยมเช่าคอนโดมิเนียมเป็นที่พักอาศัยส่งผลให้การปล่อยเช่าได้รับอัตราผลตอบแทนสูงแม้ในบางพื้นที่จะทำการได้จากการปล่อยเช่าได้เฉพาะในฤดูกาลท่องเที่ยวเที่ยวแต่ด้วยราคาปล่อยเช่าที่สูงกว่าทำเลทั่วไปจึงทำให้ยังมีคนสนใจซื้อเพื่อรองรับความต้องการพักผ่อนเองและปล่อยเช่าในบางช่วง อีกทั้งคนในพื้นที่เองก็นิยมซื้อไว้เป็นบ้านพักตากอากาศ และยังสามารถเก็บไว้เก็งกำไรได้เนื่องจากมองเห็นแนวโน้มการเติบโตที่ดีในอนาคต ซึ่งพฤติกรรมการซื้อคอนโดมิเนียมในเมืองท่องเที่ยวของผู้บริโภคปัจจุบันนี้กำลังกลายเป็นเทรนด์ที่ไม่นิยมซื้อคอนโดมิเนียมเพื่อวัตถุประสงค์ใดอย่างหนึ่งเพียงอย่างเดียว แต่เป็นลักษณะ time sharing ที่ไปพักเองเมื่อไหร่ก็ได้ และยังสามารถได้รายได้จากการปล่อยเช่า ซึ่งจะมาช่วยค่าผ่อนหรือค่าใช้จ่ายต่าง ๆ โดยเฉพาะพื้นที่ เขาใหญ่ และ หัวหิน-ชะอำ การปล่อยเช่าแทบจะเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวเกือบ 100% ดังนั้น การเข้าพักสูงในช่วงเดือน ตุลาคม - กุมภาพันธ์ โดยเข้าพักเฉลี่ยประมาณ 1.5 เดือน ซึ่งยังคงได้รับความนิยมเพราะผู้ซื้อยังต้องการเก็บไว้เพื่อพักผ่อนเองในบางโอกาส สำหรับตลาดปล่อยเช่านั้นและนำกลับมาขายใหม่ (รีเซล) พบว่าที่เชียงใหม่นั้นคอนโดมิเนียมที่นำมาปล่อยเช่าขนาด 30 -60 ตารางเมตรจะคิดค่าเช่าอยู่ระหว่าง 10,000 – 25,000 บาทต่อเดือน  ด้านราคารีเซลในบางโครงการที่คอนโดมิเนียมขนาด 1 ห้องนอน 30 ตารางเมตร  ขายประมาณ 75,000-80,000 บาทต่อตารางเมตรหรือยูนิตละ 2.0-2.5 ล้านบาท โดยราคารีเซลเพิ่มขึ้นจากปีก่อนประมาณ 4-5% ต่อปี ส่วนในอนาคตคาดว่าราคามีโอกาสปรับขึ้นไปได้อีก เนื่องจากมีปัจจัยสนับสนุนจากโครงการลงทุนขนาดใหญ่ที่สนับสนุนการเติบโตของเชียงใหม่ ได้แก่ โครงการรถไฟความเร็วสูง เส้นทางกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ โดยจะนำเทคโนโลยีชินคันเซ็นมาใช้ในโครงการนี้ นอกจากนี้ยังมีโครงการมอเตอร์เวย์เชื่อมเชียงใหม่-เชียงรายและโครงการขนาดใหญ่อื่นๆ อีกจำนวนมาก ส่วนภูเก็ตโครงการคอนโดมิเนียมที่นิยมปล่อยเช่าห้องพักในรูปแบบสตูดิโอ และ 1 ห้องนอน ขนาดประมาณ 30-32 ตารางเมตร อัตราค่าเช่า City Condo ประมาณ 10,000 – 18,000 บาทต่อเดือน ขึ้นอยู่กับระยะเวลาการเช่า คิดเป็นผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีประมาณ 6-8% สำหรับค่าเช่า Resort Condo ที่อยู่ติดหาด จะได้รับความนิยมโดยเฉพาะในช่วง High Season ค่าเช่าประมาณ 50,000 – 70,000 บาทต่อเดือน คิดเป็นผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีประมาณ 4-5% ราคาของคอนโดมิเนียมเฉลี่ยทั้งตลาดอยู่ที่ 99,700 บาทต่อตารางเมตร ขยับขึ้น 7% ปัจจุบันพบว่าคอนโดมิเนียมโครงการใหม่ มีราคาเปิดขายเฉลี่ยอยู่ที่ 130,000 บาทต่อตารางเมตร ซึ่งส่วนมากเป็น Resort Property ที่อยู่ริมหาด สำหรับพื้นที่หัวหิน-ชะอำ สำหรับคอนโดที่นำกลับมาขายใหม่ (รีเซล) ที่ติดชายทะเล เฉลี่ยอยู่ที่ 135,000 บาทต่อตารางเมตร เพิ่มขึ้นจากตอนเปิดโครงการ 10% ส่วนโครงการที่ไม่ติดชายทะเลราคารีเซลอยู่ที่ 79,000 บาทต่อตารางเมตร เพิ่มขึ้นจากตอนเปิดโครงการ 19%  ด้านการปล่อยเช่า หากเป็นโครงการใจกลางเมืองที่ติดชายทะเล รูปแบบ 1 ห้องนอน ปล่อยเช่าได้ 35,000 – 45,000 บาทต่อเดือน รูปแบบ 2 ห้องนอน 55,000 – 70,000 บาทต่อเดือน ส่วนโครงการที่ไม่ติดทะเล รูปแบบ 1 ห้องนอน ปล่อยเช่าได้ 15,000 – 20,000 บาทต่อเดือน รูปแบบ 2 ห้องนอน 30,000 – 50,000 ต่อเดือน ขณะที่คอนโดมิเนียมในพัทยาพบราคารีเซลบางโครงการในพื้นที่พัทยากลางอยู่ที่ 110,000 บาทต่อตารางเมตร หากนำมาปล่อยเช่า (1 ห้องนอน ขนาด 30-35 ตารางเมตร) จะได้ค่าเช่าประมาณ 18,000-20,000 บาทต่อเดือน หรือคิดเป็นผลตอบแทนจากการปล่อยเช่าประมาณ 6-7% ต่อปี นอกจากนี้ยังพบว่าราคาขายเฉลี่ยยังเพิ่มขึ้นปีละประมาณ 5% ส่วนพื้นที่เขาใหญ่ ราคาขายรีเซลบางโครงการ (1 ห้องนอน 50-55 ตารางเมตร) เสนอขายประมาณ 92,000 บาทต่อตารางเมตร หรือยูนิตละ 4.6-5.2 ล้านบาท โดยราคาขายรีเซลเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 5-6% อย่างไรก็ตาม คอนโดมิเนียมในพื้นที่เขาใหญ่นิยมปล่อยเช่าห้องพักแบบระยะสั้น หรือในช่วง High Season (พฤศจิกายน - มกราคม) “ช่วงปี 2559 - 2560 คอนโดมิเนียมในพื้นที่เชียงใหม่ หัวหิน-ชะอำและภูเก็ต ตลาดยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องจากอุปสงค์ที่นิยมซื้อเป็นบ้านพักตากอากาศ ส่วนในพื้นที่พัทยา และเขาใหญ่ ตลาดค่อนข้างทรงตัวจากการระบายอุปทานที่คงค้าง ในทางกลับกันยังมีการขยายตัวในบางทำเล ในบางช่วงราคาที่ยังมีกำลังซื้อ อย่างไรก็ตามยังมองเห็นทิศทางการขยายตัวในอนาคตที่คาดว่าตลาดจะเติบโตได้จากการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น อีกทั้งเริ่มพบเห็นอุปทานใหม่เริ่มทยอยเข้าสู่ตลาดบ้างแล้ว” นายอนุกูล กล่าว  
พลัส พร็อพเพอร์ตี้เผยคอนโดฯ สีลม-สาทร เป้าหมายใหม่นักลงทุน ผลตอบแทนปล่อยเช่าเฉลี่ย 5% ต่อปี

พลัส พร็อพเพอร์ตี้เผยคอนโดฯ สีลม-สาทร เป้าหมายใหม่นักลงทุน ผลตอบแทนปล่อยเช่าเฉลี่ย 5% ต่อปี

บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เผยผลสำรวจอสังหาริมทรัพย์ย่าน สีลม – สาทร ราคาติดลมบนทั้งราคาที่ดินและคอนโดมิเนียม ล่าสุดพบซื้อขายที่ดินอยู่ที่ 1.45 ล้านบาทต่อตารางวา ขณะที่ราคาคอนโดมิเนียมอยู่ที่ 200,000 – 300,000 บาท ต่อตารางเมตร เหตุเป็นทำเลธุรกิจแวดล้อมด้วยสำนักงานบริษัทชั้นนำ โรงเรียนชื่อดัง โรงพยาบาลและสถานที่ราชการ ดึงดูดทั้งผู้ซื้อเพื่ออยู่เองทั้งชาวไทยและต่างชาติและซื้อลงทุน พบตลาดปล่อยเช่าโดดเด่นอัตราผลตอบแทนเฉลี่ย 5% ต่อปี ส่วนราคาขายต่อไปได้สวยย้อนหลัง 5 ปี เฉลี่ยขยับเพิ่ม 7% ต่อปี นายอนุกูล รัฐพิทักษ์สันติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดเผยว่า จากการสำรวจอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่ สีลม – สาทร พบว่าเป็นทำเลที่มีศักยภาพสูง แม้จะเป็นโซนที่มีที่ดินสำหรับพัฒนาอสังหาริมทรัพย์อย่างจำกัดแต่อัตราการเติบโตของคอนโดมิเนียมในทำเลนี้ถือว่ามีความน่าสนใจอย่างมาก โดยตัวเลขล่าสุดเมื่อครึ่งแรกของปี 2560 มีอุปทานอยู่ที่ 6,786 ยูนิต  ปัจจุบันพบว่าราคาขายโครงการคอนโดมิเนียมในทำเล สีลม – สาทร มีราคาขายเฉลี่ยอยู่ในระดับสูง เนื่องจากมีข้อจำกัดด้านที่ดินที่มีน้อยและมีราคาปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ต้นทุนการพัฒนาโครงการสูงขึ้นไปด้วย โดยโครงการใหม่ที่อยู่ใกล้ถนนหลัก หรือใกล้แนวรถไฟฟ้า มีราคาอยู่ในช่วง 200,000  - 300,000 บาทต่อตารางเมตร ซึ่งก็ยังได้รับการตอบรับอย่างดี โดยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา มีโครงการเปิดขายในพื้นที่นี้เพียง 5 โครงการ พบว่ามียอดขายเฉลี่ยสูงถึง 85% ในช่วงเปิดตัวไม่เกิน 6 เดือน โดยกลุ่มผู้ที่ตัดสินใจซื้อคอนโดมิเนียมทำเลนี้มีทั้งคนไทยและต่างชาติ ประกอบด้วย กลุ่มคนทำงาน กลุ่มผู้ปกครองนักเรียนในพื้นที่ กลุ่มคนในพื้นที่ รวมถึงกลุ่มนักลงทุนที่ซื้อเพื่อลงทุน เนื่องจากทำเล สีลม-สาทร เป็นทำเลที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นศูนย์กลางธุรกิจอันดับต้นๆของกรุงเทพฯ หนาแน่นไปด้วยอาคารสำนักงานที่ทันสมัยเป็นที่ตั้งของบริษัทขนาดใหญ่ รวมทั้งสถานที่ราชการสำคัญอาทิสถานทูตหลายแห่ง อีกทั้งยังมีโรงเรียนชั้นนำ และโรงพยาบาลขนาดใหญ่ มีการคมนาคมที่สะดวกสบาย จึงทำให้คอนโดมิเนียมในย่านนี้ได้รับความสนใจและมีอัตราการตอบรับสูง ในด้านการซื้อเพื่อลงทุน พบว่าตลาดปล่อยเช่าได้รับความสนใจอย่างมากเนื่องจากคอนโดมิเนียมพื้นที่สีลม – สาทร สามารถสร้างผลตอบแทนจากการปล่อยเช่าได้ในอัตราสูง โดยคอนโดมิเนียมราคาประมาณ 6.5 ล้านบาท สามารถปล่อยเช่าได้ในราคา 30,000 บาทต่อเดือน หากคิดเป็นอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยอยู่ที่  5% ต่อปี โดยปัจจุบันอัตราค่าเช่าเฉลี่ยของคอนโดมิเนียมในพื้นที่สีลม – สาทรในทำเลใกล้รถไฟฟ้า อยู่ที่ 700 -1,000 บาทต่อตารางเมตร ส่วนการซื้อเพื่อขายต่อนั้น พบว่าราคานำกลับมาขายใหม่ (รีเซล) ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา พบว่ารูปแบบ 1 ห้องนอน ราคารีเซลอยู่ที่ 210,000 บาทต่อตารางเมตร รูปแบบ 2 ห้องนอนอยู่ที่ 200,000 บาทต่อตารางเมตร ซึ่งปรับเพิ่มขึ้นจากราคาช่วงเปิดตัวประมาณ 7% ต่อปี ซึ่งได้รับอานิสงค์จากราคาที่ดินมีการเติบโตอย่างอย่างต่อเนื่อง ซึ่งราคาที่ดินปัจจุบันมีการซื้อขายกันอยู่ที่ 1.45 ล้านบาทต่อตารางวา  โดยที่ดินบน ถ.สาทร โดยเฉพาะในทำเลที่ติดถนนหรือใกล้รถไฟฟ้า มีอัตราการเติบโตของราคาที่ดินประเมินนับตั้งแต่ปี 2551 และคาดการณ์จนถึงปี 2562 เติบโตเฉลี่ยสูงถึง 78% ส่วนที่ดินย่านถนนสีลม ขยับขึ้น 53% ฃ“ถึงแม้ย่าน สีลม – สาทรจะเป็นย่านที่มีการคมนาคมสะดวก สามารถเดินทางด้วยรถไฟฟ้า BTS และ MRT แต่จากความหนาแน่นของจำนวนผู้ใช้รถไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นทุกปี โดยข้อมูลจาก บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ พบว่า มีผู้ใช้บริการ BTS เพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 3-10% ดังนั้นคนที่ทำงานในพื้นที่นี้จึงมองหาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัยเพื่อหลีกหนีความแออัดจากการเดินทางด้วยรถไฟฟ้า อีกทั้งพื้นที่นี้ยังมีสภาพการจราจรที่แออัดมีรถติดจำนวนมากในชั่วโมงเร่งด่วน ความต้องการอสังหาริมทรัพย์ในย่านนี้เพื่อพักอาศัยมีแนวโน้มสูงขึ้นเพราะไม่เพียงแต่ช่วยลดความเหนื่อยล้าจากการเดินทางเท่านั้น แต่ยังช่วยลดค่าใช่จ่ายด้านการเดินทางได้อีกด้วย และยังมีแหล่งไลฟสไตล์ต่างๆ ทั้งห้างสรรพสินค้า ร้านอาหารชั้นนำในบริเวณใกล้เคียงที่สามารถเดินทางเข้าถึงง่าย” นายอนุกูล กล่าว
พลัส พร็อพเพอร์ตี้ เผยพบกำลังซื้อที่อยู่อาศัยนครปฐมมาแรง คอนโดฯ เติบโตสูงสุดรองรับดีมานด์ซื้ออยู่จริง-ปล่อยเช่ารอบมหาวิทยาลัย

พลัส พร็อพเพอร์ตี้ เผยพบกำลังซื้อที่อยู่อาศัยนครปฐมมาแรง คอนโดฯ เติบโตสูงสุดรองรับดีมานด์ซื้ออยู่จริง-ปล่อยเช่ารอบมหาวิทยาลัย

พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เผยผลสำรวจอสังหาริมทรัพย์ พื้นที่ จ.นครปฐม มีกำลังซื้อเติบโตโดดเด่น โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมโซน พุทธมณฑล กำแพงแสน และตัวเมืองนครปฐม เหตุเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยชื่อดัง ดึงดูดกำลังซื้อจาก อาจารย์- บุคลากรในมหาวิทยาลัย ผู้ปกครองซื้อให้บุตรหลาน และกลุ่มนักลงทุนที่ซื้อไว้ปล่อยเช่า ส่งผลยอดขายคอนโดมิเนียมเติบโตดีสุดในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา ชี้ทิศทางในอนาคตสดใสจากปัจจัยบวกภาครัฐพัฒนาโครงการคมนาคม อาทิรถไฟรางคู่ รถไฟความเร็วสูง และมอเตอร์เวย์ ช่วยหนุนราคาอสังหาริมทรัพย์เติบโตต่อเนื่อง  นายอนุกูล รัฐพิทักษ์สันติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดเผยว่า จากการสำรวจตลาดอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่ จ.นครปฐม  ล่าสุดเมื่อเดือนมิถุนายน 2560 พบว่ามีกำลังซื้อที่เติบโตอย่างน่าสนใจ โดยเฉพาะในโซนพุทธมณฑล กำแพงแสน และตัวเมืองนครปฐม ในบริเวณใกล้กับมหาวิทยาลัย เช่น มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขต กำแพงแสน และมหาวิทยาลัยศิลปากร พระราชวังสนามจันทร์  ซึ่งโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่ถูกพัฒนารอบสถานศึกษา ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือประเภทคอนโดมิเนียม รองลงมาคือทาวน์เฮ้าส์ และบ้านเดี่ยว ทั้งนี้ จากการสำรวจตลาดอสังหาฯ จังหวัดนครปฐม ในรอบสำรวจ มิถุนายน 2560 พบอุปทานเสนอขายในตลาดทั้งหมด 14,783 ยูนิต จาก 77 โครงการ ด้านอุปสงค์ตอบรับแล้ว 75% ทั้งนี้ ส่วนใหญ่เน้นเสนอขายโครงการคอนโดมิเนียม รองลงมาคือ ทาวน์เฮาส์ และบ้านเดี่ยว โดยคอนโดมิเนียม มีจำนวนอุปทาน 9,625 ยูนิต (ส่วนแบ่ง 65%) , ทาวน์เฮาส์ 2,884 ยูนิต (ส่วนแบ่ง 20%) และบ้านเดี่ยว 2,774 ยูนิต (ส่วนแบ่ง 15%) โดยเฉลี่ยเปิดขายแล้วประมาณ 2-3 ปี ตลาดคอนโดมิเนียม  มีจำนวนยูนิตเสนอขายสูงสุดในพื้นที่นี้ เริ่มพบคอนโดมิเนียมโครงการใหม่เข้าสู่ตลาดในช่วง 2-3 ปีก่อน เน้นกลุ่มดีมานด์จากอาจารย์ บุคลากรในมหาวิทยาลัย รวมถึงผู้ปกครองที่ซื้อไว้ให้บุตรหลานพักอาศัย ซึ่งเป็นกลุ่มดีมานด์ที่มีแนวโน้มเติบโตขึ้นเรื่อยๆ โดยในรอบสำรวจนี้พบว่าตลาดคอนโดฯมีอัตราการดูดซับดี ยอดขายได้สูง  ประมาณ 10.1 ยูนิตต่อเดือนต่อโครงการ ส่วนโครงการแนวราบ พบว่าตลาดทาวน์เฮาส์  อุปทานส่วนใหญ่อยู่ในโซนพุทธมณฑล ในราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท พบอัตราการดูดซับเฉลี่ย 3.66 ยูนิตต่อเดือนต่อโครงการ สำหรับตลาดคอนโดมีแนวโน้มดูดซับได้ดีขึ้น เนื่องจากมีการดึงส่วนแบ่งอุปสงค์จากทาวน์เฮาส์ เนื่องจากคอนโดมิเนียมมีสิ่งอำนวยความสะดวก และรูปแบบโครงการที่สวยงามกว่า และคอนโดมิเนียมยังสามารถนำไปปล่อยเช่าได้ง่ายกว่า ตลาดบ้านเดี่ยว ส่วนใหญ่อยู่ในโซนพุทธมณฑล ในราคา 3 - 5 ล้านบาท อุปสงค์ตอบรับได้ช้า เป็นอุปสงค์จากโครงการเก่าที่เปิดขายมานาน ประมาณ 2-3 ปี อัตราการดูดซับเฉลี่ยอยู่ที่ 1.5 ยูนิตต่อเดือนต่อโครงการ   หากพิจารณาถึงทำเลบริเวณมหาวิทยาลัย พบว่าในแต่ละปีจะมีจำนวนนิสิต นักศึกษาที่เข้ามา ในแต่ละโซนเป็นจำนวนมาก ประมาณ 36,000 คนต่อปี โดยเป็นนิสิตมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กำแพงแสน มากที่สุด ประมาณ 14,000 คน รองลงมามหาวิทยาลัยศิลปากร พระราชวังสนามจันทร์ ประมาณ 13,000 คน และนักศึกษามหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา ประมาณ 9,000 คน   สำหรับในทำเลกำแพงแสน ยังไม่พบจำนวนคอนโดมิเนียมมากนัก แต่จำนวนดีมานด์ที่เข้ามาในแต่ละปียังมีจำนวนมากเนื่องจากมีนักศึกษาจำนวนมาก จากการสำรวจพบว่าราคาขายเฉลี่ยของโครงการคอนโดมิเนียมในปัจจุบัน อยู่ที่ 50,000 – 60,000 บาทต่อตารางเมตร สำหรับรูปแบบ 1 ห้องนอน ขนาด 27 - 30 ตารางเมตร หากนำมาปล่อยเช่าจะได้ค่าเช่าเฉลี่ย 6,000 - 7,000 บาทต่อเดือน หรือคิดเป็นผลตอบแทนจากการปล่อยเช่าอยู่ที่ 5-6% ต่อปี   “ภาพรวมตลาดอสังหาฯ ในพื้นที่นครปฐมเริ่มเติบโตอย่างน่าสนใจ โดยตลาดคอนโดมิเนียมมีแนวโน้มเติบโตกว่าตลาดอื่นๆ ซึ่งช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมาเริ่มเห็นโครงการใหม่เริ่มเปิดขายทำเลเน้นบริเวณใกล้มหาวิทยาลัย เพื่อดึงกลุ่มอุปสงค์จากอาจารย์มหาวิทยาลัย บุคลากร ผู้ปกครองที่ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง รวมถึงกลุ่มนักลงทุนที่เล็งเห็นถึงผลตอบแทนจากการปล่อยเช่าในอนาคต ซึ่งถือว่าได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนดี เมื่อเทียบกับดอกเบี้ยธนาคาร  ส่วนตลาดแนวราบยังพอไปได้ในบางทำเล มีแรงตอบรับดีในราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ในอนาคตพื้นที่นครปฐมมีโอกาสเติบโตสูง จากโครงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคม เช่น รถไฟรางคู่นครปฐม-หัวหิน รถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ-หัวหิน  มอเตอร์เวย์สายนครปฐม-ชะอำ และมอเตอร์เวย์สายบางใหญ่ - กาญจนบุรี ล้วนเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ราคาที่ดินในนครปฐมสูงขึ้นได้อีกในอนาคต” นายอนุกูล กล่าว  
พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ชี้ทำเลอยุธยาดาวเด่นแหล่งที่อยู่อาศัยใหม่

พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ชี้ทำเลอยุธยาดาวเด่นแหล่งที่อยู่อาศัยใหม่

พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ชี้ทำเลอยุธยาดาวเด่นแหล่งที่อยู่อาศัยใหม่ รองรับนิคมอุตสาหกรรมขยายตัว – ภาครัฐเร่งลงทุนโครงสร้างคมนาคม พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เผยทำเลที่อยู่อาศัยในเขตพระนครศรีอยุธยามีแนวโน้มเติบโตโดดเด่นรองรับนิคมอุตสาหกรรมขยายตัวต่อเนื่อง หนุนอสังหาริมทรัพย์เติบโต ตอบสนองในรูปแบบแนวราบได้ดี โดยเฉพาะทาวน์เฮ้าส์ 1 ปีย้อนหลังมีอุปทาน 503 ยูนิต ขายแล้ว 73% ระดับราคาไม่เกิน 3 ล้านบาทมีแรงตอบรับดีสุด ขณะที่บ้านเดี่ยวมีอุปทานใหม่จำนวน 357 ยูนิต ขายแล้ว 51% โดยบ้านเดี่ยวราคา ไม่เกิน 5 ล้านบาท เป็นที่นิยมมีอัตราการดูดซับเฉลี่ยสูงถึง 6.9 ยูนิตต่อเดือนต่อโครงการ ล่าสุดพบผู้ประกอบการรายใหญ่จากกรุงเทพตบเท้าเข้าชิงส่วนแบ่งการตลาดแล้วกว่า 30% นายอนุกูล รัฐพิทักษ์สันติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดเผยว่า พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ได้ทำการสำรวจตลาด ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่พระนครศรีอยุธยา ในรอบการสำรวจล่าสุดเมื่อเดือนพฤษภาคม 2560 พบว่ามีแนวโน้มเติบโตอย่างน่าสนใจ เนื่องจากเป็นพื้นที่ศูนย์กลางการเชื่อมต่อการเดินทางไปยังภาคเหนือและภาคอีสาน และยังเป็นที่ตั้งของนิคมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ทำให้มีผู้คนย้ายเข้ามาในพื้นที่นี้เป็นจำนวนมากและมีความต้องการที่อยู่อาศัยในทิศทางที่เพิ่มมากขึ้น จากกลุ่มอุปสงค์หลักทั้ง กลุ่มคนในท้องถิ่นรวมไปถึงแรงงานทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติที่ย้ายมาทำงานในนิคมอุตสาหกรรม นอกจากนี้ยังมีแรงขับเคลื่อนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐ และโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคม ซึ่งคาดว่าจะเร่งดำเนินการในปลายปี 2560 เข้ามาเป็นปัจจัยกระตุ้นให้เกิดการลงทุนจากบริษัทต่างๆ ในพื้นที่พระนครศรีอยุธยาเพิ่มมากขึ้น และจะก่อให้เกิดความต้องการที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นในอนาคต โดยรวมภาพของตลาดอสังหาริมทรัพย์พื้นที่พระนครศรีอยุธยาในปัจจุบัน ส่วนใหญ่มีการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในรูปแบบทาวน์เฮาส์ 55% บ้านเดี่ยว 40% และคอนโดมิเนียม 5% โดยโครงการใหม่ที่เปิดขายในช่วงเดือนมิถุนายน 2559 - พฤษภาคม 2560 มี ทาวน์เฮาส์ จำนวน 503 ยูนิตสามารถขายได้แล้ว 73%, บ้านเดี่ยว จำนวน 357 ยูนิต ขายไปแล้ว 51% และคอนโดมิเนียม จำนวน 294 ยูนิต ขายไปแล้ว 70% ซึ่งตลาดทาวน์เฮาส์เป็นที่ต้องการของตลาดมากที่สุด โดยเฉพาะโซนนิคมอุตสาหกรรม ทำให้มีกลุ่มแรงงานทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ รวมถึงประชาชนในท้องถิ่นต้องการซื้ออสังหาริมทรัพย์ เพื่อเป็นที่อยู่อาศัย โดยทาวน์เฮาส์ราคาไม่เกิน 3 ล้านบาทได้รับการตอบรับดี มีอัตราการดูดซับเฉลี่ยอยู่ที่ 6.8-8 ยูนิตต่อเดือนต่อโครงการ ขณะที่ตลาดบ้านเดี่ยว ส่วนใหญ่เน้นพัฒนาบ้านเดี่ยวระดับกลางที่ราคาไม่เกิน 5 ล้านบาท อัตราการดูดซับเฉลี่ยอยู่ที่ 6.9 ยูนิตต่อเดือนต่อโครงการ ส่วนโซนและราคาอื่นๆ ที่ยังพอไปได้ คือ โซนนิคมอุตสาหกรรมที่ราคาไม่เกิน 5 ล้านบาท อัตราการดูดซับเฉลี่ยอยู่ที่ 2-3ยูนิตต่อเดือนต่อโครงการ สำหรับตลาดคอนโดมิเนียมนั้นก็เริ่มมีอุปทานเข้ามาในตลาดโดยปัจจุบันมีเพียงโครงการเดียว จำนวน 280 ยูนิต “สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งคืออสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่พระนครศรีอยุธยา นอกจากมีนักลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่แล้ว ยังมีผู้ประกอบการรายใหญ่จากกรุงเทพฯ เข้าไปทำตลาดอย่างต่อเนื่อง อาทิ บมจ. พฤกษา เรียลเอสเตท บมจ. แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ บมจ. วังทองกรุ๊ป โดยเน้นการพัฒนาโครงการแนวราบ เนื่องจากภาพรวมตลาดอสังหาฯ ในพื้นที่พระนครศรีอยุธยาตอบสนองในรูปแบบแนวราบยังไปได้ดี โดยเฉพาะรูปแบบทาวน์เฮาส์ราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ซึ่งปัจจัยหลักที่ทำให้ผู้ประกอบการรายใหญ่จากกรุงเทพฯ เข้าไปลงทุนในพื้นที่นี้มาจาก การมีประชากรย้ายถิ่นฐานเข้ามาพร้อมกับการขยายตัวของนิคมอุตสาหกรรม และยังมีปัจจัยสนับสนุนจากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม ได้แก่ โครงการทางพิเศษ สายอุดรรัถยา-พระนครศรีอยุธยา เพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางและขนส่งสินค้าจากกรุงเทพฯ ไปอยุธยา และจังหวัดในพื้นที่ภาคกลาง ในกรณีเกิดเหตุการณ์ภัยธรรมชาติและเหตุฉุกเฉิน โครงการรถไฟความเร็วสูง อยุธยา – อีอีซี เป็นเส้นทางส่วนต่อขยายจากโครงการรถไฟความเร็วสูงกรุงเทพ-ระยอง เพื่อใช้เป็นเส้นทางเชื่อมต่อพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี) ซึ่งประเมินได้ว่าความต้องการที่อยู่อาศัยของอยุธยายังคงมีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วง 2-3 ปี ต่อจากนี้ นอกจากนี้โครงการที่ประกอบด้วยโปรดักส์หลากหลายรูปแบบภายในโครงการเดียว อาทิ ทาวน์เฮาส์ บ้านเดี่ยว บ้านแฝด คาดว่าจะได้รับความสนใจในทำเลจังหวัดพระนครศรีอยุธยาเพิ่มมากขึ้นในอนาคต เพื่อเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับตอบรับความต้องการของลูกค้าได้อย่างครอบคลุม ” นายอนุกูล กล่าว
พลัส พร็อพเพอร์ตี้เผยคอนโดโซนทองหล่อ-เอกมัยแรงไม่หยุดคอนโดใหม่ราคาเพิ่มกว่า 150% ส่วนราคาขายต่อขยับแรง 80%

พลัส พร็อพเพอร์ตี้เผยคอนโดโซนทองหล่อ-เอกมัยแรงไม่หยุดคอนโดใหม่ราคาเพิ่มกว่า 150% ส่วนราคาขายต่อขยับแรง 80%

พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เผยทิศทางอสังหาริมทรัพย์โซนทองหล่อ-เอกมัยร้อนแรงต่อเนื่อง เหตุเป็นทำเลทองครบครันทั้งความสะดวกด้านคมนาคมและตอบโจทย์การอยู่อาศัยรอบด้าน ส่งผลราคาที่ดินแตะ 1.5 ล้านบาทต่อตารางวา หนุนราคาคอนโดมิเนียมเติบโตโดดเด่น พบคอนโดมิเนียมแนวไฮไรซ์ทำเลสุขุมวิท 55 พุ่งสูงสุดกว่า 150%  ขณะที่ราคาขายต่อ (รีเซล) ไปได้สวยพบย้อนหลัง 5 ปี โตเฉลี่ย 80%  นายอนุกูล รัฐพิทักษ์สันติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร กล่าวถึงผลสำรวจภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ทำเลทองหล่อ – เอกมัย พบว่าแม้จะมีราคาขยับขึ้นไปค่อนข้างสูง แต่ยังคงได้รับความสนใจจากผู้อยู่อาศัยทั้งชาวไทยและต่างชาติ เนื่องจากเป็นทำเลที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน จึงยังเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยที่ดึงดูดผู้คนอย่างต่อเนื่อง และมีแนวโน้มที่จะกลายเป็นย่านอยู่อาศัยหนาแน่นในอนาคต สำหรับบริเวณสถานี BTS ทองหล่อ – เอกมัย  แบ่งพื้นที่ย่อยเป็น 3 โซนด้วยกันคือซอยทองหล่อ (สุขุมวิท 55), สุขุมวิท 36 – 38 และซอยเอกมัย (สุขุมวิท 63) ซึ่งในแต่ละโซนมีระดับราคาและความนิยมต่างกันไป ทั้งนี้ จากผลการวิจัยของพลัสฯ พบว่าคอนโดมิเนียมเป็นที่อยู่อาศัยที่ได้รับความนิยมในย่านทองหล่อ – เอกมัย มีราคาปรับสูงขึ้นทั้งแบบไฮไรซ์และโลว์ไรซ์ ซึ่งประเภทไฮไรซ์ราคาปรับขึ้นไปมากที่สุด พบในซอยทองหล่อ  (สุขุมวิท 55) มีโครงการที่เปิดตัวในปี 2556 จำนวน 550 ยูนิตสามารถปิดการขายได้ทั้งหมด ซึ่งเทรนด์ของอุปทานใหม่ที่เข้าสู่ตลาดส่วนใหญ่เป็นโครงการ High End โดยในช่วงครึ่งปีแรก อุปสงค์ให้การตอบรับดีมียอดขาย 74% ราคาเฉลี่ยคอนโดมิเนียมแบบไฮไรซ์บริเวณสุขุมวิท 55 จากปี 2556 ถึงช่วงครึ่งปีแรก 2560  มีราคาเปิดตัวโครงการใหม่ก้าวกระโดดถึง 159% เนื่องจากที่ดินในการพัฒนาจำกัด จึงทำให้มีการพัฒนาเป็นโครงการระดับ High End ที่เปิดขายในปี 2559 อาทิ KHUN by yoo และ The Bangkok  ทองหล่อ ส่งผลให้ราคาเฉลี่ยโครงการใหม่สูงขึ้นถึง 325,000 บาทต่อตารางเมตร เมื่อเทียบกับราคาโครงการที่เปิดในปี 2556 ซึ่งมีราคาเฉลี่ยเพียง 125,000 บาทต่อตารางเมตร สำหรับ ซอยสุขุมวิท 36-38  ปัจจุบันราคาเฉลี่ยคอนโดมิเนียมแบบไฮไรซ์เปิดตัวอยู่ที่ 200,000 บาทต่อตารางเมตร ซึ่งราคาขายเพิ่มขึ้น 50% ในช่วง 5 ปี ที่ผ่านมา ซึ่งใกล้เคียงกับโครงการโลว์ไรซ์ที่ราคาขายปรับตัวเพิ่มขึ้น 65% จากโครงการใหม่ที่เข้าสู่ตลาด อุปสงค์ให้การตอบรับดีมียอดขาย 80-90% ภาพรวมราคาขายเฉลี่ยทั้งโครงการไฮไรซ์และโลว์ไรซ์มีแนวโน้มเติบโตขึ้นอีกในอนาคต ขณะที่ ทำเลเอกมัย พบว่า ราคาเฉลี่ยคอนโดมิเนียมแบบไฮไรซ์ มีแนวโน้มเติบโตในช่วง 5 ปี จากราคาเฉลี่ย 100,000 บาทต่อตารางเมตร มาอยู่ที่ 175,000บาทต่อตารางเมตร หรือเพิ่มขึ้นถึง 75%  ทั้งนี้ช่วง 5 ปีที่ผ่านมาพบอุปทานคอนโดมิเนียมแบบไฮไรซ์มากขึ้นเพราะได้รับอานิสงค์จากทองหล่อที่พื้นที่เริ่มหนาแน่น ราคาขยับสูงขึ้นทำให้มีการพัฒนาโครงการในเอกมัยมากขึ้น โดยอุปสงค์ให้การตอบรับกว่า 80% หรือคิดเป็นอัตราดูดซับ 21 ยูนิตต่อเดือนต่อโครงการ ทั้งนี้ช่วงครึ่งปีแรก 2017 มีอุปทานในตลาดเพิ่มมากขึ้น รวมจำนวน 701 ยูนิต และอุปสงค์ให้การตอบรับดี โดยมียอดขาย 89% ส่วนครึ่งปีหลังมีการตอบรับดีเช่นกัน เห็นได้จากโครงการ taka HAUS ที่เพิ่งเปิดขายไปเมื่อวันที่ 16 – 17 กันยายน โดยสามารถทำยอดขายถึง 85% หากพิจารณาในส่วนของราคาขายต่อ (รีเซล) ของคอนโดมิเนียมย่านทองหล่อและเอกมัยยังเพิ่มขึ้นอย่างน่าสนใจ (ข้อมูลตามตารางด้านล่าง) “ที่ดินทำเลทองหล่อมีราคาสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องถึง 40% ในช่วง 5 ปี จากราคา 1 ล้านบาทต่อตารางวามาอยู่ที่ 1.5 ล้านบาทต่อตารางวา เช่นเดียวกับราคาที่ดินในทำเลเอกมัยที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น 33.3% จากราคา 750,000 บาทต่อตารางวา มาอยู่ที่ 1 ล้านบาทต่อตารางวา ส่งผลให้ปัจจุบันทำเลศักยภาพย่านทองหล่อและเอกมัยเหลือพื้นที่เปล่าให้พัฒนาไม่มากนักส่วนใหญ่ถูกพัฒนาเป็นโครงการที่อยู่อาศัย อาคารสำนักงาน คอมมูนิตี้มอลล์และร้านค้าต่างๆ และหากพิจาณาในส่วนของที่อยู่อาศัย พบว่าช่วง 3 ปีข้างหน้า (2561-2563) ทำเลทองหล่อ-เอกมัย จะมีโครงการสร้างเสร็จไม่ต่ำกว่า 10 โครงการ (3,500 ยูนิต) ส่งผลให้พื้นที่ดังกล่าวเป็นที่นิยมและมีผู้อยู่อาศัยค่อนข้างหนาแน่นและเป็นที่นิยมของชาวต่างชาติ โดยเฉพาะ ชาวญี่ปุ่น สิงค์โปร์ และฮ่องกง  โดยโครงการใหม่พบว่ามีมีการพัฒนารูปแบบ 2 ห้องนอนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากปี 2559 ถึงครึ่งปีแรกของ 2560  สัดส่วนห้องขนาดใหญ่ตั้งแต่ 2 ห้องนอนขึ้นไปมีสัดส่วนประมาณ 50% ของห้องทุกรูปแบบ จากเดิมที่รูปแบบ 1 ห้องนอนเป็นกลุ่มหลักของตลาด สะท้อนให้ว่าในพื้นที่นี้มีดีมานด์ที่เป็นชาวต่างชาติเข้ามารองรับอุปทานห้องขนาดใหญ่ได้ดี โดยทำเลทองหล่อมีผู้เช่าชาวต่างชาติถึง 87% และเอกมัย 66%” นายอนุกูล กล่าวสรุป
พลัส พร็อพเพอร์ตี้ พัฒนาศักยภาพบุคลากรเชิงรุก ตั้งเป้าเป็นผู้ให้บริการบริหารอาคารที่พักอาศัยเบอร์หนึ่งต่อเนื่อง คาดอีก 2 ปี สัดส่วนคอนโดไฮเอนด์แตะ 33% รองรับลูกค้าทั้งไทย-ต่างชาติ

พลัส พร็อพเพอร์ตี้ พัฒนาศักยภาพบุคลากรเชิงรุก ตั้งเป้าเป็นผู้ให้บริการบริหารอาคารที่พักอาศัยเบอร์หนึ่งต่อเนื่อง คาดอีก 2 ปี สัดส่วนคอนโดไฮเอนด์แตะ 33% รองรับลูกค้าทั้งไทย-ต่างชาติ

พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร ทุ่มงบตั้ง PLUS Experience Development Center หน่วยงานพัฒนาบุคลากรเชิงรุก รองรับทิศทางผู้อาศัยในประเทศไทยเข้าสู่ความเป็นสากล จากลูกค้าหลากหลายเชื้อชาติมากขึ้น คาดอีก 2 ปี มีห้องชุดสร้างเสร็จเข้ามาในตลาดอีก 90,000 ยูนิต พบ 33% เป็นห้องชุดระดับลักชัวรี่ ชี้เป็นโอกาสธุรกิจบริการจัดการที่พักอาศัย พร้อมตั้งเป้าหมายเป็นผู้ให้บริการที่ดีที่สุดอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันเป็นผู้ให้บริการไทยรายเดียวที่ติดท๊อป 5 โดยให้บริหารอาคาร 157 โครงการ ดูแลโครงการระดับลักชัวรี่ราว 25% และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นสอดคล้องกับภาคอสังหาริมทรัพย์ปัจจุบัน นางสาวพรรณวดี โพธิหน่อทอง รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายบริหารอาคารที่พักอาศัย (คอนโดมิเนียมและโครงการต่างจังหวัด) บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดเผยว่า ปัจจุบันทิศทางของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยได้เติบโตอย่างมาก และได้พัฒนาออกมาในรูปแบบที่รองรับผู้อยู่อาศัยระดับสากลมากขึ้น รองรับกระแสการเชื่อมต่อของโลกไร้พรมแดน ทำให้มีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่มาจากหลากหลายชาติ ทั้งชาวไทย และต่างชาติ โดยเฉพาะ ฮ่องกง สิงคโปร์ ไต้หวัน จีนและญี่ปุ่น เป็นต้น ซึ่งกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่หลากหลายขึ้นนี้ ส่งผลให้งานบริหารอาคารที่พักอาศัยต้องปรับตัวและพัฒนาศักยภาพอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา โดยเฉพาะในยุคที่เทคโนโลยีดิจิตอลและนวัตกรรมการอยู่อาศัยเข้ามามีบทบาทกับการดำเนินชีวิตของผู้คนค่อนข้างมาก สำหรับ พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ได้มีนโยบายการพัฒนาบุคลากรในส่วนงานการบริหารอาคารเชิงรุกอย่างเข้มข้น รวมทั้งการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาเสริมการให้บริการที่รวดเร็วและง่ายต่อการใช้งาน ดังเช่นการใช้แอปพลิเคชั่น Home Service Application มาช่วยในการสื่อสารกับผู้อาศัยในการแจ้งข้อมูลต่างๆ  โดยมีเป้าหมายเพื่อเป็นผู้ให้บริการงานบริหารอาคารที่พักอาศัยที่ดีที่สุดอย่างต่อเนื่อง โดยพลัสฯ ยังคงให้ความสำคัญกับบุคลากรรอบด้าน เพื่อยกระดับและรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมด้านการบริหารจัดการอาคาร ล่าสุดได้พัฒนาหน่วยงานที่เรียกว่า PLUS Experience Development Center เป็นหน่วยงานเฉพาะด้านในการจัดทำหลักสูตรสร้างทักษะการบริการที่เป็นเลิศ พัฒนาความเชี่ยวชาญในสายงาน ซึ่งมีโครงการนำร่องด้วยการร่วมมือกับสถาบัน Jeeves Training  สถาบันชั้นนำระดับโลกที่ออกแบบและฝึกอบรมการให้บริการ  Butler ในโรงแรมและโครงการที่พักอาศัยชั้นนำระดับ High End มาสร้างประสบการณ์และฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ของพลัสฯ เพื่อยกระดับการให้บริการแก่ผู้พักอาศัยในโครงการระดับลักชัวรี่ ที่พลัสฯ บริหาร  นอกจากนี้ยังให้ความสำคัญกับบุคลากรโดยการวางแผนการเจริญเติบโตระยะยาวของพนักงาน เพื่อสร้างคุณค่าและพัฒนาความผูกพันที่มีต่อองค์กรและลูกค้า (Engagement Culture)  ตลอดจนเพื่อให้เข้าใจและเข้าถึงความต้องการของลูกค้า พร้อมส่งมอบประสบการณ์ที่ดีไปยังลูกค้า จากแผนการพัฒนาครั้งนี้จะนำไปสู่การเพิ่มมูลค่าให้กับโครงการแต่ละแห่งต่อไป ปัจจุบันพลัสฯ เป็นผู้ให้บริการด้านบริหารอาคารที่พักอาศัยชั้นนำติดหนึ่งใน 5 ของตลาด โดยดูแลโครงการทั้งสิ้น 157 โครงการ เป็นโครงการระดับลักชัวรี่ราว 25% ซึ่งพลัสฯ เป็นผู้ให้บริการไทยรายเดียวที่ให้บริการได้มาตรฐานในระดับแถวหน้าเทียบชั้นกับผู้ให้บริการต่างชาติ  ที่มีหน่วยงานที่ดูแลลูกค้าต่างประเทศโดยเฉพาะ (กลุ่มลูกค้าชาวจีน ฮ่องกง ไต้หวัน ญี่ปุ่น และสิงคโปร์) โดยทีมพิเศษนี้สามารถให้คำปรึกษารอบด้าน ในการบริหารทรัพย์สินให้พร้อมใช้งานและมีมูลค่าเพิ่มมากขึ้น โดยให้คำปรึกษาทั้งด้านการคำนวณทิศทางราคาอสังหาริมทรัพย์ในอนาคต ดูแลจัดการด้านการปล่อยเช่า การหาผู้เช่าให้กับลูกค้า รวมถึงช่วยประสานงานกับเอเจนซี่ในต่างประเทศ ในรูปแบบ One Stop Service “ภาพรวมการตลาดในปัจจุบันยังคงเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง จะพบว่าผู้ประกอบการต่างๆ มีนโยบายทางการตลาดเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อทั้งในเอเชีย อเมริกา และยุโรปทำให้มีโครงการอาคารที่พักอาศัยที่จะเกิดขึ้นอีกเป็นจำนวนมาก โดยในช่วง 2 ปีต่อจากนี้คาดว่าจะจะมีห้องชุดสร้างเสร็จเข้าสู่ตลาดกว่า 90,000 ยูนิต เป็นโครงการระดับลักชัวรี่ที่ราคามากกว่า 130,000 บาทต่อตารางเมตร ถึง 30,000 ยูนิต หรือคิดเป็น 33% นับเป็นโอกาสของธุรกิจงานบริหารอาคารที่พักอาศัยเช่นกัน หากวิเคราะห์ทางด้านการแข่งขันของอุตสาหกรรมงานบริหารอาคารที่พักอาศัยในปัจจุบัน พบว่ามาจากผู้ให้บริการ 2 กลุ่ม คือ บริษัทต่างชาติที่มาเปิดสาขาในเมืองไทย และบริษัทของคนไทย ซึ่งปัจจุบันมาตรฐานการบริหารจัดการมีความใกล้เคียงกันเนื่องจากเทคโนโลยีและการรับรู้ข่าวสารข้อมูลจากสื่อต่างๆ ทำให้การแข่งขันจึงมุ่งเน้นในส่วนของการให้บริการที่ครอบคลุม มีมาตรฐาน และสามารถตรวจสอบได้ นอกจากนี้ยังเริ่มมีผู้เล่นรายย่อยใหม่ๆ มากขึ้นโดยเน้นกลยุทธ์ทางด้านราคาค่าบริการ อาจตอบโจทย์บางโครงการที่มีงบประมาณจำกัด แต่ในระยะยาวมูลค่าของโครงการจะลดลง ไม่มีความยั่งยืน  ซึ่งผู้เล่นรายย่อยจะต้องพัฒนาความสามารถเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่มีมากขึ้นเพื่อให้ได้มาตรฐานระดับสากล รวมถึงตอบโจทย์ความต้องการการบริการที่รวดเร็ว ตามแนวโน้มความหลากหลายของลูกค้าที่มีมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง” นางสาวพรรณวดี กล่าว
พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ชี้ทำเล พหลฯ-ลาดพร้าว ฮับการคมนาคม และที่อยู่อาศัยใหม่ ผู้ประกอบการรายใหญ่แห่ปักหมุดจ่อผุดคอนโดฯ โครงการใหม่

พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ชี้ทำเล พหลฯ-ลาดพร้าว ฮับการคมนาคม และที่อยู่อาศัยใหม่ ผู้ประกอบการรายใหญ่แห่ปักหมุดจ่อผุดคอนโดฯ โครงการใหม่

พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เผยทำเลพหลโยธิน – ลาดพร้าว เตรียมขึ้นแท่นศูนย์กลางที่อยู่อาศัยแห่งใหม่ เป็นแหล่งเชื่อมต่อการเดินทางทั้งระบบรถและระบบราง โดยผู้ประกอบการรายใหญ่เข้าจับจองพื้นที่ทยอยเปิดโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ ส่งผลราคาเฉลี่ยขยับไปอยู่ที่ 1.5 แสนบาท/ตร.ม. ส่วนราคารีเซลย้อนหลัง 5 ปี ปรับเพิ่ม 20-40%  หลังพบเป็นทำเลศักยภาพสูง ด้านตลาดเช่าได้รับอานิสงส์ ด้วยอัตราผลตอบแทนเฉลี่ย 5% ขนาด 1 ห้องนอนตลาดตอบรับสูง นายอนุกูล รัฐพิทักษ์สันติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดเผยว่า พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ได้ทำการสำรวจตลาดคอนโดมิเนียมในทำเลพหลโยธิน-ลาดพร้าว พบว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมาผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ในตลาดคอนโดมิเนียมให้ความสนใจเข้ามาทยอยพัฒนาโครงการออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา มีโครงการคอนโดมิเนียมที่เป็นอาคารสูงโซนพหลโยธิน – ลาดพร้าว ในระยะรถไฟฟ้าเปิดตัวในระดับราคา 120,000 – 180,000 บาทต่อตารางเมตร และในช่วงครึ่งแรกของปี 2560 พบอัตราการตอบรับในระดับสูงเฉลี่ยที่ 84% จากอุปทานเสนอขายสะสมทุกโครงการ 4,616 ยูนิต อัตราดูดซับเฉลี่ย 153.1 ยูนิตต่อเดือนต่อโครงการ จากการขยายตัวของอุปสงค์ในพื้นที่นี้ ส่งผลให้ราคาขายคอนโดมิเนียมมีการขยับตัวสูงขึ้น โดยพบว่า ราคาขายเฉลี่ยคอนโดมิเนียมอาคารสูงปรับตัวเพิ่มขึ้น 5% เมื่อเทียบกับช่วงสิ้นปี 2559 มาอยู่ที่ 150,000 บาทต่อตารางเมตร และปัจจุบันโครงการเหล่านี้ได้มีการนำห้องชุดกลับมาขายใหม่ (Resale) และได้ปรับราคาให้สูงขึ้นกว่าราคาเสนอขายปัจจุบันแล้ว 10% มาอยู่ที่ 165,000 บาทต่อตารางเมตร สาเหตุที่โซนพหลโยธิน – ลาดพร้าว ได้รับความสนใจ เนื่องจากเป็นทำเลที่มีจุดเด่นด้านศูนย์กลางคมนาคมขนส่ง เป็นจุดเชื่อมต่อรถไฟฟ้าสองสาย ทั้งรถไฟฟ้า BTS สายสีเขียว และรถไฟฟ้ามหานครสายเฉลิมรัชมงคล (MRT) ที่เชื่อมการเดินทางให้ผู้คนสามารถเข้าถึงใจกลางเมืองได้ในระยะเวลาไม่นาน มีรถโดยสารสาธารณะให้บริการหลากหลาย และยังมีทางด่วน 2 สาย ได้แก่ ทางพิเศษศรีรัช และทางยกระดับอุตราภิมุข (ดอนเมืองโทลล์เวย์) และยังพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกที่มีความหลากหลายสำหรับทุกไลฟ์สไตล์ ไม่ว่าจะเป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ สถานที่ท่องเที่ยวระดับโลก อย่าง ตลาดนัดจตุจักร ตลาด อ.ต.ก.  หรือสวนจตุจักร ที่เป็นปอดแห่งใหญ่ของกรุงเทพ รวมถึงศูนย์การค้าที่มีชื่อเสียง โรงพยาบาล และสถานศึกษาที่มีชื่อเสียง ทำให้ย่านพหลโยธิน-ลาดพร้าวเป็นอีกหนึ่งทำเลที่เหมาะแก่การอยู่อาศัย ทำให้โครงการคอนโดมิเนียมในย่านนี้ได้รับการตอบรับที่ดีจากเหล่าอุปสงค์ที่แท้จริง ส่งผลให้ปัจจุบันราคาขายเฉลี่ยของคอนโดมิเนียมในย่านนี้มีการปรับตัวสูงขึ้นรวดเร็วมาก นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาสถานีกลางบางซื่อหรือศูนย์คมนาคมพหลโยธิน ที่เชื่อมต่อการเดินทางรถไฟฟ้าเส้นทางต่างๆ รวมถึงเชื่อมต่อรถไฟความเร็วสูงจากภาคเหนือลงสู่ภาคใต้ เพื่อยกระดับให้ทำเลนี้ให้เป็นฮับหรือศูนย์กลางด้านการเปลี่ยนถ่ายระบบคมนาคมทางรางที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน ซึ่งขณะนี้มีความคืบหน้าการก่อสร้างแล้วกว่า 52% และคาดว่าจะเปิดให้บริการได้ภายในปี 2563 จากศักยภาพของทำเลพหลโยธิน-ลาดพร้าว ที่กำลังจะกลายเป็นฮับด้านการคมนาคมขนส่งในไม่ช้า โดยจะกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทต่างๆ ในบริเวณโดยรอบสถานีกลางบางซื่อเพิ่มมากขึ้น อาทิ อาคารสำนักงานแห่งใหม่ในพื้นที่ ที่เตรียมเปิดใช้อาคารแล้ว ทำให้ย่านนี้ขยายตัวเป็นแหล่งงานแห่งใหม่ทำให้มีความต้องการที่อยู่อาศัยมากขึ้น จึงมีการพัฒนาคอนโดมิเนียมที่พักอาศัย เพื่อรองรับดีมานด์การอยู่อาศัยที่หนานแน่นขึ้น โดยกระจายการพัฒนาออกไปทั่วทำเลพหลโยธิน-ลาดพร้าว เป็นผลทำให้ในอนาคตราคาที่ดินในย่านนี้จะทะยานตัวสูงขึ้นได้อีกไม่น้อย ถือเป็นปัจจัยบวกที่ช่วยเพิ่มศักยภาพให้แก่ทำเล และกระตุ้นให้เกิดการซื้อ-ขาย หรือเช่าคอนโดมิเนียมเพิ่มมากขึ้น โดยมีเส้นทางรถไฟฟ้าหลักๆ ที่เชื่อมต่อการเดินทางระหว่างกันผ่านสถานีกลางบางซื่อจำนวนมาก“ย่านพหลโยธิน-ลาดพร้าว ไม่ได้มีเฉพาะผู้ที่ซื้ออยู่อาศัยจริงเท่านั้น แต่ได้รับการตอบรับอย่างดีจากผู้เช่า สะท้อนได้จากผลตอบแทนจากการปล่อยเช่าห้องชุดที่อยู่ในระดับดี เฉลี่ยอยู่ที่ 5% ต่อปี โดยรูปแบบห้องที่ได้รับความนิยมคือ 1 ห้องนอน พื้นที่ใช้สอย 30-40 ตารางเมตร มีราคาเช่าเฉลี่ย 520 บาทต่อตารางเมตรต่อเดือน (ราว 15,000-23,000 บาทต่อยูนิต) รองลงมาคือ 2 ห้องนอน พื้นที่ใช้สอย 60-70 ตารางเมตร ปัจจุบันมีราคาเช่าเฉลี่ย 542 บาทต่อตารางเมตรต่อเดือน (32,000-38,000 บาทต่อยูนิต) โดยในย่านนี้มีอัตราอยู่อาศัยหนาแน่นสูงถึง 90 - 95% เป็นผู้อยู่อาศัยเอง 65% และผู้เช่า 25%” นายอนุกูล กล่าว  
พลัส พร็อพเพอร์ตี้ เผยทิศทางอาคารให้เช่าอีก 3 ปีขยายตัว 16.5% ชี้เทรนด์กรีนบิวดิ้งมาแรง เหตุช่วยลดค่าใช้จ่ายพลังงานและเพิ่มค่าเช่าได้สูง

พลัส พร็อพเพอร์ตี้ เผยทิศทางอาคารให้เช่าอีก 3 ปีขยายตัว 16.5% ชี้เทรนด์กรีนบิวดิ้งมาแรง เหตุช่วยลดค่าใช้จ่ายพลังงานและเพิ่มค่าเช่าได้สูง

พลัส พร็อพเพอร์ตี้ เผยทิศทางอาคารสูงให้เช่าอีก 3 ปี มีแนวโน้มขยายตัว 16.5% อุปทานเพิ่มเป็น 9.73 ล้านตารางเมตร พบเทรนด์อาคารเขียวประหยัดพลังงานสนใจเริ่มมีมากขึ้น เหตุช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานต่อเดือนสูง และยังเรียกค่าเช่าได้สูงกว่าอาคารทั่วไป นายชาญ ศิริรัตน์  รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายบริหารทรัพยากรอาคารและวิศวกรรม บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด  ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดเผยว่า จากผลการวิจัยล่าสุดของ พลัส พร็อพเพอร์ตี้  พบว่า ในปี 2560 พื้นที่อาคารสำนักงานให้เช่ามีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากครึ่งหลังปี 2559 ที่มีอยู่ 8.404 ล้านตารางเมตร เนื่องจากปี 2560 มีโครงการใหม่ที่เตรียมเปิดให้บริการต่อเนื่องมา และในอนาคตคาดว่ามีอุปทานใหม่เตรียมเปิดให้บริการ อีกกว่า 1.389 ล้านตารางเมตรในอีก 3 ปีข้างหน้า ซึ่งจะส่งผลให้อุปทานสะสมขยายตัว 16.5% มาอยู่ที่ 9.793 ล้านตารางเมตร นอกจากนี้ยังพบว่าอัตราการเช่ารวมเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 5% จากครึ่งปีแรก 2559 และเพิ่มขึ้น 2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน “อาคารสำนักงานในปัจจุบันเริ่มเข้าสู่การเป็นรูปแบบของอาคารประหยัดพลังงาน (อาคารเขียวหรือ Green Building) เนื่องจากต้นทุนพลังงานมีแนวโน้มสูงขึ้นทุกปี โดยอาคารประหยัดพลังงานเริ่มเข้ามาในประเทศไทยอย่างเห็นได้ชัดมากขึ้น อาทิ อาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยแห่งใหม่ ที่พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ได้มีโอกาสเข้าไปบริหารจัดการ เป็นอาคารอนุรักษ์พลังงานเขียว สามารถประหยัดค่าใช้จ่ายได้พลังงานในแต่ละเดือนมากกว่า 50%  และทิศทางตึกสูงที่สร้างขึ้นใหม่ในปัจจุบันเริ่มพัฒนาออกมาในรูปแบบของอาคารเขียวมากขึ้น ซึ่งการปรับปรุงอาคารให้เป็นอาคารเขียว หรือการออกแบบอาคารใหม่ให้เป็นอาคารเขียวนั้น ถือเป็นส่วนหนึ่งของแผนการบริหารจัดการอาคารในระยะยาววิธีหนึ่ง เพราะอาคารเขียวแต่ละแห่งนั้นไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อการประหยัดพลังงานเท่านั้น แต่ยังเพียบพร้อมด้วยซอฟท์แวร์ในด้านการป้องกันการเกิดเหตุฉุกเฉินต่างๆ เอาไว้อย่างดี เพื่อให้เป็นอาคารที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและก่อให้เกิดคุณภาพชีวิตที่ดีต่อผู้อยู่อาศัยในตัวอาคารอีกด้วย ดังนั้นอาคารเขียวจึงมักได้รับการพิจารณาจากผู้เช่าเป็นอันดับต้นๆ” ปัจจุบัน พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ได้รับความไว้วางใจในการบริหารอาคารโครงการขนาดใหญ่และมีเทคโนโลยีซับซ้อน ในปัจจุบันรวม 30 อาคาร ซึ่งในการบริหารโครงการที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่นั้น พลัสฯ ได้มีการพัฒนาเทคโนโลยี่ในระดับมาตรฐานสากลเพื่อรองรับการปฏิบัติงานสำหรับอาคารขนาดใหญ่เหล่านั้น โดยคิดค้นซอฟต์แวร์ขึ้นมาสำหรับบริหารจัดการแต่ละอาคารโดยเฉพาะ มีการจัดเก็บฐานข้อมูล ของแต่ละอาคารอย่างละเอียด ทำแผนการบริหารงานและบริหารงบประมาณในการซ่อมบำรุงอาคารอย่างต่อเนื่องและเหมาะสม เพื่อให้เกิดมูลค่าเพิ่มกับตัวอาคาร เนื่องจากอาคารที่ได้รับการบริหารจัดการที่ดี ไม่เพียงแต่จะคงสภาพที่ดีเท่านั้นแต่ยังสะท้อนไปยังราคาที่เพิ่มขึ้นในอนาคต รวมถึงสามารถเพิ่มค่าเช่าได้สูงกว่าอาคารทั่วไปอีกด้วย ในที่นี้ ขอยกตัวอย่างอาคารที่พลัส พร็อพเพอร์ตี้เป็นผู้บริหารจัดการ คือ อาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นอาคารเขียว ที่มีพื้นที่บริหารรวมถึง 100,000 ตารางเมตร ซึ่งจากการออกแบบอาคารและการบริหารจัดการอาคารที่ดีจึงส่งผลให้อาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยประสบความสำเร็จอย่างมากทางด้านการประหยัดพลังงานและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เนื่องจากล่าสุดสามารถคว้ารางวัลจากงาน Thailand Energy Award 2017 ประเภทอาคารสร้างสรรค์เพื่อการอนุรักษ์พลังงาน อาคารใหม่ (New and Existing Building) จาก "Thailand Energy Awards 2017" กระทรวงพลังงาน รวมทั้งได้รับคัดเลือกให้เป็นตัวแทนประเทศไทยไปประกวด ASEAN Energy Awards 2017 ประเภท Energy Efficient Building Award 2017 ซึ่งผลอย่างไม่เป็นทางการได้รับรางวัล รองอันดับที่ 2 (2nd. Runner-up) สำหรับในปีนี้ เนื่องจากมีความโดดเด่นตามเกณฑ์การตัดสินที่ประกอบกันหลายด้าน อาทิ ด้านสถาปัตยกรรม ด้านจัดการพลังงาน และด้านการบริหารจัดการอาคารเขียวให้มีความเสถียรหลังจากที่ได้เปิดการใช้งานแล้ว ดังนั้นในส่วนนี้ผู้ดูแลอาคารจึงมีความสำคัญกับการรักษาเสถียรภาพของตัวอาคารให้เป็นไปตามเกณฑ์ ทั้งระบบคุณภาพอากาศ ระบบแสงสว่าง ระบบปรับอากาศซึ่งส่งผลต่อการใช้พลังงานโดยรวม ระบบการจัดการขยะ/จัดการมลพิษ เป็นต้น ซึ่งพลัส พร็อพเพอร์ตี้ในฐานะผู้บริหารจัดการอาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยมาอย่างต่อเนื่อง เป็นระยะเวลา 7 ปี จึงถือว่ารางวัลนี้เป็นความภาคภูมิใจของคนทำงานเบื้องหลัง เพราะหัวใจหลักของการอนุรักษ์พลังงาน/ประหยัดพลังงานในอาคารเขียวมาจากหลายส่วนที่สอดรับกับ โดยเริ่มตั้งแต่นโยบายการออกแบบอาคาร ให้เอื้อต่อการเป็นอาคารประหยัดพลังงาน รวมถึงการติดตั้งซอฟท์แวร์เพื่อควบคุมการทำงานของแสงที่เข้ามาสู่ตัวอาคาร การป้องกันความร้อนเข้าสู่ตัวอาคาร รวมถึงระบบการจัดการน้ำและระบบรักษาความปลอดภัย เป็นต้น และปัจจัยสำคัญอีกประการหนึ่งก็คือการมีผู้ดูแลอาคารที่มีความรู้ความเข้าใจในการทำงานของอาคารเขียว เพราะหากการออกแบบมาเป็นอย่างดีแล้วแต่ผู้ดูแลไม่มีความรู้ความเข้าใจก็จะเป็นการลงทุนโดยสิ้นเปลืองแต่ไม่ได้รับประโยชน์ใดๆ “ภาพรวมของตลาดของธุรกิจบริหารอาคารสำนักงานในปัจจุบันว่า เป็นตลาดที่โอกาสในการเติบโตสูงซึ่งเป็นผลจากการขยายตัวของเมืองใหญ่ทั้งในเขตกรุงเทพมหานครและเริ่มขยายตัวออกไปสู่เขตปริมณฑล รวมถึงหัวเมืองใหญ่ในต่างจังหวัด รวมถึงการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน จะเปิดโอกาสให้ความต้องการอสังหาฯ ในไทยสูงขึ้น โดยเฉพาะอาคารสำนักงานซึ่งจะเป็นอาคารที่มีความซับซ้อนทางเทคโนโลยีมากขึ้น” นายชาญ กล่าวสรุป  
พลัส พร็อพเพอร์ตี้ เผยทำเลพระโขนง-อ่อนนุชดีมานด์ต่างชาติพุ่ง ค่าเช่าขยับ 10% ราคารีเซล 5 ปี เพิ่ม 40%

พลัส พร็อพเพอร์ตี้ เผยทำเลพระโขนง-อ่อนนุชดีมานด์ต่างชาติพุ่ง ค่าเช่าขยับ 10% ราคารีเซล 5 ปี เพิ่ม 40%

พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เผยผลสำรวจตลาดเช่าที่อยู่อาศัยของต่างชาติ ในปี 2560 พบความต้องการในย่าน พระโขนง – อ่อนนุชเติบโตสูง ชี้ครึ่งปีแรกค่าเช่าขยับแล้วถึง 10% อัตราผลตอบแทนสูง 5-7% แซงหน้าย่านทองหล่อ –เอกมัย อีกทั้งตลาดรีเซลยังทำกำไรสูงกว่า โดยรูปแบบ 1 ห้องนอน ในระยะเวลา 5 ปี มีราคาขายต่อยูนิตเพิ่มขึ้นจากราคาในช่วงเปิดตัวถึง 24% นายอนุกูล รัฐพิทักษ์สันติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดเผยว่า พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ได้ทำการสำรวจ ความต้องการเช่าที่อยู่อาศัยพบว่ามีการเปลี่ยนแปลงอย่างน่าสนใจ โดยพบว่าทำเลพระโขนง-อ่อนนุช เป็นทำเลใหม่ที่ตลาดเช่าโดยเฉพาะกลุ่มชาวต่างประเทศที่มาทำงานในเมืองไทย (Expat) มีความต้องการเพิ่มขึ้นสูงมาก โดยล่าสุดครึ่งปี 2560 มีชาวต่างชาติเช่าห้องชุดเพื่ออยู่อาศัยในย่านนี้สูงถึงประมาณ 70% เพิ่มขึ้นจากเมื่อปี 2555 ที่มีชาวต่างชาติเช่าเพียง 56% จากความต้องการที่สูงขึ้นนี้จึงทำให้คอนโดมิเนียมในย่านนี้สามารถปรับค่าเช่าขึ้นได้แบบก้าวกระโดด โดยค่าเช่ามีการขยับตัวสูงขึ้น 10% ใน 3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งการปรับขึ้นมาดังกล่าวถือว่าเป็นการปรับที่สูงกว่าโซนทองหล่อ-เอกมัย ซึ่งเป็นโซนที่ชาวต่างชาตินิยมเช่าคอนโดมิเนียมมากที่สุด ซึ่งมีสัดส่วนสูงถึง 90% มีผู้เช่าคนไทยเพียงแค่ 10% โดย โซนทองหล่อ–เอกมัย มีอัตราค่าเช่าขึ้น 4% ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา สำหรับปัจจัยสำคัญที่ทำให้ชาวต่างชาติเริ่มหันไปเช่าคอนโดมิเนียมโซนพระโขนง–อ่อนนุช เพราะการเดินทางสะดวกมีรถไฟฟ้าผ่านแถมยังมีระยะทางไม่ไกลจากจุดศูนย์กลางของกรุงเทพฯ ที่สำคัญราคาอสังหาริมทรัพย์ยังไม่สูงมากเหมือนโซนใจกลางเมืองอื่นๆ โดยเฉพาะย่านทองหล่อ–เอกมัย ซึ่งเดิมเป็นทำเลที่มีความต้องการเช่าของต่างชาติ (ญี่ปุ่น เกาหลี อังกฤษ อเมริกา จีน) นั้น มีจำนวนที่ดินในการพัฒนาอย่างจำกัด ส่งผลให้มีการเปิดตัวโครงการใหม่ค่อนข้างน้อย ทำให้ราคาเปิดตัวมีราคาแพงและส่งผลให้อัตราผลตอบแทนการปล่อยเช่าลดลง โดยมีค่าเช่าเฉลี่ยอยู่ที 800 – 1,000 บาทต่อตารางเมตร หรือคิดเป็นผลตอบแทน (Rental Yield) เฉลี่ยอยู่ที่ 4-5 % ต่อปี หากขนาด 1 ห้องนอน (40-50 ตารางเมตร) ราคาค่าเช่าอยู่ที่ 35,000-55,000 บาท และรูปแบบ 2 ห้องนอน (60-80 ตารางเมตร) ราคาค่าเช่าอยู่ที่ประมาณ 60,000-80,000บาทต่อเดือน ในขณะที่โซนพื้นที่พระโขนง-อ่อนนุช มีค่าเช่าเฉลี่ยอยู่ที่ 500 – 600 บาทต่อตารางเมตร หรือคิดเป็นผลตอบแทน (Rental Yield) เฉลี่ยอยู่ที่ 5-7 %  รูปแบบห้องที่นิยมคือ ขนาด 1 ห้องนอน (30-35 ตารางเมตร) ราคาค่าเช่าอยู่ที่ 14,000-18,000 บาท และรูปแบบ 2 ห้องนอน (50-60 ตารางเมตร) ราคาค่าเช่าอยู่ที่ประมาณ 25,000-36,000บาทต่อเดือน นอกจากนี้ในส่วนของห้องที่นำกลับมาขายใหม่ (รีเซล) ในย่านพระโขนง–อ่อนนุช ก็ถือว่ามีความน่าสนใจ โดยตั้งแต่ปี 2555  เป็นต้นมา พบว่ารูปแบบ 1-2 ห้องนอนถูกนำกลับมาขายใหม่มากที่สุด โดยรูปแบบ 1 ห้องนอน มีราคาขายต่อยูนิตเพิ่มขึ้นจากราคาในช่วงเปิดตัวถึง 40% โดยปัจจุบันราคาเฉลี่ยรีเซลอยู่ที่ 122,000 บาทต่อตารางเมตร ในขณะที่ราคาเฉลี่ยของห้องรีเซลย่านทองหล่อ – เอกมัย อยู่ที่ 230,000 บาทต่อตารางเมตร เมื่อเปรียบเทียบกันจะพบว่าราคารีเซลในพื้นที่พระโขนง-อ่อนนุช ถูกกว่าพื้นที่ทองหล่อ – เอกมัย ถึง 47% และยังสามารถทำกำไรได้ดีกว่าถึง 9% “ปัจจัยที่สนับสนุนให้ทำเลพระโขนง – อ่อนนุช ได้รับความสนใจจากชาวต่างชาติ เพราะมีการเติบโตของตลาดที่อยู่อาศัยอย่างรวดเร็วและยังมีแนวโน้มขยายตัวได้ดีต่อเนื่อง และไม่เพียงแต่ราคาที่ถูกกว่าย่านทองหล่อ–เอกมัยเท่านั้น แต่ยังมีปัจจัยสนับสนุนที่โดดเด่นในด้านการคมนาคมที่สะดวก ทั้งถนนสายหลักเส้นสุขุมวิท ใกล้ทางขึ้นทางด่วนที่สะดวก รวมถึง แนวเส้นทางของโครงการระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพมหานคร (BTS) ส่วนต่อขยายสายสุขุมวิท จึงทำให้ราคาที่ดินมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกโดยรอบใหม่ๆ อย่างครบครัน  ทั้งโรงเรียนนานาชาติ ร้านอาหารที่เหมาะกับ ไลฟ์สไตล์ที่หลากหลาย แหล่งแฮงค์เอ้ทท์  และคอมมูนิตี้มอลล์ที่หลากหลาย แต่ก็ยังมีสถานที่ที่ตอบสอนองความต้องการของคนพื้นที่ เช่น ตลาดแบบดั้งเดิมในย่านพระโขนง หรือร้านอาหารเก่าแก่เจ้าดัง ทำให้ทำเลนี้มีสีสัน และสามารถเอื้อผลประโยชน์ต่อการลงทุนขายต่อหรือปล่อยเช่าคอนโดมิเนียมอีกด้วย และในอนาคตเมื่อโครงการรถไฟฟ้าสายสีเทาพร้อมเปิดให้บริการ บริเวณนี้จะกลายเป็นจุดอินเตอร์เชนจ์ระหว่างรถไฟฟ้าสายสีเขียวและสายสีเทา ปัจจัยเหล่านี้จึงสนับสนุนให้อสังหาริมทรัพย์ในทำเลพระโขนง – อ่อนนุช ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคเพิ่มขึ้นทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ” นายอนุกูล กล่าว
เพอร์เฟค เปิดตัวคอนโดใหม่ “เมโทรลักซ์ โรสโกลด์ พหล-สุทธิสาร” จับมือ พลัส พร็อพเพอร์ตี้ บริหารการขาย

เพอร์เฟค เปิดตัวคอนโดใหม่ “เมโทรลักซ์ โรสโกลด์ พหล-สุทธิสาร” จับมือ พลัส พร็อพเพอร์ตี้ บริหารการขาย

พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค ต่อยอดความสำเร็จในทำเลพหล-สุทธิสาร รุกเปิดตัวคอนโดโครงการใหม่ “เมโทรลักซ์ โรสโกลด์ พหล-สุทธิสาร” จับมือ “พลัส พร็อพเพอร์ตี้” ให้เป็นผู้บริหารการขาย เพื่อขยายฐานลูกค้า มั่นใจในจุดเด่นทั้งทำเล ดีไซน์ สิ่งอำนวยความสะดวก ประเมินภาพรวมตลาดคอนโดยังมีการตอบรับดี  เดินหน้ากระตุ้นยอดขายไตรมาส 3 ด้วยแคมเปญ “แพ็คคู่สุดคุ้ม" นายวงศกรณ์ ประสิทธิ์วิภาต กรรมการผู้จัดการ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ใน  ไตรมาส 3 นี้ บริษัทฯ ได้เดินหน้าเปิดตัวคอนโดมิเนียมโครงการใหม่ตามแผนที่วางไว้ ได้แก่ โครงการ เมโทรลักซ์ โรสโกลด์ พหล-สุทธิสาร หลังประสบความสำเร็จจากการเปิดการขายคอนโดมิเนียมในทำเลสุทธิสาร ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดี จึงได้ต่อยอดด้วยการเปิดโครงการต่อเนื่องเป็นโครงการที่สองในทำเลดังกล่าว โครงการเมโทรลักซ์ โรสโกลด์ พหล-สุทธิสาร  มีขนาดพื้นที่ 3 ไร่ มูลค่าโครงการ 1,070 ล้านบาท เป็นคอนโด Low-Rise สูง 8 ชั้น 2 อาคาร จำนวนรวม 317 ยูนิต เป็นแบบ 1 ห้องนอน จำนวน 262 ยูนิต ขนาดตั้งแต่ 25–53 ตารางเมตร และ 2 ห้องนอน จำนวน 55 ยูนิต ขนาดตั้งแต่ 52–60 ตารางเมตร  ทำเลที่ตั้งโครงการอยู่ใกล้สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส สะพานควาย บนถนนสุทธิสารซึ่งเชื่อมระหว่างถนนพหลโยธินและวิภาวดีรังสิต จึงสามารถเข้าออกได้หลายทาง ซึ่งเป็นจุดเด่นของโครงการ พร้อมกันนี้ พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค ยังได้มีความร่วมมือเป็นครั้งแรกกับ ผู้เชี่ยวชาญทางด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร อย่าง บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ให้เป็นผู้บริหารการขายและการตลาดให้กับ เมโทรลักซ์ โรสโกลด์ พหล-สุทธิสาร เพื่อขยายฐานลูกค้าใหม่เพิ่มเติม โดย นางสาวสมสกุล หลิมศุทธพรรณ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานบริหารสินทรัพย์ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด กล่าวว่าว่า พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ยินดีที่ได้ร่วมเป็นผู้บริหารงานขายโครงการเมโทรลักซ์ โรสโกลด์ พหล-สุทธิสาร และถือเป็นความภาคภูมิใจของพลัสฯ ด้วยเช่นกัน เนื่องจากพร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค ซึ่งเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ระดับแนวหน้า ได้ให้ความไว้วางใจในการทำงาน ในส่วนของงานบริหารงานขายโครงการเมโทร ลักซ์ โรสโกลด์ พหล-สุทธิสาร นี้ พลัสฯ ได้เล็งเห็นถึงศักยภาพของตัวโครงการที่ตั้งอยู่บนทำเลพื้นที่ชั้นกลางที่มีแนวโน้มเติบโตอย่างเห็นได้ชัดในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา และยังเป็นย่านที่มีอาคารสำนักงานตั้งอยู่เป็นจำนวนมาก ใกล้กับศูนย์กลางธุรกิจ รองรับด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน เดินทางสะดวก ด้วยราคาเริ่มต้นที่คนรุ่นใหม่จับต้องได้ จึงคาดว่าจะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี สำหรับทำเลย่านพหลโยธิน-สุทธิสารนี้ จากข้อมูลการทำวิจัยตลาดโดย พลัส พร็อพเพอร์ตี้ พบว่าได้รับความนิยมอย่างสม่ำเสมอ แต่กลับมีโครงการใหม่ที่เปิดในช่วง 1-2 ปีมานี้ไม่มาก เนื่องจากที่ดินแปลงใหญ่มีจำกัดมากขึ้น ทั้งนี้ ช่วงปี 2559 ถึงปัจจุบัน (กรกฎาคม 2560) มีโครงการเปิดตัวใหม่เข้าสู่ตลาด 2 โครงการ รวม 3,196 ยูนิต แบ่งเป็นคอนโดมิเนียม High Rise ราว 70% ราคาขายเฉลี่ยอยู่ที่ 160,000 บาท/ตารางเมตร ขณะที่คอนโดมิเนียม Low Rise มีราคาขายเฉลี่ยที่ 100,000 บาท/ตารางเมตร เป็นผลจากปัจจุบันที่ดินใกล้สถานีรถไฟฟ้ามีราคาสูงมาก ทำให้ความนิยมเริ่มขยายไปสู่ที่ดินตามถนนสายรองแต่ยังถือว่าอยู่ใกล้สถานีรถไฟฟ้า เช่น ทำเลสุทธิสาร เพราะไม่เพียงเป็นทำเลที่ใกล้รถไฟฟ้าเท่านั้น แต่ยังเชื่อมต่อได้หลายเส้นทางทั้งถนนวิภาวดีรังสิต พหลโยธิน และรัชดาภิเษก จากราคาของโครงการอื่นๆ ที่ขยับไปค่อนข้างสูง ในขณะที่พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค สามารถบริหารต้นทุนได้ดี ส่งผลให้ราคาขายของโครงการเมโทรลักซ์ โรสโกลด์ พหล-สุทธิสาร อยู่ในระดับที่ไม่สูงเมื่อเทียบกับคู่แข่ง โดยมีราคาขายเฉลี่ยเพียง 97,000 บาท/ตารางเมตร จึงเป็นจุดเด่นที่น่าสนใจของโครงการ และหากย้อนหลังไปดูราคาเปิดตัวของคอนโดมิเนียม High Rise โซนใกล้เคียง เช่น ย่านสนามเป้า-อารีย์-สะพานควาย เมื่อ 5-6 ปีที่แล้ว ราคาเฉลี่ยเปิดตัวอยู่ที่ 90,000–100,000 บาท/ตารางเมตร หากลงทุนในตอนนั้น ปัจจุบันราคาเฉลี่ยโครงการที่ถูกนำกลับมาขายใหม่ (รีเซล) ขยับสูงถึง 140,000–150,000 บาท/ตารางเมตร ส่วน Low Rise ราคาเฉลี่ยเปิดตัวอยู่ที่ 80,000 บาท/ตารางเมตร ปัจจุบันราคาเฉลี่ยโครงการที่ถูกนำกลับมาขายใหม่ (รีเซล) ขยับสูงถึง 93,000 บาท/ตารางเมตร เป็นทำเลที่มีการอยู่อาศัยหนาแน่นสูงถึง 80-90% และเป็นที่สนใจของผู้เช่า ตลอดจนราคาที่ดินรอบสถานีรถไฟฟ้าสนามเป้า-   อารีย์-สะพานควาย ในช่วงปี 5 ปีที่ผ่านมา เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 5-25% ต่อปี จึงเป็นที่แน่นอนว่าการพัฒนาโครงการใหม่ในอนาคตต้องมีต้นทุนการพัฒนาสูงขึ้น ดังนั้น คอนโดมิเนียมในทำเลนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการซื้อเพื่ออยู่อาศัยและเก็บไว้เป็นทรัพย์สินที่จะสร้างมูลค่าเพิ่มในอนาคตได้อย่างน่าสนใจเช่นกัน นายวงศกรณ์เปิดเผยเพิ่มเติมว่า นอกเหนือจากทำเลซึ่งเป็นจุดขายหลักแล้ว โครงการยังให้ความสำคัญในเรื่องรูปแบบดีไซน์ ที่ตรงกับไลฟ์สไตล์ลูกค้า ด้วยแนวคิดการตกแต่งในโทนโรสโกลด์ (Rose Gold) โทนสีมาแรงในวงการออกแบบ ตลอดจนงานสถาปัตยกรรมและการตกแต่งภายใน โดยโครงการได้นำมาใช้ในการตกแต่งภายในพื้นที่ส่วนต่างๆ ทั้ง ล็อบบี้ ฟิตเนส ตลอดจนเป็นทางเลือกในการตกแต่งห้องพักสำหรับลูกค้า เพื่อแสดงถึงความทันสมัยและหรูหราอย่างมีสไตล์ นอกจากนี้ยังคำนึงถึงคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัย ด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบทั้งสระว่ายน้ำพร้อม Bubble Jet, จากุซซี่, สตรีม, ฟิตเนส และสวนพักผ่อน   เมโทรลักซ์ โรสโกลด์ พหล-สุทธิสาร กำหนดเปิด พรีเซลส์ 22 กรกฏาคมนี้ ด้วยราคาเริ่มต้น 2.19 ล้านบาท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค ยังได้จัดกิจกรรมการตลาดเพื่อกระตุ้นการขายในไตรมาส 3 ด้วยแคมเปญ “Double Pack Sale”  โดยนำคอนโดพร้อมอยู่มาจัดโปรโมชั่นในรูปแบบ "แพ็คคู่สุดคุ้ม" ด้วยแพ็คคู่ 2 ยูนิต ราคาพิเศษสำหรับห้องแรก และส่วนลดมากขึ้นสำหรับห้องที่สอง ซึ่งให้ส่วนลดสูงสุดถึง 1 ล้านบาทโดยไม่ต้องจับสลาก สำหรับซื้อเพื่ออยู่อาศัยและลงทุนในเวลาเดียวกัน อาทิ เดอะสกาย สุขุมวิท ห้องแรกเริ่ม 3.69 ล้าน ห้องที่สองจากราคา 3.8 ล้าน เหลือเพียง 2.69 ล้านบาท, เมโทรสกาย บางซื่อ-ประชาชื่น ห้องแรกเริ่ม 2.15 ล้าน ห้องที่สองจากราคา 2.5 ล้าน เหลือเพียง 1.79 ล้านบาท, เมโทรลักซ์ เกษตร ห้องแรกเริ่ม 2.45 ล้าน ห้องที่สองจากราคา 2.5 ล้าน เหลือเพียง 1.6 ล้านบาท เป็นต้น โดยมีให้เลือกกว่า 10 โครงการ และจะมีการจัดอีเวนต์ที่ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล พลาซ่า ลาดพร้าว ในวันที่ 27 กรกฏาคม ถึง 2 สิงหาคมนี้ด้วย
พลัส พร็อพเพอร์ตี้ เผยมุมมองการทำธุรกิจของผู้ประกอบรุ่นใหม่ “สร้างตัวตน เสริมแกร่งด้วยความแตกต่าง สร้างมูลค่าเพิ่มให้ลูกค้า”

พลัส พร็อพเพอร์ตี้ เผยมุมมองการทำธุรกิจของผู้ประกอบรุ่นใหม่ “สร้างตัวตน เสริมแกร่งด้วยความแตกต่าง สร้างมูลค่าเพิ่มให้ลูกค้า”

ผู้ประกอบการรุ่นใหม่ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เริ่มมีการเติบโตอย่างชัดเจน ในช่วง 3-5 ปีทีผ่านมา และจากการที่บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ได้ร่วมเป็นที่ปรึกษาด้านการขายแบบครบวงจรกับลูกค้ากลุ่มผู้ประกอบการรุ่นใหม่ (Young Developer) ราว 12 แห่ง จำนวน 12 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 12,000 ล้านบาท  พบปัจจัยที่ดึงดูดให้ผู้ประกอบการรุ่นใหม่หันมาสนใจธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เป็นธุรกิจที่อยู่บนปัจจัยที่สำคัญของทุกคน เป็น Real Sector ที่สำคัญของประเทศ มีมูลค่าทางเศรษฐกิจมหาศาล สามารถขับเคลื่อน ธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องได้อย่างมีนัยสำคัญ สามารถพิสูจน์ความสำเร็จให้กับรุ่นพ่อแม่ให้เห็นได้รวดเร็ว และยังสามารถต่อยอดไปสู่ธุรกิจอื่นๆ เช่น อพาร์ทเมนต์ หรือโรงแรมได้ เราจึงได้เห็นว่าอสังหาริมทรัพย์ยังคงเติบโตไปได้ตลอดแม้ในสภาวะที่มีการแข่งขันสูง หรือเศรษฐกิจชะลอ แต่ก็ยังมีผู้ประกอบการหน้าใหม่เพิ่มเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย และสร้างโปรดักซ์ใหม่ๆ กับกับวงการอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้จะเห็นว่าภาครัฐและเอกชนต่างๆ ได้มีการเปิดหลักสูตรเฉพาะด้านอสังหาเพิ่มขึ้นสำหรับผู้ประกอบการหน้าใหม่อย่างต่อเนื่อง สะท้อนให้เห็นถึงความสนใจและความต้องการที่จะเข้ามาทำธุรกิจที่เพิ่มขึ้นในช่วงหลังนี้อย่างชัดเจน  ลักษณะของผู้ประกอบการรุ่นใหม่ แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ ต่อยอดจากรุ่นพ่อแม่ ที่ทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อยู่แล้ว โดยรุ่นลูกอาจจะมีการพัฒนาเป็นรูปแบบใหม่ มีการปรับคาแรกเตอร์ให้ทันสมัยขึ้น และต่อยอดแบรนด์ใหม่ๆ และอีกส่วนหนึ่งมาจากการร่วมมือกับกลุ่มเพื่อนทายาทธุรกิจที่มีความสนใจในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เหมือนกัน ซึ่งอาจจะพบกับตามคอร์สระยะสั้นที่เปิดสอนด้านการทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ถ่ายทอดโดยผู้มีประสบการณ์จริง อีกกลุ่มหนึ่งคือขยาย Business Line เป็นกลุ่มทายาทธุรกิจที่เห็นโอกาสจากการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ แม้ว่ารุ่นพ่อแม่จะประสบความสำเร็จจากธุรกิจอื่น แต่สามารถต่อยอดสิ่งที่มีอยู่เช่น Landbank ที่รับตกทอดมา เป็นต้น นอกจากนี้ ผู้ประกอบการรุ่นใหม่ เมื่อเข้าสู่ตลาดอสังหาฯ ยังสร้างความเปลี่ยนแปลงสู่วงการอสังหาริมทรัพย์ในหลายๆ มิติ อาทิ ผู้ประกอบการรุ่นใหม่เหล่านี้ เป็นกลุ่มที่ให้ความสำคัญกับฐานข้อมูลตลาดมากขึ้น  พร้อมทั้งวิเคราะห์ข้อมูลอย่างละเอียด เพื่อนำไปสู่การออกแบบโครงการ ขนาดห้อง และการกำหนดราคา ให้ตรงกับความต้องการผู้บริโภค มี มี connection ที่กว้างขวาง รวมถึงการดึงมืออาชีพเข้ามาเป็นที่ปรึกษา รวมถึงการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ ทั้งในส่วนของการอยู่อาศัยและการก่อสร้างเข้ามาช่วยลดข้อจำกัดในการใช้พื้นที่ เช่นใช้ระบบ Jet Pool เพื่อแก้ปัญหาสระว่ายน้ำที่เล็ก / ห้อง แบบ One Bed Plus ที่ปรับฟังก์ชั่นได้หลากหลาย ใช้ Home Automation เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายแก่ลูกค้า  ด้านการทำตลาด จะเลือกทำเลในการลงทุนที่เลี่ยงการชนกับเจ้าตลาดหรือรายใหญ่   เน้นทำเลศักยภาพที่มีความต้องการอยู่อาศัยจริงอยู่ไม่ห่างจาก Prime Area มีความครบถ้วนในทุกมิติ ทั้งใกล้รถไฟฟ้า ใกล้แหล่งชอปปิ้ง ร้านอาหาร มีผู้คนอาศัยอย่างหนาแน่น สามารถเดินทางเชื่อมต่อได้หลากหลาย โดยทำเลนี้ยังตอบโจทย์ผู้ที่เคยอาศัยอยู่เดิมแต่ต้องการแยกออกมาอยู่อาศัยส่วนตัว โดยทำเลที่ได้รับความนิยมคือ พระราม 9 ลาดพร้าว รัชดา และพหลโยธินตอนกลาง ในส่วนของกลยุทธ์ด้านราคาเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ทำให้โครงการเหล่านี้ประสบความสำเร็จ โดยการทำราคาให้เอื้อมถึงง่าย เหมาะสมกับกลุ่มลูกค้าอยู่อาศัยเอง มากกว่าที่เน้นเก็งกำไรหรือลงทุน ส่วนการดีไซน์เป็นอีกปัจจัยสำคัญต่อความสำเร็จของโครงการที่เน้นกลุ่มลูกค้าที่มีไลฟ์สไตล์เฉพาะ เนื่องจากการวางคอนเซปต์ การกำหนดคาแรกเตอร์ของโครงการล้วนมีผลต่อการตัดสินใจของผู้ซื้อที่ไม่ต้องการได้สินค้าเหมือนท้องตลาดทั่วไป สำหรับ พลัส พร็อพเพอร์ตี้ เราเน้นการให้ความสำคัญของที่ปรึกษาด้านการขายแบบครบวงจร  ด้วยทีมวิจัยแบบเจาะลึกที่มีประสบการณ์การลงพื้นที่ต่างๆ กว่า 20 ปี ซึ่งจุดเด่นของหน่วยงานนี้คือการบอกต่อของลูกค้า ส่งผลให้พลัสฯ สามารถขยายตลาดไปสู่กลุ่มผู้ประกอบการรุ่นใหม่ที่มีศักยภาพในการทำธุรกิจ รวมถึงกลุ่มทุนต่างประเทศทั้งญี่ปุ่น ฮ่องกง จีน ล่าสุด ธุรกิจ Sole agent ของพลัสฯ ได้เปิดตัวเว็บไซต์ www.plussoleagent.com เพื่อเป็นช่องทางในการนำเสนอบริการให้กับกลุ่มทุนทั้งชาวไทย และชาวต่างประเทศที่มีความสนในการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ พร้อมทั้งเป็นช่องทางในการนำเสนอ ข้อมูลข่าวสารต่างๆ ในแวดวงอสังหาริมทรัพย์ และข่าวสารความเคลื่อนไหวของโครงการต่างๆ ที่ทำการพัฒนา โดยปัจจุบันมีสัดส่วนลูกค้าชาวไทย 75% และต่างชาติ 25%
อสังหาฯ ร้อนแรงต่อเนื่องล่าสุด!!! เปิดตัวใหม่อีกราย “เดอะ ช้อยส์ พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์”

อสังหาฯ ร้อนแรงต่อเนื่องล่าสุด!!! เปิดตัวใหม่อีกราย “เดอะ ช้อยส์ พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์”

ดึงตัววิศวกรผู้คร่ำหวอดในวงการอสังหาฯ ผันตัวจากนาราคอนซัลส์มารั้งตำแหน่งเอ็มดี เผยโครงการแรก “ซี เอกมัย” ไฮไรส์ คอนโด บนเส้นเอกมัย ทำเลดี ราคาโดนใจ มั่นใจงานก่อสร้าง อสังหาร้อนแรงไม่หยุดยั้ง ล่าสุด บริษัท เดอะ ช้อยส์ พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด กระโดดลงสังเวียนอสังหาฯ อีกราย ประเดิมโครงการแรกด้วย High Rise คอนโด   “ซี เอกมัย” ภายใต้แนวคิด “ปริซึมดีไซน์” ราคาเริ่มต้นเพียง 3 ล้านบาท มูลค่าโครงการรวม 3,000 ล้านบาท เผยโครงการแรกอยากทำให้ดีทีสุด จึงเลือกทำเลเด่น ให้ของที่มีคุณภาพดี ดีไซน์เฉียบ พร้อมดึง “พลัส พร็อพเพอร์ตี้” ดันเรื่องการทำการตลาดและการขาย คาดปิดโครงการได้ไม่ยากเพราะทำเลย่านเอกมัยยังคงมีอุปสงค์ถึง 82% และราคาที่อยู่อาศัยย่านนี้เพิ่มขึ้นทุกวัน  ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาราคาคอนโดถีบตัวขึ้นแล้วกว่า 80% นายวิญญู พูลเกิด กรรมการผู้จัดการ บริษัท เดอะช้อยส์ พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด กล่าวว่า “ผมอยู่ในวงการอสังหาฯ มาเป็นระยะเวลานาน เรียกว่าตลอดชีวิตเลยก็ว่าได้ ตอนนี้ได้มาสวมหมวกอีกใบ ในฐานะหัวเรือใหญ่ของเดอะ ช้อยส์ พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ซึ่งต้องขอบคุณคณะผู้บริหารที่ไว้วางใจ การทำงานในฐานะผู้พัฒนาโครงการอีกครั้ง ผมได้นำความรู้ทุกอย่างที่เก็บเกี่ยวมาตลอดชีวิตมาใช้ เพื่อไปสู่เป้าหมายของบริษัทที่วางไว้ นั่นคือ ในอีก 5 ปีข้างหน้า เราจะพัฒนาโครงการให้ครอบคลุมทั้งแนวสูง แนวราบ จากนั้นจะไปสู่การพัฒนาโครงการที่ไม่ใช่เพื่อการอยู่อาศัยเท่านั้น โดยจะเป็นการพัฒนาโครงการเพื่อการพาณิชย์ ไม่ว่าจะเป็นอาคารสำนักงาน โรงแรม หรือแม้กระทั่งสถานที่ท่องเที่ยวเป็นต้น สำหรับโครงการแรกของเดอะช้อยส์ คือ โครงการ ซี เอกมัย (C Ekkamai) ซึ่งเป็น High Rise คอนโดมิเนียม สูง 44 ชั้น จำนวน 736 ยูนิต ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัย 729 ยูนิต และเป็นห้องเพื่อการค้า 7 ยูนิต   สำหรับห้องเพื่อการอยู่อาศัยมีทั้งสิ้น 3 ขนาดให้เลือก ได้แก่ ขนาด 1 ห้องนอน พื้นที่ 27-52.25 ตร.ม. , ขนาด 2 ห้องนอน พื้นที่ 51.50-65 ตร.ม. และ PENTHOUSE พื้นที่ 82-126 ตร.ม. โดยราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 125,000 บาทต่อ ตร.ม. โดยราคาห้องเริ่มต้นอยู่ที่ 3 ล้านบาท และราคาสูงสุดที่ 19 ล้านบาท  โครงการเรา ตั้งอยู่บนถนนเอกมัยใกล้ฝั่งเพชรบุรี   โดยโครงการนี้เราใช้แนวคิดในการพัฒนาโครงการ คือ “ปริซึมดีไซน์” (Prism Design)  เราดึงเอาหลักการสะท้อนของแสงผ่านแท่ง Prism เป็น Dimension ต่างๆออกมาใช้  ไม่ว่าจะเป็นการสะท้อนถึงทำเล ณ ถนนเอกมัย จุดที่ตั้งของโครงการ ถือเป็นจุดเชื่อมต่อ CBD ได้ง่าย และรวดเร็ว ทั้งถนนสุขุมวิท และเพชรบุรี  เป็นทำเลของการใช้ชีวิตแบบ Urbanite ใจกลางเอกมัย-ทองหล่อ นอกจากนี้ ในมุมหนึ่งของการสะท้อนของ “Prism” จะถูกถ่ายทอดอยู่ในงานสถาปัตย์ และงานตกแต่งภายในของ C Ekkamai  นั่นคือ ทุกเส้นของการออกแบบ  รายละเอียดที่ใส่ลงไปการออกแบบพัฒนาโครงการล้วนสอดรับกับทุกการใช้งาน  อาทิ จาก Function ของห้องที่วาง layout ห้องไว้เป็นอย่างดี  ความสูงจากพื้นถึงเพดานถึง 2.7 เมตร ทุกห้องมาตรฐาน  ทำให้ห้องโปร่งสบายยิ่งขึ้น  พร้อมความสวยงามและพื้นที่ที่มากกว่าของสิ่งอำนวยความสะดวกส่วนกลาง และ Sky lounge ชมวิว 360 องศา จากมุมที่สูงที่สุดในเอกมัย การพัฒนาโครงการแรกบนถนนเอกมัย ทำให้ทีมงานต้องทำการบ้านหนักพอสมควร เนื่องจากถนนเส้นนี้เป็นถนนที่มีไลฟ์สไตล์ เข้ามาเกี่ยวข้องกับการอยู่อาศัยเป็นอย่างมาก เรามองว่ากลุ่มเป้าหมายของเรา คือ กลุ่มลูกค้าระดับ B+ มีรายได้มีประมาณ 60,000 บาท ขึ้นไป ชอบใช้ชีวิตในเมือง หรือในย่านธุรกิจ  ซึ่งสะดวกสบายในการเดินทาง โดยโครงการนี้ เรามอบหมายให้บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด มาช่วยในการดูแลด้านการบริหารการตลาดและการขาย" นางสาวสมสกุล  หลิมศุทธพรรณ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานบริหารสินทรัพย์ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด กล่าวเกี่ยวกับสถานการตลาดอสังหาฯ ย่านเอกมัยว่า “ทำเลเอกมัยเป็น ทําเลคุณภาพ ใกล้ใจกลางเมือง ใกล้ศูนย์กลางธุรกิจ และมีเส้นทางคมนาคมที่สะดวกสบาย สามารถเชื่อมต่อไปถนนพระราม 4, ถนนเพชรบุรี และเชื่อมต่อรามอินทราอย่างสะดวก  ด้วยความสะดวกสบาย และความเจริญใกล้เมืองทำให้ที่ดินย่านนี้หายากขึ้นทุกวัน ปัจจุบัน ในพื้นที่เอกมัย มีโครงการเปิดขายจำนวน 4 โครงการ จํานวนอุปทานรวมตั้งแต่เปิดโครงการถึง ปัจจุบันอยู่ที่ 1,096 ยูนิต ดีมานด์ให้การตอบรับดีถึง 82%  ทำให้ราคาที่อสังหาฯในย่านนี้ ปรับตัวขึ้นสูงถึง 80% ภายในระยะเวลาเพียง 5 ปี  สำหรับคอนโดมิเนียม Re-Sale ที่เปิดตัวในช่วง 2-5 ปีที่ผ่านมา ราคาขายเฉลี่ยยังปรับขึ้นจากตอนเปิดตัวถึง 30-50% สําหรับตลาดเช่าเอง ผลตอบแทนจากการปล่อยเช่าอยู่ในระดับดีไม่แพ้กัน Gross Rental Yield  ประมาณ 4 % ต่อปี โดยรูปแบบห้องที่นิยมมากที่สุดคือ 1 ห้องนอน  ดังนั้น ทำเลนี้จึงยังเป็นทำเลที่ร้อนแรงตลอดอยู่อย่างต่อเนื่อง” ด้านการความคาดหวังด้านงานขาย โครงการ ซี เอกมัย นางสาวสมสกุล กล่าวต่อว่า “สำหรับโครงการนี้ เรามั่นใจว่าจะได้รับการตอบรับอย่างดี จากทั้งกลุ่มลูกค้าที่อยู่อาศัยเองและนักลงทุน  เพราะการเปิดตัวด้วยราคาเฉลี่ยเพียง 125,000บาท ต่อ ตรม. กับทำเลนี้  ถือว่าเป็นที่สุดทั้งด้านคุณภาพ และราคาของคอนโดใหม่ในเส้นเอกมัย  โดยช่วงเปิดตัว คาดประมาณยอดขายไว้ที่ 40%  ณ วัน Pre-Sale  ทั้งนี้เมื่อเทียบกับเจ้าอื่นในตลาดที่เปิดตัวด้วยราคาเฉลี่ยในตลาดที่ 160,000 บาท ต่อ ตารางเมตร จะเห็นได้ว่าโครงการ C Ekkamai เป็นโครงการที่น่าสนใจมาก และคาดว่าจะปิดการขายได้ทั้งหมดภายในระยะเวลาไม่นาน" โครงการ ซี เอกมัย เป็น High Rise คอนโดมิเนียนขนาด 44 ชั้น  736 ยูนิต ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัย 729 ยูนิต และเป็นห้องเพื่อการค้า 7 ยูนิต โดดเด่นด้วยทำเลติดถนนเอกมัยเชื่อมต่อใจกลางทองหล่อ ถนนสุขุมวิท และเพชรบุรี,  และงานออกแบบด้านสถาปิก และงานตกแต่งภายในที่ใส่ใจเรื่องใช้ชีวิตได้จริงของลูกค้าอย่างสะดวกสบาย และลงตัวที่สุดลงไปในตัวโครงการ เช่น การใส่ใจทุกรายละเอียดของการออกแบบและก่อสร้าง เช่นการออกแบบปีกอาคารให้เป็น Single corridor และช่องหน้าต่างเพื่อบรรยากาศโปร่งสบายภายในตัวอาคาร การใช้วัสดุเกรด Premium เช่นครัว Top หิวสังเคราะห์, หน้าบาน High Gloss, และรางลิ้นชัก Soft close เพิ่มพื้นที่ในการอยู่อาศัยให้กว้างและสบายมากกว่าเดิม เช่น ฝ้าเพดานจะสูงกว่ามาตรฐานที่ 2.7 เมตรสำหรับ 1 ห้องนอน และสูงถึง 4.2 -5.5 เมตรสำหรับห้องพิเศษเพดานสูง หรือแม้กระทั่ง lobby และ Sky Lounge ที่เพดานสูงถึง 7 และ 8 เมตรตามลำดับ นอกจากนี้มีการเพิ่มพื้นที่ชมวิวจากห้องนั่งเล่นด้วยความยาวของ Balcony ที่มากกว่าที่สามารถชมวิวที่สูงที่สุดในเอกมัย Facilities คิดมาเพื่อตอบโจทย์ทุก Lifestyle บนมาตรฐานเทียบเท่ากับโรงแรม เช่น จุด drop off ที่ถูกออกแบบโดยคำนึงถึงสภาพการจราจรจริง lobby ที่ออกแบบมาเสมือนห้องรับแขกเพื่อเป็นที่นัดพบของลูกบ้านและเพื่อนด้วย design ที่โอ่โถงและสวยงามที่จะคอยสร้างความประทับใจให้คนที่มาเยี่ยม นอกจากนี้ยังมี facilities ที่คิดมาให้เพียงพอต่อความต้องการลูกบ้านในทุก lifestyle ไม่ว่าจะเป็น swimming pool, working space, fitness, jogging track, sky garden, sky lounge and roof top ซึ่งสิ่งเหล่านี้ลูกบ้านสามารถเป็นเจ้าของได้ด้วยราคาที่ดีที่สุดในเส้นเอกมัย-ทองหล่อ “The Best Price Condominium in EKKAMAI Neighborhood” โครงการ ซี เอกมัย พร้อมเปิดตัวด้วยราคาขายพิเศษ ณ วัน Pre-Sales ในวันที่ 15-16 ต.ค.นี้ โดย ขนาด 1 ห้องนอน ราคาเริ่มต้นที่ 3 ล้านบาท และลูกค้าจะได้รับส่วนลดพิเศษสูงสุด 100,000บาท และรวมถึงส่วนลดเพิ่มเติมจากการแสดงสิทธิลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์อีก 50,000 บาท รวมมูลค่าส่วนลดสูงสุด 150,000 บาท ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร หรือลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์เพื่อรับสิทธิส่วนลดพิเศษได้ที่  098-268-5588 หรือ www.cekkamai.com
พลัส พร็อพเพอร์ตี้แนะจับตาตลาดคอนโดหรู 7 หมื่นล้าน ย่านอโศก-พร้อมพงษ์ โครงการพร้อมโอนเนื้อหอม คาดปี’60 แตะ 2.6 แสนบ./ตร.ม.

พลัส พร็อพเพอร์ตี้แนะจับตาตลาดคอนโดหรู 7 หมื่นล้าน ย่านอโศก-พร้อมพงษ์ โครงการพร้อมโอนเนื้อหอม คาดปี’60 แตะ 2.6 แสนบ./ตร.ม.

พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เผยผลสำรวจ อสังหาริมทรัพย์ในเขตกรุงเทพมหานครช่วงปี 2555-2558  มีมูลค่าเฉลี่ยรวมกว่า 1.4 แสนล้านบาท พบว่ากว่า 50% อยู่ในพื้นที่ อโศก-พร้อมพงษ์ เหตุเป็นทำเลศักยภาพมีจุดเชื่อมต่อคมนาคมรถไฟฟ้า BTS และ MRT แถมยังเป็นแหล่งที่ผู้คนอยู่อาศัยหนาแน่น 80-90% เป็นศูนย์กลางธุรกิจ แหล่งทำงาน แหล่งชอปปิ้ง และสถานศึกษาสำคัญ คาดราคาที่ดินขยับขึ้นต่อเนื่อง ส่งผลราคาคอนโดมิเนียมปี 2560 มีแนวโน้มขยับถึง 2.6 แสนบาท/ตารางเมตร ด้านโครงการพร้อมโอนปีนี้เนื้อหอมสุด เหตุผู้ซื้อ-นักลงทุน รีบจับจองก่อนราคาขยับในปีหน้า นายภูมิภักดิ์ จุลมณีโชติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด  ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดเผยว่า จากการสำรวจคอนโดมิเนียมที่เป็นอาคารสูงในเขตกรุงเทพมหานคร  ที่เปิดขายตั้งแต่ปี 2555-2558 พบว่าในปี 2558 มีจำนวน 51 โครงการ คิดเป็น 24,883 ยูนิต มูลค่ารวมของโครงการอยู่ที่ 214,931 ล้านบาท แต่หากคิดจากปี 2555-2558 มีมูลค่าโครงการเฉลี่ยที่ 142,535 ล้านบาท ในขณะที่ในเขตอโศก-พร้อมพงษ์ตั้งแต่ปี 2555 มีโครงการคอนโดมิเนียมอาคารสูงที่เปิดขายทั้งหมด 18 โครงการ มีจำนวนห้องชุดทั้งหมด 5,556 ยูนิต มีมูลค่าโครงการรวม 71,799 ล้านบาท หรือคิดเป็น 50% ของมูลค่าเฉลี่ยโครงการคอนโดมีเนียมเปิดใหม่ในแต่ละปี ในพื้นที่กรุงเทพฯ ทั้งนี้ผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ได้เข้ามาชิงพื้นที่ในการพัฒนาโครงการใหม่ๆ ในพื้นที่นี้ เนื่องจากช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมาโครงการคอนโดมีเนียมหรูใจกลางเมืองมียอดขายที่ดีมาก ซึ่งยังคงดีต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน ถึงแม้ว่าอัตราขายจะลดลงแต่ก็ยังถือว่าเป็นอัตราการขายที่ดีอยู่ อีกทั้งกำลังซื้อของลูกค้าระดับบนไม่ได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของภาวะเศรษฐกิจ นอกจากนี้ในปี 2559 อุปทานคอนโดมิเนียมในโซนอโศก – พร้อมพงษ์เพิ่มขึ้นจำนวน 1,044 ยูนิตคิดเป็น 19% จากปี 2558 ส่งผลให้มีอุปทานรวมจำนวน 5,417 ยูนิต ซึ่งเป็นการเติบโตในอัตราที่ลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อน เนื่องจากที่ดินที่สามารถจะพัฒนาโครงการใหม่เริ่มหายากมากขึ้น จำนวนยอดขายสะสมในไตรมาส 3/2559 มีทั้งหมด 4,200 ยูนิต เพิ่มขึ้น 10% จากปีก่อน และมียอดขายเฉลี่ย 77% ขณะที่อุปทานใหม่ในช่วงไตรมาส 4/2559 ถึง ไตรมาส 2/2560 มีเพียง 558 ยูนิต ซึ่งเป็นจำนวนที่น้อยมากเมื่อเทียบกับโซนอื่นๆ สำหรับในปี 2559 จะมีโครงการที่เริ่มโอนทั้งหมด 3 โครงการได้แก่ เดอะเทอร์ตี้ไนน์ และเอดจ์ สุขุมวิท 23 จากแสนสิริ  โครงการลุมพินี 24 จากแอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์  รวมจำนวนทั้งสิ้น 1,056 ยูนิต มูลค่ารวมทั้งสิ้น 8,600 ล้านบาท ส่วนโครงการอื่นที่จะทยอยเสร็จในปี พ.ศ. 2560, 2561 และ 2562 จะมีจำนวน 278, 2,801 และ 1,421 ห้อง ตามลำดับ และมีมูลค่า 13,000, 29,758 และ 20,441 ล้านบาท ตามลำดับเช่นกัน ซึ่งหากมองจากโครงการทั้งหมดบนทำเลอโศก-พร้อมพงษ์ พบว่า เอดจ์ สุขุมวิท 23 และแอชตัน อโศก เป็นโครงการที่โดดเด่นได้เปรียบโครงการอื่น เนื่องจากตั้งอยู่บนจุดตัดของรถไฟฟ้า BTS และ MRT และเป็นโครงการแรกในช่วงหลายปีที่ผ่านมาที่อยู่ใกล้กับอโศกอินเตอร์เชนจ์  โดยเอดจ์ สุขุมวิท 23 จะก่อสร้างเสร็จในปีนี้ (2559) ส่วนแอชตัน อโศก จะก่อสร้างเสร็จในปี 2561 อนึ่ง ทำเลดังกล่าวราคาปรับเพิ่มทุกปี โดยค่าเฉลี่ยของการปรับราคาของโครงการเปิดใหม่ต่อปีอยู่ที่ 9-10% ดังนั้นโครงการที่พร้อมโอนปีนี้จะมีราคาถูกกว่าโครงการใหม่ถึง 30% ทำให้เป็นที่สนใจของผู้ที่ต้องการอยู่อาศัยจริงหรือลงทุน อีกทั้งราคารีเซลของโครงการพร้อมโอนถือว่ายังไม่ขยับสูงขึ้นไปมากทำให้สามารถลงทุนได้ อย่างไรก็ตามคาดการณ์ว่าในปี 2560 ราคาขายคอนโดมิเนียมในโซนอโศก-พร้อมพงษ์ จะปรับขึ้นไปที่ 260,000 บาท/ตารางเมตร “แม้พื้นที่โซนอโศก-พร้อมพงษ์ จะมีขนาดเพียง 2.5 ตารางกิโลเมตร แต่ถือเป็นทำเลที่มีศักยภาพในหลายด้าน ทั้งด้านการคมนาคมที่โดดเด่นด้วยการมีสถานีที่เป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างรถไฟฟ้า BTS และ MRT ที่สามารถดึงดูดผู้อยู่อาศัยทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ มีอาคารสำนักงานรวมกว่า 900,000 ตารางเมตร เป็นศูนย์กลางแหล่งชอปปิ้งและสถาบันการศึกษาชั้นนำ เช่น  มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร โรงเรียนวัฒนาวิทยาลัย เป็นต้น ซึ่งจากข้อมูลการพักอาศัยของโครงการที่พลัส พร็อพเพอร์ตี้ บริหารในทำเลนี้ พบความหนาแน่นของการอยู่อาศัยกว่า 80-90%  ซึ่งถือว่าเป็นทำเลที่มีความหนาแน่นการอยู่อาศัยเป็นอันดับต้นๆ ของกรุงเทพฯ และยังเป็นตลาดเช่าที่ใหญ่ที่สุดในกรุงเทพฯ ทำให้ความต้องการของคอนโดมีเนียมในบริเวณนี้มีมากทั้งจากผู้ที่ต้องการอยู่อาศัยเอง และผู้ที่ต้องการลงทุนเพื่อการปล่อยเช่า ซึ่งอัตราผลตอบแทนการปล่อยเช่าอยู่ที่ 5%  อย่างไรก็ตาม ปัจจัยอย่างหนึ่งที่ต้องจับตามองคือยังมีโครงการใหม่ๆที่กำลังขายและรอโอนในปีหน้าและปีต่อๆไปว่าจะได้รับการตอบรับอย่างไรเพราะผลตอบรับนี้จะเป็นตัวชี้วัดถึงการเติบโตของโครงการหรูในอนาคต แต่ที่ชัดเจนคือ โครงการพร้อมโอนปีนี้มียอดรีเซลที่คึกคักเพราะได้เปรียบในเรื่องส่วนต่างของราคาเมื่อเทียบกับโครงการเปิดใหม่” นายภูมิภักดิ์ กล่าว
พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ชี้สุขุมวิทชั้นในหนาแน่นผู้อาศัยหันซบ “อ่อนนุช” ตลาดปล่อยเช่าคึกคักแตะ 2 หมื่น บาท/เดือน ราคาขายต่อพุ่ง 30%

พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ชี้สุขุมวิทชั้นในหนาแน่นผู้อาศัยหันซบ “อ่อนนุช” ตลาดปล่อยเช่าคึกคักแตะ 2 หมื่น บาท/เดือน ราคาขายต่อพุ่ง 30%

พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เผยผลสำรวจอสังหาฯ ย่านอ่อนนุชน่าจับตา หลังพบที่อยู่อาศัยโซนสุขุมวิทชั้นในหนาแน่นและราคาสูง ส่ง อานิสงส์การขยายตัวย่านอ่อนนุชมีความต้องการสูง เพราะทำเลใกล้ศูนย์กลางธุรกิจและใกล้จุดขึ้น-ลงทางด่วน ทำให้กลุ่มลงทุนปล่อยเช่าคึกคัก ด้วยราคาค่าเช่าที่ปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องมาอยู่ที่ราว 20,000 บาทต่อเดือน หรือเพิ่มขึ้น 13% ส่วนราคาห้องชุดรีเซลปรับเพิ่มขึ้น 30% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันระหว่างปี 2556 และ 2557     นายภูมิภักดิ์ จุลมณีโชติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด  ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดเผยว่า  พื้นที่ย่านอ่อนนุช (ซ.สุขมวิท 77) เป็นอีกหนึ่งทำเลที่มีความต้องการสูง เนื่องจากเป็นแหล่งชุมชนเก่าแก่ที่แยกตัวมาจากเส้นสุขุมวิท ประกอบด้วยที่พักอาศัย ร้านค้า และร้านอาหารต่างๆ มากมาย มีระบบขนส่งมวลชนอย่างรถไฟฟ้าบีทีเอส ที่มีสถานีอ่อนนุชเป็นที่หมายปลายทางสุดท้ายของรถไฟฟ้าสายสีเขียว (ปัจจุบันมีส่วนต่อขยายมาจากสถานีอ่อนนุชยาวจนถึงสถานีแบริ่ง) จึงทำให้พื้นที่ย่านอ่อนนุชกลายเป็นจุดเชื่อมต่อสำคัญให้กับกลุ่มคนทำงาน นักเรียน นักศึกษา ที่ต้องการเดินทางเข้าสู่ใจกลางเมืองได้อย่างสะดวกมากขึ้น ส่งผลให้พื้นที่นี้เกิดธุรกิจการค้าขนาดย่อมๆ ขึ้นอยู่โดยทั่วไป ความชุกชุมของผู้ที่อาศัยอยู่ในย่านนี้ จนถึงความต้องการที่อยู่อาศัยใกล้เมือง ใกล้รถไฟฟ้า เริ่มอยู่ในความสนใจของบุคคลมาเป็นระยะ ทำให้พื้นที่บริเวณนี้พลิกฟื้นให้กลายเป็นพื้นที่เศรษฐกิจอีกแห่งที่เข้ามารองรับความหนาแน่นของพื้นที่ศูนย์กลาง ธุรกิจอย่างพื้นที่สุขุมวิท ด้วยศักยภาพของทำเลซึ่งใกล้จุดขึ้น-ลงทางด่วน เช่น ทางพิเศษศรีรัช รามอินทรา-อาจณรงค์ ทางด่วนบูรพาวิถี อีกทั้งยังเชื่อมต่อเข้าถึงพื้นที่สุขุมวิทชั้นในได้ในระยะเวลาอันสั้นด้วยรถไฟฟ้าบีทีเอส ทำให้เกิดคอมมูนิตี้มอลล์ขึ้นหลายแห่งในพื้นที่เพื่อรองรับกลุ่มคนที่หนาแน่นในย่านนี้ และรองรับการขยายตัวของครอบครัวที่กำลังเกิดขึ้นในอนาคต     ช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา ทำเลอ่อนนุช เกิดการขยายตัวของคอนโดมิเนียมค่อนข้างหนาแน่น และมีความต้องการรองรับได้ดีในระดับสูงไม่แพ้โซนสุขุมวิทชั้นใน แต่ยังมีราคาที่ต่ำกว่าสุขุมวิทชั้นใน ที่ปรับตัวขึ้นไปแล้วถึงตารางเมตรละ 300,000 บาท อีกทั้งสุขุมวิทชั้นในอุปทานเริ่มน้อยลงเพราะเริ่มเหลือพื้นที่พัฒนาอย่างจำกัด ในขณะที่โซนอ่อนนุชยังสามารถพัฒนาห้องชุดในระดับกลางที่ราคาไม่สูงจนเกินไปจึงเป็นปัจจัยที่ทำให้อ่อนนุชโดดเด่นขึ้นมา เนื่องจากเป็นจุดเชื่อมต่อเข้าใกล้พื้นที่ชั้นใน โดยเฉพาะศูนย์กลางธุรกิจได้สะดวกมากกว่าโซนส่วนต่อขยายอื่นๆ ทำให้เกิดกระแสการพัฒนาตลาดคอนโดมิเนียมมาสักระยะหนึ่งแล้ว ที่สำคัญยังเป็นที่หมายตาของอุปสงค์ผู้ที่ทำงานในย่านธุรกิจหลักให้เข้ามาจับจองห้องชุดได้อยู่เป็นระยะๆ อีกทั้งยังรองรับกลุ่มอุปสงค์ที่ซื้อเพื่อการลงทุน เช่น การปล่อยเช่าได้เป็นอย่างดี เพราะปัจจุบันราคาปล่อยเช่าคอนโดฯ ในย่านนี้ขยับตัวขึ้นไปถึง 13% ในปี 2557 (ภาพ 1) มาอยู่ที่ค่าเช่าเฉลี่ย 458.89 บาทต่อตารางเมตรหรือประมาณ 20,000 บาทต่อเดือน ในห้องชุดรูปแบบ 1 ห้องนอน  ซึ่งนับว่าเป็นอัตราค่าเช่าที่ถูกกว่าบริเวณใกล้เคียงกัน เช่น ทองหล่อ เอกมัย ส่วนราคารีเซล (นำกลับมาขายใหม่) ในพื้นที่นี้ราคาเพิ่มสูงขึ้น 30% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันระหว่างปี 2556 และ 2557 มาอยู่ที่ราคาขายเฉลี่ย 89,573 บาทต่อตารางเมตรในช่วงสิ้นปีที่ผ่านมา (ภาพ 2)   “กลุ่มผู้เช่าส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติ เช่น จีน สิงคโปร์ ญี่ปุ่น ฯลฯ ที่ต้องการพักอาศัยอยู่โซนสุขุมวิท แต่สุขุมวิทชั้นในเริ่มมีความหนาแน่นและมีราคาสูง อ่อนนุชจึงเข้ามารองรับความต้องการในส่วนนี้ ถึงแม้ในช่วงนี้อาจจะยังเห็นโครงการใหม่ไม่มาก เนื่องจากผู้ประกอบการส่วนใหญ่ชิงความได้เปรียบหันไปก่อสร้างโครงการแนวรถไฟฟ้าบีทีเอสและส่วนต่อขยายจากเส้นอ่อนนุชก่อน แต่อย่างไรก็ตามอ่อนนุชยังคงเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์หลักที่สำคัญ ที่ยังมีความได้เปรียบกว่าทำเลอื่นๆ ดังนั้น คาดว่าในอนาคตคอนโดฯ ในพื้นที่อ่อนนุชยังพร้อมขยายตัวได้อีกมาก อีกทั้งยังจะมีความต้องการที่หลากหลายจากการขยายตัวของห้างสรรพสินค้าระดับไฮเอนด์ในพื้นที่สุขุมวิท ที่น่าจะดันอุปสงค์ให้ขยายตัวมาลงที่อ่อนนุชซึ่งเป็นพื้นที่ข้างเคียงได้มาก อีกทั้งคอมมูนิตี้มอลล์ที่เปิดให้บริการในปัจจุบันเริ่มเป็นที่นิยมเพิ่มขึ้น จึงมีการประเมินว่าย่านอ่อนนุช จะกลับมาคึกคัก และทำให้มีความต้องการที่อยู่อาศัยมากขึ้นเช่นกัน” นายภูมิภักดิ์ กล่าว