Tag : Smart Home

3 ผลลัพธ์
ถอดรหัสกระแสบ้านอัจฉริยะ

ถอดรหัสกระแสบ้านอัจฉริยะ

“อีไอซี ประเมินว่า นวัตกรรมใหม่ๆ ของอุปกรณ์ Smart home จะมีส่วนช่วยให้ชีวิตประจำวันของผู้คนมีความสะดวกสบายมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และในระยะเวลาอันสั้นราคาของอุปกรณ์เหล่านี้จะสามารถจับต้องได้มากขึ้น โดยมีแรงกดดันจากการเข้ามาในตลาดของผู้เล่นรายใหญ่จากประเทศจีน”   ท่ามกลางกระแสการพูดถึงเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว จนคำหลายๆคำกลายเป็น buzzwords ยอดฮิตไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นBlockchains, Big data, AI, Machine learning, 3D printing, Internet of Things (IoTs) และอื่น ๆ อีกมาก ซึ่งเทคโนโลยีเหล่านี้ล้วนมีผลกระทบต่อเราในหลากหลายมิติ และองค์ประกอบที่แตกต่างกันออกไป หลายเทคโนโลยีดังกล่าวอาจจะฟังดูไกลตัวสำหรับบางคน แต่หนึ่งในนวัตกรรมที่กำลังเป็นที่นิยมและจะส่งผลกระทบต่อชีวิตของทุกคนอย่างมีนัยสำคัญ คือ การประยุกต์แนวคิด “Internet of Things” มาใช้กับอุปกรณ์ต่างๆ ในชีวิตประจำวันที่อยู่รอบตัวเรา โดยเฉพาะอุปกรณ์ที่อยู่ภายในบ้าน หรือที่เรียกว่า “Smart home” บ้านอัจฉริยะ นั่นเอง   ย้อนไปไม่ถึง 10 ปี คอนเซ็ปท์บ้านอัจฉริยะอาจจะยังฟังดูเหมือนเรื่องในนิยายไซไฟอยู่เลย แต่ในปัจจุบันอุปกรณ์เหล่านี้กลายเป็นสินค้าที่วางขายทั่วไปในท้องตลาด ซึ่งหลายๆชิ้นก็มีราคาถูกลงมามากจนผู้บริโภคทั่วไปสามารถเอื้อมถึง จากการประเมินของ IDC สถาบันวิจัยด้านการตลาดของสหรัฐฯระบุว่า จำนวนอุปกรณ์ Smart home ของโลก จะเติบโตประมาณ 31% ในปี 2018 หรือประมาณ 644 ล้านเครื่อง  โดย IDC คาดการณ์ว่า ภายในปี 2022 จำนวนของอุปกรณ์เหล่านี้จะเติบโตไปถึงเกือบ 1,300 ล้านเครื่อง ซึ่งถือเป็นการเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวภายในระยะเวลาไม่กี่ปี ซึ่งหากคำนวณเป็นมูลค่าแล้ว เราจะเห็นได้จากการประเมินมูลค่าตลาดของ Smart home ทั่วโลก จัดทำโดย A.T. Kearney ที่คาดการณ์ว่า ในปี 2025 ตลาด Smart home จะมีขนาดกว่า 263,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ การศึกษายังระบุอีกว่า Smart home ส่วนใหญ่จะกระจุกตัวอยู่ใน 2 หมวดหลัก ๆ นั่นก็คืออุปกรณ์ที่เพิ่มความสะดวกสบายในการใช้ชีวิต และอุปกรณ์ที่ตอบสนองความต้องการด้านความปลอดภัย   ปัจจุบันผู้ประกอบการในวงการอสังหาริมทรัพย์ มีการนำอุปกรณ์ Smart home มาใช้มากขึ้น เพื่อเป็นจุดขายในการตลาด เพราะการยกระดับคุณภาพชีวิตลูกค้าให้สะดวก ปลอดภัย สนุกสนาน และมีส่วนช่วยในการดูแลสุขภาพของลูกค้า เป็นสิ่งที่สำคัญมากในเวลานี้   จากการสำรวจข้อมูลโดย Statista บริษัทวิจัยด้านการตลาดของเยอรมนี ระบุว่าสหรัฐฯ จัดเป็นประเทศที่มีการใช้อุปกรณ์ Smart home มากที่สุดในโลก โดย Home automation มีสัดส่วนมากที่สุด ตามมาด้วยอุปกรณ์เพิ่มความปลอดภัย รองลงมาคือ สหราชอาณาจักร และญี่ปุ่น ตามลำดับ โดยพบว่าการใช้งาน Smart home ส่วนใหญ่ เน้นไปในเรื่องการเพิ่มความสะดวกสบายในการอยู่อาศัยเป็นสำคัญ ซึ่งสอดคล้องกับทิศทางในไทย โดยเราจะเห็นได้ว่า ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่หลายราย เช่น แสนสิริ อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ และ เอพี ไทยแลนด์ ต่างลงทุนในการพัฒนาที่อยู่อาศัยที่มีอุปกรณ์ Smart home ติดตั้งมาพร้อมกับตัวบ้านให้กับลูกค้า โดยอุปกรณ์ที่เริ่มมีการใช้งานแพร่หลายมากขึ้น คือ Smart mirror กระจกอัจฉริยะ ที่สามารถ เปิดเพลง ดูวีดีโอจากโทรศัพท์ มีหน้าปัดแสดงเวลา บอกอุณหภูมิ หรือมี Bluetooth เพื่อใช้คุยโทรศัพท์ได้ และ อีกหนึ่งอุปกรณ์ที่กำลังมาแรงอย่างมาก ก็คือ Smart speaker หรือ ระบบการสั่งงานด้วยเสียง ที่เป็นเสมือนตัวเชื่อมกับอุปกรณ์ IoT อื่น ๆ ภายในบ้าน ซึ่งจะทำหน้าที่เป็นเหมือนผู้ช่วยส่วนตัวของเจ้าของบ้าน หรือที่เรียกว่าVirtual assistant ในปัจจุบันผู้ผลิตอุปกรณ์ Smart home ต่างพัฒนาอุปกรณ์ให้สามารถเชื่อมต่อกับ Smart speaker กันมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น Amazon Echo หรือ Google Home เป็นต้น   อีไอซีวิเคราะห์ 3 ปัจจัยสำคัญทางการแข่งขันที่ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ใช้ในการนำอุปกรณ์ Smart home มาปรับใช้กับที่อยู่อาศัยได้แก่ 1. การเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน (Embedded into everyday life) 2. สิ่งที่ทำให้เกิดความประทับใจ (Wow factors) และ 3. การบริการหลังการขาย (Aftersales service)   ยกตัวอย่างเช่นการเชื่อมอุปกรณ์ Smart home ต่าง ๆ ให้สามารถ monitor ได้ จาก Smartphone ไม่ว่าจะเป็นการควบคุมเรื่องความปลอดภัย การบริหารการใช้พลังงานภายในบ้าน เช่น ระบบน้ำ ระบบไฟฟ้า และการบริหารด้านเอ็นเตอร์เทนเมนต์ เช่น การเชื่อมจอของ Smartphone เข้ากับทีวี หรือ Smart mirror ในห้องน้ำเพื่อให้สามารถรับชมรายการที่เรากำลังติดตามอย่างไม่มีสะดุด สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นการพยายามเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของผู้อยู่อาศัยให้ได้มากที่สุด รวมถึงเป็นการสร้าง Wow factors เพื่อใช้เป็นจุดขายในการโปรโมทสินค้า   ในขณะเดียวกัน เครื่องใช้ไฟฟ้าต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น เครื่องปรับอากาศ ตู้เย็น เครื่องซักผ้า หรือแม้กระทั่งเฟอร์นิเจอร์ อย่างผ้าม่าน ล้วนต้องการการดูแลอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นผู้พัฒนาโครงการจึงให้ความสำคัญกับการบริการหลังการขายมากขึ้น ความสามารถของเทคโนโลยีถูกนำมาใช้ในการ monitor การใช้งานของเครื่องใช้เหล่านี้ เพื่อเชื่อมต่อกับการบริการซ่อมบำรุง ทำให้เกิดความสะดวก และยืดอายุการใช้งาน ยกตัวอย่างเช่น การแจ้งเตือนการซ่อมบำรุงเครื่องปรับอากาศผ่าน Smartphone พร้อมบริการเรียกช่างให้มาล้างทำความสะอาดเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม   อย่างไรก็ดี ในการนำฟังก์ชันต่าง ๆ ของ Smart home มาใช้ ผู้ประกอบการควรคำนึงถึงความกังวลใจเรื่อง ความเป็นส่วนตัวของผู้บริโภค (consumer privacy) โดยมีการอธิบายวิธีการเก็บข้อมูลและนำข้อมูลมาวิเคราะห์อย่างมีขั้นตอน พร้อมทั้งการตั้งค่าการลบข้อมูลที่ลูกค้าไม่ต้องการให้ถูกจัดเก็บอย่างเป็นระบบ ผลสำรวจจาก Parks Associates บริษัทชั้นนำด้านการวิเคราะห์ตลาดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในสหรัฐฯ ระบุว่า ผู้บริโภคกว่า 80%มีความต้องการใช้อุปกรณ์ Smart home มากขึ้น และเชื่อว่าอุปกรณ์เหล่านี้จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในชีวิตของพวกเขาภายในระยะเวลาอันสั้น แต่ผู้ผลิตและผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ที่นำอุปกรณ์ Smart home มาใช้จำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการอธิบายเรื่องการจัดเก็บข้อมูลเหล่านี้อย่างจริงจังกับผู้บริโภคมากขึ้น เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการตัดสินใจใช้งาน   อีกหนึ่งปัจจัยที่ต้องคำนึงสำหรับการนำอุปกรณ์ Smart home มาติดตั้งให้กับผู้บริโภค คือ ช่วงอายุของผู้ซื้อที่อยู่อาศัย โดยผลสำรวจจาก Gfk Smart home study 2018 ระบุว่า ในสหรัฐฯ ผู้ใช้งานอุปกรณ์ Smart home ในกลุ่มที่มีอายุน้อยกว่า 40 ปี ส่วนใหญ่ชอบเลือกอุปกรณ์ Smart home และติดตั้งด้วยตัวเอง เพราะมองว่าสะดวกกว่าในการดูแลรักษา อีกทั้งยังมีทางเลือกที่มากกว่า ในขณะที่กลุ่มที่มีอายุเกิน 40 ปีขึ้นไป ชอบที่ Smart home มีการติดตั้งมาพร้อมกับตัวบ้าน โดยผลสำรวจยังระบุอีกว่า ผู้บริโภคส่วนใหญ่ต้องการ ให้ระบบของอุปกรณ์ Smart home หลาย ๆ ชิ้น ที่อาจจะมาจากผู้ผลิตต่างแบรนด์ สามารถเชื่อมต่อและทำงานร่วมกันได้ (standardized communication) ซึ่งในปัจจุบัน อุปกรณ์ต่างแบรนด์ส่วนใหญ่ยังไม่สามารถทำได้   หากมองไปในระยะถัดไป อีไอซีมองว่า 4 เทรนด์หลักที่จะเป็นตัวขับเคลื่อนการพัฒนาตลาด Smart home ทั่วโลก รวมถึงในไทยด้วย ได้แก่ 1. การบำรุงรักษาแบบคาดคะเน (Predictive maintenance) 2. การสั่งงานด้วยเสียง (Voice command) 3. การคาดการณ์แนวโน้มพฤติกรรม (Behavior prediction) และ 4. Smart home ในราคาที่จับต้องได้ (Affordable Smart home)   1.การบำรุงรักษาแบบคาดคะเน (Predictive maintenance) หมายถึง การติดตั้งระบบที่สามารถ monitor การเปลี่ยนแปลงของเครื่องใช้ต่าง ๆ ภายในบ้านได้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็น เครื่องปรับอากาศ ตู้เย็น เครื่องซักผ้า หรือแม้กระทั่งเครื่องวัดคุณภาพอากาศ (Air quality monitor) เพื่อแจ้งเตือนให้ทำความสะอาดในบริเวณที่เริ่มสกปรกและมีฝุ่น ซึ่งการติดตั้งระบบดังกล่าวนี้ช่วยให้ปัญหาการซ่อมบำรุงลดลง เพราะเจ้าของบ้านสามารถรู้สถานะก่อนที่เครื่องใช้ต่างๆ จำเป็นต้องเปลี่ยนหรือรอการแก้ไข   2.การสั่งงานด้วยเสียง (Voice command) ในเวลานี้ การสั่งงานด้วยเสียงต้องมีความสะดวกและง่ายต่อการใช้งานมากขึ้น (User-friendly) โดย command language ที่ใช้กับ Smart speaker ต้องสามารถเข้าใจวิธีการสั่งงานด้วยคำพูดที่เป็นธรรมชาติของมนุษย์ (near human-like natural language processing) และที่สำคัญต้องสามารถสื่อสารด้วย  สำเนียงหรือวิธีการพูดที่หลากหลาย โดยในปัจจุบันมีStartup ในไทย พัฒนา Smart speaker ที่สามารถสื่อสารด้วยภาษาไทยแล้ว บริษัทวิจัยตลาดชื่อดัง Comscore ได้ประเมินตัวเลขการ search online ทั่วโลกไว้ว่า ภายในปี 2020 50% ของการ search จะเป็นการ search ด้วยเสียง   3.การคาดการณ์แนวโน้มพฤติกรรม (Behavior prediction) การประยุกต์ใช้ Artificial Intelligence (AI) เพื่อศึกษาและทำความเข้าใจพฤติกรรมของผู้อยู่อาศัยภายในบ้านเป็นสิ่งที่น่าสนใจอย่างยิ่งสำหรับอุปกรณ์ Smart home โดยพฤติกรรมเหล่านี้จะถูกนำมารวมกันเป็นกลุ่มและจัดระบบเป็น Timeline ในการทำงาน ยกตัวอย่างเช่น หากเจ้าของบ้านขับรถเข้าถึงซอยบ้านอาจจะมีการแจ้งเตือนมาทาง Smartphone ว่าเจ้าของบ้านมีความต้องการที่จะเปิดไฟหน้าบ้าน และเปิดเครื่องปรับอากาศในพื้นที่ที่คาดว่าจะถูกใช้งาน รวมไปถึงเตรียมเปิดรายการทีวีที่ชื่นชอบรอไว้ เพื่อให้ผู้อยู่อาศัยสามารถทำกิจวัตรที่ต้องการได้ทันทีที่เข้ามาถึงบ้าน   4.Smart home ในราคาที่จับต้องได้ (Affordable Smart home) การเข้ามาในตลาด Smart home ของผู้เล่นรายใหญ่จากประเทศจีน เช่น Xiaomi และ Alibaba ที่ต่างมี  อุปกรณ์ไฮเทคมากมายวางขายในท้องตลาด โดยสินค้าส่วนใหญ่มีราคาเพียงหลักร้อย หรือหลักพัน ทำให้ตลาด Smart home ทั่วโลกคึกคักขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ส่วนแบ่งตลาด Smart speaker ของโลก ของเจ้าตลาด อย่าง Amazon ลดลงถึงครึ่งหนึ่ง (จากประมาณ 80% มาอยู่ที่ประมาณ 40%) ในปี 2018 ซึ่งชี้ให้เห็นว่าในอนาคตข้างหน้าการแข่งขันด้านราคาจะทำให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงอุปกรณ์เหล่านี้ได้ง่ายยิ่งขึ้น     ในประเทศไทย กระแสบ้านอัจฉริยะเริ่มจากการค่อย ๆ เข้ามาจับลูกค้าชนชั้นกลางที่มีรายได้และมีกำลังซื้อ ความร่วมมือใหม่ ๆ ระหว่างเจ้าของเทคโนโลยีกับผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ร่วมกันสร้างโครงการที่อยู่อาศัยอัจฉริยะ รวมไปถึงพัฒนาแอปพลิเคชันเพื่อดูแลระบบเพื่อใช้ในการดูแลภายในโครงการและในบ้าน   จากผลสำรวจข้อมูลผู้บริโภคของอีไอซี จากกลุ่มตัวอย่างทั่วประเทศ จำนวน 7,701 คน พบว่า Smart home จะกลายเป็นปัจจัยที่สำคัญมากขึ้น ในการเลือกซื้อที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคยุคใหม่ และเมื่อวิเคราะห์ถึงประเภทของอุปกรณ์ที่ผู้บริโภคสนใจ จะพบว่าราว 77% ของผู้ตอบแบบสำรวจอยากให้มีระบบเตือนภัยอัจฉริยะภายในที่พักอาศัย ในขณะที่ราว 73% ต้องการให้มีระบบช่วยควบคุมอุปกรณ์ไฟฟ้าและจัดการพลังงานภายในบ้านเพื่อช่วยเพิ่มความสะดวกสบาย และลดค่าใช้จ่ายด้านสาธารณูปโภค   เป็นที่แน่ชัดว่า ในอนาคต Smart home จะกลายเป็น new normal เราจะเห็นนวัตกรรมใหม่ ๆ ถูกนำมาใช้มากขึ้นในตลาดไทย อุปกรณ์ Smart home กำลังจะก้าวผ่านการเป็นเพียงอุปกรณ์ยอดฮิตอย่าง Smart TV และ กล้องวงจรปิด ไปสู่อุปกรณ์อื่น ๆ อีกมากมาย และในไม่ช้าสินค้าเหล่านี้จะกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของผู้คนอย่างไม่ทันตั้งตัว        
“เลคซีรีน” “สัมผัสบรรยากาศใกล้ชิดธรรมชาติ สงบ และปลอดโปร่ง สร้างสุนทรียภาพแห่งการพักผ่อนได้อย่างสมบูรณ์แบบ”

“เลคซีรีน” “สัมผัสบรรยากาศใกล้ชิดธรรมชาติ สงบ และปลอดโปร่ง สร้างสุนทรียภาพแห่งการพักผ่อนได้อย่างสมบูรณ์แบบ”

เลคซีรีน บ้านสไตล์ นอร์ท อเมริกัน สุดหรูหราพร้อมทะเลสาบส่วนตัว แรงบันดาลใจจากต้นกำเนิดของสถาปัตยกรรมอเมริกันโมเดิร์นแบบ “Prairie house” ในแถบชานเมืองของชิคาโก ที่ออกแบบโดยสถาปนิกชื่อดัง Frank Lloyd Wright  ผสานความเป็นเอกลักษณ์ของเส้นสายระนาบแนวนอนและรูปทรงเรขาคณิตในทุกรายละเอียดของการดีไซน์บ้าน ผสานกับการออกแบบบนคอนเซ็ปที่เน้นความเรียบง่าย บ่งบอกถึงความตั้งใจที่ต้องการให้ผู้อยู่อาศัยเข้าถึงธรรมชาติมากขึ้น และสัมผัสถึงสุนทรียภาพแห่งการพักผ่อนได้อย่างสมบูรณ์แบบ โครงการบ้านเดี่ยวโอบล้อมริมทะเลสาบส่วนตัวสุดพิเศษพร้อมพื้นที่พักผ่อนส่วนตัวรอบบ้านที่ให้ผู้อยู่อาศัยสัมผัสถึงบรรยากาศการพักผ่อน กับความงดงามของธรรมชาติ สายลม แสงแดดอ่อนๆ และบรรยากาศของโครงการที่พาคุณดื่มด่ำกับบ้านพักอาศัยให้ความรู้สึกราวกับบ้านพักตากอากาศในทุกวัน พื้นที่ใช้สอยที่ลงตัว ปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการ พร้อมทัศนียภาพการชีวิตที่สวยงานกับระบบสายไฟฟ้าใต้ดินทั้งโครงการ เพิ่มความสะดวกสบายและความปลอดภัยให้ชีวิตด้วยเทคโนโลยี smart home & smart security ทั้งในพื้นที่ภายในบ้านและพื้นที่ส่วนกลาง บ้านเดี่ยว 2 ชั้น ขนาด 100 -150 ตร. วา พื้นที่ใช้สอยเริ่มต้น 220-429 ตร. ม. ด้วยราคาเริ่มต้น 15 ล้านบาทออกแบบสไตล์ยุโรป ฟังก์ชั่นการใช้งานสุดลงตัว ให้ความรู้สึกอบอุ่น ผ่อนคลาย เชื่อมส่วนต่างๆ ด้านล่างของตัวบ้านด้วยห้องโถงขนาดใหญ่กลางบ้าน เพดานสูง 7 เมตร ให้ความรู้สึกหรูหราสไตล์คฤหาสน์  โปร่ง โล่งสบายตา พร้อมรองรับการมาเยี่ยมเยือน การสังสรรค์และการพักผ่อนในวันหยุด ห้องนอนขนาดใหญ่และห้องน้ำภายในที่ถูกจัดวางอย่างลงตัวตอบรับการใช้งาน เพิ่มเติมห้องครัวไทยให้เป็นอีกทางเลือกของผู้อยู่อาศัย บริเวณรอบตัวบ้านมีสวนและพื้นที่ใช้สอยให้ได้มีกิจกรรมร่วมกันของทุกคนในบ้าน ทุกส่วนของบ้านเปิดรับลมโชยที่มีกลิ่นอายของทะเล ทะเลสาบ และแมกไม้จากรอบโครงการ วิวสวยสไตล์บ้านตากอากาศ พื้นที่ส่วนกลางของโครงการขนาดใหญ่ คลับเฮาส์ สวนพักผ่อน ฟิสเนต สนามเด็กเล่น และพื้นที่ริมทะเลสาบช่วยสร้างบรรยากาศผ่อนคลายยามเย็น สะดวกสบายหากต้องการเดินทางไปพักผ่อนในวันหยุด หรือเดินทางเข้าไปทำงานใจกลางกรุงเทพเพียง 15 นาทีถึงทางด่วนเฉลิมมาหานคร เข้าถึงย่านสาทร พระราม 3 พระราม 9 ได้อย่างสะดวก และ 10 นาทีถึงวงแหวนรอบนอกฝั่งตะวันตก มุ่งสู่บางนาได้อย่างรวดเร็ว ทั้งยังแวดล้อมด้วยแหล่งช้อปปิ้งและสิ่งอำนวยความสะดวก อาทิ โรงเรียนนานาชาตินอริช โรงเรียนเลิศหล้า โรงเรียนอัสสัมชัญ โรงเรียนสารสาสน์วิเทศบางบอน มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ห้างสรรพสินค้า และคอมมูนิตี้มอลล์ เซ็นทรัล พระราม 2 บิ๊กซี พระราม 2 เซ็นทรัล มหาชัย พอร์โต้ ชิโน่  โรงพยาบาลพานาซี โรงพยาบาลนครธน โรงพยาบาลบางปะกอก 9 อินเตอร์เนชั่นแนล โรงพยาบาลบางมด   สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ 0 2026 2132 หรือ  www.lakeserene-rama2.com          
อสังหายุค 4.0 เทคโนโลยีเปลี่ยนชีวิต

อสังหายุค 4.0 เทคโนโลยีเปลี่ยนชีวิต

ศตวรรษที่ 21 นี้ โลกของเราเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นมากมาย หลายสิ่งหลายอย่างต้องมีการปรับเปลี่ยนไปตามกาลเวลาเพื่อหมุนให้ทันตามโลกที่เปลี่ยนไปอย่างชนิดที่เรียกได้ว่าพลิกฝ่ามือ บางอย่างก้าวตามยุคสมัยไม่ทันก็ต้องโบกมือลาจากไป สิ่งสำคัญที่ทำให้ทุกสิ่งรอบตัวเปลี่ยนแปลงไปได้มากมายขนาดนี้ นั่นคือ "เทคโนโลยี" ซึ่งเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันจนแทบจะกลายเป็นหนึ่งในปัจจัยสี่ในการดำรงชีวิตของมนุษย์ในยุคปัจจุบันอย่างขาดไปเสียไม่ได้ ทุกวันนี้เทคโนโลยีถูกแทรกซึมเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของการใช้ชีวิตอยู่ตลอดเวลา จนเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านการศึกษา การเปิดรับข้อมูลข่าวสาร การสื่อสาร การทำธุรกรรมทางการเงิน เพื่อความบันเทิง สินค้าและบริการ ฯลฯ จนเกิดเป็นแผนพัฒนาไทยแลนด์ 4.0 มาตั้งแต่ปี 2559 ที่ทางรัฐบาลมุ่งหวังให้ประเทศไทยใช้นวัตกรรมเหล่านี้ผลักดันให้เกิดความก้าวหน้าต่อไป ในวงการอสังหาริมทรัพย์เองก็ไม่แพ้วงการไหน เพราะ Developer หลายเจ้าที่นำเอาเทคโนโลยีมาปรับใช้จนเกิดเป็นนวัตกรรมใหม่ หรือบริษัทเอกชนต่างๆ ที่สร้างเทคโนโลยีที่เกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ขึ้นมาให้บริการ ตั้งแต่ช่วงเริ่มก่อสร้างอาคาร ระบบจัดการภายในที่อยู่อาศัย ระบบการซื้อ-ขาย และนวัตกรรมอื่นๆ เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนยุคใหม่ ซึ่งแน่นอนว่าในแต่ละเทคโนโลยีที่คิดค้นกันขึ้นมานั้นก็เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ที่กำลังมองหาที่อยู่อาศัย หรือลูกบ้านที่ใช้ชีวิตอยู่ในโครงการให้ได้มากที่สุด จุดนี้เองสามารถสะท้อนให้เห็นถึงความใส่ใจของเจ้าของโครงการที่มีให้กับลูกบ้านได้เป็นอย่างดี ตลอดจนช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารงานให้กับผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เองด้วย โดยเรียกกันว่า  "PROP TECH" หรือ "Property Technology" PROP TECH ได้กลายเป็นหนึ่งในกลยุทธ์หลักของผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์หลายแห่งนำมาแข่งขันโชว์ศักยภาพกัน ไม่ว่าจะเป็นการทำทีมขึ้นมาสร้าง พัฒนานวัตกรรมมาใช้ในโครงการของตัวเอง หรือร่วมมือกับบรรดาสตาร์ทอัพ ระดมไอเดียพัฒนาปรับปรุงจนนำมาใช้ได้จริง และยังสามารถผลัดดันไปแข่งขันบนเวทีโลกได้อีกด้วย ตรงนี้เป็นอีกหนึ่งจุดขายที่แข่งขันกันอย่างดุเดือดไม่แพ้เรื่องของทำเล ดีไซน์ทางสถาปัตยกรรม และราคา ซึ่งนวัตกรรมเกี่ยวกับที่อยู่อาศัยไม่ได้เป็นเพียงแค่โครงการพัฒนาอีกต่อไป แต่ทุกวันนี้สามารถนำมาใช้งานได้จริงอย่างมีประสิทธิภาพ จึงถือว่าเป็นกำไรของผู้บริโภคในการมีตัวเลือกของการใช้ชีวิตให้ง่ายมากขึ้น หากพูดภาพรวมแบบนี้อาจจะนึกไม่ออก เราลองไปดูตัวอย่างของนวัตกรรมเหล่านี้ ซึ่งปัจจุบันนำมาใช้งานจริงแล้วในประเทศไทย Precast concrete นวัตกรรมการก่อสร้างด้วยแผ่นคอนกรีตเสริมเหล็กสำเร็จรูป เป็นเทคโนโลยีจากประเทศเยอรมนีที่สามารถควบคุมคุณภาพได้ทุกแผ่น ทุกขั้นตอน โดยให้ตัวผนังนี้มารับน้ำหนักแทนที่เสา และคาน ส่งผลให้การตกแต่งภายในสวยงามมากขึ้น มีคุณสมบัติต้านแรงลม แรงแผ่นดินไหว กันความร้อนและเสียงจากภายนอก โดยในเมืองไทยนิยมใช้วิธีการก่อสร้างแบบนี้กันมาระยะหนึ่งแล้ว เพราะช่วยลดขยะหน้าไซต์งานก่อสร้าง ไม่ต้องมาคอยผสมปูน หล่อเสา ก่ออิฐ ฉาบปูนแบบเดิม และยังทำให้งานก่อสร้างเสร็จเร็วมากขึ้นด้วย ปัจจุบันนิยมนำมาสร้างคอนโด ทาวน์โฮม บ้านเดี่ยว เป็นต้น Online Booking ระบบจองโครงการที่อยู่อาศัยผ่านเว็บไซต์ เมื่อก่อน(หรือปัจจุบันก็ยังมีอยู่) เมื่อโครงการทำการเปิดรอบ Pre sale ผู้ซื้อก็จะต้องเดินทางไปที่ตั้งของโครงการนั้นๆ ตั้งแต่เช้าตรู่ เพื่อให้ได้คิวอันดับต้นๆ ในการเลือกจองห้องดีที่สุดที่เราเล็งเอาไว้ แต่ปัจจุบันหลายโครงการทำการเปิดจอง Pre sale ผ่านเว็บไซต์ ไม่ต้องตื่นแต่เช้า เดินตากแดดไปจองห้องกันอีกต่อไป ไม่ว่าจะทำอะไร อยู่ที่ไหนก็สามารถจองได้ เรียกว่าใครเร็วกว่าก็ได้ไป Automatic parking ระบบจอดรถอัตโนมัติ หลายคนคงเคยใช้บริการกันตามห้างสรรพสินค้าบางแห่งที่มีให้ใช้บริการ เช่น The EmQuartier ซึ่งไม่ต้องเสียเวลาขับรถวนหาที่จอดนานๆ เพียงแค่ขับรถเข้าไปจอดในลิฟท์ตัวใหญ่แล้วทำตามคำแนะนำ รถของเราก็จะเข้าจอดได้อย่างปลอดภัยมากกว่า ประหยัดพื้นที่จอดรถ แถมยังเพิ่มปริมาณการจอดรถได้อีกมาก ซึ่งเทคโนโลยีนี้มีบางโครงการคอนโดมิเนียมนำมาใช้บ้างแล้ว    Delivery Robot หุ่นยนต์เซอร์วิชภายในโครงการ ทำหน้าที่ได้หลายอย่างด้วยกัน เช่น ส่งพัสดุ, อาหาร ถึงหน้าห้องพัก Smart home หรือ Home Automation เป็นเทคโนโลยีที่เชื่อมต่อเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านเอาไว้ในสมาร์ทโฟนของเรา ใช้สำหรับควบคุมปิด-เปิด ไฟ, เครื่องปรับอากาศ, โทรทัศน์, ดูกล้องวงจรปิด, ฯลฯ จากสมาร์ทโฟนของเรา ทำให้ไม่ต้องกังวลว่าจะลืมปิดไฟก่อนออกจากบ้าน และสามารถสั่งเปิดไฟเอาไว้ก่อนเราจะถึงบ้าน เพื่อความปลอดภัยช่วงกลางคืนอีกด้วย Application สำหรับลูกบ้าน เจ้าของโครงการที่อยู่อาศัยรายใหญ่หลายราย ได้ทำ Application เพื่อรองรับบริการหลังการขาย เพื่อความสะดวกสบายของลูกบ้านอย่างรอบด้าน เช่น สำหรับติดต่อนิติบุคคล, แจ้งช่างซ่อม, จองพื้นที่ส่วนกลาง นอกจากนี้ยังมี Application และเว็บไซต์ ที่พัฒนาโดยบริษัทสตาร์ทอัพซึ่งเกี่ยวกับที่อยู่อาศัยโดยตรง เช่น เรียกแม่บ้านให้เข้ามาทำความสะอาดที่ห้อง Website สุดท้ายที่คงจะไม่พูดถึงไม่ได้ เพราะเราคือ www.reviewyourliving.com เว็บไซต์รีวิวโครงการที่อยู่อาศัยทั้งคอนโดมิเนียม ทาวน์โฮม บ้านเดี่ยว ลงประกาศขาย-เช่า ข่าวสารวงการอสังหาริมทรัพย์ที่อัพเดทอยู่ตลอด บทความต่างๆ และยังมี Application reviewyourliving เพิ่มความสะดวกสบายในการเข้าถึงบนสมาร์ทโฟนของคุณอีกด้วย           สุดท้ายข้อสำคัญของเทคโนโลยี คือ ทำให้ชีวิตสะดวกสบายมากขึ้นกว่าเดิมในยุคที่ต้องแข่งขันกับเวลาอยู่ตลอด ฉะนั้นเทคโนโลยีจะต้องใช้งานง่าย ไม่ยุ่งยาก ไม่ซับซ้อนจนเกินไป ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ และสอดคล้องกับการดำเนินชีวิต