Tag : รีไฟแนนซ์คอนโด

2 ผลลัพธ์
5 เทคนิค เพิ่มโอกาสอนุมัติรีไฟแนนซ์บ้าน/คอนโด

5 เทคนิค เพิ่มโอกาสอนุมัติรีไฟแนนซ์บ้าน/คอนโด

สำหรับคนที่เคยกู้สินเชื่อบ้านหรือคอนโดจากธนาคารมาก่อน คงรู้กันดีธนาคารมีสิทธิ์ตอบรับหรือปฏิเสธการขอสินเชื่อ ถ้าเลือกได้เราก็คงอยากเป็นคนที่ได้รับการอนุมัติ คงจะดีไม่น้อยถ้าเราได้มีโอกาสเตรียมตัวก่อนจะถึงเวลารีไฟแนนซ์ เพื่อเพิ่มโอกาสการอนุมัติเวลาเราไปขอสินเชื่อรีไฟแนนซ์บ้าน/รีไฟแนนซ์คอนโดกับธนาคาร เทคนิคที่ 1 ชำระหนี้ให้ตรงตามกำหนด เป็นเวลาไม่ต่ำกว่า 1 ปี ทุกครั้งที่มีการขอสินเชื่อ เจ้าหน้าที่ของธนาคารที่จะไปตรวจสอบประวัติการชำระหนี้ของเราจากบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (เครดิตบูโร) ซึ่งเก็บรวบรวมประวัติการขอสินเชื่อและประวัติการชำระหนี้ของเราไว้ เพื่อเอามาประเมินว่าเรามีนิสัยการชำระหนี้เป็นอย่างไร (ทั้งหนี้บ้าน หนี้รถยนต์ หนี้บัตรเครดิต) ทางที่ดีคือไม่ควรมีการชำระล่าช้า เป็นเวลาไม่ต่ำกว่า 1 ปี ก็จะทำให้มีโอกาสได้รับการอนุมัติมากขึ้นครับ เทคนิคที่ 2 ปิดบัตรเครดิตที่ไม่ได้ใช้ หลายคนอาจยังไม่รู้จักคำว่า “ความสามารถในการก่อหนี้” ซึ่งดูง่ายๆ จากวงเงินสินเชื่อที่เราสามารถทำการเบิกกู้ได้ ถ้าจะให้เห็นภาพง่ายๆ ก็คือ บัตรเครดิตนี่แหละครับ สมมติเราเงินเดือน 50,000 บาท แต่มีบัตรเครดิต 3 ใบ วงเงินใบละ 200,000 บาท ถ้าวันดีคืนดี เราดันไปรูดจนเต็มวงเงินทุกใบ กลายเป็นว่ามีหนี้ 600,000 บาททันที แบบนี้ธนาคารก็อาจมองว่าจะเอาเงินที่ไหนมาผ่อนบ้าน จึงเป็นที่มาของคำแนะนำในข้อนี้ว่าถ้าหากมีบัตรเครดิตหลายใบ และมีใบที่ไม่ได้ใช้จริงๆ ก็ปิดไปดีกว่าครับ เทคนิคที่ 3 เดินบัญชีธนาคาร (Statement) อย่างสม่ำเสมอ หนึ่งในรายการเอกสารที่ทุกธนาคารขอเวลาเรายื่นใบสมัครรีไฟแนนซ์บ้าน/รีไฟแนนซ์คอนโด ก็คือรายการเดินบัญชีย้อนหลัง เพื่อนำมาดูว่าเรามีรายได้เข้ามาสม่ำเสมอหรือไม่ และแต่ละเดือนมีเงินเข้า/ออกอย่างไรบ้าง ซึ่งก็แล้วแต่ธนาคารว่าจะดูย้อนหลังกี่เดือน บางธนาคารก็ 6 เดือน หรือบางธนาคารอาจขอดูยาวถึง 2 ปีเลยก็มี เทคนิคที่ 4 สลิปเงินเดือนหรือหนังสือรับรองเงินเดือน บางคนอาจเคยได้ยินว่า สลิปเงินเดือนต้องใช้สลิปคาร์บอนเท่านั้น แต่หลายๆบริษัทสมัยนี้ไม่ใช้กระดาษคาร์บอนในการพิมพ์สลิปเงินเดือนแล้ว จึงสงสัยกันว่าถ้าสลิปเงินเดือนไม่ใช่กระดาษคาร์บอน จะกู้ผ่านไหม ก็ขอตอบกันตรงนี้ให้หายข้อข้องใจเลยแล้วกันครับว่า “ได้เหมือนกัน” เพียงแต่สลิปคาร์บอนจะดูน่าเชื่อถือกว่าเล็กน้อยเท่านั้นเอง แต่เราก็สามารถขอใบรับรองเงินเดือนจากบริษัทมาประกอบ เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือได้เช่นกันครับ เทคนิคที่ 5 ลายเซ็นต้องเหมือนกันทุกแผ่น คุณรู้หรือไม่ว่าเอกสารทุกใบที่ส่งไปธนาคารจะพูดตรวจสอบให้แน่ใจว่า ไม่ได้เป็นมิจฉาชีพมาแอบอ้างขอสินเชื่อ ดังนั้นการเซ็นรับรองในเอกสารทุกใบควรเซ็นให้เหมือนกัน เพราะแต่ละวันมีเอกสารจำนวนมากถูกปฏิเสธเพราะลายเซ็นไม่ตรงกัน ทำให้ต้องเสียเวลาไปเซ็นใหม่อีกรอบ ขอบคุณแหล่งที่มา : https://www.refinn.com/เพิ่มโอกาสอนุมัติรีไฟแนนซ์บ้าน
REFINANCE ที่อยู่อาศัยแล้วชีวิตดี เงินเหลือใช้ จริงหรือไม่?

REFINANCE ที่อยู่อาศัยแล้วชีวิตดี เงินเหลือใช้ จริงหรือไม่?

หลายคนที่กำลัง ‘ผ่อน’ ที่อยู่อาศัยอยู่ คงมีความรู้สึกอยากผ่อนให้หมดไวๆ ใช่ไหมคะ บ้างก็ใช้วิธีการโปะเพิ่มทุกเดือนเพื่อช่วยร่นระยะเวลาในการผ่อน แต่ความจริงแล้วมีอีกหนึ่งวิธีที่ทำให้เราประหยัดรายจ่ายในเรื่องของดอกเบี้ย ซึ่งทำให้ผ่อนบ้านหมดเร็วขึ้นคือ การ “REFINANCE” หรืออธิบายง่ายๆ คือการไปกู้เงินจากธนาคารอื่นที่จ่ายดอกเบี้ยถูกกว่ามาจ่ายคืนธนาคารเดิมที่เคยกู้นั่นเองค่ะ สำหรับข้อดีของการ REFINANCE คือตัวช่วยผ่อนบ้านให้หมดไวขึ้น โดยจ่ายค่างวดเท่าเดิมแต่จ่ายส่วนที่เป็นดอกเบี้ยน้อยลง ก็ทำให้ลดเงินต้นได้มากขึ้น หรือบางคนที่ผ่อนบ้านไปแล้วเกิดปัญหาการเงิน กรณีหมุนไม่ทัน ก็สามารถรีไฟแนนซ์เพื่อขอลดค่างวดที่ต้องจ่ายต่อเดือนลงหรือเป็นการยืดระยะเวลาในการผ่อนให้นานขึ้น คนที่สนใจ REFINANCE ต้องเช็คสัญญากู้ก่อนนะคะว่ามีกำหนดระยะเวลาที่สามารถรีไฟแนนซ์ได้เมื่อไหร่ ส่วนใหญ่จะกำหนดไว้ 3 ปี แต่กรณีที่รีไฟแนนซ์ก่อนกำหนดจะเสียค่าปรับประมาณ 0-3% ของวงเงินกู้เดิม (มีระบุไว้ในสัญญากู้) แนะนำว่ารอให้หมดช่วงก่อนดีกว่าค่ะ เพราะถ้าดอกเบี้ยไม่ได้แพงมากจนเกินไป ส่วนใหญ่รีไฟแนนซ์ก่อนกำหนดมักจะไม่คุ้ม และการรีไฟแนนซ์ทุกครั้งจะมีค่าใช้จ่ายแฝงในอยู่ด้วย ไม่ใช่แค่การคำนวณเพื่อปรับลดดอกเบี้ยเท่านั้น ค่าใช้จ่ายในการรีไฟแนนซ์มีอะไรบ้าง เรามาดูไปพร้อมกันเลยดีกว่าค่ะ... 1. ค่าธรรมเนียมการจำนอง กรณีที่รีไฟแนนซ์ธนาคารใหม่จะคิด 1% ของวงเงินกู้ใหม่ เพื่อจ่ายให้กรมที่ดิน 2. ค่าประเมินราคาทรัพย์สิน การ REFINANCE ทั่วไปจะอยู่ที่ 0.25-2% ของราคาประเมินจากกรมที่ดิน หรือคิดเป็นจำนวน 1,500 - 10,000 บาท ขึ้นอยู่กับธนาคาร แต่กรณีที่รีไฟแนนซ์ธนาคารเดิมไม่ต้องจ่ายนะคะ ซึ่งจะเรียกว่าการรีเทนชั่น 3. ค่าธรรมเนียมการปล่อยกู้ จะคิดประมาณ 0-3% ของวงเงินกู้ใหม่ (ซึ่งบางธนาคารก็ไม่คิดค่าธรรมเนียมนี้ สอบถามก่อนก็ดีค่ะ) 4. ค่าอากรแสตมป์ สำหรับค่าอาการแสตมป์นั้นจะคิดเท่ากันทุกธนาคาร คือ 0.05% ของวงเงินกู้ใหม่ค่ะ 5. ค่าประกันอัคคีภัย ในการ REFINANCE ไม่ว่าจะกู้ธนาคารใหม่หรือธนาคารเดิม จะต้องเสียค่าประกันอัคคีภัยซึ่งแต่ละธนาคารจะมีอัตราค่าประกันต่างกัน เมื่อรู้ค่าใช้จ่ายทั้งหมดแล้ว ก็นำมาเปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ธนาคารใหม่กับธนาคารเก่า โดยคิดเฉลี่ย 3 ปี เพราะการรีไฟแนนซ์จะกำหนดให้ทำได้หลัง 3 ปี แต่ต้องระวังเวลาเปรียบเทียบดอกเบี้ยที่เป็น MLR MRR ของแต่ละธนาคารไม่เท่ากัน ตัวอย่างเพื่อทำความเข้าใจอย่าละเอียด สมมุติว่ากู้ธนาคารเดิม 2,000,000 บาท อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี คือ 4.75% ต่อปี ผ่อนเดือนละ 13,000 บาท ผ่อนไปโปะไปแล้ว 3 ปี มียอดหนี้เหลือ 1,500,000 บาท (เปรียบเทียบดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์มาแล้วทุกธนาคาร) แต่เอาที่ถูกที่สุด คือ ดอกเบี้ยปีแรก 2.5% ปีถัดไป MRR-2% สมมติ MRR ธนาคารที่เราเลือกคือ 7% วิธีคิดอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีธนาคารใหม่ คือ {(2.5% x 1 ปี) + [(7%-2%) x 2 ปี } / 3 ปี = 4.17% ต่อปี ดูแล้วน่าจะถูกกว่า แต่อย่าลืมคิดค่าธรรมเนียมต่างๆ ด้วยนะคะ อาทิ ค่าธรรมเนียมการจำนอง 1% x 1,500,000 บาท = 15,000 บาท ค่าประเมินราคาสินทรัพย์ สมมติธนาคารคิด 3,000 บาท ค่าธรรมเนียมปล่อยกู้ สมมติให้ไม่มี ค่าอากรแสตมป์ 0.05% x 1,500,000 บาท = 750 บาท ส่วนค่าประกันอัคคีภัย เราไม่ได้เอาไปคิดนะคะ เพราะถึงเราไม่รีไฟแนนซ์ก็ต้องจ่ายค่าประกันนี้ทุก 3 ปีอยู่แล้ว ยกเว้นประกันกับธนาคารเดิมไม่ใช่ 3 ปี หรือธนาคารมีค่าบริการอื่นนอกจากนี้ จะเอาค่าใช้จ่ายนั้นมาคิดรวมด้วย พอรวมค่าใช้จ่ายในการรีไฟแนนซ์ทั้งหมด จะได้เท่ากับ 18,750 บาท จากนั้นก็ลองไปคำนวณเปรียบเทียบดอกเบี้ย 3 ปีของทั้ง 2 ธนาคารดู ถ้ากู้ต่อธนาคารเดิมอัตราดอกเบี้ย 4.75% เมื่อครบ 3 ปี จะจ่ายดอกเบี้ยทั้งหมดประมาณ 192,450 บาท ยอดหนี้คงเหลือ คือ 1,224,440 บาท ถ้าเปลี่ยนไปกู้ที่ธนาคารใหม่ อัตราดอกเบี้ย 4.17% เมื่อครบ 3 ปี จะจ่ายดอกเบี้ยทั้งหมดประมาณ 167,435 บาท เมื่อรวมกับค่าธรรมเนียม 18,750 บาท รวมเป็น 186,185 บาท ยอดหนี้คงเหลือ คือ 1,199,430 บาท                  จากตัวอย่างด้านบนเห็นได้ชัดเลยค่ะว่ากรณีรีไฟแนนซ์ทำให้เราประหยัดดอกเบี้ยได้เยอะกว่า และลดเงินต้นได้เยอะขึ้นด้วย แต่ในการคำนวณเราต้องคำนึงแนวโน้มของอัตราดอกเบี้ยในอนาคตด้วยนะคะ เพราะ MRR หรือ MLR เป็นตัวเลขที่อาจมีการปรับขึ้นลงตามอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ถ้าเราคิดว่าในอนาคตอีก 2-3 ปี อัตราดอกเบี้ยจะเพิ่มขึ้นมากๆ และอัตราดอกเบี้ยที่เรากำลังจ่ายอยู่ขึ้นกับ MRR/MLR การรีไฟแนนซ์ก่อนกำหนดและเสียค่าปรับ ก็อาจจะคุ้มค่ามากกว่าค่ะ :)