Tag : แสนสิริ

72 ผลลัพธ์
แสนสิริ ประเดิมโครงการแรกของปี “เดอะ ไลน์ วงศ์สว่าง” ชูจุดเด่นสร้างเสร็จก่อนขาย เปิดพรีเซล17-18 มี.ค.นี้

แสนสิริ ประเดิมโครงการแรกของปี “เดอะ ไลน์ วงศ์สว่าง” ชูจุดเด่นสร้างเสร็จก่อนขาย เปิดพรีเซล17-18 มี.ค.นี้

แสนสิริ ประกาศแผนคอนโดมิเนียมปี 61 เปิด 12 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 33,500 ล้านบาท กรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ใต้ 7 กลยุทธ์ฉีกกฎคอนโดมิเนียมเดิม ไฮไลท์ไตรมาสแรกสร้างเสร็จก่อนขาย “เดอะ ไลน์ วงศ์สว่าง” มูลค่าโครงการ 4,600 ล้านบาท  เปิดพรีเซลล์ 17 – 18 มี.ค.นี้ ราคาเริ่มต้นเพียง 1.99 ล้านบาท ตั้งเป้ายอดขายคอนโดมิเนียมในปีนี้ 30,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 43% จากปีก่อน นายอุทัย  อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฎิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด(มหาชน) เปิดเผยว่า แผนธุรกิจในการพัฒนาคอนโดมิเนียมในปี 2561 บริษัทวางแผนเปิดตัวคอนโดมิเนียมใหม่จำนวน 12 โครงการคอนโดมิเนียมใหม่ มูลค่ารวม 33,500 ล้านบาท แบ่งเป็นในกรุงเทพฯ จำนวน 7 โครงการ และต่างจังหวัดอีก 5 โครงการ โดยแนวทางการพัฒนาคอนโดมิเนียมในปี 2561 บริษัทจะก้าวแกร่งครั้งใหญ่สู่ “Tomorrow is Unfolded” ตามโรดแมพการดำเนินธุรกิจของบริษัท ภายใต้ 7 กุญแจสำคัญ ได้แก่ 1.การรุกสร้างแบรนด์คอนโดมิเนียมและเปิดตัวคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ใหม่ บริษัทจะรุกสร้างแบรนด์คอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ THE BASE “เดอะ เบส” ซึ่งเป็นคอนโดมิเนียมที่มุ่งเน้นตอบสนองชีวิตคนรุ่นใหม่ ทันสมัย มีความเป็นตัวของตัวเอง การออกแบบในแต่ละโครงการสะท้อนบุคลิกภาพและไลฟ์สไตล์ ของกลุ่มลูกค้าในทำเลนั้น ซึ่งเป็นที่มาของแนวคิด “You are where you live” โดยในปีนี้จะเน้นแนวคิดการตลาดด้านการพัฒนาแบรนด์ ที่มีความชัดเจนและสะท้อนความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริงซึ่งมีแผนเปิดตัวคอนโดมิเนียมแบรนด์ เดอะ เบส ในรูปแบบใหม่จำนวน 5 โครงการ มูลค่ารวม 13,600 ล้านบาท ในทำเลสุขุมวิท 50, สะพานใหม่, ภูเก็ต, เจริญราษฎร์ และท่าพระ รวมถึงจะมีการเปิดตัวคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ Via (เวีย) อีกครั้ง หลังจากที่เคยประสบความสำเร็จจากคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์เวียมาแล้ว 3 โครงการในช่วงที่ผ่านมา ได้แก่ Via31, Via Botani และ Via49 แสนสิริ นอกจากนี้การรุกสร้างแบรนด์คอนโดมิเนียมที่สำคัญในปีนี้ บริษัทจะมีการเปิดตัวคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ใหม่จำนวนถึง 4 โครงการที่มีดีไซน์เฉพาะตัวออกแบบมาเพื่อรองรับความต้องการและไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่โดยเฉพาะ โดยจะมีการเปิดตัวในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ 2. การรุกกว้างตลาดต่างชาติ เจาะกลุ่มลูกค้าต่างชาติเพิ่มมากขึ้น ด้วยการเจาะกลู่มลูกค้าใหม่ “เกาหลี” และสร้างฐานที่แข็งแกร่งมากขึ้นในญี่ปุ่น รวมถึงการขยายฐานลูกค้าเดิมอย่างลูกค้าชาวจีน ฮ่องกง ไต้หวัน และสิงคโปร์เพิ่มมากขึ้น โดยล่าสุดในช่วงต้นปีที่ผ่านมาบริษัทได้เปิดออฟฟิศ ในต่างประเทศเพิ่มขึ้นแห่งที่ 6 ที่ฮ่องกง เพื่อเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดและรักษาความเป็นที่หนึ่งในตลาดต่างประเทศ โดยมีการตั้งเป้ายอดขายเพิ่มขึ้นถึง 40% จากปี 2560 เป็น 13,000 ล้านบาท เพื่อรองรับแนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกและเอเชีย 3. สานต่อกลยุทธ์การเติบโตอย่างก้าวกระโดดด้วยการเป็นพันธมิตรกับบริษัทชั้นนำทั้งไทยและต่างประเทศ สำหรับกลุ่มโครงการที่อยู่อาศัยจะมีโครงการใหม่จากการลงทุนร่วมกับบีทีเอสและโตคิว กรุ๊ป อีกประมาณ 4-6 โครงการ มีมูลค่ารวมประมาณ 12,000-19,000 ล้านบาท   รวมทั้งยังมีแผนเปิดโครงการที่พักอาศัย The Standard Residence และ Monocle Residenceเป็นครั้งแรกของโลก ส่วนในกลุ่มธุรกิจใหม่ๆ JustCo บริษัทได้เตรียมเปิด 4 สาขา โดยจะเปิด 2 สาขาแรกที่อาคาร AIA Sathorn ในเดือนพฤษภาคม และอาคาร All Seasons Place ในเดือนสิงหาคม โดยเล็งมอบสิทธิพิเศษให้ลูกบ้านแสนสิริเข้าใช้บริการ  ส่วน Hostmaker จะเข้ามาช่วยบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์ให้แก่ลูกบ้าน และสร้างเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในตลาดต่างประเทศ 4. ลุยพัฒนาต่ออีก 5 คอนโดในหัวเมืองหลักต่างจังหวัด อาทิ ภูเก็ต หาดใหญ่ พัทยา และหัวหินจากความสำเร็จในการรุกขยายการพัฒนาโครงการ ในตลาดต่างจังหวัดอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา โดยบริษัทเตรียมเปิดตัวแคมเปญ Joy of Hua Hin ซึ่งเป็นแคมเปญต้อนรับฤดูร้อนในช่วงเดือนมีนาคมนี้ เพื่อมอบสิทธิพิเศษสำหรับลูกค้าแสนสิริ รวมถึงตอบรับการเปิดตัวโครงการใหม่ล่าสุดที่หัวหิน ในชื่อโครงการ “La Casita” (ลา คาสิตา) หัวหิน ซึ่งวางแผนเปิดตัวการขายในช่วงต้นเดือนเมษายนนี้ 5.ก้าวสำคัญในการสานต่อ Digital Transformation Chapter 2 สู่การพัฒนาคอนโดมิเนียมรูปแบบใหม่ อาทิ การพัฒนาต่อยอดใน Siri Life Tech 6.นวัตกรรมของแสนสิริเพื่อการใช้ชีวิตและการอยู่อาศัยแนวใหม่ รวมถึงการพัฒนานวัตกรรมในคอนโดมิเนียมที่เติมเต็มประสบการณ์การอยู่อาศัยและการใช้ชีวิตในทุก ๆ ด้าน ตามแนวคิด Complete your living experience อาทิ Saving Energy: Automatic light system ระบบเปิด/ปิดไฟในพื้นที่ส่วนกลางแบบอัตโนมัติ จากการจับเซนเซอร์ความเคลื่อนไหวเพื่อช่วยประหยัดพลังงาน และ Smart Locker บริการตรวจสอบการรับ-ส่งสิ่งของจาก Home Service Applications ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ที่รักการช็อปปิ้งออนไลน์ รวมถึง Trendy Wash เปลี่ยนการหยอดเหรียญเครื่องซักผ้าให้กลายเป็นการชำระเงินออนไลน์ ด้วยระบบการเติมเงินซักผ้าใน   E-wallet ที่มาพร้อมกับความสะดวกสบายแบบเต็มพิกัดด้วยระบบแจ้งเตือนอัตโนมัติเมื่อเครื่องซักผ้าเสร็จ ซึ่งเริ่มนำร่องใช้งานแล้วที่โครงการ เดอะ ไลน์ จตุจักร หมอชิต เป็นต้น 7.การปักธง 3 ปี สู่ “Dream Place to Work” ซึ่งนำแนวคิดระดับโลก “Agile” (เอจาวล์) พลิกโฉมองค์กรรับยุคมิลเลนเนียล ฉีกกฏการทำงานแบบเดิมให้คล่องตัวและมีประสิทธิภาพขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพพัฒนาโครงการและบริการที่ตอบโจทย์ลูกค้ารวดเร็วขึ้นสูงสุดได้ถึง 20% บริษัทตั้งเป้ายอดขายคอนโดมิเนียมในปี 2561 ไว้ที่ 30,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 43% จากเป้าหมายคอนโดมิเนียมที่ตั้งไว้ในปีก่อนซึ่งคาดว่าจะสามารถสร้างยอดขายได้ตามที่ตั้งไว้ โดยบริษัทเตรียมเปิดการขายโครงการ เดอะ ไลน์ วงศ์สว่าง คอนโดมิเนียมโครงการแรกของแสนสิริ ที่สร้างเสร็จก่อนขาย และเป็นคอนโดมิเนียมโครงการล่าสุดภายใต้การร่วมทุนระหว่างแสนสิริ – บีทีเอส จำนวนทั้งสิ้น 1,287 ยูนิต มูลค่าโครงการ 4,600 ล้านบาท ชูจุดเด่นติด MRT วงศ์สว่าง สร้างเสร็จก่อนขาย ตกแต่งครบพร้อมอยู่ พร้อม Facility กว่า 6,000 ตารางเมตรที่มีถึง 14 ฟังก์ชันการใช้งาน ออกแบบตอบโจทย์ครบทุกความต้องการ ในราคาเริ่มต้นเพียง 1.99 ล้านบาท ทั้งนี้ โครงการคอนโดมิเนียม เดอะ ไลน์ วงศ์สว่าง (The LINE Wongsawang) ภายใต้แนวคิด Selection is Everything นับเป็นคอนโดมิเนียมโครงการที่ 12 ภายใต้ความร่วมมือระหว่างบริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) และบริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS เป็นคอนโดมิเนียมในรูปแบบ High Rise ความสูง 36 ชั้น สร้างเสร็จพร้อมอยู่ บนที่ดินประมาณ 7 ไร่ ห้องพักอาศัยแบ่งเป็นรูปแบบ 1 Bedroom และ 2 Bedrooms โดยมีขนาดเริ่มต้นที่ 28 – 55.75 ตารางเมตร ในแบบ Fully Fitted พร้อมชุดสุขภัณฑ์ชุดครัว และเครื่องปรับอากาศ โครงการตั้งอยู่ใจกลางของย่านวงศ์สว่าง ติดสถานีรถไฟฟ้า MRT วงศ์สว่าง จุดเชื่อมต่อที่สามารถเข้าถึงใจกลางเมืองได้อย่างรวดเร็ว ตอบโจทย์ชีวิตหลากสไตล์  เพียง 15 นาที ถึง อารีย์, จตุจักร, เซ็นทรัลลาดพร้าว อีกทั้งยังอยู่ใกล้จุดขึ้น-ลงทางด่วนศรีรัช สิ่งอำนวยความสะดวกในโครงการภายใต้พื้นที่กว่า 6,000 ตารางเมตร ประกอบด้วย 14 ฟังก์ชันการใช้งานที่ออกแบบตอบโจทย์ครบทุกความต้องการภายใต้แนวคิด “ก้อนเมฆ” ซึ่งใช้เป็นแรงบันดาลใจในการออกแบบสถาปัตยกรรม ให้ความรู้สึกเคลื่อนไหวบนความสงบนิ่ง ที่นี่จึงเป็นที่ที่บรรจบของการอยู่อาศัยอย่างมีคุณภาพ พร้อมส่วนกลาง เช่น Lobby, Mail room, Swimming Pool ความยาว 50 เมตร, Kid’s pool, Floating Sunken Seat, Co-Working Space, Co-Kitchen Space, Kid’s Room,Sky cinema, Fitness, Skylounge พร้อมสวนพักผ่อน, สวนลอยฟ้า, Wifi ในพื้นที่ส่วนกลาง, EV Charger, CCTV, Access Card Control พร้อมรปภ. 24 ชม. นอกจากนี้ยังมีบริการ “Nasket” หรือช้อปปิ้งออนไลน์ เตรียมให้บริการแก่ลูกค้าในโครงการเดอะ ไลน์ วงศ์สว่างเป็นโครงการแรกพร้อมโปรโมชั่น ผูกปิ่นโต กับ S&Pสำหรับลูกค้าโครงการเดอะ ไลน์ วงศ์สว่างโดยเฉพาะอีกด้วย เตรียมเปิดพรีเซลล์ในวันที่ 17 – 18 มีนาคมนี้ ในราคาเริ่มต้นเพียง 1.99 ล้านบาท สอบถามข้อมูลโครงการโทร. 1685 หรือ www.sansiri.com
แสนสิริ จับมือไมโครซอฟท์-เอไอเอส เปิดตัว‘Mixed Reality (MR)’ ครั้งแรกในไทย!

แสนสิริ จับมือไมโครซอฟท์-เอไอเอส เปิดตัว‘Mixed Reality (MR)’ ครั้งแรกในไทย!

แสนสิริ ไมโครซอฟท์ และเอไอเอส เปิดตัวที่สุดนวัตกรรมเชื่อมโลกจริง และเสมือนจริง ‘Mixed Reality (MR)’ เป็นครั้งแรกของประเทศไทย กับ “MR Sales Gallery” จำลองสภาพแวดล้อมให้ลูกค้าได้สัมผัสบรรยากาศของโครงการที่พักอาศัยได้แบบอินเทอร์แอ็คทีฟด้วยฟังก์ชันในการออกแบบและปรับเปลี่ยนห้องตัวอย่างได้ในทุกมุมมอง สร้างประสบการณ์การซื้อที่อยู่อาศัย ดร. ทวิชา ตระกูลยิ่งยง ประธานผู้บริหารสายงานเทคโนโลยี บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แสนสิริมุ่งมั่นวิสัยทัศน์ Siri LifeTech ในการเป็นผู้นำทางด้านเทคโนโลยี ซึ่งได้ร่วมมือกับบริษัทผู้นำทางด้านไอที ไมโครซอฟท์และ เอไอเอส ร่วมมอบประสบการณ์ที่เหนือระดับแก่ลูกค้า โดยเปิดตัวสุดยอดนวัตกรรมเชื่อมโลกจริงและเสมือนจริง Mixed Reality (MR)  มาใช้เป็นครั้งแรกในไทยกับ  “MR Sales Gallery” จำลองสภาพแวดล้อมให้ลูกค้าได้สัมผัสบรรยากาศของโครงการที่พักอาศัยได้แบบอินเทอร์แอ็คทีฟ  ด้วยฟังก์ชันในการออกแบบและปรับเปลี่ยนห้องตัวอย่างได้ในทุกมุมมอง ซึ่งดิจิทัลแพลตฟอร์ม MR จะช่วยสร้างความแปลกใหม่และยกระดับประสบการณ์การซื้อที่อยู่อาศัยในวงการอสังหาริมทรัพย์ให้ล้ำไปอีกขั้น ขณะเดียวกัน MR ก็จะช่วยต่อยอดองค์ความรู้ทางด้านเทคโนโลยีให้กับพันธมิตรเอไอเอสและไมโครซอฟท์ เสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจอย่างต่อเนื่องอีกด้วย เทคโนโลยี Mixed Reality (MR) คือ การผสานจุดเด่นของเทคโนโลยี Virtual Reality (VR) และ Augmented Reality (AR) เข้าด้วยกัน และต่อยอดให้เหนือชั้นไปอีกขั้นด้วยการสร้างภาพจำลองที่ผู้ใช้งานสามารถมีปฏิสัมพันธ์ตอบได้ในสภาพแวดล้อมที่ผสานโลกจริงและโลกเสมือนจริงเป็นหนึ่งเดียว โดยเมื่อลูกค้าเข้าเยี่ยมชมห้องตัวอย่างดิจิทัล ลูกค้าจะต้องสวมอุปกรณ์ holographic computing devices ที่ถูกออกแบบมาเป็นพิเศษ เพื่อให้สามารถแสดงผลของภาพเสมือนจริงหรือภาพ Hologram ได้โดยไม่จำเป็นต้องเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ใดๆ ทั้งยังออกแบบให้ควบคุมได้ง่ายด้วยมือเปล่า ซึ่งจะทำให้ผู้สวมใส่เสมือนกำลังเดินอยู่ในสถานที่จริงของโครงการซึ่งสร้างเสร็จแล้ว ขณะเดียวกันก็ปรับแต่งการออกแบบและฟังก์ชันต่างๆ ได้ตามความต้องการของแต่ละบุคคลไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนย้าย เปลี่ยนขนาดเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งต่าง ๆ เปลี่ยนสี เปลี่ยนวัสดุชมทัศนียภาพจากหน้าต่างเหมือนดังสถานที่จริง ตลอดจนปรับบรรยากาศได้ตามแต่ละช่วงเวลา ซึ่งทั้งหมดนี้ช่วยให้ลูกค้าสามารถเห็นภาพจำลองของโครงการได้อย่างสมจริง ทั้งยังสอดรับเทรนด์ Customization ตามแนวคิดของแสนสิริในการพัฒนาสินค้าและบริการตามแนวความคิด customer-centric ที่รังสรรค์สินค้าและบริการตามความพึงพอใจและไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของลูกค้า นอกจากนี้ ลูกค้ายังสามารถบันทึกรูปแบบของห้องตัวอย่างที่ตนเองได้สร้างสรรค์ขึ้นเป็นไฟล์ภาพ หรือวีดิโอเพื่อประกอบการตัดสินใจแทนโบรชัวร์โครงการในอดีต "โซลูชั่น Mixed Reality (MR) จะกลายเป็นนวัตกรรมสำคัญที่จะขับเคลื่อนกลยุทธ์ทางการตลาดและขายโครงการ ช่วยยกระดับประสบการณ์ในการซื้ออสังหาริมทรัพย์ให้เหนือชั้นยิ่งกว่าเคย และสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันให้กับผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และช่วยอำนวยความสะดวกในการขายลูกค้าตลาดต่างประเทศ ซึ่งจะสามารถเยี่ยมชมโครงการได้แม้ไม่ได้เดินทางมาด้วยตัวเองในสถานที่จริง เพื่อเป็นข้อมูลในการประกอบการตัดสินใจซื้อได้อย่างแม่นยำ รวดเร็วยิ่งขึ้น" ดร. ทวิชา กล่าว ซึ่งแสนสิริมีแผนการในการนำร่องใช้งานห้องตัวอย่างดิจิทัล กับโครงการแสนสิริในเดือนกรกฎาคม 2561 นี้ และหลังจากนั้นจะมีการพัฒนาฟีเจอร์และการใช้งานในรูปแบบใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่องสำหรับการร่วมมือกันในครั้งนี้ ถือเป็นจุดเริ่มต้นในการต่อยอดนวัตกรรมระหว่างพันธมิตร ข้ามอุตสาหกรรมให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม และนำไปสู่การต่อยอดความเป็นพันธมิตรในระยะยาว เพื่อเดินหน้าพัฒนาต่อยอดโซลูชั่นและร่วมหาความเป็นไปได้ของนวัตกรรมอื่นๆ ที่จะมาเติมเต็ม Complete Living Experience ประสบการณ์การอยู่อาศัยของลูกค้าอย่างสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น นายธนวัฒน์ สุธรรมพันธุ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า จุดมุ่งหมายของไมโครซอฟท์คือการเสริมศักยภาพให้กับทุกคนและทุกองค์กรทั่วทุกมุมโลก เชื่อว่าเทคโนโลยี Mixed Reality จะเป็นเทคโนโลยีที่สามารถผสมผสานโลกดิจิทัลกับโลกแห่งความจริงเข้าไว้ด้วยกันได้อย่างลงตัว ต่อยอดจินตนาการได้อย่างเหนือชั้น และจะมีบทบาทสำคัญอย่างมาก ในการเชื่อมต่อความคิดของผู้คนเข้าไว้ด้วยกัน เปิดโอกาสให้เราได้สัมผัสกับความเป็นไปได้ใหม่ๆ ที่เหนือทุกความคาดหมาย สร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับลูกค้า ซึ่งจะทำให้เกิดรูปแบบใหม่ๆ ในการดำเนินธุรกิจที่อาศัยจุดเด่นและเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใครจากเทคโนโลยีนี้อีกด้วย นายปรัธนา ลีลพนัง หัวหน้าคณะผู้บริหารกลุ่มลูกค้าทั่วไป บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ด้วยวิสัยทัศน์ของเอไอเอส ในการนำศักยภาพด้านเครือข่ายและเทคโนโลยีดิจิทัล มาขยายบทบาทสู่การเป็น Digital Platform ของประเทศ เพื่อเป็นแกนกลางสนับสนุนการทำงาน ของพันธมิตรในทุกภาคส่วน ทุกอุตสาหกรรม ร่วมกันสร้างสรรค์นวัตกรรมดิจิทัลอันทันสมัย ขยายขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับภาคธุรกิจ สร้างการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลในภาพรวมของประเทศ รวมถึงยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับลูกค้าและประชาชนคนไทยได้อย่างยั่งยืน จึงเป็นการผนึกกำลังครั้งสำคัญที่จะนำความเชี่ยวชาญของทั้ง 3 บริษัทชั้นนำจาก 3 วงการ เพื่อเปิดประสบการณ์การอยู่อาศัยครั้งใหม่ โดยเอไอเอสได้พัฒนาดิจิทัลแพลตฟอร์มใหม่ที่ล้ำสมัยอย่าง Mixed Reality หรือ MR ที่ Customized ขึ้นมาด้วยทีมงานเอไอเอสผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีดิจิทัล และมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในการตอบโจทย์ประสบการณ์การซื้อที่อยู่อาศัย ของคนยุคใหม่ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยครั้งนี้ เราได้นำเทคโนโลยี MR มาประยุกต์ใช้ในห้องตัวอย่างในรูปแบบดิจิทัลให้กับทางแสนสิริ เพื่อมอบประสบการณ์เสมือนจริงยิ่งกว่า ในการเลือกชมและเลือกซื้อที่อยู่อาศัยที่สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของตัวเอง พลิกโฉมรูปแบบการชมห้องตัวอย่างจากเดิมที่เคยมีมา " ดิจิทัลแพลตฟอร์ม MR จะสามารถตอบโจทย์การทำธุรกิจ สร้างความแตกต่างและเสริมความแข็งแกร่งให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ถือเป็นการก้าวไปอีกขั้น ในฐานะผู้สร้างสรรค์ Digital Platform เพื่อทุกธุรกิจ ซึ่งเอไอเอสมีศักยภาพความพร้อมทั้งด้าน Digital Infrastructure และทีมงานผู้เชี่ยวชาญ รวมถึงพันธมิตรด้านเทคโนโลยีระดับโลกอย่างไมโครซอฟท์ ซึ่งมี Azure Cloud Platform ที่ทำให้ทีมงานของเอไอเอส สามารถออกแบบและ Customized ดิจิทัลโซลูชั่นส์และบริการใหม่ๆ ให้สอดคล้องกับลักษณะธุรกิจแต่ละประเภทโดยเฉพาะ ซึ่งเป็นการสร้าง Business Model ใหม่ๆ ให้กับตลาดอีกด้วย” นายปรัธนา กล่าว
แสนสิริปฎิวัติวงการอสังหาฯ รุกกลยุทธ์ Personalized CRM ครั้งแรกในไทย นำร่องเปิดตัว “Siri Priority” ดันไฮไลท์ RM ผู้ช่วยบริหารอสังหาฯแบบครบวงจร

แสนสิริปฎิวัติวงการอสังหาฯ รุกกลยุทธ์ Personalized CRM ครั้งแรกในไทย นำร่องเปิดตัว “Siri Priority” ดันไฮไลท์ RM ผู้ช่วยบริหารอสังหาฯแบบครบวงจร

แสนสิริ รุกปฎิวัติวงการอสังหาริมทรัพย์ไทยอย่างต่อเนื่อง เผยกลยุทธ์ Personalized CRM ตอบโจทย์ลูกค้าในระดับบุคคลครั้งแรกในไทย ตอกย้ำความเป็นผู้นำที่เติมเต็มประสบการณ์การใช้ชีวิตที่เหนือระดับแก่ลูกค้ามากว่า 35 ปี ยกระดับการดูแลลูกค้าไปอีกขั้นด้วยหลักแนวคิดผ่านมุมมองลูกค้า (Consumer centric) พร้อมเจาะลึกไปยังความต้องการในระดับบุคคล (Personalized) มากขึ้น นำร่องผ่านการเปิดตัว “Siri Priority” พลิกโฉมสู่การเป็นผู้ให้บริการด้านการการอยู่อาศัยและการลงทุนอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจรแห่งแรกของไทย มุ่งเจาะลูกค้ากลุ่มที่มีศักยภาพสูงภายใต้คอนเซ็ปต์ “สร้างสรรค์เพื่อเติมเต็มประสบการณ์ให้สมบูรณ์แบบ” ชูไฮไลท์บริการสุดพิเศษจาก RM (Relationship Manager) ผู้เชี่ยวชาญด้านอสังหาฯ พร้อมเตรียมต่อยอดกลยุทธ์ Personalized CRM ที่หลากหลายสอดรับความต้องการลูกค้าทุกกลุ่มผ่านแสนสิริ แฟมิลี่ รูปแบบใหม่และยกระดับสู่แพลตฟอร์ม “eCRM” เพื่อการบริการที่ครบครัน สะดวก รวดเร็ว ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ดิจิทัลของกลุ่มคนรุ่นใหม่อย่างไร้รอยต่อ     นายสมัชชา พรหมศิริ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายสื่อสารองค์กรและดิจิตอลมาร์เก็ตติง เผยว่า “ตลอดระยะเวลา 35 ปี แสนสิริไม่เคยหยุดนิ่งในการสร้างสรรค์โครงการและบริการใหม่ๆ ให้แก่วงการอสังหาฯไทย ด้วยความมุ่งมั่นที่จะยกระดับประสบการณ์การใช้ชีวิตของลูกบ้าน ภายใต้แนวคิดที่ยึดความต้องการของลูกค้าเป็นศูนย์กลาง (Customer-centric) ทำให้เราเข้าใจลึกซึ้งถึงทุกอินไซต์ของลูกค้า โดยในปัจจุบันเราเล็งเห็นว่าความต้องการและไลฟ์สไตล์ของผู้อยู่อาศัยมีความแตกต่างกันมากขึ้นและยังเฉพาะตัวมากยิ่งขึ้น จึงเป็นที่มาของกลยุทธ์ Personalized CRM ที่เพิ่มมิติด้านการบริการเจาะลึกไปยังความต้องการในระดับบุคคล ตอกย้ำความเป็นผู้นำตลาดอสังหาฯ ของแสนสิริที่ไม่เคยหยุดนิ่ง โดยนำร่องด้วย “Siri Priority” ที่มุ่งตอบโจทย์ทุกความต้องการ ทั้งการอยู่อาศัย และการลงทุน ด้วยไฮไลท์การบริการผู้ช่วยบริหารอสังหาริมทรัพย์ส่วนตัว หรือ RM (Relationship Manager) เป็นครั้งแรกในวงการอสังหาฯไทย เพื่อผลักดันแสนสิริสู่การเป็นผู้ให้บริการด้านการลงทุนอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร”     “Siri Priority” เป็นโปรแกรมเฉพาะสำหรับการดูแลลูกค้าที่มีศักยภาพสูง เพื่อการอยู่อาศัย และการลงทุนต่อยอดในอนาคต  รวมถึงลูกค้าที่ซื้อโครงการแฟลกชิพของแสนสิริ ภายใต้คอนเซ็ปต์ “สร้างสรรค์เพื่อเติมเต็มประสบการณ์ให้สมบูรณ์แบบ” (Enrich your experience) ผนวกด้วยวิสัยทัศน์ที่มุ่งสู่การเป็นผู้ให้บริการด้านการลงทุนอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร (Property Investment Consultant) โดยลูกค้ากลุ่มนี้มีทั้งผู้ที่ซื้อเพื่อการอยู่อาศัยรวมถึงเป็นนักลงทุนอสังหาริมทรัพย์ ถือเป็นครั้งแรกของวงการอสังหาฯ ไทยที่มีบริการเจาะกลุ่มลูกค้านักลงทุนโดยเฉพาะ ซึ่งแสนสิริได้ออกแบบการบริการโดยคำนึงถึงไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตและลักษณะการลงทุนในอสังหาฯ หนึ่งในไฮไลท์การบริการของ Siri Priority คือ RM (Relationship Manager) ผู้เชี่ยวชาญด้านอสังหาริมทรัพย์ที่พร้อมทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยส่วนตัวแนะนำและดูแลการบริหารอสังหาริมทรัพย์สำหรับลูกค้าเป็นรายบุคคล โดย RM พร้อมให้คำปรึกษาอย่างเจาะลึก เพิ่มประสิทธิภาพในการลงทุนให้ตรงจุดมากยิ่งขึ้น ทั้งยังนำเสนอข้อมูลเชิงลึกในด้านต่างๆ ที่เกี่ยวข้องอ้างอิงจากสถิติหรืองานวิจัยเกี่ยวกับอสังหาฯ เพื่อประกอบการตัดสินใจก่อนการลงทุน พร้อมอัพเดทข้อมูลที่น่าสนใจเพื่อให้ลูกค้าไม่พลาดการลงทุนที่น่าสนใจ นอกจากนี้ยังให้บริการเพื่อเติมเต็มไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตในด้านอื่นๆ อีกด้วย     นายสมัชชา กล่าวว่า “ที่ผ่านมาเราเห็นแนวโน้มว่าลูกค้าเริ่มหันมาลงทุนในอสังหาฯมากขึ้น แสนสิริจึงได้ออกแบบ Siri Priority เพื่อดูแลลูกค้ากลุ่มนี้โดยเฉพาะ ส่วนใหญ่มักเป็นนักธุรกิจหรือประกอบกิจการส่วนตัว ลักษณะการดำเนินธุรกิจของพวกเขาอาจจะรัดตัวหรือมีการเดินทางไปเจรจาทางธุรกิจที่ต่างประเทศอยู่บ่อยๆ  แสนสิริจึงจัดสรรบริการสุดพิเศษจาก RM ครั้งแรกในไทย เปรียบเสมือนผู้ช่วยที่พร้อมให้บริการรอบด้าน พร้อมมอบการบริการแก่ลูกค้าแบบตรงจุดเฉพาะบุคคล เพื่อตอบสนองทุกความต้องการของลูกค้าผ่านการบริการสุดเอ็กซ์คลูซีฟและความรู้ความเชี่ยวชาญที่ครบครัน  ครอบคลุมในแง่การอยู่อาศัยและการลงทุน ซึ่งจากการเปิดตัว Siri Priority แก่ลูกค้าไปเมื่อเดือนธันวาคม 2560 เราได้รับผลตอบรับที่ดีจากลูกค้าในแง่ที่ว่า Siri Priority สามารถตอบโจทย์ลูกค้าได้รอบด้านไม่ว่าจะเป็นด้านความสะดวก รวดเร็ว สอดรับกับการดำเนินชีวิตในยุคดิจิทัล หรือในแง่ของการเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารอสังหาฯ พร้อมมอบการลงทุนต่อยอดที่ตรงจุดยิ่งขึ้น”     นอกจาก Siri Priority แล้ว แสนสิริต่อยอดกลยุทธ์ Personalized CRM ที่หลากหลายเพื่อสอดรับความต้องการของลูกค้าแต่ละกลุ่มผ่าน ”แสนสิริ แฟมิลี่” (Sansiri Family) สังคมอบอุ่นที่แสนสิริมอบให้ลูกค้าทุกคนมากว่า 35 ปีเพื่อเติมเต็มการใช้ชีวิตในทุกแง่มุมไม่ได้จำกัดแค่การอยู่อาศัย โดยในปีนี้แสนสิริมีปรับโฉมแสนสิริ แฟมิลี่เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้ชีวิตในรูปแบบใหม่ให้ลูกบ้านกว่า 70,000 ครัวเรือน ผ่าน 2 ทิศทางดังนี้ - รุกต่อยอดด้านดิจิทัลผ่านการเปิดตัว eCRM ครั้งแรก เป็นการยกระดับกลยุทธ์ Personalized CRM สู่แพลตฟอร์มดิจิทัลโดยผนวกรวมกับ Home Service Application ทำให้สะดวก รวดเร็ว ตอบโจทย์การใช้ชีวิตคนรุ่นใหม่ที่ดิจิทัลมีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวัน ซึ่ง eCRM จะรวบรวมสิทธิพิเศษและระบบบริหารจัดการที่อยู่อาศัยไว้อย่างครบวงจร สร้างความประทับใจตั้งแต่ Touch point แรกของลูกค้า รวมถึงมีการคัดสรรสิทธิพิเศษอื่นๆ บนพื้นฐานของความต้องการเฉพาะ (Personalized) ของลูกบ้านแต่ละท่าน เพื่อให้ลูกบ้านได้รับข้อมูล บริการ และสิทธิพิเศษที่ตรงกับความต้องการมากที่สุด รวมถึงทำให้แสนสิริสามารถจัดเก็บ database หรือนำข้อเสนอแนะจากลูกบ้านมาพัฒนาต่อยอดฟังก์ชันใหม่ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นอีกด้วย โดยพร้อมเปิดใช้งาน eCRM เต็มรูปแบบในเดือนมีนาคม 2561   รุกเติมเต็มในด้านไลฟ์สไตล์ โดยยึด 4 แกนสำคัญ ดังนี้   - Global connected/partnership – จากการมุ่งเสาะหาพันธมิตรชั้นนำทั้งไทยและต่างประเทศ อาทิ Monocle, JustCo, The Standard ฯลฯ เพื่อมอบประสบการณ์ด้านไลฟ์สไตล์อย่างครบครันที่มากกว่าแค่การอยู่อาศัย ลูกค้าแสนสิริจะได้สัมผัสกิจกรรมพิเศษและได้สิทธิพิเศษที่น่าสนใจจากพันธมิตรเหล่านี้ เช่น สิทธิพิเศษสำหรับการจองห้อง Co-working space ที่ JustCo ทั้งในไทยและสิงคโปร์, ส่วนลดสำหรับการ Subscribe ข่าวสารและนิตยสาร Monocle ฯลฯ     - Differentiate from others – จากการศึกษาความต้องการและไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของลูกบ้าน แสนสิริมอบอภิสิทธ์เหนือระดับที่แตกต่างไม่เหมือนใครให้แก่ลูกค้า โดยนำร่องเปิดตัวไลฟ์สไตล์ ลิฟวิ่ง คอมมูนิตี้ (Lifestyle Living Community) บนแพลตฟอร์มดิจิทัล คือ Sansiri Urban Vibes ไลฟ์สไตล์คอมมิวนิตี้บน IG ซึ่งจะเป็นกูรูหรือบัทเลอร์ส่วนตัว ที่จะมาแนะนำอัพเดตสถานที่แฮงค์เอ้าท์และไลฟ์สไตล์ที่โดดเด่นไม่ซ้ำใครในย่าน ทองหล่อ-เอกมัย พร้อมมอบประสบการณ์และสิทธิประโยชน์สำหรับลูกบ้านแสนสิริโดยเฉพาะ  ซึ่งในอนาคตมีแผนที่จะขยับขยายไปที่พื้นที่อื่นๆ โดยแต่ละพื้นที่จะมีการออกแบบกิจกรรมและคอนเท้นต์ที่สอดรับกับความต้องการของลูกบ้านในบริเวณนั้น   - Beyond expectation –มอบประสบการณ์เหนือความคาดหมายให้แก่ลูกบ้านแสนสิริในทุกๆ เดือน กับกิจกรรมและของสมนาคุณพิเศษจากพันธมิตรของแสนสิริซึ่งเป็นแบรนด์แนวหน้าในแขนงต่างๆ โดยผ่านทางช่องทางใหม่ โดยเฉพาะ Home Service Application โดยลูกบ้านสามารถเลือกความสนใจได้จากหมวดหมู่มากมาย เพื่อความต้องการที่ตรงจุดมากขึ้น   - Access the Inaccessible – เติมเต็มทุกมิติในการใช้ชีวิตของลูกบ้านผ่านประสบการณ์สุดเอ็กซ์คลูซีฟ เช่น การจัด lifestyle event ที่หยิบยกเอาเทรนด์ใหม่ๆ ที่น่าสนใจทั่วโลกมาจัดเป็นอีเวนท์พิเศษสำหรับลูกบ้านแสนสิริทุกคนทั่วประเทศ ไม่ว่าจะเป็นกรุงเทพฯ หรือต่างจังหวัด เพราะแสนสิริให้ความสำคัญกับลูกบ้านทุกท่านไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน     “เป้าหมายของแสนสิริไม่ใช่เพียงแค่เป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เท่านั้น แต่เรามุ่งเติมเต็มทุกประสบการณ์ในการใช้ชีวิตของทุกคน ด้วยความเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าลูกบ้านมีความต้องการที่เฉพาะตัวและหลากหลายมากขึ้น ดังนั้นการพัฒนาโครงการหรือการบริการจึงไม่สามารถทำแบบ One Size Fits All ได้อีกต่อไป กลยุทธ์ Personalized CRM ถือว่าเป็นก้าวสำคัญของแสนสิริที่ทำให้เรามอบบริการที่ตอบโจทย์ลูกค้าแต่ละกลุ่มได้ตรงจุดยิ่งขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มนักลงทุนผ่าน Siri Priority และกลุ่มลูกค้าอื่นๆ ผ่าน Sansiri Family ซึ่งในอนาคตจะมีการต่อยอดให้สอดรับความต้องการของลูกค้าอย่างไม่หยุดยั้งและมุ่งเน้นบนแพลตฟอร์มดิจิทัลมากขึ้น เพื่อเติมเต็มไลฟ์สไตล์และสร้างสรรค์ประสบการณ์การใช้ชีวิตของลูกบ้านเราทุกคนได้อย่างรอบด้าน” นายสมัชชา กล่าวปิดท้าย
แสนสิริประกาศบุกหนักแนวราบ ชิงยอดขายต้นปี ประเดิมโครงการแรก “บุราสิริ บางนา” มูลค่าโครงการ 2,200 ลบ. พรีเซลล์ 3-4 ก.พ.นี้

แสนสิริประกาศบุกหนักแนวราบ ชิงยอดขายต้นปี ประเดิมโครงการแรก “บุราสิริ บางนา” มูลค่าโครงการ 2,200 ลบ. พรีเซลล์ 3-4 ก.พ.นี้

ตลาดอสังหาฯ เดือดตั้งแต่ต้นปี ดีเวลลอปเปอร์ค่ายใหญ่ แสนสิริ นำทัพโดย คุณวิลาสิณี เดชอมรธัญ รองกรรมการผู้จัดการสายงานพัฒนาธุรกิจและพัฒนาโครงการแนวราบ สั่งบุกหนักแนวราบ ชิงยอดขายก่อนใคร ประเดิมโครงการแรก “บุราสิริ บางนา” มูลค่าโครงการ 2,200 ล้านบาท จำนวน 327 ยูนิต ใกล้จุดขึ้นลงทางพิเศษบูรพาวิถี  และเชื่อมต่อถนนหลายเส้นทาง ทั้งถ.เทพารักษ์     ถ.บางนา-ตราด รวมทั้งใกล้สถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์ ดีไซน์โดดเด่นภายใต้คอนเซ็ปต์ “วิถีชีวิตริมน้ำ” (THE  HIGH LIFE ON THE RIVERBANK) ร่มรื่นกับพื้นที่สวนขนาดใหญ่ 3 ไร่ ตอบรับการพักผ่อนแบบจัดเต็ม อีกทั้งชูความเป็นผู้นำเทคโนโลยีสุดล้ำ ด้วย SIRI Lifetech เตรียมพรีเซลส์ 3-4 ก.พ.นี้ เริ่มต้นที่ 4.19 ล้านบาท พิเศษ! เฉพาะวันงาน มอบส่วนลดเพิ่มถึง 100,000 บาท แอบกระซิบว่าโครงการนี้น่าจองมาก เหมาะกับทุกเจน พร้อมดีไซน์ฟังก์ชั่นสำหรับผู้สูงอายุ Elderly care  Solution แถมยังอยู่ย่านบางนาทำเลว้าวมาแรง ที่เร็วๆ นี้ปี’63 กำลังจะสร้าง Trust City  ศูนย์การแสดงสินค้าระดับโลกครบวงจรที่สุดแห่ง AEC คาดว่าดีมานด์ต้องพุ่งปรี๊ดแน่นอน สนใจลงทะเบียนได้เลยที่เว็บไซต์ https://www.sansiri.com/singlehouse/burasiri-bangna/th หรือ โทร Call Centre.1685  
สิริ เวนเจอร์ส เผยก้าวแกร่ง PropTech ระยะยาว  3 ปี ลงทุนกว่า 1,500 ล้านบาท ในสตาร์ทอัพ พัฒนา 4 นวัตกรรมอสังหาฯ ล่าสุดจับมือ Partner ชั้นนำ ทั้งในระดับโลกและระดับประเทศ เตรียมเปิดมิติใหม่เติมเต็มประสบการณ์การอยู่อาศัยที่สมบูรณ์แบบ

สิริ เวนเจอร์ส เผยก้าวแกร่ง PropTech ระยะยาว 3 ปี ลงทุนกว่า 1,500 ล้านบาท ในสตาร์ทอัพ พัฒนา 4 นวัตกรรมอสังหาฯ ล่าสุดจับมือ Partner ชั้นนำ ทั้งในระดับโลกและระดับประเทศ เตรียมเปิดมิติใหม่เติมเต็มประสบการณ์การอยู่อาศัยที่สมบูรณ์แบบ

สิริ เวนเจอร์ส บริษัทร่วมทุนในรูปแบบ Corporate Venture Capital เพื่อทำการวิจัยและลงทุนด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับอสังหาฯและการอยู่อาศัยอย่างครบวงจรเต็มรูปแบบเพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ยุคดิจิทัล ภายใต้ความร่วมมือระหว่างบริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) และ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) เผยทิศทางการดำเนินธุรกิจในปี 2018 พร้อมก้าวสำคัญในการผนึกกำลังกับพันธมิตรชั้นนำทั้งในระดับประเทศและระดับโลก ได้แก่ Plug and Play และ SOSA แพลตฟอร์ม พาร์ทเนอร์จากซิลิคอน วัลเล่ย์ สหรัฐอเมริกา และอิสราเอล เตรียมเปิดมิติใหม่สำหรับการเติมเต็มประสบการณ์การอยู่อาศัยที่สมบูรณ์แบบรอบด้าน ผ่านการจัดสรรเงินลงทุนกว่า 1,500 ล้านบาทในระยะเวลา 3 ปี เพื่อสร้างสรรค์และต่อยอดนวัตกรรมสำหรับการอยู่อาศัยและการใช้ชีวิตอย่างไร้รอยต่อในยุคดิจิทัล นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในปีที่ผ่านมา แสนสิรินับว่ามีการรุกปรับองค์กรอย่างเต็มรูปแบบ หนึ่งในนั้นคือ การบริหารด้านเทคโนโลยีเพื่อก้าวสู่การเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำด้านเทคโนโลยีสำหรับอสังหาฯ และการอยู่อาศัยอย่างเต็มรูปแบบ (Digital Transformation) ซึ่งกลยุทธ์การดำเนินงานของแสนสิรินั้นครอบคลุมในทุกมิติของการใช้ชีวิต ผ่าน Siri LifeTech ซึ่งเป็นการนำเอาเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ มาตอบรับไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยในยุคดิจิทัล รวมถึงการพัฒนายกระดับการดำเนินงานภายในองค์กรแสนสิริให้ก้าวสู่การเป็น Performance Organization ทั้งในเรื่อง Big data, Sale Force เป็นต้น โดยมี สิริ เวนเจอร์ส เป็นผู้เสาะหาและพัฒนาต่อยอดนวัตกรรมใหม่ๆ อย่างไม่หยุดยั้ง ผ่านพาร์ทเนอร์ชั้นนำและสตาร์ทอัพที่มาร่วมกันพัฒนาให้นวัตกรรมนั้นเติมเต็มประสบการณ์การอยู่อาศัยที่สมบูรณ์แบบ โดยหลังจากที่มีการจัดตั้ง บริษัท สิริ เวนเจอร์ส เป็นระยะเวลาหนึ่งปี นับว่าประสบความสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรมทั้งด้านการลงทุนในสตาร์ทอัพผ่านการเปิดโครงการ “Siri Venture Partnership” เพื่อเฟ้นหาสตาร์ทอัพที่มีศักยภาพสูงมาร่วมพัฒนาต่อยอดธุรกิจ นอกจากนี้ยังมีการยกระดับกระบวนการทำงานให้สอดคล้องกับธุรกิจสตาร์ทอัพที่เติบโตอย่างรวดเร็ว มีการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ  รวมถึงการผลักดันระบบนิเวศของสตาร์ทอัพด้านอสังหาฯและการอยู่อาศัยให้เกิดขึ้นจริงในไทย ดังนั้น ในปีนี้เราจึงวางแผนระยะยาวในการขับเคลื่อน ด้วยงบประมาณลงทุนต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 3 ปี รวมทั้งสิ้น 1,500 ล้านบาท ซึ่งจะครอบคลุมทั้งส่วนงานการพัฒนาเทคโนโลยี การลงทุนร่วมกับพันธมิตร รวมทั้งการร่วมทุนกับสตาร์ทอัพชั้นนำทั้งในประเทศและระดับโลก หลังจากที่ผ่านมามีความร่วมมือกับ Farmshelf สตาร์ทอัพจากอเมริกา พลิกโฉมการปลูกผักอัจฉริยะภายในที่พักอาศัย ซึ่งได้รับความสนใจเป็นอย่างมากจากลูกบ้านแสนสิริ นอกจากนี้ในอนาคตยังมีแผนต่อยอดความร่วมมือในประเทศอื่นๆ อาทิ ฝรั่งเศส หรือ จีน เพื่อร่วมขับเคลื่อนให้เกิดระบบนิเวศสำหรับสตาร์ทอัพในประเทศไทยที่สมบูรณ์แบบและยั่งยืนอีกด้วย นายจิรพัฒน์ จันทร์เจิดศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่เทคโนโลยี บริษัท สิริ เวนเจอร์ส จำกัด กล่าวว่า ความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วทั้งทางด้านเทคโนโลยีและพฤติกรรมของผู้บริโภค เป็นความท้าทายสำหรับผู้ประกอบการในยุคปัจจุบัน ที่จะต้องมีการเรียนรู้และปรับเปลี่ยนธุรกิจเพื่อให้สามารถตอบโจทย์ปัจจัยแวดล้อมที่เปลี่ยนไป จากความสำเร็จในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมาของสิริ เวนเจอร์ส สะท้อนให้เห็นว่าเราได้เสาะแสวงหาเทคโนโลยี (Technology Acquisition) มาให้กับทั้งแสนสิริและลูกบ้าน รวมทั้งเป็นเสมือนประตูที่เชื่อมต่อลูกบ้านแสนสิริไปยังเทคโนโลยีและผู้ให้บริการใหม่ๆ และก้าวต่อไปของเราคือการมุ่งต่อยอดธุรกิจและเปิดประสบการณ์ใหม่ ๆ โดยเน้นใน 3 ด้าน ประกอบด้วย 1) ด้านการลงทุนในสตาร์ทอัพ – ซึ่งจะเน้นการลงทุนในเทคโนโลยีที่สอดคล้องกับแกนธุรกิจหลักของแสนสิริ ด้วยงบประมาณ 1,500 ล้านบาท ในระยะเวลา 3 ปี 2) ด้านความร่วมมือในการผลักดันให้เกิดระบบนิเวศสำหรับสตาร์ทอัพ (Ecosystem Partner) โดยการจับมือกับพันธมิตรเพื่อผนึกกำลังยกระดับระบบนิเวศสำหรับสตาร์ทอัพด้าน PropTech และ LivingTech ในไทยและภูมิภาคให้เติบโตอย่างยั่งยืน 3) ด้านการพัฒนาต่อยอดนวัตกรรม (Lab & Development) มุ่งพัฒนาสร้างสรรค์ “Sansiri Home Service Application” เพื่อเปิดประตูสู่มิติใหม่ของการใช้ชีวิตของลูกบ้านแสนสิริ รวมถึงเชื่อมโยงกลุ่มลูกค้าผ่านเครือข่ายพันธมิตรทางธุรกิจทั้งในไทยและทั่วโลก ด้านการลงทุนในสตาร์ทอัพ (Startup Investment) ในปีนี้สิริ เวนเจอร์สจะรุกลงทุนในสตาร์ทอัพโดยเน้นนวัตกรรม 4 ด้านที่สอดคล้องกับธุรกิจอสังหาฯ ของแสนสิริ ได้แก่ PropTech – นวัตกรรมเพื่อส่งเสริมด้านการซื้อขายแนวใหม่ การบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์ หรือ Know-how ใหม่ ๆ ที่ครอบคลุมและตอบโจทย์ผู้บริโภคได้หลากหลายยิ่งขึ้น LivingTech – นวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัยใหม่ๆ ที่จะมาเติมเต็มประสบการณ์การใช้ชีวิตของลูกบ้านแสนสิริได้อย่างรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นในด้านความสะดวกสบาย ความบันเทิง ความปลอดภัย และยังช่วยลดค่าใช้จ่าย ผ่านทสตาร์ทอัพที่ สิริ เวนเจอร์ส ลงทุนไปแล้ว เช่น Appysphere สตาร์ทอัพที่เชี่ยวชาญในเรื่องซอฟต์แวร์การพัฒนา Home Automation, Onionshack สตาร์ทอัพที่ร่วมพัฒนา Thai Voice AI, Techmatics สตาร์ทอัพที่พัฒนาหุ่นยนต์แสนดีที่เปิดตัวไปเมื่อปีที่แล้ว Health & Wellness Tech – นวัตกรรมเพื่อยกระดับคุณภาพการใช้ชีวิต และสุขภาพองค์รวมของลูกบ้าน ซึ่งรวมไปถึงนวัตกรรมด้านอาหาร (FoodTech) ที่จะช่วยให้การใช้ชีวิตในเมืองเป็นไปได้อย่างสมดุล โดยในปี 2018 สิริ เวนเจอร์สยังมีแผนลงทุนในสตาร์ทอัพที่มีเทคโนโลยีทางด้าน Health Monitoring สำหรับสังคมสูงวัยที่มีจะบทบาทสำคัญในสังคมไทยในอนาคตอีกด้วย Construction Tech – นวัตกรรมหรือเทคโนโลยีด้านการออกแบบ ก่อสร้าง ควบคุมคุณภาพ รวมไปถึงวัสดุในการก่อสร้างใหม่ๆ เพื่อให้โครงการของแสนสิริตอบสนองความต้องการของลูกค้ายุคดิจิทัล และลดต้นทุนโดยรวม โดยการนำ AR (Augmented Reality) ร่วมกับ BIM (Building Information Management) เข้ามาใช้ในการควบคุมคุณภาพการก่อสร้าง จะเห็นได้ว่าที่ผ่านมาสิริ เวนเจอร์สมีการรุกลงทุนในสตาร์ทอัพมากมายทั้งในไทยและต่างประเทศ เช่น Farmshelf สตาร์ทอัพด้าน LivingTech จากสหรัฐอเมริกาที่กำลังมาแรง ซึ่งนอกจากการลงทุนในสตาร์ทอัพแล้ว ล่าสุด สิริ เวนเจอร์สยังได้ร่วมมือกับ Innovation Platform ระดับโลก 2 ราย คือ “Plug and Play” จากซิลิคอน วัลเล่ย์ส สหรัฐอเมริกา และ “SOSA” จากอิสราเอล ซึ่งทั้งสองเป็นเครือข่ายของสตาร์ทอัพเกือบหมื่นรายจากทั่วโลก ซึ่งจะช่วยเชื่อมโยงสิริ เวนเจอร์สให้พบกับสตาร์ทอัพที่มีศักยภาพและเกี่ยวเนื่องได้เร็วและมากขึ้น โดยกิจกรรมที่ร่วมมือกันนั้นจะเริ่มตั้งแต่การเฟ้นหาจากโจทย์ปัญหา การจัดโปรแกรม Accelerate การจัดการ pitch รวมถึงการเฟ้นหาโอกาสในการร่วมลงทุน มร.ชอน เดฮ์พานาฮ์ รองประธานฝ่ายบริหาร ฝ่ายพันธมิตรองค์กรและนวัตกรรม จากบริษัท Plug and Play ที่มีส่วนการสร้างระบบนิเวศสตาร์ทอัพอันแข็งแกร่งของซิลิคอน วัลเล่ย์ กล่าวถึงก้าวสำคัญในการจับมือกับสิริ เวนเจอร์สว่า “Plug and Play เป็นแพลตฟอร์มที่มุ่งเน้นการสร้างเครือข่ายที่เชื่อมโยงสตาร์ทอัพกับนักลงทุนและองค์กรจากทั่วโลก ทำให้เกิดประโยชน์ร่วมสร้างให้ธุรกิจเหล่าเติบโตได้อย่างก้าวกระโดด ในขณะเดียวกันนักลงทุนและองค์กรจะได้ร่วมต่อยอดสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันในเครือข่ายของเรามีสตาร์ทอัพกว่า 6,000 รายจากทั่วโลกในหลากหลายสาขา มี corporate partner มากกว่า 220 บริษัท และมีออฟฟิศตั้งอยู่ในกว่า 28 แห่งทั่วโลก ในวันนี้เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้จับมือกับ สิริ เวนเจอร์ส บริษัทที่มีพันธกิจในการมุ่งเน้นการสร้างสรรค์ Disruptive Technology ทั้ง 4 ด้านอย่างเป็นรูปธรรม โดยเรามั่นใจว่าจะสามารถร่วมกันต่อยอดเพื่อผลักดันให้มีนวัตกรรมตอบรับไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยใหม่ๆ ที่เกิดจากสตาร์ทอัพ ได้อย่างแน่นอน” ด้าน มิสโรนี เคเน็ท ฮาร์เมลิน ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจจากบริษัท SOSA กล่าวถึงการเป็นพาร์ทเนอร์กับสิริ เวนเจอร์สว่า “SOSA เป็นศูนย์กลางการเชื่อมโยงสตาร์ทอัพที่มีศักยภาพในการเติบโตสูงในประเทศอิสราเอล เพื่อเพิ่มโอกาสในการเชื่อมต่อสตาร์ทอัพกับนักลงทุนและองค์กรต่างชาติทั่วโลก โดยปัจจุบันเรามีเครือข่ายสตาร์ทอัพกว่า 5,000 ราย ทั้งที่มุ่งเน้นสร้างเทคโนโลยีที่เกี่ยวกับการก่อสร้างโดยตรง สามารถเติบโตในตลาดได้อย่างยั่งยืน ในวันนี้นับเป็นอีกก้าวสำคัญที่เราจะได้ร่วมกับสิริ เวนเจอร์ส ในการมองหาความโดดเด่นของสตาร์ทอัพที่จะสามารถต่อยอดในการพัฒนานวัตกรรมต่างๆ สำหรับลูกบ้านแสนสิริได้” ด้านความร่วมมือในการผลักดันให้เกิดระบบนิเวศสำหรับสตาร์ทอัพในไทย (Ecosystem Partner) มุ่งเน้นการผนึกกำลัง (Synergy) กับพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญและมีจุดมุ่งหมายเช่นเดียวกัน เพราะสิริ เวนเจอร์สเชื่อว่าหากเราสนับสนุนสตาร์ทอัพโดยตรงอย่างเดียวก็จะได้เพียงแค่จำนวนหนึ่ง แต่หากทำงานร่วมกับพันธมิตรแล้วช่วยกันผลักดันระบบนิเวศโดยรวม จะช่วยให้ประเทศไทยผลิตสตาร์ทอัพที่มีคุณภาพและสามารถแข่งขันได้ในระดับโลก ในปีนี้สิริเวนเจอร์สได้ร่วมจับมือกับพันธมิตรที่แข็งแกร่งมากมาย ยกตัวอย่างเช่น Microsoft Thailand ในการร่วมสนับสนุนการแข่งขันพัฒนานวัตกรรมสำหรับนักศึกษา “Microsoft Imagine Cup Thailand 2018” ในหัวข้อการแข่งขัน Smart Living on the Cloud ซึ่่่งทางสิริ เวนเจอร์ส ได้เชิญ Unicef พันธมิตรของแสนสิริ มาร่วมในโครงการเดียวกันด้วย นอกจากนี้ยังมีพันธมิตรทั้งที่เป็น Accelerator มหาวิทยาลัย และองค์กรรัฐที่มีส่วนผลักดันการเติบโตของสตาร์ทอัพอีกมากมาย ด้านการพัฒนาต่อยอดนวัตกรรม (Lab & Development) มุ่งเน้นการยกระดับ Sansiri Home Service Application ไปอีกขั้น ให้เป็นมากกว่าแอพลิเคชั่นที่อำนวยความสะดวกสบายให้กับลูกบ้านแสนสิริ แต่ยังเป็นตัวกลางในการเชื่อมโยงลูกบ้านไปยังพันธมิตรที่มาร่วมพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ นอกจากนั้น พันธมิตรต่างๆ ยังสามารถร่วมต่อยอดเทคโนโลยี ทั้งในด้าน Home Automation หรือ Voice AI ภาษาไทย เพื่อให้เกิดเป็นนวัตกรรมบริการรูปแบบใหม่ที่ครอบคลุมในทุกมิติของการใช้ชีวิต และพร้อมที่จะขยายขอบข่ายบริการในตลาดที่กว้างขึ้น โดยทีม Lab & Development จะนำเทคโนโลยีของสตาร์ทอัพที่เราไปลงทุนเข้ามาใช้งานกับลูกบ้านผ่านทางแอพฯ ที่พัฒนาขึ้น “ด้วยแผนการดำเนินการธุรกิจที่มุ่งเน้นทั้ง 3 ด้าน ได้แก่ ด้านการลงทุน (Investment), ด้านความร่วมมือในการผลักดันให้เกิดระบบนิเวศสำหรับสตาร์ทอัพในไทย (Ecosystem Partner) และด้านการพัฒนาต่อยอดนวัตกรรม (Lab & Development) พร้อมเงินลงทุน 1,500 ล้านบาท ใน 3 ปีนี้  สิริ เวนเจอร์ส จึงพร้อมที่จะเปิดประตูสู่มิติใหม่สำหรับการอยู่อาศัยที่สมบูรณ์แบบครบวงจร ทั้งในเรื่องของการสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์และเติมเต็มประสบการณ์การอยู่อาศัยให้กับทุกคน ซึ่งในเร็วๆ นี้ เราจะมีการเปิดตัวนวัตกรรมใหม่ๆที่น่าตื่นเต้น อาทิ ด้านพลังงานทดแทนอัจฉริยะ โครงการบ้านอัพเกรดได้ รวมไปถึงพาร์ทเนอร์ใหม่ๆของ Home Service App ที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าในทุกด้านรวมถึงการยกระดับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของไทยผ่านการสร้างระบบนิเวศเพื่อการพัฒนาด้าน PropTech และ Living Tech ที่ยั่งยืนให้เกิดขึ้นในประเทศไทย” นายจิรพัฒน์ กล่าวปิดท้าย        
“แสนสิริ” เปิดเกมรุกหนัก รับปี’61 ลุยส่งแคมเปญกวาดยอด 6,000 ลบ. “ปรากฏการณ์ดาวสุขเต็มฟ้า” จัดเต็มแบบที่ไม่เคยมีใครให้มาก่อนในวงการ รับกว่า 17 ล้าน!! แจกหนัก รับรางวัลทุกเดือน

“แสนสิริ” เปิดเกมรุกหนัก รับปี’61 ลุยส่งแคมเปญกวาดยอด 6,000 ลบ. “ปรากฏการณ์ดาวสุขเต็มฟ้า” จัดเต็มแบบที่ไม่เคยมีใครให้มาก่อนในวงการ รับกว่า 17 ล้าน!! แจกหนัก รับรางวัลทุกเดือน

“แสนสิริ” ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของไทย เปิดเกมรุกหนัก รับปี’61 ประกาศผู้นำอสังหาฯ กับปรากฏการณ์สะเทือนวงการ ส่งแคมเปญ “ดาวสุขเต็มฟ้า” จัดเต็มแบบที่ไม่เคยมีใครให้มาก่อนในหน้าประวัติศาสตร์ ตั้งเป้ากวาดยอด 6,000 ล้านบาท สร้างสีสันและกระตุ้นตลาดคึกคักต้อนรับไตรมาส 1 -- รับกว่า17 ล้าน!! แจกหนัก รับรางวัลทุกเดือนกว่า 80 รางวัล รางวัลที่ 1 ส่วนลด รางวัลละ 1 ล้านบาท จำนวน 3 รางวัล รางวัลที่ 2 บัตรกำนัล SB Furniture รางวัลละ 300,000 บาท จำนวน 21 รางวัล รางวัลที่ 3 บัตรกำนัลเครื่องใช้ไฟฟ้าจาก SAMSUNG รางวัลละ 100,000 บาท  จำนวน 60 รางวัล ยิ่งตัดสินใจเร็ว ยิ่งมีลุ้นสิทธิ์มากกว่า พบดีลพิเศษ และทัพโครงการพร้อมอยู่ และโครงการใหม่ บ้านเดี่ยว คอนโดฯ และทาวน์เฮาส์ ทั่วประเทศ เริ่มแล้ววันนี้ – 31 มี.ค. นี้ นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เผยว่า “ปีนี้ แสนสิริ พร้อมลุยประกาศความเป็นผู้นำในตลาดอสังหาริมทรัพย์ก่อนใครตั้งแต่เริ่มต้นศักราชใหม่    กับโปรโมชั่นและข้อเสนอพิเศษที่ยิ่งใหญ่และไม่เคยมีใครให้เท่านี้มาก่อนในประวัติศาสตร์ ถือเป็นการสร้างสีสันและความคึกให้กับตลาดอสังหาฯตั้งแต่เริ่มต้นปี กับแคมเปญ “ปรากฏการณ์ดาวสุขเต็มฟ้า” ที่เราขนทัพมาแบบจัดหนักและจัดเต็มกับหลากหลายโครงการให้ได้เลือกจับจอง นับเป็นครั้งแรกที่เราคืนกำไรขอบคุณลูกค้าโดยการมอบส่วนลดและสิทธิพิเศษมากที่สุดและคุ้มค่าที่สุดที่ไม่เคยมีใครให้มากเท่านี้ มาก่อนในวงการอสังหาฯ ที่ให้กว่า 17 ล้านบาท ซึ่งรวมถึงลุ้นรับรางวัลทุกเดือน รวมกว่า 80 รางวัล โดยเราจับฉลากแจกหนักทุกเดือน ทุก 1 ล้านบาท รับ 1 สิทธิ์จับฉลากชิงโชค ซึ่งโอกาสในการรับรางวัลนั้นสูงมาก เราหวังว่า จะได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้าและนักลงทุนมากกว่าปีก่อนๆ และสามารถทำยอดขายได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ 6,000 ล้านบาท การมีโครงการและโปรโมชั่นเร้าใจ ตรงกับความต้องการลูกค้าและการกระตุ้นให้ลูกค้าตัดสินใจเร็วขึ้นผ่านแคมเปญนี้ จะช่วยผลักดันให้ยอดขายในช่วงไตรมาสแรกทะลุเป้าได้แน่นอน” “นอกจากส่วนลดและสิทธิพิเศษที่อัพเกรดแบบเหนือกว่าแล้ว ความพิเศษของปีนี้ คือ เรายังส่งโครงการคอนโดใหม่เข้าร่วมด้วย ซึ่งไม่ได้มีเพียงเฉพาะแค่โครงการพร้อมอยู่เท่านั้น เนื่องจากเราเล็งเห็นถึงความต้องการของลูกค้าในเมืองที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจึงนำโครงการใหม่เข้าร่วมด้วยพร้อมนำเสนอความคุ้มค่า เพื่อเพิ่มทางเลือกในการอยู่ศัยในทุกระดับโครงการ อาทิ เดอะ โมนูเมนต์ ทองหล่อ, คุณ บาย ยู, โอกะ เฮาส์ และ คาวะ เฮาส์ โดยมีโครงการที่อยู่อาศัยที่เข้าร่วมรายการทั้งหมดกว่า 61 โครงการ ทั้งบ้านเดี่ยว คอนโดมิเนียม และทาวน์เฮาส์ ครอบคลุมทุกระดับราคาตั้งแต่แบรนด์นาราสิริ ตลอดจน ดีคอนโด หลากหลายทำเลทั้งกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ โคราช เขาใหญ่ ชะอำ ขอนแก่น อุดรธานี สุราษฎร์ธานี และภูเก็ต เป็นต้น โดยมอบโปรโมชั่นสุดคุ้มกับยูนิตสวยโดนใจ ในจำนวนจำกัด” นายอุทัย กล่าว พบกับไฮไลท์สุดปัง กับแคมเปญโปรโมชั่น “ปรากฎการณ์ดาวสุขเต็มฟ้า” ได้แล้ววันนี้ ลุ้นจับฉลากและรับรางวัลทุกเดือน รวมมูลค่ากว่า 15 ล้านบาท โดยทุก 1ล้านบาท รับ 1 สิทธิ์จับฉลาก สำหรับลูกค้าที่จองและโอนโครงการพร้อมอยู่ หรือจองและทำสัญญาสำหรับโครงการใหม่ ภายในช่วงระยะเวลาโปรโมชั่นตั้งแต่วันนี้ -31 มี.ค.2561 จับรางวัลและประกาศรางวัลประจำทุกเดือนทางหน้า แสนสิริ เฟซบุ๊ค และเว็บไซต์ www.sansiri.com/โครงการพร้อมอยู่ ต่อที่ 1 รับข้อเสนอพิเศษมากมายจากโครงการ และ ต่อที่ 2 รับส่วนลดเพิ่มสูงสุด 2 ล้านบาท ต่อยูนิตจากต่อที่ 1 ประกอบด้วย บ้านเดี่ยว 36 โครงการ คอนโด 18 โครงการ และทาวน์เฮาส์ 7 โครงการ ทั่วประเทศ อาทิเช่น โครงการใหม่คอนโดมิเนียม คุณ บาย ยู ลดสูงสุด 1,000,000 บาท เดอะ โมนูเมนต์ สนามเป้า ห้องแต่งพิเศษเริ่ม 5 ล้าน บาท บ้านเดี่ยว ทาว์นเฮ้าส์พร้อมอยู่ในกรุงเทพฯ นาราสิริ พระราม 2 และ นาราสิริ ปิ่นเกล้า-สาย1 รับฟรี! Living Package 1,000,000 บาท สิริ สแควร์ เจริญกรุง 80 ลดสูงสุด 1,000,000 บาท เชียงใหม่ เศรษฐสิริ สันทราย รับส่วนลดกว่า 300,000 บาท หรือไม่ว่าจะเป็น คอนโดตากอากาศพร้อมอยู่ในจังหวัดท่องเที่ยวหลัก อย่าง ภูเก็ตบ้านเดี่ยวและคอนโดพร้อมอยู่ 4 โครงการ รับข้อเสนอพิเศษสูงสุดกว่า 1,000,000 บาท นอกจากนี้ ยังมีโครงการอื่นๆอีกมากมายที่ยกทัพพร้อมมามอบโปรฯเด็ดๆอีกครั้งแบบจัดเต็ม ต่อที่ 3 ลุ้นรับรางวัลทุกเดือน ทุก 1 ล้านบาท รับ 1 สิทธิ์จับฉลาก รางวัลที่ 1 ส่วนลด รางวัลละ 1 ล้านบาท จำนวน 3 รางวัล รางวัลที่ 2 บัตรกำนัลจาก SB Furniture รางวัลละ 300,000 จำนวน 21 รางวัล รางวัลที่ 3 บัตรกำนัลเครื่องใช้ไฟฟ้าจาก SAMSUNG รางวัลละ 100,000 จำนวน 60 รางวัล โอกาสทอง แบบนี้ไม่ควรพลาด พิสูจน์ความแรงของโปรโมชั่นเด็ดโดนใจจำนวนจำกัด แจกหนัก จัดเต็ม!!    “ปรากฎการณ์ดาวสุขเต็มฟ้า” ได้แล้ววันนี้ ถึง 31 มี.ค.61 พบกับข้อเสนอพิเศษนี้ได้ที่ Sale Galley ของโครงการที่เข้าร่วมรายการ หรือ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. 1685 หรือ http://www.sansiri.com/โครงการพร้อมอยู่
แสนสิริประสบความสำเร็จแบรนด์ “คณาสิริ” โกยยอดขายกว่า 1,000 ลบ. ล่าสุด Sold Out “คณาสิริ พระราม 2- วงแหวน” เฟสแรกหมดเกลี้ยง คาดปัจจัยบวกเศรษฐกิจ-การเมืองปี’61 ดันตลาดบ้านเดี่ยวรุ่ง เตรียมต่อยอดเปิดแบรนด์คณาสิริต่อเนื่องปีหน้า

แสนสิริประสบความสำเร็จแบรนด์ “คณาสิริ” โกยยอดขายกว่า 1,000 ลบ. ล่าสุด Sold Out “คณาสิริ พระราม 2- วงแหวน” เฟสแรกหมดเกลี้ยง คาดปัจจัยบวกเศรษฐกิจ-การเมืองปี’61 ดันตลาดบ้านเดี่ยวรุ่ง เตรียมต่อยอดเปิดแบรนด์คณาสิริต่อเนื่องปีหน้า

แสนสิริประสบความสำเร็จแบรนด์ “คณาสิริ” โกยยอดขายแบรนด์ทั้งหมดกว่า 1,000 ล้านบาท เผยดีมานด์บ้านเดี่ยวระดับราคา 3-5 ล้านบาทยังพุ่งแรง ล่าสุดปิดขาย “คณาสิริ พระราม 2-วงแหวน” เฟสแรกหมดเกลี้ยง กวาดยอดขายกว่า 50 ล้านบาท  ชี้ที่มาความสำเร็จเพราะทำเลดีเดินทางสะดวกติดถนนใหญ่พระราม 2 และจุดเด่นดีไซน์บ้านสไตล์ Mid Century 70’s ผสานสถาปัตยกรรมวันวานกับชีวิตสไตล์ใหม่อย่างลงตัว พร้อม Cooliving Designed Home นวัตกรรมบ้านระบายความร้อนด้วยโซล่า เซลล์ ไม่ใช้ไฟฟ้า ไฮไลท์ฟังก์ชั่น Breeze Panel ช่องลมสำหรับถ่ายเทอากาศภายในบ้านทำให้ปลอดโปร่ง Roof Shade ขนาดยาวกันแดดและฝนมากขึ้น คาดปัจจัยบวกเศรษฐกิจ-การเมืองปี’61 หนุนตลาดบ้านเดี่ยวโต เตรียมรุกต่อเปิดตัวแบรนด์คณาสิริโครงการใหม่ปีหน้า นายสมเกียรติ หงษ์ทรัพย์ภิญโญ รองกรรมการผู้จัดการ สายงานพัฒนาธุรกิจและพัฒนาโครงการแนวราบ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปีนี้บริษัทประสบความสำเร็จแบรนด์บ้านเดี่ยว “คณาสิริ” เป็นอย่างมาก โดยมียอดขายแบรนด์รวมทั้งสิ้นกว่า 1,000 ล้านบาท โดยแบรนด์ดังกล่าวขายดีตั้งแต่ต้นปี ปิดการขาย “คณาสิริ วงแหวน – พระราม 5” จำนวน 311 ยูนิต ด้วยยอดขาย 965 ล้านบาท ขณะที่ไตรมาส 3 ได้ปิดการขาย “คณาสิริ ปิ่นเกล้า-กาญจนา” เฟสแรก จำนวน 22  ยูนิต โกยยอดขายไป 100 ล้านบาท และล่าสุดได้ปิดการขายเฟสแรก “คณาสิริ พระราม 2- วงแหวน” จำนวน 9 ยูนิต มูลค่ากว่า 50 ล้านบาท “คณาสิริ พระราม 2-วงแหวน ขายดีตั้งแต่วันแรกที่เปิดขาย เนื่องจากมีดีมานด์สูงของลูกค้าโซนพระราม 2 – มหาชัย ที่ต้องการขยายครอบครัว และ สร้างครอบครัวใหม่ ประกอบกับทำเลศักยภาพที่ติดถนนใหญ่พระราม 2 เดินทางสะดวก เข้าเมืองด้วยทางด่วนดาวคะนอง-พระราม 3, ถนนกาญจนาภิเษก ใกล้ศูนย์การค้า เซ็นทรัลมหาชัย เซ็นทรัล พระราม 2 และดีไซน์บ้านที่โดดเด่นแตกต่าง  มีการผสานสถาปัตยกรรมวันวานกับชีวิตสไตล์ใหม่อย่างลงตัว ด้วยแบบบ้านสไตล์ Mid Century 70’s ที่มีหลังคาจั่ว ตัดกัน Fin แนวตั้งของบ้านทำให้เกิดรูปร่างสี่เหลี่ยมหัวตัดออกมาเป็นรูปทรงที่สวยงาม ผลานกับสีบ้านพาสเทล ทำให้รู้สึกอบอุ่น มีชีวิตชีวา พร้อมด้วยนวัตกรมเพื่อการอยู่อาศัย Cooliving Designed Home อาทิ  Breeze Panel ช่องลมสำหรับถ่ายเทอากาศภายในบ้านทำให้ปลอดโปร่ง  ฝ้าระบายอากาศรอบบ้าน Roof Shade ที่ออกมาให้ยื่นยาวเพื่อกันแดดและฝนมากขึ้น หลอดไฟ LED ทั้งหลังเพื่อประหยัดและมีอายุการใช้งานที่ยาวนานขึ้น ด้วยการตอบรับที่ดีดังกล่าว จึงได้เตรียมเปิดเฟส 2 จำนวน 20 ยูนิต  มูลค่า 92 ล้านบาท ตอบสนองความต้องการของลูกค้าเพิ่มเติม” “ ทั้งนี้ แบรนด์คณาสิริ มีคอนเซ็ปต์ “Feel Complete” บ้านคณาสิริ ความรู้สึกของความสุข หรือความสุขที่ไม่สิ้นสุด สำหรับการเริ่มต้นสร้างครอบครัวกับบ้านหลังแรก ตอบโจทย์การใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในทุกฟังก์ชั่นของโครงการ เป็นบ้านเดี่ยวระดับราคา 3-5 ล้านบาท ซึ่งเป็นระดับราคาที่มีดีมานด์สูงจากผู้บริโภค เนื่องจากเป็นระดับราคาที่ไม่สูงจนเกินไปนัก เหมาะกับครอบครัวขนาดปานกลางที่กำลังสร้างครอบครัวและมองหาจุดเริ่มต้นสำหรับชีวิตครอบครัวที่ดี ในสังคมคุณภาพ พร้อมยังมี นวัตกรรม Cooliving Designed Home บ้านระบายความร้อนด้วยโซล่า เซลล์ ไม่ใช้ไฟฟ้า ปลอดภัยและ Go green ที่ทันสมัยและตอบโจทย์การใช้งานอย่างเต็มเปี่ยม จึงทำให้แบรนด์คณาสิริได้รับการตอบรับที่ดีมาอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นจึงได้เตรียมเปิดโครงการภายใต้แบรนด์นี้อีกในปี 2561 แต่จะเป็นทำเลใดนั้นต้องติดตามกันต่อไป” นายสมเกียรติ กล่าว สำหรับแนวโน้มตลาดบ้านเดี่ยวในปี 2561 นายสมเกียรติ กล่าวว่า คาดว่าจะมีแนวโน้มที่สดใสกว่าปีนี้ แม้ว่าจะยังไม่มีมาตรการสนับสนุนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์โดยตรงจากทางภาครัฐเพิ่มเติม แต่จากปัจจัยบวกที่รัฐบาลมีความชัดเจนในการลงทุนในโครงการเมกะโปรเจค โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการรถไฟฟ้า ที่เริ่มเป็นรูปธรรมและมีความคืบหน้าในการก่อสร้างมากขึ้น เช่น สายสีเขียว (หมอชิต – สะพานใหม่ – คูคต) รวมไปถึงสายสีเหลือง (ลาดพร้าว – สำโรง) สายสีชมพู (แคราย – มีนบุรี) และสายสีส้ม (ศูนย์วัฒนธรรม – มีนบุรี) ที่คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างในปี 2562 จึงทำให้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคกลับมาดีขึ้น กำลังซื้อมีทิศทางที่ดี นอกจากนี้ยังคาดว่าปี’ 61 เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ร้อยละ 4.2 เนื่องจากรัฐบาลได้ประกาศการเลือกตั้งชัดเจนในปี 2562  ซึ่งจะช่วยสนับสนุนให้ภาคอสังหาริมทรัพย์เติบโตไปได้ด้วยดี ขณะที่ผู้ประกอบการเริ่มทยอยที่จะเปิดโครงการใหม่ออกสู่ตลาดและให้ความสำคัญกับการทางการตลาดอย่างเข้มข้น ทำให้คาดการณ์ว่าตลาดบ้านเดี่ยวจะดีขึ้นทั้งในฝั่งอุปทานและอุปสงค์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพื้นที่ที่รถไฟฟ้าผ่าน ซึ่งเป็นทำเลที่มีความน่าสนใจและมีศักยภาพในการพัฒนาบ้านเดี่ยวต่อไป อีกทั้งบ้านเดี่ยวระดับราคาที่น่าจะยังขยายตัวต่อไปได้คือบ้านเดี่ยวระดับราคา 3 ล้านบาทขึ้นไป  ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่มีปัญหาหนี้ภาคครัวเรือนน้อย และมีโอกาสถูกปฏิเสธสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยในระดับต่ำ ดังนั้นจึงจะเติบโตได้ดี”
ครั้งแรก!! พลิกโฉมประสบการณ์จ่ายเงินในวงการอสังหาฯ  แสนสิริจับมือไทยพาณิชย์สร้าง ‘Cashless Town’ สังคมไร้เงินสด ทำเรื่องเงินให้เป็นเรื่องง่าย เพียงจ่ายผ่าน QR Code

ครั้งแรก!! พลิกโฉมประสบการณ์จ่ายเงินในวงการอสังหาฯ แสนสิริจับมือไทยพาณิชย์สร้าง ‘Cashless Town’ สังคมไร้เงินสด ทำเรื่องเงินให้เป็นเรื่องง่าย เพียงจ่ายผ่าน QR Code

แสนสิริจับมือธนาคารไทยพาณิชย์สร้างปรากฏการณ์ใหม่ครั้งแรกในวงการอสังหาริมทรัพย์ไทย เปิดตัว ‘Cashless Town’ หรือสังคมไร้เงินสด พลิกโฉมมอบประสบการณ์เหนือความคาดหมายทางการเงินแก่ลูกค้าแสนสิริ ให้เรื่องการจ่ายเงินเป็นเรื่องง่าย เพียงชำระผ่าน QR Code เพิ่มความสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย เข้าถึงทุกๆ การชำระเงินได้โดยไม่มีข้อจำกัด ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ลูกค้ายุคดิจิทัล นำร่องเปิดให้บริการครั้งแรกแล้ววันนี้ที่ฮาบิโตะ (Habito) คอมมูนิตี้รีเทลใน “ที77” ศูนย์กลางการอยู่อาศัยและพื้นที่แห่งไลฟ์สไตล์ ซ.สุขุมวิท77 ใกล้ BTS อ่อนนุช และงาน Winter Market Fest ครั้งที่ 5 ครั้งแรกที่ไม่ต้องพกเงินสดช้อปปิ้ง วันที่ 16-17 ธ.ค.นี้เท่านั้น   นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แสนสิริได้ร่วมมือกับพันธมิตรธุรกิจสถาบันการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดตัว ‘Cashless Town’ หรือสังคมไร้เงินสด มอบประสบการณ์ใหม่ทางการเงินให้แก่ลูกค้าแสนสิริ ให้เรื่องการจ่ายเงินเป็นเรื่องง่าย เพียงชำระผ่าน QR Code เพิ่มความสะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย และสามารถเข้าถึงทุกๆ การชำระเงินได้โดยไม่มีข้อจำกัด ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของลูกค้ายุคดิจิทัล ซึ่งนับว่าเป็นครั้งแรกของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ร่วมมือกับธุรกิจสถาบันการเงิน ในการนำดิจิทัลแพลตฟอร์มใหม่ทางการเงินมาสร้างสรรค์ประสบการณ์การชำระเงินและช้อปปิ้งแบบไร้เงินสดเต็มรูปแบบให้แก่ลูกค้า   “ในปีนี้แสนสิริเห็นความเปลี่ยนแปลงในไลฟ์สไตล์และความต้องการของลูกค้าในยุคที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล เราเชื่อว่าเทคโนโลยีจะตอบโจทย์ของลูกค้าได้ดี จึงได้พยายามนำเทคโนโลยีมาต่อยอดใช้ประโยชน์ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในมิติใหม่ๆ อย่างไม่หยุดยั้ง  เพื่อยกระดับการบริการที่ตรงกับไลฟ์สไตล์ของลูกค้าและรักษาความเป็นผู้นำในการบุกเบิกและพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการอยู่อาศัยของวงการอสังหาริมทรัพย์ โดยเรามองลูกค้าเป็นศูนย์กลาง Customer Centric ซึ่งเราศึกษาและพบว่าในยุคดิจิทัลนี้ลูกค้าต้องการความสะดวกสบาย และรวดเร็วในการจับจ่ายใช้สอย ดังนั้นการมอบบริการ ‘Cashless Town’ จะช่วยเติมเต็มการใช้ชีวิตของลูกค้าในโลกยุคดิจิทัลด้านการเงินอย่างสมบูรณ์แบบ” นายอุทัย กล่าว นายวศิน ไสยวรรณ รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ผู้บริหารสูงสุด Multi-Corporate Segment และผู้บริหารสูงสุด Corporate Segment ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า “ธนาคารไทยพาณิชย์ และ บริษัทแสนสิริ จำกัด (มหาชน) เป็นพันธมิตรทางธุรกิจที่แน่นแฟ้น มีความร่วมมือในโครงการต่างๆ เกิดขึ้นร่วมกันอย่างหลากหลาย ด้วยวิสัยทัศน์ที่เป็นไปในทิศทางเดียวกันของทั้งสององค์กรในการให้ความสำคัญต่อการนำเทคโนโลยีเข้ามายกระดับการให้บริการแก่ลูกค้า เมื่อต้นปีที่ผ่านมาธนาคารได้ร่วมลงทุนในบริษัท สิริ เวนเจอร์ส จำกัด เพื่อพัฒนานวัตกรรมที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ให้กับลูกค้าในกลุ่มผู้อยู่อาศัย สำหรับครั้งนี้ธนาคารและแสนสิริร่วมกันนำเทคโนโลยีทางการเงินเข้ามาขับเคลื่อนสังคมไร้เงินสด ขยายไปสู่กลุ่มลูกค้าในภาคอสังหาริมทรัพย์ โดยร่วมกันเปิดตัวโครงการ Cashless Town นำระบบชำระเงินด้วย QR Code เข้าไปให้บริการในทุกทัชพอยท์ที่จะมีธุรกรรมทางการเงินเกิดขึ้นภายใต้พื้นที่ที่พัฒนาโดยแสนสิริ เพื่อเป็นทางเลือกใหม่ในการชำระเงินที่สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของลูกค้าที่อยู่อาศัยในยุคดิจิทัล โดยเริ่มต้นนำร่องครั้งแรกที่ ฮาบิโตะ (Habito) คอมมูนิตี้รีเทลของแสนสิริแล้ววันนี้ รองรับลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการร้านอาหาร และร้านค้าต่างๆ จำนวนไม่ต่ำกว่า 10,0000 คนต่อวัน โดยการชำระเงินด้วยการสแกน QR Code ผ่านสมาร์ทโฟนจะเพิ่มความคล่องตัวให้กับลูกค้ามากขึ้น ความร่วมมือระหว่างธนาคารไทยพาณิชย์ และแสนสิริครั้งนี้นับเป็นฟันเฟืองหนึ่งในการสร้าง Digital Eco System ให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งนี้ภายในไตรมาสแรก ปี 2561 Cashless Town เต็มรูปแบบจะขยายครอบคลุมพื้นที่ T 77 ศูนย์กลางการอยู่อาศัยและพื้นที่แห่งไลฟ์สไตล์ภายใต้การพัฒนาของแสนสิริต่อไป ” นายอุทัย กล่าวเพิ่มเติมว่า T 77 ตั้งอยู่บนถนนสุขุมวิท 77 อยู่ใกล้รถไฟฟ้า BTS สถานีอ่อนนุช ซึ่งปัจจุบันมีโครงการที่อยู่อาศัย 8 โครงการ ประกอบด้วยสังคมอยู่อาศัยประมาณถึง 10,000 ครอบครัว ได้แก่ บล็อค สุขุมวิท 77, เดอะ เบส สุขุมวิท 77, เดอะ เบส พาร์คอีสต์ สุขุมวิท 77, เดอะ เบส พาร์คเวสต์ สุขุมวิท 77, ฮาสุ เฮาส์, โมริ เฮาส์, การ์เด้น สแควร์ สุขุมวิท 77 และโครงการล่าสุดคาวะ เฮาส์ รวมถึง Park Court (พาร์ค คอร์ท) คอนโดมิเนียมและอพาร์ตเม้นต์ และ โรงเรียนนานาชาติ บางกอกเพรพ ”Bangkok International Preparatory & Secondary School (Bangkok Prep) หนึ่งในโรงเรียนนานาชาติชั้นนำของไทย รวมทั้ง Dental Hospital (โรงพยาบาลฟัน) ที่จะเปิดให้บริการปี 2561 โดยเมื่อเปิดอย่างเป็นทางการแล้วก็พร้อมเปิดบริการ Cashless Town ให้เป็นเมืองไร้เงินสดอย่างสมบูรณ์ ลูกค้าของแสนสิริสามารถชำระค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าส่วนกลาง และชำระค่าบริการที่โรงพยาบาลฟัน ผ่าน QR Code นับเป็นการมอบการบริการทางการเงินที่รองรับไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตในยุคดิจิทัลได้อย่างลงตัว นอกจากนี้ในวันที่ 16-17 ธันวาคมนี้ ในงาน Winter Market Fest (วินเทอร์ มาร์เก็ต เฟส) ครั้งที่ 5 ไลฟ์สไตล์ เฟสติวัลสุดฮิปที่แสนสิริจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี ที่ที77 ซึ่งรวบรวมร้านค้าและร้านอาหารชั้นนำมากมายถึง 150 ร้านค้า จะเป็นครั้งแรก ! ที่เปิดให้บริการ Cashless Town ลูกค้าช้อปปิ้งได้ชิลล์ๆ ผ่าน QR Code โดยไม่ต้องใช้เงินสด ซึ่งเหมาะกับคนร่วมงานที่ส่วนมากเป็นคนรุ่นใหม่ที่รักความสะดวกสบาย และคาดว่าปีนี้จะมีคนมาร่วมงานเป็นจำนวนมาก   นายอุทัย กล่าวทิ้งท้ายว่า คาดว่าความร่วมมือครั้งนี้จะทำให้ผู้บริโภคจะเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้จ่ายสู่สังคมไร้เงินสดเพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้แสนสิริจะยังคงไม่หยุดยั้งในมองหาบริการที่จะเข้ามาเติมเต็มไลฟ์สไตล์และประสบการณ์ของลูกค้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อยกระดับการให้บริการอย่างครบวงจร และมอบประสบการณ์ที่เหนือความคาดหมายให้ลูกค้าอย่างไม่สิ้นสุด”
แสนสิริปลื้มยอดขาย“แสนสิริ ไลฟ์ คัมส์ โฮม 2017” สร้างยอดขายเกินเป้า พุ่งทะลุกว่า 9,000 ล้านบาท มั่นใจปิดยอดขายปลายปีตามเป้าหมาย 40,000 ล้านบาท ทุบสถิติการสร้างยอดขายที่สูงที่สุดของแสนสิริตลอดทุกปีที่ผ่านมา

แสนสิริปลื้มยอดขาย“แสนสิริ ไลฟ์ คัมส์ โฮม 2017” สร้างยอดขายเกินเป้า พุ่งทะลุกว่า 9,000 ล้านบาท มั่นใจปิดยอดขายปลายปีตามเป้าหมาย 40,000 ล้านบาท ทุบสถิติการสร้างยอดขายที่สูงที่สุดของแสนสิริตลอดทุกปีที่ผ่านมา

แสนสิริประกาศความสำเร็จจากการจัดงานใหญ่แห่งปี “Sansiri Life Comes Home 2017” (แสนสิริ ไลฟ์ คัมส์ โฮม 2017) ลูกค้าแห่จอง 2 คอนโดใหม่ “โอกะ เฮาส์ ” สุขุมวิท 36 และ “คาวะ เฮาส์ ” สุขุมวิท 77 และคึกคักสัมผัสประสบการณ์ตรง 6 นวัตกรรมจาก Siri LifeTech สร้างยอดขายรวมในช่วงระหว่างการจัดแคมเปญได้สูงถึง 9,000 ล้านบาท เกินจากเป้ายอดขายแคมเปญที่ตั้งไว้ 8,000 ล้านบาท ส่งผลยอดขายพรีเซลล์รวมปัจจุบันทะลุกว่า 34,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นถึง 85 % จากเป้าหมายยอดขาย 40,000 ล้านบาท เดินหน้าก้าวสู่การทุบสถิติสร้างยอดขายที่สูงที่สุดของแสนสิริในปี 2560 นายเศรษฐา  ทวีสิน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยสรุปภาพรวมการจัดแคมเปญและการจัดงานใหญ่ประจำปี แสนสิริ ไลฟ์ คัมส์ โฮม 2017 (Sansiri Life Comes Home 2017)  ในช่วงระหว่างวันที่ 24 – 26 พฤศจิกายนที่ผ่านมา บริษัทสามารถสร้างยอดขายโครงการที่อยู่อาศัยต่างๆ ตลอดการจัดแคมเปญได้ถึง 9,000 ล้านบาท เกินจากเป้าหมายแคมเปญที่ตั้งไว้ 8,000 ล้านบาท โดย 2 โครงการคอนโดมิเนียมใหม่ คือ โอกะ เฮาส์ และคาวะ เฮาส์ ได้รับความสนใจจากลูกค้ามากที่สุดยัง นอกจากนี้บริษัทยังสามารถปิดการขายคอนโดมิเนียมพร้อมเข้าอยู่ในโครงการเดอะ ไลน์ สุขุมวิท 71 จากการมอบข้อเสนอที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้าภายในงานแสนสิริ ไลฟ์ คัมส์ โฮม ได้อีกด้วย ซึ่งเมื่อรวมความสำเร็จจากการที่ลูกค้าให้การตอบรับโครงการที่อยู่อาศัยต่างๆ ของกลุ่มบริษัทแสนสิริเป็นอย่างดีทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดตั้งต้นปีที่ผ่านมา อาทิ ผลงานล่าสุดจากการปิดการขายโครงการ เดอะ ไลน์ สาทร จำนวน 327 ยูนิต มูลค่าโครงการ 4,000 ล้านบาท ซึ่งนับเป็นคอนโดมิเนียมโครงการล่าสุดภายใต้ความร่วมมือระหว่างบีทีเอสและแสนสิริลงอย่างรวดเร็ว หลังเปิดขายแบบ Online booking ในวันแรก ในราคาเริ่มต้น 7.9 ล้านบาทหรือเฉลี่ย 270,000 บาทต่อตารางเมตร โดยมีสัดส่วนกลุ่มลูกค้าเป็นคนไทยและต่างชาติ 70 : 30 เปอร์เซ็นต์ สร้างยอดขายในตลาดต่างชาติได้ถึง 1,300 ล้านบาท นับเป็นคอนโดมิเนียมโครงการที่ 12 ภายใต้ความร่วมมือของบีทีเอสและแสนสิริที่ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ บริษัทยังสามารถปิดการขายโครงการในตลาดต่างจังหวัด อาทิ โครงการเดอะ วัลลีย์ เขาใหญ่ (The Valley Khaoyai)  มูลค่ากว่า 1,100 ล้านบาท โครงการดีคอนโด นครระยอง คอนโดมิเนียมจำนวน 575 ยูนิต ที่ได้รับความสนใจจากลูกค้าไทยทั้งในด้านการซื้อเพื่ออยู่อาศัยเองและลงทุนปล่อยเช่า จากทำเลที่ตั้งโครงการซึ่งใกล้แหล่งนิคมอุตสาหกรรมระยอง จึงสามารถปิดการขายโครงการมูลค่ากว่า 830 ล้านบาทในที่สุด ส่งผลให้ยอดขายรวมของบริษัทในขณะนี้ (1 มกราคม – 27  พฤศจิกายน 2560) คิดเป็นมูลค่ารวมแล้วกว่า 34,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นถึง 85% จากเป้าหมายยอดขาย 40,000 ล้านบาทที่มีการปรับเพิ่มจาก 36,000 ล้านบาท ส่งผลให้บริษัทก้าวเข้าสู่การบันทึกการทุบสถิติ!! การสร้างยอดขายที่สูงที่สุดของแสนสิริในปีนี้   “การจัดงานในช่วง 3 วันที่ผ่านมา ได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้าจำนวนมาก มีกลุ่มลูกค้าสนใจซื้อคอนโดมิเนียมโครงการใหม่ที่เปิดตัวการขายภายในงาน ได้แก่โครงการ “โอกะ เฮาส์ ” สุขุมวิท 36 และ “คาวะ เฮาส์ ” สุขุมวิท 77 รวมทั้งโครงการในต่างจังหวัดที่ได้รับการตอบรับที่ดีมาก อาทิ บ้านไม้ขาว ภูเก็ต และ เรน ชะอำ หัวหิน เป็นต้น ความสำเร็จในครั้งนี้เป็นผลจากการนำเสนอที่อยู่อาศัยโครงการต่าง ๆ ของกลุ่มแสนสิริที่ครอบคลุมทุกความต้องการของลูกค้าทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด รวมถึงความร่วมมือจากพันธมิตรธุรกิจที่เข้าร่วมนำเสนอผลิตภัณฑ์และรูปแบบการให้บริการเกี่ยวกับที่อยู่อาศัยใหม่ โดยการมอบแคมเปญและโปรโมชั่นพิเศษภายในงาน ทำให้มีผู้ที่สนใจเข้าเยี่ยมชมงานจำนวนมากและประสบความสำเร็จด้านยอดขายสูงเกินจากเป้าหมายที่ตั้งไว้” นายเศรษฐา กล่าว นอกจากนี้ งานแสนสิริ ไลฟ์ คัมส์ โฮม ในปีนี้ ยังนับเป็นเวทีสำคัญในการตอกย้ำภาพลักษณ์ของแสนสิริในการเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำด้านเทคโนโลยีที่ครอบคลุมทุกแง่มุมของอสังหาริมทรัพย์และการอยู่อาศัย จากการที่เรานำ 6 นวัตกรรมภายใต้ Siri LifeTech มาจัดแสดงและเปิดโอกาสให้ลูกค้าได้สัมผัสและทดลองใช้งานเป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นมุมกิจกรรมที่ได้รับความสนใจจากผู้ร่วมงานจำนวนมากที่มาร่วมสัมผัสมิติใหม่ในการเติมเต็มทุกรูปแบบการอยู่อาศัยที่สมบูรณ์แบบ (Complete Your Living Experience) จาก 6 นวัตกรรมของแสนสิริเพื่อการใช้ชีวิตและการอยู่อาศัยแนวใหม่ ไม่ว่าจะเป็น SAN:DEE Delivery Bot หรือแสนดี หุ่นยนต์ไฮเทคส่งของถึงหน้าห้องพัก Sansiri AI BOX ผู้ช่วยส่วนตัวอัจฉริยะที่ลูกบ้านสามารถสั่งการควบคุมการเปิดปิดอุปกรณ์ไฟฟ้าในบ้านด้วยเสียงภาษาไทยเป็นครั้งแรก Farmshelf นวัตกรรมฟาร์มแนวตั้งอัจฉริยะที่แสนสิรินำเข้ามาใช้เป็นครั้งแรกของประเทศไทยให้ลูกบ้านปลูกผักเพื่อบริโภคเองในคอนโด Sansiri Home Service Application ซึ่งสามารถควบคุมการเปิดปิดไฟ เครื่องปรับอากาศ และจองใช้พื้นที่ส่วนกลางผ่านแอพ และฟังก์ชั่นใหม่ Online Shopping by SB Furniture ให้ลูกบ้านเลือกซื้อเฟอร์นิเจอร์ได้ง่าย ๆ เพียงปลายนิ้ว รวมถึง Smart Move แพลตฟอร์มบริการให้เช่ารถยนต์ในโครงการ และ Samitivej@HOME นวัตกรรมเพื่อการดูแลสุขภาพในที่พักอาศัยภายใต้ความร่วมมือกับโรงพยาบาลสมิติเวช “แผนการดำเนินธุรกิจของกลุ่มบริษัทแสนสิริในช่วงที่เหลือของปีนี้ บริษัทยังได้เตรียมเดินหน้าต่อเนื่องตามแผนการลงทุน 80 ล้านดอลล่าร์ หรือ 2,800 ล้านบาท ใน 6 แบรนด์ชั้นนำของโลก สะท้อนวิสัยทัศน์ระดับโลกเพื่อการใช้ชีวิตในอนาคต ซึ่งนับเป็น 6 ธุรกิจด้านเทคโนโลยีและไลฟ์สไตล์ชั้นนำของโลก นับเป็นการขยายฐานการลงทุนในธุรกิจอื่นครั้งสำคัญเพื่อสร้างพันธมิตรในประเภทธุรกิจอันหลากหลาย โดยทั้ง 6 ธุรกิจล้วนมีอัตราการเติบโตสูงในตลาดโลกซึ่งจะเป็นแหล่งรายได้ใหม่ของแสนสิรินอกประเทศไทย เร่งเดินหน้ากลยุทธ์โมเดลธุรกิจแบบ asset light ในยุคปฏิวัติดิจิทัลเพื่อสร้างโอกาสจากการผนึกกำลังร่วมและโอกาสการเติบโตที่รวดเร็ว โดยมูลค่าที่เพิ่มขึ้นของบริษัททั้งหกจากการเข้าถือหุ้นของแสนสิริจะส่งผลดีต่อธุรกิจหลักของแสนสิริ ทั้งนี้แนวโน้มไตรมาส 4 ของปี 2560 นี้ บริษัทคาดว่าจะมีผลประกอบการที่โดดเด่นและดีที่สุดทั้งในด้านยอดขายพรีเซลล์ รายได้ และกำไร” นายเศรษฐา กล่าว
แสนสิริเปิดแบรนด์ใหม่แนวราบ “อณาสิริ” เจาะตลาด 1-3 ล้านบาท ครั้งแรก Low Rise มิกซ์โปรดักส์ รวมบ้านเดี่ยว-บ้านแฝด-ทาวน์เฮาส์ ปักธงทำเลใหม่อยุธยา โครงการแรก “อณาสิริ อยุธยา”

แสนสิริเปิดแบรนด์ใหม่แนวราบ “อณาสิริ” เจาะตลาด 1-3 ล้านบาท ครั้งแรก Low Rise มิกซ์โปรดักส์ รวมบ้านเดี่ยว-บ้านแฝด-ทาวน์เฮาส์ ปักธงทำเลใหม่อยุธยา โครงการแรก “อณาสิริ อยุธยา”

แสนสิริขยายแบรนด์แนวราบ ผุดแบรนด์ “อณาสิริ” เจาะกลุ่มลูกค้าตลาดระดับราคา 1-3 ล้านบาท ครั้งแรกในการพัฒนา Low rise แบบมิกซ์โปรดักส์ รวมบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์เฮาส์ ในโครงการเดียว ตอบรับครบทุกความต้องการ หวังครองตลาดแนวราบอยู่หมัด ครอบคลุมทุกเซกเมนต์ เปิดตัวโครงการแรก ปักธงทำเลใหม่อยุธยา ในชื่อ “อณาสิริ อยุธยา” จำนวน 318 ยูนิต มูลค่าโครงการประมาณ 1,000 ล้านบาท ชูจุดเด่นดีไซน์สไตล์ Minimal Loft สมัยใหม่ รวมสไตล์แห่งยุคกับเสน่ห์แห่งเมือง ตอบโจทย์ลงตัวในทุกการอยู่อาศัย ราคา 1.89 – 5 ล้าน พร้อมเปิดขายอย่างเป็นทางการ 25-26 พ.ย.นี้ ชี้อยุธยาทำเลที่อยู่อาศัยแห่งใหม่ย่านนิคมอุตสาหกรรมใหญ่ เผยดีมานด์แรงมีทั้งคนในท้องถิ่น หน่วยงานราชการ และแรงงานชาวไทยและชาวต่างชาติ ระบุตลาดทาวน์เฮาส์ฮอต อยู่โซนนิคมอุตสาหกรรม ราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท อัตราการดูดซับโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 5 ยูนิตต่อเดือนต่อโครงการ และบ้านเดี่ยว ทำเลฮอตคือโซนอยุธยา-บ้านแพรก ราคา 3.00-4.99 ล้านบาท อัตราตอบรับดีเฉลี่ย 3 ยูนิตต่อเดือนต่อโครงการ ขณะที่ราคาที่ดินโซนนิคมอุตสาหกรรมแพงสุด 20,000-50,000 บาท / ตร.ว. ด้านยอดขายแนวราบไปได้สวย 10 เดือน ปิดยอดขายได้ 11,300 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากรอบ 10 เดือนของปีก่อนถึงเกือบ 30% และก้าวสู่ 75% จากเป้าหมายยอดขายโครงการแนวราบในปีนี้ที่ตั้งไว้ 15,000 ล้านบาท มั่นใจยอดขายแนวราบปีนี้เป็นไปตามเป้าแน่นอน คุณวิลาสิณี เดชอมรธัญ รองกรรมการผู้จัดการสายงานพัฒนาธุรกิจและพัฒนาโครงการแนวราบ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แสนสิริเปิดแบรนด์แนวราบ ภายใต้ชื่อ “อณาสิริ” เจาะกลุ่มลูกค้าระดับราคา 1-3 ล้านบาท ซึ่งเป็นครั้งแรกในการพัฒนาโครงการ Low Rise แบบมิกซ์โปรดักส์ รวมบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์เฮาส์ ในโครงการเดียวกันตอบรับทุกความต้องการ ครอบคลุมตลาดโครงการแนวราบในทุกเซกเมนต์ โดยแบรนด์อณาสิริ มีคอนเซ็ปต์ว่า “LIVABLE LIVES” บ้าน   อณาสิริ ความรู้สึกที่เติมเต็ม มาจากคำว่า “อณา + แสนสิริ” บ้านที่รวมสังคมดีๆ เอาไว้ด้วยกัน เตรียมเปิดตัวโครงการแรก ในจังหวัดอยุธยาที่เป็นทำเลที่แสนสิริไม่เคยเข้าไปพัฒนาโครงการมาก่อน ในชื่อ “อณาสิริ อยุธยา” จำนวนทั้งหมด 318 ยูนิต มูลค่าโครงการประมาณ 1,000 ล้านบาท ชูจุดเด่นออกแบบสไตล์ Minimal Loft สมัยใหม่ รวมสไตล์แห่งยุคกับเสน่ห์แห่งเมือง สอดแทรกด้วยภูมิปัญญาท้องถิ่นในวิถีการอยู่อาศัยและการสร้างบ้าน เช่น การใช้สีอิฐ (สีส้ม) ที่รอให้มาค้นหาความสุขใหม่ในเมืองเดิม กับสังคมที่มีคุณภาพ ตอบโจทย์ลงตัวในทุกการอยู่อาศัย เติมเต็มความสมบูรณ์ในการใช้ชีวิต เสนอขายราคา 1.89 – 5 ล้านบาท พร้อมเปิดขายอย่างเป็นทางการวันเสาร์-อาทิตย์ที่  25-26 พฤศจิกายนนี้ “แสนสิริเปิดตัวแบรนด์ใหม่ อณาสิริ บนทำเลอยุธยาครั้งแรก เพราะเราศึกษาและพบว่าทำเลนี้มีศักภาพสูง โดยอยุธยาเป็นศูนย์กลางการเดินทางไปยังภาคเหนือและภาคอีสาน เปรียบดั่งบ้านหลังที่ 2 ของคนกรุงเทพฯ และเป็นที่ตั้งของนิคมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ทำให้มีผู้คนย้ายเข้ามาในพื้นที่เป็นจำนวนมากและมีความต้องการที่อยู่อาศัย ซึ่งกลุ่มดีมานด์หลักคือกลุ่มคนในท้องถิ่น หน่วยงานราชการ รวมไปถึงแรงงานทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติที่ย้ายมาทำงานในนิคมอุตสาหกรรม ที่ต้องการที่อยู่อาศัยเพื่ออยู่อาศัยเอง และปล่อยเช่า ทั้งนี้สำหรับซัพพลายในทำเลอยุธยา ส่วนใหญ่เน้นเปิดโครงการทาวน์เฮาส์ โดยมีจำนวน         ซัพพลายทั้งหมด 3,072 ยูนิต คิดเป็น 55% ของส่วนแบ่งการตลาดทั้งหมด รองลงมาคือบ้านเดี่ยว มีจำนวนซัพพลายทั้งหมด 2,249 ยูนิต คิดเป็น 40% ของส่วนแบ่งการตลาดทั้งหมด และ คอนโดมิเนียม มีจำนวนซัพพลายทั้งหมด 294 ยูนิต คิดเป็นส่วนแบ่ง 5% ของส่วนแบ่งการตลาดทั้งหมด ขณะที่ดีมานด์ที่นิยมที่สุดคือ ทาวน์เฮาส์ ในราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท โดยโซนนิคมอุตสาหกรรมได้รับความนิยมสูงสุด อัตราการดูดซับโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 5 ยูนิตต่อเดือนต่อโครงการ ขณะที่บ้านเดี่ยว ราคาที่ได้รับความนิยมคือ 3.00-4.99 ล้านบาท ในโซนอยุธยา-บ้านแพรก อัตราตอบรับดีเฉลี่ย 3 ยูนิตต่อเดือนต่อโครงการ ส่วนราคาที่ดินของอยุธยา โซนที่ราคาสูงที่สุดอยู่ที่ โซนนิคมอุตสาหกรรม ถนนโรจนะ ถนนพหลโยธินใน     อ.บางปะอิน ซึ่ง เป็นที่ตั้งของนิคมอุตสาหกรรม อยู่ที่ประมาณ 20,000-50,000 บาทต่อตารางวา รองลงมาคือ โซนอยุธยา-บ้านแพรก ถนนอู่ทอง ถนนนเรศวร อยู่ที่ 30,000 - 40,000 บาทต่อตารางวา และโซนลาดบัวหลวง-ผักไห่ ถนน ศรีเสนา ราคาประเมิน อยู่ที่ 15,000-25,000 บาทต่อตารางวา ทั้งนี้มองว่าทำเลอยุธยามีแนวโน้มในการเติบโตที่ดี รายล้อมด้วยสถานที่ท่องเที่ยว ประกอบด้วยวัดพระศรีสรรเพชญ์ วัดใหญ่ชัยมงคล โรงแรมและคาเฟ่ต่างๆมากมาย จึงทำให้วันหยุดมีคนเดินทางมาท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก ทั้งคนที่อยู่กรุงเทพฯ เนื่องจากใกล้กรุงเทพฯ มากเดินทางเพียง 1 ชั่วโมงเศษ และนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางมาท่องเที่ยว ซึ่งมองว่าอยุธยาในอนาคตจะเติบโตขึ้นและเป็นทำเลที่อยู่อาศัยแห่งใหม่ที่น่าจับตามองอีกทำเลหนึ่ง” คุณวิลาสิณี กล่าว คุณวิลาสิณี กล่าวต่อว่า “สำหรับตลาดที่อยู่อาศัยโครงการแนวราบมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง และมีดีมานด์จริงที่ต้องการซื้อเพื่ออยู่อาศัยที่สูง ส่งผลให้ปีนี้ยอดขายแนวราบของแสนสิริเป็นไปได้สวย ปัจจุบันแสนสิริมียอดขายโครงการแนวราบ 10 เดือน ปิดยอดขายได้ 11,300 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากรอบ 10 เดือนของปีก่อนถึงเกือบ 30% โดยที่ช่วงเดียวกันของปีที่แล้วยอดขาย 10 เดือนอยู่ที่ 8,485 ล้านบาท และก้าวสู่ 75% จากเป้าหมายยอดขายโครงการแนวราบในปีนี้ที่ตั้งไว้ 15,000 ล้านบาท ซึ่งมั่นใจว่ายอดขายแนวราบของปีนี้จะเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้อย่างแน่นอน” สำหรับโครงการใหม่ อณาสิริ อยุธยา ตั้งอยู่บนพื้นที่ 40 ไร่ บนทำเลคุณภาพ เดินทางง่าย ใกล้ถนนใหญ่ หมู่ 5 ต.เกาะเรียน อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา มูลค่าโครงการ ประมาณ 1,000 ล้านบาท ออกแบบภายใต้คอนเซ็ปต์ อาณาจักรชีวิตที่ลงตัว พร้อมเติมเต็มความสมบูรณ์แบบด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก ส่วนกลางที่ครบครัน สระว่ายน้ำระบบเกลือ ห้องออกกำลังกายพร้อมอุปกรณ์มาตรฐาน และระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ช.ม. มีจำนวนทั้งสิ้น 318 ยูนิต ประกอบด้วยบ้านเดี่ยว จำนวน 74 ยูนิต ราคา 3.99-5 ล้านบาท บ้านแฝด จำนวน 102 ยูนิต ราคา 2.99-3.5 ล้านบาท และทาวน์เฮาส์ จำนวน 142 ยูนิต ราคา 1.89-2.3 ล้าน สำหรับขนาดพื้นที่ใช้สอย ทาวน์เฮาส์ พื้นที่ใช้สอย 93 ตร.ม. ที่ดินเริ่มต้น 16.2 ตร.ว. ประกอบด้วย 2 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ ห้องรับแขก ห้องอเนกประสงค์ 1 ที่จอดรถ บ้านแฝด พื้นที่ใช้สอย 134 ตร.ม. ที่ดินเริ่มต้น 35.6 ตร.ว. 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ  ห้องอเนกประสงค์ ห้องรับแขก  2 ที่จอดรถ และบ้านเดี่ยว พื้นที่ใช้สอย 127 ตร.ม. ที่ดินเริ่มต้น 50.6 ตร.ว. ประกอบด้วย 3 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ 1 ห้องรับแขก ครัวไทย 2 ที่จอดรถ เตรียมเปิดขายอย่างเป็นทางการวันที่ 25-26 พฤศจิกายนนี้ โดยจัดโปรโมชั่น ราคาดีที่สุด พร้อมเลือกทำเลสวยหน้าโครงการ
แสนสิริเปิดแบรนด์ใหม่แนวราบ “อณาสิริ” เจาะตลาด 1-3 ล้านบาท ครั้งแรก Low Rise มิกซ์โปรดักส์ รวมบ้านเดี่ยว- บ้านแฝด-ทาวน์เฮาส์ ปักธงทำเลใหม่อยุธยา โครงการแรก “อณาสิริ อยุธยา” มูลค่า 1,000 ลบ. ราคา 1.89 – 5 ล้าน พร้อมพรีเซลส์ 25-26 พ.ย.นี้

แสนสิริเปิดแบรนด์ใหม่แนวราบ “อณาสิริ” เจาะตลาด 1-3 ล้านบาท ครั้งแรก Low Rise มิกซ์โปรดักส์ รวมบ้านเดี่ยว- บ้านแฝด-ทาวน์เฮาส์ ปักธงทำเลใหม่อยุธยา โครงการแรก “อณาสิริ อยุธยา” มูลค่า 1,000 ลบ. ราคา 1.89 – 5 ล้าน พร้อมพรีเซลส์ 25-26 พ.ย.นี้

แสนสิริขยายแบรนด์แนวราบ ผุดแบรนด์ “อณาสิริ” เจาะกลุ่มลูกค้าตลาดระดับราคา 1-3 ล้านบาท ครั้งแรกในการพัฒนา Low rise แบบมิกซ์โปรดักส์ รวมบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์เฮาส์ ในโครงการเดียว ตอบรับครบทุกความต้องการ หวังครองตลาดแนวราบอยู่หมัด ครอบคลุมทุกเซกเมนต์ เปิดตัวโครงการแรก ปักธงทำเลใหม่อยุธยา ในชื่อ “อณาสิริ อยุธยา” จำนวน 318 ยูนิต มูลค่าโครงการประมาณ 1,000 ล้านบาท ชูจุดเด่นดีไซน์สไตล์ Minimal Loft สมัยใหม่ รวมสไตล์แห่งยุคกับเสน่ห์แห่งเมือง ตอบโจทย์ลงตัวในทุกการอยู่อาศัย ราคา 1.89 – 5 ล้าน พร้อมเปิดขายอย่างเป็นทางการ 25-26 พ.ย.นี้ ชี้อยุธยาทำเลที่อยู่อาศัยแห่งใหม่ย่านนิคมอุตสาหกรรมใหญ่ เผยดีมานด์แรงมีทั้งคนในท้องถิ่น หน่วยงานราชการ และแรงงานชาวไทยและชาวต่างชาติ ระบุตลาดทาวน์เฮาส์ฮอต อยู่โซนนิคมอุตสาหกรรม ราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท อัตราการดูดซับโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 5 ยูนิตต่อเดือนต่อโครงการ และบ้านเดี่ยว ทำเลฮอตคือโซนอยุธยา-บ้านแพรก ราคา 3.00-4.99 ล้านบาท อัตราตอบรับดีเฉลี่ย 3 ยูนิตต่อเดือนต่อโครงการ ขณะที่ราคาที่ดินโซนนิคมอุตสาหกรรมแพงสุด 20,000-50,000 บาท / ตร.ว. ด้านยอดขายแนวราบไปได้สวย 10 เดือน ปิดยอดขายได้ 11,300 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากรอบ 10 เดือนของปีก่อนถึงเกือบ 30% และก้าวสู่ 75% จากเป้าหมายยอดขายโครงการแนวราบในปีนี้ที่ตั้งไว้ 15,000 ล้านบาท มั่นใจยอดขายแนวราบปีนี้เป็นไปตามเป้าแน่นอน คุณวิลาสิณี เดชอมรธัญ รองกรรมการผู้จัดการสายงานพัฒนาธุรกิจและพัฒนาโครงการแนวราบ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แสนสิริเปิดแบรนด์แนวราบ ภายใต้ชื่อ “อณาสิริ” เจาะกลุ่มลูกค้าระดับราคา 1-3 ล้านบาท ซึ่งเป็นครั้งแรกในการพัฒนาโครงการ Low Rise แบบมิกซ์โปรดักส์ รวมบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์เฮาส์ ในโครงการเดียวกันตอบรับทุกความต้องการ ครอบคลุมตลาดโครงการแนวราบในทุกเซกเมนต์ โดยแบรนด์อณาสิริ มีคอนเซ็ปต์ว่า “LIVABLE LIVES” บ้าน   อณาสิริ ความรู้สึกที่เติมเต็ม มาจากคำว่า “อณา + แสนสิริ” บ้านที่รวมสังคมดีๆ เอาไว้ด้วยกัน เตรียมเปิดตัวโครงการแรก ในจังหวัดอยุธยาที่เป็นทำเลที่แสนสิริไม่เคยเข้าไปพัฒนาโครงการมาก่อน ในชื่อ “อณาสิริ อยุธยา” จำนวนทั้งหมด 318 ยูนิต มูลค่าโครงการประมาณ 1,000 ล้านบาท ชูจุดเด่นออกแบบสไตล์ Minimal Loft สมัยใหม่ รวมสไตล์แห่งยุคกับเสน่ห์แห่งเมือง สอดแทรกด้วยภูมิปัญญาท้องถิ่นในวิถีการอยู่อาศัยและการสร้างบ้าน เช่น การใช้สีอิฐ (สีส้ม) ที่รอให้มาค้นหาความสุขใหม่ในเมืองเดิม กับสังคมที่มีคุณภาพ ตอบโจทย์ลงตัวในทุกการอยู่อาศัย เติมเต็มความสมบูรณ์ในการใช้ชีวิต เสนอขายราคา 1.89 – 5 ล้านบาท พร้อมเปิดขายอย่างเป็นทางการวันเสาร์-อาทิตย์ที่  25-26 พฤศจิกายนนี้ “แสนสิริเปิดตัวแบรนด์ใหม่ อณาสิริ บนทำเลอยุธยาครั้งแรก เพราะเราศึกษาและพบว่าทำเลนี้มีศักภาพสูง โดยอยุธยาเป็นศูนย์กลางการเดินทางไปยังภาคเหนือและภาคอีสาน เปรียบดั่งบ้านหลังที่ 2 ของคนกรุงเทพฯ และเป็นที่ตั้งของนิคมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ทำให้มีผู้คนย้ายเข้ามาในพื้นที่เป็นจำนวนมากและมีความต้องการที่อยู่อาศัย ซึ่งกลุ่มดีมานด์หลักคือกลุ่มคนในท้องถิ่น หน่วยงานราชการ รวมไปถึงแรงงานทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติที่ย้ายมาทำงานในนิคมอุตสาหกรรม ที่ต้องการที่อยู่อาศัยเพื่ออยู่อาศัยเอง และปล่อยเช่า ทั้งนี้สำหรับซัพพลายในทำเลอยุธยา ส่วนใหญ่เน้นเปิดโครงการทาวน์เฮาส์ โดยมีจำนวนซัพพลายทั้งหมด 3,072 ยูนิต คิดเป็น 55% ของส่วนแบ่งการตลาดทั้งหมด รองลงมาคือบ้านเดี่ยว มีจำนวนซัพพลายทั้งหมด 2,249 ยูนิต คิดเป็น 40% ของส่วนแบ่งการตลาดทั้งหมด และ คอนโดมิเนียม มีจำนวนซัพพลายทั้งหมด 294 ยูนิต คิดเป็นส่วนแบ่ง 5% ของส่วนแบ่งการตลาดทั้งหมด ขณะที่ดีมานด์ที่นิยมที่สุดคือ ทาวน์เฮาส์ ในราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท โดยโซนนิคมอุตสาหกรรมได้รับความนิยมสูงสุด อัตราการดูดซับโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 5 ยูนิตต่อเดือนต่อโครงการ ขณะที่บ้านเดี่ยว ราคาที่ได้รับความนิยมคือ 3.00-4.99 ล้านบาท ในโซนอยุธยา-บ้านแพรก อัตราตอบรับดีเฉลี่ย 3 ยูนิตต่อเดือนต่อโครงการ ส่วนราคาที่ดินของอยุธยา โซนที่ราคาสูงที่สุดอยู่ที่ โซนนิคมอุตสาหกรรม ถนนโรจนะ ถนนพหลโยธินใน     อ.บางปะอิน ซึ่ง เป็นที่ตั้งของนิคมอุตสาหกรรม อยู่ที่ประมาณ 20,000-50,000 บาทต่อตารางวา รองลงมาคือ โซนอยุธยา-บ้านแพรก ถนนอู่ทอง ถนนนเรศวร อยู่ที่ 30,000 - 40,000 บาทต่อตารางวา และโซนลาดบัวหลวง-ผักไห่ ถนน ศรีเสนา ราคาประเมิน อยู่ที่ 15,000-25,000 บาทต่อตารางวา ทั้งนี้มองว่าทำเลอยุธยามีแนวโน้มในการเติบโตที่ดี รายล้อมด้วยสถานที่ท่องเที่ยว ประกอบด้วยวัดพระศรีสรรเพชญ์ วัดใหญ่ชัยมงคล โรงแรมและคาเฟ่ต่างๆมากมาย จึงทำให้วันหยุดมีคนเดินทางมาท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก ทั้งคนที่อยู่กรุงเทพฯ เนื่องจากใกล้กรุงเทพฯ มากเดินทางเพียง 1 ชั่วโมงเศษ และนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางมาท่องเที่ยว ซึ่งมองว่าอยุธยาในอนาคตจะเติบโตขึ้นและเป็นทำเลที่อยู่อาศัยแห่งใหม่ที่น่าจับตามองอีกทำเลหนึ่ง” คุณวิลาสิณี กล่าว คุณวิลาสิณี กล่าวต่อว่า “สำหรับตลาดที่อยู่อาศัยโครงการแนวราบมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง และมีดีมานด์จริงที่ต้องการซื้อเพื่ออยู่อาศัยที่สูง ส่งผลให้ปีนี้ยอดขายแนวราบของแสนสิริเป็นไปได้สวย ปัจจุบันแสนสิริมียอดขายโครงการแนวราบ 10 เดือน ปิดยอดขายได้ 11,300 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากรอบ 10 เดือนของปีก่อนถึงเกือบ 30% โดยที่ช่วงเดียวกันของปีที่แล้วยอดขาย 10 เดือนอยู่ที่ 8,485 ล้านบาท และก้าวสู่ 75% จากเป้าหมายยอดขายโครงการแนวราบในปีนี้ที่ตั้งไว้ 15,000 ล้านบาท ซึ่งมั่นใจว่ายอดขายแนวราบของปีนี้จะเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้อย่างแน่นอน” สำหรับโครงการใหม่ อณาสิริ อยุธยา ตั้งอยู่บนพื้นที่ 40 ไร่ บนทำเลคุณภาพ เดินทางง่าย ใกล้ถนนใหญ่ หมู่ 5 ต.เกาะเรียน อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา มูลค่าโครงการ ประมาณ 1,000 ล้านบาท ออกแบบภายใต้คอนเซ็ปต์ อาณาจักรชีวิตที่ลงตัว พร้อมเติมเต็มความสมบูรณ์แบบด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก ส่วนกลางที่ครบครัน สระว่ายน้ำระบบเกลือ ห้องออกกำลังกายพร้อมอุปกรณ์มาตรฐาน และระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ช.ม. มีจำนวนทั้งสิ้น 318 ยูนิต ประกอบด้วยบ้านเดี่ยว จำนวน 74 ยูนิต ราคา 3.99-5 ล้านบาท บ้านแฝด จำนวน 102 ยูนิต ราคา 2.99-3.5 ล้านบาท และทาวน์เฮาส์ จำนวน 142 ยูนิต ราคา 1.89-2.3 ล้าน สำหรับขนาดพื้นที่ใช้สอย ทาวน์เฮาส์ พื้นที่ใช้สอย 93 ตร.ม. ที่ดินเริ่มต้น 16.2 ตร.ว. ประกอบด้วย 2 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ ห้องรับแขก ห้องอเนกประสงค์ 1 ที่จอดรถ บ้านแฝด พื้นที่ใช้สอย 134 ตร.ม. ที่ดินเริ่มต้น 35.6 ตร.ว. 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ  ห้องอเนกประสงค์ ห้องรับแขก  2 ที่จอดรถ และบ้านเดี่ยว พื้นที่ใช้สอย 127 ตร.ม. ที่ดินเริ่มต้น 50.6 ตร.ว. ประกอบด้วย 3 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ 1 ห้องรับแขก ครัวไทย 2 ที่จอดรถ เตรียมเปิดขายอย่างเป็นทางการวันที่ 25-26 พฤศจิกายนนี้ โดยจัดโปรโมชั่น ราคาดีที่สุด พร้อมเลือกทำเลสวยหน้าโครงการ
98 Wireless โครงการที่พักอาศัยแห่งแรกในไทยที่ได้รับการรับรองมาตรฐานการประเมินคุณภาพอาคาร LEED ตอกย้ำความลักชัวรี่ในมิติใหม่ควบคู่ไปกับความยั่งยืน

98 Wireless โครงการที่พักอาศัยแห่งแรกในไทยที่ได้รับการรับรองมาตรฐานการประเมินคุณภาพอาคาร LEED ตอกย้ำความลักชัวรี่ในมิติใหม่ควบคู่ไปกับความยั่งยืน

อีกหนึ่งความภาคภูมิใจของแสนสิริที่โครงการ 98 Wireless เป็นโครงการที่พักอาศัยแห่งแรกในไทยที่ผ่านการรับรองมาตรฐาน LEED (Leadership in Energy and Environmental Design) จากสภาอาคารเขียวสหรัฐอเมริกา (U.S. Green Building Council : USGBC) ถือเป็นมาตรฐานสากลด้านการออกแบบ การก่อสร้าง และการปฏิบัติการของอาคารสีเขียว สอดรับกับนิยาม “The Best Comes as Standard” ที่พักอาศัยที่มาพร้อมกับความเป็นเลิศในทุกมิติ โดยมีนายอภิชาติ จูตระกูล ประธานอำนวยการบริษัทแสนสิริ จำกัด (มหาชน) (กลาง) รับมอบการรับรอง LEED พร้อมกับนาย จอห์น เลียวนาด พอลลาร์ด (ซ้าย) กรรมการผู้จัดการ และคุณ ศศิพร ศิริลัทพร (ขวา) กรรมการ จากบริษัท Meinhardt (Thailand) Ltd. (บริษัท ไมนฮาร์ท (ประเทศไทย) จำกัด) ร่วมแสดงความยินดีในฐานะวิศวกรที่ปรึกษาของโครงการ 98 Wireless ด้านการออกแบบโครงสร้างอาคารและระบบต่างๆ รวมถึงให้คำปรึกษาด้านการออกแบบและก่อสร้างอาคารมาตรฐาน LEED เพื่อให้สอดรับตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้    
แสนสิริ ลงทุน 80 ล้านดอลล่าร์ ใน 6 แบรนด์ชั้นนำของโลก สะท้อนวิสัยทัศน์ระดับโลกเพื่อการใช้ชีวิตในอนาคต

แสนสิริ ลงทุน 80 ล้านดอลล่าร์ ใน 6 แบรนด์ชั้นนำของโลก สะท้อนวิสัยทัศน์ระดับโลกเพื่อการใช้ชีวิตในอนาคต

แสนสิริ ก้าวล้ำธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ด้วยแผนการลงทุนมูลค่า 80 ล้านดอลล่าร์ หรือ 2,800  ล้านบาทใน 6 ธุรกิจด้านเทคโนโลยีและไลฟ์สไตล์ชั้นนำของโลก ซึ่งเป็นการขยายฐานการลงทุนในธุรกิจอื่นครั้งสำคัญเพื่อสร้างพันธมิตรในประเภทธุรกิจอันหลากหลาย โดยทั้ง 6 ธุรกิจล้วนมีอัตราการเติบโตสูงในตลาดโลกซึ่งจะเป็นแหล่งรายได้ใหม่ของแสนสิรินอกประเทศไทย เร่งเดินหน้ากลยุทธ์โมเดลธุรกิจแบบ asset light ในยุคปฏิวัติดิจิทัลเพื่อสร้างโอกาสจากการผนึกกำลังร่วมและโอกาสการเติบโตที่รวดเร็ว โดยมูลค่าที่เพิ่มขึ้นของบริษัททั้งหกจากการเข้าถือหุ้นของแสนสิริจะส่งผลดีต่อธุรกิจหลักของแสนสิริ การลงทุนครั้งนี้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของแสนสิริที่มุ่งให้ความสำคัญกับการใช้ชีวิตในอนาคต ครอบคลุมทั้งแนวทางการดำเนินชีวิต การทำงาน การพักผ่อนหย่อนใจ และการเรียนรู้ผ่านเทคโนโลยีและสื่อรูปแบบใหม่ ๆ ธุรกิจที่แสนสิริร่วมลงทุนครั้งนี้ประกอบด้วย Standard International แบรนด์ที่ทรงพลังที่สุดในธุรกิจบูติกโฮเทลซึ่งพลิกโฉมหน้าวงการโรงแรมระดับไฮเอนด์แบบใหม่ไปสู่อีกรูปแบบ One Night แอพพลิเคชั่นจองโรงแรมที่ปฎิวัติวิธีการจองภายในวันเข้าพักในโรงแรมที่คัดสรรมาอย่างดีจากทั่วโลกให้เลือก Hostmaker บริษัทผู้บริหารจัดการอสาหาริมทรัพย์อันดับหนึ่งจากลอนดนให้ Airbnb  JustCo ผู้ให้บริการโคเวิร์คกิ้ง    สเปซสุดสร้างสรรค์ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ Farmshelf นวัตกรรมฟาร์มอัจฉริยะเพื่อการปลูกผักสดสะอาดในที่พักอาศัย และ Monocle แบรนด์สื่ออันทรงอิทธิพลระดับโลก ครอบคลุมทั้งสิ่งพิมพ์ ออนไลน์ วิทยุ ภาพยนตร์ รีเทล และธุรกิจบริการแสนสิริคือผู้นำในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของไทย โดยก่อตั้งขึ้นใน พ.ศ. 2527 และเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจรรายเดียวของประเทศซึ่งมีมูลค่ายอดขายโครงการมากกว่า 40,000 ล้านบาทต่อปี อีกทั้งยังมีชื่อเสียงอันแข็งแกร่งในต่างประเทศ ทั้งจีน ฮ่องกง สิงคโปร์ ไต้หวัน และญี่ปุ่น ด้วยเป้าหมายยอดขายในตลาดต่างประเทศในปี 2560 ที่ 12,000 ล้านบาท นายเศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “การเติบโตของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย สอดคล้องกับการเติบโตของจีดีพี ซึ่งการเติบโตในระดับที่ไม่สูงนัก  แต่แสนสิริวางเป้าหมายการเติบโตในระดับสูง และการลงทุนครั้งนี้นับเป็นการพัฒนาที่อยู่นอกเหนือธุรกิจหลักของเราเป็นครั้งแรก เรากำลังขยายธุรกิจสู่ตลาดโลกและมุ่งลงทุนในธุรกิจที่มีศักยภาพที่ดีในการสร้างรายได้ใหม่ ๆ จากธุรกิจที่มีความเกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ และอาศัยพันธมิตรในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของเราไปพร้อม ๆ กัน” “ก้าวสำคัญต่อไปของเราคือการมุ่งตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนไปของผู้บริโภคโดยการสร้างสรรค์แพลตฟอร์มระดับโลกที่เกี่ยวข้องกับการใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่ ซึ่งจะผลักดันให้แสนสิริก้าวสู่ความเป็นแบรนด์ระดับโลก เป็นผู้นำในด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม รวมทั้งการผนึกกำลังร่วมกับพันธมิตรที่หลากหลายยังนับเป็นการพลิกโฉมแสนสิริเพื่อสร้างการเติบโตสู่อนาคต โดยให้ความสำคัญใน 3 ด้านคือ 1. การลงทุนเชิงกลยุทธ์ในแบรนด์ไลฟ์สไตล์ระดับโลก 2. การพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการพักอาศัย หรือ PropTech ร่วมกับผู้พัฒนาเทคโนโลยีชั้นนำ และ 3. การเสริมสร้างบทบาทความเป็นผู้นำและขยายฐานกลุ่มเป้าหมายผ่านสื่อไลฟ์สไตล์ระดับพรีเมียม”  นายเศรษฐาเสริม   Standard International (สแตนดาร์ด อินเตอร์เนชั่นแนล) The Standard (เดอะ สแตนดาร์ด) เป็นแบรนด์ที่ทรงพลังที่สุดในธุรกิจบูติกโฮเทล มีโรงแรมในเครือทั้งหมด 5 แห่ง ในนิวยอร์ก ลอสแอนเจลิส และไมอามี และโรงแรมแห่งใหม่ที่กำลังจะเปิดเร็วๆ นี้ในลอนดอน The Standard คือผู้บุกเบิกในธุรกิจโรงแรมแบบไลฟ์สไตล์และสร้างประสบการณ์การเข้าพักในโรงแรมที่ใหม่หมดทุกรายละเอียด ตั้งแต่รายละเอียดของการออกแบบ ไปจนถึงการเป็นจุดหมายสุดสร้างสรรค์เพื่อสัมผัสกับชุมชนและวัฒนธรรมในแต่ละท้องถิ่นอย่างใกล้ชิด โดยโรงแรมทุกแห่งมีภัตตาคาร ไนท์ไลฟ์ และร้านค้าที่มีคุณภาพเป็นเลิศ และมีช่องทางการสื่อสารออนไลน์ที่โดดเด่นเพื่อเข้าถึงกลุ่มผู้ทำงานในอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ซึ่งเป็นลูกค้าเป้าหมาย ทั้งในเมืองที่ตั้งของโรงแรมและที่อื่น ๆ ด้วยการลงทุนมูลค่า 58 ล้านดอลล่าร์ แสนสิริจะเป็นผู้ถือหุ้น 35% ในสี่กลุ่มธุรกิจของ Standard International ประกอบด้วย The Standard Hotel Operations and Management, Bunkhouse Group, แอพพลิเคชั่น One Night และธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มของโรงแรม แผนการลงทุน การลงทุนครั้งนี้จะใช้เป็นเงินลงทุนในโรงแรมใหม่ ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มใหม่ และในการพัฒนานวัตกรรมแอพพลิเคชั่น One Night สำหรับการจองโรงแรมแบบนาทีสุดท้าย (Last minute booking) เพื่อเข้าพักในวันเดียวกันโดยมีโรงแรมไลฟ์สไตล์ที่คัดสรรมาแล้วจากทั่วโลกให้เลือก มร. อามาร์ ลาลวานี่ ซีอีโอและ Managing Partner สแตนดาร์ด อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวว่า “The Standard มีชื่อเสียงในฐานะผู้บุกเบิกด้านบริการโรงแรมที่พัก การเดินทาง อาหารชั้นเลิศ ไนท์ไลฟ์ และอื่น ๆ ด้วยแนวคิดที่แหวกขนบเดิม ๆ และแฝงความสนุกสนาน สร้างความละเมียดละไมด้วยการออกแบบ การเพิ่มเติมรายละเอียด และการบริการที่สุดพิถีพิถัน การจับมือกับแสนสิริจะช่วยให้เราเข้าถึงโอกาสใหม่ ๆ ในการพัฒนานวัตกรรมจากเทคโนโลยีและโรงแรมใหม่ ๆ ทั้งในเอเชีย และภูมิภาคอื่นทั่วโลก”   One Night (วัน ไนท์) One Night เป็นแอพพลิเคชั่นสำหรับการจองโรงแรมที่พัฒนาขึ้นโดยบริษัท สแตนดาร์ด อินเตอร์เนชั่นแนล กลุ่มบริษัทเจ้าของบริษัท เดอะ สแตนดาร์ด โฮเท็ล กรุ๊ป และเป็นแพล็ตฟอร์มการจองโรงแรมระบบแรกซึ่งออกแบบโดยบริษัทโรงแรมเอง One Night คือแพล็ตฟอร์มที่ใช้งานบนเครือข่ายโมบายซึ่งสร้างรายได้จากการเติบโตอย่างรวดเร็วของการจองโรงแรมบนเครือข่ายโมบาย ความต้องการในโรงแรมที่พักที่สร้างประสบการณ์อันน่าจดจำ ตลอดจนไลฟ์สไตล์ที่ไม่หยุดนิ่งของกลุ่มลูกค้าผู้บริโภครุ่นใหม่ One Night จึงเกิดขึ้นเพื่อนำเสนอแนวความคิดใหม่ในธุรกิจโรงแรม ซึ่งไม่มองคู่แข่งเป็นคู่แข่ง แต่มองคู่แข่งเป็นพันธมิตรที่มีศักยภาพในการทำอะไรร่วมกันได้เพื่อสร้างประสบการณ์พิเศษให้ลูกค้าและเสริมสร้างธุรกิจไปด้วยกัน แผนการลงทุน แสนสิริจะช่วยส่งเสริมให้ One Night พัฒนาได้อย่างเต็มศักยภาพและเติบโตในตลาดนานาชาติ โดยเฉพาะในเอเชีย มร. จิมมี่ ซูฮ์ ประธานบริหาร One Night กล่าวว่า “การลงทุนจากแสนสิริช่วยให้เรามีเงินทุนในการพัฒนาธุรกิจอย่างเต็มศักยภาพและเติบโตในระดับนานาชาติ อีกทั้งยังทำให้เราเข้าถึงทรัพยากรต่าง ๆ จากการลงทุนในธุรกิจอื่น ๆ ของแสนสิริ ซึ่งจะช่วยให้เราเดินหน้าได้อย่างต่อเนื่อง” Hostmaker (โฮสต์เมกเกอร์) Hostmaker คือบริษัทผู้ให้บริการบริหารการเช่าที่พักอาศัยและผู้บริหารการจองที่พักอันดับหนึ่งของ Airbnb ที่ได้รับรางวัลการันตีคุณภาพมาแล้ว แสนสิริเล็งเห็นถึงเทรนด์ home-sharing หรือการแบ่งที่พักอาศัยให้เช่ากำลังเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งจะส่งผลให้บริการด้านบริหารที่พักอาศัยเติบโตขึ้นตามไปด้วย Hostmaker ดำเนินธุรกิจในลอนดอน โรม ปารีส และบาเซโลน่า โดยให้บริการลูกค้าผู้พักอาศัยมาแล้วกว่า 150,000 คนทั่วโลก แผนการลงทุน Hostmaker จะขยายธุรกิจสู่เอเชียภายใต้การสนับสนุนของแสนสิริ ซึ่งจะเป็นการเสริมสร้างรายได้ใหม่ ๆ จากตลาดนอกประเทศไทยให้กับแสนสิริ มร. นกุล ชาร์มา ผู้ก่อตั้ง และซีอีโอ Hostmaker กล่าวว่า “เราคือบริษัทด้าน PropTech ที่มุ่งสร้างโซลูชั่นด้านการพักอาศัยในยุคเศรษฐกิจแห่งการแบ่งปัน (sharing economy) เพื่อตอบสนองความคาดหวังด้านบริการที่สูงขึ้นของผู้บริโภคเจเนอเรชั่นใหม่ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เงินทุนจากแสนสิริจะเปิดโอกาสใหม่ให้เราเติบโตด้วยบริการใหม่ ๆ และเข้าถึงตลาดใหม่ ๆ เช่นเดียวกับการนำเอาความเชี่ยวชาญในตลาดนานาชาติของเรามาช่วยเสริมสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าของแสนสิริ และพลิกโฉมแวดวงอสังหาริมทรัพย์ไทยสู่การเป็นธุรกิจที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม”   JustCo (จัสท์โค) JustCo คือ ผู้ให้บริการโคเวิร์คกิ้งสเปซที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ปัจจุบันเปิดให้บริการทั้งหมด 11 แห่ง และมีแผนจะเปิดสาขาใหม่อีก 20 แห่งในในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในปี 2561 แสนสิริเล็งเห็นว่าในอนาคตองค์กรขนาดใหญ่จะหันมาใช้สถานที่ทำงานแบบโคเวิร์คกิ้งสเปซมากขึ้นเพื่อส่งเสริมให้พนักงานเกิดพลังสร้างสรรค์ การผสมผสานทางความคิด และพัฒนาความสัมพันธ์ที่ดี แสนสิริวางเป้าหมายให้ JustCo ขยายการเติบโตอย่างรวดเร็ว แผนการลงทุน แสนสิริและ JustCo ร่วมกันวางแผนเปิดตัว JustCo สาขาใหม่ 4 แห่งในกรุงเทพฯ ในปี 2561 รวมทั้งขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องในเอเชีย มร. วัน ซิง คง ซีอีโอ และผู้ก่อตั้ง JustCo กล่าวว่า “JustCo สร้างพันธมิตรเชิงกลยุทธ์มาอย่างต่อเนื่องในเมืองต่าง ๆ ความร่วมมือกับแสนสิริจะช่วยเปิดประตูให้เราขยายธุรกิจสู่กรุงเทพฯ นับเป็นเงินทุนที่มาในช่วงเวลาอันเหมาะสม เพราะเรากำลังพร้อมขยายธุรกิจสู่เมืองหลักอื่น ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น จาการ์ต้า กัวลาลัมเปอร์ โฮจิมินซิตี้ และมะนิลา ด้วยรากฐานอันแข็งแกร่งและการสนับสนุนอย่างแข็งขันจากแสนสิริ เราคาดว่าจะสามารถขยายโคเวิร์คกิ้งสเปซได้ครบ 30 แห่งทั่วเอเชียแปซิฟิกภายในปี 2561 ซึ่งแสนสิริเองก็สามารถเข้าถึงฐานสมาชิกของเราซึ่งเป็นผู้บริโภคที่มีศักยภาพสูงกว่า 12,000 คนเช่นกัน”   Farmshelf (ฟาร์มเชลฟ์) Farmshelf คือผู้สร้างสรรค์นวัตกรรมการเพาะปลูกแบบอัตโนมัติ ซึ่งช่วยให้ทุกคนสามารถปลูกผักเพื่อการบริโภคได้ง่ายดายภายในบ้านหรือที่ทำงาน แสนสิริลงทุนใน Farmshelf เนื่องจากเล็งเห็นถึงการเติบโตอย่างรวดเร็วของธุรกิจด้านสุขภาพ และแนวโน้มของผู้บริโภคที่มีความต้องการอาหารคุณภาพที่สดใหม่ รวมทั้งปรากฏการณ์การพักอาศัยแบบร่วมมือแบ่งปันกัน (collaborative living) แผนการลงทุน Farmshelf มีโอกาสทางธุรกิจอันมหาศาลเพื่อการนำไปใช้ในโครงการที่พักอาศัยต่าง ๆ ของแสนสิริ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้ลูกบ้าน การร่วมเป็นพันธมิตรครั้งนี้คือโอกาสสำคัญในการขยายธุรกิจให้เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วสู่ทั่วภูมิภาคเอเชีย มร. แอนดรู เชียเรอร์ ซีอีโอ Farmshelf กล่าวว่า “เราเชื่อในเรื่องการผลิตอาหารเพื่อบริโภคด้วยตัวเอง ซึ่งแม้แต่คนเมืองที่มีชีวิตอันรีบเร่ง และมีพื้นที่อาศัยจำกัดก็สามารถทำได้ Farmshelf ช่วยให้ทุกคนปลูกพืชผักเป็นอาหารในที่พักอาศัย หรือที่ทำงาน โดยใช้แอพพลิเคชั่นและเทคโนโลยีด้านปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence หรือ AI) ที่ทันสมัย ด้วยเงินทุนจากแสนสิริ เราสามารถต่อยอดการพัฒนาผลิตภัณฑ์และนำวัฒนธรรมใหม่นี้มาสู่ประเทศไทย ซึ่งเป็นตลาดที่มีการเติบโตรวดเร็วแห่งหนึ่ง อีกทั้งยังมีผู้บริโภคที่มีไลฟ์สไตล์ทันสมัยและเชื่อมั่นในการใช้ชีวิตอย่างยั่งยืนและมีสุขภาพดี”   Monocle (โมโนเคิล) ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ของอุตสาหกรรมสื่อในระหว่างทศวรรษที่ผ่านมา Monocle กลับสามารถสร้างความสำเร็จด้วยการนำเสนอประสบการณ์แบบลักชัวรี่ผ่านสื่อสิ่งพิมพ์ ผสมผสานกับการเป็นผู้บุกเบิกในการใช้สื่อเสียง ร้านค้ารีเทล และบริการโรงแรมที่พัก  ความเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงคุณค่าของแบรนด์และการสื่อสารอย่างเปี่ยมคุณภาพของ Monocle ได้กลายเป็นบรรทัดฐานใหม่ของอุตสาหกรรมสื่อสิ่งพิมพ์ทั่วโลกไปแล้ว แผนการลงทุน Monocle จะทำหน้าที่ส่งเสริมแบรนด์แสนสิริและพันธมิตรให้โดดเด่นยิ่งขึ้น โดยช่วยกำหนดและวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภค เชื่อมโยงสู่กลุ่มลูกค้าของ Monocle ในตลาดนานาชาติโดยอาศัยฐานธุรกิจที่มีอยู่ทั่วโลก และยังเล็งเห็นถึงโอกาสสำคัญในการพัฒนาธุรกิจที่ใช้ชื่อแบรนด์ร่วมกันในเซกเตอร์ใหม่ในอนาคต นอกจากนี้แสนสิริยังมีแผนในการพัฒนาโครงการที่พักอาศัยแบบมิกซ์ยูสแนวคิดใหม่ร่วมกับ Monocle ในกรุงเทพฯ ในปี 2561 มร. ไทเลอร์ บรูเล่ ผู้ก่อตั้ง Monocle กล่าวว่า “แสนสิริและ Minocle มีความสัมพันธ์ต่อกันมายาวนาน และด้วยธุรกิจของเราที่เติบโตมากกว่าการเป็นเพียงสื่อ เราจึงเห็นความสำคัญของการร่วมเป็นพันธมิตรกับบริษัทที่มีแนวคิดสอดคล้องกับจุดมุ่งหมายของเราซึ่งกำลังมุ่งสู่ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับชุมชนเมือง รีเทล และแนวคิดด้านบริการใหม่ ๆ มากขึ้น” “ธุรกิจหลักของเรายังคงเป็นการพัฒนาและสร้างสรรค์ที่พักอาศัย แต่จุดมุ่งหมายของเราขยายกว้างขึ้นสู่ความมุ่งมั่นในการยกระดับคุณภาพชีวิตผู้คน ตั้งแต่บ้านที่เราพักอาศัย สู่วิถีในการเดินทาง และอาหารการกินที่สดใหม่ที่สุด แสนสิริและพันธมิตรของเราจะมุ่งมั่นร่วมกันสรรสร้างวิถีแห่งการใช้ชีวิต การทำงาน การเรียนรู้ และการพักผ่อนหย่อนใจเพื่อวันข้างหน้าที่ดีขึ้น” นายเศรษฐากล่าวปิดท้าย
แสนสิริตอกย้ำความสำเร็จโครงการ 98 Wireless สู่เวทีระดับสากล คว้ารางวัล ‘Best Luxury Residence – Global’

แสนสิริตอกย้ำความสำเร็จโครงการ 98 Wireless สู่เวทีระดับสากล คว้ารางวัล ‘Best Luxury Residence – Global’

แสนสิริภาคภูมิใจกับความสำเร็จอีกขั้น และตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับซุปเปอร์ลักซ์ชัวรี่ในประเทศไทย กับงานประกาศผลรางวัลบนเวที  The International Design & Architecture Awards 2017 ภายใต้หมวด 'Best Luxury Residence - Global'  ซึ่งจัดขึ้นโดยนิตยสาร Design et al นิตยสารออกแบบตกแต่งภายในชั้นนำระดับนานาชาติ และนับเป็นรางวัลที่ดีที่สุดในการออกแบบจากทั่วโลก ที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในประเทศอังกฤษ ซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี โดยงานนี้ โครงการ 98 Wireless ถือเป็นโครงการที่พักอาศัยระดับซุปเปอร์ลักซ์ชัวรี่ หนึ่งเดียวในประเทศไทยที่ได้รับคัดเลือกเข้าชิงรางวัลในหมวดนี้ นายอภิชาติ จูตระกูล ประธานอำนวยการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “สำหรับแสนสิริ การรับรางวัลระดับนานาชาติภายในงาน The International Design & Architecture Awards 2017 ครั้งนี้ นับเป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจของบริษัทฯ เป็นอย่างมาก นับตั้งแต่ที่ทราบว่าโครงการ 98 Wireless ได้รับการคัดเลือกเพื่อเข้าชิงรางวัลภายใต้หมวด 'Best Luxury Residence - Global' เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา และได้รับเชิญเข้าร่วมงานประกาศผลรางวัลร่วมกับบริษัท   Design Worldwide Partnership (DWP)  ซึ่งเป็นผู้ออกแบบโครงการ 98 Wireless โครงการแฟล็กชิพคอนโดมิเนียมระดับซุปเปอร์ลักซ์ชัวรี่ที่ดีที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ภายใต้คอนเซ็ปต์ “The Best Comes as Standard” ที่แสนสิริตั้งใจ และพิถีพิถันในการให้ความสำคัญทุกรายละเอียดของการก่อสร้างมากว่า 7 ปี ซึ่งความสำเร็จจากการรับรางวัลของแสนสิริในครั้งนี้ นอกจากจะเป็นรางวัลที่สร้างความภาคภูมิใจให้กับบริษัทฯ แล้ว ยังถือเป็นกำลังใจสำคัญแก่ทีมงานทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ที่มีส่วนผลักดันให้โครงการ 98 Wireless สามารถตอกย้ำศักยภาพที่แข็งแกร่งของบริษัทฯ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ในฐานะผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของประเทศไทยที่มุ่งมั่นพัฒนาที่อยู่อาศัยระดับซุปเปอร์ลักซ์ชัวรี่ให้เป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ และมอบบริการที่เหนือกว่าให้แก่คนไทยอย่างต่อเนื่อง” นางสาวศรินรัตน์ โกมลรัตนพิบูลย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท Design Worldwide Partnership (DWP) กรุงเทพฯ กล่าวว่า “สำหรับการรับรางวัลในครั้งนี้ ทางทีมงานรู้สึกภูมิใจ และนับเป็นเกียรติอย่างมากที่ได้เป็นส่วนสำคัญในการออกแบบโครงการ 98 Wireless ของแสนสิริ ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งโจทย์ที่ท้าทายสำหรับทีมงาน จากแนวคิดของผู้บริหารที่จะพัฒนาโครงการแห่งนี้ ให้กลายเป็นโครงการแฟล็กชิพคอนโดมิเนียมระดับซุปเปอร์ลักซ์ชัวรี่ของแสนสิริ ที่ดีที่สุดในประเทศไทย และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เราจึงตั้งใจออกแบบโครงการนี้อย่างละเมียดละไมที่สุด เพื่อให้สมกับเป็นสุดยอดโครงการซุปเปอร์ลักซ์ชัวรี่โดยผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ไทย และสามารถสร้างชื่อเสียงให้แก่ประเทศไทยได้” สำหรับการคัดเลือกโครงการ เพื่อเข้าชิงรางวัลในงาน The International Design & Architecture Awards 2017 เริ่มต้นด้วยการนำเสนอชื่อโครงการจากบริษัทออกแบบทั่วโลก และคณะกรรมการฯ   จะคัดเลือกโครงการที่มีความโดดเด่นที่สุดในแต่ละสาขา และเปิดโอกาสให้บุคคลทั่วไปได้ลงทะเบียนโหวตเป็นขั้นตอนสุดท้าย โดยโครงการที่ได้รับคะแนนโหวตสูงสุดถือเป็นอันสิ้นสุด ซึ่งในปีนี้นับว่าเป็นสถิติใหม่ของการจัดงาน โดยมีคนเข้าร่วมโหวตมากที่สุดถึง 61,000 คนจากทั่วโลก The International Design & Architecture Awards 2017 จัดขึ้นเป็นครั้งที่3 เป็นเวทีการแข่งขันงานออกแบบระดับสากล ที่มีบริษัทออกแบบกว่า 200 บริษัทจากทั่วโลก เข้าร่วมการแข่งขันเป็นประจำทุกปี โดยมีจุดมุ่งหมายในการเปิดโอกาสให้ผู้ที่เกี่ยวข้องในแวดวงการออกแบบ ได้แสดงผลงาน และเป็นที่รู้จักจนได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในระดับสากล โดยปีนี้ มีโครงการที่น่าสนใจเข้าร่วมเข้าชิงรางวัลถึง 279 โครงการ 163 บริษัท จาก 30 ประเทศ โดยแบ่งรางวัลเป็น 50 หมวดใน 6 สาขา อาทิ เรสซิเดนเทียล พร็อพเพอร์ตี้, อินทีเรียร์ ดีไซน์, โปรดักซ์ ดีไซน์ และมูลค่าโครงการ เป็นต้น
แสนสิริดึงเทคโนโลยีระดับโลก “Amazon Web Services” ก้าวสู่การเปลี่ยนแปลงทางนวัตกรรมการอยู่อาศัยตอบโจทย์โลกยุคดิจิทัล

แสนสิริดึงเทคโนโลยีระดับโลก “Amazon Web Services” ก้าวสู่การเปลี่ยนแปลงทางนวัตกรรมการอยู่อาศัยตอบโจทย์โลกยุคดิจิทัล

แสนสิริดึงเทคโนโลยีระดับโลก “Amazon Web Services” ก้าวสู่การเปลี่ยนแปลงทางนวัตกรรมการอยู่อาศัยตอบโจทย์โลกยุคดิจิทัล นำร่องด้วย Artificial Intelligence solutions จาก Amazon Web Services ระบบสั่งงานด้วยเสียงภาษาไทยครั้งแรกปี’61 พร้อมวางแผนสานต่อพัฒนานวัตกรรมการอยู่อาศัยระดับโลกระยะยาวร่วมกันในอนาคต “แสนสิริ” ตอกย้ำความเป็นผู้นำ Proptech ในประเทศไทย ดึงเทคโนโลยีจากบริษัทระดับโลก “Amazon Web Services” ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มด้านไอทีผ่านอินเทอร์เน็ต ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ Amazon.com ที่มีบริการหลากหลายรวมทั้งแพลตฟอร์มปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence หรือ AI) โดยร่วมมือกับเดลิเทค พันธมิตรผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนานวัตกรรม และเทคโนโลยีบนคลาวด์ ก้าวสู่การเปลี่ยนแปลงทางนวัตกรรมการอยู่อาศัยที่สำคัญ เรียกว่า 'The New Era of Limitless Living' พร้อมเติมเต็มการใช้ชีวิตในโลกยุคดิจิทัลไม่รู้จบ นำร่องพัฒนาระบบสั่งงานด้วยเสียงภาษาไทยครั้งแรกด้วยเทคโนโลยี Artificial Intelligence solutions จาก Amazon Web Services ให้เป็นผู้ช่วยส่วนตัวอัจฉริยะครบวงจร บนแพลทฟอร์มชั้นนำของโลก พร้อมให้บริการเต็มรูปแบบในปี 2561 อนาคตเดินหน้าสานต่อพัฒนานวัตกรรมการอยู่อาศัยระดับโลกร่วมกันในระยะยาว ดร. ทวิชา ตระกูลยิ่งยง ประธานผู้บริหารสายงานเทคโนโลยีและวิเคราะห์ข้อมูล บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ปีนี้นับเป็นปีแห่งการปรับเปลี่ยนองค์กรของแสนสิริอย่างรอบด้านเพื่อให้บริษัทฯ เติบโตและรักษาความเป็นผู้นำได้อย่างยั่งยืน สิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัดคือการลงทุนด้านนวัตกรรม เพราะประสบการณ์เกือบ 35 ปีของเราในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ทำให้แสนสิริเห็นความเปลี่ยนแปลงในไลฟ์สไตล์และความต้องการของลูกค้าในยุคที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล เราเชื่อว่าเทคโนโลยีจะตอบโจทย์ของลูกค้าได้ดี จึงได้พยายามนำเทคโนโลยีมาต่อยอดใช้ประโยชน์ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในมิติใหม่ๆ อย่างไม่หยุดยั้ง  เพื่อยกระดับการบริการที่ตรงกับไลฟ์สไตล์ของลูกบ้านและรักษาความเป็นผู้นำในการบุกเบิกและพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการอยู่อาศัยของวงการอสังหาริมทรัพย์” แสนสิริเป็นบริษัทที่เน้นการพัฒนาจากมุมมองของลูกค้า มองลูกค้าเป็นศูนย์กลาง Customer Centric ทั้งนี้เป็นความโชคดีที่น่าภาคภูมิใจของแสนสิริที่เราสามารถสร้างข้อได้เปรียบในการทำธุรกิจจาก DNA ของทุกคนในองค์กรที่ทำงานด้วยทัศนคติการเปิดรับและพัฒนาสิ่งใหม่ๆอย่างไม่หยุดนิ่ง  ที่เราไม่เพียงจะมาช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีแต่เพียงเท่านั้น แต่ยังคำนึงถึงการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีต่างๆ ควบคู่ไปกับการวิจัยและพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง ทั้งด้วยตัวเองและร่วมกับพันธมิตรชั้นนำ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกบ้านอย่างตรงจุด เราเข้าใจว่าลูกค้าต้องการอะไร    ไลฟ์สไตล์เป็นแบบไหน ซึ่งเราจะต้องพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีต่างๆอย่างต่อเนื่อง เพราะความต้องการของลูกค้าไม่เคยหยุดนิ่ง เพื่อให้ "เติมเต็มการอยู่อาศัยอย่างสมบูรณ์แบบ (Complete Your Living Experience)" “ในปีนี้แสนสิริได้เดินหน้ารุก Innovation อย่างเต็มที่ โดยเราอยู่ระหว่างการสร้าง Innovation Center เพื่อให้เป็นแหล่งแสดงผลงาน และเป็นศูนย์กลางการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมการอยู่อาศัยของแสนสิริโดยเฉพาะ  พร้อมทั้งแสวงหาพันธมิตรที่มีศักยภาพระดับโลกและมีวิสัยทัศน์ตรงกันในการมองความต้องการของลูกค้าเป็นสำคัญ และพัฒนาสินค้าและบริการจากมุมมองของลูกค้าเป็นหลัก ซึ่งความร่วมมือกับพันธมิตรระดับโลกที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางอย่างอะเมซอนและเดลิเทคในวันนี้ จะทำให้ก้าวสู่การเปลี่ยนแปลงทางนวัตกรรมการอยู่อาศัยที่สำคัญ เรียกว่า 'The New Era of Limitless Living' ที่จะช่วยเติมเต็มการใช้ชีวิตในโลกยุคดิจิทัลไม่รู้จบในทุกๆ ด้าน” ดร.ทวิชา กล่าวเสริม การทำงานร่วมกันในครั้งนี้  ใช้เทคโนโลยีจากบริษัทระดับโลกอย่าง “Amazon Web Services” โดยเริ่มจากการพัฒนาแอพพลิเคชั่น Home Service ของแสนสิริให้เป็น “ผู้ช่วยส่วนตัวอัจฉริยะ” โดยการใช้เทคโนโลยี Artificial Intelligence solutions จาก Amazon Web Services ซึ่งเป็นแพลทฟอร์มสำหรับฟังก์ชั่นการสั่งงานด้วยเสียงที่ใช้งานง่ายและเป็นธรรมชาติ นับเป็นการปฏิวัติรูปแบบการใช้ชีวิตของผู้ใช้แอพพลิเคชั่นให้สามารถจัดการเรื่องราวต่าง ๆ ได้จากทุกที่ ทุกเวลา เพื่อความสะดวกสบายของลูกค้าตอบโจทย์การอยู่อาศัยในยุคดิจิทัล ดร.ชวพล จริยาวิโรจน์ ผู้จัดการประจำประเทศไทยบริษัท อะเมซอน เว็บ เซอร์วิสเซส (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวถึงว่า “เรามีความยินดีที่แสนสิริและเดลิเทค ได้เลือกเทคโนโลยีของ Amazon Web Services นำร่องด้วยเทคโนโลยี Artificial Intelligence มาใช้ในการเดินหน้าสู่การปฏิวัติองค์กร  ด้วยความมุ่งมั่นของ Amazon Web Services ในการพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ อย่างไม่หยุดยั้งให้กับลูกค้า และการที่แสนสิริเดินหน้าปรับเปลี่ยนองค์กรสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ สะท้อนให้เห็นว่าทั้งสองบริษัทมีวิสัยทัศน์สอดคล้องกัน โดยคำนึงถึงลูกค้าเป็นสำคัญ” ความสำเร็จครั้งนี้จึงเป็นการเดินทางมาบรรจบกันอย่างลงตัวของโลกเทคโนโลยีและโลกอสังหาริมทรัพย์ของประเทศไทย ผู้ที่จะได้ประโยชน์สูงสุดก็คือลูกค้าและผู้ใช้งานที่เชื่อมั่นได้ว่าจะได้รับประสบการณ์การใช้ชีวิตอย่างสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น ดร.วิชญ์ เนียรนาทตระกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เดลิเทค จำกัด ผู้เป็นพันธมิตรด้านเทคโนโลยีในการทำงานร่วมกันครั้งนี้  กล่าวถึงการพัฒนาความสามารถของเทคโนโลยี Artificial Intelligence solutions จาก Amazon Web Services ในการรองรับภาษาไทยสำหรับแสนสิริว่า “บริษัทเดลิเทคมีความยินดี ที่ได้มีส่วนร่วมในการพัฒนานวัตกรรมสำหรับแสนสิริ เรานำเทคโนโลยีจาก Amazon Web Services ที่มีจุดเด่นคือใช้งานง่าย มีการบริการที่หลากหลาย และเปิดให้นักพัฒนาสามารถนำมาต่อยอดเพื่อให้เกิดบริการใหม่ ๆ โดยเดลิเทคได้คัดสรรฟังก์ชั่นที่จะนำร่องให้บริการเกี่ยวกับความสะดวกสบายของลูกบ้านแสนสิริพร้อมใช้งานในปี 2561 ดังนี้ การรับคำสั่งพื้นฐานของฟังก์ชั่นต่างๆ ที่สอดรับกับการดำเนินชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการตรวจสอบยอดค่าน้ำ ตรวจเช็คพัสดุ การจองและตรวจสอบสถานะการใช้งานของห้องส่วนกลาง รวมถึงสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ในโครงการ เช่น การเปิดจองบริการของห้องโยคะ เป็นต้น Sansiri Home Automation Control เชื่อมต่อกับอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าได้อย่างง่ายดาย ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์ใดก็สามารถสั่งงานได้ด้วยการใช้เสียง ทั้ง เปิด-ปิดไฟ เครื่องปรับอากาศ ม่านไฟฟ้า หรือเปิด-ปิดเปลี่ยนช่องโทรทัศน์ เพิ่มขีดความสามารถในการใช้งานให้โต้ตอบได้หลากหลายมากขึ้น สามารถให้ข้อมูลพื้นฐานต่างๆ ได้ เช่น พยากรณ์อากาศ เช็คสภาพการจราจร สรุปข่าวรายวัน ฯลฯ ซึ่งผู้ใช้สามารถสั่งการทำงานไม่ว่าจะอยู่ในมุมไหนของห้องก็ตาม ตอบรับชีวิตยุคดิจิทัลด้วยการเชื่อมต่อความสนุกอย่างไม่รู้จบ สามารถฟังเพลงไทย หรือรับคลื่นวิทยุในประเทศไทย ดร. ทวิชา กล่าวสรุปว่า “แสนสิริจะยังคงนำเทคโนโลยีระดับโลกจาก Amazon Web Services มาใช้เพื่อพัฒนาบริการและฟังก์ชั่นใหม่ๆ ของ Home Service Application อย่างต่อเนื่อง โดยทำงานอย่างใกล้ชิดกับเดลิเทค ซึ่งจะทำให้แสนสิริมีนวัตกรรมต่างๆ มาสู่ลูกค้าได้อย่างง่ายดาย และมีประสิทธิภาพ โดยในอนาคตจะมุ่งเน้นบริการที่ครบวงจรและแตกต่าง ครอบคลุมตั้งแต่สุขภาพ อาหาร การเดินทาง ช้อปปิ้ง รวมทั้งการนำเทคโนโลยีอัจฉริยะของ Amazon Web Services เข้ามายกระดับศักยภาพด้านการขาย การทำธุรกิจ และบริการของแสนสิริอีกด้วย เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า เติมเต็มไลฟ์สไตล์และประสบการณ์ของลูกค้าอย่างครบวงจร นอกจากนี้ในอนาคตแสนสิริจะตอกย้ำจุดยืนของแสนสิริในฐานะ market shaper ที่ไม่หยุดยั้งในการสรรหาความเชี่ยวชาญจากบริษัทระดับโลก มาช่วยยกระดับการให้บริการ สามารถมอบประสบการณ์การอยู่อาศัยเหนือความคาดหมายให้ลูกค้า และเปิดให้ลูกค้าได้สัมผัสประสบการณ์แบบ Glocal (Global+Local) หรือการที่ลูกค้าได้มีโอกาสใช้ชีวิตระดับโลกได้อย่างง่ายๆ” เตรียมสัมผัสความอัจฉริยะของการสั่งงานภาษาไทยด้วยเทคโนโลยี Artificial Intelligence solutions จาก Amazon Web Services ที่รองรับทุกสำเนียงภาษา ที่พร้อมจะให้บริการแก่ลูกบ้านโครงการของแสนสิริอย่างเต็มรูปแบบในปี 2561 โดยสามารถติดตามรายละเอียดความเคลื่อนไหวด้านนวัตกรรมการอยู่อาศัยที่แสนสิริมุ่งมั่นพัฒนาอย่างต่อเนื่องได้ที่ www.sansiri.com
แสนสิริพร้อมส่งมอบโครงการ “เดอะ โมนูเมนต์ สนามเป้า” คาดทยอยรับยอดโอน 80% ภายในสิ้นปีนี้

แสนสิริพร้อมส่งมอบโครงการ “เดอะ โมนูเมนต์ สนามเป้า” คาดทยอยรับยอดโอน 80% ภายในสิ้นปีนี้

แสนสิริพร้อมส่งมอบโครงการ “เดอะ โมนูเมนต์ สนามเป้า” คาดทยอยรับยอดโอน 80% ภายในสิ้นปีนี้ รับกระแสเซกเมนต์ไฮเอนด์โต ตอกย้ำจุดเด่นแบรนด์ ‘เดอะ โมนูเมนต์’ ด้วยคุณค่าแห่งการส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น แสนสิริตอกย้ำความสำเร็จโครงการ ‘เดอะ โมนูเมนต์ สนามเป้า’ (THE MONUMENT SANAMPAO) ไฮไรส์คอนโดมิเนียมระดับลักซ์ชัวรี่ ซึ่งชูความล้ำค่าระดับมาสเตอร์พีซหนึ่งเดียวบนถนนพหลโยธิน ทั้งด้านความเป็นส่วนตัวเพียง 86 ยูนิต ด้วยมูลค่าโครงการรวมกว่า 1,600 ล้านบาท ผ่านการออกแบบโครงการอย่างพิถีพิถันในทุกตารางเมตร และตั้งอยู่บนทำเลทองใจกลางเมืองใกล้บีทีเอสสนามเป้า และห่างจากทางด่วนเพียง 5 นาที เผยบริษัทฯ เตรียมทยอยรับยอดโอนถึง 80% โดยมั่นใจรับรู้รายได้จากโครงการฯ กว่า 1,300 ล้านบาทภายในปี 2560 นี้แน่นอน หลังจากที่ได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกบ้าน จากการเปิดให้ตรวจรับมอบโอนกรรมสิทธิ์เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เหตุจากราคาเฉลี่ยที่ปรับตัวสูงขึ้นจากราคาพรีเซลส์   ถึง 8% ในช่วงเวลา 2 ปีที่ผ่านมา ซึ่งนอกจากปัจจัยบวกของศักยภาพทำเล และการเติบโตของตลาดอสังหาริมทรัพย์ระดับไฮเอนด์ในปีที่ผ่านมา ลูกบ้านยังรอคอยที่จะสัมผัสประสบการณ์การใช้ชีวิตระดับไฮเอนด์ที่ผสมผสานความสะดวกสบายเหนือระดับครบครันในทุกมิติ และยังเป็นครั้งแรกที่มอบบริการ “SANDEE” Delivery Robot ซึ่งนำมาใช้ในโครงการนี้เป็นแห่งแรกในประเทศไทย ทั้งนี้ ลูกค้าจะสามารถเข้าอยู่ได้ภายในเดือนพฤศจิกายน 2560 นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “โครงการ ‘เดอะ โมนูเมนต์ สนามเป้า’ (THE MONUMENT SANAMPAO) ได้รับการตอบรับที่ดีเยี่ยม นับตั้งแต่วันเปิดตัวโครงการเมื่อ 2 ปีที่แล้ว และสามารถปิดการขายได้อย่างรวดเร็ว ด้วยคอนเซ็ปต์ ‘The Monument to Generations’ หรือการส่งต่อทำเลที่มีคุณค่าจากรุ่นสู่รุ่น ผ่านโครงการที่พักอาศัย  ที่เปรียบเสมือนงานศิลป์ที่สามารถส่งต่อสู่รุ่นต่อไปและมอบความคุ้มค่าในระยะยาวให้แก่ผู้ที่ถือครองได้ ด้วยมูลค่าที่ทวีขึ้นตามกาลเวลา โดยปัจจุบันโครงการฯ มีราคาเฉลี่ยเพิ่มขึ้นจากเดิมที่ 250,000 บาทต่อตารางเมตรเป็น 270,000 บาทต่อตารางเมตร หรือปรับตัวสูงขึ้นถึง 8% ภายในระยะเวลา 2 ปีจากปัจจัยบวกจากการเป็นคอนโดมิเนียมระดับลักซ์ชัวรี่เพียงแห่งเดียวในย่านพหลโยธินและอารีย์ ซึ่งมีที่ดินสำหรับพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมไม่มากนัก ในขณะที่ปริมาณความต้องการอสังหาริมทรัพย์ในตลาดระดับบนยังมีอย่างต่อเนื่อง ทั้งการซื้อเพื่อเข้าอยู่ และการซื้อเพื่อลงทุน ซึ่งหากเทียบอัตราการปล่อยเช่าของตลาดคอนโดมิเนียมในย่านพหลฯ-อารีย์แล้ว คาดว่าโครงการฯ จะได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนอยู่ที่ 4.3% จากราคาพรีเซล” “ลูกบ้านสามารถมั่นใจว่า ‘เดอะ โมนูเมนต์ สนามเป้า’ (THE MONUMENT SANAMPAO) นั้นจะเป็นโครงการที่พร้อมมอบประสบการณ์การใช้ชีวิตที่ดีและมีคุณภาพ เพื่อส่งต่อเป็นมรดกที่อยู่อาศัยอันล้ำค่าให้แก่รุ่นต่อไป นอกจากจะเป็นโครงการที่มีพื้นที่ส่วนกลางและสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบวงจรมากที่สุดแห่งหนึ่ง ซึ่งทำให้สามารถตอบสนองต่อไลฟ์สไตล์ของกลุ่มลูกค้าระดับบนได้อย่างครบทุกมิติแล้วยังมีการนำนวัตกรรม PropTech เข้ามาใช้อำนวยความสะดวกให้แก่ลูกบ้านในโครงการ เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้ชีวิตที่ดีอย่างครบวงจร โดยเป็นโครงการแรกในประเทศไทยที่มอบบริการ “SANDEE” Delivery Robot ซึ่งจะช่วยอำนวยความสะดวกในนำส่งจดหมาย หรือพัสดุให้ถึงประตูห้อง และการพัฒนาระบบ Mobile Access HID ที่เชื่อมต่อผ่านโทรศัพท์มือถือ เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกในการเข้าออกโครงการในบริเวณป้อมทางเข้าโครงการ ประตูด้านหน้าล็อบบี้ และลิฟต์โดยสาร รวมทั้งลูกบ้านสามารถดาวน์โหลดโปรแกรม Home Service Application เพื่อความสะดวกเพื่อการอยู่อาศัยอื่นๆ ภายในโครงการฯ ของแสนสิริ” นายอุทัยกล่าวเสริม “แสนสิริเชื่อมั่นว่า ‘เดอะ โมนูเมนต์ สนามเป้า’ (THE MONUMENT SANAMPAO) ซึ่งเป็นโครงการแรกภายใต้แบรนด์ ‘เดอะ โมนูเมนต์’ (THE MONUMENT) จะเป็นต้นแบบแห่งความสำเร็จที่จะสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของกลุ่มลูกค้าระดับบน และสามารถส่งต่อความมั่นใจไปสู่โครงการที่ 2 ภายใต้แบรนด์เดียวกัน หรือ ‘เดอะ โมนูเมนต์ ทองหล่อ’ (THE MONUMENT THONGLO) ซึ่งวางแผนเปิดตัวอย่างเป็นทางการในช่วงต้นปี 2561 นี้” นายอุทัยกล่าวปิดท้าย สำหรับโครงการ ‘เดอะ โมนูเมนต์ สนามเป้า’ เป็นคอนโดมิเนียมระดับลักซ์ชัวรี่แห่งเดียวในย่านพหลโยธิน หรืออารีย์ บนพื้นที่กว่า 1 ไร่ โดยมุ่งหมายให้เป็นแลนด์มาร์คอีกแห่งหนึ่งที่สำคัญของย่านนี้ที่มอบความหรูหรามีเอกลักษณ์ ด้วยจำนวนเพียง 86 ยูนิตเท่านั้น มีห้องให้เลือกตั้งแต่ 1 - 2 ห้องนอน ขนาดพื้นที่ตั้งแต่ 46.25 - 89.25 ตารางเมตร จนถึงเพนท์เฮ้าส์แบบ 3 ห้องนอน ขนาดพื้นที่ตั้งแต่ 138.25 - 140.25 ตารางเมตร ที่สำคัญ การออกแบบส่วนกลางของโครงการฯ ตั้งใจให้ตอบสนองความต้องการของกลุ่มลูกค้าระดับบนอย่างตรงจุด ตั้งแต่ทางเข้าโครงการด้วยหินอ่อนสีน้ำเงินหายาก Blue Sodalite ตรึงทุกสายตาสู่พื้นที่โถงต้อนรับ (Lobby Lounge) ชั้น 1 ซึ่งงดงามโดดเด่นด้วยหินอ่อน Corchia Grey ที่มีเส้นสายเปรียบเสมือนชิ้นงานศิลปะจากธรรมชาติล้ำค่า และเพียบพร้อมด้วยส่วนกลางบริเวณชั้น 9 ทั้งชั้น นับว่าเป็นพื้นที่ส่วนกลางที่ครบวงจรที่สุด อาทิ ห้องสมุด (Library) ห้องดื่มชา (Tea Room) ห้องสังสรรค์ (Social Lounge) ห้องดูหนัง (Screening Room) ห้องสปา (Spa) และห้องเอนกประสงค์ (Multi-Purpose Room) ผสมผสานงานฝีมือด้วยการวางพื้นไม้แบบ Hexagon Basket Weave พื้นไม้สักลายดั้งเดิมที่ใช้เทคนิคการต่อลายและติดตั้งแบบงานฝีมือ ช่วยเพิ่มความหรูหรา ส่วนบริเวณชั้น 23 ได้รับการออกแบบให้เป็น Infinity Edge Pool โดยเลือกใช้หิน Silver Grey Quartzite ในพื้นสระว่ายน้ำ ซึ่งเป็นหินสีเทาที่มีเส้นสายของแร่สีเงิน จนสามารถเกิดประกายของเนื้อหิน และให้ผิวสัมผัสที่แตกต่างจากหินทั่วไป ส่วนฟิตเนสที่ชั้น 24 เป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ของ เดอะ โมนูเมนต์ สนามเป้า สามารถมองลงมาเห็นวิวของเมืองได้ชัดเจน ให้การออกกำลังกายและการพักผ่อนมีสุนทรียภาพยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ‘เดอะ โมนูเมนต์ สนามเป้า’  ยังคัดสรรอุปกรณ์อำนวยความสะดวกในห้องพักเป็นพิเศษ โดยคำนึงดีไซน์ความสวยงามหรือฟังก์ชั่นการใช้งาน อาทิ มือจับประตู Samsung Digital Door lock, สุขภัณฑ์ TOTO Neo-rest Automatic Water Closet ซึ่งเป็นระบบไฮบริด ช่วยประหยัดพลังงาน และอนุรักษ์น้ำ รวมถึงมีรีโมทควบคุมการทำงาน, กระจก Insulated Glass หรือกระจก 2 ชั้น ที่เว้นช่องไว้ตรงกลางเพื่อช่วยลดความร้อน และลดเสียงรบกวนจากภายนอก Video Door Phone & Home Automation, ชุดครัวที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว Kuppersbusch จากประเทศเยอรมัน รวมถึงระบบเสียงที่ใช้ในห้องดูหนัง (Screening Room) ที่ได้ชุดเครื่องเสียง และทีวี LED ขนาด 75 นิ้วจากแบรนด์ Bang & Olufsen (B&O) ที่มีความเชี่ยวชาญในการนำเทคโนโลยีมาผสานกับดีไซน์ได้อย่างลงตัว ซึ่งทั้งหมดนี้ นับเป็นการผสมผสานระหว่างความสุขสงบไปกับธรรมชาติแวดล้อมด้วยกลิ่นอายคลาสสิคในรูปแบบวัฒนธรรมดั้งเดิม และการคัดสรรสิ่งอำนวยความสะดวก รวมถึงการออกแบบเพื่อประโยชน์ใช้สอยที่ทันสมัยตรงใจคนรุ่นใหม่ บนทำเลศักยภาพที่พร้อมจะส่งต่อประสบการณ์ดีๆเหล่านี้ เพื่อเป็นมรดกให้รุ่นลูกรุ่นหลานต่อไป  
แสนสิริตอกย้ำผู้นำบ้านเดี่ยวไฮเอนด์ โชว์ผลงานแบรนด์นาราสิริใกล้ Sold Out 2 โครงการ “นาราสิริ บางนา” – “นาราสิริ โทเพียรี่” ยอดขายกว่า 90%

แสนสิริตอกย้ำผู้นำบ้านเดี่ยวไฮเอนด์ โชว์ผลงานแบรนด์นาราสิริใกล้ Sold Out 2 โครงการ “นาราสิริ บางนา” – “นาราสิริ โทเพียรี่” ยอดขายกว่า 90%

แสนสิริตอกย้ำความเป็นผู้นำแบรนด์บ้านเดี่ยวไฮเอนด์ โชว์ผลงานบ้านเดี่ยวแบรนด์นาราสิริใกล้ปิดการขาย 2 โครงการ “นาราสิริ บางนา” ยอดขายถึง 95% “นาราสิริ โทเพียรี่” ยอดขายกว่า 90% และนาราสิริ ปิ่นเกล้า-สาย 1 ยอดขายถึง 60% มั่นใจยอดขายแนวราบปีนี้เป็นไปตามเป้า 15,000 ล้านบาทแน่นอน เผยดีมานด์บ้านเดี่ยวไฮเอนด์ยังแรง อนาคตแนวโน้มยังสดใส วางแผนบุกตลาดต่อเนื่อง พร้อมเตรียมเปิดแบรนด์นาราสิริต่อในปี 2561   นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แสนสิริเป็นผู้นำในการพัฒนาบ้านเดี่ยวระดับไฮเอนด์มาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะแบรนด์บ้านเดี่ยว “นาราสิริ” นับเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาที่อยู่อาศัยประเภทโครงการแนวราบของแสนสิริ โดยแสนสิริมุ่งมั่นพัฒนาให้ตอบรับการอยู่อาศัยอย่างสมบูรณ์แบบ ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Luxury in Details งดงามในรายละเอียด” ทำให้ได้รับการตอบรับที่ดีมาโดยตลอด โดยล่าสุดใกล้ปิดการขาย 2 โครงการ คือ “นาราสิริ บางนา” ยอดขายถึง 95% หรือเหลือขายเพียง 5 ยูนิตเท่านั้น จากจำนวนทั้งหมด 101 ยูนิต และ “นาราสิริ โทเพียรี่” ยอดขายกว่า 90% หรือเหลือขายเพียง 11 ยูนิตจากจำนวนทั้งหมด 57 ยูนิต รวมทั้งอีก 2 โครงการก็ได้รับการขายที่ดีเช่นกัน โดย “นาราสิริ ปิ่นเกล้า-สาย 1” มียอดขายแล้วถึง 60% จากจำนวนจำนวนทั้งหมด 57 ยูนิต และ “นาราสิริ พระราม 2” ก็มีลูกค้าเข้าชมโครงการต่อเนื่อง โดยปัจจุบันมียอดขายแล้ว 40% จำนวนทั้งหมด 57 ยูนิต ซึ่งจากการที่บ้านเดี่ยวระดับไฮเอนด์ได้รับการตอบรับที่ดีเช่นนี้ จึงทำให้มั่นใจว่าปีนี้ยอดขายโครงการแนวราบจะเป็นไปตามเป้าที่ 15,000 ล้านบาทแน่นอน “ความต้องการบ้านเดี่ยวระดับไฮเอนด์ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะระดับราคา 20 – 30 ล้านบาท ที่มีความต้องการจริงจากผู้ซื้อที่มีกำลังซื้อที่อยู่อาศัย และไม่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ จึงทำให้แบรนด์นาราสิริซึ่งเป็นแบบบ้านดีไซน์เด่น ที่เกิดจากความมุ่งมั่นพัฒนาคุณภาพการอยู่อาศัยอย่างใส่ใจรายละเอียด เพื่อเติมเต็มการใช้ชีวิต (Complete Your Living Experience) ประสบความสำเร็จ ได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า ดังนั้นแสนสิริจึงวางแผนที่จะเปิดตัวแบรนด์นาราสิริอย่างต่อเนื่องในปี 2561 สำหรับแนวโน้มตลาดบ้านเดี่ยวระดับไฮเอนด์ยังคงมีแนวโน้มการเติบโตที่ดี เนื่องจากมีอัตราดูดซับดีเพราะเป็นที่ต้องการของผู้บริโภครายได้สูง รวมทั้งคู่แข่งขันก็ยังมีน้อยราย จึงทำให้ตลาดนี้ยังเติบโตต่อไปได้อีกในอนาคต” นายอุทัย กล่าว สำหรับแบรนด์บ้านเดี่ยว “นาราสิริ” แสนสิริ ได้เริ่มต้นพัฒนาขึ้นในปี 2542 โดยการตัดสินใจขยายขอบเขตการประกอบธุรกิจครั้งยิ่งใหญ่ จากเดิมที่เป็นการพัฒนาอาคารสูงในเขตใจกลางเมือง ในฐานะผู้ประกอบการอันดับหนึ่งในการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมระดับพรีเมี่ยมมาตลอด สู่การพัฒนาที่ดินแนวราบประเภทโครงการบ้านเดี่ยว โดยโครงการแรกคือ “นาราสิริ วัชรพล” จำนวน 157 ยูนิต ซึ่งประสบความสำเร็จตามเป้าหมายเป็นอย่างดี จึงมีการขยายโครงการบ้านเดี่ยวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และทำให้ปัจจุบันแสนสิริมีแบรนด์บ้านเดี่ยวทั้งหมด 5 แบรนด์ ประกอบด้วย “นาราสิริ-เศรษฐสิริ-บุราสิริ-สราญสิริ-คณาสิริ”  โดยบ้านแต่ละแบรนด์สร้างความรู้สึกที่แตกต่างได้อย่างมีเอกลักษณ์และไม่สามารถหาได้จากที่อื่น ทั้งความรู้สึก “Luxury in Details งดงามในรายละเอียด” ของแบรนด์นาราสิริ “Portrait of Success ภาพของชีวิตที่ภาคภูมิ” ของแบรนด์เศรษฐสิริ “Find Your Peace of Mind บ้านเพื่อการพักผ่อนอย่างแท้จริง” ของแบรนด์บุราสิริ “Built for Love ความสุขเริ่มต้นจากความรัก” ของแบรนด์สราญสิริ และ “Plenty of Happiness ความสุขคณานับ” ของแบรนด์คณาสิริ  เพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่มได้อย่างครอบคลุม
แสนสิริ ปฏิวัติไลฟ์สไตล์ลูกบ้านยุคใหม่ เปิดตัว ‘Smart Move’ แพลตฟอร์มบริการรถยนต์ไฟฟ้าระบบเช่าประจำโครงการครั้งแรกของไทย

แสนสิริ ปฏิวัติไลฟ์สไตล์ลูกบ้านยุคใหม่ เปิดตัว ‘Smart Move’ แพลตฟอร์มบริการรถยนต์ไฟฟ้าระบบเช่าประจำโครงการครั้งแรกของไทย

บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดตัว “Smart Move (สมาร์ทมูฟ)” แพลตฟอร์มบริการยานพาหนะระบบเช่าในโครงการของแสนสิริเพื่ออำนวยความสะดวกในการใช้ชีวิตให้กับคนรุ่นใหม่ นำร่องด้วยบริการรถยนต์ไฟฟ้าระบบเช่า (EV-Car Sharing) ให้กับลูกบ้านในโครงการที่พักอาศัยครั้งแรกของประเทศไทย โดยจับมือ SHARGE (ชาร์จ)  บริษัทผู้ให้บริการเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าชั้นนำและ Haupcar (ฮอปคาร์) ผู้พัฒนาแพลตฟอร์มและให้บริการคาร์แชร์ริ่งเจ้าแรกของไทยเข้ามาเป็นพันธมิตรในการบริหารระบบจัดการการจองและปล่อยเช่ารถในรูปแบบเอ็กซ์คลูซีฟเฉพาะสำหรับลูกบ้านในโครงการ เปิดตัวให้บริการครั้งแรกที่โครงการ เดอะไลน์ จตุจักร-หมอชิต ด้วยรถยนต์ BMW i3  พร้อมเตรียมให้บริการในอีก 4 โครงการที่อยู่อาศัย ตลอดจนขยายผลไปยังยานพาหนะรูปแบบอื่นๆในปลายปีนี้ โดยจะอยู่ภายใต้แพลตฟอร์มใหญ่ คือ “Smart Move” ดร. ทวิชา ตระกูลยิ่งยง ประธานผู้บริหารสายงานเทคโนโลยีและวิเคราะห์ข้อมูล บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เผยว่า “แสนสิริมุ่งมั่นที่จะเติมเต็มการใช้ชีวิตในทุก ๆ ด้านให้ลูกบ้านมีประสบการณ์การอยู่อาศัยที่สมบูรณ์แบบตามแนวคิด Complete your living experience ซึ่งการให้บริการรถยนต์ไฟฟ้าระบบเช่าภายใต้แพลตฟอร์ม Smart Move ในครั้งนี้นับเป็นการให้บริการรถยนต์ไฟฟ้าครั้งแรกในโครงการที่อยู่อาศัยของเมืองไทย ซึ่งเรามั่นใจว่าจะได้รับการตอบรับอย่างดี เพราะสามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การเดินทางของคนรุ่นใหม่ที่อาศัยอยู่ในโครงการคอนโดมิเนียมใกล้รถไฟฟ้าได้เป็นอย่างดี เพราะคนกลุ่มนี้ไม่นิยมซื้อรถยนต์เป็นของตัวเองแต่ใช้ระบบขนส่งมวลชนที่ปัจจุบันมีโครงข่ายที่ครอบคลุมและสะดวกสบาย โดยการมีรถยนต์ไฟฟ้าระบบเช่าให้บริการที่โครงการที่อยู่อาศัยจะช่วยเติมเต็มความต้องการในการเดินทางของลูกค้าในบางวัตถุประสงค์ได้ครอบคลุมมากขึ้น เพราะจากการวิเคราะห์ความต้องการของลูกค้าในเชิงลึกพบว่า การโดยสารด้วยรถยนต์หรือจักรยานยังมีความจำเป็นกับกลุ่มคนเหล่านี้ในบางโอกาส อาทิ การไปซูเปอร์มาร์เก็ตหรือร้านอาหาร ที่แม้จะใกล้ ๆ แต่ก็ไม่สะดวกหิ้วของจำนวนมากขึ้นรถสาธารณะ หรือการไปในพื้นที่ที่ไกลจากขนส่งสาธารณะ” นอกจากนั้น ในปัจจุบันเทรนด์รักษ์โลกด้วยการใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้ากำลังเป็นกระแสที่คนรุ่นใหม่นิยม  โดยแสนสิริได้เกาะติดเทรนด์นี้ตั้งแต่ปีที่ผ่านมา โดยได้นำอุปกรณ์ชาร์ไฟฟ้ามาติดตั้งให้บริการในโครงการคอนโดมิเนียมของแสนสิริ  “สำหรับการให้บริการ Smart Move รถยนต์ไฟฟ้าระบบเช่าของแสนสิริจะนำร่องที่โครงการ เดอะไลน์ จตุจักร-หมอชิต โดยเราเลือกรถยนต์ BMWi3 เป็นรถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบ (Fully Electric) รุ่นแรกจาก BMW จำนวน 2 คัน มาให้บริการเช่าในโครงการ และเพื่อให้การบริหารจัดการระบบเช่ารถยนต์ส่วนกลางเป็นไปอย่างราบรื่นที่สุดเราจึงได้จับมือกับพันธมิตรที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนี้โดยเฉพาะคือ Haupcar ผู้พัฒนาแพลตฟอร์มและให้บริการคาร์แชร์ริ่งแรกของไทยที่มีประสบการณ์การให้บริการเช่ารถผ่านแอปพลิเคชั่นบนมือถือตลอด 24 ชม. มาเป็นเวลากว่า 2 ปี และ SHARGE ผู้ให้บริการเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าและมีประสบการณ์ด้านการขายและซ่อมบำรุงรถยนต์ไฟฟ้ามาเป็นผู้บริหารหลัก” นายทวิชา กล่าวต่อ นาย พีระภัทร ศิริจันทโรภาส ผู้อำนวยการของ SHARGE กล่าวเสริมว่า “SHARGE ภูมิใจที่ได้เป็นส่วนสำคัญในการให้บริการรถยนต์ไฟฟ้าระบบเช่าภายใต้แพลตฟอร์ม Smart Move ของแสนสิริ โดยบริษัทเราจะเป็นผู้บริหารหลักของบริการนี้ ซึ่งปัจจุบันการให้บริการรถยนต์ระบบเช่าแบบเดิมไม่เพียงพอต่อความต้องการของคนรุ่นใหม่ที่ต้องการความสะดวกสบายผสานกับการไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม แพลตฟอร์ม Smart Move จึงตอบโจทย์สิ่งที่ผู้บริโภคในปัจจุบันต้องการได้อย่างตรงจุด ทั้งนี้ ในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา การเติบโตของตลาดรถไฟฟ้านั้นเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วและมีโอกาสจะเติบโตเพิ่มขึ้นถึง 50% ต่อปี และบริษัทยานยนต์ชั้นนำทั่วโลกก็หันมาพัฒนาและจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้ากันมากขึ้น สะท้อนให้เห็นถึงพฤติกรรมของผู้บริโภคในยุคนี้ที่มีการเปิดรับเอาเทคโนโลยีใหม่ๆที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมและประหยัดพลังงานมาใช้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ นอกจากการบริหารแพลตฟอร์ม Smart Move แล้ว SHARGE ยังเป็นพันธมิตรในระยะยาวกับแสนสิริในการให้บริการ EV Charger ในโครงการที่พักอาศัยอีกด้วย โดยได้นำร่องให้บริการไปตั้งแต่ปีที่ผ่านมาแล้วจำนวน 3 โครงการและจะขยายไปยังกว่า 10 โครงการภายในปี 2561” นาย กฤษฏิ์ วิชัยวัฒนาพาณิชย์ กรรมการผู้จัดการบริษัท Haupcar กล่าวว่า “Haupcar ได้ให้บริการเช่าและปลดล็อครถยนต์ตลอด 24 ชั่วโมงเพื่อเป็นทางเลือกใหม่ในการเดินทางให้กับคนกรุงเทพฯมาเป็นเวลากว่า 2 ปีแล้ว แต่การร่วมเป็นส่วนหนึ่งในแพลตฟอร์ม Smart Move นับเป็นครั้งแรกของบริษัทที่ให้บริการรถยนต์ไฟฟ้าระบบเช่าในโครงการที่อยู่อาศัยโดยตรง ถือเป็นมิติใหม่แห่งการอยู่อาศัยอย่างแท้จริงที่โครงการที่อยู่อาศัยได้ให้บริการรถยนต์ไฟฟ้าสำหรับแต่ละโครงการเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ลูกบ้าน เพราะผู้เช่าสามารถจองและปลดล็อครถผ่านมือถือได้ทันทีตลอด 24 ชม. สะดวกเหมือนรถส่วนตัว ซึ่งในอนาคตเราจะจับมือกับแสนสิริเพื่อขยายการให้บริการรถยนต์ไฟฟ้าระบบเช่าให้ครอบคลุมในทุกโครงการคอนโดมิเนียมของแสนสิริที่ติดรถไฟฟ้าและเจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ เพราะเรามองว่าความต้องการใช้บริการเช่าและปลดล็อครถยนต์ไฟฟ้าตลอด 24 ชั่วโมงจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างมี     นัยยะสำคัญในอนาคต” ทั้งนี้ แพลตฟอร์ม Smart Move ของแสนสิรินั้นได้อำนวยความสะดวกให้กับลูกบ้านด้วยระบบจองรถและปลดล็อครถออนไลน์ได้ทันทีตลอด 24 ชั่วโมงผ่าน Home Service Application ซึ่งจะเชื่อมต่อไปยัง Haupcar Application โดยจะมีการคิดค่าบริการจริงเป็นราย 30 นาที ให้บริการสูงสุดภายใน 1  วัน โดยจะให้บริการรอบแรกตั้งแต่ 05.00น. สิ้นสุดที่เวลา 02.00น. ในแต่ละวัน เพื่อให้มีเวลาชาร์ตไฟฟ้าอย่างน้อย 3 ชั่วโมงต่อวัน  เน้นการให้บริการในเขตบริเวณกรุงเทพฯและปริมณฑล เพื่อให้รถยนต์สามารถหมุนเวียนให้บริการลูกบ้านอย่างต่อเนื่อง โดยค่าบริการดังกล่าวได้รวมค่าพลังงานและประกันรถยนต์เรียบร้อยแล้ว จึงไม่มีการเก็บค่าบริการตามระยะทางเพิ่มเติมอีก เบ็ดเสร็จเฉลี่ยจะราคาต่ำกว่าการเรียกรถผ่านแอพลิเคชั่นรถพร้อมคนขับที่เป็นที่นิยมในปัจจุบัน อีกทั้งยังมีความเป็นส่วนตัวและความยืดหยุ่นด้านการเลือกเส้นทางที่มากกว่า โดยหลังจากนี้เรามีแผนที่จะนำ Smart Move ไปให้บริการในโครงการอื่น ๆ ที่มีกลุ่มเป้าหมายที่ใกล้เคียงกัน อาทิ โครงการเดอะ ไลน์ ราชเทวี, เอดจ์, ทากะ เฮาส์, คอมมูนิตี้มอลล์ฮาบิโตะใน T77  พร้อมทั้งเตรียมที่จะจับมือกับพันธมิตรระดับโลกอีกหลายบริษัทเพื่อให้บริการยาหนะระบบเช่าในรูปแบบที่หลากหลายขึ้นเพื่อตอบโจทย์ความต้องการในการเดินทางแบบ Sharing Economy ที่แตกต่างในอนาคต
แสนสิริผนึกโตคิว กรุ๊ป เปิดตัว “taka HAUS” (ทากะ เฮาส์) มูลค่า 2,000 ลบ. เตรียมเปิด Global Launch พร้อมกันใน 6 ประเทศ 16-17 กย.นี้

แสนสิริผนึกโตคิว กรุ๊ป เปิดตัว “taka HAUS” (ทากะ เฮาส์) มูลค่า 2,000 ลบ. เตรียมเปิด Global Launch พร้อมกันใน 6 ประเทศ 16-17 กย.นี้

แสนสิริผนึกโตคิว กรุ๊ป เปิดตัว “taka HAUS” (ทากะ เฮาส์) มูลค่า 2,000 ลบ. เตรียมเปิด Global Launch พร้อมกันใน 6 ประเทศ 16-17 กย.นี้ตั้งเป้ายอดขายช่วงพรีเซลล์ 1,000 ล้านบาท วางเป้าหมายกลุ่มลูกค้าไทยและต่างชาติ 55 : 45 เปอร์เซ็นต์ แสนสิริผนึกโตคิว กรุ๊ป เปิดตัว “taka HAUS” (ทากะ เฮาส์) เอกมัย 12  มูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท คอนโดมิเนียมแบบ Low-rise ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Stay Unique, Stay Diverse” จำนวนเพียง 269 ยูนิตให้ความเป็นส่วนตัวสูง พร้อม Facility ตอบรับไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตที่แตกต่างและหลากหลายจับกลุ่มคนไทยและต่างชาติ บนทำเลเอกมัยที่ตอบรับทุกการใช้ชีวิตที่แตกต่างอย่างลงตัว เผยเอกมัย ถูกจัดอยู่ในโซนสุขุมตอนกลางด้วยศักยภาพของทำเลที่มีซอยเชื่อมสู่ทองหล่อ เข้าถึงสิ่งอำนวยความสะดวกซึ่งกันและกันได้อย่างครบครัน ขณะที่ราคาประเมินที่ดินโต 50% เทียบเท่าทองหล่อ และอัตราผลตอบแทนต่อการลงทุน 5 – 6% ต่อปี เป็นทำเลที่ได้รับความนิยมสูงในตลาดต่างชาติโดยเฉพาะชาวญี่ปุ่น เตรียมเปิด Global Launch เปิดขายอย่างเป็นทางการพร้อมกันใน 6 ประเทศ ไทย – ญี่ปุ่น – ฮ่องกง – จีน – สิงคโปร์ – ไต้หวัน วันที่ 16 – 17 ก.ย.นี้ในราคาเริ่มต้น 4.49 ล้านบาท วางเป้าหมายกลุ่มลูกค้าไทยและต่างชาติ 55 : 45 เปอร์เซ็นต์ และตั้งเป้าปิดยอดขายช่วงพรีเซลล์ประมาณ 1,000 ล้านบาท หรือเกินกว่า 50% จากจำนวนยูนิต นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ (Chief Operating Officer) บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทจะเปิดตัวโครงการ “taka HAUS” (ทากะ เฮาส์) ซึ่งนับเป็นคอนโดมิเนียมโครงการล่าสุดภายใต้แบรนด์ “HAUS” (เฮาส์) ที่มีแนวคิดการพัฒนาที่อยู่อาศัยที่ตอบรับไลฟ์สไตล์กลุ่มลูกค้าคนเมืองที่ต้องการที่อยู่อาศัยใกล้ชิดธรรมชาติกลางเมืองใหญ่ โดยพัฒนาโครงการภายใต้คอนเซ็ปต์ ‘Urban Resort Condominium’ ให้ทุกๆวันเป็นวันพักผ่อนได้ในแบบที่เป็นคุณ โดยที่ผ่านมาบริษัทประสบความสำเร็จจากการพัฒนาคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ HAUS ไปแล้ว 2 โครงการ โครงการแรกคือ ฮาสุ เฮาส์ ภายใต้แนวคิดแบบ Slow Living หรือการใช้ชีวิตอย่างละเมียดละไม และ โมริ เฮาส์ ภายใต้แนวคิด Trees of Life แบบ Eco-Living หรือการใช้ชีวิตที่อิงอาศัยธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในทำเลสุขุมวิท 77 หรือ T77 ของแสนสิริ ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีมากจากลูกค้าชาวต่างชาติ โดยเฉพาะลูกค้าชาวญี่ปุ่น ฮ่องกงและสิงคโปร์ เนื่องจากตอบโจทย์การอยู่อาศัย บรรยากาศดี เงียบสงบร่มรื่นด้วยคลองธรรมชาติที่ทอดตัวผ่านพื้นที่สีเขียว สามารถเดินทางเข้าเมืองสู่ย่านธุรกิจได้อย่างสะดวก สำหรับคอนโดมิเนียม ทากะ เฮาส์ จำนวน 269 ยูนิต มูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท ออกแบบภายใต้คอนเซ็ปต์ “Stay Unique, Stay Diverse” ตอบการใช้ชีวิตที่ไม่หยุดนิ่งในแบบที่เป็นคุณ พัฒนาภายใต้ บริษัท สิริ ทีเค วัน (Siri TK One Company Limited) ซึ่งเป็นบริษัทภายใต้ความร่วมมือระหว่าง  บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ครบวงจรระดับโลกและบริษัท โตคิว คอร์ปอเรชั่น จำกัด ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งนับเป็น ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาและให้บริการระบบรถไฟในเขตชานเมืองโตเกียว การพัฒนาเมืองและอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงกิจการโรงแรม รีสอร์ท และธุรกิจอื่นๆ และบริษัท สหโตคิว คอร์ปอเรชัน จำกัด ในสัดส่วน กลุ่มแสนสิริถือหุ้น 70% และกลุ่มโตคิวฯ ถือหุ้นสัดส่วน 30% ร่วมกันพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ประเภทคอนโดมิเนียม โดยบริษัทเตรียมเปิด Global Launch เปิดขายอย่างเป็นทางการพร้อมกันใน 6 ประเทศ ไทย – ญี่ปุ่น – ฮ่องกง – จีน – สิงคโปร์ – ไต้หวัน ในวันที่ 16 – 17 กันยายนนี้ ในราคาเริ่มต้น 4.49 ล้านบาท พร้อมโปรโมชั่นรับส่วนลดสูงสุดกว่า 50,000 บาท พร้อมลุ่นทริปไปฮาวายและสกีรีสอร์ท “คำว่า “ทากะ” มีความหมายถึง “เหยี่ยว” ซึ่งตามความเชื่อญี่ปุ่นสื่อถึงสิ่งที่ดี ความเป็นสิริมงคลในการใช้ชีวิต นับเป็นหนึ่งใน 3 ความฝันที่ดีในช่วงปีใหม่สำหรับการเริ่มต้นใช้ชีวิต สอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมายของโครงการทากะ เฮาส์ ซึ่งรักอิสระ คล่องแคล่ว ปราดเปรียว ทันสมัยชอบทำกิจกรรมที่หลากหลายเริ่มแยกจากครอบครัวออกมาอยู่เอง ใช้ชีวิตท่ามกลางแหล่งอำนวยความสะดวกครบครัน นอกจากนี้รูปแบบโครงการยังมีความโดดเด่น ทั้งฟังก์ชั่นการอยู่อาศัย ที่มียูนิต เลย์เอาท์ให้เลือกมากกว่า 30 แบบตอบโจทย์การอยู่อาศัยที่หลากหลาย จำนวนยูนิตพักอาศัยเพียง 269 ยูนิต ให้ความเป็นส่วนตัวสูงเทียบกับ Facility ภายในโครงการที่สามารถตอบรับไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตที่แตกต่างและหลากหลายเทียบเท่าคอนโดมิเนียมแบบไฮท์ไรซ์ โดยนับเป็นครั้งแรกของคอนโดมิเนียมแสนสิริที่มีการนำ ENDLESS JET POOL หรือ สระว่ายน้ำทวนกระแส สำหรับการออกกำลังกายในน้ำ UNDERWATER TREADMILL หรือลู่วิ่งใต้น้ำและ BIKE SIMULATOR เข้ามาใช้ในโครงการ นอกเหนือไปจากสิ่งอำนวยความสะดวก อาทิ สระว่ายน้ำ ห้องออกกำลังกาย สวนและมุมพักผ่อนแบบเอาท์ดอร์พร้อม Wifi Internet ระบบรักษาความปลอดภัย 24 ชั่วโมงพร้อมหน่วยงาน Sansiri Security Inspection (SSI) คุมเข้มความปลอดภัย ที่มีอยู่ในทุกคอนโดมิเนียมตามมาตรฐานการพัฒนาโครงการของแสนสิริ นอกจากนี้ Ground Floor ยังประกอบด้วย ล้อบบี้พร้อมห้องสมุด,     เอนเตอร์เทนเมนต์ รูม, Co-Kitchen, เกมส์ รูม และมุมพักผ่อนเก๋ๆแบบ Tree House ที่มีกระจกโดยรอบเพื่อให้กลมกลืนกับธรรมชาติอีกด้วย พร้อมก้าวสู่ PropTech การเป็นบริษัท Property Technology เต็มรูปแบบรายแรกของไทย โดยนำนวัตกรรม ผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ เข้ามาใช้ในโครงการเพื่อตอบโจทย์ลูกค้า โดยโครงการทากะ เฮาส์ จะมีการนำระบบ แสนสิริ โฮม เซอร์วิส แอปพลิเคชัน, สมาร์ท ล้อคเกอร์, EV Charging Station, Home Automation และ Alexa (Echo Dot By Amazon) เข้ามาใช้ภายในโครงการ” นายอุทัย กล่าว โครงการคอนโดมิเนียม ทากะ เฮาส์ ตั้งอยู่ในซอยสุขุมวิท 63 หรือเอกมัย 12 (ซอยเจริญใจ) ซึ่งเป็นซอยที่เชื่อมระหว่างถนนสุขุมวิทและถนนเพชรบุรีตัดใหม่ที่สามารถเดินทางเข้าออกสู่หลากหลายเส้นทางได้อย่างสะดวก อาทิ ถนนพระรามเก้า และถนนเลียบทางด่วนเอกมัย – รามอินทรา รวมทั้งยังอยู่ใกล้สถานที่ตอบรับไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตต่างๆ ทั้ง โรงพยาบาลชั้นนำโดยรอบ อาทิ โรงพยาบาลสมิติเวช, โรงเรียนนานาชาติชั้นนำ อาทิ โรงเรียนนานาชาติ บางกอกเพรพ (Bangkok Prep) คอมมูนิตี้ มอลล์ อาทิ Nihonmura Mall, เจ อเวนิว, คาเฟ่, บาร์, ซุปเปอร์มาเก็ต, ร้านอาหาร และแหล่ง Hangout ซึ่งเป็นที่นิยมมากมาย รวมทั้งยังสามารถเดินทางเข้าออกได้สะดวกสบายเนื่องจากมีทางทะลุเข้าออกได้หลากหลายเส้นทาง “ซอยเอกมัย นับเป็นทำเลที่อยู่อาศัยที่ได้รับความนิยมอีกแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ โดยที่ผ่านมาแสนสิริประสบความสำเร็จในการเปิดขายโครงการ CEIL by Sansiri (ซีล บาย แสนสิริ) จำนวน 374 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,700 ล้านบาทในทำเลนี้มาแล้ว ทั้งนี้ เอกมัย มีจุดเด่นในการเป็นทำเลที่ขนานไปกับทองหล่อและอยู่ห่างกันเพียง 500 เมตร มีซอยเชื่อมกันเป็นระยะๆ ทั้งทองหล่อซอย 10, ซอยแจ่มจันทร์ เอกมัยจึงถูกพ่วงเข้าไว้กับทองหล่อมาโดยตลอด ทำให้ทั้งสองย่านนี้จึงมีข้อได้เปรียบ และสามารถเข้าถึงสิ่งอำนวยความสะดวกซึ่งกันและกันได้ จึงมีการใช้ประโยชน์หลากหลายกว่าซอยสุขุมวิทอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งศักยภาพของที่ดินในทำเลดังกล่าว ราคาประเมินที่ดินในย่านเอกมัยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนใกล้เคียงกับสุขุมวิทตอนต้น อาทิ ซอยนานา ในขณะที่อัตราการเติบโตของราคาประเมินที่ดินก็สูงถึง 50% เทียบเท่าทองหล่อ นอกจากนี้ยังมีตัวแปรที่สำคัญอีกหลายอย่าง อาทิโครงการจากภาครัฐและเอกชน เน้นย้ำความเป็นสุขุมวิทตอนกลาง และเพื่อเตรียมความพร้อมในการเข้าสู่การเป็นสุขุมวิทตอนต้นให้มากขึ้น อาทิ โครงการพัฒนาและปรับปรุงฟื้นฟูย่านทองหล่อ-เอกมัย โดย UDDC หนึ่งในพื้นที่นำร่องของการพัฒนาและปรับปรุงฟื้นฟูย่าน ซึ่งศูนย์ออกแบบและพัฒนาเมือง (UDDC) ทำร่วมกับกรุงเทพมหานคร โดยมองว่าทำเลทองหล่อ-เอกมัยมีศักยภาพในหลายด้าน ทั้งการเป็นจุดเชื่อมต่อกับกรุงเทพชั้นกลางและชั้นนอก รวมไปถึงการเป็นพื้นที่ที่มีกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่หลากหลาย โดยแนวทางของการพัฒนาและปรับปรุงฟื้นฟูย่านทองหล่อ-เอกมัย คือการปรับปรุงโครงข่ายถนนตรอกซอยต่างๆ ให้สามารถเชื่อมต่อกันได้มากขึ้น กำหนดพื้นที่ที่เน้นการส่งเสริมการพัฒนา เพิ่มพื้นที่สีเขียว ปรับปรุงคลองให้มีทัศนียภาพที่ดีและเดินได้สะดวกขึ้น ซึ่งในอนาคต เราจะได้เห็นทองหล่อ-เอกมัยในบทบาทของย่านธุรกิจสร้างสรรค์ที่นำเทรนด์ของเมือง ย่านที่อยู่อาศัยหนาแน่นและแหล่งงานนานาชาติ รวมไปถึงสามารถเดินได้สะดวกและมีระบบ feeder รองรับอีกด้วย” นายอุทัย กล่าว นอกจากนี้จากการเปลี่ยนแปลงของเมืองและการขยายตัวของเส้นสุขุมวิทที่ขยายตัวออกมาทางเอกมัยมากขึ้น ยังส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของราคาและค่าเช่าที่อยู่อาศัย โดยการเปลี่ยนแปลงของราคาคอนโดมิเนียมรีเซลล์เติบโตเฉลี่ย 6 - 10% ต่อปี และราคาปล่อยเช่าในทำเลเอกมัยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 25,000-55,000 บาทต่อเดือน ขณะที่ผลตอบแทนในการลงทุนอยู่ที่ประมาณ 5-6% ต่อปี ซึ่งนับว่าราคาคอนโดมิเนียมในทำเลนี้ยังเหมาะสมในการซื้อเพื่อการลงทุน ดังนั้น “เอกมัย” จึงกลายเป็นทำเลที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่โฟกัสชาวต่างชาติเป็นหลัก โดยเฉพาะชาวญี่ปุ่น ซึ่งเป็นผู้เช่าเกรดพรีเมียมสำหรับกลุ่มนักลงทุน “บริษัทตั้งเป้าปิดยอดขายโครงการทากะ เฮาส์ ในช่วง Presale มากกว่า 50% หรือประมาณ 1,000 ล้านบาท ซึ่งเมื่อรวมกับยอดขายโครงการคอนโดมิเนียมของแสนสิริซึ่งทำได้แล้ว 11,800 ล้านบาท บริษัทจะสามารถสร้างยอดขายได้กว่า 12,800 ล้านบาท หรือคิดเป็น 50% จากเป้าหมายยอดขายคอนโดมิเนียมที่วางไว้ 25,000 ล้านบาท โดยการเปิดตัวโครงการ ทากะ เฮาส์ รวมทั้งโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ๆ เพื่อตอบรับความต้องการอยู่อาศัยของกลุ่มลูกค้าในปีนี้ยังคงเป็นไปอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปีตามแผนธุรกิจที่วางไว้รวมทั้งมั่นใจว่าบริษัทจะสามารถสร้างยอดขายได้ตามเป้าหมาย” นายอุทัย กล่าว
แสนสิริจับมือญี่ปุ่น ผนึกโตคิว กรุ๊ป รุกอสังหาฯ ไทย

แสนสิริจับมือญี่ปุ่น ผนึกโตคิว กรุ๊ป รุกอสังหาฯ ไทย

แสนสิริจับมือญี่ปุ่น ผนึกโตคิว กรุ๊ป รุกอสังหาฯ ไทย พลิกโฉมวงการที่อยู่อาศัยตอบรับกลุ่มลูกค้าไทย-ต่างชาติ เตรียมตัวเปิดตัวโครงการแรก "taka HAUS" มูลค่า 2,000 ลบ. กันยายนนี้ แผนระยะยาวเล็งปั้นเมือง พัฒนา Community ร่วมกันในอนาคต ก้าวสู่การเป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ครบวงจรระดับโลก สองบริษัทยักษ์ใหญ่ไทย-ญี่ปุ่น แสนสิริ ผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัยพ์ครบวงจรระดับโลก จับมือ บริษัทโตคิว คอร์ปอเรชั่น จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาและให้บริการระบบรถไฟในโตเกียว การพัฒนาเมืองและอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงกิจการโรงแรม รีสอร์ทและธุรกิจอื่นๆ ผนึกความร่วมมือพัฒนาอสังหารืมทรัพย์ าภยใต้บริษัทร่วมทุน สิริ ทีเค วัน (Siri TK One Company Limited) พลิกโฉมพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยรับความต้องการกลุ่มลูกค้าไทย-ต่างชาติ เตรียมเปิดตัวโครงการแรก "taka HAUS" (ทากะ เฮาส์) ทำเลสุขุมวิท-เอกมัย มูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท ตอบรับไลฟ์สไตล์ที่อยู่อาศัยของทั้งคนไทยและญี่ปุ่นกันยายนนี้ เผยแผนระยะยาว ศึกษาความเป้นไปได้จากความเชี่ยวชาญด้านการพัฒนาทาวน์ในญี่ปุ่นของโตคิวที่สอดคล้องกับโมเดลความสำเร็จของ T77 ของแสนสิริ เล็งปั้นเมืองพัฒนา Community ร่วมกันในอนาคต นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ (Chief Operating Officer) บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ได้ร่วมมือกับ บริษัทโตคิว คอร์ปอเรชั่น จำกัด ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งนับเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาและให้บริการระบบรถไฟในเขตชานเมืองโตเกียว การพัฒนาเมืองและอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงกิจการโรงแรม รีสอร์ท และธุรกิจอื่นๆ และบริษัท สหโตคิว คอร์ปอเรชั่น จำกัด ร่วมกันก่อตั้ง บริษัท สิริ ทีเค วัน (Siri TK One Company Limited) ในสัดส่วน กลุ่มแสนสิริถือหุ้น 70% กลุ่มโตคิวฯ ถือหุ้นสัดส่วน 29% และบริษัท สหโตคิวฯ ถือหุ้นสัดส่วน 1% เพื่อร่วมกันพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ประเภทคอนโดมิเนียม นำร่องเปิดตัวโครงการแรกในชื่อ "taka HAUS" (ทากะ เฮาส์) มูลค่าโครงการประมาณ 2,000 ล้านบาท "การเป็นพันธมิตรทางธุรกิจ ระหว่างแสนสิริ และโตคิว กรุ๊ป เริ่มต้นจากการที่สองบริษัทมีการดำเนินธุรกิจภายใต้ปรัชญาที่ตรงกัน คือการนำเสนอผลิตภัณฑ์เพื่อสร้างไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตที่ดีที่สุดแก่ลูกค้า ด้วยจุดแข็งในการดำเนินธุรกิจของ แสนสิริ ภายใต้กลยุทธ์ "Complete Your Living Experience" และโตคิว กรุ๊ป สโลแกน "Toward a Beautiful Age" ที่ไม่เพียงพัฒนาแค่ที่อยู่อาศัย แต่มุ่งมั่นสร้างไลฟ์สไตล์ที่ดีให้กับลูกค้าควบคู่กัน โดยการศึกษาพฤติกรรมลูกค้าอย่างละเอียดในทุกๆ ด้าน (Customer Insight) ตั้งแต่การคิดผ่านมุมมองของลูกค้า ศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภคที่หลากหลายและรวบรวมข้อมูล ว่าลูกค้าแต่ละกลุ่มมีความต้องการในการอยู่อาศัยอย่างไร ทำให้เรามั่นใจว่า ความร่วมมือในครั้งนี้จะเป็นการมอบรูปแบบการใช้ชีวิตเมืองที่เป็นไปได้อย่างไม่สิ้นสุด นับเป็นการสร้างความแปลกใหม่ให้กับวงการอสังหาริมทรัพย์ไทยบนมาตรฐานที่เหนือระดับ และพลิกโฉมการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในระดับสากล ที่จะตอบรับไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยทั้งกลุ่มลูกค้าคนไทยและต่างชาติ โดยโครงการภายใต้การร่วมทุน บริษัทจะพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมในชื่อ“taka HAUS” (ทากะ เฮาส์) ในทำเลเอกมัย 12 มูลค่าโครงการประมาณ 2,000 ล้านบาท โดยจะเปิดตัวในช่วงเดือนกันยายนนี้” นายอุทัย กล่าว นอกจากการดำเนินธุรกิจภายใต้ปรัชญาที่ตรงกันแล้ว ความร่วมมือในครั้งนี้ บริษัท โตคิว คอร์ปอเรชั่น จำกัด (ประเทศญี่ปุ่น) ยังเล็งเห็นศักยภาพของบริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นผู้นำในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ครบวงจรของประเทศไทยที่ได้รับการยอมรับมาตลอดระยะเวลากว่า 33 ปี ซึ่งแสนสิริมีการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยเพื่อตอบรับทุกความต้องการของลูกค้า ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ โดยปัจจุบัน บริษัทได้ก้าวสู่ความเป็นผู้นำในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ครบวงจรของประเทศไทยที่ได้รับการยอมรับในด้านการพัฒนาที่อยู่อาศัยประเภท บ้านเดี่ยว บ้านแฝด  ทาวน์เฮาส์  โฮมออฟฟิศ และคอนโดมิเนียมคุณภาพทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ด้วยจำนวนโครงการกว่า 318 โครงการ จำนวนที่อยู่อาศัยกว่า 86,000 ยูนิต ที่ครอบคลุมทุกภูมิภาคทั่วประเทศกว่า 17 จังหวัด รวมทั้งการพัฒนาโครงการในตลาดต่างประเทศ 9 Elvaston Place ใจกลางกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ซึ่งเป็นโครงการนำร่องของแสนสิริในการแสดงศักยภาพสู่สากล นอกจากนี้ บริษัทยังได้รับความเชื่อมั่นในศักยภาพการดำเนินงานในการขยายไปยังธุรกิจอื่นๆ เพื่อช่วยส่งเสริมธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของแสนสิริ อาทิ การรุกธุรกิจคอมมูนิตี้ รีเทล ภายใต้ชื่อ “ฮาบิโตะ มอลล์” ซึ่งเป็นการเปิดให้ร้านค้าและร้านอาหารเช่าพื้นที่ในปีที่ผ่านมา รวมถึงบริษัทในเครือ ได้แก่ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ที่ดำเนินธุรกิจตัวแทนซื้อ – ขาย - เช่า อสังหาริมทรัพย์และบริหารงานขายโครงการ รวมถึงบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์เพื่อที่พักอาศัยและบริหารจัดการทรัพยากรอาคาร ซึ่งได้รับการยอมรับและเชื่อถือด้านการให้บริการและให้คำปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์อย่างครบวงจร ทั้งจากภาครัฐและเอกชนมากว่า 20 ปี บริษัทยังมองถึงความร่วมมือระยะยาวในอนาคต จากการที่โตคิว เป็นบริษัทชั้นนำของญี่ปุ่น มีฐานกลุ่มธุรกิจที่กว้างขวางที่ไม่เพียงแค่พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ความร่วมมือในครั้งนี้ยังนับเป็นการประสานให้เกิดผลประโยชน์สูงสุดร่วมกัน เป็นการผนวกพลังระหว่างพันธมิตรทางธุรกิจระหว่างประเทศที่จะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กันและกันอย่างยั่งยืน อาทิ การที่โตคิว คอร์ปอเรชั่น มีฐานลูกค้าที่จะช่วยสร้างโอกาสทางธุรกิจในการผลักดันแบรนด์ “แสนสิริ” ให้เป็นที่รู้จักในกลุ่มลูกค้าชาวญี่ปุ่นเพิ่มมากขึ้น รวมถึงความร่วมมือจากการนำโครงการที่อยู่อาศัยของแสนสิริไปโรดโชว์ที่ประเทศญี่ปุ่น นอกจากนี้สิ่งที่สำคัญคือ ภายใต้ปรัชญาการดำเนินธุรกิจที่ตรงกันในด้านการนำเสนอไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตที่ไม่ใช่แค่ที่อยู่อาศัย โดยโตคิว กรุ๊ป มีความเชี่ยวชาญด้านการพัฒนาทาวน์ อาทิ โครงการ Tokyu Tama Denen –Toshi ซึ่งมีพื้นที่กว่า 5,000 เฮกตาร์ ในเขตเขา Tama ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของโตเกียว ซึ่งเชื่อมต่อสี่เมืองใหญ่ ทั้ง Kawasaki, Yokohama, Machida และ Yamato โดยอยู่ห่างจากศูนย์กลางโตเกียว เพียงแค่ 15 – 30 กิโลเมตร ในเมืองมีประชากรประมาณ 600,000 คน (ข้อมูล ณ วันที่ 31 มีนาคม 2012) โดยปัจจุบันนับเป็นโครงการพัฒนาเขตเมืองที่ใหญ่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่นที่ดำเนินการโดยบริษัทเอกชน รวมถึงยังมีโปรเจคต์การพัฒนา “ย่านชิบูย่า” ให้เป็น Entertainment Cityแลนด์มาร์คแห่งความบันเทิงที่ครบวงจรมากขึ้นในอนาคต ขณะที่แสนสิริมีประสบการณ์ความสำเร็จจากการพัฒนา “T77” A Good Town for Good Life ที่ตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์ชีวิตเมืองบนสุขุมวิทในการอยู่อาศัยครบวงจร บนเนื้อที่ 50 ไร่ กลางสุขุมวิท 77 ที่รวมไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยใกล้รถไฟฟ้า ใกล้ทางด่วนรามอินทรา – อาจณรงค์ที่พร้อมสรรพไปด้วยคอนโดมิเนียมรวมทั้งสิ้น 6 โครงการจากแสนสิริ 1 โครงการทาวน์เฮาส์ รวมถึงอพาร์ทเมนท์ระดับพรีเมียมจากมั่นคงเคหะการ 1 ไลฟ์สไตล์คอมมูนิตี้มอลล์แห่งแรกจากแสนสิริ และยังมีโรงเรียนนานาชาติ อย่าง Bangkok International Preparatory and Secondary School (บางกอกเพรพ) ที่รวมเป็นการยกระดับการใช้ชีวิตที่ครบครัน ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของชาวสุขุมวิทสำหรับคนไทยและชาวต่างชาติ รวมทั้งเคยพัฒนาพื้นที่ย่านรามอินทราให้กลายเป็นศูนย์กลางแห่งการอยู่อาศัยมาแล้วจากความสำเร็จของการก่อตั้งโรงเรียนสาธิตพัฒนาให้เป็นโรงเรียนชั้นนำของกรุงเทพฯ และเป็นจุดดึงดูดให้ลูกค้าซื้อโครงการบ้านเดี่ยวของแสนสิริในทำเลรอบข้าง “อนาคตกรุงเทพฯ อาจจะคล้ายเมืองใหญ่ทั่วโลก คือเป็น Cluster/District หรือเป็นเมืองย่อยในเมืองใหญ่ ดังนั้นการเลือก Cluster ที่ถูกต้องจึงเป็นสิ่งที่สำคัญทั้งในแง่การใช้ชีวิตและการลงทุน สิ่งอำนวยความสะดวกจะไม่รวมศูนย์อยู่แค่กรุงเทพชั้นในเหมือนปัจจุบัน แต่จะกระจายออกไปยังพื้นที่อยู่อาศัยโดยรอบโดยการจับกลุ่มของเมืองย่อยหรือ Cluster จะเป็นไปตามสถานีรถไฟฟ้า แทนที่จะเป็นตามเขตปกครองหรือตามถนนเหมือนในอดีต โดยกรุงเทพฯ ยังอยู่ในช่วงระหว่างการขยายโครงข่ายคมนาคมที่ทำให้เชื่อว่ายังมีความต้องการที่อยู่อาศัยที่อยู่ทั้งตามแนวรถไฟฟ้าและอยู่ในเขตชุมชนต่างๆอีกมากในอนาคต ซึ่งแสนสิริและโตคิวมองเห็นโอกาสและความเป็นไปได้สำหรับแผนความร่วมมือในอนาคตเพื่อมอบ Community ที่อยู่อาศัย ความบันเทิง โรงเรียนและสิ่งอำนวยความสะดวกครบวงจรเพื่อตอบโจทย์การอยู่อาศัยที่ไม่จำเป็นต้องเกาะกลุ่มความเจริญแค่ในกรุงเทพฯ ชั้นในเพียงอย่างเดียวในอนาคต”นายอุทัย กล่าว ด้านนายโทชิยูคิ โฮชิโนะ กรรมการ และเจ้าหน้าที่ผู้จัดการบริหารอาวุโส/ผู้จัดการบริหารทั่วไป สำนักงานใหญ่ธุรกิจต่างประเทศ บริษัท โตคิว คอร์ปอเรชั่น จำกัด เปิดเผยว่า โตคิว คอร์ปอเรชั่น  เริ่มดำเนินธุรกิจจากการก่อสร้างทางรถไฟสาย Meguro-kamata (เมกุโระ-คานาตะ) ในปี 2465 ในเดือนมีนาคม 2560  กลุ่มโตคิวมีบริษัทอยู่ภายใต้การดำเนินงานจำนวนทั้งสิ้น 221 บริษัท และบริษัทร่วมทุนอีก 8 แห่ง ภายใต้การดำเนินงานของ โตคิว คอร์เปอเรชั่น มีเครือข่ายธุรกิจครอบคลุมหลายภาคส่วน ตั้งแต่คมนาคม ไปจนถึงอสังหาริมทรัพย์ ค้าปลีกและโรงแรม ประวัติศาสตร์อันยาวนานของ โตคิว คอร์ปอเรชัน เป็นบริษัทแม่ของกลุ่มบริษัทโตคิวที่จะบรรลุถึง 100ปีเร็วๆนี้ และทางบริษัทให้ความสำคัญเป็นอย่างมากในการเพิ่มพูนคุณภาพชีวิตของชาวเมืองในประเทศญี่ปุ่นผ่านทางการพัฒนาเครือข่ายคมนาคมควบคู่ไปกับอสังหาริมทรัพย์ โดยการลงทุนและพัฒนาประกอบไปด้วย สิ่งอำนวยความสะดวกด้านค้าปลีก โรงเรียนและโรงพยาบาล ซึ่งล้วนนำมาซึ่งความสะดวกและความน่าอยู่ตลอดตามเครือข่ายทางรถไฟของโตคิว และได้นำมาซึ่งชื่อเสียงของเมืองที่บริษัทได้สร้างขึ้นว่า เป็นเมืองที่น่าอยู่ที่สุด นอกจากนั้น โตคิว คอร์ปอเรชัน ยังได้นำเสนอโครงการคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ Dresser ตามแนวคิด “ความคิดสร้างสรรค์” “ความน่าอยู่” และ “ความปลอดภัย” “ในประเทศไทย โตคิว คอร์ปอเรชัน ได้เข้าร่วมทุนกับบริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) ตั้งแต่ปี 2524 และได้รังสรรค์ผลงานมากมาย ตั้งแต่ ถนนสายหลักๆ สะพาน อาคารที่ทำงาน โรงเรียน โรงงาน และล่าสุด ได้มีการส่งมอบการก่อสร้างทางรถไฟฟ้า MRT สายสีม่วง ที่แล้วเสร็จ สำหรับธุรกิจค้าปลีก บริษัท ห้างสรรพสินค้า บางกอก-โตคิว จำกัด ได้เป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปในกลุ่มลูกค้า ตั้งแต่เริ่มเปิดห้างแรกในปี 2528 และต่อมาได้มีการเปิดสาขาที่ 2 ในย่านศรีนครินทร์ ที่ ศูนย์การค้าพาราไดซ์ พาร์ค ในปี 2557 นอกจากนี้ โตคิว คอร์ปอเรชันและสหกรุ๊ปยังได้ร่วมกันก่อตั้ง บริษัทร่วมทุน สห โตคิว    คอร์ปอเรชัน ขึ้น และได้เข้าบริหารอาคารอพาร์ตเมนต์พร้อมบริการ “HarmoniQ Residence Sriracha” สำหรับชาวญี่ปุ่นและครอบครัว เมื่อปี 2559 และก็เป็นที่น่าพอใจ ที่โครงการ “HarmoniQ Residence Sriracha” ได้มีลูกค้าเต็มมาโดยตลอดด้วยชื่อเสียงของโครงการที่เป็นที่กล่าวขาน” นายโฮชิโนะกล่าว ผู้บริหารระดับสูงของโตคิว คอร์ปอเรชัน กล่าวต่อไปว่า เรานับถือความร่วมมือทางยุทธศาสร์กับแสนสิริ ที่เราเข้าใจดีว่าเรามีค่านิยมและวิสัยทัศน์ที่คล้ายคลึงกัน เรารู้ดีว่าประเทศไทยและประเทศญี่ปุ่นมีวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน ดังนั้นจึงเป็นการดีที่มีผู้บริหารระดับสูงจากบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีประสบการณ์อย่างแสนสิริมาดูแล ซึ่งนับเป็นความท้าทายของโตคิวในการช่วยเพิ่มพูนคุณค่าเพื่อนำมาซึ่งสิ่งแวดล้อมที่สะดวกสบาย ปลอดภัยและสวยงาม “นอกเหนือจากนั้น ประเทศไทยยังเป็นจุดศูนย์รวมของระเบียงเศรษฐกิจหลายด้านด้วยกัน และยังเป็นศูนย์กลางของอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ซึ่งทำให้เกิดมีอุตสาหกรรมขนาดใหญ่เกิดขึ้นด้วยการผลักดันของรัฐบาล ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยมีการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กรุงเทพมหานคร ที่จะยังเป็นจุดดึงดูดผู้คนมาสู่จุดศูนย์กลางทางด้านเศรษฐกิจนี้ และเป็นประเด็นที่จะนำมาซึ่งอุปสงค์ทางด้านที่อยู่อาศัยอย่างยั่งยืนต่อไป” นายโฮชิโนะ กล่าวสรุป นอกเหนือจากนั้นความพยายามในด้านการค้นคว้าและพัฒนาร่วมกันในความสัมพันธ์นี้ โตคิวเองก็พร้อมที่ใช้พลังด้านธุรกิจที่มีอยู่ในการสนับสนุนโครงการให้เป็นที่รู้จักในกลุ่มลูกค้าชาวญี่ปุ่นโดยผ่านทาง Tokyu Livable ความเชี่ยวชาญในการขาย ให้เช่า และการให้คำปรึกษาทางด้านอสังหาริมทรัพย์ จะช่วยขยายศักยภาพทางธุรกิจของเราในกลุ่มลูกค้าชาวญี่ปุ่น เพื่อผลประโยชน์สูงสุดร่วมกันและเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางธุรกิจที่ยั่งยืน สำหรับเรา นี่คือความร่วมมือทางธุรกิจระยะยาวที่จะเพิ่มพูนมูลค่าสำหรับทั้งสององค์กรต่อไปอย่างยั่งยืน
แสนสิริเปิดแผนธุรกิจ “Sansiri Transformation” สู่การขับเคลื่อนองค์กรครั้งใหญ่ ผนึกแผนครึ่งหลังเปิดอีก 16 โครงการใหม่ มูลค่ารวมกว่า 39,260 ลบ.

แสนสิริเปิดแผนธุรกิจ “Sansiri Transformation” สู่การขับเคลื่อนองค์กรครั้งใหญ่ ผนึกแผนครึ่งหลังเปิดอีก 16 โครงการใหม่ มูลค่ารวมกว่า 39,260 ลบ.

แสนสิริเปิดแผนธุรกิจ “Sansiri Transformation” สู่การขับเคลื่อนองค์กรครั้งใหญ่ ผนึกแผนครึ่งหลังเปิดอีก 16 โครงการใหม่ มูลค่ารวมกว่า 39,260 ลบ.พร้อมโชว์ผลงานครึ่งปีแรกกวาดยอดขายกว่า 15,000 ลบ. เติบโตเกือบ 20% เผยตลาดต่างชาติตอบรับดี สร้างยอดขายทะลุ 3,700 ล้านบาท แสนสิริ เปิดแผนธุรกิจ  “Sansiri Transformation” กลยุทธ์ขับเคลื่อนองค์กรครั้งใหญ่ ภายใต้ 4 ด้านหลัก ได้แก่ การบริหารการเงิน - การบริหารการพัฒนาโครงการ –การบริหารกลยุทธ์การตลาด และการบริหารด้านเทคโนโลยี ก้าวสู่การเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำด้านเทคโนโลยีที่ครอบคลุมทุกแง่มุมของอสังหาริมทรัพย์และการอยู่อาศัย พร้อมเตรียมเปิดตัวอีก 16 โครงการใหม่ มูลค่ารวมกว่า 39,260 ล้านบาท มุ่งสานต่อพัฒนาโครงการร่วมทุนกับบีทีเอส พร้อมเล็งหาพันธมิตรทางธุรกิจเพิ่มเติม - รุกตลาดต่างชาติต่อเนื่อง – เปิดตัว “บ้านแสนสิริ” super hi-end ของแบรนด์บ้านเดี่ยวในไตรมาส 4 - ลุยปั้นแบรนด์ “HAUS” หลังลูกค้าตอบรับดี และเดินหน้าส่งมอบนวัตกรรมเพื่อที่อยู่อาศัยใหม่ๆ เตรียมเปิดตัวผลงาน PropTech ชิ้นแรกเร็วๆ นี้ ขณะที่ผลประกอบการครึ่งแรกปี 2560 แข็งแกร่งน่าพอใจ ด้วยยอดขายรวมกว่า  15,000  ล้านบาท เติบโตเกือบ 20% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ยอดขายตลาดต่างชาติโตต่อเนื่องกว่า 3,700 ล้านบาท มั่นใจสามารถบรรลุเป้าหมายยอดขายรวมทั้งปีที่ 36,000 ล้านบาทที่วางไว้ในปีนี้ นายอภิชาติ จูตระกูล ประธานอำนวยการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา แสนสิริมีผลประกอบการที่น่าพึงพอใจ ด้วยยอดขายรวมประมาณ 15,000  ล้านบาท เติบโตจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วกว่า 20% และคิดเป็นกว่า 42% ของเป้าหมายยอดขายรวม 36,000 ล้านบาทที่ตั้งไว้ในปีนี้ สำหรับตลาดต่างชาติซึ่งเป็นตลาดสำคัญก็มียอดขายไปถึงประมาณ 3,700  ล้านบาท คิดเป็น 46% ของเป้าหมายยอดขายตลาดต่างชาติที่วางไว้ 8,000 ล้านบาท ซึ่งนับว่าเติบโตตามเป้าหมาย โดยในช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทจะเดินหน้าเปิดตัวโครงการใหม่อีกประมาณ  16 โครงการ มูลค่ารวม 39,260 ล้านบาท พร้อมเปิดแผนธุรกิจ “Sansiri Transformation” สู่การขับเคลื่อนองค์กรครั้งใหญ่ โดยมั่นใจว่าจะสามารถบรรลุเป้าหมายยอดขายทั้งปีที่วางไว้ นอกจากนี้ในปัจจุบัน แสนสิริยังมี Presale backlog หรือยอดขายรอรับรู้รายได้รวมทั้งหมดถึง 37,500 ล้านบาท ซึ่งสามารถรองรับการรับรู้รายได้ไปถึงอีก 4 ปีข้างหน้า “ไฮไลต์สำคัญของการดำเนินธุรกิจของแสนสิริในครึ่งปีหลังคือการเดินหน้าขับเคลื่อนองค์กรตามกลยุทธ์ “Sansiri Transformation” หรือการรุกปรับองค์กรอย่างเต็มรูปแบบใน 4 ด้านเพื่อเสริมความแข็งแกร่ง โดยมีการจัดทัพทีมผู้บริหารที่มากประสบการณ์ในแต่ละด้าน ที่จะมาช่วยบริหารสู่การเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำด้านเทคโนโลยีที่ครอบคลุมทุกมิติของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และการอยู่อาศัยอย่างเต็มรูปแบบ” นายอภิชาติกล่าว สำหรับกลยุทธ์ที่สำคัญ Sansiri Transformation มุ่งเน้นใน 4 ด้าน คือ การบริหารการเงิน - การบริหารการพัฒนาโครงการ –การบริหารกลยุทธ์การตลาด และการบริหารด้านเทคโนโลยี Financial Transformation การบริหารด้านการเงิน นำโดยคุณวันจักร์ บุรณศิริ ประธานผู้บริหารสายงานการเงินและสนับสนุนธุรกิจ (Chief Financial Officer) หนึ่งในผู้บริหารที่ร่วมก่อตั้งบริษัทแสนสิริ Project Transformation – การบริหารการพัฒนาโครงการทั้งปัจจุบันและในอนาคต นำโดย คุณอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฎิบัติการ (Chief Operating Officer) Marketing Transformation – การบริหารด้านกลยุทธ์การตลาด เพื่อให้สามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้ตรงกลุ่มและหลากหลายมากขึ้น นำโดยคุณอรุณภรณ์ ลิ่มสกุล รองกรรมการผู้จัดการสายงานการตลาด (Executive Vice President - Marketing Division) Technology Transformation – การบริหารด้านเทคโนโลยีเพื่อก้าวสู่การเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำด้านเทคโนโลยีที่ครอบคลุมอสังหาริมทรัพย์และการอยู่อาศัยอย่างเต็มรูปแบบ นำโดย ดร. ทวิชา ตระกูลยิ่งยง ประธานผู้บริหารสายงานเทคโนโลยีและวิเคราะห์ข้อมูล (Chief Technology Officer) นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ (Chief Operating Officer) บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในปี 2560 เรามีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ 19 โครงการ มูลค่ารวม 44,460 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการบ้านเดี่ยว 9 โครงการมูลค่ารวม 19,400 ล้านบาท โครงการคอนโดมิเนียม 8 โครงการ มูลค่ารวม 24,200 ล้านบาท และโครงการทาวน์เฮ้าส์ 2 โครงการ มูลค่า 860 ล้านบาท โดยในช่วงครึ่งปีแรกแสนสิริได้พัฒนาไปแล้ว 3 โครงการ ส่งผลให้มียอดขาย (พรีเซลล์) รวมในช่วงครึ่งปีแรกประมาณ 15,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 42% จากเป้าหมายยอดขายรวม 36,000 ล้านบาทที่ตั้งไว้ในปีนี้แม้จะมีการเปิดตัวโครงการใหม่ค่อนข้างน้อยซึ่งแสดงถึงความสำเร็จจากการตอบรับที่ดีจากลูกค้า ขณะที่ในช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทจะเดินหน้าเปิดตัวโครงการใหม่อีกประมาณ  16 โครงการ มูลค่ารวม 39,260 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นคอนโดมิเนียม 7 โครงการ มูลค่า 22,350 ล้านบาท บ้านเดี่ยว 8 โครงการ มูลค่า 16,150 ล้านบาท และทาวน์เฮาส์ 1 โครงการ มูลค่า 760 ล้านบาท นอกจากการพัฒนาโครงการใหม่ ปัจจัยที่ทำให้ยอดขายในช่วงครึ่งปีแรกประสบความสำเร็จตามที่คาดหวัง ยังมาจากการรุกตลาดต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงครึ่งปีแรก สามารถทำยอดขายได้ถึง 3,700 ล้านบาท คิดเป็น 46% ของเป้ายอดขายต่างชาติที่วางไว้เป็น 8,000 ล้านบาท โดยโครงการที่ได้รับความนิยมจากกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติมากที่สุด ได้แก่ โครงการคอนโดมิเนียมภายใต้ความร่วมมือระหว่างแสนสิริและบีทีเอส “แบรนด์ เดอะ ไลน์” โครงการเดอะ ไลน์ สุขุมวิท 101 โครงการ และเดอะ ไลน์ พหลฯ – ประดิพัทธ์ รวมถึงโครงการเดอะ เบส พัทยากลาง ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดีจากลูกค้าชาวฮ่องกงและ จีน ลูกค้าชาวสิงคโปร์ และลูกค้าชาวไต้หวัน อีกปัจจัยที่สำคัญคือ การเปิดตัวโครงการ 98 WIRELESS มูลค่าโครงการรวม 8,700 ล้านบาท ซึ่งนับเป็นแฟล็กชิพคอนโดมิเนียมของแสนสิริที่เปิดการขายอย่างเป็นทางการในช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ปัจจุบันมียอดขายแล้ว 60% รวมถึงโครงการคอนโดมิเนียมใน Affordable Segment ที่มียอดขายเพิ่มสูงขึ้นจากปีก่อน โดยสามารถปิดการขายโครงการคอนโดมิเนียม “ดีคอนโด” ได้ทั้งหมด 4 โครงการ ได้แก่ ดีคอนโด นิม เชียงใหม่, ดีคอนโด อ่อนนุช-พระราม 9, ดีคอนโด กาญจนวณิช และ ดีคอนโด กะทู้-ป่าตอง นอกจากนี้ยังสามารถปิดการขายโครงการคอนโดมิเนียมเดอะ เบส เซ็นทรัล พัทยา และบ้านเคียงฟ้า หัวหิน ในตลาดต่างจังหวัดอีกด้วย ทั้งนี้ แนวทางสำคัญในการดำเนินธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลัง ประกอบด้วย การสานต่อความสำเร็จของโครงการภายใต้บริษัทร่วมทุนกับบีทีเอส ด้วยการเดินหน้าตามแผนการเปิดโครงการภายใต้บริษัทร่วมทุนกับบีทีเอสในระยะยาว โดยในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาพัฒนาไปแล้ว 8 โครงการ มูลค่ารวม 30,000 ล้านบาท โดยในช่วงครึ่งปีแรกนี้เปิดเพิ่มอีก 1 โครงการ ได้แก่เดอะ เบส เพชรเกษม มูลค่าโครงการ 1,900 ล้านบาท และในช่วงครึ่งปีหลังนั้นมีแผนจะเปิดเพิ่มอีก 3 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 10,000 ล้านบาท นอกจากนี้บริษัทยังมองหาพันธมิตรธุรกิจเพิ่มเติม เพื่อเสริมความแข็งแกร่งของธุรกิจในอนาคตอีกด้วย การรุกตลาดระดับบน โดยเล็งเปิดตัว “บ้านแสนสิริ” ซึ่งเป็นโครงการระดับ super hi-end ของแบรนด์บ้านเดี่ยวในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ หลังจากที่เคยประสบความสำเร็จจากโครงการ “บ้านแสนสิริ สุขุมวิท 67” ในปี 2549 การเดินหน้าบุกตลาดต่างประเทศอย่างเต็มพิกัด เพื่อรักษาความเป็นผู้นำบริษัทอสังหาริมทรัพย์ไทยที่ลูกค้าต่างชาติให้การไว้วางใจจนครองส่วนแบ่งทางการตลาดสูงสุดเป็นปีที่ 4 โดยช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา สามารถสร้างยอดขายได้แล้วถึง 3,700 ล้านบาท และคาดว่าจะสามารถบรรลุเป้ายอดขายตลาดต่างชาติในปีนี้ที่ตั้งไว้ 8,000 ล้านบาทในช่วงครึ่งปีหลัง ต่อยอดการพัฒนาคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ “HAUS” ซึ่งเป็นคอนโดมิเนียมสไตล์รีสอร์ท ที่มีส่วนกลางเป็นสวนขนาดใหญ่ ท่ามกลางธรรมชาติ ที่ผ่านมาประสบความสำเร็จไปแล้ว 2 โครงการ คือ ฮาสุ เฮาส์ (Hasu HAUS) โครงการแรก ตามด้วย โมริ เฮาส์ (Mori HAUS) ซึ่งเป็นโครงการที่ 2 ที่สามารถตอบไลฟ์สไตล์ลูกค้าที่ต้องการที่อยู่อาศัยใกล้ชิดธรรมชาติกลางเมืองใหญ่ โดยกลุ่มเป้าหมายของแบรนด์ HAUS นั้น ส่วนใหญ่จะซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง รวมถึงทั้ง 2 โครงการที่เปิดขายยังมีชาวญี่ปุ่นให้ความสนใจจำนวนมาก การเดินหน้าพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการอยู่อาศัย เพื่อสร้างนวัตกรรมใหม่ด้าน Property Technology อย่างเต็มรูปแบบเป็นรายแรกของไทย โดยในช่วงครึ่งปีหลังนี้จะได้เห็นการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยี    ใหม่ๆ เข้ามาใช้ ทั้งในการดำเนินธุรกิจ การพัฒนาโครงการและบริการใหม่ ๆ สำหรับลูกค้า อาทิ “Delivery Robot” หุ่นยนต์ที่สามารถส่งอาหารหรือสิ่งของถึงหน้าประตูห้องของลูกบ้าน โดยวางแผนนำร่องใช้ในโครงการ เดอะ โมนูเมนต์ สนามเป้า เป็นโครงการแรก ในช่วงปลายปีนี้ “ทั้งนี้จากผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีแรกของบริษัทที่เติบโตขึ้นเกือบ 20% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ผนวกกับภาพรวมแผนธุรกิจของ     แสนสิริในการก้าวสู่ Sansiri Transformation อย่างเต็มรูปแบบโดยทีมผู้บริหารที่แข็งแกร่ง รวมถึงปัจจัยอื่นๆ ที่เกื้อหนุนต่อการเติบโตขององค์กร แสนสิริจึงมั่นใจกว่าจะสามารถบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้สำหรับปีนี้คือ 36,000 ล้านบาทได้อย่างแน่นอน” นายอภิชาติ กล่าวปิดท้าย
แสนสิริ ปูพรมกลยุทธ์สร้างแบรนด์ปี 2017 ชูประสบการณ์ ‘เติมเต็มการใช้ชีวิตในทุกๆ ด้าน ‘Complete Your Living Experience’ เปิดตัว 6 ฟังก์ชั่นมัดใจทุกกลุ่มไลฟ์สไตล์ในที่อยู่อาศัย

แสนสิริ ปูพรมกลยุทธ์สร้างแบรนด์ปี 2017 ชูประสบการณ์ ‘เติมเต็มการใช้ชีวิตในทุกๆ ด้าน ‘Complete Your Living Experience’ เปิดตัว 6 ฟังก์ชั่นมัดใจทุกกลุ่มไลฟ์สไตล์ในที่อยู่อาศัย

แสนสิริ ปูพรมกลยุทธ์การสร้างแบรนด์ปี 2017 นำเสนอประสบการณ์อยู่อาศัยสมบูรณ์ผ่านกลยุทธ์ เติมเต็มการใช้ชีวิตในทุกๆ ด้าน (Complete Your Living Experience) ต่อยอดปรัชญาการดำเนินธุรกิจของบริษัทตลอดกว่า 33 ปี เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์และรูปแบบการใช้ชีวิตของลูกค้าในแต่ละกลุ่ม รวมถึงการเจาะกลุ่มผู้บริโภคใหม่  ประเดิมด้วยการปรับทิศทางของแบรนด์องค์กร ด้วยการทุ่มงบ50 ล้านบาท เปิดตัวแคมเปญ “Fill Your Life with Good” ชู 6 ฟังก์ชั่นในที่อยู่อาศัยตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ในแต่ละโครงการ ไฮไลต์เปิดตัวด้วย Educational Playground มากกว่าสนามเด็กเล่น ในโครงการที่อยู่อาศัย ซึ่งนับเป็นครั้งแรกของวงการอสังหาฯ ไทย และวงการแพทย์ ที่มีการผนึกกำลังเพื่อเติมเต็มการอยู่อาศัยอย่างสมบูรณ์แบบ ตอกย้ำความเป็นผู้นำในการสร้างความแปลกใหม่ที่ยกระดับมาตรฐานตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยอย่างต่อเนื่อง (Market Shaper) เพื่อมอบประสบการณ์การใช้ชีวิตที่ดีที่สุดให้แก่ผู้อยู่อาศัยของแสนสิริ สมกับวิสัยทัศน์การก้าวสู่การเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับโลก นายอุทัย อุทัยแสงสุข รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายงานพัฒนาธุรกิจและพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าในปี 2560 นี้ บริษัทฯ มีแผนการสร้างการรับรู้เกี่ยวกับการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยของแสนสิริ ผ่านการสื่อสารทางการตลาดภายใต้กลยุทธ์ ‘เติมเต็มการใช้ชีวิตในทุกๆ ด้าน Complete Your Living Experience’  ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่เกิดจากการที่แสนสิริไม่ได้มุ่งพัฒนาแค่ที่อยู่อาศัย แต่ต้องการสร้างชีวิตที่ดีให้กับลูกค้าควบคู่กันไป  ภายใต้ความต้องการของลูกค้าที่ปรับเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว บริษัทจึงต้องมีการปรับกลยุทธ์การสร้างแบรนด์อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้แบรนด์ของแสนสิริมีความชัดเจนในใจผู้บริโภคว่าทุกอย่างที่เราสร้างสรรค์นั้น ผ่านการคิดและกลั่นกรองมาอย่างละเอียดในทุก ๆ ด้าน ตั้งแต่การคิดผ่านมุมมองของลูกค้า ศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภคที่หลากหลายและรวบรวมข้อมูล ว่าลูกค้าแต่ละกลุ่มมีความต้องการในการอยู่อาศัยอย่างไร จึงช่วยให้เราสร้างความแปลกใหม่ให้กับวงการอสังหาริมทรัพย์ไทยบนมาตรฐานที่เหนือระดับ ในการตอบโจทย์ผู้บริโภคในทุกกลุ่มได้อย่างครอบคลุมเสมอมา “ในวันนี้ แสนสิริพร้อมแล้วที่จะก้าวไปอีกขั้นเพื่อตอบโจทย์ลูกค้าในทุกกลุ่มอายุผู้มีไลฟ์สไตล์ที่หลากหลายและและแตกต่างกันได้ดียิ่งขึ้น เราจึงทุ่มงบประมาณจำนวน 50 ล้านบาทเพื่อเปิดตัวแคมเปญ “Fill Your Life with Good” ต่อยอดกลยุทธ์การสร้างแบรนด์ที่เน้นเติมเต็มการอยู่อาศัยอย่างสมบูรณ์แบบ เริ่มจากการเปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่เพื่อบอกเล่าเรื่องราวของแนวคิดที่ว่าดีไซน์สวยงามต้องมาพร้อมกับประโยชน์การใช้งานได้จริง (Aesthetic Functionality) พร้อมทั้งตอกย้ำว่า แสนสิริเป็นผู้บุกเบิกในตลาดอสังหาริมทรัพย์และเป็นผู้นำในด้านการส่งมอบประสบการณ์การใช้ชีวิตที่ดีที่สุดให้แก่ลูกบ้านแสนสิริทุกกลุ่ม ผ่านการศึกษาและวิจัยความต้องการของลูกบ้านอย่างต่อเนื่อง โดยทีมแสนสิริ ดีไซน์ โซลูชั่น ดีพาร์ทเม้นต์ (DSD) และทีมวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ (Product Development) เพื่อนำมาพัฒนาโครงการให้ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์และรูปแบบการใช้ชีวิตของลูกค้าในแต่ละกลุ่มอย่างตรงจุด โดยในปีนี้จะมุ่งเน้นการพัฒนาโครงการ ผ่าน 6 ฟังก์ชั่นที่อยู่อาศัย ที่จะตอบทุกโจทย์ของไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตได้อย่างลงตัว” นายอุทัย กล่าวเพิ่มเติม   สำหรับ 6 ฟังก์ชั่นที่เป็นตัวอย่างของการที่แสนสิริออกแบบและจัดสรรให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของกลุ่มผู้อยู่อาศัยในแต่ละโครงการนั้นได้แก่ Underwater Music เป็นทั้งสระน้ำ เป็นทั้งเวที สระว่ายน้ำพร้อมระบบเสียงเพลงใต้น้ำให้ผู้อยู่อาศัยได้เพลิดเพลินกับเสียงเพลงได้อย่างต่อเนื่องแม้ในระหว่างที่คุณว่ายน้ำ Co-Kitchen Space ครัวส่วนกลาง ที่ทำได้มากกว่าอาหาร เพราะสามารถเป็นพื้นที่สำหรับจัดปาร์ตี้ได้ หรือหากอยากจัดปาร์ตี้ขนาดใหญ่ก็สามารถใช้พื้นที่ส่วนกลางสำหรับปาร์ตี้ปิ้งย่าง บาร์บิคิว หรือใช้เป็นสถานที่สังสรรค์กับเพื่อน ฯลฯ Private Parking Space เป็นบ้านของสิ่งที่ผมรัก ที่จอดรถที่ออกแบบเป็นพิเศษ ทำให้สามารถมั่นใจได้ในทุกองศาการเลี้ยวไม่ว่าจะเป็นรถสูง ต่ำ กว้าง หรือแม้แต่ซุปเปอร์คาร์ก็สามารถจอดได้ พร้อมช่องจอดรถที่ออกแบบให้พื้นที่กว้างเป็นพิเศษพร้อมการจัดไฟให้เปรียบเหมือนโชว์รูมส่วนตัว Cooliving Designed Home เย็นสบายไม่ต้องเปิดแอร์ นวัตกรรมที่แสนสิริคิดขึ้น ประกอบด้วย “Solar Attic” ระบบพัดลมและช่องระบายอากาศใต้หลังคาโดยใช้พลังงานแสงอาทิตย์ ช่วยลดความร้อนใต้หลังคา ทำให้ภายในตัวบ้านเย็นลง และลดการสะสมของเชื้อโรค “Breeze Panel” ช่องระบายลมช่วยถ่ายเทและระบายอากาศภายในตัวบ้าน “Shading screen” ระแนงกันแดดที่ออกแบบโดยดูจากทิศทางของบ้านและออกแบบให้เหมาะกับแต่ละทิศ “Texture Wall” ผนังบ้านที่มี Texture ช่วยลดความร้อนจากแสงแดดที่ตกกระทบพื้นผิว “Roof shade” ฝ้าชายคาหรือหลังคาที่ยื่นยาวเป็นพิเศษ ช่วยป้องกันแสงแดด รวมถึง “UV Shield Color” สีกันความร้อนและกระจกเขียวตัดแสง ซึ่งช่วยถ่ายเทอากาศภายในตัวบ้านและลดอุณหภูมิภายในบ้าน ทำให้ทุกมุมของบ้านอยู่สบาย Panoramic View Fitness เป็นฟิตเนสเพื่อเพิ่มความสดชื่น ด้วยวิว 180 วงศาโดยการดีไซน์กระจกกว้างสามารถสัมผัสวิวธรรมชาติได้อย่างเต็มที่ และฟังก์ชั่นสุดท้ายที่เปิดตัวในวันนี้คือ Educational Playground มากกว่าสนามเด็กเล่น ออกแบบเพื่อช่วยเสริมสร้างพัฒนาการด้านร่างกายโดยพัฒนากล้ามเนื้อสำคัญของขา ส่วนบน ส่วนล่าง เพิ่มความสามารถในการจับการใช้กำลังแขน ผ่านการปีนป่าย การเขย่ง การปีนป่าย การกระโดด และช่วยเพิ่มพูนพัฒนาการของสมอง ในด้านทักษาะการตัดสินใจ รวมถึงการแก้ปัญหาผ่านการเล่นเกมส์ ซึ่งทางแสนสิริได้ร่วมมือกับโรงพยาบาลสมิติเวช ในด้านของการเป็นที่ปรึกษาในการออกแบบและแนะนำเรื่องการใช้วัสดุให้ปลอดภัยในสนามเด็กเล่น นายชัยจักร วทัญญู ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์ หนึ่งในทีมงานฝ่ายแสนสิริ ดีไซน์ โซลูชั่น ดีพาร์ทเมนท์  บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า สำหรับ “Educational Playground มากกว่าสนามเด็กเล่น” ซึ่งเป็นหนึ่งใน 6 ฟังก์ชันที่เราเปิดตัวในวันนี้ นับเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของโครงการอสังหาริมทรัพย์ไทยในการฉีกแนวคิดเดิมของสนามเด็กเล่นภายในโครงการที่อยู่อาศัย ให้เป็น “มากกว่าสนามเด็กเล่น” โดย Educational Playground เกิดจากการที่แสนสิริศึกษามาแล้วว่าเป็นฟังก์ชั่นที่ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าที่เป็นครอบครัวรุ่นใหม่ ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มลูกค้าที่แสนสิริให้ความสำคัญ โดยลูกค้ากลุ่มนี้กำลังต้องการโครงการที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับเด็กๆ  ประกอบกับแรงบันดาลใจจากสนามเด็กเล่นในโครงที่อยู่อาศัยในต่างประเทศที่มีการผนวกเอากิจกรรมลงไปไม่ได้มีเฉพาะแต่เครื่องเล่นเท่านั้น  รวมทั้งโครงการที่มีการพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับเด็กอย่างจริงจังนั้น อาจยังมีไม่มากในประเทศไทย จึงนับว่าเป็นครั้งแรกในวงการอสังหาริมทรัพย์ไทยที่มีสนามเด็กเล่นลักษณะนี้เกิดขึ้นในโครงการที่อยู่อาศัย โดยทีมแสนสิริ ดีไซน์ โซลูชั่น ดีพาร์ทเม้นต์ (DSD) และทีมวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ (Product Development) ได้ร่วมกันพัฒนา โดยได้รับคำปรึกษาจากโรงพยาบาลเอกชนชั้นนำของไทยที่มีความเชี่ยวชาญด้านเด็กอย่างโรงพยาบาลสมิติเวช โดยเราศึกษาพัฒนาการของเด็กในแต่ละช่วงวัยตั้งแต่วัย 2 ขวบจนถึงวัยประถม ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในโครงการอสังหาริมทรัพย์ไทยที่มีสนามเด็กเล่นลักษณะนี้ตั้งอยู่ในโครงการที่พักอาศัยที่ตอบโจทย์ครอบครัวรุ่นใหม่ได้อย่างแท้จริง โดยปัจจุบันได้มีโครงการนำร่องอยู่ที่ โครงการคณาสิริ รังสิต คลองสอง, โครงการ เศรษฐสิริ ปิ่นเกล้า กาญจนา และโครงการ เศรษฐสิริ กรุงเทพกรีฑา รวมถึงโครงการอื่นๆ ที่จะตามมาอีกในอนาคต เช่น โครงการบุราสิริ วัชรพล และ โครงการบุราสิริ ราชพฤกษ์ 345 เป็นต้น โดยแสนสิริได้เตรียมงบประมาณ ไว้ถึง 20 ล้านบาทในการพัฒนา Educational Playground ในโครงการต่าง ๆ ของปีนี้ ซึ่งเชื่อมั่นว่า จะสามารถตอบโจทย์ทั้งในด้านการส่งเสริมพัฒนาการของเด็กในแต่ละช่วงวัยในด้านร่างกายและช่วยเพิ่มพูนทักษะในการตัดสินใจให้เด็กๆ เติบโตแข็งแรงทั้งร่างกายและจิตใจอย่างเต็มที่” นพ.วสุ  กำชัยเสถียร  ผู้ช่วยผู้อำนวยการ โรงพยาบาลเด็กสมิติเวช กล่าวว่า “โรงพยาบาลสมิติเวชและแสนสิริต่างให้ความสำคัญต่อการมีคุณภาพชีวิตที่ดี  และในปัจจุบันเป็นยุคของคุณพ่อคุณแม่ยุคใหม่ที่ให้ความสำคัญกับพัฒนาการของลูก   การร่วมมือในครั้งนี้ถือว่าเป็นนิมิตรหมายที่ดีที่บริษัทอสังหาริมทรัพย์อย่าง “แสนสิริ” เล็งเห็นความสำคัญของการสร้างสนามเด็กเล่นที่มีมาตรฐานและใส่ใจในทุกรายละเอียดตามพัฒนาเด็กอย่างEdutainment Playground ภายในโครงการนำร่องของแสนสิริ โดยร่วมกับผู้เชี่ยวชาญทางพัฒนาการเด็กของ “สมิติเวช”  สำหรับแนวคิดการออกแบบเครื่องเล่นที่สมิติเวชได้สร้างสรรค์ร่วมกับแสนสิรินั้น  เราต้องการส่งเสริมพัฒนาการเด็กผ่านการเล่น และสามารถเสริมสร้างสัมพันธภาพที่ดีในครอบครัวไปในตัว ผู้ปกครองมีส่วนร่วมในการกระตุ้นพัฒนาการตามวัยที่เหมาะสมผ่านกิจกรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสนามเด็กเล่น ตลอดจนสามารถดูแลลูกด้านความปลอดภัยอย่างใกล้ชิด และเน้นให้เด็ก ๆ ได้ออกกำลังทางความคิดพร้อมเพิ่มพูนทักษะและไหวพริบในการตัดสินใจผ่านการฝึกก้าว ปีนป่าย การเขย่ง การกระโดด ตามความเหมาะสมของเด็กแต่ละช่วงวัย เพื่อให้เด็กมีพัฒนาการที่ดีสมวัย”   นายอุทัย กล่าวปิดท้ายว่า “แสนสิริตั้งงบประมาณสำหรับแคมเปญนี้ไว้กว่า 50 ล้านบาท โดยในปีนี้จะเน้นการสร้างการมีส่วนร่วมระหว่างแบรนด์กับลูกค้าผ่านสื่อดิจิทัล เพื่อให้เจาะกลุ่มผู้บริโภคได้โดยตรง เพราะในปัจจุบัน ผู้บริโภคเปิดรับสารผ่านสื่อดิจิทัลกันมากขึ้น และยังสอดรับกับนโยบายของบริษัทในการเป็น Digital Transformation เพื่อตอกย้ำศักยภาพความเป็นผู้นำในการเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำด้านเทคโนโลยีที่ครอบคลุมอสังหาริมทรัพย์และการอยู่อาศัยอย่างเต็มรูปแบบในไทย และก้าวสู่การเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่มีชื่อเสียงในระดับโลก ซึ่งเราเชื่อมั่นว่าแคมเปญนี้จะช่วยเพิ่มยอดขายและเพิ่มความเชื่อมั่นในแบรนด์แสนสิริที่มีในกลุ่มลูกค้าได้อย่างแน่นอน”
SIRI เผยผลการดำเนินงานไตรมาส 1/60 ยอดขายพุ่ง 6,651 ลบ. เติบโตถึง 40 %

SIRI เผยผลการดำเนินงานไตรมาส 1/60 ยอดขายพุ่ง 6,651 ลบ. เติบโตถึง 40 %

แสนสิริเผยผลการดำเนินงานไตรมาสแรกปี 60 ยอดขายพุ่งทะลุ 6,651 ล้านบาท เติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มียอดขาย 4,745 ถึง 40% ทั้งที่มีการเปิดตัวโครงการใหม่ค่อนข้างน้อย โดยโกยยอดขาย จากกลุ่มคอนโดมิเนียมแบรนด์ เดอะ ไลน์ อาทิ เดอะไลน์ พหลฯ – ประดิพัทธ์, เดอะไลน์ สุขุมวิท 101 และคอนโดมิเนียมในตลาดต่างจังหวัด โดยเฉพาะ คอนโดมิเนียมในทำเลหัวหินและพัทยาที่ดีมานด์จากลูกค้าชาวไทยและชาวต่างชาติยังสูงต่อเนื่อง รวมทั้งยอดขายจากโครงการ“98 Wireless” (ไนน์ตี้เอท ไวร์เลส) ขณะที่รายได้รวมและกำไรทรงตัว อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวดีขึ้นและสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายได้ดีขึ้นจากปีที่ผ่านมา โดยบริษัทมีรายได้รวม 7,124 ล้านบาท และกำไรรวม 512 ล้านบาท ไตรมาส 2 ลุยเปิดขาย เดอะ เบส เพชรเกษม และเปิดตัวบ้านเดี่ยวโครงการใหม่ บุราสิริ วัชรพล นายวันจักร์  บุรณศิริ ประธานผู้บริหารฝ่ายปฎิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI  เปิดเผยถึงผลการดำเนินธุรกิจของกลุ่มบริษัทแสนสิริในช่วงไตรมาส 1/2560 บริษัทสามารถสร้างยอดขายได้สูงถึง 6,651 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มียอดขาย 4,745 ล้านบาทถึง 40 % ทั้งที่มีการเปิดตัวโครงการใหม่ค่อนข้างน้อย อาทิ โครงการ “สิริ อเวนิว สายไหม” อาคารพาณิชย์ดีไซน์โมเดิร์น สไตล์นิวยอร์คลอฟต์ใหม่ ใจกลางย่านสายไหม มูลค่าโครงการ 100 ล้านบาทที่ปิดการขายทันทีใน 2 ชั่วโมงแรกที่เปิดขายอย่างเป็นทางการ ทั้งนี้ยอดขายในช่วงไตรมาสแรกโดยหลักมาจากกลุ่มคอนโดมิเนียมภายใต้บีทีเอส แสนสิริ โฮลดิ้ง แบรนด์ เดอะ ไลน์ อาทิ  เดอะไลน์ พหลฯ - ประดิพัทธ์, เดอะไลน์ สุขุมวิท 101  รวมถึงการนำคอนโดมิเนียมแบรนด์ เดอะ ไลน์ ไปโรดโชว์ในตลาดต่างชาติ อาทิ โครงการเดอะ ไลน์ พหลฯ – ประดิพัทธ์ ที่เปิด Global Launch เต็มรูปแบบใน 4 ประเทศ ได้แก่ ฮ่องกง ไต้หวัน สิงคโปร์ และจีน และมีลูกค้าให้ความสนใจเข้าร่วมงานโรดโชว์ในทั้ง 4 ประเทศจำนวนมาก ส่งผลให้บริษัทสามารถสร้างยอดขายรวมจากตลาดต่างชาติในช่วงไตรมาสแรกไปได้ถึง 1,700 ล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทยังประสบความสำเร็จจากการเปิดตัวโครงการ “98 Wireless” (ไนน์ตี้เอท ไวร์เลส) โครงการแฟลกชิปคอนโดมิเนียมที่ดีที่สุดบนถ.วิทยุที่เปิดตัวอย่างเป็นทางการในช่วงกลางเดือนมีนาคม รวมทั้งการได้รับการตอบรับที่ดีจากยอดขายคอนโดมิเนียมในตลาดต่างจังหวัด โดยเฉพาะ คอนโดมิเนียมในทำเลเมืองท่องเที่ยวอย่างหัวหินและพัทยาซึ่งยังมีดีมานด์สูงจากทั้งลูกค้าชาวไทยและชาวต่างชาติ อาทิ การปิดการขายบ้านเคียงฟ้า หัวหิน จำนวน 616 ยูนิต มูลค่าโครงการกว่า 1,400 ล้านบาท รวมทั้งโครงการ เรน ชะอำ-หัวหิน รีสอร์ทคอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ ที่สร้างยอดขายไปได้ถึง 60% ขณะที่พัทยามียอดตอบรับจากลูกค้าที่ดีมากเช่นเดียวกัน โดยบริษัทปิดการขายโครงการ เดอะ เบส พัทยากลาง (THE BASE Central Pattaya) จำนวน 1,112 ยูนิต มูลค่าโครงการ มูลค่าโครงการ 3,100 ล้านบาท รวมทั้งเตรียมปิดการขาย บ้านปลายหาด พัทยา รีสอร์ทคอนโดมิเนียมทำเลหาดวงศ์อมาตย์ ที่มีชายหาดที่เงียบสงบและเป็นส่วนตัวที่สุดในพัทยา ซึ่งมียอดขายไปแล้วถึง 97% “บริษัทยังมีรายได้รวมในช่วงไตรมาสแรกสูงถึง 7,124 ล้านบาท และมีกำไร 512 ล้านบาท ซึ่งนับว่าทรงตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา อัตรากำไรขั้นต้น หรือ Gross Profit Margin ปรับตัวดีขึ้นจาก 30.7% ในช่วงไตรมาสเดียวกันของปีก่อนเป็น 31.7% รวมถึงอัตราส่วนกำไรขั้นต้นจากการขายโครงการปรับตัวดีขึ้นจาก 30.3% เป็น 34.2% จากการโอนโครงการ 98 Wireless และบ้านเดี่ยวที่มี Margin สูง นอกจากนี้บริษัทยังสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายได้ดีขึ้นจากปีที่ผ่านมา โดยในไตรมาสแรกของปีนี้ บริษัทมีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 1,325 ล้านบาท ปรับลดลงจากไตรมาส 4 ของปี 2016 ที่มีค่าใช้จ่าย 1,632 ล้านบาท ลงถึง 18.8%” นายวันจักร์ กล่าว สำหรับแผนธุรกิจในช่วงไตรมาส 2 ล่าสุด บีทีเอส แสนสิริ โฮลดิ้งกรุ๊ป ได้เปิดตัวคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ เดอะ เบส (THE BASE) ในชื่อโครงการ “เดอะ เบส เพชรเกษม” (THE BASE Phetkasem) จำนวน 640 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,850 ล้านบาท ซึ่งนับเป็นคอนโดมิเนียมโครงการแรกของปีนี้ โดยบริษัทได้เปิดให้จองโครงการผ่านทาง “SANSIRI ONLINE BOOKING” เป็นครั้งแรก ซึ่งปรากฎว่าได้ผลตอบรับที่ดี โดยหลังจากเริ่มเปิดจองผ่าน SANSIRI ONLINE BOOKING ในช่วงเสาร์ – อาทิตย์ ที่ 13-14 พ.ค.ที่ผ่านมา มีลูกค้าเข้าจองผ่านระบบคิดเป็นจำนวนถึง 60% จากจำนวนห้องที่เปิดขายผ่าน SANSIRI ONLINE BOOKING ทั้งนี้บริษัทยังเปิดให้จองผ่านทาง SANSIRI ONLINE BOOKING ได้จนถึงวันที่ 19 พ.ค.นี้ พร้อมมอบส่วนลดและสิทธิพิเศษเพิ่มสูงสุดกว่า 1 แสนบาท ก่อนเปิดขายอย่างเป็นทางการในวันที่ 20-21 พ.ค. ในราคาเริ่มต้น 1.99 ล้านบาท นอกจากนี้บริษัทยังได้เตรียมเปิดตัวบ้านเดี่ยวโครงการแรกของปีนี้ ได้แก่ โครงการ “บุราสิริ วัชรพล” มูลค่าโครงการ 3,300 ล้านบาท ในช่วงไตรมาสที่ 2 นี้อีกด้วย
เขย่าวงการอสังหา  คิงพาวเวอร์ บุกซื้อ”โรงแรม- จุดชมวิว” ตึกมหานคร

เขย่าวงการอสังหา คิงพาวเวอร์ บุกซื้อ”โรงแรม- จุดชมวิว” ตึกมหานคร

เรียกว่าเป็นทอล์กอ๊อฟเดอะทาวน์ กันในช่วงสัปดาห์ก่อนสงกรานต์กับการประกาศซื้อโรงแรม, จุดชมวิว Observation Deck และอาคารรีเทลมหานครคิวป์ในตึก "มหานคร" ของเจ้าพ่อดิวตี้ฟรีอย่างคิงเพาวเวอร์ ด้วยเม็ดเงินลงทุนกว่า14,000 ล้านบาทเพื่อต่อยอดธุรกิจโรงแรมและท่องเที่ยวหวังดึงกลุ่มนักท่องเที่ยวจีนอย่างต่อเนื่อง ทำให้เจ้าของอย่างบริษัท เพซ ดีเวลลอปเมนท์ คอร์ปอเรชั่น จํากัด (มหาชน) ได้รับเงินจากการขายในครั้งนี้เพื่อต่อชีวิตอีก 4 โครงการที่อยู่ในมือ ซึ่งมีมูลค่ารวมกว่า 20,000 ล้านบาท ได้แก่ The Ritz-Carlton Residence Bangkok มี Backlog 3,280 ล้านบาท และห้องชุดที่รอขาย 4,281 ล้านบาท โครงการมหาสมุทร วิลล่า มี Backlog 816 ล้านบาท และรอขาย 3,088 ล้านบาท โครงการนิมิต หลังสวน มียอดขายแล้วกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ เป็น Backlog 6,709 ล้านบาท และห้องชุดรอขาย 1,291 ล้านบาท และWindshell นราธิวาส มี Backlog 792 ล้านบาท และห้องชุดรอขาย 2,208 ล้านบาท ทั้งนี้คาดว่าจะรับรู้รายได้ตั้งแต่ปี 2561-2562 ก่อนหน้านี้ บริษัท แสนสิริ จำกัด(มหาชน) หนึ่งในบิ๊กอสังหาเคยเสนอราคาเพื่อซื้อโครงการนิมิตหลังสวนทั้งโครงการ และห้องชุดที่พักอาศัยในโครงการ The Ritz-Carlton Residence Bangkok จำนวน 53 ห้องชุด ในโครงการมหานคร แต่ก็มีเหตุล้มดีลไปโดยที่แสนสิริจะได้รับเงินมัดจำ 322,823,805 บาทคืนเต็มจำนวน นายสรพจน์ เตชะไกรศรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เพซ ดีเวลลอปเมนท์ คอร์ปอเรชั่น จํากัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทจะนำเงินรวมกับกระแสเงินสดจากการขายหุ้น เพิ่มทุนในเดือนกุมภาพันธ์ 2561 มูลค่า 3,894 ล้านบาท มาเพื่อลดหนี้ ซึ่งจะทำให้บริษัทแข็งแรงขึ้นและมั่นคงในระยะยาวต่อไป สำหรับโครงการมหาสมุทร คันทรี่ คลับ หัวหิน บริษัทฯ มีแผนที่จะหาพันธมิตรทางธุรกิจเพื่อร่วมลงทุนและปรับรูปแบบ พร้อมเพิ่มฟีเจอร์ให้กับโครงการ ด้วยการเพิ่มจำนวนห้องพักเพื่อทำเป็นโรงแรมเพื่อสุขภาพแบบครบวงจรระดับไฮเอนด์ในคลับเฮ้าส์ (Health & Wellness) ซึ่งปัจจุบัน มีสมาชิกกว่า 200 สมาชิก ปรากฎการณ์ได้ครั้งนี้ ทำให้วงการอสังหาประเทศไทยแปลกใจไม่น้อยว่าเจ้าพ่อดิวตี้ฟรีจะชิมลางธุรกิจอสังหาหรือไม่ และทางด้านเพซ ดีเวลลอปเมนท์ จะเริ่มเดินหน้าโครงการมหาสมุทร คันทรี่ คลับ หัวหิน ที่หลายคนรอคอยออกมาให้เห็นหรือไม่ คงต้องจับตาดูกันต่อไป