Tag : Nexus

5 ผลลัพธ์
ทาวน์โฮม-โฮมออฟฟิศ-บ้านแฝดระดับบน อีกหนึ่งทางเลือกของคนกรุงเทพฯ

ทาวน์โฮม-โฮมออฟฟิศ-บ้านแฝดระดับบน อีกหนึ่งทางเลือกของคนกรุงเทพฯ

เน็กซัส เผยผลการสำรวจตลาดทาวน์โฮมและโฮมออฟฟิศยังคงได้รับความนิยมจากผู้ซื้อที่ต้องการพื้นที่ใช้สอยขนาดใหญ่โดยเฉพาะกลุ่มคนที่มีอายุประมาณ 30-40 ปีที่ต้องการขยายครอบครัวแต่มีงบประมาณจำกัด ประกอบกับราคาที่ดินที่ปรับตัวสูงขึ้น เป็นต้นทุนที่ทำให้ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เลือกที่จะพัฒนารูปแบบโครงการที่มีพื้นที่ขายมากที่สุด ซึ่งหากที่ดินไม่สามารถพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมได้แล้วการพัฒนาโครงการทาวน์โฮมหรือบ้านแฝดจึงเป็นตัวเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ   ในส่วนของโฮมออฟฟิศ เป็นอีกรูปแบบการพัฒนาโครงการที่ได้รับความสนใจจากกลุ่มผู้ซื้อที่เป็นนักธุรกิจรุ่นใหม่ ต้องการซื้อเพื่อทำเป็นออฟฟิศในทำเลที่สามารถเดินทางได้สะดวกแทนการเช่าพื้นที่ออฟฟิศในเขตใจกลางเมืองที่มีราคาแพง และยังสามารถจัดสรรพื้นที่ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพไม่ว่าจะเป็นการแบ่งพื้นที่ชั้นบนสุดไว้เพื่อพักอาศัย หรือการปล่อยเช่าพื้นที่ในชั้นล่างเพื่อการพาณิชย์ เป็นต้น   ในปี 2559 – ไตรมาส 1 ปี 2562 ตลาดทาวน์โฮม-โฮมออฟฟิศ-บ้านแฝด ที่มีระดับราคาตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป เฉพาะในเขตกรุงเทพฯ มีอุปทานรวมทั้งสิ้น 1,119 ยูนิต แบ่งเป็นระดับราคา 10-20 ล้านบาทคิดเป็น 62% ของจำนวนทั้งหมด รองลงมาเป็นระดับราคา 20-30 ล้านบาท,มากกว่า 40 ล้านบาท และ 30-40 ล้านบาทคิดเป็น 29%, 6% และ 3% ตามลำดับ จากภาวะชะลอตัวของตลาดคอนโดมิเนียม ทำให้ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์หันมาพัฒนาโครงการแนวราบมากขึ้น อีกทั้งการพัฒนาแนวราบยังใช้ต้นทุนในการพัฒนาน้อยกว่าคอนโดมิเนียม ทำให้มีความเสี่ยงทางการเงินน้อยกว่า รวมทั้งกลุ่มของผู้ซื้อยังเป็นกลุ่มผู้ที่ซื้อเพื่ออยู่จริง (Real Demand) ต่างกับตลาดคอนโดมิเนียมที่มีการเก็งกำไรในสัดส่วนที่สูง ส่งผลให้ตลาดทาวน์โฮม-โฮมออฟฟิศ-บ้านแฝด เติบโตเพิ่มขึ้นอย่างมากในปี2561 โดยเท่ากับ 104%    “ทาวน์โฮมหรูทำเลใจกลางเมืองยังคงได้รับความนิยม” เห็นได้จากอัตราการขาย (Sold rate) ของทั้งตลาดอยู่ที่ 54% โดยทาวน์โฮม-โฮมออฟฟิศ-บ้านแฝด ระดับราคาที่มีอัตราการขายสูงอันดับ 1 คือกลุ่มระดับราคา 40 ล้านบาทขึ้นไป มีอัตราการขาย 71% เนื่องจากมีจำนวนอุปทานค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับระดับราคาอื่น โครงการส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในโซนวัฒนา-คลองเตย โดยเฉพาะตามแนวถนนสุขุมวิท รองลงมาเป็นโซนสาทร-บางรัก ซึ่งเป็นย่านที่อยู่ใจกลางเมือง อันดับ 2 เป็นกลุ่มที่มีระดับราคา 20-30 ล้านบาท มีอัตราการขาย 61% ซึ่งเป็นโครงการที่ตั้งอยู่ถัดจากเขตใจกลางกรุงเทพมหานคร ได้แก่ โซนพญาไท-รัชดาภิเษก, โซนพระโขนง-สวนหลวง-แบริ่ง, โซนลาดพร้าว-วังทองหลาง และโซนยานนาวา–บางคอแหลม-คลองสาน อันดับ 3 เป็นกลุ่มที่มีระดับราคา 10-20 ล้านบาท มีอัตราการขาย 46% ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในโซนยานนาวา–บางคอแหลม-คลองสาน, โซนพญาไท-รัชดาภิเษก, โซนสาทร-บางรัก และโซนพระโขนง-สวนหลวง-แบริ่ง   ส่วนกลุ่มระดับราคาที่มีอัตราการขายต่ำสุดเป็นกลุ่มที่มีระดับราคา 30-40 ล้านบาท มีอัตราการขาย 39% โครงการส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในโซนพระโขนง-สวนหลวง-แบริ่ง, โซนพญาไท-รัชดาภิเษก และโซนวัฒนา-คลองเตย       หากวิเคราะห์เป็นรายทำเลโซนรอบใจกลางเมืองยังเติบโตได้ดี จากผลการวิจัยของ เน็กซัส พบว่า อัตราการขาย (Sold rate) ของทาวน์โฮม-โฮมออฟฟิศ-บ้านแฝด โดยเฉลี่ยเท่ากับ 1.49 ยูนิตต่อเดือน โดยหากพิจารณาตามทำเลพบว่าโครงการที่อยู่ในโซนพระโขนง-สวนหลวง-แบริ่ง มีอัตราการขายสูงที่สุดในตลาดเท่ากับ 4.15 ยูนิตต่อเดือน โดยระดับราคาที่ส่งผลให้ทำเลดังกล่าวมีอัตราการขายสูงคือระดับราคา 10-20ล้านบาท มีอัตราการขาย 6.12  ยูนิตต่อเดือน อันดับ 2 ได้แก่โซนยานนาวา-บางคอแหลม-คลองสาน มีอัตราการขาย 1.61 ยูนิตต่อเดือน โดยระดับราคาที่มีอัตราการขายสูงที่สุดคือระดับราคา 20-30 ล้านบาท อันดับ 3 ได้แก่โซนพญาไท-รัชดาภิเษก มีอัตราการขาย 0.92 ยูนิตต่อเดือน โดยระดับราคาที่มีอัตราการขายสูงที่สุดคือระดับราคา 20-30 ล้านบาท   หากพิจารณาอัตราการขายของทั้งตลาดแยกตามระดับราคา พบว่าระดับราคา 10-20 ล้านบาท มีอัตราการขายสูงที่สุดเมื่อเทียบกับระดับราคาอื่น โดยมีอัตราการขายเท่ากับ 2.47 ยูนิตต่อเดือน รองลงมาเป็นระดับราคา 20-30 ล้านบาท มีอัตราการขายเท่ากับ 1.02 ยูนิตต่อเดือน สอดคล้องกับจำนวนอุปทานของระดับราคา 10-20 ล้านบาท  ที่มีสัดส่วนสูงที่สุดในตลาดและระดับราคา 20-30 ล้านบาทรองลงมา   นางนลินรัตน์ เจริญสุพงษ์ กรรมการผู้จัดการบริษัทเน็กซัส พรอพเพอร์ตี้ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด กล่าวเสริมว่า “ดีไซน์และคุณภาพวัสดุมีผลต่อการตัดสินใจซื้อ เนื่องจากวัตถุประสงค์ของลูกค้าที่ต้องการซื้อทาวน์โฮมและบ้านแฝด คือต้องการพื้นที่ใช้สอยภายในตัวบ้านที่มากขึ้นสำหรับการสร้างหรือขยายครอบครัว หรือมีครอบครัวแล้วแต่ต้องการมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและใช้ชีวิตในบ้านได้อย่างสะดวกสบายมากขึ้น แต่โครงการทาวน์โฮมที่ประสบความสำเร็จ ไม่ได้มีจุดเด่นในเรื่องขนาดของพื้นที่ใช้สอย โดยจากผลการสำรวจพบว่าจุดเด่นของโครงการทาวน์โฮมที่ประสบความสำเร็จ โดยสามารถทำอัตราการขายสูง ประกอบไปด้วยจุดเด่น 3 ประการคือ 1. การออกแบบภายนอกที่สวยงามทันสมัยและโดดเด่น 2. การออกแบบฟังก์ชันการใช้งานภายในบ้านให้สามารถใช้พื้นที่ได้เต็มประสิทธิภาพ ขนาดกะทัดรัดแต่สามารถใช้งานได้จริงและปรับเปลี่ยนฟังก์ชันการใช้งานได้ 3. วัสดุภายในบ้านที่มีคุณภาพหรือใช้แบรนด์ที่มีชื่อเสียง”   ในขณะที่โครงการโฮมออฟฟิศ ลูกค้าที่ตัดสินใจซื้อมีวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกันในแต่ละทำเล โดยหากเป็นโซนลาดพร้าว-วังทองหลาง ลูกค้าส่วนใหญ่ทำเป็นออฟฟิศโดยแบ่งชั้นบนสุดเพื่อพักอาศัยเพียงชั้นเดียว ลูกค้าที่ตั้งใจซื้อเพื่ออยู่อาศัยทุกชั้นมีจำนวนน้อย กลุ่มลูกค้าหลักเป็นธุรกิจประเภทสุขภาพ/ความงาม ต่างกับโซนพระโขนง-สวนหลวง-แบริ่ง ที่ลูกค้าซื้อโฮมออฟฟิศเพื่อทำเป็นที่พักอาศัยเนื่องจากทำเลโดยรอบโครงการเป็นย่านพักอาศัย ทำเลจึงเหมาะต่อการอยู่อาศัยมากกว่าการทำเป็นออฟฟิศ   โครงการโฮมออฟฟิศที่ประสบความสำเร็จในด้านยอดขาย จึงต้องมีจุดเด่นในเรื่องฟังก์ชันการใช้งานภายในบ้าน ซึ่งได้แก่ การปรับเปลี่ยนพื้นที่ได้อย่างอิสระตามความต้องการของลูกค้าแต่ละราย, จำนวนพื้นที่ใช้สอยและจำนวนที่จอดรถที่เพียงพอ และการมีลิฟต์หรือห้องน้ำทุกชั้นเพื่อรองรับความต้องการที่หลากหลาย เป็นต้น   โครงการขนาดเล็ก VS โครงการขนาดใหญ่ ปัจจุบันที่ดินเปล่าในกรุงเทพมหานครโดยเฉพาะทำเลที่สามารถเดินทางเข้าสู่ใจกลางเมืองได้อย่างสะดวกและมีสภาพแวดล้อมรอบโครงการที่น่าอยู่หายากมากขึ้นและมีราคาสูง การพัฒนาโครงการแนวราบขนาดใหญ่จึงมีความเป็นไปได้ยาก จึงมีหลายโครงการที่พัฒนาในรูปแบบของโครงการขนาดเล็ก มีจำนวนยูนิตไม่มากนัก แต่ในขณะเดียวกันก็ยังมีผู้พัฒนารายใหญ่สนใจโครงการขนาดใหญ่ที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบและตั้งอยู่ในทำเลใจกลางเมืองเช่นกัน สำหรับโครงการขนาดเล็กก็เป็นตัวเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ มีข้อดีของการพัฒนาโครงการขนาดเล็กซึ่งได้แก่ ทำเลดี โดยจากการสำรวจพบว่ามีโครงการขนาดเล็กหลายโครงการที่ตั้งอยู่ใกล้กับศูนย์การค้าขนาดใหญ่ ใกล้กับทางด่วนที่สามารถเดินทางเข้าสู่ตัวเมืองได้อย่างสะดวก หรือใกล้กับรถไฟฟ้า BTS / MRT ซึ่งเป็นทำเลที่หาได้ยากในปัจจุบัน การปรับเปลี่ยนฟังก์ชันภายในบ้านได้ตามความต้องการของผู้อยู่อาศัย โดยโครงการขนาดเล็กมักมีความยืดหยุ่นในเรื่องการออกแบบและการก่อสร้าง ผู้ซื้อสามารถปรับเปลี่ยนฟังก์ชันภายในบ้านได้ในช่วงก่อนหรือระหว่างการก่อสร้าง จำนวนยูนิตน้อย ซึ่งเหมาะสมสำหรับคนที่ต้องการความเงียบสงบและเป็นส่วนตัว และป้องกันปัญหาการอยู่ร่วมกันของลูกบ้าน นอกจากนี้การไม่มีส่วนกลาง จึงไม่ต้องเสียค่าส่วนกลางโครงการ เป็นต้น   ในส่วนของโครงการขนาดใหญ่ (หรือโครงการที่ต้องยื่นขออนุญาตจัดสรรทั่วไป) ยังคงได้รับความสนใจจากผู้ซื้อ ซึ่งมีข้อดีที่แตกต่างจากโครงการขนาดเล็กโดยมีข้อดีคือ ส่วนกลางขนาดใหญ่ เช่น สระว่ายน้ำ, ฟิตเนส และสโมสร เป็นต้น มีระบบการดูแลความปลอดภัยและการดูแลความเรียบร้อยของโครงการที่ได้มาตรฐาน ความเชื่อมั่นในงานก่อสร้าง การก่อสร้างบ้านแบบเดียวกันจำนวนหลายๆ หลัง ทำให้ช่างก่อสร้างของโครงการเกิดความคุ้นเคยในงานก่อสร้างมากกว่าโครงการขนาดเล็กที่มีไม่กี่หลัง ราคาถูกกว่าโครงการขนาดเล็ก เนื่องจากการพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ทำให้ต้นทุนต่อหน่วยถูกลง และการอยู่อาศัยร่วมกันหลายๆครอบครัว ทำให้เกิดสังคมภายในโครงการ       รูปแบบทาวน์โฮม-โฮมออฟฟิศ-บ้านแฝดในแต่ละทำเล การพัฒนาโครงการทาวน์โฮม-โฮมออฟฟิศ-บ้านแฝด ในแต่ละทำเลมีความแตกต่างกัน โดยหากเป็นทำเลใจกลางเมืองจะเป็นการพัฒนาโครงการทาวน์โฮมและบ้านแฝดเพื่ออยู่อาศัยทั้งหมด ซึ่งได้แก่โซนสาทร-บางรัก และโซนวัฒนา-คลองเตย โครงการทาวน์โฮมและบ้านแฝดใจกลางเมืองมีการออกแบบพื้นที่ใช้สอยให้มีขนาดใหญ่ ซึ่งโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 450 ตารางเมตร และราคาเฉลี่ยต่อยูนิตประมาณ 50 ล้านบาท แม้ว่าการออกแบบพื้นที่ใช้สอยจำนวนมากจะทำให้ราคาต่อยูนิตสูงตามไปด้วย แต่เป็นที่น่าสังเกตว่าทาวน์โฮมและบ้านแฝดทำเลใจกลางเมืองก็ยังได้รับความนิยม   โครงการในทำเลรอบใจกลางเมือง มีการพัฒนาโครงการทั้งทาวน์โฮม โฮมออฟฟิศ และบ้านแฝด โดยหากเป็นทาวน์โฮมโดยเฉลี่ยมีการออกแบบพื้นที่ใช้สอยประมาณ 300 ตารางเมตร ราคาเฉลี่ยประมาณ 19 ล้านบาท  บ้านแฝดมีการออกแบบพื้นที่ใช้สอยประมาณ 395 ตารางเมตร ราคาเฉลี่ยประมาณ 24 ล้านบาท และโฮมออฟฟิศ มีการออกแบบพื้นที่ใช้สอยประมาณ 460 ตารางเมตร ราคาเฉลี่ยประมาณ 29 ล้านบาท   โครงการที่เปิดใหม่ในปี 2562 มีหลายโครงการที่ตั้งอยู่ในทำเลที่แตกต่างจากโครงการที่ผ่านมา เช่น บางโครงการเป็นสัญญาเช่าระยะยาวแต่อยู่ในทำเลที่ดีและเป็นแหล่งพักอาศัยของคนกลุ่มที่มีรายได้สูง เป็นต้น   นางนลินรัตน์ กล่าวสรุปว่า “ตลาดทาวน์โฮม-โฮมออฟฟิศ-บ้านแฝด ระดับบน ในเขตกรุงเทพมหานครมีการแข่งขันมากขึ้น แต่ละโครงการจึงพยายามสร้างจุดขายโดยเน้นไปที่การออกแบบโครงการภายนอกและฟังก์ชันการใช้งานภายใน เพื่อให้แตกต่างจากโครงการคู่แข่ง ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้โครงการทาวน์โฮมและบ้านแฝดประสบความสำเร็จ สอดคล้องกับโครงการโฮมออฟฟิศที่ต้องมีการออกแบบพื้นที่ให้สามารถรองรับการใช้งานที่หลากหลาย   โซนใจกลางเมืองยังคงมีอัตราการขายสูงและมีอุปทานต่ำ ส่วนโซนที่อยู่รอบใจกลางเมืองยังคงมีการเติบโตได้ดี โดยสังเกตจากอัตราการขายที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยตลาดโดยเฉพาะในโซนพระโขนง-สวนหลวง-แบริ่ง   ตลาดทาวน์โฮมที่มีทำเลที่ตั้งที่ดี มีแนวโน้มที่จะเป็นโครงการขนาดเล็กหรือโครงการที่ไม่ต้องขออนุญาตจัดสรรมากขึ้น เนื่องจากข้อจำกัดในด้านที่ดินที่หายากและมีต้นทุนที่ดินที่สูงขึ้น ซึ่งส่งผลดีต่อผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ไม่ต้องใช้เงินลงทุนสูงและผู้ซื้อสามารถซื้อทาวน์โฮมได้ในทำเลที่ตั้งที่น่าอยู่และสามารถปรับเปลี่ยนแบบบ้านได้ตามความต้องการ”      
เน็กซัสชี้ ปี 2019 คือ ปีแห่งการก้าวกระโดดของธุรกิจ Co- Working Office

เน็กซัสชี้ ปี 2019 คือ ปีแห่งการก้าวกระโดดของธุรกิจ Co- Working Office

เมื่อคนรุ่นใหม่เข้ามาเป็นส่วนสำคัญขององค์กรต่างๆ จึงทำให้รูปแบบของการทำงานในปัจจุบันเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เห็นได้จากการที่ธุรกิจให้เช่าพื้นที่ทำงานร่วม หรือ Co-working Office เริ่มเป็นที่นิยม และขยายตัวอย่างรวดเร็วในหลายประเทศทั่วโลก สำหรับในประเทศไทยนั้น ธุรกิจให้เช่า Co-working Office เป็นเทรนด์ที่กำลังมาแรงซึ่งเมื่อผนวกกับการขยายตัวอย่างรวดเร็วของบริษัทสตาร์ทอัพในปัจจุบันที่มีมากกว่า 10,000 ราย คิดเป็นมูลค่ากว่า 30,000 ล้านบาท ยิ่งส่งผลให้ธุรกิจให้เช่า Co-working Office ยิ่งเป็นที่ต้องการเพิ่มมากขึ้น   นายธีระวิทย์ ลิ้มทองสกุล กรรมการผู้จัดการบริษัท เน็กซัส เรียลเอสเตท แอ็ดไวเซอรี่ เผยว่า “ปัจจุบันธุรกิจให้เช่า Co-working Office กำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก พบว่าในปี 2018 ตลาด Co-working Office มีการเปิดให้บริการเพิ่มมากขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา (2017) ถึง 51% บนพื้นที่กว่า 100,000 ตารางเมตร หรือคิดเป็น 2.6% ของพื้นที่เช่าอาคารสำนักงานแบบดั้งเดิม คาดว่าในปี 2019 จะมีผู้ประกอบการหลายรายที่ พร้อมขยายพื้นที่ให้บริการอีกกว่า 30,000 ตารางเมตร หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 40% โดยปัจจุบัน มีบริษัทที่เซ็นสัญญาการเช่าพื้นที่แห่งใหม่แล้วอย่างน้อย 3 ราย บนขนาดพื้นที่ประมาณ 4,000 – 8,000 ตารางเมตร   ด้านราคาค่าเช่า จากการสำรวจของเน็กซัสพบว่า อัตราค่าบริการรายเดือนของ Co-working Office อยู่ที่ประมาณ 10,000 บาทต่อคนต่อเดือน โดยปัจจุบันมี Co-working Office มากถึง 70 แห่งทั่วกรุงเทพ จากผู้ประกอบการประมาณ 30 ราย ส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการชาวต่างชาติ โดยผู้ประกอบการรายใหญ่ คือ รีจัส (Regus) นอกจากนี้ยังมีแบรนด์ต่างชาติที่พร้อมจะขยายพื้นที่ให้บริการ Co-working Office เพิ่มขึ้นอีกเป็นจำนวนมาก เช่น วีเวิร์ค จัสโค และสเปสเซส เป็นต้น ซึ่งผู้ประกอบการกลุ่มนี้มักจะมองหาพื้นที่เช่าในอาคารสำนักงานเกรดเอ บนทำเลศักยภาพ เดินทางเข้าถึงสะดวก ตามแนวรถไฟฟ้าบนดิน และรถไฟฟ้าใต้ดิน โดยขนาดพื้นที่ที่ต้องการ คือ ประมาณ 2,000-4,000 ตร.ม. หรืออาจมากถึง 8,000 ตร.ม. ในบางอาคาร “อาคารสำนักงานให้เช่าตามแนวรถไฟฟ้าและรถไฟฟ้าใต้ดินได้รับความสนใจจากผู้ประกอบการธุรกิจให้เช่าพื้นที่ทำงานร่วมเป็นอย่างมาก โดยมีการขอเช่าพื้นที่ในอาคารเดียวกว่า 7,000-8,000 ตร.ม.” นายธีระวิทย์ ลิ้มทองสกุล กรรมการผู้จัดการบริษัท เน็กซัส เรียลเอสเตท แอ็ดไวเซอรี่ กล่าว   จากการวิจัยของเน็กซัส พบว่าเหตุที่ Co-working Office เป็นที่นิยมมากขึ้นเนื่องจาก เป็นรูปแบบบริการที่ทันสมัยเข้าใจไลฟ์สไตล์ของพนักงานในยุคมิลเลนเนียมที่ต้องการความคล่องตัว มีบรรยากาศการทำงานที่ผ่อนคลาย ทั้งยังสามารถทำสัญญาเช่าระยะสั้นได้ ซึ่งเหมาะกับบริษัทสตาร์ทอัพที่ต้องการปรับเปลี่ยนขนาดของพื้นที่ หรือจำนวนพนักงานอย่างรวดเร็ว ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของผู้เช่าที่เคยเกิดขึ้นจากการเช่าสำนักงานแบบเดิม เช่น ค่าตกแต่งสำนักงาน ค่าเฟอร์นิเจอร์ ค่าบริหารจัดการ ค่าส่วนกลาง ค่าทำความสะอาด เป็นต้น ซึ่งข้อดีที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ Co-working Office มักจะมีอยู่หลายสาขาไว้ให้บริการ ดังนั้น สมาชิกจึงมีความสะดวกสบายต่อการเลือกใช้บริการในสาขาที่ตนเองต้องการ เป็นเหตุให้ Co-working Office จึงกลายเป็นตัวเลือกหนึ่งที่น่าสนใจของผู้เช่า   “ในอนาคตอันใกล้คาดว่ามีผู้ประกอบการอีกจำนวนไม่น้อยที่ต้องการพัฒนาโครงการในรูปแบบของ Co-working Office โดยอาจเป็นในรูปแบบของการร่วมมือกันระหว่างเจ้าของอาคารกับผู้ประกอบการ Co-working Office หรือ เจ้าของอาคารที่หันมาเป็นผู้ประกอบการเอง และด้วยการทำ Co-working Office นั้น ต้องการพื้นที่ขนาดใหญ่ ซึ่งข้อดี คือ Co-working Office จะช่วยเข้ามาช่วยลดอัตราว่างของพื้นที่ในอาคารให้น้อยลงนอกจากนี้ ยังสามารถสร้างจุดแข็งและภาพลักษณ์ที่ดีให้กับผู้เช่า รวมไปถึงเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับโครงการอีกด้วย โดยในอนาคตมีแนวโน้มว่าอาคารสำนักงานให้เช่าเกรดเอในกรุงเทพฯ จะมีพื้นที่สำหรับรองรับ Co-working Office ประมาณ 10% ในทุกๆอาคาร” นายธีระวิทย์ ลิ้มทองสกุล กล่าวสรุป    
คอนโดมิเนียมสิทธิการเช่าระยะยาว ทางเลือกใหม่สำหรับผู้บริโภคใจกลางเมือง

คอนโดมิเนียมสิทธิการเช่าระยะยาว ทางเลือกใหม่สำหรับผู้บริโภคใจกลางเมือง

เน็กซัส เผยผลการสำรวจข้อมูลเกี่ยวกับคอนโดมิเนียมแบบให้สิทธิการเช่าระยะยาว (Leasehold) ปัจจุบันมีจำนวนไม่ถึง 1% ของจำนวนคอนโดมิเนียมที่ในตลาดกรุงเทพฯ ซึ่งส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่บริเวณใจกลางเมือง บนทำเลที่มีศักยภาพสูง หรือบริเวณที่ไม่สามารถหาซื้อที่ดินแบบซื้อขาดได้  และที่ดินลักษณะนี้เจ้าของที่ดินส่วนใหญ่จะเป็นของหน่วยงานรัฐ และสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ จะมีเพียงบางส่วนเท่านั้นที่เป็นที่ดินของเอกชน โดยทำเลหลักของคอนโดเหล่านี้ คือ ย่านราชดำริ หลังสวน พระราม 4   นางนลินรัตน์ เจริญสุพงษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เน็กซัส พรอพเพอร์ตี้ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (Mrs.Nalinrat Chareonsuphong, Managing Director of Nexus Property Marketing Company Limited) เผยว่า สำหรับ อุปทานของคอนโดมิเนียมแบบให้สิทธิการเช่าระยะยาวใจกลางกรุงเทพฯ นั้น มีทั้งสิ้น 4,500 หน่วย จาก 22 โครงการ โดยพบว่ามากกว่า 67% ตั้งอยู่บริเวณหลังสวน และราชดำริ ถ้าจะวิเคราะห์ถึงอุปทานคอนโดมิเนียมใหม่ที่เปิดขายในช่วง 2-3  ปีที่ผ่านมานั้น จะพบว่าเป็นโครงการบนทำเลพิเศษที่มีศักยภาพสูงมาก และมุ่งเจาะกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นโครงการในเครือของสินธร เรสซิเดนซ์ โครงการ ไอแอมไชน่าทาวน์ บริเวณเยาวราช หรือแม้แต่ โฟร์ซีซั่นส์ ไพรเวท เรสซิเดนซ์ บริเวณริมแม่น้ำ   ด้านราคาคอนโดมิเนียมแบบให้สิทธิการเช่าระยะยาวนั้น มีความแตกต่างกันมาก ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น ทำเลที่ตั้ง ปืที่ก่อสร้าง และคุณภาพโครงการ พบว่าหลายโครงการในกลุ่ม ซูเปอร์ ลักชัวรี่ มักใช้เครือโรงแรม 5 ดาวเข้ามาบริหาร หรือมีส่วนควบที่เป็นโรงแรมหรือเซอร์วิสอพาร์ทเมนท์เกรดเอพ่วงอยู่ด้วย เพื่อเพิ่มมูลค่าและดึงดูดผู้ซื้อชาวต่างชาติให้สนใจเข้ามาซื้อโครงการมากขึ้น  โดยหลักการแล้วคอนโดแบบให้สิทธิการเช่าระยะยาว จะมีระยะเวลาการเช่า 30 ปี ราคาซื้อขายสิทธิมือสองอาจจะลดลงเมื่อจำนวนปีที่เหลือถือครองลดลง แต่ในความเป็นจริง มีคอนโดมิเนียมแบบให้สิทธิเช่าระยะยาวในหลายโครงการ ราคาก็ไม่ได้ปรับตัวลดลงตามปีที่เหลืออยู่ แต่กลับเพิ่มขึ้น เนื่องจากคุณภาพของห้องชุดที่ดี มีการบำรุงรักษาอย่างต่อเนื่องจากเจ้าของโครงการ ผู้ซื้อยังมีความต้องการคอนโดในทำเล นั้นๆ อยู่ และยิ่งไปกว่านั้น เราพบว่าราคาของคอนโดแบบให้สิทธิการเช่าระยะยาว มักจะปรับตัวสูงขึ้น ถึงแม้อายุการเช่าน้อยลง และอาจจะทำราคาได้ดีกว่าคอนโดฟรีโฮลด์ที่ขายอยู่ในตลาดอีกด้วย ซึ่งส่งผลทำให้ผลตอบแทนต่อปีจากการลงทุนในคอนโดแบบให้สิทธิการเช่าระยะยาว อยู่ในอัตรา 7-10% ซึ่งมากกว่าคอนโดฟรีโฮลด์ในทำเลเดียวกัน     นางนลินรัตน์ ยังกล่าวต่อว่า ความน่าสนใจของคอนโดมิเนียมแบบให้สิทธิการเช่าระยะยาวในอนาคตจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จากปัจจัยหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นที่ดินใจกลางเมืองที่มีราคาสูงขึ้นและหายากขึ้น  ทำให้เจ้าของที่ดินเอกชนสนใจที่จะปล่อยที่ดินให้เช่าระยะยาวมากกว่าขายที่ดินทั้งผืน ในขณะที่ภาครัฐเองก็มีที่ดินให้เช่าอย่างต่อเนื่อง ในด้านของราคา พบว่าโดยทั่วไปคอนโดแบบให้สิทธิการเช่าระยะยาว จะมีราคาขายถูกกว่าคอนโดขายขาด(Freehold) อย่างน้อย 30-40% ทำให้ผู้ซื้อสามารถตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ ทำเลที่ตั้งของคอนโดแบบให้สิทธิการเช่าระยะยาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งคอนโดที่อยู่ในระดับ ซูเปอร์ ลักชัวรี่ เป็นทำเลที่มีความพรีเมี่ยมมาก เช่น หลังสวนหรือราชดำริ ยังคงได้รับการตอบรับอย่างต่อเนื่องจากผู้ซื้อ  และเมื่อวิเคราะห์ถึง แพลตฟอร์มการใช้ชีวิต ของคนกรุงเทพยุคมิลเลนเนียม ที่ต้องการความสะดวกสบาย เดินทางสะดวก และมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบในอนาคตก็สามารถย้ายที่อยู่ไปอยู่บ้านเดี่ยวได้เมื่ออยู่ในวัยทำงานที่อายุมากขึ้น การซื้อคอนโดแบบให้สิทธิการเช่าระยะยาวจึงเป็นทางเลือกใหม่ที่น่าสนใจสำหรับคนกลุ่มนี้ และด้วยสภาพสังคมไทยในปัจจุบันที่เรากำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ กลุ่มนี้เป็นอีกกลุ่มสำคัญที่จะให้ความสนใจกับที่อยู่อาศัยในแบบให้สิทธิการเช่าระยะยาว เนื่องจากคนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่ยังทำงาน และมีอำนาจการจับจ่ายสูง เพราะเมื่อพิจารณาองค์ประกอบโดยรวมแล้ว การซื้อคอนโดแบบให้สิทธิการเช่าระยะยาวนั้นคุ้มค่ากว่า เพราะพื้นฐานความต้องการของคนกลุ่มนี้ต้องการความปลอดภัยในการใช้ชีวิต ต้องการอยู่ในทำเลที่สะดวกสบาย และความสามารถในการเข้าถึงการรักษาพยาบาลได้โดยง่าย โดยเน็กซัสคาดว่าในอนาคต เราอาจจะเห็นคอนโดสำหรับผู้สูงอายุที่เป็นแบบให้เช่าระยะยาวนี้มากขึ้น   สำหรับในมุมมอง ตลาดลงทุน โดยปกติแล้วคอนโดแบบให้สิทธิการเช่าระยะยาว จะมีเงื่อนไขการจ่ายเงินจอง และทำสัญญามากกว่าคอนโดแบบขายขาดโดยอยู่ที่ประมาณ 30% ธนาคารก็จะปล่อยกู้ในวงเงิน 70% ที่เหลือ ซึ่งเงื่อนไขดังกล่าวหากเปรียบเทียบกับนโยบายใหม่ของธนาคารแห่งประเทศไทย ในกรณีที่ซื้อที่อยู่อาศัยหลังที่ 2 หรือหลังที่ 3  ส่งผลให้คอนโดแบบให้สิทธิการเช่าระยะยาว ไม่ได้เสียเปรียบคอนโดฟรีโฮลด์ในแง่เม็ดเงินลงทุนเบื้องต้นอีกต่อไป สำหรับ ผลตอบแทนจากการลงทุน  คอนโดแบบให้สิทธิการเช่าระยะยาว โดยทั่วไปจะให้ผลตอบแทนต่อปีสูงกว่า เนื่องจากราคาขายต่ำกว่าและส่วนใหญ่จะอยู่ในทำเลที่มีความต้องการเช่าสูง นอกจากนี้เงินที่ประหยัดได้จากการซื้อคอนโดที่ถูกกว่าสามารถนำไปลงทุนอย่างอื่นเพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นอีกด้วย ทั้งนี้ ขนาดห้องที่เหมาะสม และรูปแบบที่ตอบสนองความต้องการของตลาดในแต่ละทำเล  จะเป็นปัจจัยสำคัญในการทำให้คอนโดปล่อยเช่าได้ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี สุดท้าย ตลาดต่างชาติ ก็น่าจะมีอนาคตดีสำหรับคอนโดแบบให้สิทธิการเช่าระยะยาว ด้วยปัจจัยหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นความคุ้นเคยของต่างชาติ เช่น สิงคโปร์ ฮ่องกง ของการอยู่คอนโดประเภทนี้ ความง่ายในการเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์คอนโดแบบให้สิทธิการเช่าระยะยาว รวมถึงเงื่อนไขในการซื้อต่างๆ เช่น ไม่จำเป็นต้องโอนเงินจากต่างประเทศ โดยเฉพาะสำหรับชาวจีน ที่การโอนเงินออกมาซื้อคอนโดเป็นเรื่องไม่ง่ายนัก เป็นต้น    
พหลฯ-ประดิพัทธ์ ทำเลใหม่ในย่านสุดคลาสสิค

พหลฯ-ประดิพัทธ์ ทำเลใหม่ในย่านสุดคลาสสิค

เน็กซัส ชี้พหลฯ-ประดิพัทธ์เป็นตลาดคอนโดมิเนียมทำเลใหม่ในย่านสุดคลาสสิค สนนราคาขายถูกกว่าทำเลใกล้เคียงกันบนถนนพหลโยธิน ในระยะการเดินทางและสิ่งแวดล้อมเดียวกัน ทำเลศักยภาพที่มีแผนพัฒนาอย่างต่อเนื่อง คุ้มค่าทั้งในแง่ของการซื้อไว้เป็นทรัพย์สินและการลงทุนในอนาคต     นางนลินรัตน์ เจริญสุพงษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เน็กซัส พรอพเพอร์ตี้ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด ที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ กล่าวว่า ทำเลประดิพัทธ์เป็นทำเลใหม่ที่น่าจับตามอง ภาพรวมของย่านพหลฯ-ประดิพัทธ์ยังคงความคลาสสิค เป็นที่อยู่อาศัยของชุมชนเก่าแก่ โรงแรม เต็มไปด้วยร้านค้าและร้านอาหารชื่อดัง ซึ่งประกอบกิจการในอาคารพาณิชย์ 3-4 ชั้น เป็นช่วง ๆ ตลอดแนวถนนประดิพัทธ์ การเจริญเติบโตของเมืองในช่วงหลายปีที่ผ่านมาทำให้ศักยภาพในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของย่านนี้เพิ่มสูงขึ้น ปัจจุบันราคาที่ดินในตลาดตลอดแนวถนนเสนอขายที่ราคาตารางวาละ 600,000 – 800,000 บาท โดยบริเวณข้างเคียง ได้แก่ บริเวณซอยย่อยในทำเลอารีย์ บริเวณถนนพหลโยธินตั้งแต่ช่วงจตุจักรไปจนถึงสถานีบีทีเอสสะพานควาย และช่วงสถานีบีทีเอสสะพานควายไปตลอดจนถึงอนุสาวรีย์ฯ เสนอขายที่ดินที่ราคาตารางวาละ 600,000 – 800,000 บาท 900,000 – 1,000,000 บาท และ 1,200,000 – 1,500,000 บาท ตามลำดับ     ราคาคอนโดมิเนียมเฉลี่ยในทำเลพหลฯ-ประดิพัทธ์ปัจจุบันเสนอขายที่ราคาตารางเมตรละ 170,000 บาท ซึ่งเป็นระดับราคาเฉลี่ยที่ต่ำกว่าราคาคอนโดมิเนียมบนถนนเส้นหลักพหลโยธินตั้งแต่ช่วงสถานีบีทีเอสสะพานควายไปจนถึงอนุสาวรีย์ที่เสนอขายในราคา 218,000 บาท/ตารางเมตร โดยทั้งสองทำเลมีสภาพแวดล้อมใกล้เคียงกัน ทั้งในแง่ของขนาดถนน การคมนาคม และสาธารณูปโภค   สำหรับคอนโดมิเนียมในบริเวณข้างเคียง ได้แก่ บริเวณซอยย่อยในทำเลอารีย์ และบนถนนพหลโยธินในทำเลจตุจักร มีระดับราคาเฉลี่ยต่อตารางเมตรอยู่ที่ 154,000 บาท และ 166,000 บาท ตามลำดับ แม้ว่าทำเลดังกล่าวจะอยู่ห่างจากทำเลพหลฯ-ประดิพัทธ์ในระยะที่ไม่แตกต่างกัน แต่ระดับราคาคอนโดมิเนียมเฉลี่ยต่อตารางเมตรต่ำกว่า ซึ่งสอดคล้องกับปัจจัยทางด้านกายภาพของบริเวณซอยย่อยในทำเลอารีย์ ที่ส่วนใหญ่เป็นโครงการขนาดเล็ก ขนาดอาคารที่อยู่อาศัยไม่เกิน 8 ชั้น และที่ตั้งโครงการคอนโดมิเนียมทำเลจตุจักรมีระยะการเข้าถึงกรุงเทพฯ ชั้นในมากกว่า เมื่อเทียบกับทำเลอื่นข้างต้น     ทำเลใกล้กัน ในสิ่งแวดล้อมเดียวกัน   ทำเลพหลฯ-ประดิพัทธ์ สามารถเข้า-ออกได้หลายเส้นทาง และหลายรูปแบบ อยู่ในระยะเดินทางไปยังเส้นทางหลักถนนพหลโยธินและถนนพระรามที่ 6 โดยใช้เวลาประมาณ 5-10 นาทีด้วยรถยนต์ หรือในระยะเดินเท้า 10-15 นาที ใช้เส้นทางลัดไปยังทำเลอารีย์ได้จากซอยย่อยต่าง ๆ การเข้าถึงสถานีรถไฟฟ้าที่ใกล้ที่สุดทั้งสถานีสะพานควายและอารีย์ อยู่ในระยะเวลาที่ใกล้เคียงกันกับทำเลที่ตั้งที่อยู่ระหว่างสถานีรถไฟฟ้าบนถนนพหลโยธิน นอกจากนี้การใช้บริการทางพิเศษทั้งการเดินทางเข้าสู่กรุงเทพชั้นใน กรุงเทพฝั่งเหนือหรือวงแหวนรอบนอก ก็สามารถใช้บริการได้ในระยะรัศมี 2 กิโลเมตร     พื้นที่โดยรอบทำเลมีสาธารณูปโภคอื่น ๆ ครบครัน มีห้างสรรพสินค้าและ คอมมูนิตี้ มอลล์กว่า 10 แห่ง สถานศึกษาขนาดใหญ่ 2 แห่ง โรงพยาบาล 6 แห่ง สถานที่ราชการ 7 แห่ง และอาคารสำนักงานอีกนับไม่ถ้วนทั้งขนาดใหญ่ กลาง และเล็ก ยังไม่นับรวมถึงร้านอาหาร คาเฟ่ ร้านสะดวกซื้อที่กระจายตัวอยู่อีกจำนวนมาก เมื่อเปรียบเทียบกับทำเลใกล้เคียง จะพบว่าสิ่งแวดล้อมโดยรอบแทบจะเป็นสิ่งแวดล้อมเดียวกัน   ทำเลที่มีแผนพัฒนาอย่างต่อเนื่อง   เป็นระยะเวลาเกือบ 20 ปีแล้ว ตั้งแต่มีโครงการรถไฟฟ้าบีทีเอสสายสีเขียวเปิดให้บริการ ซึ่งเป็นรถไฟฟ้าเส้นแรกของประเทศไทยเชื่อมพื้นที่กรุงเทพฝั่งเหนือ (จตุจักร) กรุงเทพชั้นใน และฝั่งตะวันออก (แบริ่ง) การปรับเปลี่ยนผังเมืองตามการเจริญเติบโตของเมือง พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่สีน้ำตาลและมีสีแดงเป็นบางช่วง นั่นทำให้พื้นที่โซนนี้มีศักยภาพในการพัฒนาในอัตราส่วนที่ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับขนาดที่ดิน สามารถพัฒนาได้ทั้งที่อยู่อาศัยแนวราบและแนวสูง รวมไปถึงเพื่อการพาณิชย์ โรงแรมและสำนักงาน เป็นต้น     ปัจจุบันมีโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างคาดว่าจะเปิดใช้บริการในปี 2563 ได้แก่ ส่วนคมนาคม คือรถไฟฟ้าสายสีแดง ตลอดแนวถนนกำแพงเพชร 5 โดยสถานีที่ใกล้กับทำเลนี้ที่สุดคือ สถานีประดิพัทธ์ ซึ่งจะทำให้การเดินทางสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น และส่วนที่เป็นอาคาร 2 โครงการ คือ เดอะไรส์ บาย ศรีศุภราช เป็นโครงการมิกซ์ ยูสของกลุ่มศรีศุภราชกรุ๊ป รวมค้าปลีก ช็อปปิ้งมอลล์และโรงแรมระดับ 4 ดาว โครงการก่อสร้างโรงพยาบาลวิมุตติ ของบริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) เป็นโรงพยาบาลและศูนย์สุขภาพ บนพื้นที่รวม 7 ไร่เศษ นอกจากนี้ยังมีโครงการขนาดใหญ่อื่น ๆ ที่อยู่ระหว่างการพัฒนา ซึ่งมีแผนจะเปิดให้บริการภายใน 5-15 ปีนี้ ได้แก่ เดอะ ยูนิคอร์น โครงการมิกซ์ ยูส ของบริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) มีแนวคิดจะสร้างให้เป็นศูนย์กีฬา รวมร้านค้าปลีกและพื้นที่สำนักงานไว้ด้วยกัน และโครงการ บางกอก เทอร์มินอล อยู่ระหว่างการพัฒนาที่ดินให้เป็นมิกซ์ ยูส มีพื้นที่สำนักงาน โรงแรม เซอร์วิสอพาร์ทเม้นท์ ที่จอดรถ และพื้นที่ส่วนหนึ่งเป็นสถานีขนส่ง สุดท้ายคือโครงการพัฒนาสถานีกลางบางซื่อ บนพื้นที่กว่า 218 ไร่ ตามแนวคิดการพัฒนาพื้นที่ตามโครงข่ายสถานีขนส่งมวลชนแห่งใหม่ของกรุงเทพมหานคร ที่เป็นแหล่งศูนย์รวมคมนาคมทางรางระดับอาเซียน  
เน็กซัสสรุปภาพรวมตลาดคอนโดกรุงเทพปี 60 ทุบสถิติเปิดตัวสูงสุดในรอบ 10 ปี ลักชัวรี่ยังคงมาแรง แนะจับตากลุ่มทุน และลูกค้าจาก ฮ่องกง จีน ญี่ปุ่น

เน็กซัสสรุปภาพรวมตลาดคอนโดกรุงเทพปี 60 ทุบสถิติเปิดตัวสูงสุดในรอบ 10 ปี ลักชัวรี่ยังคงมาแรง แนะจับตากลุ่มทุน และลูกค้าจาก ฮ่องกง จีน ญี่ปุ่น

ชี้เทรนด์อนาคตโครงการต้องเน้นการนำเทคโนโลยีเข้ามาสู่ไลฟ์สไตล์ลูกค้าปรับตัวให้ทันสังคมผู้สูงอายุ เน็กซัสฯ เผยคอนโดเมืองกรุงปี 60 ร้อนแรงสร้างสถิติใหม่  มีจำนวนยูนิตเสนอขายมากที่สุดในรอบ 10 ปี พระโขนง - สวนหลวง ยังเนื้อหอมมีโครงการเปิดขายสูงสุด ในขณะที่ปทุมวัน-ราชเทวี  มีการปรับขึ้นของราคาสูงสุดถึง 16% คาดปี 61 ยังโตต่อเนื่อง อุปทานจะเพิ่มขึ้นอีกไม่ต่ำกว่า 10% ชี้เทรนด์ที่อยู่อาศัยในอนาคตกำลังเดินเข้าสู่ภาวะการ “ปรับเปลี่ยน” ด้วยปัจจัยหลากหลาย ทั้งการเข้ามาลงทุนของต่างชาติ การเติบโตอย่างรวดเร็วของ CLMV การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุของไทย และเทคโนโลยีที่มีบทบาทในการพัฒนาโครงการเพิ่มมากขึ้น นางนลินรัตน์ เจริญสุพงษ์​ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เน็กซัส พรอพเพอร์ตี้ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด เผยผลวิจัยตลาดคอนโดมิเนียมในกรุงเทพปี 2560 และฉายภาพเทรนด์ปี 2561 ว่า ในปี 2560 เป็นปีที่ผู้ประกอบการคอนโดมิเนียมในกรุงเทพ มีการแข่งขันที่ดุเดือด มีอุปทานเสนอขายใหม่จากผู้ประกอบการทั้งรายใหญ่ และรายย่อยถึง 62,700 ยูนิต จาก 128 โครงการ ซึ่งเป็นปีที่มีจำนวนห้องชุดออกสู่ตลาดมากที่สุดในรอบ 10 ปี สาเหตุที่ทำให้อุปทานของคอนโดมิเนียมเพิ่มขึ้นอย่างมากนั้น เนื่องมาจากทั้งผู้ประกอบการขนาดใหญ่ และรายใหม่ยังคงเดินหน้าพัฒนาโครงการอย่างต่อเนื่อง ทั้งยังมีการพัฒนาโครงการขนาดใหญ่เป็นจำนวนมาก ส่งผลให้มีจำนวนห้องชุดรวมทั้งตลาดถึง 550,000 หน่วย โดยมีห้องชุดเปิดตัวใหม่ สูงกว่าอัตราเฉลี่ยห้องชุดที่เปิดตัวในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาถึง 15% (ห้องชุดที่เปิดตัวใหม่ในปี 2556 - 2560 มีอัตราเฉลี่ย 53,600 หน่วยต่อปี) และโครงการต่างๆ ก็ยังคงขยายตัวออกไปยังทำเลรอบใจกลางเมือง สำหรับทำเลที่มีอุปทานเพิ่มขึ้นมากที่สุด 3 อันดับแรก คือ  1. พระโขนง - สวนหลวง จำนวน 14,400 หน่วย หรือ 23% 2. พญาไท - รัชดาภิเษก จำนวน 13,200 หน่วย หรือ 21%  และ 3. ธนบุรี - เพชรเกษม จำนวน 8,900 หน่วย หรือ 14% โดยทั้งหมดคิดเป็นจำนวนหน่วยมากกว่า 58% ของคอนโดมิเนียมที่เปิดใหม่ทั้งหมด ด้านการขยายวงการเติบโตของการพัฒนาโครงการ ในแต่ละพื้นที่นั้น เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาตลาดคอนโดมิเนียมได้ขยายตัวออกไป จากกลางเมืองเป็นอย่างมาก โดยโซนที่มีอัตราการขยายตัวของคอนโดมิเนียมมากที่สุด คือ ธนบุรี - เพชรเกษม โตถึง 107% ตามมาด้วยติวานนท์-รัตนาธิเบศร์ 76% และแจ้งวัฒนะ - ปากเกร็ด 68% เมื่อเทียบกับปี 2559 อุปสงค์ ภาพรวมของอุปสงค์ในปี 2560 นี้ ยังคงเติบโตได้ดี โดยอุปสงค์หรือยอดขายใหม่ในตลาดอยู่ที่ 57,300 หน่วย ซึ่งสูงกว่าอัตราขายเฉลี่ยห้องชุดในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาที่ 14% (อัตราขายเฉลี่ยห้องชุดในปี 2555-2559 มีอัตราเฉลี่ย 50,400 หน่วยต่อปี) อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาถึงอัตราการขายรวมของคอนโดมิเนียมทั้งตลาด จะยังคงที่อยู่ที่ 90% (ยอดขายรวมของคอนโดมิเนียมสะสมเพิ่มเป็น 496,100 หน่วย) ซึ่งทำให้ ณ ปัจจุบันมี ห้องชุดเหลือขายอยู่ในตลาดทั้งสิ้นประมาณ 53,900 หน่วย ในปี 2560 คอนโดมิเนียมที่เปิดใหม่ในตลาดมียอดขายเฉลี่ยอยู่ที่ 62% ทั้งนี้ ทำเลที่มีจำนวนห้องชุดที่ขายได้สูงสุด 3 อันดับแรก คือ 1. พระโขนง - สวนหลวง  2. พญาไท - รัชดาภิเษก  3. ปทุมวัน - ราชเทวี  โดยพบว่าพระโขนง - สวนหลวง ยังคงเป็นทำเลยอดนิยม มีห้องชุดเปิดใหม่จำนวนมากในทุกปี และยังคงมีอัตราการขายสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน สำหรับทำเลปทุมวัน - ราชเทวี เป็นเขตที่ห้องชุดเปิดใหม่มียอดขายสูงสุด คือ 88% ราคา ในปี 2560 ราคาขายเฉลี่ยของคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ ปรับตัวสูงขึ้นในอัตราที่ลดลง โดยปรับตัวสูงขึ้น 8% จากเดิมเมื่อปี 2559 มีราคาขายเฉลี่ยอยู่ที่ 121,000 บาทต่อตารางเมตร ปรับขึ้นเป็น 130,600 บาทต่อตารางเมตร ในปี 2560 ซึ่งอัตราการเพิ่มขึ้นนี้ ใกล้เคียงอัตราเฉลี่ยของการเติบโตของราคาคอนโดมิเนียมในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาที่มีอัตราเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 9% ต่อปี อย่างไรก็ตาม เมื่อลงมาดูในรายละเอียดจะพบว่า ทำเลที่มีการปรับขึ้นของราคาคอนโดมิเนียมสูงสุด คือ ในเขตปทุมวัน และราชเทวี โดยราคาคอนโดมิเนียม ปรับตัวสูงขึ้นถึง 16% หรือ 234,000 บาทต่อตารางเมตร ซึ่งปัจจัยมาจากห้องชุดในทำเลนี้ ยังคงเป็นที่ต้องการเป็นอย่างมาก ราคาต้นทุนที่ดินเพิ่มสูงขึ้น และอุปทานใหม่ในเขตนี้ มีจำนวนไม่มากในช่วงระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา ส่วนตลาดคอนโดมิเนียมกลางเมืองนั้น ราคาปรับตัวสูงขึ้นถึง 12% หรือ 210,700 บาทต่อตารางเมตร ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกัน เขตยานนาวาและเขตคลองสานที่มียอดขายดี ราคาก็ปรับตัวสูงขึ้นถึง 12% เช่นเดียวกัน สำหรับโครงการในส่วนกรุงเทพชั้นนอก ราคาปรับขึ้นไม่มากนักอยู่ที่ประมาณ 5% สำหรับคาดการณ์แนวโน้มของตลาดคอนโดมิเนียมในปี 2561 นางนลินรัตน์ กล่าวว่า ในแง่ของอุปทานคาดว่าจะเพิ่ม ขึ้นอีกไม่ต่ำกว่า 55,000 หน่วย หรือ  10% โดยกรุงเทพชั้นใน และเขตรอบกรุงเทพชั้นใน จะเป็นทำเลที่มีอุปทานใหม่ เกิดขึ้นมาก ในขณะที่กรุงเทพชั้นนอกจะมีจำนวนโครงการที่เปิดใหม่ไม่มากนัก แต่จะมีจำนวนหน่วยต่อโครงการค่อนข้างมาก สำหรับความต้องการห้องชุด จะยังคงเติบโตขึ้นในอัตราที่ใกล้เคียงกันกับอุปทาน ซึ่งจะส่งผลทำให้ห้องชุดในตลาดคงเหลือประมาณ 58,000-60,000 หน่วยในปี 2561 สำหรับระดับราคาคอนโดมิเนียมในตลาดกรุงเทพชั้นใน ปี 2561 คาดว่าจะปรับตัวขึ้นอีกอย่างน้อย 11% ในขณะที่ตลาดกรุงเทพชั้นใน และตลาดรอบนอก ราคาจะปรับตัวขึ้นอีกประมาณ 5-6% ส่งผลให้ราคาเฉลี่ยของตลาดปรับขึ้นอีกอย่างน้อย 8% ปี 2561 จะเห็นแนวโน้มในการพัฒนาคอนโดมิเนียมทุก segment เข้าไปอยู่ในซอยเล็กเป็นตึก 7-8 ชั้นมากขึ้นอย่างแน่นอน เนื่องจากที่ดินริมถนนใหญ่หายาก และราคาจะยังคงขยับตัวสูงขึ้นอีกอย่างต่อเนื่อง เมื่อพิจารณาความเคลื่อนไหวของตลาดคอนโดมิเนียม  โดยแบ่งตาม segment ราคาแล้ว โดยแบ่งเป็น 5 segment คือ 1) ตลาดซูเปอร์ ลักชัวรี่ 2) ตลาดลักชัวรี่ 3) ตลาดไฮเอนด์ 4) ตลาดคอนโดระดับกลาง และ 5) ตลาดซิตี้คอนโด สำหรับตลาดซูเปอร์ลักชัวรี่ และตลาดลักชัวรี่ จะพบว่าผู้ประกอบการรายใหญ่และรายใหม่ๆ ยังคงให้ความสนใจกับตลาดนี้เช่นเดิม แนวโน้มด้านราคา คาดว่าจะยังคงปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง  ในขณะที่กลุ่มผู้ซื้อจะขยายวงกว้างออกไปยังตลาดต่างชาติ โดยกลุ่มต่างชาตินี้จะมีทั้งที่ซื้อไว้ลงทุน และซื้อไว้เพื่อเป็นที่บ้านหลังที่สองเพิ่มมากขึ้น  ซึ่งการเข้ามาของต่างชาตินั้น นอกจากจะเข้ามาในฐานะผู้ซื้อแล้ว ยังเข้ามาในภาพของผู้ร่วมทุนอีกด้วย ซึ่งทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในตลาดระดับนี้  ช่วยทำให้ผู้ซื้อเกิดความเชื่อมั่นได้มากยิ่งขึ้นตามไปด้วย สำหรับตลาดไฮเอนด์ ผู้พัฒนาโครงการส่วนใหญ่ จะยังคงเป็นรายใหญ่ที่หาซื้อที่ดินทำเลติดรถไฟฟ้ากลางเมืองได้ แต่อย่างไรก็ตาม ด้วยราคาคอนโดมิเนียมในตลาดนี้ จะมีผู้ซื้อในวงจำกัด ส่วนตลาดคอนโดระดับกลาง ยังคงเป็นโครงการที่อยู่บริเวณรอบใจกลางเมือง อยู่ใกล้รถไฟฟ้า ซึ่งจะเป็นตลาดที่ผู้ซื้อส่วนใหญ่มีรายได้ที่มั่นคง ต้องการที่อยู่อาศัยเพื่ออยู่จริง ทำให้ผู้พัฒนาสินค้ามีความจำเป็นที่จะต้องพัฒนา ให้ตอบรับกับไลฟ์สไตล์ของคนกลุ่มนี้ได้อย่างแท้จริง  สำหรับตลาดซิตี้คอนโด เงื่อนไขด้านราคายังคงเป็นปัจจัยหลักในการตัดสินใจของผู้ซื้อ ดังนั้น ผู้ประกอบการควรต้องบริหารต้นทุนให้ดี เพื่อให้ได้ราคาขายที่ดี ทั้งยังต้องพิจารณาไปจนถึงเรื่องเงื่อนไขการจ่ายเงินของลูกค้า และการผ่อนชำระกับทางธนาคารที่ไม่กระทบกระเทือนค่าใช้จ่ายของผู้ซื้อมากนัก คาดการณ์แนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ในอนาคตทั้งระยะสั้น และระยะกลาง นางนลินรัตน์ คาดการณ์แนวโน้มตลาดที่อยู่อาศัยในระยะสั้นและระยะกลางว่า การมองเทรนด์ของอสังหาฯ ในอนาคต จะขอมองจากการประมาณการอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ(GDP) เป็นหลัก ซึ่งประมาณการ GDP ที่รัฐบาลได้วางไว้ในปี 2560-2563 คือ ประมาณการที่ 4%  ซึ่งตัวเลขนี้ น่าจะสะท้อนให้เห็นว่าการเติบโตของเศรษฐกิจในภาคส่วนต่างๆ ในประเทศน่าจะเป็นไปได้ด้วยดี แต่เมื่อมองลึกลงมาที่ segment อสังหาฯ เรายังคงต้องพิจารณาจากปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ทั้งภายในและภายนอกประเทศ ที่จะส่งผลกระทบต่อการเติบโตของตลาดอสังหาริมทรัพย์อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งปัจจัยดังกล่าว ได้แก่ พัฒนาการทางเศรษฐกิจของประเทศเพื่อนบ้าน เนื่องจากภายในอีก 10 ปีข้างหน้า ประเทศจาก CLMV เหล่านี้ อาจสามารถพัฒนาให้ทันประเทศไทยได้ เมื่อประเทศเหล่านี้พัฒนาและยังมีโอกาสที่จะเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ย่อมส่งผลให้เม็ดเงินซึ่งเคยเข้ามาลงทุนที่ประเทศไทย โดนกระจายออกไปยังประเทศเพื่อนบ้าน การเข้ามาซื้ออสังหาฯ ในไทยจากชาวต่างชาติ อาจจะเริ่มน้อยลง เนื่องจากมีทางเลือกที่เพิ่มมากขึ้นของเพื่อนบ้าน หรือหากมองในด้านปัจจัยภายใน ซึ่งอีกไม่กี่ปี ไทยจะเดินเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ อันจะส่งผลให้ที่อยู่อาศัย ต้องปรับเปลี่ยนไปเพื่อรองรับวิถีชีวิตของคนสูงอายุ หรือแม้กระทั่งการพัฒนาการทางเทคโนโลยีที่รวดเร็ว และเข้าถึงวิถีชีวิตของคน ซึ่งย่อมมีอิทธิพลกับการอยู่อาศัยอย่างแน่นอน ทั้งหมดที่กล่าวมาสามารถสรุปได้เป็น 3 แนวทาง ในการกล่าวถึงแนวโน้มการอยู่อาศัยในอนาคต คือ การลงทุน เทรนด์ของการอยู่อาศัย และทำเลที่ตั้ง เทรนด์ที่ 1 ด้านการลงทุน เราจะพบว่าผู้ประกอบการจะหันมาพัฒนา โครงการสิทธิการเช่าระยะยาว (Leasehold) บนที่ดินขนาดใหญ่ที่มีศักยภาพ และที่สามารถพัฒนาเป็นโครงการอสังหาริมทรัพย์ มีการครอบครองโดยหน่วยงานรัฐบาล โดยผู้ประกอบการได้นำมาพัฒนาเป็นโครงการเมกะโปรเจค (Mega Project) ที่ผสมผสานการใช้พื้นที่ ในด้านของผู้ซื้อเอง ก็หันมาให้ความสนใจมากขึ้นเนื่องจากถูกกว่า นอกจากนี้เราจะเห็นการพัฒนาโครงการแบบผสมผสาน (Mixed-used) เพื่อกระจายความเสี่ยงในการพัฒนาโครงการ ลดการแข่งขันทางธุรกิจมากขึ้น และตลาดต่างประเทศ ก็ยังคงเข้ามาเพิ่มบทบาทความสำคัญ ทั้งในแง่การลงทุนขนาดใหญ่และรายย่อย บริษัทต่างชาติจะให้ความสนใจร่วมลงทุนกับผู้พัฒนาโครงการในไทย ทั้งรายใหญ่และรายย่อยหลายโครงการ  โดยมีแนวโน้มที่จะนำเงินลงทุนและเทคโนโลยีเข้ามาร่วมพัฒนาโครงการ โดยกลุ่มร่วมทุนต่างชาติที่ให้ความสนใจนั้น มีมาจากหลายประเทศ อาทิ ญี่ปุ่น จีน ฮ่องกง ในขณะเดียวกันนักลงทุนรายย่อยต่างชาติที่ซื้อห้อง เพื่อลงทุนระยะยาวและปล่อยเช่า ก็ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เทรนด์ที่ 2 ด้านการอยู่อาศัยในอนาคต เราจะเห็นได้ว่าปัจจัยทางด้านประชากรศาสตร์ ที่ประเทศไทยมีแนวโน้มที่จะเป็นสังคมผู้สูงอายุมากขึ้น ดังนั้น การเกิดตลาดที่เป็นบ้านสำหรับผู้สูงอายุ (Senior Home หรือ Elderly Care) จะเกิดขึ้นเพื่อตอบโจทย์สังคมไทย และจะเป็นสินค้าที่จะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น การจะทำให้ผู้บริโภคชาวไทยยอมรับ และปรับเข้ากับไลฟ์สไตล์คนไทยได้นั้น เป็นความท้าทายหลักของสินค้าประเภทนี้ ในขณะเดียวกันเทคโนโลยีที่เข้าถึงไลฟ์สไตล์ของคนได้อย่างรวดเร็ว ผู้ประกอบการจึงยิ่งต้องพัฒนาที่อยู่อาศัย ให้ตอบโจทย์ให้ทันความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ได้เช่นกัน คือ บ้านที่มาพร้อมกับเทคโนโลยี นอกจากนี้แนวคิดของการมี บ้านที่อยู่อาศัยได้จริง เช่น ห้องขนาดเล็กแต่มีพื้นที่ส่วนกลางขนาดใหญ่ บ้านที่อยู่อาศัยได้อย่างยั่งยืนด้วยคุณภาพของการก่อสร้าง สุดท้าย บ้านที่เป็นมิตรกับสังคมและสิ่งแวดล้อม ที่ทำให้ผู้อาศัยได้รู้สึกผ่อนคลายและเป็นบ้านที่อยู่อาศัยได้ในระยะยาว เทรนด์ที่ 3 ด้านทำเลที่ตั้ง ซึ่งยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่จะชี้นำแนวโน้มการอยู่อาศัย โดยทำเลที่ตั้งที่น่าสนใจ สำหรับตลาดที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียม แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มหลัก กลุ่มแรกเป็นกลุ่มทำเลใจกลางเมือง โดยใจกลางเมืองจะถูกกำหนดเป็นศูนย์กลางขนาดย่อม (Node) มากขึ้น เช่น พร้อมพงษ์ถึงทองหล่อเป็นแหล่งศูนย์กลาง luxury lifestyle ที่มีทั้งคอนโดมิเนียมและบ้านราคาสูง รวมถึงแหล่งท่องเที่ยวและร้านอาหารชิคๆ มากมาย ศูนย์กลางธุรกิจใหม่แถบแยกรัชดา พระราม 9 ทำเลศูนย์กลางของย่านเมืองเก่าเยาวราชเจริญกรุง และศูนย์กลางที่อยู่อาศัยระดับลักชัวรี่ อาทิ หลังสวน เพลินจิต กลุ่มทำเลที่สองกลุ่มทำเลติดรถไฟฟ้า ซึ่งจะเป็นทำเลที่ควรต้องคำนึงถึงอย่างมาก เพราะการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนสาธารณะที่ดี ย่อมส่งผลถึงการเติบโตของอสังหาริมทรัพย์ตามไปด้วย โดยทำเลที่น่าจับตามองมากที่สุด คือ บางซื่อ เนื่องจากทางภาครัฐกำลังพยายามที่จะผลักดันเป็น Transit Oriented Development (TOD) เป็นหนึ่งในทำเลที่น่าจับตามอง ส่วนต่อขยายของรถไฟฟ้าที่กำลังก่อสร้างสายสีเขียว สีเหลือง และสีส้ม ยังคงมีความน่าสนใจและ สุดท้ายเป็นกลุ่มทำเลริมแม่น้ำ ไม่ว่าจะเป็นบริเวณเจริญนคร เจริญกรุงที่กำลังจะเป็นศูนย์กลาง ช้อปปิ้งและไลฟ์สไตล์ใหม่ การเติบโตของอสังหาริมทรัพย์ คือ การเติบโตแบบลูกโซ่ เป็นวงจรที่เกี่ยวเนื่องกันไปทั้งระบบ เมื่อเรามองเห็นการเปลี่ยนแปลงของภาวะเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม เทคโนโลยีที่พัฒนาการอย่างรวดเร็ว ทั้งในระดับประเทศ และระดับโลก ล้วนเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการต้องให้ความสำคัญทั้งสิ้น