Tag : อลิวัสสา พัฒนถาบุตร

6 ผลลัพธ์
แมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด พร้อมเปิดตัวโรงแรมวอลดอร์ฟ แอสโทเรีย กรุงเทพ สร้างมูลค่าของการพักอาศัยระดับโลก

แมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด พร้อมเปิดตัวโรงแรมวอลดอร์ฟ แอสโทเรีย กรุงเทพ สร้างมูลค่าของการพักอาศัยระดับโลก

ในยามที่ความต้องการเรสซิเดนซ์ระดับไฮเอนด์กลางเมืองกรุงเทพฯ มีแต่พุ่งสูงขึ้น แมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด (MRB) โครงการห้องชุดระดับซูเปอร์ลักชัวรี่กลางย่านธุรกิจหลักของเมือง นำเสนอการลงทุนแบบ Leasehold ให้นักลงทุนได้เก็บเกี่ยวผลกำไรยาว ๆ ไปอีก 50 ปี พร้อมประกาศเปิดตัวโรงแรมวอลดอร์ฟ แอสโทเรีย กรุงเทพ ภายในโครงการ เพื่อเพิ่มมูลค่าของการพักอาศัยและมอบไลฟ์สไตล์สุดหรูด้วยบริการมาตรฐานระดับโลกจากเครือฮิลตัน   สำหรับปี พ.ศ. 2561 นี้ถือเป็นปีแห่งการเติบโตแบบก้าวกระโดดของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในกรุงเทพฯ เนื่องจากเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มเชิงบวกเมื่อเปรียบเทียบกับ 3 ปีที่ผ่านมาจากอัตราการส่งออกที่เพิ่มสูงขึ้นซึ่งช่วยชดเชยอัตราการบริโภคในประเทศที่ซบเซา รวมถึงการอัดฉีดเงินลงทุนจากต่างประเทศที่เพิ่มสูงขึ้น บริษัทต่าง ๆ ในเอเชียต่างมองประเทศไทยเป็นฐานภูมิศาสตร์ด้านกลยุทธ์ที่สำคัญเพื่อการดำเนินธุรกิจที่คุ้มค่าต่อการลงทุน ในอีกด้านหนึ่ง ผู้ซื้ออสังหาฯ ต่างกำลังมองหาทรัพย์สินในเมืองไทยที่มีมูลค่าสัมพัทธ์ที่ดีเยี่ยมและมีราคาสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง   ความต้องการของนักลงทุนในเอเชียต่างมุ่งไปที่อสังหาริมทรัพย์ระดับสูง ซึ่งก็คือโครงการเรสซิเดนซ์ใจกลางย่างธุรกิจหลักของกรุงเทพฯ (CBD) นั่นเอง ตลาดอสังหาฯ ระดับนี้นับวันจะมีราคาถีบตัวสูงขึ้นตลอดเวลา เนื่องจากทำเลทองเริ่มหายากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งสวนทางกับความต้องการจากนักลงทุนต่างชาติที่เพิ่มมากขึ้นทุกวัน โดยเฉพาะนักลงทุนจากฮ่องกงที่เริ่มผละจากฮ่องกงไปมองหาทำเลใหม่ๆ ในต่างประเทศ ขณะที่นักลงทุนจากจีนแผ่นดินใหญ่ยังรู้สึกกังวลในการกลับไปลงทุนในบ้านเกิดและบ่ายหน้าหาทางเลือกอื่นๆ เพื่อหลีกเลี่ยงภาวะฟองสบู่ในประเทศ และในเมื่อราคาห้องชุดหรูในกรุงเทพฯ มีราคาเพียงครึ่งเดียวเมื่อเปรียบเทียบกับห้องชุดระดับเดียวกันในสิงคโปร์และมีราคาเพียง 1 ใน 5 เมื่อเปรียบเทียบกับฮ่องกง ทำให้กรุงเทพฯ คือเป้าหมายสำคัญของนักลงทุนจากทั่วภูมิภาค   หนึ่งในโครงการที่กำลังเป็นที่จับตามองของนักลงทุนคือแมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด (MRB) ซึ่งมีความพิเศษหลายด้าน ทั้งที่ตั้งโครงการซึ่งเป็นทำเลทองผืนสุดท้ายบนถนนราชดำริ รวมถึงคุณภาพการก่อสร้างและการตกแต่งระดับโลก อีกทั้งในปัจจุบัน ยังขยายสัญญา Leasehold จาก 30 ปีเป็น 50 ปี เพื่อให้นักลงทุนสามารถเก็บเกี่ยวผลประโยชน์กันได้แบบระยะยาว นอกจากนี้ หลังจากมีงานเปิดตัวโรงแรมวอลดอร์ฟ แอสโทเรีย กรุงเทพ แบรนด์โรงแรมระดับไฮเอนด์แห่งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของวอลดอร์ฟในเครือฮิลตันโฮเต็ล แอนด์ รีสอร์ท ไปเมื่อวันที่ 30 สิงหาคมที่ผ่านมา ทำให้เจ้าของห้องชุดหรูของ MRB ได้รับเอกสิทธิ์ระดับวีไอพีเพิ่มเติมอีกด้วย โดยเจ้าของห้องพักทุกท่านสามารถใช้บริการบาร์ และห้องอาหารชั้นนำจากเครือฮิลตันได้เช่นเดียวกับแขกของโรงแรม นับเป็นการยกระดับไลฟ์สไตล์สู่มาตรฐานสากลอย่างแท้จริง   อลิวัสสา พัฒนถาบุตร กรรมการผู้จัดการ ซีบีอาร์อี ประเทศไทย กล่าวว่า “เศรษฐกิจไทยกำลังกระเตื้องขึ้นจากการเติบโตของภาคการส่งออกและการท่องเที่ยว โดยในปีที่ผ่านมา ไทยมีอัตราการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศที่ 3.9% ซึ่งเกิดจากการส่งออกที่เพิ่มขึ้นในตลาดหลักแห่งอย่างมีนัยสำคัญที่ 9.9% ส่วนภาคการท่องเที่ยวมีอัตราส่วนในผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศที่ 20% โดยในปี 2560 มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเยือนประเทศไทยมากถึง 35.4 ล้านคน และคาดว่าจะมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นในปี 2561 นี้”   เหล่านี้คือสภาพการณ์ที่ดีเยี่ยมต่อการเลือกทำเลในการลงทุน หรือแม้แต่การใช้ประโยชน์จากความพร้อมของเมืองไทยทั้งในด้านวัฒนธรรม ความบันเทิง และมูลค่าทรัพย์สินสำหรับผู้ซื้อที่ต้องการอยู่อาศัย ซึ่งทำให้การซื้อมีความสมเหตุสมผลอย่างมากหากต้องการหวังผลในช่วงเวลานั้น   ตลาดอสังหาฯ ระดับบนยังคงให้ผลตอบแทนการลงทุนที่ดีมาก และสำหรับประเทศไทย ผลตอบแทนล้วนขึ้นอยู่กับทำเลและมาตรฐานของโครงการ ซึ่งซีบีอาร์อีเห็นพ้องกับเรื่องนี้ “ราคาที่ดินในย่านธุรกิจหลักจะเพิ่มสูงขึ้นต่อไปโดยเฉพาะในกลุ่มทำเลชั้นเยี่ยมที่ใกล้กับสถานีขนส่งมวลชนต่าง ๆ ซึ่งการขาดแคลนโครงการที่ให้กรรมสิทธ์แบบซื้อขาดในย่านธุรกิจหลัก จะยิ่งทำให้ราคาถีบตัวสูงขึ้นไปอีก” อลิวัสสา กล่าว   สำหรับบริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) ถือเป็นหนึ่งในบริษัทผู้พัฒนาโครงการระดับคุณภาพที่ได้รับความเชื่อถือมากที่สุดของประเทศไทยและมีผลงานโครงการชั้นเลิศมากมาย โครงการแรกที่สร้างชื่อเสียงคือแมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด โดยเป็นอาคารรูปกลีบดอกไม้ที่อ่อนช้อยและสง่างาม ด้วยทุนก่อสร้างถึง 1,100 ล้านบาท โครงการนี้เป็นอาคาร 60 ชั้นความสูง 242 เมตร ทีมสถาปนิกได้แรงบันดาลใจมาจาก “กลีบดอกแมกโนเลีย” ที่หมุนวนจากฐานขึ้นไปสู่ส่วนยอดของอาคาร ทำให้โครงการในภาพรวมแลดูโดดเด่นสมกับเป็นแลนด์มาร์คอีกแห่งของกรุงเทพฯ   เนื่องจาก MRB ตั้งอยู่บนถนนราชดำริ ใกล้แยกราชประสงค์ ซึ่งเป็นย่านธุรกิจสำคัญของเมืองไทยและแหล่งรวมไลฟ์สไตล์ ช็อปปิ้งมอลล์ โรงแรม 5 ดาว ร้านอาหารชั้นนำ ศูนย์กลางธุรกิจ และสถานบันเทิงที่เหนือระดับและเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก ทำให้โครงการแห่งนี้ตอบสนองความต้องการด้านพักอาศัยและไลฟ์สไตล์ระดับลักชัวรี่ได้อย่างลงตัว ซึ่งรวมไปถึงการดำเนินธุรกิจ การสร้างเครือข่าย และการติดต่อพบปะสังสรรค์ ตลอดจนการท่องเที่ยวของนักเดินทางที่หลั่งไหลมาจากประเทศต่าง ๆ ในอาเซียนและทั่วโลก อีกทั้งสามารถเดินทางในกรุงเทพฯ ได้อย่างสะดวกสบายด้วยรถไฟฟ้าบีทีเอส และเหนือสิ่งอื่นใด ความหรูหราสะดวกสบายในการใช้ชีวิตจากบริการระดับโลกของเครือฮิลตันจากโรงแรมวอลดอร์ฟ แอสโทเรีย กรุงเทพ ที่จะทำให้ไลฟ์สไตล์การพักอาศัยใน MRB คือที่สุดของความหรูหราระดับโลก     วิสิษฐ์ มาลัยศิริรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า “โครงการแมกโนเลียส์ฯ ปิดการขายห้องชุดไปแล้วกว่า 80% ปัจจัยหลักที่ทำให้เรามียอดขายที่น่าพอใจ เกิดจากทำเลที่ตั้งโครงการซึ่งถือเป็นหนึ่งในทำเลทองชั้นนำของเมืองไทย (ศูนย์กลางธุรกิจย่านราชประสงค์) ทั้งยังเป็นโครงการแบบมิกซ์ยูสที่ตอบสนองความต้องการของผู้พักอาศัยได้ดีเยี่ยมเพราะมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่สมบูรณ์แบบไว้บริการตลอดเวลา และนอกเหนือจากการได้ครอบครองกรรมสิทธิ์ห้องชุดสุดหรู คือการได้รับสิทธิพิเศษเมื่อใช้บริการหรือซื้อสินค้าจากร้านค้าภายในโรงแรมวอลดอร์ฟ แอสโทเรีย กรุงเทพ”   “สำหรับปีนี้ เรายังได้รับความสนใจจากนักลงทุนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เราจึงอำนวยความสะดวกเพิ่มเติมด้วยการประสานงานกับธนาคารกสิกรไทยและธนาคารกรุงเทพ เพื่อนำเสนอระบบเงินกู้สูงสุดถึง 70% และยังขยายสัญญา Leasehold ไปจนถึง 50 ปี (30+20 ปี) โดยสามารถขายสิทธิ์ Leasehold แก่ผู้อื่นได้ ทำให้กรรมกสิทธิ์การครอบครองและการใช้ประโยชน์จากห้องชุดมีความสมบูรณ์และคล่องตัวมากขึ้น”   นอกเหนือจาก “ไลฟ์สไตล์คนเมืองที่เหนือระดับ” เมื่อมองในแง่การลงทุน MRB ยังให้ผลตอบแทนจากการเช่าที่คุ้มค่าราว 4.5 – 5% ซึ่งสูงกว่าโครงการอื่น ๆ ในย่านเดียวกันมาก ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ที่ดินของแมกโนเลียส์ฯ ยังมีราคาสูงขึ้นทุกปี โดยเริ่มต้นอยู่ที่ 170,000 บาทต่อตารางเมตรในช่วงพรีเซล และขึ้นมาถึง 270,000 บาทต่อตารางเมตร ในปัจจุบัน   หากต้องการรายละเอียดเพิ่มเติม ติดต่อ ซีบีอาร์อี ผู้แทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ แมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด 083-095-5054 หรือ sales@magnolias-ratchadamri.com
ราคาที่ดินในกรุงเทพฯ พุ่งขึ้น 1,000% ในช่วง 30 ปี

ราคาที่ดินในกรุงเทพฯ พุ่งขึ้น 1,000% ในช่วง 30 ปี

ราคาที่ดินในย่านใจกลางกรุงเทพมหานครปรับตัวสูงขึ้นกว่า 1,000% นับจากปีพ.ศ. 2531 เมื่อซีบีอาร์อีเปิดสำนักงานในกรุงเทพฯ เป็นครั้งแรกเมื่อ 30 ปีที่แล้ว ราคาที่ดินเพิ่มสูงขึ้นเป็นอย่างมากในยุค “เอเชียไทเกอร์” ระหว่างปีพ.ศ. 2531 - 2539 ก่อนที่ตลาดจะหยุดชะงักเพราะวิกฤตการณ์ทางการเงินในปีพ.ศ. 2540   การเติบโตของราคาที่ดินเริ่มขยับสูงขึ้นในช่วงกลางทศวรรษปี 2540 และราคามีการปรับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงสองปีที่ผ่านมาสำหรับที่ดินที่อยู่ในย่านใจกลางเมืองที่สำคัญหรือในซีบีดี   ในช่วงปลายทศวรรษปี 2520 ต่อเนื่องเข้าสู่ทศวรรษปี 2530  มีการซื้อขายที่ดินขนาดใหญ่ 2 แปลงด้วยกัน คือ ที่ดินขนาด 8 ไร่บนถนนสาทร โดยผู้พัฒนาเดิมของอาคารเอ็มไพร์ ทาวเวอร์ซื้อไปที่ราคาประมาณ 125,000 บาทต่อตารางวา และที่ดินขนาด 21-1-08 ไร่บนถนนวิทยุซึ่งเป็นบ้านของผู้จัดการธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดในยุคนั้น ขายให้กับกลุ่มเอ็มไทย มูลค่าที่ดินประมาณ 250,000 บาทต่อตารางวา ซึ่งปัจจุบันพัฒนาเป็นโครงการออลซีซั่น เพลส   สำหรับการขายที่ดินแปลงล่าสุดในย่านสารทร คือ ที่ดินขนาด 8 ไร่ของสถานทูตออสเตรเลีย ซึ่งขายไปด้วยราคาประมาณ 1.45 ล้านบาทต่อตารางวาในปีพ.ศ. 2560  และในย่านลุมพินี บริษัท เอสซี แอสเสท ซื้อที่ดินขนาด 880 ตารางวาบริเวณถนนหลังสวนด้วยมูลค่าประมาณ 3.1 ล้านบาทต่อตารางวา และการซื้อขายที่ดินที่มีมูลค่าสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ไทยคือการขายที่ดินสถานทูตอังกฤษขนาด 23 ไร่ในปีพ.ศ. 2561 ให้แก่บริษัทร่วมทุนระหว่างกลุ่มเซ็นทรัลและฮ่องกงแลนด์   การปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาที่ดินนั้นไม่เหมือนกันทั้งหมด และการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนั้นยังเป็นไปตามรูปแบบการพัฒนาเมืองของกรุงเทพฯ    ในอดีตศูนย์กลางทางธุรกิจตั้งอยู่บนถนนเจริญกรุง และศูนย์ราชการตั้งอยู่บริเวณเกาะรัตนโกสินทร์   ในช่วงทศวรรษปี 2490 และ 2500 ศูนย์กลางทางธุรกิจได้ย้ายไปที่ถนนสีลมและถนนสุรวงศ์   กรุงเทพฯ เติบโตมากขึ้นในทศวรรษที่ 2510 และ 2520 แต่ยังไม่มีการกำหนดศูนย์กลางของเมืองอย่างชัดเจน และการพัฒนาได้ขยายตัวออกไปเพราะมีการสร้างถนนใหม่ๆ แต่ในปัจจุบันปัจจัยเหล่านี้ได้เปลี่ยนไปแล้ว   การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ 2 ประการที่มีผลกับราคาที่ดิน คือ การเปิดและขยายระบบขนส่งมวลชน โดยรถไฟฟ้าบีทีเอสสายแรกเปิดให้บริการในปีพ.ศ. 2542 และรถไฟฟ้าใต้ดินสายสีน้ำเงินเข้มเปิดให้บริการในปีพ.ศ. 2547 ระบบขนส่งมวลชนดังกล่าวได้ทำให้วิถีชีวิตของคนในกรุงเทพฯ ทั้งในด้านการทำงานและการใช้ชีวิตเปลี่ยนแปลงไป   ในช่วงปลายทศวรรษ 2560  กรุงเทพฯ จะมีระบบขนส่งมวลชนรวมระยะทางประมาณ 460 กิโลเมตร เปรียบเทียบกับกรุงลอนดอนที่มีระบบรถไฟใต้ดินรวมระยะทาง 402 กิโลเมตร   ความนิยมในระบบขนส่งมวลชนของกรุงเทพฯ ที่มีผู้ใช้มากกว่า 1.2 ล้านคนต่อวัน ได้ทำให้มูลค่าที่ดินที่อยู่ใกล้กับสถานีปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น แต่ไม่ใช่ทุกสายหรือทุกสถานีที่จะได้รับความนิยมอย่างเท่าเทียมกัน  ส่วนหนึ่งที่เป็นตัวกำหนดมูลค่าของที่ดินก็มาจากความนิยมของระบบขนส่งมวลชนแต่ละสายและแต่ละสถานี   “ปัจจัยสำคัญอีกประการที่เป็นตัวกำหนดราคาที่ดิน ก็คือ ข้อกำหนดในเรื่องผังเมืองและพระราชบัญญัติควบคุมการก่อสร้างอาคาร  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนที่ว่าด้วยเรื่องขนาดพื้นที่ที่สามารถสร้างได้ ซึ่งเห็นได้ชัดว่าถ้าสามารถสร้างพื้นที่ได้น้อย ราคาที่ดินก็จะไม่ปรับสูงขึ้นแบบก้าวกระโดด” นางกุลวดี สว่างศรี กรรมการบริหาร หัวหน้าแผนกการลงทุนและที่ดิน  ซีบีอาร์อี ประเทศไทยกล่าว   ข้อกำหนดในเรื่องผังเมืองและการควบคุมการก่อสร้างอาคารมีความเข้มงวดและซับซ้อนมากขึ้น และในปัจจุบันได้กลายเป็นปัจจัยหนึ่งที่สำคัญในการกำหนดราคาที่ดิน   ในช่วงทศวรรษปี 2520 และ 2530 กรุงเทพฯ ได้ขยายตัวออกไปมากขึ้น แต่ในช่วงทศวรรษปี 2540 กรุงเทพฯ ได้กลายเป็นเมืองที่ความเจริญรวมเข้าสู่ศูนย์กลางมากขึ้น ด้วยการเกิดขึ้นของอาคารชุดพักอาศัยแนวสูงและการเติบโตของพื้นที่สำนักงานที่ทันสมัย   พื้นที่ใจกลางเมืองได้รับการกำหนดขอบเขตไว้อย่างชัดเจนมากขึ้น และเกิดการพัฒนาโครงการรอบใหม่บนพื้นที่ที่ยังไม่ได้ใช้ประโยชน์มากนัก เช่น ที่ดินขนาด 105 ไร่ที่เป็นที่ตั้งของโครงการวัน แบงค็อก บริเวณหัวมุมถนนพระราม 4 ตัดกับถนนวิทยุ ราคาที่ดินเริ่มมีสัดส่วนที่สูงขึ้นมากเมื่อเทียบกับต้นทุนโดยรวมในการพัฒนาโครงการ เนื่องจากราคาที่ดินมีอัตราการเติบโตที่รวดเร็วกว่าค่าก่อสร้าง มูลค่าโดยรวมในการพัฒนาโครงการได้เพิ่มสูงขึ้นซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลมาจากราคาที่ดินที่ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้คอนโดมิเนียมมีราคาขายที่แพงขึ้นและทำให้จำเป็นต้องมีรายได้ที่เพิ่มขึ้นเพื่อให้โครงการที่มีรายได้จากค่าเช่าสามารถเกิดขึ้นได้   ซีบีอาร์อีคาดการณ์ว่า ที่ดินในย่านใจกลางกรุงเทพฯ จะยังคงเป็นทำเลที่ได้รับความนิยมมากที่สุดต่อไปในการพัฒนาโรงแรม อาคารสำนักงาน ศูนย์การค้า และอาคารประเภทอื่น ๆ เช่น โรงพยาบาล เป็นต้น กรุงเทพฯ จะมีการกำหนดขอบเขตพื้นที่ใจกลางเมืองที่ชัดเจนมากขึ้น และการพัฒนาโครงการจะขยายตัวไปตามเส้นทางการเดินรถของระบบขนส่งมวลชนบริเวณรอบสถานี   การที่ราคาที่ดินจะปรับตัวสูงขึ้นนั้นขึ้นอยู่กับระดับความเป็นไปได้ในการพัฒนาโครงการ และผลตอบแทนที่จะได้รับจากการพัฒนาโครงการ  ซึ่งจะแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับว่าสามารถพัฒนาโครงการอะไรได้ และในระดับราคาใดที่ลูกค้ามีกำลังในการซื้อหรือการเช่าเมื่อโครงการแล้วเสร็จ เนื่องจากที่ดินแบบมีกรรมสิทธิ์เต็มหรือฟรีโฮลด์ในย่านใจกลางเมืองที่มีศักยภาพในการพัฒนานั้น มีจำนวนน้อยลงเรื่อยๆ   ซีบีอาร์อีจึงคาดว่าราคาที่ดินจะยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในบางครั้ง ที่ดินมีราคาสูงกว่ามูลค่ารวมของอาคารที่ตั้งอยู่บนแปลงที่ดิน  และเราจะได้เห็นว่ามีอาคารเก่าถูกรื้อถอนและมีการพัฒนาโครงการขึ้นใหม่บนที่ดินแปลงเดิมมากขึ้น   เราได้เริ่มเห็นการรื้อถอนอาคารเคี่ยนหงวน ทาวเวอร์ 1 บนถนนวิทยุ และอาคารวานิสสา บนถนนชิดลม  รวมทั้งแผนการรื้อถอนโรงแรมดุสิตธานีและปรับปรุงพื้นที่ใหม่  แต่จนถึงขณะนี้ การรื้อถอนเกิดขึ้นกับอาคารที่มีเจ้าของเดียวเท่านั้น   ในปัจจุบัน กฎหมายอาคารชุดกำหนดให้เจ้าของร่วมต้องเห็นชอบร่วมกันทั้ง 100% ที่จะเพิกถอนอาคารเพื่อให้สามารถขายอาคารและนำมาพัฒนาใหม่ได้ ซึ่งยังไม่เคยเกิดขึ้นในบ้านเราแม้ว่าปัจจุบันจะมีคอนโดมิเนียมบางแห่งที่มูลค่าของทุกยูนิตรวมกันจะมีมูลค่าน้อยกว่าการถือครองที่ดินเปล่าที่ใช้สร้างคอนโดมิเนียมนั้นก็ตาม การขายยูนิตทั้งหมดและนำมาพัฒนาขึ้นใหม่ได้เกิดขึ้นแล้วในต่างประเทศ โดยเฉพาะสิงคโปร์ซึ่งจำนวนเจ้าของร่วมที่ต้องเห็นชอบร่วมกันในการขายทั้งอาคารมีสัดส่วนที่น้อยกว่าของไทย ซีบีอาร์อีมองว่าเป็นเรื่องยากที่จะได้รับความเห็นชอบทั้ง 100% จากเจ้าของร่วมในกรุงเทพฯ ในการขายห้องชุดทั้งหมดให้กับผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์   "สมมติว่าข้อกำหนดด้านผังเมืองไม่มีการเปลี่ยนแปลง และขนาดพื้นที่ที่สามารถสร้างขึ้นได้ยังคงเหมือนเดิม ที่ดินในย่านซีบีดีของกรุงเทพฯ มีแนวโน้มที่จะปรับราคาสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง" นางสาวอลิวัสสา พัฒนถาบุตร กรรมการผู้จัดการ ซีบีอาร์อี ประเทศไทย กล่าวสรุป   การปรับขึ้นราคาที่ดินจะไม่อยู่ในระดับที่คงที่ และจะมีความสอดคล้องกับวัฏจักรทางเศรษฐกิจและการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์
แอสเซท ไฟว์ ดีเวลลอปเม้นท์ ประเดิมโครงการแรก เจาะกลุ่มนิชมาร์เก็ตระดับบน ส่งวนา เรสซิเดนซ์ พระราม 9 – ศรีนครินทร์ บ้านเดี่ยวสุดลักชัวรี่ลงตลาด

แอสเซท ไฟว์ ดีเวลลอปเม้นท์ ประเดิมโครงการแรก เจาะกลุ่มนิชมาร์เก็ตระดับบน ส่งวนา เรสซิเดนซ์ พระราม 9 – ศรีนครินทร์ บ้านเดี่ยวสุดลักชัวรี่ลงตลาด

  บริษัท แอทเซท ไฟว์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด สบช่องว่างกลุ่มนิชมาร์เก็ตระดับบน พัฒนาที่อยู่อาศัยในรูปแบบวิถีชีวิตสังคมเมืองที่ทันสมัย พร้อมเปิดตัว วนา เรสซิเดนซ์ พระราม 9 - ศรีนครินทร์ บ้านเดี่ยวระดับลักชัวรี่ ด้วยแนวคิด A New Definition of Luxury Urban Home บนถนนสายหลักซึ่งเป็นทำเลศักยภาพระหว่างความเจริญเติบโตของโซนพระราม 9 – ศรีนครินทร์ ราคาเริ่มต้นที่ 20 ล้านบาท ลงตลาดเจาะกลุ่มผู้บริหารและเจ้าของกิจการรุ่นใหม่ที่ประสบความสำเร็จและมีไลฟ์สไตล์เฉพาะตัว ด้วยบ้านเดี่ยว 3 ชั้น สามารถอยู่ได้ทั้ง 3 เจนเนอเรชั่น เน้นจุดเด่นในเรื่องความเป็นส่วนตัวด้วยการวางบ้านแบบคลัสเตอร์ โดยแต่ละคลัสเตอร์มีเพียง 4 หลัง พร้อมที่จอดรถเริ่มต้น 4 คันสามารถรองรับรถยนต์ซูเปอร์คาร์และรถครอบครัวขนาดใหญ่ ทางโครงการยังมอบความหรูหรา ทันสมัยให้กับบ้านด้วยการคัดสรรวัสดุภายในบ้านเป็นอย่างดี พร้อมจัดเตรียมลิฟท์ส่วนตัวภายในบ้าน และเพิ่มความร่มรื่น ด้วยการปลูกต้นไม้ใหญ่กว่า 300 ต้น ทั่วทั้งโครงการ นายศุภโชค ปัญจทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอทเซท ไฟว์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด กล่าวถึงการลงมาพัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในครั้งนี้ว่า “จากประสบการณ์ทำงานคลุกคลีอยู่ในวงการอสังหาฯ มานานกว่า 12 ปี ด้วยการเริ่มต้นจากการพัฒนาธุรกิจของครอบครัว “ปัญจทรัพย์” มาหลายโครงการ และด้วยความมุ่งมั่นที่ต้องการพัฒนา และสร้างความแตกต่างให้กับลูกค้า จึงรวมตัวตั้งทีมบริหารและผู้เชี่ยวชาญช่วยกันวิเคราะห์ ศึกษากลุ่มเป้าหมาย ทั้งเรื่องไลฟ์สไตล์ ความเป็นอยู่ การใช้ชีวิต เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในปัจจุบัน ซึ่งโครงการแรกของเราเป็นบ้านเดี่ยว 3 ชั้น ชื่อ วนา เรสซิเดนซ์ พระราม 9 – ศรีนครินทร์ เจาะกลุ่มนิชมาร์เก็ตโดยตรง ด้วยพื้นที่ประมาณ 20 ไร่ จำนวน 69 หลัง ประกอบด้วยบ้านเดี่ยว 3 แบบขนาดพื้นที่ใช้สอยเริ่มต้น 400 - 492 ตารางเมตร มูลค่าโครงการ 1,800 ล้านบาท มาพร้อมกับสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน อาทิเช่น สระว่ายน้ำระบบน้ำเกลือยาว 25 เมตร สนามเด็กเล่นพร้อมบ้านต้นไม้ ฟิตเนส ห้องประชุม และพื้นที่สีเขียวมีต้นไม้ใหญ่รอบโครงการ เน้นการได้สัมผัสกับธรรมชาติอย่างแท้จริง นายศุภโชคยังมองอีกว่า ศักยภาพของทำเลถนนกรุงเทพกรีฑาตัดใหม่ พระราม 9-ศรีนครินทร์ มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง เพราะการเดินทางเข้าเมืองได้สะดวก รายล้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกหลากหลาย เช่น โรงพยาบาลสมิติเวช โรงเรียนนานาชาติ สนามกอล์ฟ ห้างสรรพสินค้า และคอมมูนิตี้มอลล์ ส่วนด้านงานขายนั้นเราได้มอบหมายให้มืออาชีพอย่าง CBRE มาช่วยบริหารจัดการ” ทั้งนี้ บริษัทฯ มีแผนที่จะพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์อย่างต่อเนื่อง ทั้งแนวสูงและแนวราบ บนทำเลที่มีศักยภาพใจกลางเมือง ใกล้ที่ทำงาน และใกล้สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ทางด้าน นางสาวอลิวัสสา พัฒนถาบุตร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีบีอาร์อี ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า “ภายใน 1 – 2 ปีที่ผ่านมานี้ จะเห็นได้ว่าตลาดแนวราบกลับมาเป็นที่นิยมมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะในโซนกรุงเทพฝั่งตะวันออก เนื่องจากเป็นทำเลที่ขยับออกมาจาก CBD ไม่มากนัก และยังสามารถมุ่งหน้าไปยังสุวรรณภูมิหรือออกสู่ภาคตะวันออกที่เป็นเขตพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษ (EEC) ได้อย่างง่ายดาย นอกจากนี้การคมนาคมที่จะมีขึ้นก็รองรับในทุกช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นรถไฟฟ้าสายสีเหลือง (ลาดพร้าว-สำโรง) และสายสีส้ม (ตลิ่งชัน-มีนบุรี) รวมถึง Airport rail link และทางด่วน ที่มีอยู่เดิมแล้ว จึงทำให้ผู้พัฒนาโครงการเล็งเห็นศักยภาพของทำเล และตลาดของผู้ซื้อในย่านนี้ ซึ่งจากการศึกษาตลาดบ้านระดับ Luxury ในกรุงเทพฝั่งตะวันออกนี้ จึงเห็นได้ว่า โครงการระดับ Luxury ในราคาเริ่มต้นที่ 20 ล้านบาท ที่มาพร้อมพื้นที่ใช้สอย, วัสดุ และการดีไซน์ ต่างๆ ที่ถูกออกแบบมาเพื่อตอบสนองการใช้งานจริงและมีคุณภาพสูง อย่าง วนา เรสซิเดนท์ ยังคงไม่มีในตลาด จึงเชื่อว่าโครงการนี้ จะตอบโจทย์และเป็นที่ต้องการของครอบครัวสมัยใหม่ได้อย่างแน่นอน” ทั้งนี้ โครงการ วนา เรสซิเดนซ์ พระราม 9 – ศรีนครินทร์ จะจัดกิจกรรมเปิดบ้านตัวอย่าง อย่างเป็นทางการ พร้อมเปิดจอง ในเดือนสิงหาคมนี้
ชาญอิสสระ พร้อมเปิดสัมผัสประสบการณ์ซูเปอร์ลักชัวรี่ ณ “บ้านอิสสระ บางนา”

ชาญอิสสระ พร้อมเปิดสัมผัสประสบการณ์ซูเปอร์ลักชัวรี่ ณ “บ้านอิสสระ บางนา”

นายสงกรานต์ อิสสระ (ที่ 4 จากซ้าย) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการ บมจ. ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ พร้อมด้วย นางธีราภรณ์ ศรีเจริญวงศ์ (ที่ 2 จากขวา) กรรมการผู้จัดการบริษัท ซี.ไอ.เอ็น เอสเตท จำกัด, นายปสันน สวัสดิ์บุรี (แรกซ้าย) รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ซี.ไอ.เอ็น เอสเตท จำกัด ร่วมเปิดตัวบ้านตัวอย่าง โครงการ “บ้านอิสสระ บางนา” บ้านเดี่ยวสุดหรู ที่มาพร้อมดีไซน์ ฟังก์ชัน โดดเด่นเหนือระดับ ภายใต้คอนเซปต์ “ความภูมิใจ The New Legacy Of Freedom” ซึ่งเปิดให้เข้าชมแล้ววันนี้ ณ โครงการบ้านอิสสระ โดยมีนายดิฐวัฒน์ อิสสระ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานพัฒนาธุรกิจ บมจ.ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ นางสาวอลิวัสสา พัฒนถาบุตร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีบีอาร์อี ประเทศไทย จำกัด นางสาวกรัชเพชร อิสสระ ที่ปรึกษาด้านการตลาด บมจ.ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ และนายเมธินทร์ จันทรอุไร กรรมการบริหาร บริษัทสถาปนิก 49 จำกัด ร่วมงาน ณ โครงการบ้านอิสสระ บางนา ถนนบางนา-ตราด กม.8 เมื่อเร็วๆนี้ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โครงการ “บ้านอิสสระ บางนา” โทร. 095 207 9235-7 หรือ ISSARABANGNA@CBRE.co.th และ www.charnissara.com
ชาญอิสสระ พร้อมอวดโฉมบ้านอิสสระ บางนา  สร้างความต่างการอยู่อาศัย มุ่งตอบโจทย์ทุกเจนเนอเรชั่น

ชาญอิสสระ พร้อมอวดโฉมบ้านอิสสระ บางนา สร้างความต่างการอยู่อาศัย มุ่งตอบโจทย์ทุกเจนเนอเรชั่น

ชาญอิสสระ เปิดตัวบ้านหรูระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ “บ้านอิสสระ บางนา” โชว์ความต่างด้านดีไซน์ ฟังก์ชัน โดดเด่นเหนือระดับ ภายใต้คอนเซปต์ “ความภูมิใจที่ส่งต่อได้ The New Legacy Of Freedom” มั่นใจตลาดบ้านหรูโตต่อเนื่อง มองศักยภาพ ทำเลย่านบางนาฮอต โครงสร้างพื้นฐาน การคมนาคม สาธารณูปโภคต่างๆ หนุนตลาดไฮเอนด์รุ่ง   นายสงกรานต์ อิสสระ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการ บริษัท ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงภาพรวมการพัฒนาตลาดบ้านเดี่ยวระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ ว่ายังมีการแข่งขันสูง ขณะที่การหาทำเลที่ตั้งที่เหมาะสมถือเป็นโจทย์ที่ยากสำหรับผู้พัฒนาโครงการที่จะหาทำเลที่มีศักยภาพ โดยเฉพาะในย่านซีบีดี (Central Business District) หรือทำเลในย่านที่รายล้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครันต่างๆ ทั้งโครงสร้างพื้นฐาน การคมนาคม รวมไปถึงสาธารณูปโภค โดยในส่วนของย่านบางนา ถือเป็นอีกย่านหนึ่งที่น่าสนใจ และท้าทาย สำหรับการพัฒนาตลาดบ้านเดี่ยว ระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ ล่าสุดบริษัท เตรียมเปิดตัวบ้านตัวอย่าง โครงการบ้านอิสสระ บางนา ซึ่งถือเป็นโครงการบ้านเดี่ยวระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ หลังจากแถลงข่าวเปิดตัวไปเมื่อช่วงกลางปี 2559 ที่ผ่านมา สำหรับโครงการบ้านอิสสระ บางนา เป็นอีกหนึ่งโครงการคุณภาพ ที่พัฒนาออกมาด้วยการสร้างความแตกต่างด้านที่อยู่อาศัยระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ ให้ตรงกับความต้องการของกลุ่มลูกค้า สอดแทรกการออกแบบบ้านที่ต้องอยู่สบาย ฟังก์ชั่นการใช้งานภายในบ้านครบครัน มีการนำนวัตกรรมต่างๆ เข้ามาใช้ เพื่อให้ผู้อยู่อาศัยได้รับความสะดวกสบาย คุ้มค่า และปลอดภัยต่อการพักอาศัยให้มากที่สุด โดยมีบริษัทชั้นนำอย่าง บริษัท สถาปนิก 49 จำกัด (A49) เป็นผู้รังสรรค์งานออกแบบบ้าน   “สิ่งสำคัญในการพัฒนาบ้านเดี่ยวระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ นอกจากการมีโลเคชั่นที่ดีแล้ว เราต้องสร้างความแตกต่าง ทั้งการดีไซน์แบบบ้านให้มีความทันสมัย อยู่สบาย ฟังก์ชั่นการใช้งานภายในบ้านสะดวกสบาย รวมถึงการพัฒนานวัตกรรมสมัยใหม่เข้ามาแทรกเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตที่ง่ายขึ้น สามารถตอบโจทย์การอยู่อาศัยให้กับทุกช่วงวัย อีกทั้งโครงการบ้านอิสสระ บางนา ยังนับว่าเป็นโครงการที่อยู่บนทำเลตัวเมืองชั้นนอกที่เป็นย่านที่อยู่อาศัยที่เป็นที่นิยมอันดับต้นๆ ได้แก่ กรุงเทพฝั่งตะวันออก อันเนื่องมาจากทำเลดังกล่าวได้มีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานไว้เรียบร้อยแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเส้นทางคมนาคม และสิ่งอำนวยความสะดวกที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ อาทิ ศูนย์การค้าระดับ Regional Shopping Center อย่างเมกาบางนา หรือโครงการขนาดใหญ่แห่งใหม่ อย่างแบงค็อก มอลล์ รวมไปถึงการขยายตัวของอาคารสำนักงานอีกด้วย จึงเป็นโครงการที่เราพัฒนาออกมาเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริง และเป็นอีกหนึ่งความภูมิใจของชาญอิสสระ ที่จะส่งต่อให้กับลูกค้า” นายสงกรานต์ กล่าว ด้านนายเมธินทร์ จันทรอุไร กรรมการบริหาร บริษัทสถาปนิก 49 จำกัด (A49) ผู้ออกแบบโครงการบ้านอิสสระ บางนา กล่าวว่าจุดเด่นของการออกแบบบ้านอิสสระ บางนา คือการต้องการเน้นพื้นที่ใช้สอยที่มากเพียงพอ พร้อมทั้งให้ฟังก์ชั่นการใช้สอยที่ครบครัน ภายใต้คอนเซปต์ สวนล้อมบ้าน ผู้อยู่อาศัยได้ใกล้ชิดธรรมชาติมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นความเขียวขจีของต้นไม้ แสงธรรมชาติ ด้วยการดีไซน์โครงการที่เน้นโล่ง โปร่ง สบาย ได้วิวธรรมชาติทุกมุมมอง อีกทั้งยังนำแนวคิด “พลังงาน (Energy)” และ “หลักการของธรรมชาติ (Principles of Nature)” มาใช้เพื่อให้เกิดสภาวะน่าสบาย (Comfort Zone) จึงได้นำแนวคิดหลักการของธรรมชาติที่มีผลต่อในเขตร้อนชื้นอย่างในประเทศไทย ได้แก่ การป้องกันแดด การระบายอากาศ การป้องกันและการระบายน้ำฝน รวมทั้งการอาศัยพลังงานต่างๆ จากสิ่งแวดล้อมภายนอกมาใช้ให้เกิดประโยชน์กับที่อยู่อาศัย ทั้งในส่วนของภาพลักษณ์อาคาร และพื้นที่ใช้สอยภายในอาคาร โดยมีการออกแบบพื้นหน้ากว้างด้านหน้าโครงการ ให้สามารถรองรับการจอดรถเรียงกันได้ 5 คัน รวมถึงการออกแบบพื้นที่หลังบ้าน ให้เป็นพื้นที่ใช้สอยที่สวยงามเสมือนเป็นหน้าบ้านอีกด้านหนึ่งของโครงการ   นอกจากนี้มีการใช้กระจกสูงจากระดับพื้นถึงฝ้า เพื่อให้ภายในบ้านสามารถรับแสงจากธรรมชาติ    มากขึ้น และยังเป็นการช่วยลดการใช้พลังงานไฟฟ้า นอกจากนี้ ภายในบ้านยังออกแบบด้วยการยกเพดานให้สูง เพราะนอกจากจะทำให้รู้สึกโปร่งโล่งแล้ว ยังสามารถช่วยระบายความร้อนที่เกิดขึ้นในอาคารได้เป็นอย่างดี อีกทั้งเรายังมีการออกแบบชายคาที่ยื่นยาว 1.20 เมตร และองค์ประกอบตกแต่งที่มีลักษณะเหมือน “ท่อนไม้ซุง” สามารถช่วยลดพลังงานความร้อนที่เกิดขึ้นในอาคารได้ถึง 25% เมื่อเทียบกับบ้านโครงการอื่นที่มีปริมาณกระจกเท่ากัน ซึ่งทำให้พื้นที่ภายในบ้านได้รับแสงธรรมชาติ แต่ไม่รู้สึกร้อน พร้อมกันนี้ยังออกแบบให้การเชื่อมต่อพื้นที่ใช้สอยภายในและภายนอกบ้าน (บริเวณห้องนั่งเล่น สวน และสระว่ายน้ำ) ทำให้เกิดเป็นพื้นที่  ใช้สอยร่วมของบ้านที่เกิดเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่ สามารถเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างกิจกรรมของคนในครอบครัว ทั้งยังเป็นการระบายอากาศให้กับตัวบ้านและช่วยประหยัดพลังงานจากการใช้เครื่องปรับอากาศได้ นอกจากนี้ทุกห้องยังถูกออกแบบให้คำนึงถึงการถ่ายเทอากาศที่ดี โดยมีช่องหน้าต่าง 2 ด้าน เพื่อให้ลมพัดผ่านได้ทั่วห้อง   “นอกจากการออกแบบที่คำนึงถึงหลักการธรรมชาติ และการประหยัดพลังงานแล้วเพื่อให้เกิดความคุ้มค่า ความปลอดภัยในการอยู่ การออกแบบยังให้ความสำคัญกับ Universal Designเพื่อตอบโจทย์ผู้สูงอายุหรือผู้ใช้วีลแชร์ โดยมีการทำทางลาดเอียงสำหรับเข้าบ้าน รวมถึงขนาดของลิฟท์ที่เหมาะด้วย พร้อมมีการออกแบบคลับเฮาส์ที่โอ่โถง สระว่ายน้ำขนาดใหญ่ ฟิตเนสที่ทันสมัย รวมถึงโซน Amphitheater ที่ช่วยสร้างความสัมพันธ์ของแต่ละครอบครัว และลู่วิ่งรอบหมู่บ้าน สวนที่ร่มรื่นช่วยให้เวลาแห่งการพักผ่อนสมบูรณ์แบบสำหรับครอบครัว”นายเมธินทร์ กล่าว ขณะที่นางสาวอลิวัสสา พัฒนถาบุตร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีบีอาร์อี ประเทศไทย จำกัด เปิดเผยว่า หากจะกล่าวถึงทำเลที่เป็นย่านที่พักอาศัยที่นิยมในอันดับต้นๆ คงหนีไม่พ้นกรุงเทพฯ ฝั่งตะวันออก สืบเนื่องมาจากทำเลดังกล่าวได้มีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเส้นทางคมนาคมที่สามารถวิ่งเข้ากรุงเทพฯ ชั้นในได้อย่างรวดเร็ว หรือในทางกลับกันยังเป็นเกทเวย์วิ่งออกสู่สนามบินสุวรรณภูมิ หรือย่านอุตสาหกรรมได้อย่างง่ายดาย อีกทั้งรายล้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ อาทิ เมกาซิตี้ บางนา หรือโครงการในอนาคตอย่างแบงค็อก มอลล์ ซึ่งเป็นโครงการพัฒนาพื้นที่พาณิชยกรรมขนาดใหญ่ รวมไปถึงการขยายตัวของออฟฟิศเกรดเอ อาทิ ภิรัชทาวเวอร์ แอท ไบเทค และ      วิสซ์ดอม วัน โอ วัน อีกด้วย   “จากการที่ซีบีอาร์อี เข้ามาทำการตลาด และการขายบ้านเดี่ยวระดับซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่ในช่วงที่ผ่านมา เราจะพบได้ว่าสินค้าในตลาดยังไม่สามารถตอบสนองความต้องการของกลุ่มลูกค้าที่ต้องการบ้านระดับนี้ได้จริง ไม่ว่าจะเป็นแนวความคิด การออกแบบบ้าน รูปแบบ ฟังก์ชั่นดีไซน์ ตลอดจนการเลือกใช้วัสดุอุปกรณ์ต่างๆ ซึ่งเราจะเห็นได้ว่าบ้านทั่วไปจะเน้นเรื่องดีไซน์ภายนอกให้น่าดึงดูด แต่ไม่ได้คำนึงถึงฟังก์ชั่น ประโยชน์ใช้สอยภายในตัวบ้าน หรือวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ เท่าที่ควร ซึ่งการออกแบบบ้านที่ดีนั้นควรเริ่มตั้งแต่แนวความคิด สำหรับโครงการบ้านอิสสระ บางนานั้น มีจุดเด่นที่แตกต่างหลายด้าน เริ่มตั้งแต่มาสเตอร์แปลน (Master Plan) โดยบ้านทุกหลังตั้งอยู่บนถนนหลักของโครงการ ไม่มีการแบ่งทำเป็นถนนซอยเล็กๆ อีกทั้งยังคำนึงถึงทิศทางลม จึงทำให้บ้านส่วนใหญ่หันหน้าทิศเหนือ-ใต้” นางสาวอลิวัสสา กล่าว   นอกจากนี้ส่วนของตัวบ้านถูกออกแบบมาเพื่อให้ใกล้ชิดธรรมชาติมากที่สุด คำนึงถึงแสงธรรมชาติ ทิศทางลม อีกทั้งออกแบบเพื่อการใช้งานของคนทุกคน (Universal Design)เพื่อตอบโจทย์ผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีข้อจำกัดทางด้านร่างกาย โดยมีการทำทางลาดเอียง รวมถึงจัดเตรียมลิฟท์โดยสารไว้ สำหรับพื้นที่ใช้สอยด้านในนั้น ด้วยตัวบ้านเป็นบ้านหน้ากว้าง จึงสามารถแยกพื้นที่ใช้สอยแบ่งซ้าย-ขวาได้อย่างลงตัว คุ้มค่า จุดเด่นที่สำคัญอีกประการหนึ่งของโครงการคือ การเลือกใช้วัสดุอุปกรณ์เกรดพรีเมี่ยม อาทิครัวบูลล์ธอป (Bulthaup),สุขภัณฑ์ในห้องน้ำ แบรนด์ Toto, Kasch, Grohe อีกทั้งยังคำนึงถึงนวัตกรรมสำหรับบ้านยุคใหม่ อาทิ โซลาร์เซลล์ (Solar Cell), ระบบปรับอากาศแบบวีอาร์วี (VRV) ซึ่งช่วยประหยัดพลังงาน เป็นต้น   สิ่งที่สำคัญอีกประการหนึ่งสำหรับกลุ่มลูกค้าระดับนี้ คืองานบริการหลังการขาย โดยทางโครงการมีบริการ Lifestyle Concierge Service รองรับ ไม่ว่าจะเป็นบริการดูแลบ้าน,บริการประสานงานจัดกิจกรรม, บริการประสานงานด้านสุขภาพ และบริการผู้ช่วยส่วนตัว ซึ่งจากจุดเด่นที่กล่าวมาทั้งหมดข้างต้นนี้ จึงถือได้ว่าบ้านอิสสระ บางนาได้เซทสแตนดาร์ดใหม่สำหรับบ้านระดับซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่ และตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มนี้ได้อย่างแท้จริง   บ้านตัวอย่างของบ้านอิสสระ บางนาจะแล้วเสร็จ พร้อมเปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 23 มิถุนายน ศกนี้ พร้อมสิทธิพิเศษ และกิจกรรมมากมายสำหรับลูกค้าที่จองภายในงานเท่านั้น นายดิฐวัฒน์ อิสสระ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานพัฒนาธุรกิจ บริษัท ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า โครงการบ้านอิสสระ บางนา เป็นโครงการบ้านเดี่ยวระดับซูเปอร์ ลักชัวรี่ มูลค่าโครงการ 2,500 ล้านบาท ออกแบบโดยถ่ายทอดแนวคิดผ่านความเป็น Modern Tropical ทำให้เกิดความรู้สึกอยู่สบายน่าพักอาศัย มีความเรียบง่าย ใกล้ชิดธรรมชาติ ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นที่ ประมาณ 24 ไร่ บริเวณถนนบางนา-ตราด กม.8 จำนวนทั้งสิ้นเพียง 44 หลัง บนพื้นที่ดินขนาด 100-238 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย 380-697ตารางเมตร ราคาเริ่มต้น 38-94 ล้านบาท พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน รวมถึงการให้บริการ Lifestyle Concierge Service บริการที่จะช่วยสร้างไลฟ์สไตล์ความเป็นส่วนตัว แบบเอ็กซ์คลูซีฟให้แก่ลูกบ้านภายในโครงการ โดยมีงานบริการด้านต่างๆ ไว้คอยดูแลและอำนวยความสะดวก อาทิ บริการด้านโฮมแคร์ ที่จะช่วยดูแลและบำรุงรักษาตั้งแต่เรื่องภายในบ้านและภายนอกบ้านอย่างครบครัน, บริการด้านสุขภาพที่ช่วยให้ลูกบ้านมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น, บริการด้านการจัดเลี้ยง จัดกิจกรรมที่ครบวงจร และบริการผู้ช่วยส่วนตัวที่จะคอยดูแลให้ชีวิตของคุณง่ายขึ้นในทุกๆ เรื่องเมื่อเข้ามาอยู่ภายในโครงการ “บ้านอิสสระ บางนา” นอกจากนี้ภายในโครงการยังให้ความสำคัญกับนวัตกรรมการอยู่อาศัยด้วยการนำระบบ Home Automation มาใช้ซึ่งคือนวัตกรรมเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่เอาอุปกรณ์ต่างๆ ภายในบ้านมาทำงานร่วมกันแบบอัตโนมัติ โดยอาศัยการควบคุมผ่านอินเตอร์เน็ต (Internet of Things : IoT) โดยจะทำให้ผู้อยู่อาศัยมีความสะดวกสบาย ปลอดภัย และยังช่วยประหยัดพลังงานได้ โดยการ Control ผ่าน Mobile Application บน   Smart Phone หรือ Tablet   “นวัตกรรมนี้สามารถช่วยให้เจ้าของบ้านสามารถตรวจสอบความปลอดภัยว่ามีการ เปิด/ปิด ประตู หรือ ไฟ เรียบร้อยแล้วหรือไม่ก่อนออกจากบ้าน, การแจ้งเตือนผ่านมือถือเมื่อมีผู้บุกรุก หรือมีสัญญาณตรวจจับควันไฟ เมื่อตัว Smoke Detector ทำงาน ซึ่งจะช่วยทำให้เจ้าของบ้านทราบเหตุและระงับได้ทันท่วงที นอกจากนี้การควบคุมผ่าน Mobile Application ยังสามารถสั่งให้ไฟแสงสว่าง และแอร์ทำงานตามล่วงหน้า หรือทำตามปรับ Scenario ตามความต้องการ เพื่อตอบโจทย์กับไลฟ์สไตล์ผู้อยู่อาศัยในยุคปัจจุบัน สำหรับบ้านอิสสระ  บางนา ถือเป็นโครงการบ้านเดี่ยวระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ ที่ตอบโจทย์การอยู่อาศัยให้กับทุกไลฟ์สไตล์ เริ่มตั้งแต่เรื่องการออกแบบ ดีไซน์ ฟังก์ชั่นการใช้สอยต่างๆ ภายในบ้าน ที่เป็นส่วนช่วยเพิ่มความสะดวกสบายให้แก่ผู้อยู่อาศัย โดยมีแบบบ้านให้เลือกทั้งหมด 4 แบบ ได้แก่ ABELIA, BELLIS, CALLA และ DAVIDIA ซึ่งมีพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 380-697 ตารางเมตร ขนาดบ้าน 2-3ชั้น เริ่มตั้งแต่ 4-6 ห้องนอน 4-5 ที่จอดรถ ห้องรับแขก ห้องนั่งเล่น ครัว Panty ครัวไทย ห้องคนรับใช้ พร้อมลิฟท์ภายในบ้าน” นายดิฐวัฒน์ กล่าว   ทั้งนี้เพื่อเป็นการตอกย้ำโครงการบ้านอิสสระ บางนา ซึ่งถือเป็นความภูมิที่ส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น ล่าสุดเตรียมเปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาชุดแรก “ความภูมิใจที่ส่งต่อได้” เพื่อเป็นการสื่อถึงความภูมิใจ ในทุกๆ รายละเอียดให้กับคนในครอบครัว ได้สัมผัสถึงการใช้ชีวิตที่มีอิสระ มีความปลอดภัย โดยใช้ใจสัมผัสถึงการรับรู้ โดยจะเริ่มออนแอร์ในวันที่ 11 มิถุนายน นี้ ทางอัมรินทร์ทีวีช่อง 34, ช่อง 3HD 33, Nation TV ช่อง 22,ช่อง Money Channel, PPTV ช่อง 36 และ Thairath TV ช่อง 32 รวมถึงช่องทางออนไลน์ต่างๆของทางCharn Issara อีกด้วย
แมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด จับมือ ซีบีอาร์อี จัดงาน “The Exclusive Unveiling of the Latest Show Suites” 10-11 มี.ค.นี้

แมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด จับมือ ซีบีอาร์อี จัดงาน “The Exclusive Unveiling of the Latest Show Suites” 10-11 มี.ค.นี้

แมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด ร่วมกับ ซีบีอาร์อี ประเทศไทยจัดงาน “The Exclusive Unveiling of the Latest Show Suites” ตั้งแต่วันที่ 10-11 มีนาคม 2561  พร้อมมอบสิทธิพิเศษมากมายสำหรับลูกค้าและนักลงทุนภายในงาน นายวิสิษฐ์ มาลัยศิริรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด(MQDC) กล่าวว่า ซีบีอาร์อี คือหนึ่งในบริษัทที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำระดับโลก ที่จะช่วยดูแลลูกค้าชาวไทย ซึ่งปัจจุบันมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นและต้องการโครงการอสังหาริมทรัพย์บนทำเลชั้นเยี่ยม ตลอดจนโอกาสการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนคุ้มค่ามากที่สุด ซึ่งแมกโนเลียส์คือหนึ่งในโครงการที่ดีที่สุดในตลาดห้องชุดระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นำเสนอโอกาสการลุงทุนที่มีศักยภาพสูงซึ่งให้ผลตอบแทนที่ดีเยี่ยม และสำหรับผู้ที่ซื้อเพื่อการอยู่อาศัย ก็ถือเป็นการลงทุนเพื่อคุณภาพชีวิตที่เหนือระดับและคุ้มค่ามากที่สุดด้วยเช่นกัน นางสาวอลิวัสสา พัฒนถาบุตร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีบีอาร์อี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า แมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด ได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในโครงการระดับสากลซึ่งเป็นที่ต้องการมากที่สุดในหมู่นักลงทุนทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ นับตั้งแต่เปิดตัว เราได้รับเสียงตอบรับที่ดีเยี่ยมอย่างต่อเนื่องจากผู้ซื้ออสังหาริมทรัพย์ระดับสากลจากหลากหลายประเทศ "เรารู้สึกยินดีที่ได้ดูแลโครงการแมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด เชื่อมั่นว่าราคาประเมินของห้องชุดระดับไฮเอนด์ในกรุงเทพฯ ขยับเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 11% ในปีที่แล้ว และยังเป็นที่จับตาของนักลงทุนต่างชาติอย่างต่อเนื่อง และในปัจจุบัน คาดว่าราคาน่าจะขยับสูงขึ้นอีกและเพิ่มโอกาสการซื้อขายในตลาดต่างประเทศมากขึ้น” นางสาวอลิวัสสา กล่าว โดยห้องชุดที่เหลืออยู่ของแมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ดในปัจจุบัน คือแบบ 2 ห้องนอนพื้นที่ 75-108 ตารางเมตร และห้องห้องเพนท์เฮ้าส์ พื้นที่ 321-384  ตารางเมตร ภายในโครงการยังเพียบพร้อมด้วยส่วนบริการเพื่อการพักอาศัยระดับไฮเอนด์ ทั้งคลับส่วนตัว ล็อบบี้ส่วนตัวสำหรับผู้พักอาศัย และจุดรับ-ส่ง ห้องประชุมสังสรรค์ เลาจน์ พื้นที่สวนสีเขียวดีไซน์ใหม่ ห้องสมุด ศูนย์ไปรษณีย์ ศูนย์ธุรกิจพร้อมระบบสื่อสารและการเชื่อมต่อออนไลน์แบบครบวงจร ตลอดจนศูนย์ฟิตเนส ลู่วิ่งออกกำลังกลางแจ้ง เซาว์น่า สระว่ายน้ำยาว 70 เมตร พร้อมจากุชชี่และสระเด็ก รวมถึงระบบรักษาความปลอดภัยขั้นสูงตลอด 24 ชั่วโมง ภายในงานครั้งนี้ นำเสนอห้องชุด 2 ห้องนอนในราคาสุดพิเศษเริ่มต้น 20 ล้านบาท พร้อมสิทธิประโยชน์อีกมากมายเฉพาะแขกในงานเท่านั้น หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อโทรศัพท์ +66 83 095 5054 อีเมล magnolias@cbre.co.th หรือเยี่ยมชมเว็บไซต์ www.magnolias-ratchadamri.com