Tag : Plus Property

7 ผลลัพธ์
พลัส พร็อพเพอร์ตี้ เปิด 7 ทำเลทาวน์เฮ้าส์น่าลงทุนรอบ กทม. หลังพบยอดขายย้อนหลัง 3 ปี พุ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ย

พลัส พร็อพเพอร์ตี้ เปิด 7 ทำเลทาวน์เฮ้าส์น่าลงทุนรอบ กทม. หลังพบยอดขายย้อนหลัง 3 ปี พุ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ย

พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจรเผยผลสำรวจอสังหาริมทรัพย์ประเภททาวน์เฮ้าส์พื้นที่กรุงเทพและปริมณฑล พบ 7 ทำเลเด่นคุ้มค่าการซื้ออยู่อาศัยและลงทุน ทั้งกระทุ่มแบน-สาม พราน ,ทุ่งครุ-พระ ประแดง , ธนบุรี-ราษฎร์บูรณะ , ลาดหลุมแก้ว, ดอนเมือง-สายไหม, อ่อนนุชบางนา และสุวรรณภูมิ-บางเสาธง เผยราคาขายปัจจุบันน่าสนใจ ส่วนทิศทางปี 2561 คาดยังเติบโตดี เหตุได้แรงส่งจากปี 2560 ที่เติบโตทั้งอุปสงค์และอุปทาน นายอนุกูล รัฐพิทักษ์สันติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดเผยว่า พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ได้ทำการสำรวจที่อยู่อาศัยประเภททาวน์เฮ้าส์ ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล (นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร นครปฐม) ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (2557-2560) โดยพิจารณาอัตราขายได้และอัตราดูดซับเฉลี่ยของแต่ละทำเลเทียบกับค่าเฉลี่ยกลาง (อัตราดูดซับ 6.00 ยูนิต/เดือน/โครงการ และอัตราขายได้ 47%) พบว่ามีทำเลศักยภาพที่ขายดีและน่าลงทุน (มียอดขายเฉลี่ยสูงกว่าค่าเฉลี่ยกลาง) ทั้งสิ้น 7 ทำเล ประกอบด้วย ได้แก่ ทิศไต้: 1.กระทุ่มแบน-สาม พราน 2. ทุ่งครุ-พระ ประแดง, ตะวันตก : 3. ธนบุรี-ราษฎร์บูรณะ, ทิศเหนือ : 4. ลาดหลุมแก้ว 5. ดอนเมือง-สายไหม, ตะวันออก: 6. อ่อนนุชบางนา และ 7. สุวรรณภูมิ-บางเสาธง  โดยทั้ง 7 ทำเลนี้มีราคาระหว่าง 1.2 – 2.99 ล้านบาท และสามารถเชื่อมต่อด้านการคมนาคมเข้าสู่ตัวเมืองได้โดยสะดวกจึงได้รับความนิยมค่อนข้างมาก จากการวิเคราะห์พบว่า ในทุกๆ ทำเลมีราคาเสนอขายที่ไม่สูงมาก (ระหว่างราคา 1.2 -2.99 ล้านบาท) ยกเว้นทำเลกระทุ่มแบน – สามพรานที่ราคาเสนอขายยังอยู่ในระดับต่ำกว่า 1.2 ล้านบาท หากพิจารณาในด้านของศักยภาพของแต่ละทำเลนั้น พบว่า กระทุ่มแบน-สามพราน เป็นพื้นที่เขตปริมณฑลที่มีจุดเด่นจากทำเลไม่ไกลจากกรุงเทพฯ ทำให้ผู้ที่พักอาศัยในพื้นที่นี้สามารถเดินทางเข้าสู่ตัวเมืองกรุงเทพฯ ด้วยถนนพระราม 2 และถนนเพชรเกษมได้โดยง่าย นอกจากนี้ราคาทาวน์เฮ้าส์ในทำเลนี้ยังเสนอขายในระดับต่ำกว่า 1.2 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันพบทาวน์เฮาส์ระดับราคาต่ำ กว่า 1.2 ล้านบาทหาได้ยากและเสนอขายเพียงบางทำเลที่ราคาที่ดินยังไม่ทะยานตัวสูงมากนัก ซึ่งกระทุ่มแบน-สามพรานเป็นทำเลที่มียอดตอบรับทาวน์เฮาส์ในระดับราคานี้สูงที่สุด จากการพัฒนาโครงการที่สามารถตอบสนองกลุ่มกำลังซื้อในพื้นที่ได้เป็นอย่างดี   ทำเลทุ่งครุ-พระประแดง เป็นทำเลที่อยู่ใกล้กับกับทางพิเศษเฉลิมมหานครและถนนกาญจนาภิเษก (วงแหวนรอบนอก) จึงดึงดูดให้เกิดกำซื้อในทำเลนี้เพราะสามารถเดินทางเข้าสู่ใจกลางเมืองกรุงเทพฯ และเชื่อมต่อไปยังภูมิภาคอื่นได้อย่าง สะดวกสบาย นอกจากนี้ยังอยู่ไม่ไกลจากรถไฟฟ้าสายสีม่วง สถานีเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ ที่กำลังจะเริ่มก่อสร้างช่วงปลายปี 2561 และจะช่วยดึงผู้คนจากฝั่งธนบุรีเข้าสู่ฮับการเดินทาง หรือสถานีกลางบางซื่อ เพื่อเชื่อมต่อไปยังสถานที่ต่างๆ ในเมืองได้อย่างสะดวก ทำเลธนบุรี-ราษฎร์บูรณะ เป็นทำเลฝั่งธนบุรีที่ใกล้ย่านศูนย์กลางธุรกิจแวดล้อมด้วยแนวรถไฟฟ้า 3 สาย ได้แก่ รถไฟฟ้าบีทีเอสสายสีเขียวเข้ม (สายสีลม) ที่เปิดให้บริการมาเป็นเวลานาน รถไฟฟ้าสายสีม่วง (สถานีเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ) ที่เริ่มก่อสร้างช่วงปลายปี 2561 และรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน (สถานีหัวลำโพง-บางแค) ที่การก่อสร้างคืบหน้าแล้วเกินกว่า 85% ทำให้ผู้อยู่อาศัยในทำเลนี้สามารถเดินทางเข้าสู่ตัวเมืองกรุงเทพฯได้หลากหลายเส้นทาง ทำเลลาดหลุมแก้ว เป็นทำเลในเขตปทุมธานีที่สามารถเดินทางเข้าสู่ตัวเมืองกรุงเทพฯ ได้ผ่านทางด่วนสายอุดรรัถยาและเชื่อมต่อไปยังภูมิภาคต่างๆได้ผ่านถนนกาญจนาภิเษก(วงแวนรอบนอก) นอกจากนี้ยังอยู่ในทำเลที่ไม่ไกลจากรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง (สถานีบางซื่อ-รังสิต) ที่มีความคืบหน้าในการก่อสร้างแล้ว 60% ซึ่งมีแผนเปิดให้บริการในอีก 3 ปีข้างหน้า และในอนาคตภาครัฐมีแผนพัฒนาส่วน ต่อขยายจากสถานีรังสิตไปยังมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ศูนย์รังสิตอีกด้วย เอื้ออำนวยให้การเดินทางเข้าสู่ตัวเมืองของกลุ่มกำลังซื้อ ทั้งพนักงานบริษัทเอกชน ข้าราชการ หรือเจ้าของกิจการในละแวกนี้มีความสะดวกมากขึ้นในอนาคต ดอนเมือง – สายไหม เป็นทำเลในโซนเหนือที่มีรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง (สถานีบางซื่อ-รังสิต) และรถไฟฟ้าสายสีเขียว ส่วนต่อขยาย (สถานีหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต) พาดผ่านซึ่งทั้งสองเส้นทางมีแผนเปิดให้บริการอีก 3 ปีข้างหน้า อีกทั้งการเข้าสู่ตัวเมืองกรุงเทพฯได้สะดวก ผ่านทางยกระดับอุตราภิมุข (โทลเวย์) และทางด่วนรามอินทรา-อาจณรงค์ ทำให้ทำเลนี้ได้รับความนิยมจากพนักงานบริษัทเอกชน พนักงานที่ทำงานในสนามบินดอนเมือง หรือเจ้าของกิจการในละแวกนั้นเป็นอย่างดี อ่อนนุช – บางนา เป็นทำเลใกล้ย่านศูนย์กลางธุรกิจที่สามารถเข้าสู่ตัวเมืองได้ผ่านรถไฟฟ้าบีทีเอส สายสีเขียว (สถานีหมอชิต-แบริ่ง) ซึ่งเปิดให้บริการมาเป็นเวลานาน และล่าสุดก็ได้เปิดให้บริการในส่วนต่อขยาย ประกอบกับการมีทางพิเศษเฉลิมมหานคร ช่วยให้การเดินทางเชื่อมต่อไปยังสถานที่ต่างๆ ของกลุ่มกำลังซื้อในพื้นที่นี้มีความสะดวกสบายจากรถไฟฟ้าบีทีเอสสายสีเขียวหรือสายสุขุมวิทที่เปิดให้บริการเป็นเส้นทางแรกในกรุงเทพฯ และตอบสนองการใช้ชีวิตของผู้คนได้เป็น อย่างดีทำให้ทาวน์เฮาส์ที่พัฒนาใกล้ใจกลางเมืองในย่านอ่อนนุช-บางนาได้รับความนิยมมาอย่างต่อเนื่อง จากช่วง 2 ปี ที่ผ่านมา สุวรรณภูมิ – บางเสาธง เป็นทำเลในจังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งเป็นที่ตั้งของสนามบินสุวรรณภูมิ สามารถเดินทางเข้าสู่ตัวเมืองกรุงเทพฯ และเชื่อมต่อไปยังภูมิภาคต่างๆ ได้ผ่านทางพิเศษบูรพาวิถี, มอเตอร์เวย์, ถนนกาญจนาภิเษก (วงแหวนรอบนอก) ประกอบกับการมี รถไฟฟ้า Airport Rail Link (สถานีพญาไท-สุวรรณภูมิ), รถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยาย (สถานีแบริ่งสมุทรปราการ) และรถไฟฟ้าสายสีเหลือง (สถานีลาดพร้าว-สำโรง) ที่ภาครัฐมีการเตรียมแผนพัฒนาอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งกระตุ้นให้เกิดความต้องการซื้อทาวน์เฮาส์จากพนักงานในสนามบินสุวรรณภูมิหรือเจ้าของกิจการในพื้นที่นี้ได้เป็นอย่างดี   “จากข้อมูลที่ทำการสำรวจนี้สะท้อนว่ากำลังซื้อในที่อยู่อาศัยประเภททาวน์เฮ้าส์เริ่มกลับมา แม้ว่าปี 2560 ที่ผ่านมาจะไม่มีนโยบายกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์โดยเฉพาะ แต่อุปสงค์และอุปทานยังเติบโตได้ดี จึงคาดว่าทิศทางในปี 2561 ตลาดทาวน์เฮ้าส์จะยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง เหตุจากราคาเสนอขายยังไม่ปรับตัวขึ้นสูงมากนัก ซึ่งเหมาะกับกำลังซื้อของคนในพื้นที่ นอกจากนี้ความเชื่อมั่นผู้บริโภคน่าจะมีสัญญาณเติบโตตามทิศทางเศรษฐกิจที่เริ่มคลี่คลายอย่างต่อเนื่องในปี 2560 และจะมีแรงส่งต่อไปยังปี 2561 ต่อไป” นายอนุกูล กล่าว
พลัส พร็อพเพอร์ตี้ เผยคอนโดเมืองท่องเที่ยวกินส่วนแบ่งอันดับ 1 หัวหิน-ชะอำราคาขายต่อพุ่ง 19% เทรนด์คนรุ่นใหม่ซื้อไว้พักผ่อน-ปล่อยเช่าช่วงไฮซีซั่น

พลัส พร็อพเพอร์ตี้ เผยคอนโดเมืองท่องเที่ยวกินส่วนแบ่งอันดับ 1 หัวหิน-ชะอำราคาขายต่อพุ่ง 19% เทรนด์คนรุ่นใหม่ซื้อไว้พักผ่อน-ปล่อยเช่าช่วงไฮซีซั่น

พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจรเผยผลสำรวจอสังหาริมทรัพย์ 5 เมืองท่องเที่ยวหลัก ได้แก่ เชียงใหม่ ภูเก็ต พัทยา หัวหิน-ชะอำ และเขาใหญ่ พบคอนโดมิเนียมมาแรงสุดขึ้นอันดับหนึ่งมาร์เก็ตแชร์สูง 76% ขณะที่บ้านเดี่ยวมีส่วนแบ่งอันดับสองที่ 19% ตามด้วยทาวน์เฮาส์ครองส่วนแบ่ง 5% เหตุเติบโตตามภาคการท่องเที่ยวที่ยังโดดเด่น โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมมียอดขายเฉลี่ย 5 พื้นที่ 80% จากอุปทานราว 100,00 ยูนิต ส่งผลตลาดเช่าคึกคัก พื้นที่ภูเก็ตให้ผลตอบแทนต่อปี 6-8% ต่อปี พัทยาผลตอบแทนสูง 5-7% ต่อปี ด้านเขาใหญ่ราคารีเซลเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 5 – 6% ต่อปี ส่วนราคาขายต่อยังคึกคักพื้นที่หัวหิน – ชะอำ ราคาขายต่อพุ่งแรงสุด ปี 2560 ราคาโครงการติดทะเลสูงจากปีก่อน 10% โครงการไม่ติดทะเลพุ่ง 19% พบเทรนด์คนรุ่นใหม่ชื่นชอบการซื้อไว้พักผ่อนและถือโอกาสปล่อยเช่าช่วงไฮซีซั่น นายอนุกูล รัฐพิทักษ์สันติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดเผยว่า พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ได้ทำการสำรวจที่อยู่อาศัยในทำเลเมืองท่องเที่ยวสำคัญ 5 พื้นที่ ได้แก่ เชียงใหม่ ภูเก็ต พัทยา หัวหิน-ชะอำ และเขาใหญ่ พบว่าปัจจุบันที่อยู่อาศัยในรูปแบบคอนโดมิเนียมมีส่วนแบ่งการตลาดสูงเป็นอันดับ 1 ครองส่วนแบ่งถึง 76% (98,163 ยูนิต) ในขณะที่บ้านเดี่ยวครองส่วนแบ่งอันดับสองมี 19% (24,925 ยูนิต) และทาวน์เฮ้าส์ครองส่วนแบ่งอันดับสามที่ 5% (5,998 ยูนิต) โดยการสำรวจล่าสุดพบว่าในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา (2558-2560) คอนโดมิเนียมเมืองท่องเที่ยวยังเติบโตได้ดีมียอดขายเฉลี่ยทั้ง 5 พื้นที่ประมาณ 80% จากอุปทานเกือบ 100,000 ยูนิต ซึ่งการตอบรับที่อยู่ในเกณฑ์ดีนี้มาจากการท่องเที่ยวที่เติบโตอย่างโดดเด่น และนักท่องเที่ยวที่มาพักผ่อนระยะยาวนิยมเช่าคอนโดมิเนียมเป็นที่พักอาศัยส่งผลให้การปล่อยเช่าได้รับอัตราผลตอบแทนสูงแม้ในบางพื้นที่จะทำการได้จากการปล่อยเช่าได้เฉพาะในฤดูกาลท่องเที่ยวเที่ยวแต่ด้วยราคาปล่อยเช่าที่สูงกว่าทำเลทั่วไปจึงทำให้ยังมีคนสนใจซื้อเพื่อรองรับความต้องการพักผ่อนเองและปล่อยเช่าในบางช่วง อีกทั้งคนในพื้นที่เองก็นิยมซื้อไว้เป็นบ้านพักตากอากาศ และยังสามารถเก็บไว้เก็งกำไรได้เนื่องจากมองเห็นแนวโน้มการเติบโตที่ดีในอนาคต ซึ่งพฤติกรรมการซื้อคอนโดมิเนียมในเมืองท่องเที่ยวของผู้บริโภคปัจจุบันนี้กำลังกลายเป็นเทรนด์ที่ไม่นิยมซื้อคอนโดมิเนียมเพื่อวัตถุประสงค์ใดอย่างหนึ่งเพียงอย่างเดียว แต่เป็นลักษณะ time sharing ที่ไปพักเองเมื่อไหร่ก็ได้ และยังสามารถได้รายได้จากการปล่อยเช่า ซึ่งจะมาช่วยค่าผ่อนหรือค่าใช้จ่ายต่าง ๆ โดยเฉพาะพื้นที่ เขาใหญ่ และ หัวหิน-ชะอำ การปล่อยเช่าแทบจะเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวเกือบ 100% ดังนั้น การเข้าพักสูงในช่วงเดือน ตุลาคม - กุมภาพันธ์ โดยเข้าพักเฉลี่ยประมาณ 1.5 เดือน ซึ่งยังคงได้รับความนิยมเพราะผู้ซื้อยังต้องการเก็บไว้เพื่อพักผ่อนเองในบางโอกาส สำหรับตลาดปล่อยเช่านั้นและนำกลับมาขายใหม่ (รีเซล) พบว่าที่เชียงใหม่นั้นคอนโดมิเนียมที่นำมาปล่อยเช่าขนาด 30 -60 ตารางเมตรจะคิดค่าเช่าอยู่ระหว่าง 10,000 – 25,000 บาทต่อเดือน  ด้านราคารีเซลในบางโครงการที่คอนโดมิเนียมขนาด 1 ห้องนอน 30 ตารางเมตร  ขายประมาณ 75,000-80,000 บาทต่อตารางเมตรหรือยูนิตละ 2.0-2.5 ล้านบาท โดยราคารีเซลเพิ่มขึ้นจากปีก่อนประมาณ 4-5% ต่อปี ส่วนในอนาคตคาดว่าราคามีโอกาสปรับขึ้นไปได้อีก เนื่องจากมีปัจจัยสนับสนุนจากโครงการลงทุนขนาดใหญ่ที่สนับสนุนการเติบโตของเชียงใหม่ ได้แก่ โครงการรถไฟความเร็วสูง เส้นทางกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ โดยจะนำเทคโนโลยีชินคันเซ็นมาใช้ในโครงการนี้ นอกจากนี้ยังมีโครงการมอเตอร์เวย์เชื่อมเชียงใหม่-เชียงรายและโครงการขนาดใหญ่อื่นๆ อีกจำนวนมาก ส่วนภูเก็ตโครงการคอนโดมิเนียมที่นิยมปล่อยเช่าห้องพักในรูปแบบสตูดิโอ และ 1 ห้องนอน ขนาดประมาณ 30-32 ตารางเมตร อัตราค่าเช่า City Condo ประมาณ 10,000 – 18,000 บาทต่อเดือน ขึ้นอยู่กับระยะเวลาการเช่า คิดเป็นผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีประมาณ 6-8% สำหรับค่าเช่า Resort Condo ที่อยู่ติดหาด จะได้รับความนิยมโดยเฉพาะในช่วง High Season ค่าเช่าประมาณ 50,000 – 70,000 บาทต่อเดือน คิดเป็นผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีประมาณ 4-5% ราคาของคอนโดมิเนียมเฉลี่ยทั้งตลาดอยู่ที่ 99,700 บาทต่อตารางเมตร ขยับขึ้น 7% ปัจจุบันพบว่าคอนโดมิเนียมโครงการใหม่ มีราคาเปิดขายเฉลี่ยอยู่ที่ 130,000 บาทต่อตารางเมตร ซึ่งส่วนมากเป็น Resort Property ที่อยู่ริมหาด สำหรับพื้นที่หัวหิน-ชะอำ สำหรับคอนโดที่นำกลับมาขายใหม่ (รีเซล) ที่ติดชายทะเล เฉลี่ยอยู่ที่ 135,000 บาทต่อตารางเมตร เพิ่มขึ้นจากตอนเปิดโครงการ 10% ส่วนโครงการที่ไม่ติดชายทะเลราคารีเซลอยู่ที่ 79,000 บาทต่อตารางเมตร เพิ่มขึ้นจากตอนเปิดโครงการ 19%  ด้านการปล่อยเช่า หากเป็นโครงการใจกลางเมืองที่ติดชายทะเล รูปแบบ 1 ห้องนอน ปล่อยเช่าได้ 35,000 – 45,000 บาทต่อเดือน รูปแบบ 2 ห้องนอน 55,000 – 70,000 บาทต่อเดือน ส่วนโครงการที่ไม่ติดทะเล รูปแบบ 1 ห้องนอน ปล่อยเช่าได้ 15,000 – 20,000 บาทต่อเดือน รูปแบบ 2 ห้องนอน 30,000 – 50,000 ต่อเดือน ขณะที่คอนโดมิเนียมในพัทยาพบราคารีเซลบางโครงการในพื้นที่พัทยากลางอยู่ที่ 110,000 บาทต่อตารางเมตร หากนำมาปล่อยเช่า (1 ห้องนอน ขนาด 30-35 ตารางเมตร) จะได้ค่าเช่าประมาณ 18,000-20,000 บาทต่อเดือน หรือคิดเป็นผลตอบแทนจากการปล่อยเช่าประมาณ 6-7% ต่อปี นอกจากนี้ยังพบว่าราคาขายเฉลี่ยยังเพิ่มขึ้นปีละประมาณ 5% ส่วนพื้นที่เขาใหญ่ ราคาขายรีเซลบางโครงการ (1 ห้องนอน 50-55 ตารางเมตร) เสนอขายประมาณ 92,000 บาทต่อตารางเมตร หรือยูนิตละ 4.6-5.2 ล้านบาท โดยราคาขายรีเซลเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 5-6% อย่างไรก็ตาม คอนโดมิเนียมในพื้นที่เขาใหญ่นิยมปล่อยเช่าห้องพักแบบระยะสั้น หรือในช่วง High Season (พฤศจิกายน - มกราคม) “ช่วงปี 2559 - 2560 คอนโดมิเนียมในพื้นที่เชียงใหม่ หัวหิน-ชะอำและภูเก็ต ตลาดยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องจากอุปสงค์ที่นิยมซื้อเป็นบ้านพักตากอากาศ ส่วนในพื้นที่พัทยา และเขาใหญ่ ตลาดค่อนข้างทรงตัวจากการระบายอุปทานที่คงค้าง ในทางกลับกันยังมีการขยายตัวในบางทำเล ในบางช่วงราคาที่ยังมีกำลังซื้อ อย่างไรก็ตามยังมองเห็นทิศทางการขยายตัวในอนาคตที่คาดว่าตลาดจะเติบโตได้จากการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น อีกทั้งเริ่มพบเห็นอุปทานใหม่เริ่มทยอยเข้าสู่ตลาดบ้างแล้ว” นายอนุกูล กล่าว  
พลัส พร็อพเพอร์ตี้ เผยพบกำลังซื้อที่อยู่อาศัยนครปฐมมาแรง คอนโดฯ เติบโตสูงสุดรองรับดีมานด์ซื้ออยู่จริง-ปล่อยเช่ารอบมหาวิทยาลัย

พลัส พร็อพเพอร์ตี้ เผยพบกำลังซื้อที่อยู่อาศัยนครปฐมมาแรง คอนโดฯ เติบโตสูงสุดรองรับดีมานด์ซื้ออยู่จริง-ปล่อยเช่ารอบมหาวิทยาลัย

พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เผยผลสำรวจอสังหาริมทรัพย์ พื้นที่ จ.นครปฐม มีกำลังซื้อเติบโตโดดเด่น โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมโซน พุทธมณฑล กำแพงแสน และตัวเมืองนครปฐม เหตุเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยชื่อดัง ดึงดูดกำลังซื้อจาก อาจารย์- บุคลากรในมหาวิทยาลัย ผู้ปกครองซื้อให้บุตรหลาน และกลุ่มนักลงทุนที่ซื้อไว้ปล่อยเช่า ส่งผลยอดขายคอนโดมิเนียมเติบโตดีสุดในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา ชี้ทิศทางในอนาคตสดใสจากปัจจัยบวกภาครัฐพัฒนาโครงการคมนาคม อาทิรถไฟรางคู่ รถไฟความเร็วสูง และมอเตอร์เวย์ ช่วยหนุนราคาอสังหาริมทรัพย์เติบโตต่อเนื่อง  นายอนุกูล รัฐพิทักษ์สันติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดเผยว่า จากการสำรวจตลาดอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่ จ.นครปฐม  ล่าสุดเมื่อเดือนมิถุนายน 2560 พบว่ามีกำลังซื้อที่เติบโตอย่างน่าสนใจ โดยเฉพาะในโซนพุทธมณฑล กำแพงแสน และตัวเมืองนครปฐม ในบริเวณใกล้กับมหาวิทยาลัย เช่น มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขต กำแพงแสน และมหาวิทยาลัยศิลปากร พระราชวังสนามจันทร์  ซึ่งโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่ถูกพัฒนารอบสถานศึกษา ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือประเภทคอนโดมิเนียม รองลงมาคือทาวน์เฮ้าส์ และบ้านเดี่ยว ทั้งนี้ จากการสำรวจตลาดอสังหาฯ จังหวัดนครปฐม ในรอบสำรวจ มิถุนายน 2560 พบอุปทานเสนอขายในตลาดทั้งหมด 14,783 ยูนิต จาก 77 โครงการ ด้านอุปสงค์ตอบรับแล้ว 75% ทั้งนี้ ส่วนใหญ่เน้นเสนอขายโครงการคอนโดมิเนียม รองลงมาคือ ทาวน์เฮาส์ และบ้านเดี่ยว โดยคอนโดมิเนียม มีจำนวนอุปทาน 9,625 ยูนิต (ส่วนแบ่ง 65%) , ทาวน์เฮาส์ 2,884 ยูนิต (ส่วนแบ่ง 20%) และบ้านเดี่ยว 2,774 ยูนิต (ส่วนแบ่ง 15%) โดยเฉลี่ยเปิดขายแล้วประมาณ 2-3 ปี ตลาดคอนโดมิเนียม  มีจำนวนยูนิตเสนอขายสูงสุดในพื้นที่นี้ เริ่มพบคอนโดมิเนียมโครงการใหม่เข้าสู่ตลาดในช่วง 2-3 ปีก่อน เน้นกลุ่มดีมานด์จากอาจารย์ บุคลากรในมหาวิทยาลัย รวมถึงผู้ปกครองที่ซื้อไว้ให้บุตรหลานพักอาศัย ซึ่งเป็นกลุ่มดีมานด์ที่มีแนวโน้มเติบโตขึ้นเรื่อยๆ โดยในรอบสำรวจนี้พบว่าตลาดคอนโดฯมีอัตราการดูดซับดี ยอดขายได้สูง  ประมาณ 10.1 ยูนิตต่อเดือนต่อโครงการ ส่วนโครงการแนวราบ พบว่าตลาดทาวน์เฮาส์  อุปทานส่วนใหญ่อยู่ในโซนพุทธมณฑล ในราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท พบอัตราการดูดซับเฉลี่ย 3.66 ยูนิตต่อเดือนต่อโครงการ สำหรับตลาดคอนโดมีแนวโน้มดูดซับได้ดีขึ้น เนื่องจากมีการดึงส่วนแบ่งอุปสงค์จากทาวน์เฮาส์ เนื่องจากคอนโดมิเนียมมีสิ่งอำนวยความสะดวก และรูปแบบโครงการที่สวยงามกว่า และคอนโดมิเนียมยังสามารถนำไปปล่อยเช่าได้ง่ายกว่า ตลาดบ้านเดี่ยว ส่วนใหญ่อยู่ในโซนพุทธมณฑล ในราคา 3 - 5 ล้านบาท อุปสงค์ตอบรับได้ช้า เป็นอุปสงค์จากโครงการเก่าที่เปิดขายมานาน ประมาณ 2-3 ปี อัตราการดูดซับเฉลี่ยอยู่ที่ 1.5 ยูนิตต่อเดือนต่อโครงการ   หากพิจารณาถึงทำเลบริเวณมหาวิทยาลัย พบว่าในแต่ละปีจะมีจำนวนนิสิต นักศึกษาที่เข้ามา ในแต่ละโซนเป็นจำนวนมาก ประมาณ 36,000 คนต่อปี โดยเป็นนิสิตมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กำแพงแสน มากที่สุด ประมาณ 14,000 คน รองลงมามหาวิทยาลัยศิลปากร พระราชวังสนามจันทร์ ประมาณ 13,000 คน และนักศึกษามหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา ประมาณ 9,000 คน   สำหรับในทำเลกำแพงแสน ยังไม่พบจำนวนคอนโดมิเนียมมากนัก แต่จำนวนดีมานด์ที่เข้ามาในแต่ละปียังมีจำนวนมากเนื่องจากมีนักศึกษาจำนวนมาก จากการสำรวจพบว่าราคาขายเฉลี่ยของโครงการคอนโดมิเนียมในปัจจุบัน อยู่ที่ 50,000 – 60,000 บาทต่อตารางเมตร สำหรับรูปแบบ 1 ห้องนอน ขนาด 27 - 30 ตารางเมตร หากนำมาปล่อยเช่าจะได้ค่าเช่าเฉลี่ย 6,000 - 7,000 บาทต่อเดือน หรือคิดเป็นผลตอบแทนจากการปล่อยเช่าอยู่ที่ 5-6% ต่อปี   “ภาพรวมตลาดอสังหาฯ ในพื้นที่นครปฐมเริ่มเติบโตอย่างน่าสนใจ โดยตลาดคอนโดมิเนียมมีแนวโน้มเติบโตกว่าตลาดอื่นๆ ซึ่งช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมาเริ่มเห็นโครงการใหม่เริ่มเปิดขายทำเลเน้นบริเวณใกล้มหาวิทยาลัย เพื่อดึงกลุ่มอุปสงค์จากอาจารย์มหาวิทยาลัย บุคลากร ผู้ปกครองที่ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง รวมถึงกลุ่มนักลงทุนที่เล็งเห็นถึงผลตอบแทนจากการปล่อยเช่าในอนาคต ซึ่งถือว่าได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนดี เมื่อเทียบกับดอกเบี้ยธนาคาร  ส่วนตลาดแนวราบยังพอไปได้ในบางทำเล มีแรงตอบรับดีในราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ในอนาคตพื้นที่นครปฐมมีโอกาสเติบโตสูง จากโครงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคม เช่น รถไฟรางคู่นครปฐม-หัวหิน รถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ-หัวหิน  มอเตอร์เวย์สายนครปฐม-ชะอำ และมอเตอร์เวย์สายบางใหญ่ - กาญจนบุรี ล้วนเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ราคาที่ดินในนครปฐมสูงขึ้นได้อีกในอนาคต” นายอนุกูล กล่าว  
พลัส พร็อพเพอร์ตี้เผยคอนโดโซนทองหล่อ-เอกมัยแรงไม่หยุดคอนโดใหม่ราคาเพิ่มกว่า 150% ส่วนราคาขายต่อขยับแรง 80%

พลัส พร็อพเพอร์ตี้เผยคอนโดโซนทองหล่อ-เอกมัยแรงไม่หยุดคอนโดใหม่ราคาเพิ่มกว่า 150% ส่วนราคาขายต่อขยับแรง 80%

พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เผยทิศทางอสังหาริมทรัพย์โซนทองหล่อ-เอกมัยร้อนแรงต่อเนื่อง เหตุเป็นทำเลทองครบครันทั้งความสะดวกด้านคมนาคมและตอบโจทย์การอยู่อาศัยรอบด้าน ส่งผลราคาที่ดินแตะ 1.5 ล้านบาทต่อตารางวา หนุนราคาคอนโดมิเนียมเติบโตโดดเด่น พบคอนโดมิเนียมแนวไฮไรซ์ทำเลสุขุมวิท 55 พุ่งสูงสุดกว่า 150%  ขณะที่ราคาขายต่อ (รีเซล) ไปได้สวยพบย้อนหลัง 5 ปี โตเฉลี่ย 80%  นายอนุกูล รัฐพิทักษ์สันติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร กล่าวถึงผลสำรวจภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ทำเลทองหล่อ – เอกมัย พบว่าแม้จะมีราคาขยับขึ้นไปค่อนข้างสูง แต่ยังคงได้รับความสนใจจากผู้อยู่อาศัยทั้งชาวไทยและต่างชาติ เนื่องจากเป็นทำเลที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน จึงยังเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยที่ดึงดูดผู้คนอย่างต่อเนื่อง และมีแนวโน้มที่จะกลายเป็นย่านอยู่อาศัยหนาแน่นในอนาคต สำหรับบริเวณสถานี BTS ทองหล่อ – เอกมัย  แบ่งพื้นที่ย่อยเป็น 3 โซนด้วยกันคือซอยทองหล่อ (สุขุมวิท 55), สุขุมวิท 36 – 38 และซอยเอกมัย (สุขุมวิท 63) ซึ่งในแต่ละโซนมีระดับราคาและความนิยมต่างกันไป ทั้งนี้ จากผลการวิจัยของพลัสฯ พบว่าคอนโดมิเนียมเป็นที่อยู่อาศัยที่ได้รับความนิยมในย่านทองหล่อ – เอกมัย มีราคาปรับสูงขึ้นทั้งแบบไฮไรซ์และโลว์ไรซ์ ซึ่งประเภทไฮไรซ์ราคาปรับขึ้นไปมากที่สุด พบในซอยทองหล่อ  (สุขุมวิท 55) มีโครงการที่เปิดตัวในปี 2556 จำนวน 550 ยูนิตสามารถปิดการขายได้ทั้งหมด ซึ่งเทรนด์ของอุปทานใหม่ที่เข้าสู่ตลาดส่วนใหญ่เป็นโครงการ High End โดยในช่วงครึ่งปีแรก อุปสงค์ให้การตอบรับดีมียอดขาย 74% ราคาเฉลี่ยคอนโดมิเนียมแบบไฮไรซ์บริเวณสุขุมวิท 55 จากปี 2556 ถึงช่วงครึ่งปีแรก 2560  มีราคาเปิดตัวโครงการใหม่ก้าวกระโดดถึง 159% เนื่องจากที่ดินในการพัฒนาจำกัด จึงทำให้มีการพัฒนาเป็นโครงการระดับ High End ที่เปิดขายในปี 2559 อาทิ KHUN by yoo และ The Bangkok  ทองหล่อ ส่งผลให้ราคาเฉลี่ยโครงการใหม่สูงขึ้นถึง 325,000 บาทต่อตารางเมตร เมื่อเทียบกับราคาโครงการที่เปิดในปี 2556 ซึ่งมีราคาเฉลี่ยเพียง 125,000 บาทต่อตารางเมตร สำหรับ ซอยสุขุมวิท 36-38  ปัจจุบันราคาเฉลี่ยคอนโดมิเนียมแบบไฮไรซ์เปิดตัวอยู่ที่ 200,000 บาทต่อตารางเมตร ซึ่งราคาขายเพิ่มขึ้น 50% ในช่วง 5 ปี ที่ผ่านมา ซึ่งใกล้เคียงกับโครงการโลว์ไรซ์ที่ราคาขายปรับตัวเพิ่มขึ้น 65% จากโครงการใหม่ที่เข้าสู่ตลาด อุปสงค์ให้การตอบรับดีมียอดขาย 80-90% ภาพรวมราคาขายเฉลี่ยทั้งโครงการไฮไรซ์และโลว์ไรซ์มีแนวโน้มเติบโตขึ้นอีกในอนาคต ขณะที่ ทำเลเอกมัย พบว่า ราคาเฉลี่ยคอนโดมิเนียมแบบไฮไรซ์ มีแนวโน้มเติบโตในช่วง 5 ปี จากราคาเฉลี่ย 100,000 บาทต่อตารางเมตร มาอยู่ที่ 175,000บาทต่อตารางเมตร หรือเพิ่มขึ้นถึง 75%  ทั้งนี้ช่วง 5 ปีที่ผ่านมาพบอุปทานคอนโดมิเนียมแบบไฮไรซ์มากขึ้นเพราะได้รับอานิสงค์จากทองหล่อที่พื้นที่เริ่มหนาแน่น ราคาขยับสูงขึ้นทำให้มีการพัฒนาโครงการในเอกมัยมากขึ้น โดยอุปสงค์ให้การตอบรับกว่า 80% หรือคิดเป็นอัตราดูดซับ 21 ยูนิตต่อเดือนต่อโครงการ ทั้งนี้ช่วงครึ่งปีแรก 2017 มีอุปทานในตลาดเพิ่มมากขึ้น รวมจำนวน 701 ยูนิต และอุปสงค์ให้การตอบรับดี โดยมียอดขาย 89% ส่วนครึ่งปีหลังมีการตอบรับดีเช่นกัน เห็นได้จากโครงการ taka HAUS ที่เพิ่งเปิดขายไปเมื่อวันที่ 16 – 17 กันยายน โดยสามารถทำยอดขายถึง 85% หากพิจารณาในส่วนของราคาขายต่อ (รีเซล) ของคอนโดมิเนียมย่านทองหล่อและเอกมัยยังเพิ่มขึ้นอย่างน่าสนใจ (ข้อมูลตามตารางด้านล่าง) “ที่ดินทำเลทองหล่อมีราคาสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องถึง 40% ในช่วง 5 ปี จากราคา 1 ล้านบาทต่อตารางวามาอยู่ที่ 1.5 ล้านบาทต่อตารางวา เช่นเดียวกับราคาที่ดินในทำเลเอกมัยที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น 33.3% จากราคา 750,000 บาทต่อตารางวา มาอยู่ที่ 1 ล้านบาทต่อตารางวา ส่งผลให้ปัจจุบันทำเลศักยภาพย่านทองหล่อและเอกมัยเหลือพื้นที่เปล่าให้พัฒนาไม่มากนักส่วนใหญ่ถูกพัฒนาเป็นโครงการที่อยู่อาศัย อาคารสำนักงาน คอมมูนิตี้มอลล์และร้านค้าต่างๆ และหากพิจาณาในส่วนของที่อยู่อาศัย พบว่าช่วง 3 ปีข้างหน้า (2561-2563) ทำเลทองหล่อ-เอกมัย จะมีโครงการสร้างเสร็จไม่ต่ำกว่า 10 โครงการ (3,500 ยูนิต) ส่งผลให้พื้นที่ดังกล่าวเป็นที่นิยมและมีผู้อยู่อาศัยค่อนข้างหนาแน่นและเป็นที่นิยมของชาวต่างชาติ โดยเฉพาะ ชาวญี่ปุ่น สิงค์โปร์ และฮ่องกง  โดยโครงการใหม่พบว่ามีมีการพัฒนารูปแบบ 2 ห้องนอนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากปี 2559 ถึงครึ่งปีแรกของ 2560  สัดส่วนห้องขนาดใหญ่ตั้งแต่ 2 ห้องนอนขึ้นไปมีสัดส่วนประมาณ 50% ของห้องทุกรูปแบบ จากเดิมที่รูปแบบ 1 ห้องนอนเป็นกลุ่มหลักของตลาด สะท้อนให้ว่าในพื้นที่นี้มีดีมานด์ที่เป็นชาวต่างชาติเข้ามารองรับอุปทานห้องขนาดใหญ่ได้ดี โดยทำเลทองหล่อมีผู้เช่าชาวต่างชาติถึง 87% และเอกมัย 66%” นายอนุกูล กล่าวสรุป
พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ชี้ทำเล พหลฯ-ลาดพร้าว ฮับการคมนาคม และที่อยู่อาศัยใหม่ ผู้ประกอบการรายใหญ่แห่ปักหมุดจ่อผุดคอนโดฯ โครงการใหม่

พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ชี้ทำเล พหลฯ-ลาดพร้าว ฮับการคมนาคม และที่อยู่อาศัยใหม่ ผู้ประกอบการรายใหญ่แห่ปักหมุดจ่อผุดคอนโดฯ โครงการใหม่

พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เผยทำเลพหลโยธิน – ลาดพร้าว เตรียมขึ้นแท่นศูนย์กลางที่อยู่อาศัยแห่งใหม่ เป็นแหล่งเชื่อมต่อการเดินทางทั้งระบบรถและระบบราง โดยผู้ประกอบการรายใหญ่เข้าจับจองพื้นที่ทยอยเปิดโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ ส่งผลราคาเฉลี่ยขยับไปอยู่ที่ 1.5 แสนบาท/ตร.ม. ส่วนราคารีเซลย้อนหลัง 5 ปี ปรับเพิ่ม 20-40%  หลังพบเป็นทำเลศักยภาพสูง ด้านตลาดเช่าได้รับอานิสงส์ ด้วยอัตราผลตอบแทนเฉลี่ย 5% ขนาด 1 ห้องนอนตลาดตอบรับสูง นายอนุกูล รัฐพิทักษ์สันติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดเผยว่า พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ได้ทำการสำรวจตลาดคอนโดมิเนียมในทำเลพหลโยธิน-ลาดพร้าว พบว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมาผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ในตลาดคอนโดมิเนียมให้ความสนใจเข้ามาทยอยพัฒนาโครงการออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา มีโครงการคอนโดมิเนียมที่เป็นอาคารสูงโซนพหลโยธิน – ลาดพร้าว ในระยะรถไฟฟ้าเปิดตัวในระดับราคา 120,000 – 180,000 บาทต่อตารางเมตร และในช่วงครึ่งแรกของปี 2560 พบอัตราการตอบรับในระดับสูงเฉลี่ยที่ 84% จากอุปทานเสนอขายสะสมทุกโครงการ 4,616 ยูนิต อัตราดูดซับเฉลี่ย 153.1 ยูนิตต่อเดือนต่อโครงการ จากการขยายตัวของอุปสงค์ในพื้นที่นี้ ส่งผลให้ราคาขายคอนโดมิเนียมมีการขยับตัวสูงขึ้น โดยพบว่า ราคาขายเฉลี่ยคอนโดมิเนียมอาคารสูงปรับตัวเพิ่มขึ้น 5% เมื่อเทียบกับช่วงสิ้นปี 2559 มาอยู่ที่ 150,000 บาทต่อตารางเมตร และปัจจุบันโครงการเหล่านี้ได้มีการนำห้องชุดกลับมาขายใหม่ (Resale) และได้ปรับราคาให้สูงขึ้นกว่าราคาเสนอขายปัจจุบันแล้ว 10% มาอยู่ที่ 165,000 บาทต่อตารางเมตร สาเหตุที่โซนพหลโยธิน – ลาดพร้าว ได้รับความสนใจ เนื่องจากเป็นทำเลที่มีจุดเด่นด้านศูนย์กลางคมนาคมขนส่ง เป็นจุดเชื่อมต่อรถไฟฟ้าสองสาย ทั้งรถไฟฟ้า BTS สายสีเขียว และรถไฟฟ้ามหานครสายเฉลิมรัชมงคล (MRT) ที่เชื่อมการเดินทางให้ผู้คนสามารถเข้าถึงใจกลางเมืองได้ในระยะเวลาไม่นาน มีรถโดยสารสาธารณะให้บริการหลากหลาย และยังมีทางด่วน 2 สาย ได้แก่ ทางพิเศษศรีรัช และทางยกระดับอุตราภิมุข (ดอนเมืองโทลล์เวย์) และยังพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกที่มีความหลากหลายสำหรับทุกไลฟ์สไตล์ ไม่ว่าจะเป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ สถานที่ท่องเที่ยวระดับโลก อย่าง ตลาดนัดจตุจักร ตลาด อ.ต.ก.  หรือสวนจตุจักร ที่เป็นปอดแห่งใหญ่ของกรุงเทพ รวมถึงศูนย์การค้าที่มีชื่อเสียง โรงพยาบาล และสถานศึกษาที่มีชื่อเสียง ทำให้ย่านพหลโยธิน-ลาดพร้าวเป็นอีกหนึ่งทำเลที่เหมาะแก่การอยู่อาศัย ทำให้โครงการคอนโดมิเนียมในย่านนี้ได้รับการตอบรับที่ดีจากเหล่าอุปสงค์ที่แท้จริง ส่งผลให้ปัจจุบันราคาขายเฉลี่ยของคอนโดมิเนียมในย่านนี้มีการปรับตัวสูงขึ้นรวดเร็วมาก นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาสถานีกลางบางซื่อหรือศูนย์คมนาคมพหลโยธิน ที่เชื่อมต่อการเดินทางรถไฟฟ้าเส้นทางต่างๆ รวมถึงเชื่อมต่อรถไฟความเร็วสูงจากภาคเหนือลงสู่ภาคใต้ เพื่อยกระดับให้ทำเลนี้ให้เป็นฮับหรือศูนย์กลางด้านการเปลี่ยนถ่ายระบบคมนาคมทางรางที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน ซึ่งขณะนี้มีความคืบหน้าการก่อสร้างแล้วกว่า 52% และคาดว่าจะเปิดให้บริการได้ภายในปี 2563 จากศักยภาพของทำเลพหลโยธิน-ลาดพร้าว ที่กำลังจะกลายเป็นฮับด้านการคมนาคมขนส่งในไม่ช้า โดยจะกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทต่างๆ ในบริเวณโดยรอบสถานีกลางบางซื่อเพิ่มมากขึ้น อาทิ อาคารสำนักงานแห่งใหม่ในพื้นที่ ที่เตรียมเปิดใช้อาคารแล้ว ทำให้ย่านนี้ขยายตัวเป็นแหล่งงานแห่งใหม่ทำให้มีความต้องการที่อยู่อาศัยมากขึ้น จึงมีการพัฒนาคอนโดมิเนียมที่พักอาศัย เพื่อรองรับดีมานด์การอยู่อาศัยที่หนานแน่นขึ้น โดยกระจายการพัฒนาออกไปทั่วทำเลพหลโยธิน-ลาดพร้าว เป็นผลทำให้ในอนาคตราคาที่ดินในย่านนี้จะทะยานตัวสูงขึ้นได้อีกไม่น้อย ถือเป็นปัจจัยบวกที่ช่วยเพิ่มศักยภาพให้แก่ทำเล และกระตุ้นให้เกิดการซื้อ-ขาย หรือเช่าคอนโดมิเนียมเพิ่มมากขึ้น โดยมีเส้นทางรถไฟฟ้าหลักๆ ที่เชื่อมต่อการเดินทางระหว่างกันผ่านสถานีกลางบางซื่อจำนวนมาก“ย่านพหลโยธิน-ลาดพร้าว ไม่ได้มีเฉพาะผู้ที่ซื้ออยู่อาศัยจริงเท่านั้น แต่ได้รับการตอบรับอย่างดีจากผู้เช่า สะท้อนได้จากผลตอบแทนจากการปล่อยเช่าห้องชุดที่อยู่ในระดับดี เฉลี่ยอยู่ที่ 5% ต่อปี โดยรูปแบบห้องที่ได้รับความนิยมคือ 1 ห้องนอน พื้นที่ใช้สอย 30-40 ตารางเมตร มีราคาเช่าเฉลี่ย 520 บาทต่อตารางเมตรต่อเดือน (ราว 15,000-23,000 บาทต่อยูนิต) รองลงมาคือ 2 ห้องนอน พื้นที่ใช้สอย 60-70 ตารางเมตร ปัจจุบันมีราคาเช่าเฉลี่ย 542 บาทต่อตารางเมตรต่อเดือน (32,000-38,000 บาทต่อยูนิต) โดยในย่านนี้มีอัตราอยู่อาศัยหนาแน่นสูงถึง 90 - 95% เป็นผู้อยู่อาศัยเอง 65% และผู้เช่า 25%” นายอนุกูล กล่าว  
พลัส พร็อพเพอร์ตี้ เผยทำเลพระโขนง-อ่อนนุชดีมานด์ต่างชาติพุ่ง ค่าเช่าขยับ 10% ราคารีเซล 5 ปี เพิ่ม 40%

พลัส พร็อพเพอร์ตี้ เผยทำเลพระโขนง-อ่อนนุชดีมานด์ต่างชาติพุ่ง ค่าเช่าขยับ 10% ราคารีเซล 5 ปี เพิ่ม 40%

พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เผยผลสำรวจตลาดเช่าที่อยู่อาศัยของต่างชาติ ในปี 2560 พบความต้องการในย่าน พระโขนง – อ่อนนุชเติบโตสูง ชี้ครึ่งปีแรกค่าเช่าขยับแล้วถึง 10% อัตราผลตอบแทนสูง 5-7% แซงหน้าย่านทองหล่อ –เอกมัย อีกทั้งตลาดรีเซลยังทำกำไรสูงกว่า โดยรูปแบบ 1 ห้องนอน ในระยะเวลา 5 ปี มีราคาขายต่อยูนิตเพิ่มขึ้นจากราคาในช่วงเปิดตัวถึง 24% นายอนุกูล รัฐพิทักษ์สันติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดเผยว่า พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ได้ทำการสำรวจ ความต้องการเช่าที่อยู่อาศัยพบว่ามีการเปลี่ยนแปลงอย่างน่าสนใจ โดยพบว่าทำเลพระโขนง-อ่อนนุช เป็นทำเลใหม่ที่ตลาดเช่าโดยเฉพาะกลุ่มชาวต่างประเทศที่มาทำงานในเมืองไทย (Expat) มีความต้องการเพิ่มขึ้นสูงมาก โดยล่าสุดครึ่งปี 2560 มีชาวต่างชาติเช่าห้องชุดเพื่ออยู่อาศัยในย่านนี้สูงถึงประมาณ 70% เพิ่มขึ้นจากเมื่อปี 2555 ที่มีชาวต่างชาติเช่าเพียง 56% จากความต้องการที่สูงขึ้นนี้จึงทำให้คอนโดมิเนียมในย่านนี้สามารถปรับค่าเช่าขึ้นได้แบบก้าวกระโดด โดยค่าเช่ามีการขยับตัวสูงขึ้น 10% ใน 3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งการปรับขึ้นมาดังกล่าวถือว่าเป็นการปรับที่สูงกว่าโซนทองหล่อ-เอกมัย ซึ่งเป็นโซนที่ชาวต่างชาตินิยมเช่าคอนโดมิเนียมมากที่สุด ซึ่งมีสัดส่วนสูงถึง 90% มีผู้เช่าคนไทยเพียงแค่ 10% โดย โซนทองหล่อ–เอกมัย มีอัตราค่าเช่าขึ้น 4% ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา สำหรับปัจจัยสำคัญที่ทำให้ชาวต่างชาติเริ่มหันไปเช่าคอนโดมิเนียมโซนพระโขนง–อ่อนนุช เพราะการเดินทางสะดวกมีรถไฟฟ้าผ่านแถมยังมีระยะทางไม่ไกลจากจุดศูนย์กลางของกรุงเทพฯ ที่สำคัญราคาอสังหาริมทรัพย์ยังไม่สูงมากเหมือนโซนใจกลางเมืองอื่นๆ โดยเฉพาะย่านทองหล่อ–เอกมัย ซึ่งเดิมเป็นทำเลที่มีความต้องการเช่าของต่างชาติ (ญี่ปุ่น เกาหลี อังกฤษ อเมริกา จีน) นั้น มีจำนวนที่ดินในการพัฒนาอย่างจำกัด ส่งผลให้มีการเปิดตัวโครงการใหม่ค่อนข้างน้อย ทำให้ราคาเปิดตัวมีราคาแพงและส่งผลให้อัตราผลตอบแทนการปล่อยเช่าลดลง โดยมีค่าเช่าเฉลี่ยอยู่ที 800 – 1,000 บาทต่อตารางเมตร หรือคิดเป็นผลตอบแทน (Rental Yield) เฉลี่ยอยู่ที่ 4-5 % ต่อปี หากขนาด 1 ห้องนอน (40-50 ตารางเมตร) ราคาค่าเช่าอยู่ที่ 35,000-55,000 บาท และรูปแบบ 2 ห้องนอน (60-80 ตารางเมตร) ราคาค่าเช่าอยู่ที่ประมาณ 60,000-80,000บาทต่อเดือน ในขณะที่โซนพื้นที่พระโขนง-อ่อนนุช มีค่าเช่าเฉลี่ยอยู่ที่ 500 – 600 บาทต่อตารางเมตร หรือคิดเป็นผลตอบแทน (Rental Yield) เฉลี่ยอยู่ที่ 5-7 %  รูปแบบห้องที่นิยมคือ ขนาด 1 ห้องนอน (30-35 ตารางเมตร) ราคาค่าเช่าอยู่ที่ 14,000-18,000 บาท และรูปแบบ 2 ห้องนอน (50-60 ตารางเมตร) ราคาค่าเช่าอยู่ที่ประมาณ 25,000-36,000บาทต่อเดือน นอกจากนี้ในส่วนของห้องที่นำกลับมาขายใหม่ (รีเซล) ในย่านพระโขนง–อ่อนนุช ก็ถือว่ามีความน่าสนใจ โดยตั้งแต่ปี 2555  เป็นต้นมา พบว่ารูปแบบ 1-2 ห้องนอนถูกนำกลับมาขายใหม่มากที่สุด โดยรูปแบบ 1 ห้องนอน มีราคาขายต่อยูนิตเพิ่มขึ้นจากราคาในช่วงเปิดตัวถึง 40% โดยปัจจุบันราคาเฉลี่ยรีเซลอยู่ที่ 122,000 บาทต่อตารางเมตร ในขณะที่ราคาเฉลี่ยของห้องรีเซลย่านทองหล่อ – เอกมัย อยู่ที่ 230,000 บาทต่อตารางเมตร เมื่อเปรียบเทียบกันจะพบว่าราคารีเซลในพื้นที่พระโขนง-อ่อนนุช ถูกกว่าพื้นที่ทองหล่อ – เอกมัย ถึง 47% และยังสามารถทำกำไรได้ดีกว่าถึง 9% “ปัจจัยที่สนับสนุนให้ทำเลพระโขนง – อ่อนนุช ได้รับความสนใจจากชาวต่างชาติ เพราะมีการเติบโตของตลาดที่อยู่อาศัยอย่างรวดเร็วและยังมีแนวโน้มขยายตัวได้ดีต่อเนื่อง และไม่เพียงแต่ราคาที่ถูกกว่าย่านทองหล่อ–เอกมัยเท่านั้น แต่ยังมีปัจจัยสนับสนุนที่โดดเด่นในด้านการคมนาคมที่สะดวก ทั้งถนนสายหลักเส้นสุขุมวิท ใกล้ทางขึ้นทางด่วนที่สะดวก รวมถึง แนวเส้นทางของโครงการระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพมหานคร (BTS) ส่วนต่อขยายสายสุขุมวิท จึงทำให้ราคาที่ดินมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกโดยรอบใหม่ๆ อย่างครบครัน  ทั้งโรงเรียนนานาชาติ ร้านอาหารที่เหมาะกับ ไลฟ์สไตล์ที่หลากหลาย แหล่งแฮงค์เอ้ทท์  และคอมมูนิตี้มอลล์ที่หลากหลาย แต่ก็ยังมีสถานที่ที่ตอบสอนองความต้องการของคนพื้นที่ เช่น ตลาดแบบดั้งเดิมในย่านพระโขนง หรือร้านอาหารเก่าแก่เจ้าดัง ทำให้ทำเลนี้มีสีสัน และสามารถเอื้อผลประโยชน์ต่อการลงทุนขายต่อหรือปล่อยเช่าคอนโดมิเนียมอีกด้วย และในอนาคตเมื่อโครงการรถไฟฟ้าสายสีเทาพร้อมเปิดให้บริการ บริเวณนี้จะกลายเป็นจุดอินเตอร์เชนจ์ระหว่างรถไฟฟ้าสายสีเขียวและสายสีเทา ปัจจัยเหล่านี้จึงสนับสนุนให้อสังหาริมทรัพย์ในทำเลพระโขนง – อ่อนนุช ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคเพิ่มขึ้นทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ” นายอนุกูล กล่าว
พลัส พร็อพเพอร์ตี้ เผยมุมมองการทำธุรกิจของผู้ประกอบรุ่นใหม่ “สร้างตัวตน เสริมแกร่งด้วยความแตกต่าง สร้างมูลค่าเพิ่มให้ลูกค้า”

พลัส พร็อพเพอร์ตี้ เผยมุมมองการทำธุรกิจของผู้ประกอบรุ่นใหม่ “สร้างตัวตน เสริมแกร่งด้วยความแตกต่าง สร้างมูลค่าเพิ่มให้ลูกค้า”

ผู้ประกอบการรุ่นใหม่ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เริ่มมีการเติบโตอย่างชัดเจน ในช่วง 3-5 ปีทีผ่านมา และจากการที่บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ได้ร่วมเป็นที่ปรึกษาด้านการขายแบบครบวงจรกับลูกค้ากลุ่มผู้ประกอบการรุ่นใหม่ (Young Developer) ราว 12 แห่ง จำนวน 12 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 12,000 ล้านบาท  พบปัจจัยที่ดึงดูดให้ผู้ประกอบการรุ่นใหม่หันมาสนใจธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เป็นธุรกิจที่อยู่บนปัจจัยที่สำคัญของทุกคน เป็น Real Sector ที่สำคัญของประเทศ มีมูลค่าทางเศรษฐกิจมหาศาล สามารถขับเคลื่อน ธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องได้อย่างมีนัยสำคัญ สามารถพิสูจน์ความสำเร็จให้กับรุ่นพ่อแม่ให้เห็นได้รวดเร็ว และยังสามารถต่อยอดไปสู่ธุรกิจอื่นๆ เช่น อพาร์ทเมนต์ หรือโรงแรมได้ เราจึงได้เห็นว่าอสังหาริมทรัพย์ยังคงเติบโตไปได้ตลอดแม้ในสภาวะที่มีการแข่งขันสูง หรือเศรษฐกิจชะลอ แต่ก็ยังมีผู้ประกอบการหน้าใหม่เพิ่มเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย และสร้างโปรดักซ์ใหม่ๆ กับกับวงการอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้จะเห็นว่าภาครัฐและเอกชนต่างๆ ได้มีการเปิดหลักสูตรเฉพาะด้านอสังหาเพิ่มขึ้นสำหรับผู้ประกอบการหน้าใหม่อย่างต่อเนื่อง สะท้อนให้เห็นถึงความสนใจและความต้องการที่จะเข้ามาทำธุรกิจที่เพิ่มขึ้นในช่วงหลังนี้อย่างชัดเจน  ลักษณะของผู้ประกอบการรุ่นใหม่ แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ ต่อยอดจากรุ่นพ่อแม่ ที่ทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อยู่แล้ว โดยรุ่นลูกอาจจะมีการพัฒนาเป็นรูปแบบใหม่ มีการปรับคาแรกเตอร์ให้ทันสมัยขึ้น และต่อยอดแบรนด์ใหม่ๆ และอีกส่วนหนึ่งมาจากการร่วมมือกับกลุ่มเพื่อนทายาทธุรกิจที่มีความสนใจในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เหมือนกัน ซึ่งอาจจะพบกับตามคอร์สระยะสั้นที่เปิดสอนด้านการทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ถ่ายทอดโดยผู้มีประสบการณ์จริง อีกกลุ่มหนึ่งคือขยาย Business Line เป็นกลุ่มทายาทธุรกิจที่เห็นโอกาสจากการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ แม้ว่ารุ่นพ่อแม่จะประสบความสำเร็จจากธุรกิจอื่น แต่สามารถต่อยอดสิ่งที่มีอยู่เช่น Landbank ที่รับตกทอดมา เป็นต้น นอกจากนี้ ผู้ประกอบการรุ่นใหม่ เมื่อเข้าสู่ตลาดอสังหาฯ ยังสร้างความเปลี่ยนแปลงสู่วงการอสังหาริมทรัพย์ในหลายๆ มิติ อาทิ ผู้ประกอบการรุ่นใหม่เหล่านี้ เป็นกลุ่มที่ให้ความสำคัญกับฐานข้อมูลตลาดมากขึ้น  พร้อมทั้งวิเคราะห์ข้อมูลอย่างละเอียด เพื่อนำไปสู่การออกแบบโครงการ ขนาดห้อง และการกำหนดราคา ให้ตรงกับความต้องการผู้บริโภค มี มี connection ที่กว้างขวาง รวมถึงการดึงมืออาชีพเข้ามาเป็นที่ปรึกษา รวมถึงการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ ทั้งในส่วนของการอยู่อาศัยและการก่อสร้างเข้ามาช่วยลดข้อจำกัดในการใช้พื้นที่ เช่นใช้ระบบ Jet Pool เพื่อแก้ปัญหาสระว่ายน้ำที่เล็ก / ห้อง แบบ One Bed Plus ที่ปรับฟังก์ชั่นได้หลากหลาย ใช้ Home Automation เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายแก่ลูกค้า  ด้านการทำตลาด จะเลือกทำเลในการลงทุนที่เลี่ยงการชนกับเจ้าตลาดหรือรายใหญ่   เน้นทำเลศักยภาพที่มีความต้องการอยู่อาศัยจริงอยู่ไม่ห่างจาก Prime Area มีความครบถ้วนในทุกมิติ ทั้งใกล้รถไฟฟ้า ใกล้แหล่งชอปปิ้ง ร้านอาหาร มีผู้คนอาศัยอย่างหนาแน่น สามารถเดินทางเชื่อมต่อได้หลากหลาย โดยทำเลนี้ยังตอบโจทย์ผู้ที่เคยอาศัยอยู่เดิมแต่ต้องการแยกออกมาอยู่อาศัยส่วนตัว โดยทำเลที่ได้รับความนิยมคือ พระราม 9 ลาดพร้าว รัชดา และพหลโยธินตอนกลาง ในส่วนของกลยุทธ์ด้านราคาเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ทำให้โครงการเหล่านี้ประสบความสำเร็จ โดยการทำราคาให้เอื้อมถึงง่าย เหมาะสมกับกลุ่มลูกค้าอยู่อาศัยเอง มากกว่าที่เน้นเก็งกำไรหรือลงทุน ส่วนการดีไซน์เป็นอีกปัจจัยสำคัญต่อความสำเร็จของโครงการที่เน้นกลุ่มลูกค้าที่มีไลฟ์สไตล์เฉพาะ เนื่องจากการวางคอนเซปต์ การกำหนดคาแรกเตอร์ของโครงการล้วนมีผลต่อการตัดสินใจของผู้ซื้อที่ไม่ต้องการได้สินค้าเหมือนท้องตลาดทั่วไป สำหรับ พลัส พร็อพเพอร์ตี้ เราเน้นการให้ความสำคัญของที่ปรึกษาด้านการขายแบบครบวงจร  ด้วยทีมวิจัยแบบเจาะลึกที่มีประสบการณ์การลงพื้นที่ต่างๆ กว่า 20 ปี ซึ่งจุดเด่นของหน่วยงานนี้คือการบอกต่อของลูกค้า ส่งผลให้พลัสฯ สามารถขยายตลาดไปสู่กลุ่มผู้ประกอบการรุ่นใหม่ที่มีศักยภาพในการทำธุรกิจ รวมถึงกลุ่มทุนต่างประเทศทั้งญี่ปุ่น ฮ่องกง จีน ล่าสุด ธุรกิจ Sole agent ของพลัสฯ ได้เปิดตัวเว็บไซต์ www.plussoleagent.com เพื่อเป็นช่องทางในการนำเสนอบริการให้กับกลุ่มทุนทั้งชาวไทย และชาวต่างประเทศที่มีความสนในการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ พร้อมทั้งเป็นช่องทางในการนำเสนอ ข้อมูลข่าวสารต่างๆ ในแวดวงอสังหาริมทรัพย์ และข่าวสารความเคลื่อนไหวของโครงการต่างๆ ที่ทำการพัฒนา โดยปัจจุบันมีสัดส่วนลูกค้าชาวไทย 75% และต่างชาติ 25%