แม้จะก่อตั้งบริษัทมาได้เพียง 5 ปี แต่สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) กลับสามารถโชว์ศักยภาพขยายธุรกิจไปไกลทั่วโลก ตอกย้ำวิสัยทัศน์ในการก้าวขึ้นสู่ “Global Holding Company” ประกาศเดินหน้าธุรกิจโรงแรม รีสอร์ท ในนามบริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) เพื่อรองรับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง มุ่งสู่การเป็นผู้ลงทุนและบริหารจัดการโรมแรมชั้นนำระดับนานาชาติ นายนริศ เชยกลิ่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) เผยว่า สำหรับสิงห์ เอสเตท ปัจจุบันมีธุรกิจด้านการลงทุนและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในสามส่วนหลัก ได้แก่ Residential ธุรกิจที่อยู่อาศัย ปัจจุบันที่มีทั้งหมด 21 โครงการ ซึ่งในปีนี้จะรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่องจากโครงการ THE ESSE ASOK, Santiburi The Residences, Banyan Tree Residence Riverside Bangkok และ THE ESSE at SINGHA COMPLEX ที่จะเริ่มโอนกรรมสิทธิ์ประมาณไตรมาส 3-4 ปีนี้ Commercial ธุรกิจอาคารสำนักงานทั้ง Prime Real Estate Investment Trust และอาคารสำนักงานให้เช่าอย่าง SINGHA COMPLEX ที่ตอนนี้มีพื้นที่ว่างเหลือเพียง 10% Hospitality ธุรกิจโรงแรม รีสอร์ท ทั้งที่เป็นเจ้าของแบรนด์เอง การซื้อแบรนด์มาบริหาร การเข้าไปบริหารจัดการให้ และการร่วมทุน ซึ่งตั้งอยู่ในแหล่งท่องเที่ยวสำคัญระดับโลกกระจายอยู่ใน 5 ประเทศ 3 ภูมิภาคทั้งหมด 39 แห่งในปีนี้ (จากเดิม 37 แห่ง) รวมทั้งหมด 4,647 ห้อง “สำหรับปี 2019 นี้ถือเป็นปีแห่งการเริ่มเก็บเกี่ยวที่สำคัญมากสำหรับ สิงห์ เอสเตท เพราะตั้งแต่เริ่มก่อตั้งองค์กรเมื่อปี 2014 ก็มีการลงทุนเรื่อยมา จนในปีนี้จะเริ่มรับรู้รายได้เต็มจากการลงทุนทั้ง 3 ธุรกิจ ซึ่งเราสามารถทำทุกอย่างเป็นไปตามแผนที่วางเอาไว้ตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทปี 2014 ที่แรกเริ่มนั้นมีมูลค่าสินทรัพย์รวม 9,000 ล้านบาท จนถึงปัจจุบันมีมูลค่าสินทรัพย์ 60,000 ล้านบาท เติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดดถึง 700% ซึ่งเป็นส่วนของธุรกิจโรงแรม 26,000 ล้านบาท” หลังจากที่นำธุรกิจต่างๆ เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ โดยเริ่มจากบริษัทเนอวานา ไดอิ จำกัด (มหาชน) กองทรัสต์ Sprime สำหรับธุรกิจอาคารสำนักงาน และล่าสุดกับธุรกิจ Hospitality อย่างบริษัทเอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) เน้นสินค้าที่เป็นพรีเมียมเท่านั้น และการขยายธุรกิจไปทั่วโลก รวมถึงการพัฒนาอย่างยั่งยืนก็จะทำให้ปี 2019 นี้ บริษัทฯ จะก้าวสู่ความเป็น Global Holding Company อย่างสมบูรณ์ นายเดิร์ก เดอ ไคย์เปอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ SHR กล่าวถึงธุรกิจโรงแรม รีสอร์ทว่า บริษัทมีวิสัยทัศน์ที่จะเป็นผู้ลงทุนและบริหารจัดการโรงแรม รีสอร์ท ในระดับพรีเมียมมอบความแตกต่างให้กับลูกค้าด้วยประสบการณ์การพักผ่อนท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ดีและกิจกรรมอันหลากหลาย ใส่ไอเดียความคิดสร้างสรรค์ลงไปแล้วออกแบบมาเพื่อความยั่งยืน โดยเราให้ความสำคัญกับการกำหนดทิศทางธุรกิจเพื่อการเติบโตและรักษาสมดุลในสังคม ชุมชนและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ปัจจุบัน SHR มีโรงแรมทั้งหมด 39 แห่งกระจายอยู่ทั่วโลก เช่น สาธารณรัฐมัลดีฟส์ สาธารณรัฐหมู่เกาะฟิจิ สาธารณรัฐมอริเชียส สหราชอาณาจักร และประเทศไทยโดยมีการแบ่งกลุ่มทรัพย์สินตามลักษณะการประกอบธุรกิจ ได้แก่ -โรงแรมที่บริษัทฯ บริหารจัดการเอง คือ โรงแรม พีพี ไอส์แลนด์ วิลเลจ บีช รีสอร์ท และ โรงแรมสันติบุรี เกาะสมุย -โรงแรมในสหราชอาณาจักร จำนวน 29 แห่ง ดำเนินงานภายใต้แบรนด์ Mercure และแบรนด์ Holiday Inn -โรงแรม Outrigger ซึ่งเป็นกลุ่มโรงแรมจำนวน 6 แห่งที่ดำเนินกิจการภายใต้แบรนด์ Outrigger -โครงการ ครอสโรดส์ (CROSSROADS) เฟส 1 ซึ่งเป็นการพัฒนาโครงการบนเกาะจำนวน 3 เกาะ ในสาธารณรัฐมัลดีฟส์ ประกอบด้วย โรงแรม 2 แห่ง ได้แก่ โรงแรม SAii Lagoon Maldives, Curio Collection by Hilton และโรงแรม Hard Rock Hotel Maldives รวมถึงศูนย์รวมการให้บริการ เพื่อการพักผ่อนและสิ่งบันเทิงในโครงการ Marina @ CROSSROADS และเกาะที่อยู่ระหว่างการพัฒนาเป็นโรงแรมอีก 1 เกาะ มีอัตราการเข้าพักของแต่ละตลาดคือ ในสหราขอาณาจักร 71% ในประเทศไทย ประมาณ 76% และในตลาดต่างประเทศอื่นๆ เฉลี่ย 80% ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ในภูมิภาคเอเชีย ในส่วนของมัลดีฟส์ โครงการยังอยู่ระหว่างก่อสร้าง แต่ยอด Occupancy เฉลี่ยของตลาดอยู่ที่ 70-71% ซึ่งคาดว่าเมื่อเริ่มเปิดดำเนินงานน่าจะมียอดพอๆ กัน ทั้งนี้มีแผนการพัฒนาแบรนด์ใหม่ “SAii” โดยจะเริ่มใช้ในโรงแรมแห่งใหม่ที่มีชื่อว่า “SAii Lagoon Maldives, Curio Collection by Hilton” ที่ตั้งอยู่ในโครงการ CROSSROADSเฟส 1นอกจากนี้ยังมองหาโอกาสใหม่ๆ ที่จะทำให้สามารถทำธุรกิจโรงแรมระดับกลางค่อนไประดับบน (Upper Mid-scale) ได้อย่างต่อเนื่องในอนาคตซึ่งปัจจัยในการเลือกที่จะเข้าไปลงทุนในแต่ละสถานที่จะต้องประกอบไปด้วยการอยู่ในแหล่งท่องเที่ยวที่มีศักยภาพ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้อสูง ทำเลของโครงการที่ดี งบในการพัฒนา สามารถพัฒนาแบบ Greenfield หรือพัฒนาแบบ Brownfieldและได้ตั้งเป้าในปี 2025 ว่าจะมีโรงแรม รีสอร์ทรวม 75 แห่งทั่วโลก นางฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวปิดท้ายว่า SHR มีทุนจดทะเบียน 17,000 ล้านบาท โดยชำระไปส่วนหนึ่งแล้ว 1 หมื่นล้าน โดยธุรกิจโรงแรมนี้ถือเป็นธุรกิจที่สามารถสร้างรายได้หมุนเวียนที่สร้างรายได้แบบต่อเนื่องหรือที่เรียกว่า recurring income ให้กับสิงห์ เอสเตท โดยในปี 2018 ที่ผ่านมา SHR ถือเป็นหนึ่งในรายได้หลักคิดเป็น 1 ใน 3 สิงห์ เอสเตท โดยในปี 2018 ที่ผ่านมา รายได้นับเป็น 40% ของรายได้ทั้งหมดของ Singha Estateจากการให้เช่าโรงแรม รีสอร์ท 37 แห่งทั่วโลก “การนำเอา SHR เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยก็เพื่อสร้างเสถียรภาพให้มีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นกับองค์กร ทำให้เป็นแหล่งระดมทุนที่มีศักยภาพ เพิ่มความคล่องตัวในการทำธุรกิจ และเพิ่มโอกาสในการขยายทางธุรกิจ เพื่อตอบโจทย์ด้านกลยุทธ์ในการเติบโตต่อไป” ขณะนี้ได้ทำการยื่น Filing กับ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) แล้วเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม โดยวางแผนเสนอขายหุ้นIPO ทั้งในและต่างประเทศเป็นจำนวนไม่เกิน 40% ของทุนชำระแล้ว ซึ่งจะยังคงสัดส่วนการถือหุ้นใหญ่ใน SHRไม่ต่ำกว่า 51% และคาดว่าจะสามารถเปิดเทรดในตลาดได้ประมาณไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ สามารถตรวจสอบรายละเอียดของการเสนอขายหลักทรัพย์จากแบบรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์และร่างหนังสือชี้ชวนของ เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท ได้ทาง www.sec.or.th และ www.shotelsresorts.com