Tag : SCB

2 ผลลัพธ์
พราวฯดันหัวหิน “สปอร์ต เดสทิเนชั่น” ปี 62 ทุ่มงบกว่า100 ล้านจัดอีเอ้นท์ใหญ่

พราวฯดันหัวหิน “สปอร์ต เดสทิเนชั่น” ปี 62 ทุ่มงบกว่า100 ล้านจัดอีเอ้นท์ใหญ่

“พราว เรียลเอสเตท” ทุ่มงบการตลาดกว่า 100 ล้านบาท จัดอีเว้นท์กีฬาระดับอินเตอร์ฯ ตลอดทั้งปี หวังดึงนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก สานแผนดันหัวหินเป็น “สปอร์ต เดสทิเนชั่น” ล่าสุดจับมือธนาคารไทยพาณิชย์ ปรับปรุง SCB Center Court ภายใน ทรู อารีน่า หัวหิน ยกระดับเป็นสนามเทนนิสที่มีมาตรฐานสากล พร้อมประเดิมรายการแรกกับการแข่งขันเทนนิสหญิงของโลก ระหว่าง 28 มกราคม–3กุมภาพันธ์ 2562  นี้   พราวพุธ ลิปตพัลลภ กรรมการบริหาร บริษัท พราว เรียล เอสเตท จำกัด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงไลฟ์สไตล์ เปิดเผยว่า พราว เรียลเอสเตท จะเดินหน้าแผนการผลักดันหัวหินให้เป็นจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวเชิงกีฬา (สปอร์ต เดสทิเนชั่น) อย่างจริงจัง โดยในปีนี้จะใช้งบการตลาดมากกว่า 100 ล้านบาท เน้นจัดกิจกรรมระดับอินเตอร์เนชั่นแนล เพื่อให้เป็นแม่เหล็กดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกเข้ามา โดยคาดว่าปีนี้จะมีนักท่องเที่ยวหลั่งไหลเข้าหัวหินมากกว่าปีก่อน 12% ซึ่งตลาดจีนยังคงมาแรงและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น   กิจกรรมที่จัดขึ้นจะมีทั้งรายการแข่งขันกีฬาระดับโลก เช่น งานโปโล  ASIAN BEACH POLO 2019, Golf Tournament, งานวิ่งมาราธอน  HUAHIN GRAND MARATHON, งานปั่นจักรยาน BIKE & SHOOT 2019  และงานอีเว้นท์ด้านไลฟ์สไตล์อื่น ๆ ล่าสุด ประเดิมเปิดสนาม SCB Center Court กับการกลับมาของรายการแข่งขันเทนนิสหญิงของโลก “ดับเบิลยูทีเอ อินเตอร์เนชั่นแนล ซีรีส์ ทัวร์นาเมนต์” รายการ “โตโยต้า ไทยแลนด์ โอเพ่น 2019 พรีเซนเต็ด บาย อีเอ” ชิงเงินรางวัลรวมกว่า  250,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 8 ล้านบาท โดยจัดขึ้นระหว่างวันที่ 28 มกราคม-3 กุมภาพันธ์ 2562   “ปัจจุบันเราใช้กีฬาเป็นตัวดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาหัวหิน เพราะมองว่ากีฬาไม่ใช่แค่กระแสที่มาในระยะสั้นเท่านั้น แต่กีฬาจะอยู่กับคนทุกยุคทุกสมัย สามารถแบ่งออกได้หลายประเภท และเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้หลากหลาย เช่นฟุตบอล และเทนนิส ที่สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้หลายกลุ่ม รวมทั้งกีฬาโปโล ก็จะเข้าถึงกลุ่มคนในอีกกลุ่มหนึ่ง โดยงานต่างๆ ที่จัดจะอยู่ในพื้นที่ของ พราว เรียลเอสเตท เช่น ทรู อารีน่า หัวหิน, สวนน้ำ วานา นาวา วอเตอร์ จังเกิ้ล, โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัลหัวหิน รีสอร์ท, ฯลฯ เป็นต้น” คุณพราวพุธ กล่าว   ฯพณฯ สุวัจน์ ลิปตพัลลภ อดีตรองนายกรัฐมนตรี และประธานที่ปรึกษาการจัดการแข่งขันเทนนิสหญิง “โตโยต้า ไทยแลนด์ โอเพ่น 2019 พรีเซนเตด็ บาย อีเอ”  กล่าวว่าปัจจุบันการแข่งขันกีฬาถือเป็นแรงขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่สำคัญของไทย และส่งผลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวม มีนักท่องเที่ยวจากต่างชาติสนใจ และสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวกลุ่มใหม่ๆ มาสู่หัวหิน การได้จัดการแข่งขันทัวร์นาเมนต์สำคัญระดับโลกอย่างการแข่งขันเทนนิสหญิง  “โตโยต้า ไทยแลนด์ โอเพ่น 2019 พรีเซนเตด็ บาย อีเอ” ไม่เพียงช่วยสร้างรายได้สู่ระบบเศรษฐกิจของประเทศจากการหลั่งไหลเข้ามาของผู้ร่วมงาน คณะผู้จัดการ และผู้เข้าชมการแข่งขันเท่านั้น แต่ยังมีส่วนช่วยส่งเสริมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศได้อย่างมหาศาลจากการได้แพร่ภาพสถานที่ท่องเที่ยวผ่านรายการแข่งขันกีฬาไปทั่วโลก     ทั้งนี้ เพื่อเป็นการรองรับการแข่งขันกีฬาระดับโลกที่จะทยอยเข้ามา พราว เรียล เอสเตท ผู้บริหารโครงการ ทรู อารีน่า หัวหิน จึงได้จับมือกับธนาคารไทยพาณิชย์ปรับปรุงสนามจัดการแข่งขัน SCB Centre Court โดยเพิ่มอัฒจรรย์ผู้ชมสำหรับเซ็นเตอร์คอร์ต ซึ่งต้องให้ได้มาตรฐานระดับสากล สามารถจุได้ถึง 2,500 ที่นั่ง ออกแบบหลังคาให้เป็นรูปหน้าจั่วแบบสถาปัตยกรรมแบบไทยเพื่อให้คงเอกลักษณ์ความเป็นไทยไว้ พร้อมด้วยหลังคาผ้าใบสลับซ้อนเป็นสีขาวโปร่งทำให้สามารถระบายความร้อนได้ดี ซึ่งใช้งบประมาณในการปรับปรุงครั้งนี้กว่า 20 ล้านบาท   “หลังจากจบการแข่งขัน โตโยต้า ไทยแลนด์ โอเพ่น 2019 พรีเซนเต็ด บาย อีเอ แล้วสนาม SCB Centre Court  จะใช้ในการแข่งขันเทนนิสในรายการอื่นๆ ต่อไป จึงคาดว่าสนามแห่งนี้จะเป็นแม่เหล็กที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เข้ามามากขึ้นด้วย” นายสุวัจน์กล่าวเพิ่มเติม   นอกจากนี้ ยังเป็นครั้งแรกในประเทศไทยที่สนามเทนนิสมีระบบ ELC (Electronic line calling) เพื่อย้อนดูภาพการตกของลูกเทนนิสในสนาม ในจังหวะที่บางครั้งสายตาของมนุษย์ไม่สามารถมองได้ทัน พร้อมไฟส่องสว่างที่คอร์ตเทนนิสที่ออกแบบมาพิเศษเงาไม่บังผู้ตีในตอนกลางคืน  นอกจากนี้ยังมีส่วนของห้องใต้อัฒจรรรย์ ซึ่งเป็นห้องนักกีฬา และห้องอำนวยความสะดวกต่างๆ สำหรับผู้มาใช้สนาม   ด้านนายอาทิตย์ นันทวิทยา กรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า “สนาม SCB Centre Court แห่งนี้ จะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยผลักดันวงการกีฬาเทนนิสไทย สร้างนักเทนนิสรุ่นใหม่ให้ก้าวไกลไปอีกระดับ และไทยพาณิชย์พร้อมจะสนับสนุนและเป็นกำลังใจให้กับนักกีฬาทุกคน และหวังว่าเราจะได้มีส่วนร่วมสร้างสรรค์ปรากฏการณ์ใหม่ ๆ ให้กับวงการกีฬาไทยด้วยกันอีกในอนาคต”        
ถอดรหัสกระแสบ้านอัจฉริยะ

ถอดรหัสกระแสบ้านอัจฉริยะ

“อีไอซี ประเมินว่า นวัตกรรมใหม่ๆ ของอุปกรณ์ Smart home จะมีส่วนช่วยให้ชีวิตประจำวันของผู้คนมีความสะดวกสบายมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และในระยะเวลาอันสั้นราคาของอุปกรณ์เหล่านี้จะสามารถจับต้องได้มากขึ้น โดยมีแรงกดดันจากการเข้ามาในตลาดของผู้เล่นรายใหญ่จากประเทศจีน”   ท่ามกลางกระแสการพูดถึงเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว จนคำหลายๆคำกลายเป็น buzzwords ยอดฮิตไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นBlockchains, Big data, AI, Machine learning, 3D printing, Internet of Things (IoTs) และอื่น ๆ อีกมาก ซึ่งเทคโนโลยีเหล่านี้ล้วนมีผลกระทบต่อเราในหลากหลายมิติ และองค์ประกอบที่แตกต่างกันออกไป หลายเทคโนโลยีดังกล่าวอาจจะฟังดูไกลตัวสำหรับบางคน แต่หนึ่งในนวัตกรรมที่กำลังเป็นที่นิยมและจะส่งผลกระทบต่อชีวิตของทุกคนอย่างมีนัยสำคัญ คือ การประยุกต์แนวคิด “Internet of Things” มาใช้กับอุปกรณ์ต่างๆ ในชีวิตประจำวันที่อยู่รอบตัวเรา โดยเฉพาะอุปกรณ์ที่อยู่ภายในบ้าน หรือที่เรียกว่า “Smart home” บ้านอัจฉริยะ นั่นเอง   ย้อนไปไม่ถึง 10 ปี คอนเซ็ปท์บ้านอัจฉริยะอาจจะยังฟังดูเหมือนเรื่องในนิยายไซไฟอยู่เลย แต่ในปัจจุบันอุปกรณ์เหล่านี้กลายเป็นสินค้าที่วางขายทั่วไปในท้องตลาด ซึ่งหลายๆชิ้นก็มีราคาถูกลงมามากจนผู้บริโภคทั่วไปสามารถเอื้อมถึง จากการประเมินของ IDC สถาบันวิจัยด้านการตลาดของสหรัฐฯระบุว่า จำนวนอุปกรณ์ Smart home ของโลก จะเติบโตประมาณ 31% ในปี 2018 หรือประมาณ 644 ล้านเครื่อง  โดย IDC คาดการณ์ว่า ภายในปี 2022 จำนวนของอุปกรณ์เหล่านี้จะเติบโตไปถึงเกือบ 1,300 ล้านเครื่อง ซึ่งถือเป็นการเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวภายในระยะเวลาไม่กี่ปี ซึ่งหากคำนวณเป็นมูลค่าแล้ว เราจะเห็นได้จากการประเมินมูลค่าตลาดของ Smart home ทั่วโลก จัดทำโดย A.T. Kearney ที่คาดการณ์ว่า ในปี 2025 ตลาด Smart home จะมีขนาดกว่า 263,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ การศึกษายังระบุอีกว่า Smart home ส่วนใหญ่จะกระจุกตัวอยู่ใน 2 หมวดหลัก ๆ นั่นก็คืออุปกรณ์ที่เพิ่มความสะดวกสบายในการใช้ชีวิต และอุปกรณ์ที่ตอบสนองความต้องการด้านความปลอดภัย   ปัจจุบันผู้ประกอบการในวงการอสังหาริมทรัพย์ มีการนำอุปกรณ์ Smart home มาใช้มากขึ้น เพื่อเป็นจุดขายในการตลาด เพราะการยกระดับคุณภาพชีวิตลูกค้าให้สะดวก ปลอดภัย สนุกสนาน และมีส่วนช่วยในการดูแลสุขภาพของลูกค้า เป็นสิ่งที่สำคัญมากในเวลานี้   จากการสำรวจข้อมูลโดย Statista บริษัทวิจัยด้านการตลาดของเยอรมนี ระบุว่าสหรัฐฯ จัดเป็นประเทศที่มีการใช้อุปกรณ์ Smart home มากที่สุดในโลก โดย Home automation มีสัดส่วนมากที่สุด ตามมาด้วยอุปกรณ์เพิ่มความปลอดภัย รองลงมาคือ สหราชอาณาจักร และญี่ปุ่น ตามลำดับ โดยพบว่าการใช้งาน Smart home ส่วนใหญ่ เน้นไปในเรื่องการเพิ่มความสะดวกสบายในการอยู่อาศัยเป็นสำคัญ ซึ่งสอดคล้องกับทิศทางในไทย โดยเราจะเห็นได้ว่า ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่หลายราย เช่น แสนสิริ อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ และ เอพี ไทยแลนด์ ต่างลงทุนในการพัฒนาที่อยู่อาศัยที่มีอุปกรณ์ Smart home ติดตั้งมาพร้อมกับตัวบ้านให้กับลูกค้า โดยอุปกรณ์ที่เริ่มมีการใช้งานแพร่หลายมากขึ้น คือ Smart mirror กระจกอัจฉริยะ ที่สามารถ เปิดเพลง ดูวีดีโอจากโทรศัพท์ มีหน้าปัดแสดงเวลา บอกอุณหภูมิ หรือมี Bluetooth เพื่อใช้คุยโทรศัพท์ได้ และ อีกหนึ่งอุปกรณ์ที่กำลังมาแรงอย่างมาก ก็คือ Smart speaker หรือ ระบบการสั่งงานด้วยเสียง ที่เป็นเสมือนตัวเชื่อมกับอุปกรณ์ IoT อื่น ๆ ภายในบ้าน ซึ่งจะทำหน้าที่เป็นเหมือนผู้ช่วยส่วนตัวของเจ้าของบ้าน หรือที่เรียกว่าVirtual assistant ในปัจจุบันผู้ผลิตอุปกรณ์ Smart home ต่างพัฒนาอุปกรณ์ให้สามารถเชื่อมต่อกับ Smart speaker กันมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น Amazon Echo หรือ Google Home เป็นต้น   อีไอซีวิเคราะห์ 3 ปัจจัยสำคัญทางการแข่งขันที่ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ใช้ในการนำอุปกรณ์ Smart home มาปรับใช้กับที่อยู่อาศัยได้แก่ 1. การเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน (Embedded into everyday life) 2. สิ่งที่ทำให้เกิดความประทับใจ (Wow factors) และ 3. การบริการหลังการขาย (Aftersales service)   ยกตัวอย่างเช่นการเชื่อมอุปกรณ์ Smart home ต่าง ๆ ให้สามารถ monitor ได้ จาก Smartphone ไม่ว่าจะเป็นการควบคุมเรื่องความปลอดภัย การบริหารการใช้พลังงานภายในบ้าน เช่น ระบบน้ำ ระบบไฟฟ้า และการบริหารด้านเอ็นเตอร์เทนเมนต์ เช่น การเชื่อมจอของ Smartphone เข้ากับทีวี หรือ Smart mirror ในห้องน้ำเพื่อให้สามารถรับชมรายการที่เรากำลังติดตามอย่างไม่มีสะดุด สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นการพยายามเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของผู้อยู่อาศัยให้ได้มากที่สุด รวมถึงเป็นการสร้าง Wow factors เพื่อใช้เป็นจุดขายในการโปรโมทสินค้า   ในขณะเดียวกัน เครื่องใช้ไฟฟ้าต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น เครื่องปรับอากาศ ตู้เย็น เครื่องซักผ้า หรือแม้กระทั่งเฟอร์นิเจอร์ อย่างผ้าม่าน ล้วนต้องการการดูแลอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นผู้พัฒนาโครงการจึงให้ความสำคัญกับการบริการหลังการขายมากขึ้น ความสามารถของเทคโนโลยีถูกนำมาใช้ในการ monitor การใช้งานของเครื่องใช้เหล่านี้ เพื่อเชื่อมต่อกับการบริการซ่อมบำรุง ทำให้เกิดความสะดวก และยืดอายุการใช้งาน ยกตัวอย่างเช่น การแจ้งเตือนการซ่อมบำรุงเครื่องปรับอากาศผ่าน Smartphone พร้อมบริการเรียกช่างให้มาล้างทำความสะอาดเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม   อย่างไรก็ดี ในการนำฟังก์ชันต่าง ๆ ของ Smart home มาใช้ ผู้ประกอบการควรคำนึงถึงความกังวลใจเรื่อง ความเป็นส่วนตัวของผู้บริโภค (consumer privacy) โดยมีการอธิบายวิธีการเก็บข้อมูลและนำข้อมูลมาวิเคราะห์อย่างมีขั้นตอน พร้อมทั้งการตั้งค่าการลบข้อมูลที่ลูกค้าไม่ต้องการให้ถูกจัดเก็บอย่างเป็นระบบ ผลสำรวจจาก Parks Associates บริษัทชั้นนำด้านการวิเคราะห์ตลาดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในสหรัฐฯ ระบุว่า ผู้บริโภคกว่า 80%มีความต้องการใช้อุปกรณ์ Smart home มากขึ้น และเชื่อว่าอุปกรณ์เหล่านี้จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในชีวิตของพวกเขาภายในระยะเวลาอันสั้น แต่ผู้ผลิตและผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ที่นำอุปกรณ์ Smart home มาใช้จำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการอธิบายเรื่องการจัดเก็บข้อมูลเหล่านี้อย่างจริงจังกับผู้บริโภคมากขึ้น เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการตัดสินใจใช้งาน   อีกหนึ่งปัจจัยที่ต้องคำนึงสำหรับการนำอุปกรณ์ Smart home มาติดตั้งให้กับผู้บริโภค คือ ช่วงอายุของผู้ซื้อที่อยู่อาศัย โดยผลสำรวจจาก Gfk Smart home study 2018 ระบุว่า ในสหรัฐฯ ผู้ใช้งานอุปกรณ์ Smart home ในกลุ่มที่มีอายุน้อยกว่า 40 ปี ส่วนใหญ่ชอบเลือกอุปกรณ์ Smart home และติดตั้งด้วยตัวเอง เพราะมองว่าสะดวกกว่าในการดูแลรักษา อีกทั้งยังมีทางเลือกที่มากกว่า ในขณะที่กลุ่มที่มีอายุเกิน 40 ปีขึ้นไป ชอบที่ Smart home มีการติดตั้งมาพร้อมกับตัวบ้าน โดยผลสำรวจยังระบุอีกว่า ผู้บริโภคส่วนใหญ่ต้องการ ให้ระบบของอุปกรณ์ Smart home หลาย ๆ ชิ้น ที่อาจจะมาจากผู้ผลิตต่างแบรนด์ สามารถเชื่อมต่อและทำงานร่วมกันได้ (standardized communication) ซึ่งในปัจจุบัน อุปกรณ์ต่างแบรนด์ส่วนใหญ่ยังไม่สามารถทำได้   หากมองไปในระยะถัดไป อีไอซีมองว่า 4 เทรนด์หลักที่จะเป็นตัวขับเคลื่อนการพัฒนาตลาด Smart home ทั่วโลก รวมถึงในไทยด้วย ได้แก่ 1. การบำรุงรักษาแบบคาดคะเน (Predictive maintenance) 2. การสั่งงานด้วยเสียง (Voice command) 3. การคาดการณ์แนวโน้มพฤติกรรม (Behavior prediction) และ 4. Smart home ในราคาที่จับต้องได้ (Affordable Smart home)   1.การบำรุงรักษาแบบคาดคะเน (Predictive maintenance) หมายถึง การติดตั้งระบบที่สามารถ monitor การเปลี่ยนแปลงของเครื่องใช้ต่าง ๆ ภายในบ้านได้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็น เครื่องปรับอากาศ ตู้เย็น เครื่องซักผ้า หรือแม้กระทั่งเครื่องวัดคุณภาพอากาศ (Air quality monitor) เพื่อแจ้งเตือนให้ทำความสะอาดในบริเวณที่เริ่มสกปรกและมีฝุ่น ซึ่งการติดตั้งระบบดังกล่าวนี้ช่วยให้ปัญหาการซ่อมบำรุงลดลง เพราะเจ้าของบ้านสามารถรู้สถานะก่อนที่เครื่องใช้ต่างๆ จำเป็นต้องเปลี่ยนหรือรอการแก้ไข   2.การสั่งงานด้วยเสียง (Voice command) ในเวลานี้ การสั่งงานด้วยเสียงต้องมีความสะดวกและง่ายต่อการใช้งานมากขึ้น (User-friendly) โดย command language ที่ใช้กับ Smart speaker ต้องสามารถเข้าใจวิธีการสั่งงานด้วยคำพูดที่เป็นธรรมชาติของมนุษย์ (near human-like natural language processing) และที่สำคัญต้องสามารถสื่อสารด้วย  สำเนียงหรือวิธีการพูดที่หลากหลาย โดยในปัจจุบันมีStartup ในไทย พัฒนา Smart speaker ที่สามารถสื่อสารด้วยภาษาไทยแล้ว บริษัทวิจัยตลาดชื่อดัง Comscore ได้ประเมินตัวเลขการ search online ทั่วโลกไว้ว่า ภายในปี 2020 50% ของการ search จะเป็นการ search ด้วยเสียง   3.การคาดการณ์แนวโน้มพฤติกรรม (Behavior prediction) การประยุกต์ใช้ Artificial Intelligence (AI) เพื่อศึกษาและทำความเข้าใจพฤติกรรมของผู้อยู่อาศัยภายในบ้านเป็นสิ่งที่น่าสนใจอย่างยิ่งสำหรับอุปกรณ์ Smart home โดยพฤติกรรมเหล่านี้จะถูกนำมารวมกันเป็นกลุ่มและจัดระบบเป็น Timeline ในการทำงาน ยกตัวอย่างเช่น หากเจ้าของบ้านขับรถเข้าถึงซอยบ้านอาจจะมีการแจ้งเตือนมาทาง Smartphone ว่าเจ้าของบ้านมีความต้องการที่จะเปิดไฟหน้าบ้าน และเปิดเครื่องปรับอากาศในพื้นที่ที่คาดว่าจะถูกใช้งาน รวมไปถึงเตรียมเปิดรายการทีวีที่ชื่นชอบรอไว้ เพื่อให้ผู้อยู่อาศัยสามารถทำกิจวัตรที่ต้องการได้ทันทีที่เข้ามาถึงบ้าน   4.Smart home ในราคาที่จับต้องได้ (Affordable Smart home) การเข้ามาในตลาด Smart home ของผู้เล่นรายใหญ่จากประเทศจีน เช่น Xiaomi และ Alibaba ที่ต่างมี  อุปกรณ์ไฮเทคมากมายวางขายในท้องตลาด โดยสินค้าส่วนใหญ่มีราคาเพียงหลักร้อย หรือหลักพัน ทำให้ตลาด Smart home ทั่วโลกคึกคักขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ส่วนแบ่งตลาด Smart speaker ของโลก ของเจ้าตลาด อย่าง Amazon ลดลงถึงครึ่งหนึ่ง (จากประมาณ 80% มาอยู่ที่ประมาณ 40%) ในปี 2018 ซึ่งชี้ให้เห็นว่าในอนาคตข้างหน้าการแข่งขันด้านราคาจะทำให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงอุปกรณ์เหล่านี้ได้ง่ายยิ่งขึ้น     ในประเทศไทย กระแสบ้านอัจฉริยะเริ่มจากการค่อย ๆ เข้ามาจับลูกค้าชนชั้นกลางที่มีรายได้และมีกำลังซื้อ ความร่วมมือใหม่ ๆ ระหว่างเจ้าของเทคโนโลยีกับผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ร่วมกันสร้างโครงการที่อยู่อาศัยอัจฉริยะ รวมไปถึงพัฒนาแอปพลิเคชันเพื่อดูแลระบบเพื่อใช้ในการดูแลภายในโครงการและในบ้าน   จากผลสำรวจข้อมูลผู้บริโภคของอีไอซี จากกลุ่มตัวอย่างทั่วประเทศ จำนวน 7,701 คน พบว่า Smart home จะกลายเป็นปัจจัยที่สำคัญมากขึ้น ในการเลือกซื้อที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคยุคใหม่ และเมื่อวิเคราะห์ถึงประเภทของอุปกรณ์ที่ผู้บริโภคสนใจ จะพบว่าราว 77% ของผู้ตอบแบบสำรวจอยากให้มีระบบเตือนภัยอัจฉริยะภายในที่พักอาศัย ในขณะที่ราว 73% ต้องการให้มีระบบช่วยควบคุมอุปกรณ์ไฟฟ้าและจัดการพลังงานภายในบ้านเพื่อช่วยเพิ่มความสะดวกสบาย และลดค่าใช้จ่ายด้านสาธารณูปโภค   เป็นที่แน่ชัดว่า ในอนาคต Smart home จะกลายเป็น new normal เราจะเห็นนวัตกรรมใหม่ ๆ ถูกนำมาใช้มากขึ้นในตลาดไทย อุปกรณ์ Smart home กำลังจะก้าวผ่านการเป็นเพียงอุปกรณ์ยอดฮิตอย่าง Smart TV และ กล้องวงจรปิด ไปสู่อุปกรณ์อื่น ๆ อีกมากมาย และในไม่ช้าสินค้าเหล่านี้จะกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของผู้คนอย่างไม่ทันตั้งตัว