Tag : EEC

5 ผลลัพธ์
ถอดกลยุทธ์ “4+3” สูตร ความสำเร็จ “พฤกษา” ผู้นำตลาดทาวน์เฮาส์ พร้อมลุยต่อพื้นที่ EEC 

ถอดกลยุทธ์ “4+3” สูตร ความสำเร็จ “พฤกษา” ผู้นำตลาดทาวน์เฮาส์ พร้อมลุยต่อพื้นที่ EEC 

ตัวเลขยอดพรีเซลล์ 400 ล้านบาท จากการเปิดขายเพียง 2 วัน สำหรับโครงการในต่างจังหวัด ถือเป็นตัวเลขไม่ธรรมดาเลยสำหรับแบรนด์พฤกษา ที่ได้เปิดขายโครงการ “พฤกษา อเวนิว หนองมน-ชลบุรี” ท่ามกลางมาตรการควกบคุมวงเงินสินเชื่อต่อหลักประกัน หรือ LTV ที่ถูกนำมาใช้สกัดกลุ่มนักลงทุนหรือนักเก็งกำไรเป็นหลัก แต่ต้องยอมรับว่าเรียลดีมานด์บางกลุ่มก็ได้รับผลกระทบด้วย เพราะทำให้การเข้าถึงสินเชื่อได้ยากขึ้น   นายธีรเดช เกิดสำอางค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจทาวน์เฮาส์ บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า พฤกษาเป็นผู้นำตลาดในกลุ่มทาวนเฮ้าส์หรือทาวน์โฮม นับตั้งแต่ดำเนินธุรกิจ โดยเป็นผลจากการวาง 4 กลยุทธ์หลักในการพัฒนาโครงการ ได้แก่   1.Defend Cor Business การรักษาฐานกลุ่มตลาดหลัก กลุ่มบ้านราคากลางลงล่าง ในระดับราคา 1.5-2 ล้านบาทและราคา 2-3 ล้านบาท ด้วยการพัฒนาโครงการออกมาอย่างต่อเนื่อง ปัจจบันมี 70โครงการที่ดำเนินการขาย และเปิดโครงการใหม่ในปีนี้ 12 โครงการ  ภายใต้แบรนด์บ้านบพฤกษา และพฤกษาวิลล์   2.Expand to Market Middle-Hight การขยายตลาดไปยังกลุ่มบ้านระดับกลางขึ้นบน ในกลุ่มบ้านระดับราคา 3-5 ล้านบาท ราคา 5-7 ล้านบาท และราคา 7-10 ล้านบาท ซึ่งมีโครงการอยู่ระหว่างดำเนินการ 30 โครงการ และเปิดโครงการใหม่ในปีนี้ 9 โครงการ ภายใต้แบรนด์เดอะ คอนเนค และ พาทิโอ   3.Expand to New Potential Market การขยายตลาดสู่จังหวัดที่มีศักยภาพ เช่น จังหวัดชลบุรี ภูเก็ต และเชียงใหม่ ปัจจุบันพฤกษามีโครงการในต่างจังหวัดที่เปิดการขายอยู่ 15 โครงการ และเปิดใหม่ในปีนี้อีก 7 โครงการ   4.New Marketing Approach การทำตลาดด้วยวิธีการใหม่ๆ เช่น การตลาดดิจิทัล การใช้ออนไลน์ การใช้ดาต้าเบสมาวิเคราะห์กลุ่มลูกค้า   “เรามีความเชี่ยวชาญในการพัฒนาและมองทำเลที่ถูกต้อง ด้วยการใช้ข้อมูลและการวิจัย มีฐานข้อมูลจากการทำธุรกิจมากว่า 25 ปี สามารถนำเอาโปรดักส์ไปแมทกับทำเล ราคา และกลุ่มเป้าหมาย”   3 กลยุทธ์ปักหมุดพื้นที่ EEC  ปัจจุบันพฤกษาออกไปทำตลาดในพื้นที่ต่างจังหวัดหลายแห่ง ซึ่งหลักเกณฑ์ในการพิจารณาการขยายตลาดในต่างจังหวัด จะใช้ 2 หลักเกณฑ์ในการคัดเลือก คือ ต้องเป็นเมืองท่องเที่ยว และต้องเป็นเมืองที่มีอุตสาหกรรม เพราะ 2 หลักเกณฑ์ดังกล่าวจะบ่งบอกได้ถึง ปริมาณกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่มีมากเพียงพอต่อการพัฒนาโครงการออกมาขาย ซึ่งพื้นที่ 3 จังหวัดหลักๆ ที่พฤกษาพัฒนาโครงการมากที่สุด ได้แก่ 1.พื้นที่ 3 จังหวัดเขต EEC หรือ โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจ พิเศษภาคตะวันออก  ได้แก่ จังหวัดชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา   มีจำนวน8 โครงการ มูลค่า 6,400 ล้านบาท แต่หากนับรวมโครงการที่ปิดการขายไปแล้วอีก 5 โครงการ พื้นที่ EEC จะมีโครงการที่พัฒนาโดยรวมแล้ว 12,000 ล้านบาทเลยทีเดียว  2.จังหวัดภูเก็ต มีจำนวนโครงการ 6-7 โครงการมูลค่า 22,000 ล้านบาท 3.จังหวัดเชียงใหม่ มีจำนวน 3-4โครงการ มูลค่า 17,000 ล้านบาท   นายธีรเดช กล่าวว่า สาเหตุที่พฤกษาให้ความสนใจกับตลาดพื้นที่ EEC เพราะ ปัจจุบันมีขนาดของตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ใหญ่ ด้วยมูลค่าถึง 72,000 ล้านบาท ซึ่งมูลค่าตลาดขั้นต่ำที่พฤกษาใช้เป็นเกณฑ์ในการออกไปทำตลาด คือ มูลค่า 5,000 ล้านบาท สำคัญสุด คือ นโยบายส่งเสริมการลงทุนและการพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจใหม่แห่งนี้ ที่รัฐบาลหนุนอย่างเต็มที่  นั่นหมายความว่า 3 จังหวัดดังกล่าวจะกลายเป็นเมืองเศรษฐกิจสำคัญอันดับต้นๆ ของประเทศ ที่จะมีทั้งจำนวนประชากรที่เข้ามาพักอาศัย และสภาพเศรษฐกิจที่หมุนเวียน แม้ว่าปัจจุบันการพัฒนาต่างๆ จะยังไม่สมบูรณ์ แต่พฤกษาก็เลือกเข้ามาปักหมุดโครงการก่อน เพื่อสร้างแบรนด์และช่วงชิงส่วนแบ่งการตลาดก่อนเป็นเจ้าแรกๆ   การเปิดตัวโครงการล่าสุด โครงการ “พฤกษา อเวนิว หนองมน-ชลบุรี” ที่ทำยอดขายพรีเซลล์ 400 ล้านบาทในระยะเวลา 2 วัน จึงเป็นดัชนีสำคัญที่พฤกษามองว่าจะประสบความสำเร็จ กับการทำตลาดในพื้นที่ EEC แห่งนี้ ในต้นปีหน้าจึงเตรียมเปิดโครงการขายต่อเนื่อง ทั้งจังหวัดระยองอีก 2โครงการ และในพัทยา จังหวัดชลบุรี อีก 1 โครงการ รวมมูลค่าโครงการทั้งหมด 1,960 ล้านบาท โดยยังคงคอนเซ็ปต์เป็นโครงการ “อเวนิว” ที่มี 2 โครงการบ้านเดี่ยว และโครงการทาวน์โฮมรวมอยู่ด้วยกัน ถือเป็นการ “กินรวบ” ครบทุกเซ็กเมนต์ในพื้นที่เดียวกัน      
เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ชี้ คอนโดฯ ริมหาดพัทยามาแรง “นาจอมเทียน” ฮอต

เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ชี้ คอนโดฯ ริมหาดพัทยามาแรง “นาจอมเทียน” ฮอต

เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ชี้คอนโดฯ ริมหาดพัทยามาแรง “นาจอมเทียน” ฮอต อัตราดูดซับสูงถึง 60% หนุน “รีเฟล็คชั่น จอมเทียน บีช พัทยา” กระแสตอบรับลูกค้าดีมาก คาดอนาคตตลาดอสังหาฯ พัทยาเติบโตต่อเนื่อง ดันราคาขายขึ้นแตะ 10-15% ต่อปี   เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ เผยคอนโดฯ ริมหาดพัทยาบูม ระบุ “นาจอมเทียน” มาแรง ปี’61 อัตราดูดซับสูงถึง 60% ลูกค้าส่วนใหญ่ซื้อเป็นบ้านหลังที่สอง หนุน “รีเฟล็คชั่น จอมเทียน บีช พัทยา” คอนโดฯ ซุเปอร์ลักชัวรี่วิวทะเลบนหาดจอมเทียน กระแสตอบรับดีทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ลูกค้าซื้อทั้งอยู่เองและปล่อยเช่า ผลตอบแทนปล่อยเช่าอยู่ที่ 5-6% และราคา Resale เติบโตสูงขึ้น 15% คาดอนาคตตลาดพัทยาเติบโตต่อเนื่อง ดันราคาขายปรับตัวสูงขึ้นอย่างน้อย 10-15% ต่อปี   คุณเพชรลดา พูลวรลักษณ์ กรรมการบริหาร บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์ทำเลพัทยามีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะพื้นที่ในโซนติดทะเล ซึ่งโซน นาจอมเทียนเป็นโซนที่มาแรงและน่าสนใจ เนื่องจากเป็นโซนที่มีดีมานด์สูงขึ้นเรื่อยๆ ทั้งจากชาวไทยและชาวต่างชาติ เพราะเป็นโซนที่มีชายหาดบรรยากาศเงียบสงบและชายหาดทอดยาวมากกว่าโซนอื่นของพัทยา เหมาะแก่การพักผ่อน และที่สำคัญอย่างหนึ่งคือการเปิดตัวของห้างสรรพสินค้า เทอร์มินอล21 พัทยา ศูนย์การค้าขนาดใหญ่ที่สุดของภาคตะวันออกบนเนื้อที่กว่า 50 ไร่ มีการคัดสรรร้านค้าให้สอดคล้องกับความต้องการของกลุ่มลูกค้าให้มากที่สุด ซึ่งเป็นสิ่งการันตีได้ถึงการเติบโตและพัฒนาของที่ดิน จึงทำให้โซนนี้มีโครงการเปิดใหม่ค่อนข้างมาก ส่วนใหญ่เป็นโครงการคอนโดมิเนียมระดับไฮเอนด์ ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 130,000 บาท ต่อตารางเมตร ทั้งนี้ โดยภาพรวมตลาดคอนโดมิเนียมพัทยามีอัตราการดูดซับที่ดี ในครึ่งปีหลัง 2561มีอัตราการดูดซับสูงถึง 60% ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่ซื้อเป็นบ้านหลังที่สองหรือบ้านสำหรับพักผ่อนช่วงวันหยุด และด้วยเหตุที่โซนนาจอมเทียนได้รับความนิยมนี้เอง จึงส่งผลให้โครงการ “รีเฟล็คชั่น จอมเทียนบีช พัทยา” (Reflection Jomtien Beach Pattaya) คอนโดมิเนียมซุเปอร์ลักชัวรี่วิวทะเลบนหาดจอมเทียน จำนวนทั้งหมด 333 ยูนิต มูลค่าโครงการ 3,300 ล้านบาท ได้รับการตอบรับที่ดีมาก   “โครงการรีเฟล็คชั่น จอมเทียนบีช พัทยา เป็นคอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ติดชายหาด ชูจุดเด่นด้วยการออกแบบที่ โดดเด่นเฉพาะตัว ในสไตล์ศิลปะร่วมสมัย ตกแต่งด้วยกระจกแบบ Full Height Glass ให้ทุกยูนิตสามารถชมวิวทะเลได้แบบ 180 องศา ขณะที่ราคาไม่ได้สูงมากนัก เริ่มต้นเพียง 99,000 บาท/ตร.ม.เท่านั้น จึงทำให้ตั้งแต่เปิดโครงการมาได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้าชาวไทยและชาวต่างชาติ ซึ่งลูกค้าชาวต่างชาติที่ซื้อ ได้แก่ ลูกค้าชาวจีน อังกฤษ และฝรั่งเศส สำหรับเหตุผลในการซื้อนั้น ลูกค้าชาวไทยส่วนใหญ่เป็นครอบครัว และซื้อเพื่อเป็นบ้านหลังที่ 2 ขณะที่ลูกค้าชาวต่างชาติเป็นกลุ่มเกษียณอายุ ซึ่งมีทั้งซื้อเพื่ออยู่เองและปล่อยเช่า โดยแบบห้องที่ได้รับความสนใจจากกลุ่มผู้ซื้อเป็นอย่างดี คือ แบบขนาด 3 ห้องนอน ขนาด 217.55 – 217.85 ตร.ม. เพราะเป็นห้องขนาดใหญ่ที่สามารถรองรับการเข้าพักได้หลายคน และตอบสนองความต้องการของกลุ่มผู้เช่า โดยโครงการมีผลตอบแทนการปล่อยเช่าที่ดีเฉลี่ย 5-6 % และมีราคา Resale เติบโตสูงขึ้นเกือบ 15% ตอบโจทย์กลุ่มนักลงทุน ทั้งนี้เพื่อเป็นการมอบของขวัญให้แก่ลูกค้าในช่วงก่อนที่จะถึงมาตรการรัฐนี้ เมเจอร์ฯ จึงได้จัดโปรโมชั่นพิเศษ ราคาพิเศษเริ่ม 6.5 ล้านบาท ฟรี! ทุกค่าใช้จ่ายวันโอน ซึ่งลูกค้าไม่ควรพลาด เพราะเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่จะได้เป็นเจ้าของคอนโดฯ     ริมหาดวิวทะเลที่ดีที่สุดในโซนนาจอมเทียน พัทยา โดยสิทธิพิเศษเริ่มมอบตั้งแต่วันนี้จนถึง 31 มี.ค.นี้เท่านั้น” คุณเพชรลดา กล่าว   สำหรับแนวโน้มการเติบโตของพัทยา คุณเพชรลดา กล่าวทิ้งท้ายว่า “ตลาดอสังหาฯ พัทยายังเติบโตต่อไปได้ โดยได้รับการสนับสนุนจากปัจจัยบวกแผนพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) และการขยายตัวของสนามบินอู่ตะเภาที่ตอนนี้รองรับผู้โดยสารได้ 3 ล้านคนต่อปี และมีแผนการพัฒนาเพิ่มเป็น 15 ล้านคนต่อปีภายในปี 2023 โดยเป็นทั้งDomestic และ International Airport รองรับชาวต่างชาติที่เดินทางมาจากประเทศจีน มาเลเซียและรัสเซีย ซึ่งจะทำให้ชาวต่างชาติเดินทางมาพัทยาได้ง่ายขึ้น ประกอบกับกำลังซื้อจากต่างประเทศที่ยังสนใจอสังหาฯ ในพัทยาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะจีน รัสเซีย และยุโรปหลายประเทศ จึงคาดว่าในอนาคตตลาดอสังหาฯ พัทยาจะมีดีมานด์สูงขึ้นต่อไปอีก และคาดว่าราคาขายจะปรับตัวสูงขึ้นอย่างน้อย 10-15% ต่อปี”          
“ดี–แลนด์ฯ” ระดมทัพ 3 โครงการโซน EEC จัดแคมเปญแจกทอง–มอบส่วนลดสุดพิเศษ

“ดี–แลนด์ฯ” ระดมทัพ 3 โครงการโซน EEC จัดแคมเปญแจกทอง–มอบส่วนลดสุดพิเศษ

“ดี–แลนด์ฯ” ระดมทัพ 3 โครงการโซน EEC อัดแคมเปญปลุกกำลังซื้อ–หนีมาตรการ LTV รุกผุด 3 โปรเจกต์ใหม่ปั๊มยอดสิ้นปี 1,350 ล้านบาท ดี-แลนด์ฯ ขน 3 โครงการคุณภาพใจกลางเมืองศรีราชา จังหวัดชลบุรี และระยอง ซึ่งเป็นพื้นที่ในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) จัดแคมเปญแจกทอง–มอบส่วนลดสุดพิเศษ  วันที่ 23–24 กุมภาพันธ์นี้ หวังกระตุ้นกำลังซื้อก่อนมาตรการ  LTV มีผลบังคับใช้ 1 เมษายน 2562  พร้อมประกาศแผนธุรกิจปี 2562 เดินหน้าพัฒนา 3 โปรเจกต์ มูลค่ารวม 1,500 ล้านบาท ตั้งเป้ายอดขายรวมสิ้นปีทะยาน 1,350 ล้านบาท   นายศิริพงษ์ สมบูรณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดี–แลนด์ กรุ๊ป จำกัด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำ ในเขตกรุงเทพฯ ตอนใต้ พระราม2–สมุทรสาคร โซนภาคตะวันออก และโซนกรุงเทพฯ ฝั่งตะวันตก เปิดเผยว่า  ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในภาคตะวันออกมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับรัฐบาลได้เร่งผลักดันโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) ครอบคลุมพื้นที่ 3 จังหวัด คือ ฉะเชิงเทรา ระยอง และชลบุรี ส่งผลให้มีผู้ประกอบธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เข้ามาลงทุนเพื่อรองรับดีมานด์ที่อยู่อาศัยในอนาคต แต่อย่างไรก็ตามการที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะใช้มาตรการคุมเข้มสินเชื่อบ้านแบบใหม่ ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2562 ด้วยการกำหนดเงินดาวน์ขั้นต่ำหรืออัตราส่วนสินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกัน (Loan to Value : LTV) สำหรับผู้กู้ซื้อบ้านสัญญาที่ 2 ขึ้นไป และผู้ซื้อบ้านราคา 10 ล้านบาทขึ้นไป โดยผู้กู้ต้องวางเงินดาวน์ 20-30% รวมถึงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่มีแนวโน้มสูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลผลกระทบต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์อย่างแน่นอน     สำหรับแนวทางรับมือกับผลกระทบดังกล่าวรวมถึงการดูแลลูกค้า ในเบื้องต้นบริษัทฯ ได้จัดมินิแคมเปญ (Mini Campaign) “รับทองคำแท่ง 2 บาท!! ก่อนมาตรการรัฐ” พร้อมราคาเริ่มต้นสุดพิเศษ ในระหว่างวันที่ 23–24 กุมภาพันธ์ 2562 โดยโครงการที่ร่วมแคมเปญดังกล่าว ประกอบด้วย   1. โครงการดีทาวน์ โกรว์ สวนเสือ–ศรีราชา อาคารพาณิชย์แนวคิดใหม่ ฟังก์ชันอพาร์ทเม้นท์ ได้รับการออกแบบเพื่อตอบโจทย์ความต้องการครบทุกด้าน  6 ห้องเช่า 6ห้องน้ำในตัวทุกห้อง ชั้นล่างสามารถทำธุรกิจสำหรับเจ้าของกิจการหรือปล่อยเช่าหน้าร้าน ชั้นบนเป็นส่วนตัวด้วยทางเข้า–ออกแยกเป็นอิสระ ห้องพักแบ่งสัดส่วนลงตัว พร้อมตกแต่งเฟอร์นิเจอร์ ติดถนนใหญ่ ในทำเลศักยภาพใกล้ย่านธุรกิจที่เหมาะสำหรับการลงทุน ราคาเริ่มต้น 2.6 - 9 ล้านบาท พร้อมการันตีค่าเช่า 2 ปี     2. โครงการบ้านดี เดอะมอนเทอเรย์(ศรีราชา–อัสสัมชัญ) ทาวน์โฮม 2 ชั้น สไตล์อเมริกัน คอทเทจ ใจกลางเมืองศรีราชา ใกล้สถานที่อำนวยความสะดวกมากมาย 4 ห้องนอน 2 ที่จอดรถ เพียง 400 เมตรจากวัดไร่กล้วย ใกล้โรงเรียนอัสสัมชัญ อิออนมอลล์ โรบินสันศรีราชา และเจ พาร์ค  ศรีราชา ราคาเริ่มต้น  99 ล้านบาท รับทองคำแท่ง 2 บาททุกหลัง  ซึ่งขณะนี้มีจำนวน 5 ยูนิต และ   3. โครงการบ้านดี เดอะวัลเล่ย์ ปลวกแดง จังหวัดระยอง ซึ่งเป็นบ้านแฝดและทาวน์โฮมสไตล์ทัสคานี สถาปัตยกรรมที่งามสง่าหรูหรา และมีระดับ ตามแบบฉบับอิตาลี เปิดเฟสใหม่ ใกล้สโมสรสวยเหนือระดับ 3 ห้องนอน 2 ที่จอดรถ  พร้อมเข้าอยู่ได้ทันที จำนวน 9 ยูนิต  ราคาเริ่มต้นล้านต้นต้น รับเพิ่มทองคำแท่ง 2 บาท พร้อม โปรโมชั่นอีกมากมาย   “นอกจากจัดรายการส่งเสริมการขายด้วยการนำโครงการที่อยู่อาศัยต่างๆ  ของบริษัทฯ มาทำการรีเซล (Resale) แล้ว บริษัทฯ ได้มีการหารือกับทางธนาคารพาณิชย์เพื่อหาทางออกให้กับลูกค้าที่ซื้อสินทรัพย์เพื่อลงทุน เช่น การคำนวณรายได้ที่จะสะท้อนรายได้ในอนาคต เพื่อสร้างแรงจูงใจและสร้างโอกาสในเรื่องการขอสินเชื่อกับสถาบันการเงิน เป็นต้น ซึ่งในปี 2562 บริษัทฯ มีแผนจะเปิดตัวโครงการใหม่อีก 3 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 1,500 ล้านบาท ได้แก่ โครงการทาวน์เฮาส์ในทำเลย่านบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี เนื้อที่ประมาณ 20 ไร่ โครงการทาวน์เฮาส์ที่อำเภอปลวกแดง จังหวัดระยอง และโครงการคอนโดมิเนียมที่อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี  โดยปี 2562 นี้ พร้อมทั้งตั้งเป้ายอดขายรวม 1,350 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 1,200 ล้านบาท และธุรกิจค้าปลีก 150 ล้านบาท” นายศิริพงษ์ กล่าวในตอนท้าย   สำหรับผู้สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. 1793 และ 088-243-8855 หรือคลิกดูรายละเอียดได้ที่ www.dl.co.th และ facebook: Dlandclub    
ทำความรู้จักกับโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC)

ทำความรู้จักกับโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC)

ความพยายามของรัฐบาลตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันในการพัฒนาประเทศไปสู่ความเจริญก้าวหน้า ด้วยการแปรเปลี่ยนจากประเทศเกษตรกรรมไปสู่ประเทศแห่งอุตสาหกรรมมีมาอย่างต่อเนื่องและยาวนาน ตั้งแต่ช่วงปี 2525 กับโครงการอีสเทิร์นซีบอร์ด (Eastern Seaboard Development Program: ESB) ตั้งแต่ปี 2525 ที่ทำให้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตของหลายอุตสาหกรรม เช่น ชิ้นส่วนยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ ปิโตรเคมี การแปรรูปอาหาร เป็นต้น แต่ด้วยเทคโนโลยีที่พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว ทำให้ต้องมีการปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัย โครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC) เป็นโครงการที่ทางรัฐบาลยุคปัจจุบันต้องการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน สาธารณูปโภค การท่องเที่ยว ธุรกิจ และเมืองอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ในพื้นที่ 3 จังหวัดภาคตะวันออก ได้แก่ ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง ให้ก้าวสู่ความเป็นเวิลด์คลาส อีโคโนมิคโซน เพิ่มขีดความสามารถทางด้านอุตสาหกรรมให้มีความทันสมัย ส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมชั้นสูง มีความไฮเทคยิ่งขึ้น ภายใน 5 ปี สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่จะช่วยส่งให้อีอีซีมีความเจริญก้าวหน้าอย่างสมบูรณ์ นั่นคือการคมนาคมทั้งทางถนนมอเตอร์เวย์กรุงเทพฯ-ชลบุรี, พัทยา-มาบตาพุด และแหลมฉบัง-นครราชสีมา การขนส่งทางเรือตามท่าเรือขนาดใหญ่ เช่น ท่าเรือแหลมฉบัง ท่าเรือมาบตาพุด ท่าเรือพาณิชย์สัตหีบ และแผนเชื่อมต่อระหว่างสนามบินดอนเมือง-สนามบินสุวรรณภูมิ-สนามบินอู่ตะเภา ด้วยรถไฟฟ้าความเร็วสูง คาดว่าจะเปิดให้บริการปี 2566 จุดนี้ทำให้หลายส่วนคาดหวังว่าประเทศไทยจะกลายเป็นศูนย์กลางทางการบิน ด้วยทำเลที่ตั้งของประเทศไทยเอื้ออำนวยให้เป็นจุดยุธศาสตร์ของภูมิภาคเอเชียตามไปด้วย โดยมีการแบ่งโซนสร้างพื้นที่สีเขียวขึ้นเพื่อเป็นแนวกันชนระหว่างชุมชนกับอุตสาหกรรม และแยกพื้นที่เกษตรกรรมออกจากพื้นที่ท่องเที่ยวอย่างชัดเจน จุดประสงค์สำคัญของทางรัฐบาลในการเร่งรัดแผนนี้ให้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วก็เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ดึงดูดนักลงทุนชาวต่างชาติให้เข้ามาเพิ่มมากขึ้น และคาดว่าปี 2564 จะทำให้เศรษฐกิจของประเทศโตขึ้นถึง 5% โดยได้เตรียมกฎหมายสำคัญ 3 ฉบับ คือ การแก้ไขพ.ร.บ.ส่งเสริมการลงทุน พ.ร.บ.กองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และพ.ร.บ.พัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก โดยทั้งหมดจะเน้นไปที่ความคล่องตัวในการลงทุนของเอกชน เพิ่มสิทธิประโยชน์เพื่อจูงใจในการลงทุน ซึ่งในวงการอสังหาริมทรัพย์เองก็มีการตื่นตัวเรื่องนี้กันอยู่ไม่น้อย ตั้งแต่ที่ดินในจังหวัดฉะเชิงเทรา แนวถนนสายฉะเชิงเทรา-บางปะกง มีราคาพุ่งขึ้นถึง 20 ล้านบาท/ไร่ จากเดิม 10 ล้านบาท/ไร่ หลายค่ายเริ่มหันมารุกตลาดในพื้นที่จังหวัดชลบุรีมากขึ้นอย่างรวดเร็วโดยเฉพาะคอนโดมิเนียม โรงแรม ที่มีความคึกคักเป็นพิเศษ เช่น ปี 2561 ออริจิ้นเตรียมเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมที่ชลบุรี 1 แห่ง ระยอง 1 แห่ง และโรงแรมอีก 1 โครงการ รวมมูลค่าถึง 7,000-8,000 ล้านบาท ทางด้านพฤษาเตรียมเปิด 8 โครงการในพื้นที่ทั้ง 3 จังหวัดเขตอีอีซี รวมมูลค่ากว่า 5,000 ล้านบาท ฯลฯ ในทางกลับกันมีอีกมุมมองจากประชาชนและนักวิชาการท้องถิ่นที่ไม่เห็นด้วยกับโครงการนี้ เพราะเป็นห่วงเรื่องผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่ปัจจุบันก็ยังคงแก้ไม่ตก และมองว่าภาครัฐเน้นสัดส่วนของภาคอุตสาหกรรมมากเกินไปถึง 70% ซึ่งแท้จริงแล้วจะต้องมีกระบวนการในส่วนของภาคประชาชนที่จะได้รับผลกระทบให้มีส่วนร่วมในการเสนอความคิดเห็นกันก่อน แต่อีอีซีกลับถูกประกาศตัวขึ้นอย่างรวดเร็วจนข้ามขั้นตอนไป นั่นก็มาจากการใช้อำนาจมาตรา 44 จากคสช. จึงมีหลายเสียงที่อยากจะเสนอแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน ร่วมมองแนวทางแก้ปัญหาหลายๆ ด้านกันก่อน โดยเฉพาะเรื่องของผังเมือง, ท่าเรือแหลมฉบัง เฟส 3 ที่มีการคัดค้านในการสร้างมาตลอด เพราะผลการศึกษาทางด้านสิ่งแวดล้อมออกมาว่า ท่าเทียบเรือชายฝั่งคือแหล่งเพาะพันธุ์สัตว์น้ำที่เหลืออยู่ แม้จะมีหน่วยงานภาครัฐออกมากล่าวว่ามีการทำรายงานผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (EHIA) ในโครงการต่างๆ ตามกฎหมาย และมีการลงพื้นที่ไปพูดคุยทำความเข้าใจกับประชาชนก็ตาม สุดท้ายก่อนการเริ่มต้นโครงการนี้อย่างเป็นรูปธรรมจะมีแผนผังการใช้ประโยชน์จากที่ดิน สาธารณูปโภค และแผนผังการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่อีอีซี ซึ่งคาดว่าจะออกมาประมาณเดือน เม.ย.-พ.ค. 2561 และเมื่อทั้ง 2 แผนนี้เสร็จสมบูรณ์ก็จะถูกส่งต่อให้กรมโยธาฯ จัดทำผังเมืองใหม่อีกภายใน 1 ปี ซึ่งแผนทั้งหมดนี้จะมีหน้าตาออกมาเป็นอย่างไร สามารถมีจุดตรงกลางที่เหมาะสมระหว่างรัฐบาลที่มองถึงเรื่องการพัฒนาประเทศให้รุดหน้าโดยเร็ว กับประชาชนท้องถิ่นที่หวงแหนธรรมชาติบนแผ่นดินเกิดอย่างไร ถึงตอนนี้ยังคงไม่มีบทสรุปก็คงต้องติดตามกันต่อไป  
พฤกษา ปักธง EEC เดินหน้าเต็มสูบ ลุยเปิด 7 โครงการใหม่ มูลค่า 5,500 ล้านบาท

พฤกษา ปักธง EEC เดินหน้าเต็มสูบ ลุยเปิด 7 โครงการใหม่ มูลค่า 5,500 ล้านบาท

พฤกษา เรียลเอสเตท ผู้นำในวงการอสังหาฯ เตรียมเปิดบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮาส์ 7 โครงการใหม่ มูลค่า 5,500 ล้านบาท ปักธง 3 จังหวัด เขต EEC ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง เกาะทำเลนิคมอุตสาหกรรม เผยเตรียมรุกต่างจังหวัดเพิ่มอีก 23 จังหวัดรักษาผู้นำตลาดอสังหาฯไทย นายปิยะ ประยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจพฤกษา เรียลเอสเตท บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “ เพื่อให้บริษัทฯ สามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ในปี 2561 บริษัทฯ มีแผนจะเปิดโครงการใหม่ในจังหวัดระยอง ชลบุรี และฉะเชิงเทรา ซึ่งเป็นเขตโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC)  เป็นการลงทุนระดับเมกะโปรเจ็คท์ของภาครัฐที่จะช่วยผลักดันและยกระดับเศรษฐกิจของประเทศไทยให้เป็นเขตเศรษฐกิจชั้นนำของอาเซียน  โดยคาดว่าจะมีความต้องการที่อยู่อาศัยจำนวนมากจากแรงงานที่หลั่งไหลเข้ามาทำงานในพื้นที่ดังกล่าว  จึงได้เตรียมเปิดโครงการใหม่ จำนวน 7 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 5,500 ล้านบาท เป็นสินค้าประเภทบ้านเดี่ยว และทาวน์เฮาส์  แบ่งเป็น ฉะเชิงเทรา  จำนวน 1  โครงการ ได้แก่ บ้านพฤกษา บ้านโพธิ์ - มอเตอร์เวย์  ชลบุรี จำนวน 3 โครงการ ได้แก่ บ้านพฤกษา หนองมน-ชลบุรี, เดอะแพลนท์ หนองมน-ชลบุรี  และบ้านพฤกษา ทุ่งกลม-ตาลหมัน  และระยอง 3 โครงการ ได้แก่ บ้านพฤกษา ปลวกแดง-อีสท์เทิร์น, บ้านพฤกษา เกาะกลอย-ระยอง และเดอะแพลนท์ เกาะกลอย-ระยอง  จับกลุ่มลูกค้าที่ทำงานในนิคมอุตสาหกรรม  โดยจะเริ่มทยอยเปิดขายในเดือนมกราคมปี 2561” และเพื่อขยายฐานลูกค้าให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น บริษัทฯ จึงได้ศึกษาความเป็นไปได้จังหวัดอื่นๆ เพิ่มเติม เช่น นครราชสีมา นครปฐม และอื่นๆ อีก 23 จังหวัด  โดยพฤกษา เรียลเอสเตท เป็นผู้ประกอบการรายใหญ่ที่มีความได้เปรียบเชิงการแข่งขันทั้งในด้านของดีไซน์ ฟังก์ชั่น นวัตกรรม คุณภาพบ้าน และบริการหลังการขายต่างๆ ที่ได้มาตรฐานเดียวกันทุกโครงการ (Pruksa Quality Standard) คาดว่าจะประสบความสำเร็จในการทำตลาดต่างจังหวัดเช่นเดียวกับที่เคยรุกตลาดในชลบุรี เชียงใหม่ ภูเก็ตมาแล้วก่อนหน้านี้.