Tag : เจแอลแอล

6 ผลลัพธ์
แม่น้ำเรสซิเดนท์ จับมือ JLL ทำการตลาดเพนท์เฮาส์เชิงรุก เผยยูนิตสินค้าเพิ่มน้อย แต่ระยะ 5 ปี ราคาปรับขึ้นถึง 30%

แม่น้ำเรสซิเดนท์ จับมือ JLL ทำการตลาดเพนท์เฮาส์เชิงรุก เผยยูนิตสินค้าเพิ่มน้อย แต่ระยะ 5 ปี ราคาปรับขึ้นถึง 30%

แม่น้ำเรสซิเดนท์ และเจแอลแอล รุกทำตลาดเพนท์เฮาส์ เจาะกลุ่มเป้าหมายเฉพาะระดับลักชัวรี่ เพราะเห็นโอกาสตลาดที่ซัพพลายมีน้อย ยูนิตเพนท์เฮาส์โตขึ้น 6-7% ต่อปี ทำให้โอกาสของราคาปรับเพิ่มขึ้นทุกปี เฉลี่ย 5 ปีที่ผ่านมาราคาปรับขึ้น 30% จับตา Branded Residence พลิกโฉมอสังหาริมทรัพย์ริมน้ำเจ้าพระยาเป็นซุปเปอร์ลักชัวรี่ ดึงเศรษฐีไทยและต่างประเทศเข้ามาจับจองอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย   นายเดชา ตั้งสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แม่น้ำเรสซิเดนท์ จำกัด ผู้พัฒนาโครงการแม่น้ำเรสซิเดนท์คอนโดมิเนียมหรูบนทำเลโดดเด่นที่สุดริมแม่น้ำเจ้าพระยา เปิดเผยว่า การพัฒนาตลาดอสังหาริมทรัพย์ริมแม่น้ำเจ้าพระยากลับมามีความคึกคักอีกครั้งอย่างมีนัยยะสำคัญ และจะเปลี่ยนโฉมการอยู่อาศัย วิถีชีวิต การท่องเที่ยว อย่างเห็นได้ชัด ภายหลังการเปิดตัวของโครงการระดับซุปเปอร์ลักชัวรี่ริมน้ำเจ้าพระยาซึ่งจะมีกำหนดแล้วเสร็จปลายปีนี้ ส่งผลให้ตลาดคอนโดฯ ริมน้ำกลับมามีสีสันอย่างมาก และมูลค่าทรัพย์สินปรับตัวสูงขึ้นเทียบเท่าตลาดคอนโดมิเนียมระดับลักชัวรี่ในเขตศูนย์กลางธุรกิจ ดึงดูดกำลังซื้อทั้งในประเทศและต่างประเทศไหลเข้าพื้นที่ริมแม่น้ำ     “โดยเฉพาะโครงการแม่น้ำเรสซิเดนท์ ซึ่งใช้ห้องเพนท์เฮาส์ของโครงการ เป็นธงนำในการทำการตลาด ด้วยมองว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ริมแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นตลาดลักชัวรี่จนถึงซุปเปอร์ลักชัวรี่ การเจาะกลุ่มเป้าหมายจึงมีความพิเศษ ด้วยกิจกรรมที่สร้างความชอบให้กับคนเฉพาะกลุ่ม เช่น การจัดงานศิลปะบนเพนท์เฮาส์ แม่น้ำเรสซิเดนท์ จึงได้จัดงาน PENTHOUSE IS ART BY MENAM RESIDENCES ซึ่งเป็นการจัดแสดงผลงานศิลปะจากศิลปินระดับประเทศบนห้องเพนท์เฮาส์เป็นครั้งแรกของประเทศไทย เพื่อทำการตลาดที่มุ่งเน้นไปที่กลุ่มเป้าหมายที่ชื่นชอบหรือเป็นนักสะสมงานศิลปะ และสะสมห้องเพนท์เฮาส์ ไปในคราวเดียวกัน ซึ่งได้รับผลตอบรับเป็นอย่างดี เนื่องจากทำเลที่ตั้งของโครงการอยู่บนวิวโค้งน้ำที่สวยงามที่สุดของแม่น้ำเจ้าพระยา บวกกับการนำศิลปะมาตกแต่งห้อง นอกจากจะช่วยเพิ่มความสวยงามและเอกลักษณ์ให้กับห้องแล้ว ยังสามารถเพิ่มมูลค่าให้กับห้องในระยะยาว การลงทุนแบบนี้เรียกว่า Passion Investment ซึ่งสร้างคุณค่าทางจิตใจและมูลค่าที่เพิ่มขึ้นในอนาคต” นายเดชากล่าว   ด้านศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ไทยของบริษัทที่ปรึกษาและบริการด้านอสังหาริมทรัพย์ เจแอลแอล เปิดเผยว่า ระหว่างปี 2556-2560 ตลาดคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ โดยรวม มีห้องสูทเพนท์เฮาส์ขยายตัวเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 77 ยูนิต หรือประมาณ 6% ต่อปี ส่วนในปีนี้ จะสร้างเสร็จเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วราว 7% หรือ 104 ยูนิต ซึ่งในจำนวนนี้เป็นของโครงการระดับหรู (ลักชัวรี่และซูเปอร์ลักชัวรี่) 43 ยูนิต โดย ณ สิ้นปี ตลาดคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ จะมีห้องสูทเพนท์เฮาส์รวมทั้งสิ้นประมาณ 1,590 ยูนิต แบ่งเป็นยูนิตในโครงการระดับหรูรวม 440 ยูนิต โดยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เพนท์เฮาส์ในโครงการคอนโดมิเนียมระดับหรูในกรุงเทพฯ มีราคาปรับขึ้นไปแล้วกว่า 30% และยังคงมีแนวโน้มปรับสูงขึ้นต่อไป โดยเฉพาะในโครงการใหม่       นางสุพินท์ มีชูชีพ กรรมการผู้จัดการ เจแอลแอล กล่าวว่า ห้องสูทเพนท์เฮาส์ เป็นห้องชุดยูนิตพิเศษที่มักพบเห็นได้เพียงไม่กี่ยูนิตอยู่บนชั้นบนสุดของอาคารคอนโดมิเนียม โดยมักมีขนาดใหญ่พิเศษ และได้รับการออกแบบตกแต่งด้วยวัสดุที่มีความหรูหรากว่ายูนิตอื่นๆ ในอาคารเดียวกัน ซึ่งด้วยข้อจำกัดนี้ ทำให้ห้องสูทเพนท์เฮาส์มีการขยายตัวเพิ่มขึ้นได้ไม่มากนัก ความพิเศษที่กล่าวมานี้ ทำให้ห้องสูทเพนท์เฮาส์มีราคาต่อยูนิตสูง โดยปัจจุบัน เพนท์เฮาส์มีราคาขายอยู่ระหว่าง 60-300 ล้านบาทต่อยูนิตขึ้นอยู่กับทำเลที่ตั้ง ขนาดยูนิต และชื่อเสียงของโครงการ โดยราคาต่อยูนิตที่สูง จึงทำให้เพนท์เฮาส์มีฐานผู้ซื้อที่แคบกว่าเมื่อเทียบกับผู้ซื้อยูนิตกลุ่มอื่นๆ ส่งผลให้ผู้พัฒนาคอนโดมิเนียมหลายโครงการไม่มีการทำเพนท์เฮาส์ จึงเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่จำกัดการเพิ่มจำนวน   ทั้งนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่า เพนท์เฮาส์สร้างเสร็จใหม่ในช่วงเมื่อไม่นานมานี้และที่มีกำหนดจะสร้างเสร็จในอนาคต ส่วนใหญ่จะอยู่ในโครงการระดับหรู รวมถึงคอนโดที่บริหารโดยแบรนด์โรงแรมที่มีชื่อเสียง (Branded Residence) โครงการริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่มีกำหนดจะสร้างเสร็จในปลายปีนี้ ได้แก่ โครงการ Four Seasons Private Residences Bangkok, โครงการ Banyan Tree Residences Riverside Bangkok และโครงการ The Residences at Mandarin Oriental (ICONSIAM) ซึ่งด้วยต้นทุนและคุณภาพที่สูงขึ้นของโครงการเหล่านี้ เป็นปัจจัยสำคัญที่จะผลักดันให้ราคาเพนท์เฮาส์เฉลี่ยโดยรวมขยับตัวสูงขึ้นต่อไปอีก     “เชื่อว่าโครงการใหม่ๆ เหล่านี้ จะมีผลทำให้ตลาดคอนโดมีเนียมระดับหรูของกรุงเทพฯ ได้รับความสนใจของผู้ซื้อต่างชาติมากขึ้น โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการซื้อเพนท์เฮาส์ระดับหรูไว้เป็นของสะสมด้วยคุณสมบัติพิเศษและจำนวนที่จำกัด ในขณะเดียวกัน คาดว่า เพนท์เฮาส์ในโครงการคอนโดฯ ที่สร้างเสร็จแล้วจะมีขีดความสามารถในการแข่งขันที่สูงขึ้นเช่นกัน จากความได้เปรียบของต้นทุนการพัฒนาที่ต่ำกว่าโครงการที่จะเปิดใหม่ในอนาคต” นางสุพินท์กล่าว       นางสาวนนท์รภัส พรสินคุณานนท์ หัวหน้าฝ่ายบริการธุรกิจที่พักอาศัย เจแอลแอล กล่าวว่า กลุ่มผู้ซื้อเป็นคนไทยที่มีฐานะดีที่ต้องการที่พักอาศัยในเขตศูนย์กลางธุรกิจสำหรับใช้ในช่วงระหว่างวันทำงาน หรือให้บุตรหลานพักอาศัย ส่วนผู้ซื้อชาวต่างชาติ เป็นผู้ที่ชื่นชอบการเดินทางเข้ามาพักผ่อนช่วงวันหยุดยาวที่กรุงเทพฯ โดยส่วนใหญ่เป็นผู้ซื้อจากเอเชีย อาทิ ฮ่องกง และจีน โดยเฉพาะชาวจีนที่มีการซื้อไว้ไม่เฉพาะสำหรับใช้เองเท่านั้น แต่ยังมีไว้สำหรับให้ญาติมิตรเข้ามาพักเมื่อเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในกรุงเทพฯอีกด้วย     “ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ พบว่า การลงทุนซื้อเพนท์เฮาส์ไว้สำหรับปล่อยเช่าไม่ได้รับความนิยม เนื่องจากราคาซื้อขายที่สูง ทำให้ผู้ซื้อไม่อาจคาดหวังผลตอบแทนการลงทุนในระดับที่คุ้มค่าได้ เพนท์เฮาส์ที่มีเสนอให้เช่าอยู่ในขณะนี้ ส่วนใหญ่เป็นยูนิตในโครงการเก่าที่เจ้าของซื้อมาในราคาไม่สูงดังเช่นที่เสนอขายในปัจจุบัน จึงสามารถเสนอค่าเช่าในระดับที่ผู้เช่ามีกำลังในการจ่าย ซึ่งเป็นหนึ่งในเหตุผลที่อธิบายว่า เหตุใดผู้ซื้อเพนท์เฮาส์ใหม่ๆ ส่วนใหญ่ ซื้อไว้เพื่อใช้เอง” นางสาวนนท์รภัสกล่าว   สำหรับลูกค้าที่ต้องการเข้าชมงาน PENTHOUSE IS ART และห้องเพนท์เฮาส์ แม่น้ำเรสซิเดนท์ฯ ซึ่งมีพื้นที่ใช้สอย 270-280 ตารางเมตร เสนอขายในราคาปัจจุบันที่ 60-80 ล้านบาท สามารถสอบถามข้อมูลได้ที่ โทร 06-2796-0101
ครึ่งแรก ปี 60 การลงทุนซื้อขายโรงแรมในไทยทะลุหมื่นล้านบาท

ครึ่งแรก ปี 60 การลงทุนซื้อขายโรงแรมในไทยทะลุหมื่นล้านบาท

บริษัทที่ปรึกษาและบริการด้านอสังหาริมทรัพย์ เจแอลแอล เปิดเผยว่า ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ ประเทศไทยมีการซื้อขายเกิดขึ้นรวมมูลค่าทั้งสิ้นมากกว่า 10,700 ล้านบาท จากการซื้อขายโรงแรม 4 โรงในกรุงเทพฯ และ 1 โรงในพัทยา เทียบกับปี 2559 ที่มีการซื้อขายโรงแรมเกิดขึ้นทั้งปี รวมมูลค่าประมาณ 9,600 ล้านบาท นายไมค์ แบทเชเลอร์ หัวหน้าฝ่ายขายภาคพื้นเอเชีย หน่วยธุรกิจบริการการลงทุนด้านโรงแรม เจแอลแอล กล่าวว่า “การซื้อขายที่มีมูลค่าสูงในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ นอกจากจะแสดงให้เห็นว่านักลงทุนยังคงมีความสนใจในการลงทุนซื้อโรงแรมในไทยสูงแล้ว  ยังสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อภาคการท่องเที่ยวของไทยในระยะยาวอีกด้วย” “ผู้ซื้อประกอบด้วยทั้งนักลงทุนไทยและนักลงทุนจากต่างชาติ โดยนักลงทุนต่างชาติรายล่าสุดที่ซื้อโรงแรมในไทยคือ โฮเทล เอทตี้วัน (Hotel81) และกลุ่มคาร์ลตัน โฮเทล ซึ่งเป็นทุนจากสิงคโปร์ทั้งสองราย ตอกย้ำสถานภาพของไทยในฐานะหนึ่งในจุดหมายการลงทุนด้านโรงแรมที่ได้รับความสนใจมากที่สุดในภูมิภาคนี้” นายแบทเชเลอร์กล่าว การลงทุนซื้อขายโรงแรมล่าสุดในครึ่งแรกปีนี้ คือการเข้าซื้อพอร์ตโรงแรมพรีเมียร์ อินน์ โดยโฮเทล เอทตี้วันจากสิงคโปร์ ประกอบด้วยโรงแรมสองโรงที่กรุงเทพฯ และพัทยา จำนวนห้องพักรวม 388 ห้อง ซึ่งนับเป็นก้าวแรกโฮเทล เอทตี้วันในการเข้ามาลงทุนในภาคธุรกิจโรงแรมของไทย ทั้งนี้ บริษัทได้มอบหมายให้ทราเวลลอดจ์ (Travelodge) เข้ามาเป็นผู้บริหารโรงแรมที่เพิ่งซื้อ นายจักรกริช จักรพันธุ์ ณ อยุธยา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโสฝ่ายขาย หน่วยธุรกิจบริการการลงทุนด้านโรงแรม เจแอลแอล กล่าวว่า “การซื้อพอร์ตโรงแรมพรีเมียร์ อินน์ ครั้งนี้ นับเป็นครั้งแรกที่โฮเทล เอทตี้วัน ซึ่งมีโรงแรมในความครอบครองมากที่สุดในสิงคโปร์ ลงทุนซื้อโรงแรมในต่างประเทศ ส่วนผู้ขายคือกลุ่มวิทเบรด (Whitbread) ซึ่งมีโรงแรมในความครอบครองมากที่สุดในอังกฤษ โดยมีเจแอลแอลเป็นตัวแทนในการจัดการซื้อขายข้ามประเทศในครั้งนี้” ก่อนหน้านี้เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา กลุ่มคาร์ลตัน โฮเทล จากสิงคโปร์ได้เข้าซื้อโครงการโรงแรมที่หยุดการก่อสร้างค้างไว้ในกรุงเทพฯ ด้วยมูลค่า 2,400 ล้านบาท โดยโครงการดังกล่าวตั้งอยู่หัวมุมปากซอยสุขุมวิท 27 ประกอบด้วยที่ดิน 2 ไร่ 2 งาน 34.3 ตารางวา และอาคารโรงแรมความสูง 34 ชั้นที่ยังสร้างไม่เสร็จ โดยเจแอลแอลทำหน้าที่เป็นตัวแทนเจ้าของเดิม คือ บริษัท กรุงเทพบริหาร จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัท พริ้นซิเพิล แคปิตอล จำกัด (มหาชน) ในการหาผู้ซื้อ ทั้งนี้ โรงแรมดังกล่าวซึ่งมีห้องพัก 342 ห้องจะมีการก่อสร้างต่อจนแล้วเสร็จในปี 2562 และคาดว่าจะใช้ชื่อคาร์ลตัน โฮเทล นายการัณย์ คานิเยาว ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโสฝ่ายขาย หน่วยธุรกิจบริการการลงทุนด้านโรงแรม เจแอลแอล กล่าวว่า “การซื้อโครงการโรงแรมโดยกลุ่มคาร์ลตัน โฮเทล นับเป็นการลงทุนซื้อโรงแรมรายการใหญ่ที่สุดบนถนนสุขุมวิท และนับเป็นราคาสูงสุดเท่าที่เคยมีการซื้อขายเกิดขึ้น หากคิดมูลค่าราคาต่อห้องพักหลังก่อสร้างต่อจนเสร็จ” ส่วนอีกสองโรงแรมที่มีการเปลี่ยนมือในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ ได้แก่ โรงแรมบางกอกเอดิชั่น บูติค โฮเต็ล และโรงแรมสวิสโซเทล นายเลิศปาร์ค ซึ่งกรณีของโรงแรมสวิสโซเทล นายเลิศปาร์ค แม้จะมีการเปิดเผยการซื้อขายในปี 2559 แต่ธุรกรรมการซื้อขายได้รับการดำเนินการเสร็จสิ้นในปีนี้ เจแอลแอล คาดว่า การลงทุนซื้อขายโรงแรมในไทยสำหรับทั้งปีนี้ จะมีมูลค่ารวมทั้งสิ้นมากกว่า 14,000 ล้านบาท ส่วนในปี 2559 ที่ผ่านมา มีการซื้อขายโรงแรมในไทยทั้งหมดมากกว่า 10 โรงในกรุงเทพฯ และหัวเมืองใหญ่ๆ รวมมูลค่าทั้งสิ้น 9,600 ล้านบาท โดยในจำนวนนี้ เป็นโรงแรมที่เจแอลแอลเป็นตัวแทนการขายจำนวน 5 โรงในกรุงเทพฯ ภูเก็ต สมุย ศรีราชา และเชียงราย
การลงทุนซื้อขายโรงแรมในไทยมีมูลค่ารวม 9.6 พันล้านในปี 59 ปี 60 มีแนวโน้มคึกคัก

การลงทุนซื้อขายโรงแรมในไทยมีมูลค่ารวม 9.6 พันล้านในปี 59 ปี 60 มีแนวโน้มคึกคัก

ในปี 2559 ที่ผ่านมา ตลาดการลงทุนซื้อขายโรงแรม (รวมถึงเซอร์วิสอพาร์ทเม้นท์) ในประเทศไทยมีสภาวะคึกคัก โดยมีโรงแรมในกรุงเทพฯ และหัวเมืองใหญ่ๆ มากกว่า 10 โรงแรมที่มีการเปลี่ยนมือ คิดเป็นมูลค่ารวมทั้งสิ้น 9,600 ล้านบาท อย่างไรก็ดี มูลค่าดังกล่าวลดลง 15% จากปีก่อนหน้า เนื่องจากในปีที่ผ่านมาไม่มีการซื้อขายโรงแรมที่มีมูลค่าสูงดังที่เกิดขึ้นในปี 2558 แต่สำหรับปี 2560 นี้ ยอดการซื้อขายโรงแรมในไทยจะเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด จากการที่การเจรจาตกลงซื้อขายโรงแรมสวิสโฮเทล นายเลิศ ปาร์ค มูลค่า 10,800 ล้านบาทจะเสร็จสมบูรณ์ในปีนี้ ยังไม่รวมการซื้อขายโรงแรมอื่นๆ อีก ที่จะเกิดขึ้น ตามการรายงานจากบริษัทที่ปรึกษาและบริการด้านอสังหาริมทรัพย์ เจแอลแอล   นายไมค์ แบทเชเลอร์ กรรมการผู้จัดการฝ่ายขายภาคพื้นเอเชีย หน่วยธุรกิจบริการการลงทุนด้านโรงแรมของเจแอลแอล กล่าวว่า “ในจำนวนโรงแรมที่มีการซื้อขายไปในปีที่ผ่านมา มีโรงแรม 5 แห่งที่เจแอลแอลเป็นตัวแทนเจ้าของในการจัดหานักลงทุนเข้าซื้อ ทั้งนี้ เราพบว่า ทั้งนักลงทุนไทยและต่างชาติ ยังคงให้ความสนใจเข้าซื้อโรงแรมในไทยอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากยังคงมั่นใจในปัจจัยพื้นฐานของตลาดที่แข็งแกร่งในระยะยาว”   ข้อมูลจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย แสดงให้เห็นว่า ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 8.9% โดยในปี 2558 มีจำนวนนักท่องเที่ยวแตะ 30 ล้านคนเป็นปีแรก และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นไปถึง 35 ล้านคนในปีนี้ แม้มาตรการปราบปรามทัวร์ศูนย์เหรียญจะส่งผลกระทบต่อจำนวนนักท่องเที่ยวจากจีนในช่วงครึ่งหลังของปีที่แล้วก็ตาม   กรุงเทพฯ เป็นตลาดการซื้อขายหลักในปี 59 ในปีที่ผ่านมา กรุงเทพฯ เป็นตลาดโรงแรมที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุดในประเทศไทย โดยมีสัดส่วนราว 50% ของมูลค่าการลงทุนซื้อขายทั้งหมดที่เกิดขึ้น ตัวอย่างการซื้อขายรายการสำคัญๆ ได้แก่ เอท ทองหล่อ (ส่วนของเซอร์วิสอพาร์ทเม้นท์เดิมคือ แพน แปซิฟิก เซอร์วิส สวีท เปลี่ยนเป็นโรงแรมอาคิระ ทองหล่อในปัจจุบัน) โรงแรมลิเบอร์ตี้ การ์เดน และปาร์ค 24 คอนโดมิเนียมย่านสุขุมวิทซึ่งจะเปลี่ยนเป็นเซอร์วิสอพาร์ทเม้นท์ภายใต้การบริหารโดยแอสคอทท์   การลงทุนซื้อขายโรงแรมอื่นๆ ที่เกิดขึ้นในปีที่ผ่านมา กระจายตัวอยู่ตามเมืองท่องเที่ยวหลักๆ ได้แก่ พัทยา ภูเก็ต พังงา เกาะสมุย หัวหิน และเชียงราย ตลอดไปจนถึงศรีราชาซึ่งเป็นย่านอุตสาหกรรม และนครราชสีมาซึ่งเป็นหัวเมืองหน้าด่านของอีสาน   ทั้งนักลงทุนไทยและต่างชาติเป็นผู้ซื้อหลัก  ในปีที่ผ่านมา นักลงทุนไทยและต่างชาติที่เข้าซื้อโรงแรมในไทยมีสัดส่วนที่ใกล้เคียงกัน โดยการลงทุนซื้อโดยนักลงทุนต่างชาติมีสัดส่วนคิดเป็น 45% ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักลงทุนประเภทสถาบันจากฮ่องกงและสิงคโปร์   นายแบทเชเลอร์กล่าวว่า “ในปีที่ผ่านมา ทั้งนักลงทุนไทยและต่างชาติให้ความสนใจสูงสำหรับโอกาสการเข้าลงทุนซื้อโรงแรมในไทย ซึ่งคาดว่าแนวโน้มดังกล่าวนี้ จะยังคงดำเนินต่อในปีนี้”   “มีนักลงทุนสถาบันจากประเทศเอเชียจำนวนมากขึ้นที่กำลังมองโอกาสการลงทุนในตลาดอสังหาริมทรัพย์ประเภทต่างๆ ของไทย โดยเน้นตลาดที่มีผลประกอบการดีและให้ผลตอบแทนการลงทุนในระดับที่น่าพอใจ ซึ่งโรงแรมเป็นอสังหาริมทรัพย์ประเภทหนึ่งที่ได้รับความสนใจเนื่องจากตลาดการท่องเที่ยวของไทยมีแนวโน้มการเติบโตที่แข็งแกร่งในระยะยาว ดังจะเห็นได้จากการที่มีนักลงทุนจำนวนมากเข้าร่วมแข่งขันเสนอราคา เมื่อมีโรงแรมมีศักยภาพเหมาะสำหรับการลงทุนถูกนำออกมาเสนอขาย” นายแบทเชเลอร์กล่าว    
ตลาดที่อยู่อาศัยในลอนดอนยังมีศักยภาพสูงสำหรับการลงทุน นักลงทุนไทยที่รอช้อนซื้อบ้าน-คอนโดราคาตกอาจผิดหวัง ราคายังไม่ลดลง

ตลาดที่อยู่อาศัยในลอนดอนยังมีศักยภาพสูงสำหรับการลงทุน นักลงทุนไทยที่รอช้อนซื้อบ้าน-คอนโดราคาตกอาจผิดหวัง ราคายังไม่ลดลง

กรุงเทพฯ 22 พฤศจิกายน 2559 -  นับตั้งแต่อังกฤษมีประชามติให้ถอนตัวออกจากการเป็นสมาชิกในกลุ่ม EU มีเศรษฐีชาวไทยจำนวนมากขึ้นที่แสดงความสนใจซื้อที่อยู่อาศัยในลอนดอนเพื่อการลงทุน อย่างไรก็ดี มีเพียงจำนวนน้อยเท่านั้นที่ตัดสินใจซื้อในช่วงนี้ โดยส่วนใหญ่ยังคงรอดูสถานการณ์ เนื่องจากยังไม่แน่ใจว่าราคาอสังหาริมทรัพย์ในลอนดอนจะร่วงลงหรือไม่ ทั้งนี้ รายงานการวิเคราะห์ล่าสุดจากบริษัทบริการและที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ เจแอลแอล ระบุว่า นับจากการโหวต Brexit การปรับขึ้นของราคาที่อยู่อาศัยในลอนดอนเริ่มชะลอลง แต่ยังไม่มีแนวโน้มที่จะราคาปรับลดลงในอนาคตอันใกล้นี้ นางสุพินท์ มีชูชีพ กรรมการผู้จัดการ เจแอลแอลในประเทศไทย กล่าวว่า “สำหรับชาวไทยผู้มีฐานะที่สนใจลงทุนซื้ออสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศ ลอนดอนนับเป็นหนึ่งในตลาดที่อยู่อาศัยที่นักลงทุนไทยให้ความสนใจมากที่สุดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และยิ่งได้รับความสนใจมากขึ้นไปอีกในช่วงนี้ หลังค่าเงินปอนด์อ่อนตัวลงมาก ส่งผลให้คนไทยสามารถซื้ออสังหาริมทรัพย์ในอังกฤษได้ถูกลง เมื่อคำนวณเป็นสกุลเงินไทย ความสนใจที่เพิ่มขึ้นดังกล่าวสะท้อนให้เห็นได้จากจำนวนการติดต่อสอบถามที่เจแอลแอลได้รับเพิ่มมากขึ้นจากผู้ที่สนใจซื้อที่อยู่อาศัยในกรุงลอนดอนหลังผลโหวต Brexit” นับตั้งแต่วันออกเสียงโหวต Brexit วันที่ 23 มิถุนายนถึงวันที่ 20 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ค่าเงินปอนด์อ่อนตัวลงไปราว 16% เมื่อเทียบกับเงินบาท อย่างไรก็ดี แม้ความสนใจจะมีมากขึ้น แต่จำนวนชาวไทยที่ตัดสินใจซื้อจริงในขณะนี้ยังมีไม่มาก นางสุพินท์อธิบายว่า ผู้สนใจส่วนใหญ่ยังไม่มั่นใจเกี่ยวกับทิศทางตลาดที่อยู่อาศัยของลอนดอนหลังอังกฤษออกจาก EU และมีนักลงทุนบางส่วนที่ไม่แน่ใจว่า ราคาที่อยู่อาศัยในลอนดอนในขณะนี้หรือในระยะต่อจากนี้จะตกลงหรือไม่ รายงานการวิเคราะห์ล่าสุดจากเจแอลแอลเปิดเผยว่า แม้ตลาดที่อยู่อาศัยของกรุงลอนดอนจะมีความอ่อนไหวมากขึ้นอันเป็นผลกระทบจากการลงประชามติให้อังกฤษถอนตัวออกจาก EU แต่คาดว่าสภาวะตลาดจะยังคงอยู่ในเกณฑ์ที่ดี ทั้งนี้ การขยายตัวของอุปทานหรือซัพพลายใหม่ที่จะชะลอตัวมากในปี 2560 และ 2561 โดยเฉพาะในย่านใจกลางลอนดอน จะทำให้การเพิ่มขึ้นของอุปทานไม่สอดคล้องกับอุปสงค์หรือปริมาณความต้องการของผู้ซื้อ ซึ่งจะส่งผลให้ราคาที่อยู่อาศัยในลอนดอนมีแนวโน้มปรับเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะเมื่อความเชื่อมั่นฟื้นตัว นายเดวิด กรีน-มอร์แกน ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย หน่วยธุรกิจบริการด้านการลงทุน เจแอลแอล กล่าวว่า “สำหรับนักลงทุนที่สนใจซื้ออสังหาริมทรัพย์ในลอนดอนในขณะนี้ จำเป็นต้องอาศัยวิจารณญาณของตนเอง โดยควรพิจารณาปัจจัยพื้นฐานของตลาด ทั้งนี้ ตามข้อมูลของเจแอลแอล เชื่อว่า ช่วงเวลานี้เป็นจังหวะที่เหมาะสำหรับการซื้อหรือถือครองอสังหาริมทรัพย์ที่ซื้อไว้แล้วต่อไป มากกว่าที่จะปล่อยขาย” รายงานการวิเคราะห์ของเจแอลแอล ระบุถึงประเด็นสำคัญๆ หกประเด็นที่แสดงให้ถึงศักยภาพของตลาดที่อยู่อาศัยของลอนดอน ตลาดที่อยู่อาศัยในลอนดอนมีปริมาณในเกณฑ์ที่ไม่เพียงพอรองรับความต้องการของผู้ซื้อ โดยเฉพาะที่อยู่อาศัยที่มีราคาต่ำกว่า 2 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 86 ล้านบาท ข้อมูลตัวเลขจากรัฐบาลอังกฤษ ประเมินว่า ในช่วง 4 ปีข้างหน้า จะมีซัพพลายใหม่ไม่เพียงพอรองรับความต้องการที่อยู่อาศัยในลอนดอนที่เพิ่มขึ้นราว 20,000-25,000 หน่วยต่อปี ปัจจุบัน ลอนดอนเป็นหนึ่งในศูนย์กลางทางเทคโนโลยีที่สำคัญที่สุดเมืองหนึ่งของโลก โดยมีบริษัทในกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยี สื่อ และโทรคมนาคม เป็นผู้เช่าอาคารสำนักงานกลุ่มใหญ่ที่สุดในช่วง 7 ปีที่ผ่านมา ซึ่งทำให้มีผู้คนเดินทางเข้ามาทำงานในลอนดอนเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ คาดว่า นับจากนี้ไปถึงปี 2563 จำนวนประชากรในลอนดอนจะเพิ่มขึ้นอีกเกือบหนึ่งล้านคน ซึ่งจะทำให้ความต้องการที่อยู่อาศัยขยายตัวเพิ่มขึ้นอีกมาก ลอนดอนเป็นเมืองที่มีดัชนีสูงสุดเป็นอันดับหนึ่งในหลายๆ ด้าน อาทิ สภาพแวดล้อมทางธุรกิจ การพัฒนาของภาคการเงิน ระบบสาธารณูปโภค ทุนมนุษย์ และความมีชื่อเสียงโดยรวมในฐานะหนึ่งในเมืองชั้นนำของโลก ประกอบกับนโยบายการเงินและการคลังที่ค่อนข้างยืดหยุ่นของรัฐบาลอังกฤษ ช่วยหนุนให้ลอนดอนเป็นเป้าหมายสำหรับการลงทุนจากทั่วโลก เอื้อให้เกิดการขยายตัวของเศรษฐกิจและการว่าจ้างงานในทุกภาคส่วน ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา อังกฤษมีการขยายตัวทางเศรษฐกิจในระดับที่แข็งแกร่ง และมีการคาดการณ์ว่าจะขยายตัวแซงหน้าประเทศอื่นในยุโรปและ EU แม้จะมีการลงมติ Brexit แล้วก็ตาม เงินปอนด์ที่อ่อนค่าลงเป็นประวัติการณ์ โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับเงินสกุลเอเชีย อาจนับเป็นโอกาสสั้นๆ เพียงโอกาสเดียวสำหรับนักลงทุนต่างชาติทั้งมือเก่าและมือใหม่ที่จะสามารถเข้าไปลงทุนซื้ออสังหาริมทรัพย์ในลอนดอนได้ นอกจากนี้ เมื่อเทียบกับเมืองหลักอื่นๆ อาทิ ฮ่องกง ซิดนีย์ และสิงคโปร์ ตลาดการลงทุนซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ในลอนดอนนับว่ามีความได้เปรียบกว่าในแง่ของต้นทุนในการทำธุรกรรมซื้อขายและภาษีการถือครองที่ต่ำกว่า ไม่ว่าผลลัพธ์ท้ายสุดสำหรับการเจรจาต่างๆ ระหว่างอังกฤษและ EU เกี่ยวกับการเตรียมการถอนตัวของอังกฤษ จะออกมาในรูปแบบใด อังกฤษจะยังคงเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจมากที่สุด ทั้งในยุโรปและในเวทีโลกต่อไป
ความสนใจซื้อคอนโดไฮเอ็นด์ในกรุงเทพฯ ยังสูง แต่ตัวเลือกและราคาที่เพิ่มขึ้น ทำให้ผู้ซื้อตัดสินใจช้าลง

ความสนใจซื้อคอนโดไฮเอ็นด์ในกรุงเทพฯ ยังสูง แต่ตัวเลือกและราคาที่เพิ่มขึ้น ทำให้ผู้ซื้อตัดสินใจช้าลง

กรุงเทพฯ 24 สิงหาคม 2559 - แม้โครงการคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ จะมียอดขายแตกต่างกันไปในแต่ละโครงการและทำเล แต่สำหรับตลาดโดยภาพรวม พบว่า มีการขายช้าลง เนื่องจากซัพพลายที่มีอยู่ค่อนข้างมาก ทำให้ผู้ซื้อใช้เวลานานขึ้นในการหาและเปรียบเทียบตัวเลือก ตามการรายงานจากบรืษัทที่ปรึกษาและบริการด้านอสังหาริมทรัพย์ เจแอลแอล (โจนส์ แลง ลาซาลล์) นายบัณฑูร ดำรงรักษ์ หัวหน้าฝ่ายบริการธุรกิจที่พักอาศัย เจแอลแอล กล่าวว่า “โดยทั่วไป ดีมานด์หรือความต้องการซื้อคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ ยังคงมีอยู่สูง โดยเห็นได้จากการที่เจแอลแอลยังคงได้รับการติดต่อสอบถามจากผู้สนใจซื้อเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะสำหรับคอนโดมิเนียมในย่านใจกลางกรุง ทั้งนี้ แม้ผู้สนใจซื้อหลายรายมีความตั้งใจซื้อจริง แต่ปริมาณคอนโดมิเนียมที่มีเสนอขายอยู่มากในตลาด ทำให้ผู้ซื้อไม่แน่ใจว่า ยูนิตที่กำลังสนใจนั้น เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดแล้วหรือไม่ จึงลังเลและใช้เวลาในการตัดสินใจนานขึ้น” รายงานจากศูนย์บริการข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ไทยโดยเจแอลแอล ระบุว่า ณ กลางปีนี้ กรุงเทพฯ มีคอนโดมิเนียม (เฉพาะที่สร้างเสร็จแล้ว) คิดเป็นจำนวนรวมทั้งสิ้นกว่า 406,500 ยูนิต โดยในจำนวนนี้เป็นคอนโดที่สร้างเสร็จในช่วงครึ่งแรกของปีนี้รวม 29,200ยูนิต นอกจากนี้ มีคอนโดอีก 135,900 ยูนิตที่กำลังทยอยสร้าง โดยในจำนวนนี้ จะสร้างเสร็จในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ประมาณ40,000 ยูนิต ซึ่งจะทำให้กรุงเทพฯ ณ สิ้นปี 2559 มีจำนวนคอนโดมิเนียมที่สร้างเสร็จแล้วรวมทั้งสิ้นมากกว่า 446,000 ยูนิต เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวจากช่วงสิ้นปี 2555 คาดหวังราคาของผู้ซื้อและผู้ขาย มีช่องว่าง การติดต่อสอบถามที่เจแอลแอลได้รับส่วนใหญ่ มาจากผู้สนใจซื้อคอนโดมิเนียมกลุ่มไฮเอ็นด์ในย่านศูนย์กลางธุรกิจ ในสนนราคาต่ำกว่า 200,000 บาทต่อตารางเมตร ในขณะที่คอนโดกลุ่มนี้มีราคาเสนอขายส่วนใหญ่อยู่ระหว่าง 200,000-300,000 บาทต่อตารางเมตร “ผู้สนใจซื้อหลายรายรับรู้ว่าตลาดคอนโดในกรุงเทพฯ มีซัพพลายเพิ่มขึ้นมากและโครงการต่างๆ ขายได้ช้าลง จึงคาดหวังว่าเจ้าของจะปรับลดราคา แต่ในความเป็นจริง แม้การขายจะช้าลง ราคาคอนโดมิเนียมยังคงปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในโครงการที่เปิดตัวใหม่ (เปิดขายก่อนเริ่มก่อสร้างหรือยังสร้างไม่เสร็จ) นอกจากนี้ โครงการที่เพิ่งสร้างเสร็จใหม่ยังคงมีราคาขายปรับตัวเพิ่มขึ้นอีก 10-20% จากราคาเสนอขายช่วงเริ่มเปิดตัวโครงการก่อนเริ่มการก่อสร้าง” นายบัณฑูรกล่าว เพื่อกระตุ้นการขาย เจ้าของโครงการบางรายเสนอแรงจูงใจเพิ่ม อาทิ แถมเฟอร์นิเจอร์บิลท์อินหรือลอยตัว ยกเว้นค่าธรรมเนียมการโอน ไปจนถึงยกเว้นการจัดเก็บค่าบริหารส่วนกลางในช่วงระยะเวลาหนึ่ง แต่ยังไม่มีสัญญาณที่แสดงให้เห็นว่าจะมีการปรับลดราคาลง ดังนั้น ความคาดหวังด้านราคาระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายจึงมีช่องว่าง และเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้การขายในตลาดคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ ช้าลง เจ้าของโครงการรุกตลาดผู้ซื้อต่างชาติมากขึ้น นอกจากการติดต่อสอบถามจากผู้สนใจซื้อชาวไทยแล้ว เจแอลแอลพบว่า มีชาวต่างชาติให้ความสนใจซื้อคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ เพิ่มมากขึ้นเช่นกัน โดยเฉพาะจากฮ่องกง สิงคโปร์ และจีน ทั้งนี้ จากการซื้อขายที่เกิดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ และการติดต่อสอบถามที่เจแอลแอลได้รับ แสดงให้เห็นว่า ชาวต่างชาติที่สนใจซื้อส่วนใหญ่ เน้นโครงการไฮเอ็นด์เนื่องจากสามารถมั่นใจได้มากกว่าในแง่ของคุณภาพการออกแบบ การก่อสร้าง และการบริหารจัดการอาคาร รวมถึงศักยภาพการลงทุน “แม้ในขณะนี้ การซื้อคอนโดมิเนียมเพื่อปล่อยเช่าในกรุงเทพฯ จะให้ผลตอบแทนไม่สูงมาก โดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 3% แต่ชาวต่างชาติยังคงสนใจลงทุนซื้อ” นายบัณฑูรกล่าว พร้อมอธิบายว่า คอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ นับว่ายังมีราคาที่ต่ำมากเมื่อเทียบกับคุณภาพและทำเลที่เทียบเคียงกันกับคอนโดที่ฮ่องกง สิงคโปร์ หรือหัวเมืองใหญ่ๆ ของจีน ทำให้นักลงทุนจากประเทศเหล่านี้สามารถซื้อคอนโดกรุงเทพฯ ได้ด้วยงบประมาณที่ต่ำกว่า นอกจากนี้ แม้การซื้อคอนโดในกรุงเทพฯ เพื่อปล่อยเช่าจะให้ผลตอบแทนการลงทุนไม่สูง แต่นักลงทุนหลายรายคาดหวังผลตอบแทนระยะยาวมากกว่า จากมูลค่าที่คาดว่าจะปรับเพิ่มสูงขึ้นในอนาคต “ความคาดหวังดังกล่าว มีความเป็นสมเหตุสมผล เนื่องจากคอนโดมิเนียมระดับไฮเอ็นด์ในกรุงเทพฯ ส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในทำเลชั้นดี ซึ่งมีที่ดินเหลือสำหรับการพัฒนาโครงการใหม่ลดลงเรื่อยๆ โดยเฉพาะที่ดินที่เสนอขายกรรมสิทธิ์ขาด ดังนั้น ต้นทุนการพัฒนาโครงการใหม่จึงมีแนวโน้มสูงขึ้นต่อเนื่อง ส่งผลให้ราคาขายในโครงการใหม่ปรับเพิ่มขึ้นตามไปด้วย” นายบัณฑูรกล่าว การที่นักลงทุนต่างชาติสนใจซื้อคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ เพิ่มขึ้น ทำให้มีเจ้าของโครงการคอนโดมิเนียมมากขึ้นที่สนใจนำโครงการไปทำโรดโชว์ในต่างประเทศ นายบัณฑูรชี้ว่า การเจาะกลุ่มผู้ซื้อเป้าหมายในต่างประเทศอาจเป็นกลยุทธ์ที่เหมาะสม เพราะเป็นการขยายฐานผู้ซื้อ อย่างไรก็ดี แม้นักลงทุนต่างชาติจะสนใจซื้อ แต่ก็ใช้ความระมัดระวังในการซื้อไม่น้อยกว่าผู้ซื้อชาวไทย ดังนั้น ในการทำนำโครงการไปเสนอขายในต่างแดน เจ้าของโครงการอาจไม่สามารถคาดหวังได้ว่าจะสามารถปิดการขายได้ในทันที เว้นเสียแต่ว่า จะมีการเสนอแรงจูงใจพิเศษมากพอที่จะกระตุ้นให้ผู้สนใจตัดสินใจซื้อในระหว่างจัดกิจกรรม
เจแอลแอลคาดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างให้ประโยชน์ในระยะยาว

เจแอลแอลคาดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างให้ประโยชน์ในระยะยาว

เมื่อช่วงต้นเดือนนี้ ที่ประชุม ครม. ได้มีมติเห็นชอบกรอบการออกพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง แม้จะมีรายละเอียดปลีกย่อยอีกมาก ที่ยังไม่มีความชัดเจนในร่างโครงสร้างภาษี ที่มีการเผยแพร่ออกมาในเบื้องต้น แต่คาดว่าเมื่อประกาศใช้ จะมีผู้ถือครองอสังหาริมทรัพย์จำนวนมากที่จะได้รับผลกระทบระยะสั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และต้องใช้เวลาระยะหนึ่งในการปรับตัว อย่างไรก็ดี นโยบายภาษีใหม่นี้ เชื่อว่าจะช่วยกระตุ้นให้มีการใช้ประโยชน์ในที่ดินและสิ่งปลูกสร้างให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นและจะเป็นประโยชน์ต่อภาคอสังหาริมทรัพย์ของไทยโดยรวมต่อไปในระยะยาว ตามการวิเคราะห์จากบริษัทที่ปรึกษาและบริการด้านอสังหาริมทรัพย์ เจแอลแอล (โจนส์ แลง ซาลล์) เจ้าของบางรายอาจจำเป็นต้องปล่อยขายอสังหาริมทรัพย์เพื่อเลี่ยงภาระภาษี ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างใหม่ จะสร้างภาระทางการเงินให้แก่ผู้ครอบครองอสังหาริมทรัพย์ที่เข้าข่ายต้องเสียภาษี ดังนั้น เท่ากับเป็นการบังคงให้เจ้าของต้องเข้าใช้ประโยชน์ในอสังหาริมทรัพย์ (โดยเฉพาะที่ดินเปล่า) เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีอัตราสูง หรือพยายามทำให้อสังหาริมทรัพย์ที่ถือครองสามารถสร้างรายได้ให้ได้อย่างน้อยมากพอที่จะทดแทนภาษีที่จะต้องจ่าย ในขณะที่เจ้าของบางรายอาจจำเป็นต้องปล่อยขายอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากไม่มีความสามารถในการจ่ายภาษีได้ นางสุพินท์ มีชูชีพ กรรมการผู้จัดการ เจแอลแอล กล่าวว่า “มีคนจำนวนไม่น้อยที่เป็นเศรษฐีที่ดินแต่ไม่ได้มีเงินทองร่ำรวย ดังนั้น จึงอาจไม่สามารถแบกรับการจ่ายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างใหม่ได้ โดยเฉพาะถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ที่มีมูลค่าสูงแต่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ เพราะฉะนั้น จึงคาดว่า คนกลุ่มนี้อาจจำเป็นต้องปล่อยขายอสังหาริมทรัพย์ที่ถือครอง” ธนาคาร-สถาบันการเงิน เป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์อีกกลุ่มหนึ่งที่คาดว่าจะได้รับแรงกดดันจากภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างจนต้องเร่งการขายอสังหาริมทรัพย์ที่ได้จากการยึดจากลูกหนี้ที่ไม่สามารถชำระหนี้ได้ “แม้ภาษีที่มีการเสนอให้จัดเก็บสำหรับกรณีที่เป็นสินทรัพย์ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPA) ของสถาบันการเงินจะได้รับการผ่อนผันให้ใช้ภาษีอัตราต่ำที่ร้อยละ 0.05 เป็นเวลา 5 ปี แต่ในความเป็นจริงคือ ธนาคารและสถาบันการเงินมี NPA จำนวนไม่น้อยที่เป็นอสังหาริมทรัพย์ที่มีมูลค่าสูง ดังนั้น คาดว่าภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างจะสร้างภาระให้กับธนาคารได้ไม่น้อยเช่นกัน” นางสุพินท์กล่าว ในกรณีต่างๆ ดังกล่าว คาดว่า เจ้าของอสังหาริมทรัพย์ที่มีความจำเป็นต้องปล่อยขายอสังหาริมทรัพย์เพื่อเลี่ยงภาระที่จะเกิดจากภาษีใหม่ จะมีความยืดหยุ่นมากขึ้นในเรื่องราคา ซึ่งหมายรวมถึงการยอมลดราคาเสนอขายลงเพื่อเร่งการขาย อย่างไรก็ดี สำหรับเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ที่มีทุนหนาบางรายอาจไม่ยอมลดราคาขายลง และยอมที่จะจ่ายภาษีเอง แต่อาจปรับราคาขายขึ้นเพื่อสะท้อนต้นทุนภาษีที่ต้องจ่ายไป “กลยุทธ์นี้อาจใช้ได้ผล กรณีที่อสังหาริมทรัพย์นั้นๆ เป็นอสังหาริมทรัพย์ที่ดีและตั้งอยู่ในทำเลที่ดี ซึ่งมีผู้สนใจซื้อจำนวนมาก” นางสุพินท์กล่าว ค่าเช่าโดยรวมสำหรับอสังหาริมทรัพย์อาจปรับสูงขึ้น ยังไม่มีความชัดเจนว่า สำหรับอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่สามารถสร้างรายได้ เจ้าของจะต้องจ่ายภาษีสูงขึ้นหรือลดลง เมื่อเทียบกับภาษีโรงเรือนปัจจุบันที่มีการเรียกเก็บในอัตราร้อยละ 12.5 ของรายได้ที่ได้จากการให้ปล่อยเช่าอสังหาริมทรัพย์ (หรือตามที่เจ้าหน้าที่ประเมินว่า สินทรัพย์ดังกล่าวน่าจะสร้างรายได้ปีละเท่าใดหากปล่อยเช่า) แต่ไม่ว่าจะกรณีใด หากต้องจ่ายภาษีสูงขึ้น แน่นอนว่า เจ้าของจะผลักภาระภาษีที่เพิ่มขึ้นไปให้กับผู้เช่า ไม่ว่าจะโดยทางตรง หรือทางอ้อม ซึ่งหมายความว่า ค่าเช่าโดยรวม (ก่อนหักค่าใช้จ่าย) สำหรับอสังหาริมทรัพย์ให้เช่าทุกประเภทจะปรับเพิ่มสูงขึ้น แต่ถึงกระนั้น สัดส่วนภาระภาษีที่จะถูกผลักไปให้ผู้เช่า อาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับสภาวะตลาดของอสังหาริมทรัพย์แต่ละประเภท “ตัวอย่างเช่นตลาดอพาร์ทเม้นท์ให้เช่าในกรุงเทพฯ ซึ่งมีการแข่งขันสูง ทั้งกับอพาร์ทเม้นท์ด้วยกันเอง และกับคอนโดที่มีการปล่อยออกมามากในขณะนี้ เจ้าของอาคารอพาร์ทเม้นท์อาจต้องยอมรับภาระภาษีที่เพิ่มขึ้นไว้เอง เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน แต่ในทางตรงข้าม ตลาดอาคารสำนักงานให้เช่าในกรุงเทพฯ ในขณะนี้ อำนาจการต่อรองอยู่ในฝั่งของเจ้าของอาคาร ดังนั้น จึงมีแนวโน้มที่เจ้าของอาคารจะผลักภาระทางด้านภาษีที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่หรือทั้งหมดไปให้กับผู้เช่า ไม่ว่าจะโดยตรงหรือโดยอ้อม” นางสุพินท์กล่าว โดยภาพรวม ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศในระยะยาว นอกเหนือจากการเพิ่มแหล่งรายได้ให้กับทางการเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการพัฒนาท้องที่ เชื่อว่า ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างใหม่จะช่วยกระตุ้นให้มีการใช้ประโยชน์ในที่ดินและสิ่งปลูกสร้างให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะกรณีของที่ดินรกร้างที่ถูกปล่อยทิ้งโดยเปล่าประโยชน์ ซึ่งเข้าข่ายที่เจ้าของต้องเสียภาษีในอัตราสูงสุด นอกจากนี้ คาดว่าภาษีใหม่จะมีส่วนช่วยอย่างมากในการลดการซื้ออสังหาริมทรัพย์เพื่อเก็งกำไรด้วย “ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างใหม่ จะเพิ่มความเสี่ยงมากขึ้นให้แก่ผู้ที่คิดจะซื้ออสังหาริมทรัพย์เพื่อเก็บไว้รอโอกาสขายเพื่อทำกำไรเมื่อราคาขยับขึ้นในอนาคต เนื่องจากภาษีใหม่นี้จะเป็นต้นทุนที่เพิ่มขึ้นสำหรับผู้ถือครองอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะหากอสังหาริมทรัพย์นั้นไม่มีการใช้ประโยชน์หรือไม่ก่อให้เกิดรายได้” นางสุพินท์อธิบาย ในส่วนของการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ในปัจจุบันมีแนวโน้มที่จะไม่ซื้อที่ดินเพื่อสะสมไว้ แต่จะซื้อที่ดินที่มีศักยภาพในการพัฒนาโครงการได้ทันที ซึ่งนโยบายภาษีใหม่นี้จะทำให้แนวโน้มนี้ขยายตัวเพิ่มมากยิ่งขึ้นไปอีก นางสุพินท์กล่าวสรุปว่า “แม้จะมีรายละเอียดปลีกย่อยอีกมากที่ยังไม่มีความชัดเจนในร่างโครงสร้างภาษีที่มีการเผยแพร่ออกมาในเบื้องต้น แต่หากมีการศึกษาทบทวนรายละเอียดหลักเกณฑ์และกฎระเบียบเกี่ยวการเรียกเก็บภาษีอสังหาริมทรัพย์ประเภทต่างๆ ให้รอบคอบและมีการบังคับใช้อย่างมีประสิทธิภาพ เชื่อว่านโยบายใหม่ด้านภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างจะเป็นผลดีกับประเทศไทยและภาคอสังหาริมทรัพย์ต่อไปในระยาว” ร่างโครงสร้างภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง * ราคาประเมินจากกรมธนารักษ์  ที่มา – กระทรวงการคลัง