Tag : โฮมออฟฟิศ

9 ผลลัพธ์
SMEs จะเลือกอะไรดีระหว่างเช่า Co-working Space กับ ซื้อ Home Office

SMEs จะเลือกอะไรดีระหว่างเช่า Co-working Space กับ ซื้อ Home Office

SMEs จะเลือกอะไรดีระหว่างเช่า Co-working Space กับ ซื้อ Home Office ระยะหลังมาคนรุ่นใหม่มักจะมีความใฝ่ฝันอยากจะมีธุรกิจเป็นของตัวเอง เป็นนายตัวเอง มีเวลาที่เป็นอิสระมากกว่า เป็นมนุษย์เงินเดือน โดยการเปิดบริษัทเริ่มต้นจากเล็กๆ ก็ย่อมต้องมีสถานที่ ซึ่งใช้เป็นออฟฟิศหลักในการทำงาน และในบทความนี้เราจะโฟกัสกันไปที่ 2 ตัวเลือกยอดฮิตที่สุดในปัจจุบันนี้ นั่นคือ Co-working Space กับโฮมออฟฟิศ   SMEs ย่อมาจาก Small and Medium Enterprises หมายถึง *บริษัทขนาดกลางและขนาดเล็ก มีจำนวนการจ้างงาน ไม่เกิน 50 คน ไม่ว่าจะเป็นห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด หรือกิจการร่วมค้า ซึ่งการใช้สถานที่ทำเป็นออฟฟิศแล้วแต่ เงินทุนของแต่ละองค์กร เริ่มตั้งแต่ใช้บ้านเดิมของตัวเองเป็นออฟฟิศ เช่าพื้นที่ตาม Office Building เช่าพื้นที่ Co-working Space ซื้ออาคารพาณิชย์แล้วรีโนเวทใหม่ หรือซื้อ Home Office เป็นของตัวเอง ซึ่งทางเลือกในปัจจุบันนี้ก็มักจะมองไปที่ การเช่าพื้นที่ Co-working Space หรือไม่ก็ซื้อ Home Office เป็นของตัวเองไปเลย เพราะจะได้บรรยากาศการทำงาน ที่ฉีกกรอบจากห้องสี่เหลี่ยมมีคอกกั้นแต่ละโต๊ะแบบเดิมๆ ออกไปให้มีพื้นที่อิสระมากขึ้นดูแล้วไม่รู้สึกเคร่งเครียดจนเกินไป ซึ่งทั้งสองแบบนี้มีข้อดีที่แตกต่างกันออกไป โดยเราจะลองมาดูกันค่ะว่าการเลือกสถานที่ทำออฟฟิศ ของทั้งสองอย่างนี้มีข้อดี-ข้อเสีย แตกต่างกันอย่างไรบ้าง     Co-working Space สถานที่ทำงานสุดฮิตของคน Gen Y ขวัญใจเหล่าฟรีแลนซ์ เพราะมีพื้นที่ทำงานให้เลือกหลายมุม ตกแต่งสวย เอื้อให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ มีหลากหลายราคาให้เลือกทั้งแบบคิดเป็นรายชั่วโมง รายวัน รายเดือน ไปจนถึงเช่าเปิดออฟฟิศเป็นรายปี และมักจะมีอุปกรณ์สำนักงาน เช่น เครื่องถ่ายเอกสาร เครื่องปริ้น เครื่องแฟกซ์ มี Wifi ฯลฯ รวมถึงเครื่องดื่มกับเบเกอรี่เอาไว้คอยบริการไปด้วย โดยรูปแบบมีทั้งที่เป็นร้านคาเฟ่จัดโซนสำหรับให้นั่งทำงานด้วย หรือแบบที่เป็น Co-working Space โดยเฉพาะ แบบที่ตั้งอยู่ในอาคารพาณิชย์ที่ได้ทำการรีโนเวทใหม่ อยู่ในคอนโดมิเนียม และที่ตั้งอยู่ใน Office Building ซึ่งจะมีพื้นที่ค่อนข้างมาก สามารถเช่าเป็นสำนักงานของ SMEs ได้เลย โดยข้อดีของการ เลือกเช่าออฟฟิศอยู่ใน Co-working Space คือความหยืดหยุ่นของพื้นที่ สามารถปรับเพิ่ม-ลดได้อยู่ตลอดตาม การขยายตัวของธุรกิจ รวมไปถึงการควบคุมค่าใช้จ่ายที่สามารถควบคุมได้ค่อนข้างคงที่ ราคาถูกกว่าใน Office Building ขนาดใหญ่ และช่วยเรื่องความสัมพันธ์ของพนักงานไปด้วย คือแทนที่จะแบ่งโซนแต่ละแผนกออกจากกันก็ สามารถปรับพื้นที่ให้ใกล้ชิดกันมากขึ้น   ความโดดเด่นอย่างหนึ่งคือ ทำเลที่ตั้งของ Co-working Space นั้นมักจะเน้นการเดินทางได้อย่างสะดวกสบาย อยู่ในเมืองใกล้รถไฟฟ้า และยังสามารถเปลี่ยนที่นั่งทำงานได้ตามความสะดวกของแต่ละวันที่อาจแตกต่างกันไป และยังเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศการทำงานให้ดูไม่ซ้ำซากจำเจอีกด้วย บางแห่งมีการจัด event จัด workshop เพิ่มทักษะให้กับผู้ที่สนใจทั่วไปได้มีโอกาศเข้ามาเรียนรู้ร่วมกัน และเมื่อเราทำงานในพื้นที่เปิดเช่นนี้ก็จะมีโอกาส ได้รู้จักเพื่อนใหม่ ได้แลกเปลี่ยนมุมมองการทำงานซึ่งกันและกันจากคนที่ทำฟรีแลนซ์ ในสายงานเดียวกัน หรือสายใกล้เคียงกันจนเกิดเป็นสังคมของฟรีแลนซ์ขนาดย่อมขึ้นได้ แต่ถึงจะเป็นพื้นที่เปิดโล่งแบบไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ ก็ใช่ว่าทุกคนจะต้องชอบพื้นที่ลักษณะนี้ใช่ไหมคะ เพราะการทำงานในความเงียบสงบ เป็นส่วนตัวยังคงเป็นที่ต้องการ สำหรับบางคนที่ต้องการสมาธิในการทำงานมากๆ อยู่     Home Office ทุกวันนี้มีโครงการที่สร้างมาเพื่อให้ทำโฮมออฟฟิศเกิดขึ้นมากมายหลายแบรนด์ หลายทำเล โดยจะมีลักษณะคล้ายกัน คือเป็นอาคารสูงประมาณ 3 ชั้นขึ้นไป ผนังกับหลังคาแต่ละยูนิตติดกันคล้ายกับทาวน์โฮม แต่จะได้พื้นที่ใช้สอยมากกว่า ดีไซน์ทันสมัย ฟังก์ชั่นภายในเอื้อต่อการออกแบบสร้างสรรค์พื้นที่ได้ตามต้องการ ไม่เน้นส่วนกลางที่สวยงามมาก แต่จะเน้นให้มีพื้นที่จอดรถมากขึ้นทั้งสำหรับพนักงานเอง และสำหรับผู้ที่มาติดต่อ กับบริษัท มีระบบรักษาความปลอดภัยเช่นเดียวกันกับโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบทั่วไป ได้ความเป็นส่วนตัวมากกว่า Office Building และบางโครงการก็มีโปรโมชั่นมากมายออกมาชวนให้จับจอง เช่น การผ่อนงวดราคาถูกกว่าไปเช่า พื้นที่สำนักงานแต่ละเดือนอยู่หลายหมื่นบาท เป็นต้น   บรรยากาศภายใน Home Office เหมือนนั่งทำงานอยู่ในบ้านของตัวเอง ซึ่งส่วนใหญ่แล้วบริษัทที่ใช้โฮมออฟฟิศ เป็นที่ตั้งสำนักงานนั้นมักจะไม่เคร่งครัดเรื่องการแต่งตัวมากนัก ไม่ต้องใส่กางเกงสแล็ค เสื้อเชิ้ต หรือกระโปรง รองเท้าคัทชู แต่จะใส่เสื้อยืด กางเกงยีนส์มาทำงานก็ไม่มีกฎห้าม บางออฟฟิศก็จะมีมุมที่เป็นเหมือนห้องนั่งเล่น มีโซฟา ทีวีเอาไว้พักผ่อน มีห้องครัว โต๊ะทานอาหาร ให้ได้ทำอาหารเบาๆ กันเองในออฟฟิศ บางแห่งอนุญาตให้เลี้ยงสัตว์ได้ โดยสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดก็เพื่อลดความเครียดจากงาน สร้างบรรยากาศให้ปลอดโปร่ง เป็นวิธีเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน มากขึ้นอีกทางหนึ่ง หรือบางแห่งก็ปรับให้ชั้นบนสุดเป็นพื้นที่ส่วนตัว มีทั้งห้องนั่งเล่น ห้องนอนของเจ้าของ SMEs ไปเลยก็ได้ ซึ่งตรงนี้สามารถลดภาระของเจ้าของธุรกิจลงได้โดยทำออฟฟิศให้เป็นบ้านของตัวเองไปด้วยเสียเลย ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าส่วนกลางก็ถูกกว่า Office Building   แม้โครงการส่วนใหญ่จะมีข้อเสียอยู่บ้างในเรื่องของทำเล เพราะด้วยความที่เป็นอสังหาฯ แนวราบก็ย่อมจะต้องใช้ที่ดิน มากกว่าอาคารสูงที่อยู่ใจกลางเมือง แม้ว่าหลายโครงการมักจะอยู่ใกล้กับทางด่วน ทำให้สะดวกต่อพนักงาน ที่ขับรถมาทำงาน แต่จะอยู่ไกลจากระบบขนส่งสาธารณะโดยเฉพาะรถไฟฟ้าในปัจจุบัน รวมถึงเรื่องภาระหนี้สิน ของบริษัทที่จะมีมากกว่าการเช่า ทั้งราคาเบ็ดเสร็จของตัว Home Office รวมค่าตกแต่งภายในเพิ่มเติม ราคาอุปกรณ์สำนักงานต่างๆ ที่มักจะบานปลาย แถมยังมีค่าเสื่อมสภาพตามมาในอนาคตอีกด้วย   สุดท้ายแล้วตัวเลือกทั้งสองนี้มีทั้งข้อดีและข้อเสียแตกต่างกัน แต่ที่สำคัญก็ขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการ ให้เหมาะสมกับแต่ละองค์กรมากที่สุด               *ข้อมูลอ้างอิงจาก http://www.rd.go.th/publish/38056.0.html        
ไนท์แฟรงค์ ชี้ย่านพระราม 9 ศักยภาพใหม่โฮมออฟฟิศ

ไนท์แฟรงค์ ชี้ย่านพระราม 9 ศักยภาพใหม่โฮมออฟฟิศ

นายพนม กาญจนเทียมเท่า กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย จำกัด เปิดเผยว่า ทำเลบริเวณพระราม 9, รามคำแหง, ประดิษฐ์มนูธรรม (เอกมัย-รามอินทรา)และศรีนครินทร์ นับเป็นทำเลศักยภาพแห่งใหม่ของการพัฒนาโฮมออฟฟิศ เนื่องจากใกล้ตัวเมืองและเป็นเขตรอยต่อของย่านธุรกิจ ย่านรัชดา, พระราม9, ทองหล่อและสุขุมวิท  อีกทั้งใกล้สถานีรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงค์, มอเตอร์เวย์, ทางด่วนฉลองรัช และทางด่วนศรีรัช โดยทำเลนี้ยังใกล้ห้างสรรพสินค้า เดอะไนน์พระราม9, เดอะมอลล์รามคำแหง และโรงพยาบาลชั้นนำอย่าง โรงพยาบาลสมิติเวชศรีนครินทร์, โรงพยาบาลรามคำแหง รวมถึงสถานศึกษาสำคัญ เช่น มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ, มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต, มหาวิทยาลัยรามคำแหง, มหาวิทยาลัยนานาชาติแสตมฟอร์ด, โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนาโครงการรถไฟฟ้าถึง 3 สายที่เข้ามาเติมเต็มความสมบูรณ์ให้กับทำเลนี้ ได้แก่ รถไฟฟ้าสายสีเหลือง ลาดพร้าว-สำโรง (คาดว่าจะแล้วเสร็จพร้อมเปิดให้บริการในปี 2563), รถไฟฟ้าสายสีแดงอ่อน บางซื่อ-หัวหมาก (คาดว่าจะแล้วเสร็จพร้อมเปิดให้บริการในปี 2563) และรถไฟฟ้าสายสีส้ม ตลิ่งชัน-มีนบุรี (คาดว่าจะแล้วเสร็จพร้อมเปิดให้บริการในปี 2566) สำหรับอุปทานตลาดโฮมออฟฟิศบริเวณพระราม 9 – รามคำแหง – ประดิษฐ์มนูธรรม – ศรีนครินทร์ จากปี 2554 จนถึง ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ปี 2561 มีจำนวนอุปทานสะสมทั้งสิ้น 1,461 หน่วย โดยปีที่มีอุปทานเข้าสู่ตลาดมากที่สุดในปี 2557 ซึ่งมีโครงการโฮมออฟฟิศเปิดใหม่ถึง 512 หน่วย จากผู้ประกอบการทั้งรายใหญ่และรายเล็กในตลาด อย่างไรก็ตาม อุปทานใหม่ตั้งแต่ปี 2558 – 2560 อยู่ในระดับคงตัวเฉลี่ย 215 หน่วยต่อปี ในขณะที่ 2 เดือนแรกของปี 2561 นั้น มีอุปทานใหม่เข้ามาในพื้นที่ศึกษาเพียง 8 ยูนิต เป็นที่น่าสังเกตุว่าเฉพาะปี 2557 อุปทานกว่า 60% อยู่ในพื้นที่รามคำแหง-ประดิษฐ์มนูธรรม คาดการว่าเกิดจากความตื่นตัวของผู้ประกอบการที่ได้รับข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการประมูลรถไฟฟ้าสายสีส้มในช่วงสองปีก่อนหน้านี้ รูปภาพ 1 อุปทานสะสมของโครงการโฮมออฟฟิศบริเวณพระราม 9-รามคำแหง-ประดิษฐ์มนูธรรม -ศรีนครินทร์ ที่มา : ไนท์แฟรงค์ประเทศไทย รูปภาพ 2 อุปทานสะสมของโครงการโฮมออฟฟิศบริเวณพระราม 9-รามคำแหง-ประดิษฐ์มนูธรรม-ศรีนครินทร์ ตั้งแต่ปี 2554 – ก.พ. 2561 แบ่งตามพื้นที่ ที่มา : ไนท์แฟรงค์ประเทศไทย อย่างไรก็ตาม เมื่อเจาะลึกลงไปที่อุปทานใหม่เฉพาะโฮมออฟฟิศระดับไพร์ม ซึ่งมีราคาขายต่อยูนิต 20 ล้านบาทขึ้นไป มีเพียง 149 ยูนิตเท่านั้นที่เปิดตัวระหว่างปี 2554 – ก.พ. 2561 โดย 47% ของอุปทานใหม่ทั้งหมดตั้งอยู่ในทำเลพระราม 9 ในขณะที่อีก 42% และ 11% ตั้งอยู่ในทำเลรามคำแหง-ประดิษฐ์มนูธรรม และศรีนครินทร์ ตามลำดับ ซึ่งโฮมออฟฟิศระดับไพร์มนี้ทั้งหมดตั้งอยู่ในทำเลที่มีศักยภาพสูง สามารถเดินทางเชื่อมต่อไปยังจุดต่างๆของเมืองได้อย่างสะดวกสบาย รายล้อมไปด้วยสาธารณูปโภคสาธารณูปการครบครัน มีพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 450 - 1,140 ตร.ม. เนื้อที่ดินขนาดตั้งแต่ 39 – 120 ตร.ว.ต่อยูนิต และมีหน้ากว้างเฉลี่ย 6-11 ม. ส่วนใหญ่มีลิฟต์โดยสาร สวน รวมถึงมีพื้นที่จอดรถได้มากกว่า 6 คันต่อยูนิต รูปภาพ 3 อุปทานโฮมออฟฟิศระดับไพร์ม ราคา 20 ล้านบาทขึ้นไปต่อยูนิต ในพื้นที่พระราม 9 - รามคำแหง - ประดิษฐ์มนูธรรม - ศรีนครินทร์ 2554 - ก.พ. 2561 ที่มา : ไนท์แฟรงค์ประเทศไทย ด้านอุปสงค์โฮมออฟฟิศที่เปิดขายในย่านพระราม 9-รามคำแหง-ประดิษฐ์มนูธรรม-ศรีนครินทร์นั้น ได้รับการตอบรับอย่างดีจากผู้ซื้อ โดยโครงการที่เปิดตัวระหว่างปี 2556 – เดือนกุมภาพันธ์ปี 2561 มีอัตราการขายเฉลี่ย ณ ปัจจุบันประมาณ 80% ในขณะที่โครงการที่เปิดตัวระหว่างปี 2554 – 2555 นั้นปิดไปการขายไปหมดแล้ว ส่วนโครงการที่เปิดตัวใหม่ในปี 2560 มีอัตราการขายเฉลี่ยประมาณ 70% และด้านแนวโน้มตลาดที่บ่งชี้ชัดเจนยิ่งขึ้นว่าอสังหาริมทรัพย์ประเภทโฮมออฟฟิศเป็นที่ต้องการเพิ่มขึ้นเรื่อยๆสำหรับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่ต้องการมีสำนักงานขนาดเล็กของตนเอง ในทำเลใกล้ศูนย์กลางธุรกิจและสิ่งอำนวยความสะดวกสบายอื่นๆ รูปภาพ 4 อุปสงค์โดยเฉลี่ย ณ สิ้น ก.พ. 2561 ของโครงการโฮมออฟฟิศบริเวณพระราม 9-รามคำแหง-ประดิษฐ์มนูธรรม-ศรีนครินทร์ ที่เปิดขายตั้งแต่ปี 2554 – ก.พ. 2561 แบ่งตามพื้นที่ ที่มา : ไนท์แฟรงค์ประเทศไทย ตาราง 1 ราคาขายเริ่มต้นโดยเฉลี่ยของโครงการโฮมออฟฟิศบริเวณพระราม 9-รามคำแหง-ศรีนครินทร์ แบ่งตามปีที่เปิดตัว (หน่วย: บาท/ตารางเมตร) ที่มา : ไนท์แฟรงค์ประเทศไทย ในด้านราคาขายเริ่มต้นโดยเฉลี่ยของโครงการโฮมออฟฟิศที่เปิดตัวใหม่ ณ ปี 2560 ในพื้นที่ศึกษา อยู่ที่ตารางเมตรละประมาณ 50,300 บาท โดยโครงการที่ตั้งอยู่ในพื้นที่พระราม 9 มีราคาขายเริ่มต้นโดยเฉลี่ยต่อตารางเมตรอยู่ที่ประมาณ 67,500 บาท ในขณะที่โครงการที่ตั้งอยู่ในพื้นที่รามคำแหงและศรีนครินทร์ มีราคาขายเริ่มต้นโดยเฉลี่ยต่อตารางเมตรอยู่ที่ประมาณ 34,600 บาท และ 49,000 บาท ตามลำดับ  ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาเฉพาะโฮมออฟฟิศระดับไพร์มในพื้นที่ศึกษา ซึ่งมีราคาขายต่อยูนิตตั้งแต่ 20 ล้านบาทขึ้นไป และเปิดตัวในปี 2560 มีระดับราคาขายเริ่มต้นโดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 63,300 ต่อตารางเมตร รูปภาพ 5 ค่าเช่าและอัตราการเช่าของตึกสำนักงานในพื้นที่พระราม 9 – รัชดาภิเษก (เฉพาะตึกใหม่อายุไม่เกิน 10 ปี) ที่มา : ไนท์แฟรงค์ประเทศไทย เมื่อวิเคราะห์รวมไปถึงตลาดอาคารสำนักงานให้เช่าในพื้นที่เดียวกัน โดยพิจารณาเฉพาะตึกที่มีอายุไม่เกิน 10 ปี พบว่าอัตราค่าเช่าเพิ่มขึ้นเฉลี่ยถึงปีละ 6% และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นทุกปี การเป็นเจ้าของโฮมออฟฟิศจึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจมากสำหรับผู้ประกอบการ เนื่องจากช่วยลดต้นทุนค่าเช่าพื้นที่สำนักงาน และควบคุมค่าใช้จ่ายได้เป็นอย่างดีในระยะยาว        
The Element Rama 9 – ดิ เอเลเมนท์ พระราม 9 : รีวิวทาวน์โฮม

The Element Rama 9 – ดิ เอเลเมนท์ พระราม 9 : รีวิวทาวน์โฮม

The Element Rama 9 (ดิ เอเลเมนท์ พระราม 9) - โฮมออฟฟิศพร้อมอยู่อาศัย จำนวน 5 ชั้น พร้อมลิฟท์ส่วนตัว ใจกลางพระราม 9 เดินทางสะดวก ใกล้จุดขึ้น – ลงทางด่วนพระราม 9 เชื่อมต่อเข้าสู่ใจกลางเมือง ย่าน ซ.ทองหล่อ ถ.อโศก เพียง 15 นาที     รายละเอียดโครงการ   ราคาเริ่มต้น 26.9 ล้านบาท เจ้าของโครงการ บริษัท แลนด์มาร์ค ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด ลักษณะโครงการ อาคารสำนักงาน พร้อมอยู่อาศัย จำนวน 5 ชั้น จำนวน 14 ยูนิต (เฟส 1) พื้นที่โครงการ ประมาณ 2 ไร่ (เฟส 1) ที่ตั้งโครงการ ถนนพระราม 9 ตัดใหม่ ซอยพระราม9 แยก 41 (ห่างจากเดอะไนน์ 150 เมตร) จังหวัดกรุงเทพฯ คาดว่าจะแล้วเสร็จ ไตรมาสที่ 2 ปี 2561   สถานที่สำคัญใกล้เคียง   The Nine พระราม 9 The Mall รามคำแหง Major รามคำแหง Big C The Mall บางกะปิ Makro ตะวันนา โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ มหาวิทยาลัยรามคำแหง มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ราชมังคลากีฬาสถาน โรงพยาบาลสมิติเวช ศรีนครินทร์ สนามบินสุวรรณภูมิ     แบบบ้านและขนาดพื้นที่ใช้สอย   อาคารสำนักงาน พร้อมอยู่อาศัย 5 ชั้น ขนาดพื้นที่ใช้สอย 450 ตร.ม.     สิ่งอำนวยความสะดวก   Working space Meeting and manager room   สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร : 089-504-4554 ดูรายละเอียดเพิ่มเติม : https://www.theelementrama9.com/home
อัลติจูด เปิดขายแนวราบพร้อมกัน 3 โครงการ มูลค่ากว่า 700 ล้านบาท ชูจุดขาย “โครงการหรู ใจกลางเมือง” เร่งส่งโปรฯ ช็อคตลาดอสังหาฯ “ลดสูงสุด 2 ลบ. แถมลิฟต์ทุกยูนิต”

อัลติจูด เปิดขายแนวราบพร้อมกัน 3 โครงการ มูลค่ากว่า 700 ล้านบาท ชูจุดขาย “โครงการหรู ใจกลางเมือง” เร่งส่งโปรฯ ช็อคตลาดอสังหาฯ “ลดสูงสุด 2 ลบ. แถมลิฟต์ทุกยูนิต”

อัลติจูด ระเบิดศึกแนวราบ เปิดขายพร้อมกัน 3 โครงการ มูลค่ากว่า 700 ล้านบาท ทั้งบ้านเดี่ยวและโฮมออฟฟิศ ตีโจทย์พัฒนาโครงการเจาะช่องว่างทางการตลาด เน้นโครงการหรูใจกลางเมือง พร้อมดันโปรโมชั่นช็อควงการด้วย “ส่วนลดสูงสุด 2 ล้านบาท พร้อมติดตั้งลิฟต์ทุกยูนิต” ตั้งแต่วันนี้จนถึง 31 มีนาคม 2561 นายขวัญชัย ยิ่งเจริญถาวรชัย กรรมการบริหาร บริษัท อัลติจูด ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ที่มุ่งพัฒนาโครงการหรูใจกลางเมือง ครอบคลุมทั้งโครงการแนวราบและแนวสูง กล่าวว่า “ต้นปีนี้อัลติจูดจะรุกตลาดแนวราบพร้อมกันอย่างเป็นทางการถึง 3 โครงการ ได้แก่ โครงการบ้านเดี่ยว 1 โครงการ คือ อัลติจูด มาสเตอรี่ พหลโยธิน 24 และโฮมออฟฟิศอีก 2 โครงการ คือ อัลติจูด พรูฟ เกษตร-นวมินทร์ และ อัลติจูด พรูฟ พระราม 9 มูลค่ารวมกว่า 700  ล้านบาท  ซึ่งทุกโครงการล้วนตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพใจกลางเมือง สามารถสนองตอบความต้องการของกลุ่มประกอบการ หรือ SME ที่เป็น Young Success คือ ผู้ที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย โดยการพัฒนาโครงการทั้ง 3 โครงการ ไม่ว่าจะเป็นบ้านเดี่ยวหรือโฮมออฟฟิศ เราล้วนให้ความสำคัญกับคนกลุ่มนี้เป็นหลัก โดยในช่วง การเปิดขายอย่างเป็นทางการนี้ บริษัทได้จัดโปรโมชั่นพิเศษ โดยมอบส่วนลด 2,000,000 บาท พร้อมติดตั้งลิฟต์ในทุกยูนิต โดยโปรโมชั่นเริ่มตั้งแต่วันนี้จนถึง 31 มีนาคมนี้ การพัฒนาโครงการที่เป็นโครงการหรูใจกลางเมือง มีกลยุทธ์หลักในการหาที่เพื่อพัฒนาโครงการ ไม่ว่าจะเป็นโครงการแนวราบหรือแนวสูง เพราะเรามองว่าเป็นโอกาส และเป็นช่องว่างทางการตลาด ในการพัฒนาสินค้าที่สามารถตอบโจทย์ลูกค้า หรือคนที่ต้องการมีบ้านหรูใจกลางเมือง หากจะมองว่าเรา Niche ที่เป็นการพัฒนาโครงการเพื่อคนเฉพาะกลุ่มก็อาจจะเป็นไปได้ เมื่อกลยุทธ์การหาที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการเป็นดังนี้แล้ว กลุ่มเป้าหมายของเราจึงเจาะไปที่กลุ่ม Young Success ที่ต้องการความเป็น “เมือง” เพราะเดินทางสะดวก มีไลฟ์สไตล์ที่ต้องการ และยังสะท้อนภาพลักษณ์ของเจ้าของได้เป็นอย่างดีในอีกทางหนึ่ง ซึ่งลักษณะของคนกลุ่มนี้ ในแง่ของเหตุผลในการตัดสินใจซื้อโครงการ คือ ทำเล ความสะดวกในการเดินทาง ความพร้อมสำหรับการอยู่อาศัย อีกทั้งบ้านใจกลางเมืองในอนาคตนั้นจะมีมูลค่าสูงมากกว่าบ้านหรูย่านชานเมือง จึงเป็นโครงการที่ได้รับความสนใจเป็นพิเศษ​ รวมถึงต้องมีดีไซน์ที่สวยงามทันสมัย แตกต่าง พร้อมฟังก์ชั่นที่ใช้งานได้จริงนั่นเอง” สำหรับรายละเอียดโครงการทั้ง 3 โครงการมีดังต่อไปนี้ อัลติจูด มาสเตอรี่ พหลโยธิน 24 อัลติจูด มาสเตอรี่ พหลโยธิน 24 “อัลติจูด มาสเตอรี่ พหลโยธิน 24” (ALTITUDE Mastery Phaholyothin 24) บ้านเดี่ยวระดับ Luxury พร้อมสระว่ายน้ำทุกยูนิต ในทำเลใจกลางเมือง ใกล้เซ็นทรัล ลาดพร้าว เพียง 600 เมตร และ 5 นาที จาก BTS พหลโยธิน 24 เป็นโครงการที่เน้นเรื่อง Private Community มีเพียง 8 หลัง ราคาเริ่มต้นที่ 30.7 – 43.78 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 240 ล้านบาท อัลติจูด พรูฟ เกษตร-นวมินทร์ อัลติจูด พรูฟ เกษตร-นวมินทร์ อัลติจูด พรูฟ เกษตร-นวมินทร์ “อัลติจูด พรูฟ เกษตร-นวมินทร์” (ALTITUDE Prove Kaset Nawamin) โฮมออฟฟิศ 4 ชั้น พร้อมลิฟต์ส่วนตัวเพียง 8 ยูนิต ที่ตอบรับทุกความลงตัวในทุกธุรกิจ บนพื้นที่ที่เหมาะทั้งอยู่อาศัยและต่อยอดกิจการ เดินทางสะดวกใกล้ทางด่วน และรถไฟฟ้าโครงการในอนาคต พร้อมเชื่อมต่อสู่โซนกลางใจเมืองได้อย่างง่ายดาย ในราคาเริ่มต้นที่ 19.7 – 26.9 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 175 ล้านบาท อัลติจูด พรูฟ พระราม 9 อัลติจูด พรูฟ พระราม 9 อัลติจูด พรูฟ พระราม 9 “อัลติจูด พรูฟ พระราม 9” (ALTITUDE Prove Rama 9) โฮมออฟฟิศ 4 ชั้นครึ่ง จำนวน 16 ยูนิต ที่สุดของทำเลติดถนนใหญ่ ติดทางด่วนพระราม 9 และเพียง 700 เมตร จากแอร์พอร์ตลิงค์รามคำแหง รองรับทีมงานได้ 25-30 คน ในรัศมีแห่งความก้าวหน้า ใกล้พื้นที่เศรษฐกิจ CBD การเดินทางสะดวก และโอกาสในการเติบโตของมูลค่าที่ดินในอนาคตสูง ในราคาเริ่มต้น 14.7 – 28.8 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 300 ล้านบาท นายขวัญชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า “โปรโมชั่นของทั้ง 3 โครงการ ที่เรานำมามอบให้ในช่วงเปิดขายอย่างเป็นทางการขายได้ภายในไตรมาส 3 ของปีนี้ ลูกค้าที่สนใจสามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่โทร 0-2160-5165 หรือ www.altitude.co.th  
เอสซีฯ รุกทาวน์โฮมแบรนด์ใหม่ เริ่ม 1.99 ลบ. โครงการ เวิร์ฟ (VERVE) เพชรเกษม 81 Pre-Sale 11-12 พ.ย.นี้

เอสซีฯ รุกทาวน์โฮมแบรนด์ใหม่ เริ่ม 1.99 ลบ. โครงการ เวิร์ฟ (VERVE) เพชรเกษม 81 Pre-Sale 11-12 พ.ย.นี้

บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) แนะนำโครงการ เวิร์ฟ เพชรเกษม 81 โครงการใหม่ ทาวน์โฮมและโฮมออฟฟิศติดถนนใหญ่ใกล้รถไฟฟ้า แบ่งเป็นทาวน์โฮม 2 ชั้น และ โฮมออฟฟิศ 4 ชั้น ด้วยแนวคิดการออกแบบ Modern Loft Style บนทำเลศักยภาพห่างจากถนนเพชรเกษมเพียง 1.2 กม. ติดถนนใหญ่ เชื่อมต่อถนนเส้นหลักหลายสาย ทั้งเข้าเมืองและออกเมือง ใกล้แนวรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ใกล้แหล่งอำนวยความสะดวกมากมายทั้ง Community Mall, โรงเรียน, โรงพยาบาล เป็นต้น พร้อมด้วยสวนส่วนกลาง และ CO-Working Space ขนาดพื้นที่โครงการกว่า 18 ไร่ มูลค่าโครงการ 500 ล้านบาท รวม 181 ยูนิต แบ่งเป็น ทาวน์โฮม 159 ยูนิต และโฮมออฟฟิศ 22 ยูนิต ทุกแบบออกแบบให้มีขนาดหน้ากว้าง สะดวกสบาย พร้อม 2 ที่จอดรถ โดยทาวน์โฮมมีให้เลือก 2 แบบ ราคาเริ่มต้น 1.99 ล้านบาท* ได้แก่ LOFT  ขนาด 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ LUXE  ขนาด 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 1 ห้องเอนกประสงค์ 2 ที่จอดรถ สำหรับโฮมออฟฟิศ 4 ชั้น ขนาด 272 ตารางเมตร  3 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ ราคาเริ่มต้น 7.59 ล้านบาท   เน้นความโปร่งโล่ง ที่ออกแบบทุกฟังก์ชั่นการใช้งานอย่างลงตัวเพื่อรองรับธุรกิจของคนรุ่นใหม่ พร้อมรายละเอียดการออกแบบพื้นที่ใช้สอยที่สามารถปรับเปลี่ยนและใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยพื้นที่จอดรถหน้าตัวอาคารกับพื้นที่จอดรถส่วนกลางขนาดใหญ่ นอกจากนี้พรั่งพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างครบครัน อาทิ คลับเฮ้าส์, สระว่ายน้ำ, ห้องฟิต และอีกหนึ่งความใส่ใจกับระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชม. เข้า-ออกโครงการผ่านระบบ Access Card, CCTV กล้องวงจรปิดที่ให้ความอบอุ่นใจตลอดเวลา โครงการ เวิร์ฟ เพชรเกษม 81 เปิด Pre-Sale วันที่ 11-12 พ.ย.นี้ พิเศษ! รับส่วนลดพิเศษ 20,000 บาท* สำหรับผู้ที่ลงทะเบียนผ่านเว็ปไซต์ www.scasset.com สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือที่สำนักงานขายโครงการ โทร.1749
เดอะไพร์ม พระราม 9-รามคำแหง 21 โฮมออฟฟิศสไตล์โมเดิร์น ที่ลงตัวทั้งธุรกิจและการอยู่อาศัย : รีวิวทาวน์โฮม

เดอะไพร์ม พระราม 9-รามคำแหง 21 โฮมออฟฟิศสไตล์โมเดิร์น ที่ลงตัวทั้งธุรกิจและการอยู่อาศัย : รีวิวทาวน์โฮม

รีวิวฉบับนี้เราจะพาไปดูโครงการ “เดอะไพร์ม พระราม 9 – รามคำแหง” หนึ่งในทำเลศักยภาพที่แวดล้อมไปด้วยสังคมเมืองเพียบพร้อมด้วยความสะดวกสบายและน่าลงทุนในขณะนี้ ซึ่งเป็นโครงการของ บริษัท เดอะไพร์ม พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด เป็นที่อยู่อาศัยกึ่งบ้านกึ่งสำนักงาน หรือที่เรียกกันว่า Home Office นั่นเองค่ะ พื้นที่ของโครงการแบ่งออกเป็นอาคารพาณิชย์ 3 ชั้นพร้อมชั้นลอย และโฮมออฟฟิศ 3 ชั้น ดีไซน์ในสไตล์โมเดิร์นสะท้อนความเป็นตัวตนของคนรุ่นใหม่ให้สอดคล้องกับการดำเนินธุรกิจและชีวิตส่วนตัวไปพร้อมๆ กัน แต่รายละเอียดจะมีอะไรบ้าง ตามไปดูกันเลยค่ะ     เริ่มต้นจากรายละเอียดโครงการ “เดอะไพร์มพระราม 9 – รามคำแหง” กันก่อนเลย ราคาเริ่มต้น : 3.45 ล้านบาท เจ้าของโครงการ : บริษัท เดอะไพร์ม พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ลักษณะโครงการ : อาคารพาณิชย์ 3 ชั้นพร้อมชั้นลอย และโฮมออฟฟิศ 3 ชั้น จำนวนทั้งหมด : 67 ยูนิต เนื้อที่ทั้งหมด : 4-2-84 ไร่ รูปกรรมสิทธิ : สิทธิการเช่าที่ดินพร้อมอาคารระยะยาว 30 ปี เจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดิน : กรมพุทธศาสนา ที่ตั้งโครงการ : ถนน นวศรี (ซอยรามคำแหง 21) แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ โครงการ เดอะไพร์ม พระราม 9 – รามคำแหง 21 เป็นโครงการที่ให้กรรมสิทธิ์ในรูปแบบ การเซ้ง หรือ การเช่าที่ดินระยะยาว  นะคะ โดยมีระยะเวลาเซ้งตามสัญญาอยู่ที่ 30 ปี ส่วนใครที่ยังสงสัยว่า การเซ้ง หรือ การเช่าที่ดินระยะยาว คืออะไร สามารถคลิกอ่านได้ที่ลิงค์นี้ค่ะ https://goo.gl/NgLZug   ศักยภาพของที่ตั้งโครงการ   แน่นอนค่ะว่าปัจจุบันย่าน “พระราม 9 – รามคำแหง” เป็นทำเลทองที่ความเจริญต่างๆ ขยายตัวมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งในเรื่องของการเดินทาง การกินอยู่ รวมถึงศักยภาพของทำเลกลางเมืองที่พร้อมรองรับการทำธุรกิจหรือเปิดกิจการมากขึ้นเรื่อยๆ  สำหรับการเดินทางมายังโครงการ “เดอะไพร์ม พระราม 9 – รามคำแหง 21” ก็สามารถเลือกได้หลายเส้นทางค่ะ เพราะถนนนวศรี (ซอยรามคำแหง 21) ที่ตั้งโครงการนั้นเชื่อมโยงเข้ากับถนนศรีวราและถนนประดิษฐ์มนูธรรม (เลียบด่วน) ต่อติดทุกเส้นทางใจกลางเมืองรวดเร็วทันใจด้วยด่านทางด่วน (รามอินทรา-อาจณรงค์) ซึ่งทางด่วนสายนี้สามารถเชื่อมต่อเข้ากับมอเตอร์เวย์ได้อีกด้วยค่ะ สำหรับคนที่ไม่มีรถส่วนตัวนั้นสามารถเดินทางมายัง โครงการ เดอะไพร์ม พระราม 9 – รามคำแหง 21 ได้โดยรถไฟฟ้า Airport Rail Link (ห่างจากสถานีรามคำแหง 2 กิโลเมตร) เรือแสนแสบ ท่าเรือเดอะมอลล์ 3 (ห่างจากท่าเรือเพียง 320 เมตร) หรือรถประจำทางก็มีให้เลือกมากกว่า 10 สาย อาทิ สาย 171, 204, 168, 520, 95, 126 ทั้งนี้ในอนาคตการเดินทางมายังโครงการก็จะยิ่งสะดวกมากขึ้นค่ะ เพราะอยู่ไม่ไกลจากรถไฟฟ้าสายสีส้ม (หน้า The Mall รามคำแหง) และสายสีเทา (โครงการในอนาคตเร็วๆ นี้)  ก็ยิ่งเพิ่มความสะดวกในการเดินทางได้มากขึ้นไปอีกค่ะ ส่วนบริเวณรอบโครงการก็แวดล้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างครบครันไม่ว่าจะเป็น ห้างสรรพสินค้า, สถานศึกษาหลายระดับชั้น, สถานพยาบาล, ศูนย์ราชการใกล้เคียง และสถานที่ออกกำลังกาย ซึ่งอยู่ในระยะที่เดินทางได้สะดวกทีเดียวค่ะ   พาชมโครงการ เดอะไพร์ม พระราม 9 – รามคำแหง 21   ปัจจุบันโครงการ “เดอะไพร์ม พระราม 9 – รามคำแหง 21” สร้างเสร็จพร้อมขายเกินครึ่งและมีลูกบ้านเริ่มย้ายเข้ามาอยู่แล้วนะคะ แต่ก็มีลูกบ้านบางส่วนที่รอตกแต่ง ต่อเติม โดยทางโครงการมีอาคารให้เลือกถึง 4 แบบด้วยกันคือ อาคารพาณิชย์ 3 ชั้น พร้อมชั้นลอย พื้นที่ใช้สอย 135 และ 140 ตร.ม. กับ Home Office 3 ชั้น ในพื้นที่ใช้สอย 127.50 - 150 ตรม. และ 300 ตารางเมตร ซึ่งโซนด้านหน้าโครงการจะเป็นพื้นที่ของตึกแถวอาคารพาณิชย์ ส่วนด้านในจะเป็น Home Office นั่นเองค่ะ ทั้งนี้ตลอดแนวถนนในซอยรามคำแหง 21 ส่วนใหญ่จะเป็นอาคารพาณิชย์ มีร้านค้า ร้านอาหารและร้านสะดวกซื้อที่เช่าที่ดินระยะยาวอยู่มากมายค่ะ เพราะเป็นย่านที่อยู่อาศัยเก่าควบคู่กับการทำธุรกิจ ถนนภายในโครงการกว้าง 9.45 เมตร สำหรับแบบบ้านที่เราจะพาไปดูวันนี้ คือ อาคารพาณิชย์  3 ชั้น พร้อมชั้นลอย พื้นที่ใช้สอย 135 ตร.ม. และ Home Office 3 ชั้น พื้นที่ใช้สอย 127.50-150 ตรม. ค่ะ Shop House ดีไซน์ทันสมัย เรามาเริ่มที่อาคารพาณิชย์ด้านหน้าโครงการ “เดอะไพร์ม พระราม 9 – รามคำแหง 21”  กันก่อนเลยดีกว่าค่ะ หน้าบ้านกว้าง 4.25 เมตร ลึก 9 เมตร รูปร่างหน้าตาภายนอกอาคารดีไซน์ในรูปแบบ  Modern Tropical แต่ยังผสมผสานการออกแบบที่ใช้เส้นสายเรียบง่ายผสมความเป็นธรรมชาติ ตกแต่งด้านหน้าด้วยระแนงเหล็ก บางช่วงเจาะช่องสี่เหลี่ยมเพื่อเพิ่มความโปร่งแสงและลดทอนความแข็งของวัสดุ เน้นการใช้กระจกบานใหญ่ทำให้มีแสงสว่างสาดส่องเข้ามามากพอไม่ต้องพึ่งแสงประดิษฐ์ในเวลากลางวันนั่นเองค่ะ สำหรับการตกแต่งลูกบ้านสามารถเลือกจัดฟังก์ชั่นได้ตามใจชอบค่ะ เพราะโครงการได้เตรียมพื้นที่อย่างกว้างขวางไว้ให้แล้ว แบบบ้าน Shop House แบบบ้าน Shop House จะอยู่ติดถนนในซอยเลยนะค่ะ เหมาะกับการทำเป็นร้านค้าหรือร้านอาหารตามชื่อของแบบบ้านเลยค่ะ แปลนของชั้น 1 โครงการวางแบบแปลนมาให้ดูเป็นร้านอาหารมีโต๊ะสำหรับลูกค้าและเคาน์เตอร์ของร้านอยู่ด้านใน บริเวณชั้น 1 จะเป็นพื้นที่สำหรับค้าขาย วางสินค้าโชว์หรือเป็นพื้นที่สำหรับต้อนรับลูกค้า เพดานจะสูงพอสมควรนะคะ เพราะ Type นี้จะมีชั้นลอยให้ด้วย ช่วยให้บริเวณชั้น 1 ดูโล่งโปร่งดีค่ะ แปลนของชั้นลอย พื้นที่บริเวณชั้นลอยเราสามารถเลือกใช้งานได้ตามใจชอบเลยนะค่ะ ขั้นมาที่ชั้น 2 ในแปลนโครงการจะตกแต่งเป็นส่วนของที่พักอาศัย พื้นที่บนชั้น 2 กว้างขวางดีนะคะ เราจะตกแต่งเป็นส่วนของที่พักอาศัยอย่าง Living Area เหมือนในแปลนโครงการก็ได้ หรือว่าจะเพิ่มพื้นที่ค้าขายขึ้นมาบนชั้น 2 ก็ได้นะคะ ส่วนพื้นที่ 3 จะเป็นห้อง Master Bedroom ขนาดใหญ่ พื้นที่บนชั้น 3 ตามแปลนโครงการตกแต่งเป็นห้องนอน อยู่ติดกับระเบียงขนาดใหญ่ ให้ความรู้สึกเหมือนห้อง Penthouse เลยค่ะ Home Office ดีไซน์ใหม่ ลงตัวทั้งชีวิตและธุรกิจ ในส่วนของ Home Office ที่เราพามาชมครั้งนี้ จะมีพื้นที่ใช้สอย 150 ตรม. แบ่งเป็น 3 ชั้น Type นี้ หน้าบ้านจะกว้าง 5 เมตร มีพื้นที่จอดรถได้ 2 คัน รูปร่างหน้าตาอาคารภายนอกถูกออกแบบในสไตล์โมเดิร์น เน้นสีเทาและสีขาว เพิ่มลูกเล่นให้น่าสนใจมากขึ้นโดยปรับระดับสีให้มีความเข้มอ่อนไม่เท่ากันทำให้ภาพรวมของอาคารดูทันสมัย ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังจัดสรรพื้นที่ฟังก์ชั่นใช้งานในบ้านให้ลงตัวทั้งการทำงานและการใช้ชีวิตส่วนตัว โดยชั้น 3 ออกแบบให้เป็นที่พักอาศัยแบบ Exclusive Penthouse Master Bedroom ให้ความรู้สึกส่วนตัวเหมือนอยู่ Penthhouse หรูบนคอนโดฯ เลยค่ะ แบบบ้าน Home Office พื้นที่หน้าบ้านกว้างประมาณ 5 เมตร สามารถจอดรถได้ 2 คัน ประตูทางเข้าบ้านจะเป็นประตูกระจกบานเลื่อน 2 ตอน แปลนบ้านทั้ง 3 ชั้น ก่อนอื่นเรามาดูภาพ Perspective ของโครงการที่ตกแต่งมาให้ดูกันก่อนะคะ เริ่มจากชั้น 1 ที่เป็นเหมือน Lobby ของบริษัท มีพื้นที่รับรองและเคาน์เตอร์ Reception ขึ้นมาด้านบนอาจจะเป็นห้องของผู้บริหาร พร้อมพื้นที่รับรองแขก และมีพื้นที่สำหรับวางโต๊ะทำงานของพนักงานในบริษัท บนชั้น 3 จะเป็นพื้นที่สำหรับห้องนอนขนาดใหญ่ พื้นที่ขนาดใหญ่ที่ชั้น 1 เหมาะสำหรับเป็น Lobby ต้อนรับแขกของบริษัท ใต้บันไดจะมีห้องเก็บของเล็กๆ ซ่อนอยู่ ที่ชั้น 1 จะมีห้องน้ำให้ 1 ห้องนะคะ แต่ไม่มีพื้นที่อาบน้ำ เข้ามาด้านในสุดจะเป็นพื้นที่หลังบ้าน คราวนี้เราขึ้นไปดูบนชั้น 2 กันต่อดีกว่านะคะ ขึ้นมาที่ชั้น 2 จะเจอห้องน้ำก่อนเลยนะคะ ก่อนที่จะแยกออกเป็น 2 ห้อง ห้องน้ำที่ชั้น 2 จะมีพื้นที่สำหรับอาบน้ำด้วยนะคะ ห้องแรกเหมาะจะทำเป็นห้องนอนเหมือนในแปลนของโครงการเลยนะคะ ด้วยขนาดที่กว้างขวาง และมีระเบียงขนาดใหญ่ หรือจะตกแต่งเป็นห้องทำงานของผู้บริหารก็ได้อีกแบบ ระเบียงขนาดใหญ่เป็นประตูบานเลื่อน 2 ตอน กว้างเต็มพื้นที่ห้องเลยค่ะ อีกห้องจะอยู่ฝั่งตรงข้ามกัน ด้วยขนาดพื้นที่ใกล้เคียงกัน ในแปลนโครงการทำเป็นห้องทำงานของพรักงาน ขึ้นมาที่ชั้น 3 จะเป็นพื้นที่สำหรับห้องนอน Master Bedroom บนชั้น 3 จะเป็นพื้นที่ของห้องนอนทั้งหมดเลยนะคะ สามารถเลือกตกแต่งกันได้ตามใจชอบเลย ระเบียงจะได้ขนาดใหญ่เหมือนชั้น 2 โครงการแบ่งพื้นที่สำหรับทำห้องแต่งตัวแบบ Walk-in Closet ไว้ให้เรียบร้อย พื้นที่วางตู้เสื้อผ้าบริเวณ Walk-in Closet ค่อนข้างใหญ่เลยนะคะ ส่วนห้องน้ำจะอยู่ในบริเวณเดียวกัน พร้อมพื้นที่อาบน้ำขนาดใหญ่ พื้นที่หน้าบ้านของแต่ละ Type ทุกยูนิตจะมีหน้ากว้างและพื้นที่ใช้สอยไม่เท่ากันนะคะ แต่การแบ่งฟังก์ชั่นห้องและการออกแบบอาคารด้านนอกจะเป็นสไตล์เดียวกันทั้งหมด อันนี้ก็แล้วแต่ความต้องการของลูกค้าเลยค่ะว่าชอบแบบไหน บ้านหลังไหนใช้พื้นที่คุ้มค่ามากกว่ากัน นอกจากเรื่องของขนาดพื้นที่ใช้สอยแล้ว ถ้าลูกค้าคนไหนตั้งใจจะเปิดร้านทำการค้า ทำกิจการส่วนตัว เราแนะนำให้เลือกซื้ออาคารพาณิชย์ด้านหน้าโครงการค่ะ เพราะที่ดินจะอยู่ติดถนนนวศรี (ซอยรามคำแหง 21) ทำให้มีโอกาสค้าขายได้ดีขึ้นค่ะ   โครงการ “เดอะไพร์ม พระราม 9 – รามคำแหง 21” นับว่าเป็นอีกหนึ่งโครงการที่น่าสนใจนะคะ เพราะราคาไม่สูงมากถ้าเทียบกับโครงการอื่นในทำเลใกล้ๆ กัน แม้จะมีข้อจำกัดในเรื่องของ ‘การเซ้ง’ หรือ สิทธิการเช่าที่ดินในระยะยาว 30 ปี อยู่บ้างแต่ไม่ต้องกังวลใจไปค่ะ เพราะเมื่อหมดสัญญาเราก็สามารถต่อสัญญาได้อีก และเจ้าของที่ดินไม่สามารถขอเรียกคืนก่อนหมดสัญญาเช่าได้ค่ะ ใครที่กำลังมองหาบ้านสักหลังไว้ประกอบธุรกิจ อาคารพาณิชย์และ Home Office โครงการนี้น่าจะตอบโจทย์ได้ดีนะคะ แถมราคาก็ค่อนข้างสมเหตุสมผล ยิ่งถ้าคุ้นชินกับทำเลทองย่านนี้อยู่แล้วก็น่าจะเห็นถึงศักยภาพที่คุ้มค่าแก่การลงทุนได้ชัดเจนขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเส้นทางคมนาคมที่เชื่อมต่อทุกเส้นทางใจกลางเมือง หรือสาธารณูปโภคที่ครบครันบริเวณรอบๆ โครงการก็ล้วนแต่ตอบโจทย์ความต้องการของชีวิตได้เป็นอย่างดีค่ะ แล้วถ้าในอนาคตรถไฟฟ้าสายสีส้ม และสีเทาเปิดให้บริการเมื่อไหร่ ความสะดวกสบายก็ยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น จนถึงตอนนั้นราคาบ้านคงสูงลิ่วไปไกลเกินคว้าแล้วค่ะ สำหรับคนที่สนใจสามารถเข้าไปเยี่ยมชมโครงการและบ้านตัวอย่างได้นะคะ เพื่อช่วยประกอบการตัดสินใจได้ง่ายขึ้น หรือจะสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 088-535-5556-7 หรือ http://theprimeliving.com/
District เอกมัย-รามอินทรา บ้านใหม่สไตล์โฮมออฟฟิศ เพื่อชีวิตที่ลงตัว : รีวิวทาวน์โฮม

District เอกมัย-รามอินทรา บ้านใหม่สไตล์โฮมออฟฟิศ เพื่อชีวิตที่ลงตัว : รีวิวทาวน์โฮม

จากที่ก่อนหน้านี้เราได้ไปสำรวจดูทำเลในย่านนวลจันทร์กันไปแล้ว รีวิวฉบับนี้เราจะเข้าไปดูที่ตัวโครงการ “District เอกมัย-รามอินทรา” กันบ้างครับ โครงการนี้เป็นที่อยู่อาศัยกึ่งบ้านกึ่งสำนักงาน หรือที่เรียกกันติดปากว่า Home Office นั่นแหละครับ ซึ่งเป็นโครงการล่าสุดจาก AP Property แถมยังเป็นรูปแบบดีไซน์ใหม่ล่าสุดภายใต้คอนเซปต์ Modern Luxury ที่จะสะท้อนความเป็นตัวตนอย่างมีสไตล์ เพื่อให้มุมมองธุรกิจและชีวิตส่วนตัวสอดคล้องไปได้อย่างกลมกลืน รายละเอียดจะมีอะไรบ้าง ตามไปดูกันเลยครับ       รายละเอียดโครงการ   ราคาเริ่มต้น     15,900,000 บาท เจ้าของโครงการ     บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) ลักษณะโครงการ     โฮมออฟฟิศ 3.5 ชั้น และ 4 ชั้น จำนวน 36 หลัง เนื้อที่ทั้งหมด    6 - 0 - 9.6 ไร่ ที่ตั้งโครงการ    ซอยรามอินทรา 40 แขวงนวลจันทร์ เขตบึงกุ่ม กรุงเทพฯ   ศักยภาพของที่ตั้งโครงการ   ถ้าพูดถึงย่าน “นวลจันทร์” ในปัจจุบัน จะเห็นว่าไม่ใช่พื้นที่ห่างไกลที่จะใช้คำว่าชานเมืองแบบเมื่อก่อนได้อีกแล้วนะครับ เพราะความเจริญต่างๆ ก็ขยายตัวมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเห็นได้อย่างชัดเจนในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา ทั้งการเดินทาง การกินอยู่ รวมถึงศักยภาพของทำเลในย่านนี้ก็ดีขึ้นเรื่อยๆ จึงทำให้ย่านนี้มีความเป็นเมืองที่พร้อมในการรองรับการทำธุรกิจ หรือเปิดกิจการมากขึ้นเรื่อยๆ ครับ   ในเรื่องของรายละเอียดเกี่ยวกับ Life Style ความน่าสนใจของทำเลที่ทำให้โครงการ District เลือกปักหมุดในย่านนี้ สามารถตามไปอ่านตัวรีวิวทำเลอย่างละเอียดได้ที่นี่ครับ "สำรวจทำเล โฮมออฟฟิศ โครงการใหม่ล่าสุด ย่านเอกมัย-รามอินทรา เพื่อชีวิตและธุรกิจที่ลงตัว"   ตำแหน่งที่ตั้งของโครงการ District เอกมัย-รามอินทรา ต้องบอกว่า เด่นในเรื่องของการเดินทางมากนะครับ ข้อแรกซอยรามอินทรา 40 ซึ่งเป็นที่ตั้งของโครงการ เชื่อมต่อกับถนนนวลจันทร์ ที่สามารถทะลุไปออกถนนเกษตรนวมินทร์ได้ แถมห่างออกไปเพียงแค่ 1 นาที ก็มีจุดขึ้นลงทางด่วนรามอินทรา-อาจณรงค์ และถนนสายสำคัญของย่านนี้อย่าง ถนนประดิษฐ์มนูธรรม หรือที่เรียกติดปากกันว่าถนนเลียบด่วนฯ ก็เป็นถนนสายหลักที่เชื่อมถนนสำคัญอีกหลายๆ สาย เข้าไว้ด้วยกันตั้งแต่หัวจรดท้ายถนน ดังนั้นไม่ว่าจะต้องการเดินทางไปยังมุมไหนของกรุงเทพก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร   เส้นทางเข้าออกโครงการหลักๆ ก็คือทางด้านถนนนวลจันทร์ พอเลี้ยวจากถนนประดิษฐ์มนูธรรมเข้ามาเล็กน้อย ก็จะเห็นป้ายซอยรามอินทรา 40 อยู่ทางซ้ายมือ เลี้ยวเข้ามาอีกไม่เกิน 200 เมตร จะเห็นโครงการอยู่ขวามือ หรือถ้าเลือกเดินทางมาจากถนนรามอินทรา ก็ให้สังเกตุป้ายซอยรามอินทรา 40 เอาไว้ให้ดี เลี้ยวเข้าซอยมาประมาณ 1.5 กม. ก็ถึงโครงการแล้วครับ การเดินทางวันนี้เราเริ่มจากถนนเกษร-นวมินทร์ กันเลยนะครับ เราตรงตามถนนเกษตร-นวมินทร์ มาเรื่อยๆ จะถึงแยกที่ตัดกับถนนประดิษฐ์มนูธรรม หรือถนนเลียบทางด่วนรามอินทรา ให้เลี้ยวซ้ายตามป้ายถนนรามอินทราไปเลยนะครับ เลี้ยวซ้ายเข้าถนนเลียบทางด่วน จากนั้นขับตรงต่อไปอีกเรื่อยๆ นะครับ ถึงตรงนี้จะตัดกับถนนรามอินทรา ฝั่งขวาจะเป็นสะพานข้ามถนนรามอินทรา เราชิดซ้ายไว้ไม่ต้องขึ้นสะพานนะครับ เดี๋ยวเราไปตรงไปกลับรถใต้สะพาน กลับรถใต้สะพานตรงนี้เลยนะครับ กลับรถมาแล้ว เราตรงกลับไปตามถนนเลียบทางด่วนเหมือนเดิม ตรงมาเรื่อยๆ จะเห็นตลาดนัดเลียบทางด่วน อยู่ทางซ้ายมือ เลยมาอีกนิดหน่อยก็จะถึงถนนนวลจันทร์ สังเกตป้ายบอกทาง เลี้ยวซ้ายเข้าถนนนวลจันทร์ไปเลยครับ เข้าถนนนวลจันทร์มาแล้วก็ตรงไปอีกนะครับ ตรงเข้ามานิดเดียวจะเจอสามแยก เลี้ยวซ้ายไปออกถนนรามอินทราตามป้าย เดี๋ยวเราเลี้ยวซ้ายที่สามแยกนี้เลยนะครับ เลี้ยวซ้ายเข้าซอยรามอินทรา 40 มีป้ายโฆษณาของโครงการติดบอกทางอยู่ที่ปากซอยด้วย จากนั้นตรงเข้าไปในซอยรามอินทรา 40 อีกนิดเดียวก็ถึงโครงการแล้วหล่ะครับ ถึงแล้วครับที่ตั้งโครงการ District เอกมัย-รามอินทรา อยู่ฝั่งขวามือ ทางเข้าโครงการ   แต่ในอนาคตการเดินทางมายังโครงการจะสะดวกกว่านี้อีก ด้วยรถไฟฟ้าสายสีชมพู (แคราย-มีนบุรี) ที่คาดว่าจะมีสถานีใกล้กับปากซอยรามอินทรา 40 เลยทีเดียว ถ้าหากอนุมัติการก่อสร้างเมื่อไหร่ ก็เชื่อได้ว่าความเจริญต่างๆ จะยิ่งแผ่ขยายมาเร็วกว่านี้อีกแน่นอน   Home Office รูปแบบใหม่ ดีไซน์ทันสมัย   Home Office ของ District เอกมัย-รามอินทรา มีให้เลือกด้วยกัน 2 แบบด้วยกัน คือ Home Office 4 ชั้น ที่มาพร้อมกับพื้นที่ใช้สอยประมาณ 360 ตร.ม. และ Home Office 3.5 ชั้น กับพื้นที่ใช้สอยประมาณ 173 ตร.ม. ซึ่งแบบบ้านที่เราจะพาไปดูกันก็คือ Home Office 4 ชั้นครับ   รูปร่างหน้าตาภายนอกอาคารถูกออกแบบมาเป็นคู่ หรือที่เรียกว่าบ้านแฝดนั่นแหละครับ ดูหรูหราทันสมัย ตามคอนเซปต์ Modern Luxury เลย หน้าบ้านกว้างถึง 8 เมตร สามารถจอดรถได้มากถึง 6 คันเลยทีเดียว ตัวอาคารเน้นใช้กระจกบานใหญ่ เพื่อให้ดูโปร่งสบายตา ไม่อึดอัด แล้วก็ช่วยให้รับแสงภายนอกได้ดีขึ้น ซึ่งภายในบ้านตัวอย่างก็มีการตกแต่งพื้นที่ใช้สอยในส่วนต่างๆ ไว้อย่างน่าสนใจทีเดียวครับ   ทางโครงการลองตกแต่ง Home Office หลังนี้ให้เป็นห้องเสื้อหรูสำหรับสาวๆ โดยพื้นที่ชั้นล่างหน้าร้านจัดเป็นรับรองลูกค้า และมุมโชว์สินค้า ตกแต่งด้วยพื้นเล่นระดับในโทนสีขาวสบายตา ในขณะที่ชั้น 2 เป็นโถงขนาดใหญ่เพื่อโชว์เสื้อผ้าสวยๆ ได้มากขึ้น มีห้องลองเสื้อ วางโต๊ะทำงานขนาดใหญ่ไว้ด้วย นับว่าเป็นไอเดียในการตกแต่งไม่เลวเลยครับ ดูเรียบๆ แต่แฝงไว้ด้วยความโก้หรู หน้าทางเข้าเป็นประตูกระจกบานเลื่อน ด้านหน้าโครงการตกแต่งเป็นเคาน์เตอร์ Reception ด้านขวามมือเป็นพื้นที่ว่างสามารถจัดเป็นพื้นที่รับรองลูกค้า หรือโชว์สินค้าก็ได้ครับ เดี๋ยวเราเดินเข้าไปดูด้านในกันต่อ ห้องแรกจะเป็นห้องน้ำ อยู่ทางด้านขวามือ ห้องน้ำที่ชั้น 1 จะเป็นห้องน้ำหรับลูกค้าที่มาติดต่องานจึงมีเพียงอ่างล้างหน้ากับโถสุขภัณฑ์ อ่างล้างหน้าทรงกลม พร้อมกระจกเงาขนาดพอดีตัว โถสุขภัณฑ์วางอยู่ใกล้ๆ กัน ถัดจากห้องน้ำเป็นห้องครัวแอบอยู่ด้านในสุด พื้นที่บริเวณห้องครัวถือว่ากว้างขวางเลยนะครับ ตรงข้ามห้องครัวเป็นบันไดขึ้นชั้น 2 สังเกตว่าจะมีห้องใต้บันไดไว้สำหรับทำเป็นห้องเก็บของได้ด้วย ขึ้นมาถึงชั้น 2 ตรงกับบันไดมีห้องน้ำอีก 1 ห้อง ห้องน้ำบนชั้น 2 จะคล้ายๆ กับที่ชั้น 1 ขึ้นมาบนชั้น 2 โครงการยังตกแต่งเป็นพื้นที่สำหรับโชว์สินค้า และมีพื้นที่สำหรับพบปะลูกค้า ที่มีความเป็นส่วนตัวมากกว่าชั้น 1 บันไดขึ้นไปที่ชั้น 3 พอขึ้นมาที่ชั้น 3 ทางโครงการตกแต่งให้เป็นออฟฟิศ จัดห้องทำงานให้ดูโล่งๆ เพื่อให้ทุกคนสามารถแชร์ไอเดียงานกันได้สะดวก นอกจากนี้ยังเพิ่มมุมหนังสือ และ Pantry ครัวเล็กๆ เอาไว้เตรียมเครื่องดื่มและของว่าง ช่วยเพิ่มบรรยากาศในการทำงานให้ไม่น่าเบื่อ และมีอิสระทางความคิดมากขึ้นด้วย ขึ้นมาถึงชั้น 3 จะเริ่มเป็นโซนออฟฟิศแล้วนะครับ ตรงกับบันไดโครงการทำเป็น Pantry เล็กๆ สำหรับพนักงานในออฟฟิศ ด้านหลัง Pantry จะเป็นห้องน้ำอีก 1 ห้อง การจัดวางและสุขภัณฑ์ที่ใช้จะคล้ายๆ กับห้องน้ำที่เราดูมาแล้วนะครับ แต่ห้องนี้จะมีพื้นที่สำหรับอาบน้ำมาให้ด้วย พื้นที่บนชั้น 3 โครงการตกแต่งเป็นโซนออฟฟิศสำหรับนั่งทำงาน ด้านขวามือตกแต่งเป็นที่นั่งสำหรับผู้บริหาร มีฉากบางๆ กั้น เนื่องจากเป็นออฟฟิศแฟชั่น การตกแต่งการจึงดูออกแนวแฟชั่นอย่างที่เห็น ฝั่งตรงข้ามเป็นพื้นที่สำหรับพนักงาน โครงการวางโต๊ะแนวยาวจัดเป็นโต๊ะทำงาน ได้หลายที่เลยนะครับ ประหยัดพื้นที่ไปอีกแบบ ขึ้นมาถึงชั้นบนสุด จะเป็นพื้นที่อยู่อาศัย พ้นบันไดมาก็จะเป็นห้องนั่งเล่นเลย พื้นที่ติดกันจะเป็นครัวเล็กๆ สำหรับทำอาหาร อาจจะไม่ได้เป็นครัวจริงจังมาก แต่ก็พร้อมใช้งานเลยนะครับ มีหน้าต่างระบายอาหารเรียบร้อย ในขณะที่พื้นที่อีกโซนจะแบ่งออกเป็น 2 ห้องนอน คือ Master Bedroom มีห้องน้ำในตัวอยู่ในโซนหน้าบ้าน และห้องนอนเล็กอยู่โซนกลางของชั้น จริงๆ ห้องนอนเล็กนี้สามารถดัดแปลงไปใช้ประโยชน์อื่นๆ ได้อีกเยอะนะครับ ถ้าสมาชิกในครอบครัวมีไม่เยอะ จะจัดให้เป็นห้องทำงานเล็กๆ ห้องเก็บของ หรือห้องอเนกประสงค์อีกล้านไอเดียเลย ขึ้นมาที่ชั้น 4 จะเป็นชั้นสำหรับพักอาศัย ตรงหน้าบันไดโครงการตกแต่งเป็นส่วนครัวไว้ให้ดูเป็นไอเดีย Built in เป็นเคาน์เตอร์แนวยาว มี Island เล็กๆ เป็นที่นั่งรับประทานอาหาร ฝั่งตรงข้ามเป็น Living Area พื้นที่บริเวณ Living Area สามารถวางโซฟาขนาด 3 ที่นั่งได้ ระยะห่างระหว่างโซฟากับทีวีอยู่ในระยะที่ถือว่าไม่ใกล้เกินไป มุมมองจาก Living Area ไปที่ส่วนครัว จะเห็นทางออกไปบันไดหนีไฟอยู่ทางซ้ายมือ จาก Living Area จะเป็นทางเดินเข้าไปด้านใน ห้องแรกด้านขวามือจะเป็นห้องนอนเล็ก โครงการวางเตียงขนาด 3 ฟุตมาให้ดูเป็นไอเดีย อีกด้านโครงการ Built in เป็นตู้เสื้อผ้าบานสูงถึงเพดาน ฝั่งตรงข้ามห้องนอนเล็กจะเป็นห้องน้ำ พร้อมพื้นที่อาบน้ำ ไม่มีฉากกั้นให้นะครับ แต่จะดรอปพื้นลงไปเล็กน้อย ตรงเข้ามาด้านในสุดจะเป็นห้องนอน Master โครงการวางเตียงขนาด 6 ฟุตไว้ให้ดูเป็นตัวอย่าง ปลายเตียง Built in เป็นกระจกกั้น พร้อมติดทีวีแบบแขวน เดี๋ยวไปดูที่ห้องน้ำกันต่อ หน้าทางเข้าห้องน้ำโครงการจะ Built in ตู้เสื้อเป็นแบบ Walk in Closet ตู้เสื้อผ้าอยู่ที่หน้าห้องน้ำ ที่โครงการ Built in ไว้ให้ดูเป็นไอเดีย มาถึงห้องน้ำกันบ้าง ห้องน้ำในห้องนอน Master จะใช้สุขภัณฑ์ต่างจากห้องน้ำที่เราดูมาแล้วทั้งหมดนะครับ อ่างล้างหน้าทรงสี่เหลี่ยมกับกระจกเงา ฝั่งตรงข้ามเป็น Shower Box มีฉากกั้นมาให้เรียบร้อย อย่างที่บอกไปแล้วนะครับว่าตัวอาคารเน้นใช้กระจกเพื่อช่วยในการรับแสง พื้นที่แทบจะทุกส่วนของบ้านสามารถเปิดรับแสงธรรมชาติได้อย่างเต็มที่ ไม่เว้นแม้แต่โถงบันได ซึ่งจะมีหน้าต่างกระจกใหญ่ ทำให้ทางเดินบริเวณบันไดดูโล่งสบายตามากขึ้น และด้วยความที่ตัวอาคารถูกใช้งานให้เป็นออฟฟิศด้วย เรื่องความปลอดภัยก็สำคัญไม่แพ้กัน ทางโครงการออกแบบให้มีบันไดหนีไฟอยู่ทางด้านหลังอาคาร และมีประตูทางออกในทุกๆ ชั้น ช่องแสงที่โถงบันได บันไดหนีไฟบนชั้น 2 จะสังเกตเห็นทางด้านซ้ายมือ บันไดหนีไฟบริเวณครัวบนชั้น 4 และสุดท้ายก็คือเรื่องของ Facility ต่างๆ ภายในโครงการ ซึ่งทางโครงการก็จัดไว้ให้ค่อนข้างครบเลยครับ ทั้งสโมสร ฟิตเนส สวนสาธารณะ รวมถึงระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง และกล้อง CCTV รอบโครงการ เพื่อความสะดวกสบาย และความอุ่นใจของลูกบ้านทางโครงการก็ไม่ลืมให้ความใส่ใจทุกจุดอย่างเต็มที่นะครับ District เอกมัย-รามอินทรา สามารถตอบโจทย์คนที่กำลังมองหาบ้านแบบ Home Office ที่อยู่ในย่านที่เดินทางสะดวก แวดล้อมไปด้วยสาธารณูปโภคครบครัน และเอื้อประโยชน์ทั้งในแง่ของการประกอบกิจการธุรกิจต่างๆ พร้อมทั้งไม่ทิ้ง Life Style แบบคนเมืองที่สามารถออกไปพบปะลูกค้า หรือสังสรรค์หลังเลิกงานได้สบายๆ ในขณะเดียวกันพื้นที่ภายในบ้านก็กว้างมากพอให้สามารถปรับฟังก์ชั่นการใช้สอยได้ตามลักษณะธุรกิจ เติมเต็มทุกจินตนาการ ต่อยอดกิจการใหม่ได้อย่างไม่สิ้นสุด และยังมีพื้นที่อยู่อาศัยสบายๆ ที่คุณจะพบจังหวะใหม่ในการทำงานที่สอดคล้องไปกับชีวิตส่วนตัวได้อย่างกลมกลืนเลยทีเดียว
สำรวจทำเล โฮมออฟฟิศ โครงการใหม่ล่าสุด ย่านเอกมัย-รามอินทรา เพื่อชีวิตและธุรกิจที่ลงตัว : รีวิวทาวน์โฮม

สำรวจทำเล โฮมออฟฟิศ โครงการใหม่ล่าสุด ย่านเอกมัย-รามอินทรา เพื่อชีวิตและธุรกิจที่ลงตัว : รีวิวทาวน์โฮม

รีวิวฉบับนี้ เรากำลังพูดถึง District เอกมัย-รามอินทรา โครงการ Home Office สุดหรูย่านเอกมัย-รามอินทรา หนึ่งในทำเลที่แวดล้อมด้วยสังคมเมืองของคนรุ่นใหม่ที่น่าจับตาในเวลานี้ เพื่อให้ทุกคนเห็นสภาพแวดล้อมของสังคมที่ดีและคุณภาพชีวิตอันสะดวกสบาย ไปจนถึงละแวกโดยรอบที่เอื้ออำนวยต่อการอยู่อาศัยและทำธุรกิจในเวลาเดียวกัน เราจะมาพูดถึงความพิเศษที่ District เลือกปักหมุดทำเลในย่านนี้กันครับ Lifestyle สุดชิค ชีวิตแบบคนเมือง เริ่มตั้งแต่ตัวโครงการ District ที่เป็น Home Office ดีไซนต์ทันสมัยภายใต้คอนเซปต์ Modern Luxury เพื่อตอบโจทย์รูปแบบชีวิตที่ลงตัวของคนรุ่นใหม่ เพื่อให้จังหวะชีวิตและมุมมองธุรกิจเป็นหนึ่งเดียวกัน พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการเพื่อการอยู่อาศัยที่ครบถ้วนสมบูรณ์ รวมถึงบริเวณโดยรอบของ District เอกมัย-รามอินทรา ก็แวดล้อมไปด้วย Community Place และบรรดาห้างสรรพสินค้าชั้นนำที่ขับรถไปได้ในเวลาไม่กี่นาที ตอบโจทย์การใช้ชีวิตตลอด 24 ชั่วโมง ด้วย Supermarket และ Grocery Store ชั้นนำที่เปิดให้บริการทั้งวันทั้งคืนอย่าง Foodland และ Max Value รวมถึง Tops Supermarket และ Tops Food Market ให้คนรักการทำอาหารได้จับจ่ายของเข้าครัว หรือจับจ่ายของอุปโภคบริโภคนำเข้าจากต่างประเทศ ทีนี้ไม่ว่าจะต้องทำงานอยู่ดึกแค่ไหนก็หายห่วง หรือว่าอยากเปลี่ยนบรรยากาศนั่งชิลร้านกาแฟ คาเฟ่เก๋ๆ ในละแวกนี้ก็มีให้เลือกเพียบ ทั้งใน Community Mall ชื่อดังประจำย่านอย่าง Crystal Design Center (CDC) และ The Crystal Park ที่มีคาเฟ่น่านั่งอยู่มากมาย ในขณะที่ห้างสรรพสินค้าใหญ่ๆ ชั้นนำก็ตั้งอยู่ห่างออกไปไม่ไกล ที่ทันสมัยและชิคสุดในเวลานี้ต้องยกให้ Central Festival East Ville ห้างใหม่เลียบทางด่วนรามอินทราที่ดึงดูดทุกไลฟ์สไตล์ไว้อย่างไม่ตกเทรน หรือจะขยับไปอีกนิด ก็ยังมี Central Plaza Ladprao ที่คุ้นเคยไว้ให้อุ่นใจอีกแห่ง เรื่องชิคเรื่องช๊อปยังไม่หยุดอยู่แค่นี้ แหล่งช็อปสุดแนวทั้งตลาดนัดเลียบด่วน และตลาดนัดหัวมุม ก็เป็นอีกตัวเลือกบนถนนเลียบทางด่วนรามอินทราสำหรับวันสบายๆ ที่อยากอัพเดทเทรนวัยรุ่น หรือหาแรงบันดาลใจใหม่ๆ เพื่อต่อยอดธุรกิจก็น่าสนใจไม่แพ้กัน Varity of Foods นานาร้านอาหารชื่อดัง ที่เลือกกินได้แบบไม่ซ้ำ บอกแล้วว่าใกล้ๆ กับโครงการ District เอกมัย​-รามอินทรานี่มีของดีเพียบ รอบโครงการก็เต็มไปด้วยร้านอาหารนานาชนิด อร่อยง่ายๆ ตลอดทั้งซอยรามอินทรา 40 และถนนนวลจันทร์ แต่ถ้าชีวิตคนเมืองต้องป๊อป ต้องชิค ร้านเด่นร้านดังก็มีให้เลือก Hangout ได้ไม่เว้นวัน ไม่ว่าจะเป็นนัดกินมื้อกลางวันแบบคลูๆ ที่ On The Table, Zen, กัลปพฤกษ์ หรือร้านก๋วยเตี๋ยวแม่ศรีเรือน ก็ไม่เลวสำหรับวันทำงาน ส่วนค่ำๆ ขอเลยเถิดอีกนิด จิบเครื่องดื่มเย็นๆ ที่ Est.33, Wine Connection, Wine I Love You ที่ CDC ก็รวบรวมไว้ครบในที่เดียว แต่ถ้ายังไม่พอ ขับรถต่อไปอีกหน่อยก็ถึง เอกมัย-ทองหล่อ ย่านปาร์ตี้แถวหน้าที่ไม่มีใครไม่รู้จัก แค่ใช้เส้นทางถนนหลักเลียบทางด่วนรามอินทราไปแค่นี้ก็สะดวกสุดๆ แล้ว เชื่อมต่อทุกการเดินทาง เข้าสู่ใจกลางเมืองได้ง่ายยิ่งกว่าใคร ประเด็นสำคัญในการเลือกซื้อบ้าน หรือหาที่ตั้งออฟฟิศก็คือ เรื่องของการเดินทาง แน่นอนว่า District เอกมัย-รามอินทรา อยู่ในทำเลที่ตอบโจทย์การเดินทางครบทุกข้อ เริ่มตั้งแต่ตำแหน่งของโครงการที่ใกล้ถนนเลียบทางด่วนรามอินทรา-อาจณรงค์ มีด่านขึ้นลงอยู่ไม่ไกล เข้าซอยมาไม่ลึกก็เจอเลย สังเกตุเห็นได้ไม่ยากครับ ซึ่งเป็นเรื่องดีสำหรับการเปิดกิจการ อีกทั้งยังสามารถเข้าออกได้หลายทางอีกด้วย เช่น จากถนนรามอินทรา ก็ให้เข้ามาทางซอยรามอินทรา 40 หรือถ้ามาจากทางถนนเลียบทางด่วน ก็ให้เลี้ยวเข้าถนนนวลจันทร์ เข้ามานิดเดียวก็เห็นป้ายซอยรามอินทรา 40 เลี้ยวซ้ายมาอีกหน่อยก็ถึงโครงการแล้วครับ แค่เส้นทางหลักๆ สองอันนี้ก็อธิบายให้ใครต่อใครเข้าใจได้ง่ายแบบสุดๆ ข้อดีของทำเลบนถนนนวลจันทร์นี้ยังมีอีกเยอะทีเดียว เพราะถึงแม้จะเป็นถนนสายรอง แต่ก็เชื่อมต่อไปยังถนนหลายๆ เส้น ทั้งถนนเกษตร-นวมินทร์ ถนนประเสิรฐมนูกิจ ถนนพหลโยธิน ถนนลาดพร้าว ถนนวิภาวดี หรือไปถึงย่านสุขุมวิท เอกมัย-ทองหล่อก็ง่าย มีซอยให้ลัดเลาะมากมาย แถมมีถนนวงแหวนอยู่ใกล้ๆ ให้ใช้อีก ไม่ว่าจะเดินทางไปที่ไหน หรือต้องติดต่องาน นัดลูกค้าไว้ในย่านใดก็จัดว่าสะดวกมากๆ ตอบโจทย์ในแง่ของการเดินทางเพื่อการติดต่อธุรกิจที่ง่ายแบบนี้นี่เอง จึงไม่น่าแปลกใจที่ทำเลในย่านนี้จะมีโครงการที่เป็น Home Office ค่อนข้างเยอะ นอกจากนี้การเดินทางที่สะดวกที่สุดสำหรับคนเมืองอย่างรถไฟฟ้าก็ไม่ได้อยู่ไกลเกินฝันนะครับ เพราะที่ตั้งของ District อยู่ในเส้นทางของรถไฟฟ้าสายสีชมพู ที่ยังไงๆ ในอนาคตก็ต้องได้ใช้อย่างแน่นอน พอรถไฟฟ้ามาถึง การเดินทางก็จะยิ่งสะดวกมากขึ้นไปอีก ไม่ว่าจะทำธุรกิจอะไรก็คงประสบความสำเร็จได้ไม่ยาก จากแผนที่จะเห็นโครงการ District เอกมัย-รามอินทรา อยู่ในซอยรามอินทรา 40 ที่เชื่อมต่อระหว่างถนนรามอินทรากับถนนนวลจันทร์ที่แยกมาจากถนนประดิษฐ์มนูธรรม หรือที่เรียกกันติดปากว่าถนนเลียบทางด่วนรามอินทรา ซึ่งถือเป็นเส้นหลักในการเดินทางในย่านนี้ นอกจากนี้ยังอยู่ไม่ไกลจากจุดขึ้น-ลงทางด่วนรามอินทรา-อาจณรงค์อีกด้วย ส่วนบรรยากาศในย่านนี้จะเต็มไปด้วย Home Office, ร้านค้า และร้านอาหารต่างๆ มากมายเลยนะครับ ไล่ตั้งแต่หน้าปากซอยนวลจันทร์ด้านถนนประดิษฐ์มนูธรรม เรื่อยเข้าไปถึงในซอยรามอินทรา 40 และยาวเข้าไปในถนนนวลจันทร์ก็จะเต็มไปด้วย Office Building, Home Office และร้านค้าต่างๆ พอรวมทุกศักยภาพของทำเลที่ District เอกมัย-รามอินทรา เลือกปักหมุดในตำแหน่งนี้แล้ว ก็ต้องบอกว่าโครงการนี้ถือเป็น Home Office ที่น่าจับตาเป็นอย่างมาก ปัจจัยโดยรอบสามารถตอบโจทย์การทำงาน และไลฟ์สไตล์ที่มีสีสัน ให้คุณมีแรงบันดาลใจในการทำงาน รวมถึงมีจังหวะชีวิตอย่างสมบูรณ์แบบรอบด้านทั้งครอบครัวและธุรกิจ ถ้าคุณกำลังมองหา Home Office ในฝัน เราเชื่อว่า District เอกมัย-รามอินทรา เป็นหนึ่งในโครงการที่ดีที่สุดโครงการหนึ่งที่สำหรับคุณ สำหรับโครงการ District เอกมัย-รามอินทรา จะเปิดจองครั้งแรกในวันที่ 25-26 มิถุนายนนี้ ในราคาเริ่มต้น 8.9 - 15.9 ล้านบาท ใครสนใจสามารถลงทะเบียนเพื่อรับสิทธิพิเศษได้ที่นี่เลยนะครับ www.apthai.com/โฮมออฟฟิศ/district/district-ekkamai-ramintra/
DISTRICT เอกมัย-รามอินทรา : รีวิวทาวน์โฮม

DISTRICT เอกมัย-รามอินทรา : รีวิวทาวน์โฮม

DISTRICT เอกมัย-รามอินทรา โฮมออฟฟิศรูปแบบใหม่ในซอยรามอินทรา 40 ด้วยการออกแบบภายใต้ Concept Modern Luxury ทั้งการออกแบบภายนอกและภายใน อำนวยความสะดวกด้วย Private Parking 2-6 คัน ตอบโจทย์การอยู่อาศัยอย่างสมบูรณ์แบบด้วยพื้นที่ส่วนกลาง สโมสร และ ฟิตเนสภายในโครงการ โครงการใหม่ล่าสุดจาก AP เปิดจอง 25-26 มิถุนายนนี้ ลงทะเบียนเพื่อรับสิทธิพิเศษได้ที่ www.apthai.com     รายละเอียดโครงการ   ราคาเริ่มต้น     8.99 - 15.90 ล้านบาท เจ้าของโครงการ     บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) ลักษณะโครงการ     โฮมออฟฟิศ 3.5 ชั้น และ 4 ชั้น จำนวน 36 หลัง เนื้อที่ทั้งหมด    6 - 0 - 9.6 ไร่ ที่ตั้งโครงการ    ซอยรามอินทรา 40 แขวงนวลจันทร์ เขตบึงกุ่ม กรุงเทพฯ   สถานที่สำคัญใกล้เคียง   สนามกอล์ฟนวลจันทร์    450 M โรงเรียนเลิสหล้า     3.5 KM Cristal Park     4.2 KM โรงพยาบาลพญาไท นวมินทร์     4.7 KM CDC     5 KM Tesco Lotus     5 KM Home Pro     5 KM Central Festival     5 KM โรงเรียนสตรีวิทยา 2     5 KM Central Plaza     7 KM มหาวิทยาลัยเกษตร     8 KM มหาวิทยาลัยศรีปทุม     9 KM แบบบ้านและขนาดพื้นที่ใช้สอย   โฮมออฟฟิศ 4 ชั้น พื้นที่ใช้สอย 360.95 ตร.ม. จำนวน 24 ยูนิต พื้นที่จอดรถส่วนตัว 6 คัน โฮมออฟฟิศ 3.5 ชั้น พื้นที่ใช้สอย 172.80 ตร.ม. จำนวน 12 ยูนิต พื้นที่จอดรถส่วนตัว 2-3 คัน   สิ่งอำนวยความสะดวก   สโมสร พร้อมห้องฟิตเนส สวนสาธารณะ ป้อมยามรักษาความปลอดภัย กล้อง CCTV รอบโครงการ ระบบสายไฟฟ้าปักเสาพาดสาย ตามแบบมาตราฐานการไฟฟ้านครหลวง ระบบท่อเมนประปา ตามแบบมาตราฐานการประปานครหลวง ถนนคอนกรีตหลักกว้าง 9 เมตร   สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร :  1623 ดูรายละเอียดเพิ่มเติม : www.apthai.com