ตัวเลขยอดพรีเซลล์ 400 ล้านบาท จากการเปิดขายเพียง 2 วัน สำหรับโครงการในต่างจังหวัด ถือเป็นตัวเลขไม่ธรรมดาเลยสำหรับแบรนด์พฤกษา ที่ได้เปิดขายโครงการ “พฤกษา อเวนิว หนองมน-ชลบุรี” ท่ามกลางมาตรการควกบคุมวงเงินสินเชื่อต่อหลักประกัน หรือ LTV ที่ถูกนำมาใช้สกัดกลุ่มนักลงทุนหรือนักเก็งกำไรเป็นหลัก แต่ต้องยอมรับว่าเรียลดีมานด์บางกลุ่มก็ได้รับผลกระทบด้วย เพราะทำให้การเข้าถึงสินเชื่อได้ยากขึ้น นายธีรเดช เกิดสำอางค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจทาวน์เฮาส์ บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า พฤกษาเป็นผู้นำตลาดในกลุ่มทาวนเฮ้าส์หรือทาวน์โฮม นับตั้งแต่ดำเนินธุรกิจ โดยเป็นผลจากการวาง 4 กลยุทธ์หลักในการพัฒนาโครงการ ได้แก่ 1.Defend Cor Business การรักษาฐานกลุ่มตลาดหลัก กลุ่มบ้านราคากลางลงล่าง ในระดับราคา 1.5-2 ล้านบาทและราคา 2-3 ล้านบาท ด้วยการพัฒนาโครงการออกมาอย่างต่อเนื่อง ปัจจบันมี 70โครงการที่ดำเนินการขาย และเปิดโครงการใหม่ในปีนี้ 12 โครงการ ภายใต้แบรนด์บ้านบพฤกษา และพฤกษาวิลล์ 2.Expand to Market Middle-Hight การขยายตลาดไปยังกลุ่มบ้านระดับกลางขึ้นบน ในกลุ่มบ้านระดับราคา 3-5 ล้านบาท ราคา 5-7 ล้านบาท และราคา 7-10 ล้านบาท ซึ่งมีโครงการอยู่ระหว่างดำเนินการ 30 โครงการ และเปิดโครงการใหม่ในปีนี้ 9 โครงการ ภายใต้แบรนด์เดอะ คอนเนค และ พาทิโอ 3.Expand to New Potential Market การขยายตลาดสู่จังหวัดที่มีศักยภาพ เช่น จังหวัดชลบุรี ภูเก็ต และเชียงใหม่ ปัจจุบันพฤกษามีโครงการในต่างจังหวัดที่เปิดการขายอยู่ 15 โครงการ และเปิดใหม่ในปีนี้อีก 7 โครงการ 4.New Marketing Approach การทำตลาดด้วยวิธีการใหม่ๆ เช่น การตลาดดิจิทัล การใช้ออนไลน์ การใช้ดาต้าเบสมาวิเคราะห์กลุ่มลูกค้า “เรามีความเชี่ยวชาญในการพัฒนาและมองทำเลที่ถูกต้อง ด้วยการใช้ข้อมูลและการวิจัย มีฐานข้อมูลจากการทำธุรกิจมากว่า 25 ปี สามารถนำเอาโปรดักส์ไปแมทกับทำเล ราคา และกลุ่มเป้าหมาย” 3 กลยุทธ์ปักหมุดพื้นที่ EEC ปัจจุบันพฤกษาออกไปทำตลาดในพื้นที่ต่างจังหวัดหลายแห่ง ซึ่งหลักเกณฑ์ในการพิจารณาการขยายตลาดในต่างจังหวัด จะใช้ 2 หลักเกณฑ์ในการคัดเลือก คือ ต้องเป็นเมืองท่องเที่ยว และต้องเป็นเมืองที่มีอุตสาหกรรม เพราะ 2 หลักเกณฑ์ดังกล่าวจะบ่งบอกได้ถึง ปริมาณกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่มีมากเพียงพอต่อการพัฒนาโครงการออกมาขาย ซึ่งพื้นที่ 3 จังหวัดหลักๆ ที่พฤกษาพัฒนาโครงการมากที่สุด ได้แก่ 1.พื้นที่ 3 จังหวัดเขต EEC หรือ โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจ พิเศษภาคตะวันออก ได้แก่ จังหวัดชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา มีจำนวน8 โครงการ มูลค่า 6,400 ล้านบาท แต่หากนับรวมโครงการที่ปิดการขายไปแล้วอีก 5 โครงการ พื้นที่ EEC จะมีโครงการที่พัฒนาโดยรวมแล้ว 12,000 ล้านบาทเลยทีเดียว 2.จังหวัดภูเก็ต มีจำนวนโครงการ 6-7 โครงการมูลค่า 22,000 ล้านบาท 3.จังหวัดเชียงใหม่ มีจำนวน 3-4โครงการ มูลค่า 17,000 ล้านบาท นายธีรเดช กล่าวว่า สาเหตุที่พฤกษาให้ความสนใจกับตลาดพื้นที่ EEC เพราะ ปัจจุบันมีขนาดของตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ใหญ่ ด้วยมูลค่าถึง 72,000 ล้านบาท ซึ่งมูลค่าตลาดขั้นต่ำที่พฤกษาใช้เป็นเกณฑ์ในการออกไปทำตลาด คือ มูลค่า 5,000 ล้านบาท สำคัญสุด คือ นโยบายส่งเสริมการลงทุนและการพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจใหม่แห่งนี้ ที่รัฐบาลหนุนอย่างเต็มที่ นั่นหมายความว่า 3 จังหวัดดังกล่าวจะกลายเป็นเมืองเศรษฐกิจสำคัญอันดับต้นๆ ของประเทศ ที่จะมีทั้งจำนวนประชากรที่เข้ามาพักอาศัย และสภาพเศรษฐกิจที่หมุนเวียน แม้ว่าปัจจุบันการพัฒนาต่างๆ จะยังไม่สมบูรณ์ แต่พฤกษาก็เลือกเข้ามาปักหมุดโครงการก่อน เพื่อสร้างแบรนด์และช่วงชิงส่วนแบ่งการตลาดก่อนเป็นเจ้าแรกๆ การเปิดตัวโครงการล่าสุด โครงการ “พฤกษา อเวนิว หนองมน-ชลบุรี” ที่ทำยอดขายพรีเซลล์ 400 ล้านบาทในระยะเวลา 2 วัน จึงเป็นดัชนีสำคัญที่พฤกษามองว่าจะประสบความสำเร็จ กับการทำตลาดในพื้นที่ EEC แห่งนี้ ในต้นปีหน้าจึงเตรียมเปิดโครงการขายต่อเนื่อง ทั้งจังหวัดระยองอีก 2โครงการ และในพัทยา จังหวัดชลบุรี อีก 1 โครงการ รวมมูลค่าโครงการทั้งหมด 1,960 ล้านบาท โดยยังคงคอนเซ็ปต์เป็นโครงการ “อเวนิว” ที่มี 2 โครงการบ้านเดี่ยว และโครงการทาวน์โฮมรวมอยู่ด้วยกัน ถือเป็นการ “กินรวบ” ครบทุกเซ็กเมนต์ในพื้นที่เดียวกัน