อนันดา ปิดฉากปี'60 โชว์รายได้ 13,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% จากปีก่อน พร้อมยอดขายกว่า 34,900 ล้านบาท เปิดตัวคอนโด 11 โครงการ มูลค่ากว่า 36,600 ล้านบาท ประกาศแผนธุรกิจปี'61 เป้าโอน 38,000 ล้านบาท เปิดโครงการใหม่ 16 โครงการ มูลค่ากว่า 35,100 ล้านบาท ตั้งเป้าโต 4 ปี ยอดโอน 70,000 ล้านบาท นายชานนท์ เรืองกฤตยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า ผลการดำเนินงานของบริษัท สามารถสร้างสถิติสูงสุดทั้งการเปิดโครงการใหม่ ยอดขาย และรายได้ โดยมูลค่าโครงการอยู่ที่ 42,500 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 105% จากปีก่อน และยอดขายมูลค่า 34,920 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 39% จากปีก่อน และรายได้ 12,950 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% จากปีก่อน ประกอบด้วย รายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ 8,932 ล้านบาท รายได้อื่น 4,018 ล้านบาท ส่วนใหญ่มาจากรายได้จากโครงการร่วมทุน และรายได้จากงานก่อสร้างโครงการภายนอกบริษัท ทั้งนี้บริษัทมีกำไรสุทธิ 1,328 ล้านบาท ลดลง 12% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน โดยส่วนใหญ่มาจากการเปิดโครงการใหม่ที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ ยอดขายรอรับรู้รายได้(แบ็คล็อค) กว่า 53,700 ล้านบาท รองรับการโอนใน 3 ปีข้างหน้า ซึ่งเพิ่มขึ้น 30% จากสิ้นปีก่อน ซึ่งในปีที่ผ่านมา บริษัทได้เปิดตัวคอนโดมิเนียม 11 โครงการ และแนวราบ 5 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 42,500 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 105% จากปีก่อน และจากการเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ 11 โครงการ มูลค่าโครงการกว่า 36,600 ล้านบาท ส่งผลให้ในปี 2560 บริษัทเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่เปิดตัวคอนโดมิเนียมสูงที่สุดในประเทศ โดยไตรมาส 4 บริษัทได้เปิดตัวคอนโดมิเนียมใหม่ 2 โครงการ มูลค่าโครงการกว่า 8,400 ล้านบาท ประกอบด้วย ไอดีโอ โมบิ พระราม 4 มูลค่า 5,000 ล้านบาท ติดรถไฟฟ้าสถานีคลองเตย และเอลลิโอ เดล มอสส์ มูลค่า 3,400 ล้านบาท ติดรถไฟฟ้าสถานีเสนานิคม บริษัทสามารถสร้างยอดขายได้ 9,800 ล้านบาท สูงกว่าเป้าที่วางไว้ 7,500 ล้านบาท ถึง 31% ทั้งนี้ บริษัทประสบความสำเร็จในการขายไปยังต่างประเทศจากโครงการใหม่ และโครงการที่เปิดขายไปก่อนหน้า มูลค่าการขาย รวม 9,775 ล้านบาท เพิ่มสูงขึ้น 164% จากปีก่อน ขายไปยังลูกค้าใน 38 ประเทศ ส่งผลให้บริษัทก้าวสู่การเป็นบริษัทที่มียอดขายต่างประเทศสูงที่สุดในประเทศในปี 2560 ทำให้บริษัทสามารถสร้างยอดขายรวมในประเทศ และต่างประเทศกว่า 34,900 ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 7% นอกจากนี้บริษัทฯ ยังคงรักษาวินัยทางการเงิน และประสบความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจให้เติบโต พร้อมดำรงอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิซึ่งหักด้วยเงินสดต่อส่วนทุนอยู่ที่ 0.77 :1 เท่านั้น ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายระยะยาวของบริษัทในระดับ 1:1 ขณะเดียวกัน บริษัทได้ร่วมทุนพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ในเขตกรุงเทพมหานคร ร่วมกับมิตซุย ฟูโดซัง เพิ่มเติมอีก 6 โครงการมูลค่ารวม 25,000 ล้านบาท ประกอบด้วย ไอดีโอ คิว สุขุมวิท 36 ,ไอดีโอ พระราม 9 ตัดใหม่ ,เอลลิโอ เดล เนสต์ ,ไอดีโอ โมบิ รางน้ำ , เอลลิโอ เดล มอสส์ และคอนโดมิเนียมใกล้พระราม 9 ซึ่งมีมูลค่าร่วมทุนรวม 21 โครงการกว่า 95,000 ล้านบาท บริษัทมีอัตรากำไรขั้นต้น เพิ่มขึ้นจากปีก่อน แสดงให้เห็นการมีวินัยทางการเงินในการรักษาผลกำไรของบริษัท แม้ว่าอยู่ในช่วงของการเติบโต นอกจากนี้กระแสเงินสดของบริษัทยังคงมีความแข็งแกร่ง โดย ณ สิ้นสุดไตรมาสยังคงรักษาเงินสดขนาดใหญ่ที่มีมากกว่า 2,000 ล้านบาท บริษัทยังได้รับการสนับสนุนที่แข็งแกร่งและต่อเนื่องจากสถาบันการเงินชั้นนำ และมีทางเลือกในการจัดหาแหล่งเงินทุนที่หลากหลายเพื่อตอบสนองความต้องการเงินสดของบริษัทฯตลอดทั้งปี ซึ่งสามารถเลือกใช้ได้ตามสถานการณ์ สำหรับแผนดำเนินงานในปี 2561 บริษัทตั้งเป้ายอดโอนเติบโตสูงถึง 152% เป็น 38,000 ล้านบาท โดยในปี 2561 บริษัทคาดว่ามีคอนโดมิเนียมที่จะก่อสร้างแล้วเสร็จและเริ่มโอน 9 โครงการ เพิ่มเติมจากในปี 2560 ซึ่งมีคอนโดมิเนียมใหม่ที่สร้างแล้วเสร็จ และเริ่มโอนจำนวน 8 โครงการ รวมทั้ง มีแผนเปิดโครงการใหม่ในปี 2561 จำนวน 16 โครงการ มูลค่ากว่า 35,100 ล้านบาท โดยเป็นคอนโดมิเนียม 8 โครงการ ร่วมทุนกับมิตซุย ฟูโดซังจำนวน 7 โครงการ และแนวราบ 8 โครงการ โดยตั้งเป้ายอดขายใกล้เคียงกับปีก่อน 35,100 ล้านบาท จาก 34,900 ล้านบาท ในปี 2560 พร้อมเป้าหมายในการรักษาอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนทุนในระดับประมาณ 1:1 สอดคล้องกับเป้าหมายระยะยาวในการบริหารงานของบริษัทอีกด้วย บริษัทตั้งเป้าหมายในการพัฒนาโครงการร่วมทุนเพิ่มขึ้น ด้วยมูลค่าโครงการร่วมทุนเกินกว่า 114,000 ล้านบาท ในปี 2561 จาก 95,000 ล้านบาท ในปี 2560 ส่งผลให้บริษัทสามารถรักษาตำแหน่งผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีมูลค่าโครงการร่วมทุนสูงที่สุดในประเทศ "จากการรักษาการเติบโตของธุรกิจ และผลการดำเนินงานที่ดี รวมถึงยังรักษาความมีวินัยด้านต้นทุนการดำเนินงาน ทำให้อนันดายังคงครองความเป็นผู้นำคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้าในกรุงเทพฯ และผู้นำในการพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ ทั้งด้านการออกแบบอาคาร และการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ด้านอื่นๆ ทำให้ยังคงตั้งเป้าเป็นผู้นำตลาดคอนโดมิเนียมต่อไป ปี 2561 เป็นส่วนหนึ่งของ "4 in 4 Roadmap ระยะเวลาแห่งการเติบโตมากกว่า 4 เท่าใน 4 ปี" โดยบริษัทคาดหวังว่ายอดโอนจะเติบโตเกินกว่า 400% จากระดับกว่า 15,100 ล้านบาท ในปี 2560 เป็น 70,000 ล้านบาท ในปี 2564 ด้วยผลสำเร็จจากเงินลงทุนภายหลังจากการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในปี 2561 บริษัทคาดว่ามีคอนโดมิเนียมที่จะก่อสร้างแล้วเสร็จและเริ่มโอน 9 โครงการ เพิ่มเติมจากในปี 2560 ซึ่งมีคอนโดมิเนียมใหม่ที่สร้างแล้วเสร็จ และเริ่มโอน 8 โครงการ" นายชานนท์ กล่าว บริษัทมีความภูมิใจเป็นอย่างยิ่งจากการได้รับผลสำรวจจากดัชนีความไว้วางใจในแบรนด์สูงที่สุดสำหรับกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ประเภทคอนโดมิเนียมในปี 2560 จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (CU-Brand Trust Index in the real estate industry) สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของบริษัทในการส่งมอบสินค้า และบริการที่มีคุณภาพให้กับลูกค้า พร้อมรับรู้ได้มายังแบรนด์ของบริษัท ทั้งนี้คณะกรรมการบริษัทเตรียมขออนุมัตินำเสนอที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้น เพื่อพิจารณาการเพิ่มเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้น เป็น 12.75 สตางค์ เพิ่มขึ้น 2% จากปีก่อนหน้านี้ โดยเป็นการเพิ่มเงินปันผลขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปีตั้งแต่มีการเสนอขายหุ้น IPO ของบริษัท