Tag : สีทาบ้าน

2 ผลลัพธ์
เรื่อง(ไม่)ลับ 5 เหตุผลที่ทำให้บ้านเย็น ด้วยสีเข้ม เบเยอร์คูล

เรื่อง(ไม่)ลับ 5 เหตุผลที่ทำให้บ้านเย็น ด้วยสีเข้ม เบเยอร์คูล

แม้ประเทศไทยจะมี 3 ฤดู คือ ฤดูหนาว ฤดูร้อน และฤดูฝน แต่ฤดูที่คนไทยพบเจอยาวนานที่สุดและแทรกตัวอยู่ทุกฤดูก็คงหนีไม่พ้นฤดูร้อน ไม่ว่าจะฤดูไหน อากาศร้อนๆ ก็อยู่กับเราแทบทุกวัน ทางเลือกของคนส่วนใหญ่จึงต้องเข้าไปอยู่ในอาคารหรือบ้านพักอาศัยเพื่อสัมผัสอากาศเย็นของเครื่องปรับอากาศให้ชื่นฉ่ำแทน แต่การเปิดเครื่องปรับอากาศเป็นทางออกที่ไม่ได้แก้จากต้นเหตุหลักของปัญหาเพราะ การที่บ้านรับแสงแดดไปเต็มๆมาตลอดทั้งวัน จนทำให้ความร้อนเข้าสู่ตัวบ้าน เมื่อเปิดเครื่องปรับอากาศรับรองต้องจ่ายค่าไฟกันชนิดกระเป๋าเงินแทบฉีกก็ได้ การเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องปรับอากาศดีที่สุดโดยไม่ต้องกินไฟมาก และลดอุณภูมิร้อนจากแสงแดดภายนอกเข้าสู่ตัวบ้าน จึงเป็นหนึ่งในวิธีป้องกันปัญหาที่สำคัญ ซึ่งเราไม่ควรมองข้ามหรือละเลยแม้แต่น้อย     วิธีการทำให้บ้านเย็น หรือการลดอุณภูมิความร้อนที่เข้าสู่ตัวบ้าน เพื่อไม่ให้บ้านร้อนนั้น มีหลายวิธีด้วยกัน นับตั้งแต่เรื่องเบสิก อย่างเช่นการปลูกต้นไม้รอบๆ บ้าน เพื่อไม่ให้แสงแดดสัมผัสกับตัวบ้านโดยตรง หรือไปถึงขั้นตอนวิธีการในเชิงวิศวกรรมการก่อสร้าง อย่างเช่น การก่อสร้างด้วยวัสดุซึ่งมีฉนวนกันความร้อน หรือการก่อสร้างบ้านให้มีระบบอากาศให้ถ่ายเท และระบายความร้อนได้ดี เป็นต้น   แต่มีสิ่งหนึ่งที่เจ้าของบ้านหลายคนอาจจะมองข้าม และนึกไม่ถึงว่าจะมีส่วนช่วยทำให้บ้านเย็นได้ไม่แพ้เทคนิคหรือวิธีการอื่นนั่นก็ คือ การเลือกใช้สีทาบ้านที่มีคุณสมบัติพิเศษ สามารถป้องกันความร้อนและลดอุณหภูมิเข้าสู่ตัวบ้าน ซึ่งส่วนใหญ่ภาพจำและการรับรู้ของคนส่วนใหญ่ จะมองว่าสีทาบ้านมีจุดเด่นในเรื่องของความสวยงาม หรืออาจจะมีคุณสมบัติพิเศษอื่นๆ เช่น ไม่มีสารเคมี ทำความสะอาดง่าย เป็นต้น ซึ่งไม่ได้เป็นประเด็นในเรื่องของป้องกันความร้อนเท่าใดนัก   และแม้ว่าหลายคนจะมีความรู้เกี่ยวกับคุณสมบัติของสีรุ่นใหม่ๆ ที่วางขายกันตอนนี้ ว่ามีคุณสมบัติในเรื่องของการป้องกันความร้อน และช่วยให้บ้านเย็น แต่ส่วนใหญ่ก็ยังมีการรับรู้และความเชื่อที่ว่า จะต้องเลือกใช้เฉพาะสีโทนอ่อนๆ เท่านั้น ที่ไม่ดูดซับความร้อน แต่ถ้าเป็นสีโทนเข้มจะอมความร้อนทำให้บ้านร้อนมากกว่า เหมือนกับเวลาเราใส่เสื้อสีเข้มยืนอยู่กลางแดด จะรู้สึกว่าได้รับความร้อนมากกว่าการใส่เสื้อสีอ่อนๆ แต่ความจริงสีในยุคปัจจุบัน มีนวัตกรรมและเทคโนโลยีของสีซึ่งช่วยทำให้บ้านเย็นได้ไม่ว่าจะเป็นสีอ่อนหรือสีเข้มก็ตาม     ตัวอย่างสีเข้มที่ช่วยทำให้บ้านเย็น สะท้อนความร้อนได้ดี และลดอุณหภูมิร้อนๆ ที่จะเข้าสู่ตัวบ้าน แต่ก็ยังคงความสวยงามของเฉดสีเอาไว้ คือ Beger Cool Diamond Shield 15 และ Beger Cool Diamond Shield Plus ซึ่งแม้จะเป็นสีเข้ม แต่สีเบเยอร์ก็ช่วยให้บ้านคูลที่สุดในขณะนี้เมื่อเทียบกับสีแบรนด์อื่นๆ และนี่คงเป็น 5 เหตุผลสำคัญ ที่ช่วยทำให้สีเข้มของเบเยอร์คูล คูลที่สุด   1.การผลิตสีได้นำเอาเทคโนโลยี ไมโครสเฟียร์เซรามิก ที่ใช้ในองค์การนาซ่า มาใช้ในสีทาบ้าน ทำให้มีคุณสมบัติพิเศษ คือ “ลดและสะท้อนความร้อน” จึงทำให้บ้านเย็น ส่งผลให้ไม่ต้องเปิดเครื่องปรับอากาศในอุณหภูมิต่ำๆ เป็นระยะเวลานาน เพียงเปิดในอุณหภูมิที่เหมาะสมก็พอ ทำให้ส่งผลดีในเรื่องของการประหยัดค่าไฟ   2.เซรามิก อีกส่วนผสมหลักในการผลิตสี หรือ Advanced Ceramic ที่มีคุณสมบัติสามารถกันความร้อนสูงสุด 97% จึงช่วยประหยัดค่าไฟสูงถึงกว่า 30% เพราะเป็นเซรามิกที่ต้องการความบริสุทธิ์สูง มีการควบคุมองค์ประกอบทางเคมีอย่างรัดกุม ทนต่อการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิอย่างฉับพลันเพื่อเป็นฉนวนกันความร้อน ถือเป็นเซรามิกชนิดพิเศษ จึงช่วยเรื่องการกันความร้อน และทำให้บ้านเย็น สีเข้มของเบเยอร์คูล จึงคูลที่สุดอย่างปฏิเสธไม่ได้     3.การที่สีเข้มของเบเยอร์คูล คูลที่สุด เป็นเพราะมีการเพิ่มสารสำคัญ Titanium ซึ่งมีผลช่วยเรื่องเม็ดสีมีความกลม เกลี้ยงของผิว จึงช่วยสะท้อนความร้อนจากแสงอาทิตย์ และเม็ดสียังมีลักษณะกลวง จึงเหมือนกับสารกันร้อน ที่มีลักษณะคล้ายกับฟองกาแฟ ทำให้ช่วยกันความร้อนก่อนจะสัมผัสกับตัวบ้านได้ ทำให้อุณหภูมิภายในอาคารเย็นกว่า สบายกว่า ไม่ว่าทาด้วยสีเข้มแค่ไหนก็ตาม   4.ผ่านการทดสอบจากการวัดด้วยเครื่อง Thermoscan เปรียบเทียบระหว่างเบเยอร์คูล และสีทั่วไป พบว่าสามารถสะท้อนความร้อนได้มากกว่า อาทิ สีเทา สะท้อนความร้อนได้ 51.4% ช่วยลดอุณหภูมิลง 11.8 องศาเซลเซียส ส่วนสีทั่วไป สะท้อนความร้อนได้ 13.8% สีเขียว สะท้อนความร้อนได้ 30.7% ช่วยลดอุณหภูมิลง 8.7 องศาเซลเซียส ส่วนสีทั่วไป สะท้อนความร้อนได้ 5.2% สีน้ำตาลเข้ม สะท้อนความร้อนได้ 59.3% ช่วยลดอุณหภูมิลง 12.0 องศาเซลเซียส ส่วนสีทั่วไป สะท้อนความร้อนได้ 10.7% นี่จึงเป็นบทพิสูจน์ สีเข้มเบเยอร์คูล จึงคูลที่สุดเมื่อเทียบกับแบรนด์อื่นๆ   5. อีกเรื่องที่สำคัญ คือสีเบเยอร์คูลเป็นสีรายแรกที่ได้รับมาตรฐาน มอก.ลดความร้อน จากกระทรวงพลังงาน ประเภทสีทาผนังอาคาร ประหยัดพลังงานประสิทธิภาพสูงในรุ่น Beger Cool Diamond Shield 15 ค่าการสะท้อนรังสีแสงอาทิตย์ 95.1% ไม่นับรวมกับมาตรฐานการผลิตอื่นๆ ที่ได้รับ อาทิ ฉลากลดคาร์บอน ประเภทพิจารณากระบวนการผลิต, ฉลากเขียว ไม่ผสมสารปรอท สารตะกั่ว (No Added Mercury No Added Lead) มอก.2321-2549 สีอิมัลซันทนสภาวะอากาศ (Solar Heat Reductive Standard) มอก. 2514-2553 สีอิมัลชันลดความร้อนจากแสงอาทิตย์ (Weather Resistant Standard) และมอก. 1123-2555 สีรองพื้นสำหรับงานปูน     คุณสมบัติด้านอื่นๆ ของสีเบเยอร์คูลยังมีอีกมากมาย ซึ่งช่วยเพิ่มความสมบูรณ์แบบของการใช้งานสีทาบ้านของเบเยอร์ อาทิ ป้องกันบ้านเป็นฝุ่นผงจากรังสียูวี (Triple UV Protection Technology) เทคโนโลยีสีกันคราบด้วย (Nano Silicone Advance Nano Silicone Technology) ป้องกันคราบน้ำและคราบสกปรก (Water and Stain Protection) และป้องกันคราบด่าง คราบเกลือ (Block Efflorescence and Alkaline Resistance) เป็นต้น ในครั้งต่อสำหรับผู้ชื่นชอบสีเข้ม และเลือกจะมาทาบ้าน ให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์ บุคลิก และความชื่นชอบของตนเอง ก็ไม่ต้องกลัวแล้วว่า บ้านที่เราอยู่อาศัยจะร้อน เพราะอุณหภูมิของเมืองไทย แค่เลือกใช้สีเข้มของเบเยอร์ บ้านแสนรักของเราก็คูลที่สุดแล้ว        
5 ต้นตอมะเร็งร้ายใกล้ตัว ภายในบ้าน

5 ต้นตอมะเร็งร้ายใกล้ตัว ภายในบ้าน

เมื่อบ้านอาจจะไม่ใช่สถานที่ปลอดภัยที่สุด แต่กลายเป็นแหล่งพักพิงอันตราย เพราะภัยร้ายที่สามารถแฝงตัวอยู่รอบด้านตามสิ่งต่างๆ ที่เราใช้ชีวิตอยู่ด้วยความคุ้นเคย จากสารก่อมะเร็งใกล้ตัว ทำให้เราสะสมสารพิษที่บั่นทอนสุขภาพสมาชิกในครอบครัวทีละนิด กว่าจะรู้ตัวถึงภัยร้ายที่คืบคลานก็อาจจะสายเกินไป ภัยร้ายที่ว่าจะมีอะไรบ้างนั้น ตามมาดูกัน 1. สีทาบ้าน การเลือกสีทาบ้านที่ดีควรพิจารณาถึงความปลอดภัยต่อสุขภาพด้วย นอกเหนือจากมาตรฐาน มอก.จากกระทรวงอุตสาหกรรมที่รับรองความปลอดภัยไร้สารปรอทและสารตะกั่ว ในสียังมีส่วนประกอบอันตรายอื่นๆ ได้แก่ แคดเมียม โครเมียม ฟอร์มาดีไฮด์ และ VOCs ซึ่งเป็นสารไอระเหยที่อาจทำให้เกิดเป็นมะเร็ง โดยส่วนใหญ่ VOCs ใช้ผสมในวัสดุก่อสร้างหลายชนิด เพื่อทำหน้าที่เป็นตัวละลาย เช่น เคมีที่ใช้ในไม้อัด พรม กาว และสี ดังนั้น เราควรหลีกเลี่ยงห้องทาสีใหม่ โดยเว้นช่วงเวลาอย่างน้อย 2 อาทิตย์ให้สีแห้งสนิท และไอระเหยลดลง ซึ่งห้องที่เพิ่งทาสีใหม่มักจะมีกลิ่นฉุน และทำให้เราเกิดอาการเวียนหัว คลื่นไส้ แม้กลิ่นจะจางลงหลังจากนั้น แต่เราก็ยังคงต้องสูดไอระเหยและสะสมสารพิษเข้าสู่ร่างกาย ด้วยเหตุนี้ เราควรพยายามหาซื้อสีที่ได้รับมาตรฐานฉลากเขียว ซึ่งสำนักเลขานุการสิ่งแวดล้อมไทยที่มีหน้าที่ดูแลสัญลักษณ์ฉลากเขียวได้กำหนดมาตรฐานสีไม่มีสารตะกั่ว สารปรอท และฟอร์มาดีไฮด์เป็นส่วนผสม รวมถึงค่า VOCs ต้องต่ำกว่า 50 กรัมต่อ 1 ลิตร 2. น้ำยาทำความสะอาด อันตรายของน้ำยาทำความสะอาดอยู่ที่ส่วนประกอบหรือส่วนผสมของน้ำยาทำความสะอาด ไม่ว่าจะเป็น โซดาไฟในน้ำยาทำความสะอาดเครื่องครัวที่มีฤทธิ์กัดกร่อนเนื้อเยื่อ และเป็นพิษต่อร่างกาย หรือน้ำยาทำความสะอาดพื้นที่มีสารกลุ่มอัลคิล ฟีนอล อีธอกไซเลต หากสูดดมหรือสัมผัสในปริมาณความเข้มข้นสูงสามารถทำให้เกิดการระคายเคืองเยื่อบุทางเดินหายใจ ทางเดินอาหาร ตา และผิวหนังอย่างรุนแรง รวมถึงสบู่เหลวเทียมที่มีสารเคมีสังเคราะห์ เช่น สาร SLS (Sodium Lauryl Sulfate) และPEG (polyethylene Glycol) ผสมอยู่ ทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิว และมีความเสี่ยงก่อให้เกิดมะเร็งใระยะยาว นอกจากนั้น ในผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดต่างๆ ยังต้องระวังความเสี่ยงจากน้ำยาซักผ้า น้ำยาซักแห้ง และน้ำยาปรับผ้านุ่ม รวมถึงผลิตภัณฑ์ดับกลิ่นต่างๆ ซึ่งผลการวิจัยของสหรัฐอเมริกาพบว่า ผลิตภัณฑ์ที่มีสารเคมีประกอบให้กลิ่นหอมจำนวนมากกว่า 20 ชนิดที่ปล่อยสารระเหยอินทรีย์และ 7 ชนิดที่เป็นสารอันตรายหรือเป็นพิษตามกฎหมาย 3. เทียนหอม แม้แสงสลัวและกลิ่มหอมของเทียนในห้องนอนจะช่วยสร้างบรรยากาศผ่อนคลายสบายใจ แต่ก็อาจจะต้องแลกมากับความเสี่ยงการเป็นมะเร็งจมูกและมะเร็งคอ จากผลการวิจัยที่ระบุถึงสารเคมีในเทียนหอมระเหย (Volatile organic chemicals หรือ VOCs) ได้แก่ สารเบนซินในควันพิษจากท่อไอเสีย สารอัลฟาไพนีน ที่พบมากในผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดรวมถึงสารไลโมนีนที่มีคุณสมบัติในการสร้างกลิ่นหอม โดยที่สารเหล่านี้สามารถรวมตัวกันกลายสภาพเป็นฟอร์มาดีไฮด์ ทำปฏิกิริยากับอากาศจนกลายเป็นสารก่อมะเร็งได้ หากฟอร์มาดีไฮด์และไลโมนีนเข้าสู่ร่างการในปริมาณมากเกินไป อาจจะทำให้เกิดอาการรเจ็บคอ ไอเป็นเลือด ระคายเคืองตา และเลือดกำเดาไหล ซึ่งสารดังกล่าวไม่สามารถสลายในอากาศได้ และยิ่งสะสมปริมาณในห้องที่อากาศไม่ถ่ายเท โดยสามารถแปรเปลี่ยนเป็นสารก่อมะเร็งจมูกและมะเร็งคอในระยะยาว รวมถึงพาราฟินที่ทำให้เกิดสารเคมีเป็นพิษอย่างไดออกซิน และอโครลีน ซึ่งทำให้เทียนแข็งตัว และเป็นตัวการสำคัญของโรคมะเร็งปอด เช่นเดียวกับที่พบในควันบุหรี่ 4. น้ำหอมปรับอากาศ การใช้น้ำหอมปรับอากาศไม่ใช่การกำจัดกลิ่นเหม็นให้หายไป แต่เป็นการสร้างกลิ่นใหม่ที่หอมถูกใจเราแทนที่กลิ่นเหม็น ซึ่งในกลิ่นหอมสุดสดชื่นกลับแฝงไว้ด้วยอันตรายต่อสุขภาพ จากสถาบันวิจัย UC Berkeley and Lawrence Berkeley National Laboratory ระบุถึงส่วนผสมของไกลคอลอีเธอร์ (ethylene-based glycol ethers) ในน้ำหอมปรับอากาศบางชนิดที่มีสารออกฤทธิ์ทางประสาท และส่งผลต่อระบบเลือดในร่างกาย ทั้งยังทำให้เกิดอาการเหนื่อยง่าย อาเจียน และโลหิตจาง รวมถึงในบางชนิดยังมีส่วนผสมของทาเลท ซึ่งเป็นส่วนประกอบในพลาสติกที่ส่งผลต่อระบบการทำงานของต่อมไร้ท่อในร่างกาย และทำให้ฮอร์โมนเพศผิดปกติ 5. เครื่องใช้ไฟฟ้า แม้เครื่องใช้ไฟฟ้าจะไม่มีส่วนผสมหรือสารประกอบทางเคมีที่เป็นอันตราย แต่ก็มีภัยจากรังสีและคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ซึ่งเป็นตัวการสำคัญที่สามารถบั่นทอนสุขภาพร่างกายให้ทรุดโทรมและเสี่ยงเป็นโรคร้าย เช่น มะเร็งในเม็ดเลือดขาว มะเร็งสมอง โดยเครื่องใช้ไฟฟ้าอันตรายในบ้านที่เราอาจจะมองข้ามความปลอดภัยและใช้งานเป็นประจำ ได้แก่ เตาอบ โทรศัพท์มือถือ ตู้เย็น ไดร์เป่าผม และถ่านไฟฉาย เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานที่ยืนยันถึงอันตรายในเครื่องใช้ไฟฟ้าเหล่านี้ที่ชัดเจน แต่เราก็ยังควรให้ความสำคัญกับการใช้งานอย่างระมัดระวัง และเว้นระยะห่างของเครื่องใช้ไฟฟ้า เพื่อป้องกันคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าให้อยู่ห่างไกลเรามากที่สุด เช่น การเว้นระยะของโทรทัศน์ประมาณ 4-5 เมตรจากโซฟาตัวโปรดที่เราใช้เวลาร่วมกับสมาชิกในครอบครัว หรือการเว้นระยะไมโครเวฟหลังจากเปิดใช้งานอย่างน้อย 1 เมตร ขอบคุณแหล่งที่มา : https://www.ddproperty.com/ข่าวอสังหาริมทรัพย์-บทความ/2017/6/154270/5-ต้นตอมะเร็งร้ายใกล้ตัว