Tag : Sansiri Green Mission

2 ผลลัพธ์
จากล้อม “ไม้ใหญ่” สู่แปลงปลูก “ผักสวนครัวหลังบ้าน” โปรเจ็กต์เติมเต็ม SANSIRI GREEN MISSION

จากล้อม “ไม้ใหญ่” สู่แปลงปลูก “ผักสวนครัวหลังบ้าน” โปรเจ็กต์เติมเต็ม SANSIRI GREEN MISSION

ถือเป็นเรื่องธรรมดามากสำหรับดีเวลลอปเปอร์ที่จำเป็นจะต้องตัดต้นไม้ เพื่อปรับปรุงพื้นที่เตรียมพัฒนาโครงการ แต่บ่อยครั้งที่จะพบประเด็นการถกเถียง หรือถึงขั้น “ขัดแย้ง” ระหว่างดีเวลลอปเปอร์กับคนในชุมชน เมื่อจำเป็นต้องตัดต้นไม้ใหญ่ หรือต้นไม้ที่มีอายุยาวนานหลายสิบปีหรือหลักร้อยปี เพราะต้นไม้หลายต้นไม่ใช่มีความสำคัญต่อระบบนิเวศน์ แต่ต้นไม้ใหญ่บางต้นมีความสำคัญต่อจิตใจของคนในชุมชนด้วย   ทางออกที่มักหยิบมาใช้เป็นการแก้ปัญหาดังกล่าว ซึ่งดีกว่าการ “ตัด” ต้นไม้นั้นไปเลย คือ การล้อมต้นไม้แล้วย้ายไปปลูกยังสถานที่อื่น หรือไม่ก็เอาเข้ามาปลูกภายในโครงการ สร้างแลนด์สเคปให้สวยงาม แถมยังรักษาต้นไม้ให้มีอายุต่อไปได้อีก ยิ่งในภาวะปัจจุบันเรื่องของพื้นที่สีเขียว มีความจำเป็นและสำคัญมากกว่าแค่ การทำตามมาตรฐาน EIA ( Environmental Impact Assessment Report ) หรือการทำรายงานวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ที่ผู้ประกอบกา รต้องจัดทำเท่านั้น   แต่ความสำคัญของพื้นที่สีเขียว คือ ถูกหยิบมาเป็น “จุดขาย” สำคัญของโครงการบ้านหรือคอนโดมิเนียมไปแล้ว หลายโครงการชูเรื่องนี้อย่างชัดเจน ก็เพราะปัจจุบันโลกกำลังเผชิญอยู่กับปัญหาโลกร้อน และปัญหาสิ่งแวดล้อม ซึ่งส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศน์ทั้งโลก ผู้คนจึงต้องออกมาร่วมมือร่วมใจ เพื่อจะทำให้สิ่งแวดล้อมดีขึ้น ไม่ใช่เพื่อใคร แต่เพื่อ “มนุษย์โลก” อย่างเราๆ ทุกคนั้นเอง     สำหรับแสนสิริ ได้มีการกำหนด “SANSIRI GREEN MISSION” เป็นนโยบายสำคัญเรื่องหนึ่งในการพัฒนา โครงการอสังหาริมทรัพย์ ด้วยการให้ความสำคัญกับพื้นที่สีเขียว ซึ่งตลอดระยะเวลา 35 ปีที่ผ่านมา แสนสิริมีแนวทางในการจัดการต้นไม้และพื้นที่สีเขียว คือ “เก็บ เลือก ปลูก รักษา” ได้แก่ การเก็บต้นไม้เดิมเพิ่มมูลค่า เก็บรักษาต้นไม้ใหญ่ที่มีอยู่เดิม ให้คงอยู่ในพื้นที่โครงการ การเลือกชนิด ขนาด ตำแหน่ง ตามความเหมาะสม เลือกชนิดพันธุ์ไม้ ความเหมาะสมของพื้นที่ และประโยชน์ของพันธุ์ไม้ต่อลูกบ้าน เพื่อเพิ่มพื้นทีสีเขียวให้ลูกบ้านได้ใกล้ชิดธรรมชาติมากที่สุด   รวมถึงเน้นการเลือกต้นไม้จากป่าปลูก ตั้งแต่ยังเป็นต้นเล็ก เพื่อให้เติบโตอย่างแข็งแรงยั่งยืนไปพร้อมกับโครงการและลูกบ้าน   การปลูกถูกต้องตามหลักการเพื่อความยั่งยืน การใส่ใจรายละเอียดตั้งแต่การเตรียมพื้นที่ การวางตำแหน่ง คำนวณระยะห่างและการค้ำยันต้นไม้ การรักษาและใส่ใจอย่างยั่งยืน การดูแลให้ต้นไม้สวยงามเป็นคุณค่าคู่โครงการตลอดไป   ตัวอย่างของการจัดการต้นไม้ขนาดใหญ่ อายุนานหลายสิบปีที่แสนสิริจัดการ เช่น โครงการเดอะ โมนูเมนต์ ทองหล่อ ที่เก็บต้นไม้อายุกว่า 50 ปีไว้ทั้งหมด 5 ต้นภายในสวนส่วนกลางที่มีพื้นที่กว่า 1,000 ตารางเมตร โครงการเวีย โบทานี กับการออกแบบอาคารให้โอบล้อมต้นจามจุรีอายุกว่า 80 ปี กระบวนการทั้งหมดถูกจัดทำขึ้นภายใต้โครงการ Sansiri Tree Story ซึ่งเป็นแนวทางการจัดการพื้นที่สีเขียวและต้นไม้ในโครงการของแสนสิริ   จากการ “เก็บ เลือก ปลูก รักษา” ไม้ใหญ่ แสนสิริ เดินหน้าขับเคลื่อน SANSIRI GREEN MISSION ต่อกับโปรเจ็กต์ “Sansiri Backyard” (แสนสิริ แบคยาร์ด) กับการเพิ่มพื้นที่สีเขียวในโครงการ ด้วยเพิ่มแปลงพืชผักสวนครัว กับการนำเอาพื้นที่ว่างเปล่ารอการพัฒนา หรือพื้นที่เปล่าของโครงการ มาทำให้เกิดประโยชน์ ทั้งการเพิ่มพื้นที่สีเขียว และการมีผักสวนครัวปลดสารพิษ ให้กับลูกบ้าน หรือคนในชุมชนได้บริโภค เป็นการตอกย้ำแนวคิดเศรษฐกิหมุนเวียนที่ถูกนำมาปรับใช้ให้เข้ากับแบรนด์แสนสิริ   นางจริยา จันทร์เจิดศักดิ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานพัฒนาผลิตภัณฑ์ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า โครงการ Sansiri Backyard เกิดมาจากความต้องการให้เมืองใหญ่ในประเทศไทยเป็นเมืองแห่งการอยู่อาศัยยั่งยืนแห่งอนาคตที่คนและธรรมชาติอยู่ร่วมกันได้อย่างลงตัวตลอดจนคนเมืองมีไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตที่ใส่ใจสุขภาพกาย สุขภาพใจตามแนวคิด well-being มากขึ้น จากหลัก 3Gs ได้แก่   1.Green การสร้างประโยชน์จากพื้นที่ว่างอยู่กลางแจ้งหรือในอาคาร อยู่บนอาคารสูงหรือบ้านให้เป็นพื้นที่สีเขียว 2.Grow ปลูกผักและผลไม้ในรูปแบบฟาร์มผักบนพื้นที่ว่าง และสร้างความเป็นคอมมูนิตี้แบบยั่งยืนในเมืองใหญ่ด้วยการเปิดโอกาสให้พนักงาน ลูกบ้าน ชุมชนใกล้เคียงและผู้ที่สนใจได้ใช้เวลาร่วมกันในการปลูกผักและ 3.Give ผลผลิตบางส่วนที่ได้จากจะแบ่งปันต่อไปยังครอบครัวแสนสิริในโครงการที่มี Sansiri Backyard เช่น โรงเรียนรอบข้างพื้นที่ชุมชนข้างเคียงและคนทั่วไปที่ต้องการเรียนรู้การใช้ชีวิตที่ดีแบบ well-being ตลอดจนพนักงานแสนสิริ นอกจากนี้ อาจจะจำหน่ายผลผลิตเพื่อนำเงินมอบให้กับหน่วยงานต่างๆ และยังแผนนำผลผลิตปลอดสารนี้ไปใช้ที่สิริ เฮาส์ (SIRI HOUSE) และโรงแรมเอสเคป หัวหินและเขาใหญ่ในอนาคตด้วย   โดยช่วง 1 ปีที่ผ่านมาแสนสิริได้เริ่มนำร่องใช้พื้นที่ว่างของโครงการต่างๆ 20 โครงการ ปลูกพืชผักสวนครัวไปบ้างแล้ว ทั้งพื้นที่ดาดฟ้าคอนโดฯ พื้นที่ส่วนกลาง ที่ว่างในอาคาร โดยผลผลิตได้ถูกแบ่งปันให้กับลูกบ้านภายในโครงการ แผนต่อไปจะนำพื้นที่ของโครงการ T77 และที่หัวหินมาจัดทำสวนผักหลังบ้านต่อไปด้วย   "ก่อนการพัฒนาโครงการจะต้องมีกระบวนการขออนุญาต การขออีไอเออย่างน้อยใช้ระยะเวลา 1 ปี จึงจะนำเอาพื้นที่ว่างมาปลูกผักก่อน เพราะผักจะมีอายุสั้นบางชนิดเพียง 30-45 วันก็เก็บกินได้ ก่อนหน้านี้แสนสิริได้เริ่มทำการศึกษาการปลูกผักมาก่อนแล้ว มีการแจกชุดปลูกให้พนักกงาน และเริ่มภายในออฟฟิศก่อน ต่อไปก็จะขยายไปยังพื้นที่รอการพัฒนา เช่น โครงการ T77 มีที่ดินกว่า 5 ไร่ที่รอการพัฒนาในระยะ 1 ปี และอีกกว่า 5 ไร่ รอการพัฒนาในระยะ 3-5 ปี”นางจริยา กล่าวในตอนท้าย"    
แสนสิริ เซตมาตรฐานวงการอสังหาริมทรัพย์ไทย เปิดตัวครั้งแรกกับโมเดลธุรกิจเปลี่ยนโลก “Sansiri Green Mission” ภายใต้แนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน

แสนสิริ เซตมาตรฐานวงการอสังหาริมทรัพย์ไทย เปิดตัวครั้งแรกกับโมเดลธุรกิจเปลี่ยนโลก “Sansiri Green Mission” ภายใต้แนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน

บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ตอกย้ำผู้นำอสังหาริมทรัพย์รายแรกของไทย ที่สร้างจุดเปลี่ยนเพื่ออนาคตของโลก ปั้นโมเดล “แสนสิริ กรีน มิชชั่น  – Sansiri Green Mission” สะท้อนปรัชญาของแนวคิด “เศรษฐกิจหมุนเวียน” หรือ “Circular Economy” ผสานการสร้างสรรค์นวัตกรรมและเทคโนโลยีภายใต้การวิจัยและพัฒนาในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและจัดการพลังงานอย่างยั่งยืน วาง Green Roadmap ผลักดัน 4 คำมั่นสัญญาหลัก ได้แก่ Waste Management |  Energy Saving & Generation | Smart Move และ Sustainability เพื่อโลกและคุณภาพชีวิตที่ดีในการอาศัยอยู่ของลูกบ้านแสนสิริและประชาคมโลกอย่างยั่งยืน   นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ด้วยวิสัยทัศน์ของแสนสิริที่ไม่เพียงแค่การพัฒนาหรือสร้างที่อยู่อาศัย แต่แสนสิริยังมุ่งมั่นส่งมอบไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยและการใช้ชีวิตให้แก่ลูกค้าภายใต้แนวคิด customer-centric หรือความต้องการของลูกค้าเป็นสิ่งที่สำคัญสูงสุดเพื่อเติมเต็มไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยให้กับลูกค้าในแต่ละกลุ่มได้อย่างตรงจุด นอกจากนี้ล่าสุดแสนสิริยังมีแนวคิด ในการเดินหน้าเป็นผู้นำเพื่อผลักดันและเซตมาตรฐานใหม่ให้กับอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ไทยในด้านความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจังและยั่งยืน โดยการให้ความสำคัญทั้งในด้านลดการใช้พลังงานและการใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่สร้างผลกระทบเชิงลบต่อสิ่งแวดล้อมโลก ทั้งนี้ที่ผ่านมา แสนสิริได้จัดตั้งทีมวิจัยและพัฒนา (R&D) และร่วมมือกับพันธมิตรจากสถาบันฯ และบริษัทฯ ชั้นนำระดับโลกกว่า 20 ราย เพื่อพัฒนาและแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและจัดการพลังงานอย่างยั่งยืน  โดยเริ่มนำผลงานวิจัยและนวัตกรรมที่ผ่านการทดสอบเข้าสู่กระบวนการติดตั้งในโครงการนำร่องต่างๆ อาทิ โครงการ Cooliving Designed Home นวัตกรรมบ้านระบายความร้อน การพัฒนาและติดตั้งกังหันลม ผลิตไฟฟ้า Wind Turbine รวมถึงการเปิดตัว Smart Move แพลตฟอร์มบริการเช่ารถพลังงานไฟฟ้า 100% เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับลูกบ้าน เป็นต้น”   โดยการดำเนินงานเพื่ออนาคตที่ยั่งยืนในครั้งนี้ “แสนสิริ” ได้นำแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน มาประยุกต์ให้เข้ากับแบรนด์ดีเอ็นเอ (DNAs) ของบริษัท ด้วยแรงขับเคลื่อนจากทัศนคติที่พร้อมเปิดรับและพัฒนาสิ่งใหม่ๆ เพื่อเติมเต็มประสบการณ์การอยู่อาศัยสมบูรณ์แบบ โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของแนวทางการจัดการของเสียและผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมแบบบูรณาการ บนหลักการ 2 ข้อใหญ่ ได้แก่ การรักษาและเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้ทรัพยากรเพื่อประโยชน์สูงสุด และการลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมตลอดวงจรการบริโภคให้น้อยที่สุด สอดรับกับ แผนแม่บทการบริหารจัดการขยะมูลฝอยของประเทศ (พ.ศ. 2559 – 2564) เพื่อแก้ไขปัญหาขยะมูลฝอย ตามนโยบายรัฐบาลที่กำหนดให้เป็น “วาระแห่งชาติ” รวมถึงร่างแผนจัดการขยะพลาสติกอย่างบูรณาการ            (พ.ศ. 2560 - 2564) เกิดเป็นโมเดลต้นแบบภายใต้ชื่อ “แสนสิริ กรีน มิชชั่น – Sansiri Green Mission” อันจะเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญกับการเป็นผู้กำหนดมาตรฐานอุตสาหกรรมการก่อสร้างอสังหาริมทรัพย์ของประเทศไทยในอนาคตที่เข้าใจและใส่ใจสิ่งแวดล้อม โดยมี Green Roadmap เพื่อขับเคลื่อนความยั่งยืนในทุกโครงการใหม่ของแสนสิริ ภายใต้ 4 คำมั่นสัญญาหลัก ได้แก่ Waste Management | Energy Saving & Generation | Smart Move และ Sustainability     นายอุทัย กล่าวต่อไปว่า “เราได้เตรียมงบประมาณไว้ 50 ล้านบาท ระหว่างปี พ.ศ. 2562 - 2564 โดยมุ่งมั่งสร้างความเป็นเลิศสู่ความยั่งยืนด้านพลังงานและกำจัดของเสีย ซึ่งในด้าน Waste Management หรือ การจัดการของเสียอย่างมีประสิทธิภาพ บริษัทวางจุดยืนที่ชัดเจน ในการลดปริมาณขยะคอนกรีตจากการก่อสร้างทั้งในรูปแบบก่ออิฐฉาบปูนและพรีคาสต์สู่นวัตกรรม “Earth Blox” ที่นำเศษคอนกรีตมวลเบาเหลือใช้จากการก่อสร้างกลับมาเป็นส่วนผสมในการแปรรูป เพื่อสร้างบล็อกคอนกรีตใหม่ นำกลับมาใช้ทำแผ่นทางเท้า ช่องลมระบายอากาศ และของตกแต่งภายในแลนด์สเคป โดยนับจากนี้ บริษัทจะเพิ่มการใช้การก่อสร้างด้วยระบบพรีคาสต์ในการก่อสร้างคอนโดมิเนียมจาก 50% เป็น 80% ภายในปีพ.ศ. 2564 ซึ่งจะสามารถลดขยะคอนกรีตที่เกิดจากการก่อสร้างโดยวิธีก่ออิฐฉาบปูนได้ถึง 1,600 ตันต่อปี ส่งผลให้บริษัทฯ สามารถช่วยโลกลดก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse gas) ได้มากกว่า 48 ตันต่อปี เท่ากับพื้นที่สีเขียวของป่าไม้ 36 ไร่ รวมทั้งตั้งเป้าหมายในการเดินหน้าประกาศภารกิจในการลดปริมาณขยะคอนกรีตจากการก่อสร้างในโรงงานพรีคาสต์ของแสนสิริเป็น 0% หรือ Zero Waste ภายในสิ้นปี พ.ศ. 2562   ในด้านการกำจัดขยะจากการบริโภคของลูกบ้าน บริษัทได้ทุ่มงบประมาณ 600,000 บาท ติดตั้งเครื่อง Food Waste Machine จำนวน 10 เครื่อง บนพื้นที่ส่วนกลางในทุกโครงการแนวสูงที่จะพัฒนาตั้งแต่ปีพ.ศ. 2562 เป็นต้นไป โดยตั้งเป้าหมายขยายการใช้งานใน 23 โครงการ ในอีก 3 ปีข้างหน้า โดยในช่วงปีแรกสามารถแปรรูปขยะมูลฝอยได้มากถึง 18 ตันต่อปี จาก 10 โครงการ และคาดว่าเมื่อครบทั้งสิ้น 23 โครงการ จะสามารถแปรรูปขยะมูลฝอยเฉลี่ย 42 ตันต่อปี นอกจากนี้ ยังได้ติดตั้ง Refun Machine เครื่องรับคืนขวดพลาสติกและกระป๋องในทุกโครงการแนวสูง รวมทั้งสิ้น 23 โครงการ ภายในปี พ.ศ. 2564 และร่วมมือกับสตาร์ทอัพในการพัฒนาแอพพลิเคชั่น Goo Greens เพื่อนำเสนอความรู้เกี่ยวกับการแยกขยะให้กับลูกบ้านและให้ลูกบ้านได้สนุกกับการสะสมคะแนนเพื่อแลกของสมนาคุณต่างๆ ซึ่งเริ่มนำมาใช้แล้ว ทั้งในโครงการแนวราบ ที่เศรษฐสิริ จรัญฯ-ปิ่นเกล้า และโครงการแนวสูงภายในฮาบิโตะมอลล์ รวมทั้งได้นำร่องติดตั้งเครื่อง Home bio gas หรือนวัตกรรมเครื่องเปลี่ยนขยะมูลฝอยเป็นก๊าซหุงต้มที่โรงแรมเอสเคป เขาใหญ่ และในส่วนของสำนักงานใหญ่ เซลล์ ออฟฟิศ และเซลล์ แกลอรี่ บริษัทตั้งเป้าหมายในการยกเลิกการใช้ขวดน้ำดื่มพลาสติก 100% ภายในปลายปีหน้า”     นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้ส่งเสริมการพัฒนาด้าน Energy Saving & Generation เพื่อผลิตพลังงานไฟฟ้าทดแทนให้กับโครงการต่างๆ ของบริษัท โดยมีแผนติดตั้ง Solar Roof ครอบคลุม 31 โครงการ ภายในปี พ.ศ. 2564 ซึ่งจะส่งผลให้ผลิตพลังงานไฟฟ้าได้ 2 เมกกะวัตต์ พลังงานสะอาดที่ผลิตได้เทียบเท่ากับปริมาณไฟฟ้าที่ใช้ชาร์จสมาร์ทโฟนถึง 1,400 ล้านเครื่อง ลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกได้มากกว่า 2,223 ตันต่อปี หรือคิดเป็นพื้นที่ป่าสีเขียวประมาณ 1,600 ไร่ นอกจากนี้ บริษัทยังวางแผนลดการใช้พลังงานในโครงการที่อยู่อาศัยทั้งในโครงการแนวราบและแนวสูง ด้วยการใช้นวัตกรรมที่ช่วยถ่ายเทอากาศและลดอุณหภูมิในที่อยู่อาศัย ได้แก่ นวัตกรรม Cooliving Designed Home ที่ประกอบด้วย Solar Attic การใช้พัดลมที่ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ ช่วยลด    ความร้อนใต้หลังคาบ้าน ทำให้อากาศภายในตัวบ้านเย็นลง และ Shading Screen ระแนงกันแดดที่ออกแบบโดยคำนึงถึงทิศทางของบ้าน เป็นต้น   นายอุทัย กล่าวต่อไปว่า “ด้านการเติมเต็มประสบการณ์การอยู่อาศัยและการใช้ชีวิตของลูกบ้านที่สมบูรณ์แบบ หรือ “Smart Move” บริษัทได้นำเสนอแนวคิด Complete your living experience และร่วมมือกับ 4 พันธมิตรหลัก Honda, Haupcar, SHARGE และ EA Anywhere สร้างแพลตฟอร์มบริการยานพาหนะระบบเช่า รวมทั้งติดตั้ง Electronic car sharing และ EV Charger ครบทุกโครงการแนวสูงตั้งแต่ปี พ.ศ. 2561 เป็นต้นไป ซึ่งปัจจุบันติดตั้งไปแล้ว 5 สถานีรวม 11 คัน และเตรียมเพิ่มอีก 4 สถานีรวม 6 คัน ในปีหน้า คาดว่าจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากกว่า 7.5 ตันต่อปี หรือคิดเป็นพื้นที่ป่าสีเขียวประมาณ 5.7 ไร่ พร้อมกันนี้ ยังได้วางเป้าหมายเพื่อต่อยอดโดยเปิดตัวพันธมิตรใหม่ e-scooter ให้บริการใน 2 โครงการสำคัญอีกด้วย และสุดท้ายในส่วนของ Sustainability การบริหารเพื่อขับเคลื่อนองค์กรสู่ความยั่งยืน บริษัทได้เตรียมความพร้อมสร้างความร่วมมือกับองค์กรเพื่อสิ่งแวดล้อมต่างๆ โดยนับเป็นอสังหาริมทรัพย์รายแรกที่จับมือกับกลุ่มอนุรักษ์ต้นไม้ใหญ่ในเมือง หรือ Big Tree เพื่อจัดการต้นไม้ใหญ่ในโครงการอสังหาริมทรัพย์อย่างยั่งยืน โดยนำหลักสูตรรุกขกรรมมาอบรมนิติบุคคลและเจ้าหน้าที่ที่ดูแลโครงการ ดูแลตัดแต่งต้นไม้ใหญ่ให้สวยงามและยั่งยืนในทุกโครงการ เพื่อพัฒนาความเป็นอยู่ที่ดีของลูกบ้านและรักษาสภาพแวดล้อมให้ร่มรื่นและเพิ่มมูลค่าโครงการ นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญด้านการออกแบบอย่างยั่งยืน หรือ Sustainability design ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ด้วยการออกแบบให้ลดการใช้ทรัพยากรและพลังงาน ผสานกับฟังก์ชั่นการใช้งานอย่างลงตัว อาทิ การออกแบบที่พักตอบโจทย์เรื่องอยู่สบายและลดอุณหภูมิภายในบ้าน เพื่อลดปริมาณการใช้พลังงาน ด้วยนวัตกรรม Cooliving Designed Home ในโครงการแนวราบ และนวัตกรรม Ventilation Door คอนโดมิเนียมหายใจได้ใช้ในโครงการแนวสูง ซึ่งปัจจุบันบริษัทได้เปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียม เดอะ ไลน์ พหลโยธิน พาร์ค เป็น “Green Condominium”  เต็มรูปแบบ โครงการแรก และจะนำแนวคิดไปต่อยอดปรับใช้กับโครงการที่จะพัฒนาต่อไปในอนาคตทุกโครงการ”   Sansiri Green Mission ทั้ง 4 คำมั่นสัญญาหลัก ได้แก่ Waste Management | Smart Move | Energy Saving & Generation และ Sustainability นับเป็นการผสมผสานนวัตกรรมสีเขียวตลอดวงจรธุรกิจ และเป็นโมเดลแรกของวงการอสังหาริมทรัพย์ที่มีแนวทางปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมสอดรับแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนครบทุกวงจร ตั้งแต่ Reduce – Recycle – Design – Retailer – Consumers ซึ่งมั่นใจว่าภายใน 3 ปี Sansiri Green Mission จะเป็นกุญแจขับเคลื่อนการสร้างเมืองแห่งอนาคตที่มีความยั่งยืนด้านพลังงานอันจะนำมาซึ่งจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญที่จะยกระดับมาตรฐานของวงการอสังหาริมทรัพย์ไทยให้ก้าวสู่การให้ความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน” นายอุทัยกล่าวสรุป