ข่าวโปรโมชั่น

 

ข่าวโปรโมชั่น ล่าสุด

1 ... 69 70 71 ... 105
LPN-JLL ชูกลยุทธ์ขยายธุรกิจ  ปักหมุดวิภาวดี-จตุจักร ชิงตลาดอาคารสำนักงาน

LPN-JLL ชูกลยุทธ์ขยายธุรกิจ ปักหมุดวิภาวดี-จตุจักร ชิงตลาดอาคารสำนักงาน

  LPN-JLL เผยกลยุทธ์ขยายธุรกิจ มั่นใจดึง JLL นำทัพชิงตลาดอาคารสำนักงาน ส่งให้เป็นตัวแทนจัดหาผู้เช่าพื้นที่อาคารสำนักงานในโครงการลุมพินี ทาวเวอร์ วิภาวดี จตุจักร (อาคาร A) รองรับความต้องการตลาดอาคารสำนักงานที่เพิ่มขึ้น ต่อยอดธุรกิจอาคารชุดพักอาศัยที่ LPN ครองตลาดมากว่า 29 ปี พุ่งเป้าการเติบโตไปด้วยกัน เจาะกลุ่มลูกค้านักลงทุนปล่อยเช่า ให้ผลตอบแทนระยะยาว และลูกค้าที่ต้องการเช่าพื้นที่ทำออฟฟิศ   นายสุรวุฒิ สุขเจริญสิน เจ้าหน้าที่บริหารระดับสูงด้านกลยุทธ์และวางแผนธุรกิจ บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (LPN) กล่าวในระหว่างพิธีลงนามในบันทึกความเข้าใจแต่งตั้งให้ JLL เป็นตัวแทนจัดหาผู้เช่าสำหรับอาคาร A ของโครงการ ว่า โครงการลุมพินี ทาวเวอร์ วิภาวดี จตุจักร เป็นการต่อยอดการลงทุนด้วยกลยุทธ์ขยายธุรกิจ ซึ่งความตั้งใจกลับมาพัฒนาอาคารสำนักงานอีกครั้ง หลังจากเมื่อปี 2532 ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีกับการพัฒนาโครงการลุมพินี ทาวเวอร์ (ถนนพระราม 4) และแอล.พี.เอ็น.ทาวเวอร์ เนื่องจากศักยภาพทำเลตอบโจทย์คนทำงานในเมือง ทั้งยังใกล้แหล่งสาธารณูปโภค และสะดวกในการเดินทางไปยังสถานที่สำคัญต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย โดยการพัฒนาโครงการลุมพินี ทาวเวอร์ วิภาวดี จตุจักร ในปีนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการอาคารสำนักงานที่เพิ่มสูงขึ้นในปัจจุบันบนถนนวิภาวดีรังสิตที่เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในทำเลที่มีศักยภาพสูง   “โครงการลุมพินี ทาวเวอร์ วิภาวดี จตุจักร เป็นการนำประสบการณ์ และจุดแข็งที่ LPN ได้สั่งสมมาจากการพัฒนาอาคารชุดพักอาศัยมากว่า 29 ปี มาสร้างคุณค่าด้านผลิตภัณฑ์ เช่น การออกแบบโครงการให้เข้ากับมาตรฐานอาคารเขียวสากล การวางแผนจัดการพลังงานและใช้พลังงานทดแทน เพื่อให้เกิดการประหยัดพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ การส่งเสริมให้ผู้ที่ทำงานในอาคารมีคุณภาพชีวิตที่ดี ด้วยการจัดสรรให้มีพื้นที่จอดรถจักรยาน สร้างสุขภาพกายและใจที่แข็งแรง และลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ภายในโครงการ ควบคู่ไปกับการยกระดับการให้บริการด้านการบริหารอาคารโดยบริษัท ลุมพินี พรอพเพอร์ตี้ มาเนจเมนท์ จำกัด อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าการพัฒนาโครงการจะดีพร้อมเพียงใด หากไม่ได้ผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในระดับมืออาชีพ ก็อาจส่งผลให้การจัดหาผู้เช่าพื้นที่สำนักงานในโครงการไม่ประสบผลสำเร็จตามที่ตั้งใจไว้ได้ ดังนั้นความร่วมมือของ LPN และ JLLในครั้งนี้ จึงเป็นสร้างคุณค่าร่วมระหว่างกัน ด้วยการนำจุดแข็งของทั้งสององค์กรมาประสานเพื่อให้บรรลุจุดหมายปลายทาง ซึ่งโครงการมีทั้งหมด 2 อาคารสำนักงาน แบ่งเป็นอาคาร A และ อาคาร B โดยบริษัทได้เลือก JLLเป็นตัวแทนจัดหาผู้เช่าพื้นที่สำนักงานในโครงการลุมพินี ทาวเวอร์ วิภาวดี จตุจักร (อาคาร A)  เนื่องจากมีความรู้ความเชี่ยวชาญที่โดดเด่นในธุรกิจบริการด้านอาคารสำนักงาน  โดยเฉพาะการเป็นตัวแทนจัดหาผู้เช่าพื้นที่สำนักงานให้กับบริษัทไทยและบริษัทต่างชาติ ตลอดจนเป็นตัวแทนซื้อขายอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน     นอกจากนั้นบริษัทยังมั่นใจในศักยภาพทำเลที่โดดเด่นที่สุดย่านวิภาวดีนี้ ทั้งใกล้แหล่งงาน อย่างอาคารสำนักงานของบริษัทต่างๆ มากมายตลอดจนแหล่งสาธารณูปโภค  ศูนย์การค้าชั้นนำ  แหล่งรวมสิ่งอำนวยความสะดวกรอบด้าน  สถานพยาบาล สถานศึกษา สวนสวนสาธารณะขนาดใหญ่ และยังใกล้กับจุดเชื่อมต่อระบบขนส่งมวลชนทางรางขนาดใหญ่ ทั้งรถไฟ รถไฟฟ้า และรถไฟความเร็วสูงที่เชื่อมโยงกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ตั้งแต่บริเวณถนนพหลโยธิน ช่วงหมอชิตเดิม บริเวณห้าแยกลาดพร้าว   และถนนวิภาวดีรังสิต   แม้จะไม่มีรถไฟฟ้าพาดผ่านพื้นที่โดยตรง   หากแต่มีสถานีรถไฟฟ้าถึง  2  สายที่ให้บริการอย่างสะดวก ทั้งรถไฟฟ้าใต้ดินMRT (สถานีพหลโยธิน และสถานีจตุจักร) และรถไฟฟ้า BTS  (สถานีหมอชิต) ทำให้การเดินทางเชื่อมโยงพื้นที่ต่างๆ  ทั้งเข้า-ออกเมือง  มีความสะดวกและรวดเร็วขึ้น  ตลอดจนเชื่อมต่อถนนเส้นสำคัญในระดับภูมิภาคได้อย่างตอบโจทย์ทุกการเดินทาง”   นางสุพินท์ มีชูชีพ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โจนส์ แลง ลาซาลล์ (ประเทศไทย) จำกัด (JLL)  กล่าวว่า “การพัฒนาโครงการลุมพินี ทาวเวอร์ วิภาวดี จตุจักร สะท้อนให้เห็นได้เป็นอย่างดีถึงกลยุทธ์อันชาญฉลาดของ LPN ในการเพิ่มช่องทางการขยายธุรกิจ  โดยโครงการนี้เปิดโอกาสให้ LPN ได้ขยายธุรกิจเข้ามาในตลาดอาคารสำนักงาน ซึ่งเป็นนับภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในกรุงเทพฯ ที่มีความแข็งแกร่งมากที่สุดในขณะนี้”   ศูนย์บริการข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ไทยของ JLL ระบุว่า ขณะนี้กรุงเทพฯ มีพื้นที่อาคารสำนักงานคิดเป็นพื้นที่รวมทั้งสิ้น 8.9 ล้านตารางเมตร  ในจำนวนนี้มีพื้นที่ว่างเหลือเช่าเพียงไม่ถึง 9%  ในขณะที่ค่าเช่าปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องในช่วงกว่า 7 ปีที่ผ่านมา  โดย  ณ  สิ้นไตรมาสแรกของปีนี้  ค่าเช่าสำหรับอาคารสำนักงานทั่วกรุงเทพฯ ไม่แบ่งเกรด  และทำเล  มีอัตราเฉลี่ยที่ 667 บาทต่อตารางเมตรต่อเดือน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วกว่า 4% และยังมีแนวโน้มที่ปรับตัวสูงขึ้นต่อไปอีก   ลงนาม... นายสุรวุฒิ สุขเจริญสิน เจ้าหน้าที่บริหารระดับสูงด้านกลยุทธ์และวางแผนธุรกิจ บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด(มหาชน) บันทึกความเข้าใจแต่งตั้ง บริษัท โจนส์ แลง ลาซาลล์ (ประเทศไทย) จำกัด เพื่อจัดหาผู้เช่าพื้นที่อาคารสำนักงานโครงการลุมพินี ทาวน์เวอร์ วิภาวดี จตุจักร(อาคาร A)   ขณะที่ นางสาวยุพา เสถียรภาพอยุทธ์ ผู้อำนวยการฝ่ายบริการธุรกิจอาคารสำนักงาน JLL กล่าวเสริมว่า “ขณะนี้ตลาดอาคารสำนักงานของกรุงเทพฯ กำลังอยู่ในภาวะที่มีปริมาณพื้นที่ไม่เพียงพอรองรับความต้องการของผู้เช่า โดยเฉพาะอาคารสำนักงานคุณภาพดีที่มีอยู่ในปัจจุบัน มีผู้เช่าใช้พื้นที่เต็มหรือเกือบเต็ม ส่วนอาคารใหม่ที่กำลังอยู่ในระหว่างการก่อสร้างในขณะนี้ มีบริษัทผู้เช่าเข้าจับจองพื้นที่เช่าล่วงหน้าแล้วเฉลี่ยมากกว่า 30% และมีแนวโน้มที่จะมีผู้เช่าพื้นที่เต็ม 100% ในเวลาอันรวดเร็วหลังก่อสร้างเสร็จ” “การเปิดตัวโครงการลุมพินี ทาวเวอร์ วิภาวดี จตุจักร ในช่วงนี้ จึงนับเป็นกลยุทธ์ที่เหมาะสม นอกจากนี้ การเลือกที่ตั้งโครงการอยู่ในทำเลที่สะดวกบนถนนวิภาวดี ยังนับเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่ดี เพราะมีบริษัทจำนวนมากที่ต้องการมีสำนักงานในย่านวิภาวดี ไม่ว่าจะเพื่ออยู่ใกล้กับกลุ่มลูกค้า ซัพพลายเออร์ หรือพนักงาน ซึ่งส่วนใหญ่อาจอยู่ในย่านดังกล่าว หรือห่างออกไปในโซนด้านเหนือของกรุงเทพฯ ในขณะที่ยังคงสามารถเดินทางเข้าสู่ศูนย์กลางธุรกิจของกรุงเทพฯ ได้สะดวก ดังนั้นเชื่อว่าโครงการจะประสบความสำเร็จในด้านการปล่อยเช่าภายในเวลาไม่นาน โดยเฉพาะเมื่อการก่อสร้างแล้วเสร็จ” นางสาวยุพากล่าว
Pixel of Life ความสุขเล็กๆ ที่ไม่มีวันหมดที่  “ธนาคลัสเตอร์ สถานีเซ็นทรัล-บางใหญ่ ”

Pixel of Life ความสุขเล็กๆ ที่ไม่มีวันหมดที่ “ธนาคลัสเตอร์ สถานีเซ็นทรัล-บางใหญ่ ”

  จากการขยายตัวจากเมืองออกสู่วงแหวนตะวันตกแห่งใหม่ เพื่อเป็นแหล่งยุทธศาสตร์ทางการค้า หรือ NEW CBD ซึ่งอิทธิพลของความเป็นเมืองขยายสู่พื้นที่บางใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น รถไฟฟ้าสายสีม่วง,ทางพิเศษมอเตอร์เวย์สายตะวันตกบางใหญ่-บ้านโป่ง-กาญจนบุรี, ทางพิเศษศรีรัช-วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร ความสะดวกสบาย ต่าง ๆ อาทิ ศูนย์การค้า Central Westgate และ IKEA ทำให้เกิดหลายๆ องค์ประกอบของไลฟ์สไตล์เมืองผสมความเป็นท้องถิ่น ประกอบกัน ดั่ง Concept  “Pixel of life” จนเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดบ้านแฝด 3 ชั้น และทาวน์โฮม 3 ชั้น ที่ตอบสนองคนรุ่นใหม่ที่ต้องการใช้ทุกๆ ตารางเมตรภายในบ้าน เพื่อกิจกรรมที่เหมาะกับตนเอง ที่โครงการธนาคลัสเตอร์ สถานีเซ็นทรัล-บางใหญ่ ที่เราจะพาไปชมในวันนี้ ซึ่งเป็นโครงการที่ 2 ภายใต้แบรนด์ "ธนาคลัสเตอร์" (Thana Cluster) บริหารงานโดยบริษัท ธนาสิริ กรุ๊ป จำกัด(มหาชน)     สำหรับโครงการธนาคลัสเตอร์ สถานีเซ็นทรัล-บางใหญ่ ตั้งอยู่ในตำบลบางแม่นาง อำเภอบางใหญ่ จังหวัดนนทบุรี บนเนื้อที่ประมาณ 10-1-94.30 ไร่ ประกอบด้วย บ้านแฝด และทาวน์โฮม 3 ชั้น  จำนวน 77 ยูนิต มูลค่าโครงการ 357 ล้านบาท  สร้างบ้านบนขนาดที่ดิน 22-54 ตารางวา พื้นที่ส่วนกลาง 287.82 ตารางวา ออกแบบภายใต้แนวคิด “ความสนุกแบบเท่ห์ๆ แบบไม่สิ้นสุด the infinity of smart and fun” เป็นโครงการทาวน์โฮม 3 ชั้น และบ้านแฝด 3 ชั้น  ดีไซน์ใหม่ทันสมัย เหมาะสำหรับคนรุ่นใหม่ ตกแต่งสไตล์ Modern Loft ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเรียบร้อย แต่มีเสน่ห์ เพื่อให้เป็นศิลปะของการใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่ ตัวบ้านก่อสร้างด้วยผนังสำเร็จรูป แข็งแรง ออกแบบบ้านให้โปร่งโล่งและแบ่งฟังก์ชั่นใช้สอยได้อย่างลงตัว รวมถึง Sky Light ทำให้บ้านโปร่งมากขึ้น กับพื้นที่ใช้สอยที่กว้าง สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามจิตนาการ โดยบ้านทุกหลังสามารถจอดรถได้ 2 คัน มีห้องน้ำในตัวทุกห้อง  ใช้ชีวิตแบบ Smart Living ด้วยระบบ Home Automation ซึ่งเป็นระบบควบคุมการเปิด-ปิด ไฟ ภายในบ้าน เชื่อมต่อสัญญาณกันขโมย สามารถสั่งงาน เปิด  ปิดไฟภายในบ้าน ผ่าน Applications บน Smartphone และสามารถเพิ่มฟังก์ชั่นควบคุมการเปิด-ปิดแอร์ได้, สุขภัณฑ์อัตโนมัติ, ระบบรักษาความปลอดภัยในบ้านทุกหลัง พื้นที่ชั้นสองจะมีโถงขนาดใหญ่ก่อนเข้าห้องนอนทุกหลังช่วยลดความอึดอัดและรู้สึกโปร่งโล่งด้วยเพดานฝ้ายกสูง พร้อมติดตั้งถังสำรองน้ำพร้อมปั๊มน้ำอัตโนมัติทุกหลัง และเครื่องปรับอากาศในห้องนอนใหญ่เพิ่มฟังก์ชั่น Family Corner เพื่อความเป็นส่วนตัวของครอบครัว  พิเศษด้วยพื้นที่ Smile Club House ที่คุณจะได้สนุกไปกับช่วงเวลาที่ความวุ่นวายเข้าไม่ถึง ครบครันทุกกิจกรรม ทั้งพื้นที่พักผ่อน สระว่ายน้ำ และฟิตเนส ให้คุณ Take View แบบ Panoramic 360 องศา       โดยในโครงการจะมีแบบบ้านให้เลือก 3 แบบด้วยกันคือ แบบบ้าน Cluster 5.5 ด้วยบ้านหน้ากว้าง 5.5 เมตร พื้นที่ใช้สอย 190 ตารางเมตร 3 ห้องนอน master bedroom อยู่ชั้น 2 มีระเบียงพร้อมห้องน้ำในตัวและ Walk-in Closet และสวนในห้องน้ำ 4 ห้องน้ำ (พิเศษ ห้อง Greenery Bathroom ในห้องนอนใหญ่ชั้น 2) มีห้องน้ำส่วนตัวทุกห้องนอน 1 ห้องอเนกประสงค์ ที่ชั้น2 มุมห้องครัว พร้อมเคาน์เตอร์ครัวหลังบ้าน  เพิ่มเฉลียงหน้าบ้านขนาดใหญ่ 2 ที่จอดรถเชื่อมกับ Pocket Garden   แบบบ้าน Cluster 8 บ้านหน้ากว้างถึง 8 เมตร ขนาดพื้นที่ใช้สอย 233 ตารางเมตร 4 ห้องนอน Grand master bedroom อยู่ชั้น 2 พร้อม Walk in Closet และ ห้องน้ำในตัว 4 ห้องน้ำพร้อม Separate Shower zone 1 มุมเอนกประสงค์ชั้นสองพร้อมระเบียงชมวิว ห้องครัวขนาดใหญ่แยกสัดส่วนเชื่อมต่อลานซักล้างด้านหลัง เพิ่มเฉลียงหน้าบ้านขนาดใหญ่ 2 ที่จอดรถเชื่อมต่อกับสวนขนาดใหญ่ด้านข้างบ้าน   และแบบบ้าน Cluster 10 ที่หน้าบ้านกว้างมากสุดถึง 10 เมตรด้วยกันในราคาเริ่มต้นที่ 6.6 ล้านบาท บนขนาดพื้นที่ใช้สอย 282 ตารางเมตรประกอบไปด้วย 4 ห้องนอนออกแบบ Star Penthouse พร้อม Double Walk in Closet และมุมมองจากตัวบ้านแบบ Panorama view 4 ห้องน้ำพร้อม Separate Shower Zone ห้องครัวขนาดใหญ่แยกสัดส่วนเชื่อมต่อลานซักล้างด้านหลัง พื้นที่เตรียมอาหารขนาดใหญ่หรือปรับเปลี่ยนเป็นพื้นที่เอนกประสงค์บริเวณชั้นล่าง 1 มุมเอนกประสงค์ชั้นสองพร้อมระเบียงชมวิว Grand master bedroom อยู่ชั้น2พร้อม Walk in Closet มีห้องน้ำในตัวและระเบียงอเนกประสงค์ขนาดใหญ่ ห้องนอน 4 บนชั้น 3 มีระเบียงส่วนตัว 3 ที่จอดรถเชื่อมต่อกับสวนขนาดใหญ่ด้านข้างบ้าน   จุดเด่นของโครงการธนาคลัสเตอร์ สถานีเซ็นทรัล-บางใหญ่ จะอยู่ที่ทำเลที่ตั้งโครงการที่ใกล้ห้างสรรพสินค้า Central Westgate, IKEA, Big C เอ็กซ์ตร้า บางใหญ่ และBig C รัตนาธิเบศร์, Index Living Mall, Plus Mall  ทำเลที่ตั้งโครงการใกล้แนวรถไฟฟ้าสายสีม่วงสถานีคลองบางไผ่ เป็นโครงการบ้านแฝดและทาวน์โฮม 3 ชั้นทั้งโครงการมีพื้นที่ใช้สอยมากกว่าบ้านเดี่ยว จำนวนหลังไม่มากเพียง 77หลังเป็นส่วนตัวและใกล้ชิดธรรมชาติ ตัวโครงการมีความปลอดภัยมีระบบรักษาความปลอดภัย 24 ชั่งโมง ถึง 3 ชั้น รปภ. + CCTV, สัญญาณกันขโมย, กล้องวงจรปิดในโครงการทั้งหมด 17 จุด มีสโมสรพร้อมสระว่ายน้ำและห้องออกกำลังกาย พื้นที่อเนกประสงค์ และสวนสาธารณะไว้เพื่อให้ลูกบ้านพบปะสังสรรค์ Main Entrance ดูเท่ทันสมัย และแตกต่างจากโครงการโดยรอบทั้งหมด     ตัวสินค้าจะมีจุดเด่นอยู่ที่ เป็นบ้านแฝดและทาวน์โฮม 3 ชั้น ดีไซน์ใหม่ทันสมัย Modern Loft Style เหมาะสำหรับคนรุ่นใหม่ ที่ต้องการความแปลกใหม่ ตัวบ้านก่อสร้างด้วยผนังสำเร็จรูป แข็งแรง เรียบร้อย มีการออกแบบบ้านให้โปร่งโล่งและแบ่งฟังก์ชั่นใช้สอยได้อย่างลงตัว สามารถปรับเปลี่ยนพื้นที่เป็น Home office ที่มีพนักงานไม่มากเพื่อทำกิจการขนาดเล็กได้ หน้ากว้าง 5.5-8 เมตร บ้านทุกหลังจอดรถได้ 2 คัน และจอดรถได้ถึง 3 คันในแบบบ้าน cluster 10 มีการเพิ่มฟังก์ชั่นเอนกประสงค์ เพื่อความเป็นส่วนตัวของครอบครัว พร้อมห้อง Master Bedroom มีขนาดใหญ่พร้อมห้องน้ำในตัวและWalk in closet พร้อม rain shower  ติดตั้ง ระบบ Home Automation, ระบบรักษาความปลอดภัยในบ้านทุกหลัง พื้นที่ชั้นสองออกแบบให้มีลักษณะโปร่งโล่ง พร้อมมีโถงขนาดใหญ่ก่อนเข้าห้องนอนทุกหลังทำให้ไม่อึดอัดหรือมีห้องพักผ่อนที่มีแสงธรรมชาติส่องถึงให้อารมณ์เหมือนบ้านเดี่ยว ติดตั้งถังสำรองน้ำพร้อมปั๊มน้ำอัตโนมัติทุกหลังและเครื่องปรับอากาศในห้องนอนใหญ่      ทุกหลังมี Pocket Garden เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียวในตัวบ้านบริเวณด้านข้างบ้านหรือโรงรถ (ในแบบ Cluster 5.5) ฝ้าเพดานสูงโปร่ง ถึง 2.7 เมตร  ตัวบ้านประหยัดพลังงาน ด้วยการติดตั้งหลอดไฟระบบ LED ทั้งหลัง มีเฉลียงหน้าบ้านขนาดใหญ่ ทำให้ไม่รู้สึกคับแคบก่อนเข้าบ้าน และระเบียงขนาดใหญ่ไว้เป็นมุมพักผ่อน สัมผัสบรรยากาศภายนอกบ้านชั้นสองและสามขั้นอยู่กับแบบบ้าน มุมมองแบบ Panorama View ในแบบบ้านทุกแบบ เพื่อให้สัมผัสบรรยากาศภายนอกได้อย่างเต็มที่ไม่อึดอัด กั้นห้องครัวให้เป็นสัดส่วน ทำให้ลูกค้าไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการต่อเติมบ้าน (เฉพาะแบบCluster 8 และCluster10) ห้องน้ำชั้นบนทุกห้องแยกส่วนแห้งเปียกเพื่อความสะดวกในการใช้งาน ห้องน้ำในห้องนอนใหญ่ติดตั้งฝาสุขภัณฑ์แบบชำระอัตโนมัติ พร้อม Rain shower เพื่อความทันสมัยสะดวกใช้งานและแตกต่าง  ที่จอดรถมีการตอกเข็มกลุ่ม ชะลอการทรุดตัวของพื้นและมีการตกแต่งทรายล้างเพื่อความสวยงามทุกหลัง   บนทำเลศักยภาพบางใหญ่ ที่เป็นศูนย์กลางฝั่งตะวันตก รอบรับ AEC HUB ในอนาคต ตอบโจทย์กับ Life Style ของคนรุ่นใหม่ ใกล้เซ็นทรัลเวสเกต และรถไฟฟ้าสายสีม่วง พบกับบ้านที่ให้ความสุขเล็กๆ ที่ไม่มีวันหมด ได้ที่ ธนาคลัสเตอร์ สถานีเซ็นทรัล-บางใหญ่ บ้าน 3 ชั้น ระดับ Premium หน้ากว้างสูงสุด 10 เมตร พร้อม สโมสร สระว่ายน้ำ ในราคาเริ่มต้นที่ 3.89 ล้านบาท พร้อมของแถม 12 รายการ สนใจสอบถามรายละเอียดและข้อเสนอพิเศษเพิ่มเติมได้ที่ Smile Home Center 02 005 8888 กด 1 กด 6 หรือ thanacluster.com
ศุภาลัย เปิดแผนลงทุนต่อเนื่อง รองรับ EEC ปักหมุดโครงการใหม่ “ศุภาลัย การเด้นวิลล์ ชลบุรี”

ศุภาลัย เปิดแผนลงทุนต่อเนื่อง รองรับ EEC ปักหมุดโครงการใหม่ “ศุภาลัย การเด้นวิลล์ ชลบุรี”

  บมจ.ศุภาลัย เปิดแผนลงทุนต่อเนื่อง รองรับ EEC ในจังหวัดชลบุรี เตรียมเปิด “ศุภาลัย การเด้นวิลล์ ชลบุรี” ราคาเริ่มต้นเพียง 4.8 ล้านบาท Pre-Sales 2 - 3 มิถุนายน นี้ ณ สำนักงานขาย พร้อมพบสิทธิพิเศษมากมาย     นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากนโยบายผลักดันโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งเป็นการพลิกโฉมการลงทุนและพัฒนาพื้นที่ใหม่ๆ ที่สำคัญอย่างมาก ส่งผลให้แผนการลงทุนในจังหวัดชลบุรีมีทิศทางเติบโตต่อเนื่อง ซึ่งหลังจาก บริษัทฯ เปิดตัวโครงการ ศุภาลัย พรีโม่ บางแสน ในไตรมาส 1 ที่ผ่านมานั้น ได้รับกระแสตอบรับเป็นที่น่าพอใจ ล่าสุดเตรียมเปิดโครงการแนวราบ เพิ่มขึ้นเป็นโครงการที่ 9 ในจังหวัดชลบุรี คือ “ศุภาลัย การเด้นวิลล์ ชลบุรี” ชูแนวคิด “ทำเลเหนือระดับ กับชีวิตที่สมบูรณ์แบบ” บนพื้นที่โครงการประมาณ 23 ไร่  มูลค่าโครงการประมาณ 592 ล้านบาท     “ศุภาลัย การเด้นวิลล์ ชลบุรี” เป็นโครงการบ้านเดี่ยว 2 ชั้น สไตล์โมเดิร์น 3 - 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ พื้นที่ใช้สอยเริ่ม 150 - 213 ตร.ม.  ราคาเริ่มต้นเพียง 4.8 ล้านบาท  ใส่ใจในทุกรายละเอียดใช้ประโยชน์ได้ทุกพื้นที่  ตอบรับทุกความต้องการได้อย่างลงตัว พร้อมออกแบบเน้นการอนุรักษ์พลังงาน และสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการ อาทิ สวนส่วนกลาง ระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมกล้อง CCTV และระบบเข้า - ออกอัตโนมัติ Easy Pass โดดเด่นด้วยทำเลศักยภาพ พร้อมเติมเต็มความสบายในการใช้ชีวิต เชื่อมต่อถนนมอเตอร์เวย์ (By Pass) แวดล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกและสถานที่สำคัญ อาทิ โรงเรียนสารสาสน์วิเทศชลบุรี เซ็นทรัลชลบุรี โรงพยาบาลชลบุรี   สำหรับผู้ที่กำลังมองหาบ้านเดี่ยว 2 ชั้น พร้อมเติมเต็มความสบายในการใช้ชีวิต เชิญเลือกแปลงโดนใจในราคาพิเศษ ก่อนใครในงาน Pre-Sales 2 - 3 มิถุนายน นี้ พร้อมพบสิทธิพิเศษมากมาย ณ สำนักขายโครงการ โทร. 1720 หรือดูรายละเอียดได้ที่ www.supalai.com
แอสเซทไวส์ เปิดตัวคอนโด “แอทโมซ ลาดพร้าว 15”  บนทำเลศักยภาพ ใกล้รถไฟฟ้า 3 สาย ติดบิ๊กซี ลาดพร้าว

แอสเซทไวส์ เปิดตัวคอนโด “แอทโมซ ลาดพร้าว 15” บนทำเลศักยภาพ ใกล้รถไฟฟ้า 3 สาย ติดบิ๊กซี ลาดพร้าว

แอสเซทไวส์ เดินหน้าธุรกิจเปิด “แอทโมซ ลาดพร้าว 15” (Atmoz Ladprao 15) คอนโดมิเนียมบนทำเลถนนลาดพร้าว ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ผู้อยู่อาศัย สะดวกสบาย ใกล้ MRT ลาดพร้าวพร้อมส่วนกลางสุดอลังการ พิเศษด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ภายใต้แนวคิด “double FACILITY” สุข...จนไม่ได้พักผ่อน  บนพื้นที่โครงการขนาด 4-0-15.1 ไร่  มูลค่าโครงการ 1,300 ล้านบาท ในราคาเริ่มต้นเพียง 1.69 ล้านบาท   นายกรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด กล่าวว่า บริษัทฯ เล็งเห็นถึงศักยภาพของคอนโดในย่านลาดพร้าว ซึ่งมีคนที่เริ่มทำงาน เริ่มแยกครอบครัวออกจากครอบครัวใหญ่ที่อาศัยอยู่ในย่านลาดพร้าว จึงเปิดตัวโครงการแอทโมซ ลาดพร้าว 15 ซึ่งเป็นคอนโดที่เจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ ภายใต้แนวคิด “double FACILITY” โดยจุดเด่น คือ มีส่วนกลางขนาดใหญ่ถึง 3 ชั้น ทำกิจกรรมได้ไม่มีวันเบื่อ มีสระว่ายน้ำ 2 สระ ขนาดมาตรฐานที่ว่ายได้จริง พร้อม Aqua Bike, Serenity Courtyard, Co-Living Lounge, Boxing Corner, Game Room, Cinema Lounge, Party Zone เป็นต้น แถมยังสามารถชวนเพื่อนมา          Chat & Share ได้ไม่ซ้ำมุม     นายกรมเชษฐ์ เปิดเผยต่อไปว่า บริษัทฯ คาดว่า จะมียอดขายในช่วง 6 เดือนแรกประมาณ 1,600 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมองอีกว่า ศักยภาพของทำเลลาดพร้าว มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง เพราะทำเลห้าแยกลาดพร้าว-รัชดาภิเษก มีความครบถ้วนไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ มากมาย ตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต ทั้งศูนย์การค้าขนาดใหญ่ เซ็นทรัล ลาดพร้าว, ยูเนี่ยน มอลล์, บิ๊กซี, มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, ม.ราชภัฏจันทรเกษม อาคารสำนักงาน และแหล่ง Hang Out อีกจำนวนมาก เป็นปัจจัยสนับสนุนให้ทำเลนี้มีศักยภาพสูงมากขึ้น โดยตั้งใจพัฒนาโครงการให้ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ ด้วยดีไซน์สวย หรู และ Facility ที่รองรับกิจกรรมและการพักผ่อนมากมาย   นายรชฏ วรรณกนก กรรมการผู้จัดการ บริษัท DB Studio จำกัด สถาปนิกผู้ออกแบบโครงการแอทโมซ ลาดพร้าว 15 กล่าวเพิ่มเติมถึงแนวคิดในการออกแบบโครงการว่า จากโจทย์ที่ได้รับมาด้วยพื้นที่เป็นพื้นที่หน้ากว้าง จึงได้จัดวางอาคารโดยคำนึงถึงทิศทางลม จำนวนรวม 3 อาคาร 8 ชั้น ในลักษณะที่ทุกอาคารหายใจได้ คือมีความโปร่ง รับลม โดยล้อมรอบคอร์ทกลางซึ่งออกแบบเป็นพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่พร้อมสระว่ายน้ำ เพื่อให้เกิดทัศนียภาพที่ดีที่สุด ตัวอาคารมี Facilities ชั้นบนสุดเชื่อมถึงกัน  ทำให้ได้พื้นที่ส่วน Rooftop ขนาดใหญ่ที่มีความต่อเนื่อง สามารถจัดวางสระว่ายน้ำสระที่สอง รวมทั้งพื้นที่กิจกรรมอื่นๆ ได้  โดยเตรียมอาคารจอดรถอัตโนมัติไว้รองรับการใช้งาน     นายปสงค์จิต แก้วแดง กรรมการผู้จัดการ บริษัท Redland-Scape จำกัด สถาปนิกผู้ออกแบบภูมิ สถาปัตย์ของโครงการแอทโมซ ลาดพร้าว 15 เล่าว่า ในมุมมองของสถาปนิกเรื่องของการวาง Landscape ภายในโครงการทั้งหมดนั้น เนื่องจากทำเลย่านลาดพร้าวตอนต้น เป็นย่านกลางเมืองสำหรับคนรุ่นใหม่ที่มีวิถีชีวิตคนเมือง จึงกำหนดแนวคิดให้แอทโมซ ลาดพร้าว 15เป็น Urban Sanctuary และออกแบบให้ภูมิสถาปัตย์ของโครงการเป็นเสมือน Timeless Urban Forest ที่ซ่อน Double Facilities ไว้ภายใน  ทั้งในส่วนของสวนและสระว่ายน้ำในคอร์ทกลางติดกับล็อบบี้และไลบรารี่ และส่วนของชั้น 8 ที่มีฟังก์ชั่นของห้อง Passive & Active Fitness พร้อม Boxing Corner, Cinema Lounge, Game Room และ Co-Living Lounge & Pantry ทั้งยังมีสระว่ายน้ำบนชั้น Rooftop ที่มี Aqua Bike, Yoga Deck, และ Barefoot Garden ซึ่งเป็นแนวทางเดินเพื่อสุขภาพ งานออกแบบทั้งหมดเน้นงานดีไซน์ที่เรียบหรู ไร้กาลเวลา พร้อมด้วยความใส่ใจในการออกแบบ Softscape การคัดสรรพันธุ์ไม้และต้นไม้ที่เน้นต้นขนาดใหญ่ที่ดูดซับคาร์บอน  สร้างอากาศสดชื่นในทุกๆ วัน ทำให้ไม่รู้สึกว่าอยู่ใจกลางเมือง     นายสุรเชษฐ กองชีพ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยตลาด บริษัท ไรส์แลนด์ (ประเทศไทย) จำกัด เผยว่า ภาพรวมของตลาดคอนโดมิเนียมที่เปิดขายใหม่ในไตรมาสแรกปี 2561 มี 13,970 ยูนิต ซึ่งในพื้นที่ย่านลาดพร้าวตอนต้น ตั้งแต่ซอยลาดพร้าว 1-23 มีคอนโดมิเนียมเปิดขายใหม่ไม่มาก มีอัตรา Sold rate สูงอยู่ 81-94% บริเวณพื้นที่โดยรอบเป็นทำเลที่มีศักยภาพสูง และถึงแม้ว่าราคาขายเฉลี่ยจะปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง 6-7% ต่อปี แต่ด้วยปัจจัยในเรื่องความเป็นชุมชนดั้งเดิม พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก และรถไฟฟ้าสายใหม่ในอนาคตอีก 3สาย จึงทำให้โครงการที่เปิดใหม่ในย่านนี้จะได้รับผลตอบรับเป็นอย่างดี
“ออริจิ้น” ร่วมทุน “โนมูระ” ผุดมิกซ์ยูส ORIGIN24  พร้อมดึง BIG NAME นั่งแท่น CEO กลุ่ม RECURRING INCOME

“ออริจิ้น” ร่วมทุน “โนมูระ” ผุดมิกซ์ยูส ORIGIN24 พร้อมดึง BIG NAME นั่งแท่น CEO กลุ่ม RECURRING INCOME

“ออริจิ้น” เดินหน้าร่วมทุน “โนมูระ เรียลเอสเตท ดีเวลล็อปเมนท์” ยักษ์อสังหาฯญี่ปุ่นเพิ่ม ขายหุ้นบริษัทย่อย 49% ลุยมิกซ์ยูส “ออริจิ้น 24” มูลค่าโครงการกว่า 4,000 ล้านบาท พร้อมแต่งตั้ง “กมลวรรณ วิปุลากร” อดีตผู้บริหารสูงสุดกลุ่มธุรกิจโรงแรมชั้นนำของประเทศไทย เพื่อปั้นธุรกิจ RECURRING INCOME เป็น TOP 3 ในวงการ   นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ พาร์ค (PARK) ไนท์บริดจ์ (Knightsbridge) นอตติ้ง ฮิลล์ (Notting Hill) เคนซิงตัน (Kensington) และโครงการแนวราบแบรนด์ บริทาเนีย (Britania) เปิดเผยว่า บริษัทยังคงเดินหน้าสร้างความร่วมมือกับบริษัท โนมูระ เรียลเอสเตท ดีเวลล็อปเมนท์ จำกัด บริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ของญี่ปุ่นและพันธมิตรหลักของออริจิ้นอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด จะร่วมทุนกันในการพัฒนาโครงการมิกซ์ยูส “ออริจิ้น 24” ตรงข้ามโครงการพาร์ค 24 ในซอยสุขุมวิท 24 ทั้งนี้ ได้ให้ บริษัท ออริจิ้น วัน จำกัด บริษัทที่ดูแลธุรกิจที่สร้างรายได้หมุนเวียน (Recurring Income) ในเครือออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ดำเนินการขายหุ้นในบริษัทย่อยที่ดูแลโครงการมิกซ์ยูส ออริจิ้น 24 ให้แก่ บริษัท โนมูระ เรียลเอสเตท ดีเวลล็อปเมนท์ 49% คิดเป็นมูลค่าหุ้นที่ชำระแล้วรวมจำนวน 135,008,100 บาท ทั้งนี้บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) จะรับรู้กำไรพิเศษ (Share premium) สำหรับดีลนี้เป็นจำนวน 73,500,000 บาท “เราและโนมูระยังคงมีวิสัยทัศน์ร่วมกันในการส่งมอบความสุขและความสะดวกสบายในการใช้ชีวิตให้แก่ผู้บริโภค ผ่านการผสมผสานโนว์ฮาวของกันและกัน โครงการมิกซ์ยูส ออริจิ้น 24 จะเป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์คของการใช้ชีวิต ใจกลางสุขุมวิท” นายพีระพงศ์ กล่าว สำหรับโครงการออริจิ้น 24 เป็นโครงการมิกซ์ยูสแบบลีสโฮลด์ ตั้งอยู่ในซอยสุขุมวิท 24 ห่างจาก BTS พร้อมพงษ์ประมาณ 500 เมตร บนที่ดินขนาดประมาณ 3 ไร่ 2 งาน ประกอบด้วย 2 อาคาร โดยมีโรงแรมและเซอร์วิสอพาร์ตเมนท์หรูระดับ 5 ดาว รวม 411 ห้อง สำนักงานให้เช่าพื้นที่รวม 2,000 ตร.ม. คอมมูนิตี้มอลล์ พื้นที่รวม 3,200 ตร.ม. ภายในพื้นที่โครงการประกอบด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย อาทิ สระว่ายน้ำ ฟิตเนส สนามเด็กเล่น ห้องประชุม ฯลฯ รวมมูลค่าโครงการกว่า 4,000 ล้านบาท นายพีระพงศ์ กล่าวอีกว่า บริษัทได้แต่งตั้งกรรมการใหม่ของบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ทดแทนกรรมการที่ลาออกไป 1 ท่าน ได้แก่ นางกมลวรรณ วิปุลากร ทั้งนี้พร้อมพ่วงอีกตำแหน่งสำคัญคือ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น วัน จำกัด ผู้พัฒนาธุรกิจที่สร้างรายได้หมุนเวียน (Recurring Income) ในเครือออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ โดยนางกมลวรรณ วิปุลากร อดีตเคยเป็นผู้บริหารสูงสุดของกลุ่มธุรกิจโรงแรมชั้นนำของประเทศไทย ผู้มีประสบการณ์คร่ำหวอดในธุรกิจโรงแรมอย่างยาวนาน ถือเป็นมืออาชีพที่จะเข้ามาช่วยบริหารจัดการออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ให้เติบโตได้อย่างแข็งแกร่งยิ่งขึ้น โดยจะมีการแสดงวิสัยทัศน์และแผนธุรกิจเร็วๆ นี้   โดยปัจจุบัน บริษัท ออริจิ้น วัน จำกัด อยู่ในระหว่างการพัฒนาโครงการทั้งสิ้น 4 โครงการ ได้แก่  โรงแรม ฮอลิเดย์ อินน์ แอนด์ สวีทส์ ศรีราชา-แหลมฉบัง , โรงแรม สเตย์บริดจ์ สวีท แบงค็อก ทองหล่อ , โรงแรม สเตย์บริดจ์ สวีท ชลบุรี-ศรีราชา และ โครงการ ออริจิ้น 24 มูลค่าโครงการรวมทั้งสิ้นกว่า 10,000 ล้านบาท โดยปัจจุบันยังมีแผนผุดโครงการเพิ่มอีก 2-3 แห่ง เตรียมพร้อมแผนธุรกิจในการเติบโตขึ้นเป็น TOP 3 ครอบคลุมธุรกิจโรงแรม เซอร์วิสอพาร์ทเมนท์ สำนักงานเช่า และคอมมูนิตี้มอลล์
“ศุภาลัย ริวา แกรนด์” เตรียมจัดงาน GRAND OPENING เปิดให้ชมห้องตัวอย่าง มอบส่วนลดพิเศษสูงสุด 900,000 บาท* 2-3 มิ.ย.นี้

“ศุภาลัย ริวา แกรนด์” เตรียมจัดงาน GRAND OPENING เปิดให้ชมห้องตัวอย่าง มอบส่วนลดพิเศษสูงสุด 900,000 บาท* 2-3 มิ.ย.นี้

  บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) เตรียมจัดงาน GRAND OPENING “ศุภาลัย ริวา แกรนด์” วันที่ 2 - 3 มิถุนายนนี้ โดยภายในงานเปิดให้ลูกค้าที่สนใจได้จับจองเป็นเจ้าของโครงการคอนโดมิเนียมสไตล์รีสอร์ท ริมโค้งน้ำที่สวยที่สุดของแม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณพื้นที่อนุรักษ์บางกระเจ้า โดดเด่นด้วยทำเลศักยภาพ ติดถนนพระราม 3 ศูนย์กลางธุรกิจ เชื่อมสู่ถนนสายธุรกิจสำคัญ ทั้งถนนสาทร สีลม สุขุมวิท และสะพานภูมิพล (ถนนวงแหวนอุตสาหกรรม) พร้อมความสะดวกสบายที่สมบูรณ์แบบ ด้วยที่จอดรถกว่า 130% (ของจำนวนยูนิต) อีกทั้งมอบความอบอุ่น มั่นใจ ปลอดภัยตลอด 24 ชม. ด้วยระบบลิฟท์ล็อคชั้น Digital Door Lock กล้อง CCTV ระบบป้องกันอัคคีภัย Smoke & Heat Detector และ Fire Alarm นอกจากนี้ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน อาทิ สระว่ายน้ำระบบเกลือ Infinity Edge, Fitness & Boxing Room, Sauna & Steam, Kid’s Room, Broadway theatre, Roof Garden, Sky Lounge เป็นต้น     เปิดให้คุณเลือกสรรทุกความพึงพอใจ กับห้องพักอาศัย บนพื้นที่ใช้สอย  53.5 - 148.5 ตารางเมตร  ราคา 4.5 - 17 ล้านบาท  สิทธิพิเศษ! จองภายในงาน รับส่วนลดพิเศษสูงสุด 900,000 บาท* (*เฉพาะยูนิตที่บริษัทฯกำหนด)   ผู้สนใจสามารถเลือกห้องชุดในทำเลและมุมมองที่คุณพึงพอใจ ณ สำนักงานขายโครงการ สอบถามข้อมูลโทร.1720 หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ www.supalai.com
สิริ เวนเจอร์สชิงเกมอสังหาเดินหน้าลงทุนนวัตกรรม เน้นเพิ่มมูลค่าทางธุรกิจ  พร้อมเฟ้นหาสตาร์ทอัพศักยภาพสูง ทะยานสู่เวทีระดับโลก  ที่ศูนย์กลางนวัตกรรม Silicon Valley

สิริ เวนเจอร์สชิงเกมอสังหาเดินหน้าลงทุนนวัตกรรม เน้นเพิ่มมูลค่าทางธุรกิจ พร้อมเฟ้นหาสตาร์ทอัพศักยภาพสูง ทะยานสู่เวทีระดับโลก ที่ศูนย์กลางนวัตกรรม Silicon Valley

“สิริ เวนเจอร์ส” (SIRI VENTURES) บริษัทร่วมทุนระหว่างแสนสิริ และธนาคารไทยพาณิชย์เพื่อทำการวิจัยและลงทุนด้าน Prop Tech อย่างครบวงจรเต็มรูปแบบรายแรกของไทย ตอกย้ำพันธกิจองค์กรในการลงทุนในสตาร์ทอัพ และมุ่งพัฒนานวัตกรรมเพื่อการเติมเต็มการอยู่อาศัยอย่างสมบูรณ์แบบ “Complete Your Living Experience” พร้อมเป็นแหล่งสร้างรายได้ให้แสนสิริจากการเพิ่มขึ้นของมูลค่าธุรกิจในสตาร์ทอัพที่สิริ เวนเจอร์สลงทุน พร้อมเดินหน้าต่อเนื่องในฐานะ “Global Connecting Platform” แพล็ตฟอร์มเชื่อมโยงธุรกิจไทยสู่ระดับโลก เปิดเวทีเฟ้นหาสตาร์ทอัพด้าน Prop Tech ศักยภาพสูงของไทยในงาน TechSauce Global Summit 2018 เพื่อร่วมลงทุนในฐานะพันธมิตรทางธุรกิจ สร้างและขยายเครือข่ายธุรกิจอย่างไร้ขีดจำกัด รวมถึงโอกาสในการเสนอแผนธุรกิจกับนักลงทุนระดับโลกที่ Silicon Valley ศูนย์กลางการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมของโลก พร้อมดึงเครือข่ายสตาร์ทอัพระดับโลก Plug and Play มาร่วมเสริมสร้างโอกาสและการเติบโตให้กับนวัตกรรม Prop Tech ไทยอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนบนเวทีการแข่งขันระดับโลก   นายจิรพัฒน์ จันทร์เจิดศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่เทคโนโลยี (Chief Technology Officer) บริษัท สิริ เวนเจอร์ส จำกัด กล่าวว่า “ตามนโยบายล่าสุดของรัฐบาลเกี่ยวกกับการผลักดันให้ไทยเป็น Startup Hub ของภูมิภาคเอเชียด้วยแนวคิด Open Innovation Nation ซึ่งยังมีความท้าทายเกี่ยวกับการพัฒนาระบบนิเวศ ให้เอื้อต่อการเติบโตของสตาร์ทอัพ ที่ต้องอาศัยการสนับสนุนทุกภาคส่วน สิริ เวนเจอร์ ในฐานะผู้นำจากภาคเอกชนในการยกระดับอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ไทยผ่านเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัย จึงพร้อมเดินหน้าสนับสนุนแนวทางดังกล่าวโดยการผลักดันให้เกิดการพัฒนาด้าน Prop Tech ของไทย และเพื่อสนับสนุนพันธกิจหลักของแสนสิริในการมุ่งเติมเต็มประสบการณ์การใช้ชีวิต (Complete Your Living Experience) วันนี้ สิริ เวนเจอร์ส เปิดเวทีเฟ้นหาสตาร์ทอัพด้าน Prop Tech เป็นครั้งแรกเพื่อคัดเลือก 20 ทีมศักยภาพในงาน TechSauce Global Summit 2018 ที่สิริ เวนเจอร์สจะให้การสนับสนุนผู้ชนะเลิศหนึ่งเดียวในการเดินทางไปนำเสนอแผนธุรกิจกับนักลงทุนระดับโลกในไตรมาสที่ 4 ที่ Silicon Valley ซึ่งนับเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีที่สำคัญของโลกที่สามารถผลักดันให้นวัตกรรมที่มีศักยภาพนั้นต่อยอดได้อย่างไร้ขีดจำกัด พร้อมสานต่อความร่วมมือกับเครือข่ายสตาร์ทอัพระดับโลก Plug and Play หนึ่งในบริษัทร่วมทุน Ventures Capital ที่เติบโตมากที่สุดใน Silicon Valley และเป็นผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของหลากหลายบริษัท อาทิ เดนเจอร์, ดร็อพบ็อกซ์, เลนดิง คลับ, เพย์พาล, ซาวด์ฮาวด์ และซูสค์ ทั้งนี้เพื่อเชื่อมโยงแสนสิริ และสตาร์ทอัพกับนักลงทุนและองค์กรที่มีศักยภาพจากทั่วโลก รวมทั้งให้การสนับสนุนด้านคำแนะนำ ความรู้ และแบ่งปันประสบการณ์กับสตาร์ทอัพไทย นับเป็นการเปิดประตูเชื่อมโยงธุรกิจ Prop Tech ไทยสู่การแข่งขันในระดับโลก และเป็นอีกก้าวสำคัญในการเสริมสร้างระบบนิเวศของสตาร์ทอัพด้าน Prop Tech ที่แข็งแกร่งให้เกิดขึ้นในประเทศไทย”   “นอกจากเหนือจากทีมที่ชนะเลิศในเวที SIRI VENTURES ที่จะได้ไป Silicon Valley แล้วทีมสตาร์ทอัพที่ได้รับการคัดเลือกทั้ง 20 ทีมจะได้เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของ SIRI VENTURES Connection Platform ซึ่งทำหน้าที่เป็นกลไกสำคัญที่พร้อมผลักดันให้แนวคิดธุรกิจ Prop Tech เกิดขึ้นและเติบโตได้จริงอย่างรอบด้านในทุกขั้นตอน ทั้งการสนับสนุนด้านเงินทุน คำแนะนำและการเข้าร่วมเวิร์คช็อปจากผู้เชี่ยวชาญในธุรกิจสตาร์ทอัพด้าน Prop Tech ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ ตลอดจนโอกาสในการสร้างเครือข่ายทางธุรกิจทั้งในระดับประเทศและระดับโลก โดยแสนสิริพร้อมที่จะบ่มเพาะเพื่อมองหาโอกาสการลงทุนในสตาร์ทอัพ Prop Tech จำนวนประมาณ 5 ทีมจาก 20 ทีมสุดท้ายที่สามารถพัฒนานวัตกรรมที่ตอบโจทย์ธุรกิจของแสนสิริในการเติมเต็มประสบการณ์การอยู่อาศัยอย่างสมบูรณ์แบบ (Complete your living experience) หรือเป็นนวัตกรรมที่สิริ เวนเจอร์สมองเห็นโอกาสในการลงทุนจากศักยภาพในการสร้างมูลค่าเพิ่มทางธุรกิจในอนาคต”   สำหรับ SIRI VENTURES Global Connecting Platform เป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญเพื่อตอกย้ำเป้าหมายด้านการลงทุนในสตาร์ทอัพของสิริ เวนเจอร์ส ในการพัฒนานวัตกรรมที่ยกระดับการอยู่อาศัยอย่าง ครบวงจรของลูกบ้านแสนสิริ เพิ่มมูลค่าทางธุรกิจให้กับบริษัทสตาร์ทอัพที่ร่วมลงทุน พร้อมยกระดับกระบวนการทำงาน บริหารจัดการธุรกิจของแสนสิริ ครอบคลุมเทคโลยีสำหรับการทำธุรกิจด้านที่อยู่อาศัยอย่างครบวงจร (Holistic Property Technology Landscape) ตั้งแต่การบริหารระบบข้อมูลการออกแบบโครงการ การก่อสร้าง การสนับสนุนการซื้อขาย การบริหาร และให้บริการภายในโครงการ และเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ ๆ ที่สอดรับกับความต้องการที่หลากหลายของลูกค้า เทคโนโลยีเพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ในการอยู่อาศัยแบบองค์รวม ภายใต้การสนับสนุนจากสิริ เวนเจอร์ส นวัตกรรมจากทีมสตาร์ทอัพที่ผ่านการคัดเลือกจะนำมาทดสอบความเป็นไปได้ทางธุรกิจกับกลุ่มเป้าหมายของผู้ใช้งานจริง การสนับสนุนทั้งด้านการขายและการขยายตลาด ซึ่งไม่จำกัดเพียงเฉพาะลูกค้าของแสนสิริ แต่ยังมุ่งสร้างโอกาสในการเติบโตสู่กลุ่มลูกค้าอสังหาริมทรัยพ์รายอื่น ๆ ไปจนถึง ตลาดต่างประเทศเพื่อสร้างความก้าวหน้าทางธุรกิจอย่างยั่งยืน รวมทั้งร่วมกันผลักดันนวัตกรรมนั้น ให้ได้รับการจดสิทธิบัตรต่อไป     สำหรับสตาร์ทอัพรายล่าสุดที่สิริ เวนเจอร์สเข้าลงทุนคือ Semtive ผู้พัฒนาเทคโนโลยี Wind Turbineกังหันลมเพื่อเปลี่ยนพลังงานลมเป็นพลังงานไฟฟ้า โดยไม่จำเป็นต้องอาศัยกระแสลมแรงเหมือน Wind Farm และใช้ได้บนพื้นที่จำกัดในเมือง เช่น บนหลังคาบ้าน หรือคอนโดมิเนียม ด้วยเงินลงทุนกว่า 15 ล้านบาท ซึ่งเป็นการพัฒนาด้าน Living Tech นวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัยที่ช่วยประหยัดพลังงาน ปลอดภัย และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างเต็มรูปแบบ พร้อมระบบอัจฉริยะที่ช่วยให้ลูกบ้านควบคุมการ ใช้ไฟฟ้า และช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน และส่งเสริมให้เกิดการแบ่งปันการใช้พลังงานไฟฟ้าร่วมกันในชุมชน ซึ่งจะพร้อมใช้งานจริงในโครงการนำร่องของแสนสิริภายในไตรมาส 3 ปี 2561   สิริ เวนเจอร์ส จะเปิดรับสมัครทีมสตาร์ทอัพที่จะเข้าร่วม SIRI VENTURES Global Connection Platform บนเว็บไซต์ www.siriventurespitching.com ไปจนถึงวันที่ 18 มิถุนายน 2561 โดย สิริ เวนเจอร์สจะทำการคัดเลือกเหลือ 20 ทีมสตาร์ทอัพสุดท้ายที่มีศักยภาพเพื่อนำเสนอแผนธุรกิจในงาน TechSauce Global Summit 2018 ระหว่างวันที่ 22 – 23 มิถุนายน 2561 ที่โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ แอท เซ็นทรัล เวิลด์ ซึ่งในงานนี้ ยังมีช่วงเสวนาพิเศษเกี่ยวกับเทรนด์ Prop Tech ระดับโลกบนเวทีโดยวิทยากรจากสิริ เวนเจอร์ส, Plug and Play และ SOSA เกี่ยวกับแนวทางการสร้างความร่วมมือ กรณีตัวอย่างของความสำเร็จทางธุรกิจ และการนำเสนอนวัตกรรมเทคโนโลยีเพื่อการใช้ชีวิตจาก Siri LifeTech อาทิ SAN:DEE Delivery Bot หรือน้องแสนดี หุ่นยนต์ไฮเทคส่งของถึงหน้าห้องพัก, นวัตกรรม Wind Turbine กังหันลมผลิตกระแสไฟฟ้าในที่พักอาศัย, Home Service App พร้อมฟังค์ชั่นรองรับการสั่งงานด้วยเสียงภาษาไทย   ทั้งนี้ภารกิจเฟ้นหาสตาร์ทอัพศักยภาพสูงเพื่อเข้าร่วม SIRI VENTURES Connection Platform ครั้งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของแผนกลยุทธ์ 3 ปีของ สิริ เวนเจอร์ส ภายใต้งบประมาณทั้งสิ้น 1,500 ล้านบาท โดยจะเน้นการดำเนินงาน 3 ด้าน คือ การลงทุนในสตาร์ทอัพ ความร่วมมือในการผลักดันการสร้างระบบนิเวศสำหรับสตาร์ทอัพร่วมกับเครือข่ายสตาร์ทอัพจากหลากหลายสาขาทั่วโลก รวมถึงการพัฒนาต่อยอดนวัตกรรมสำหรับอสังหาริมทรัพย์และการอยู่อาศัยเพื่อมาร่วมพัฒนาต่อยอดให้เกิดได้จริงในด้านธุรกิจ โดยตั้งเป้าสร้างเครือข่ายกับผู้พัฒนานวัตกรรมใหม่ด้าน Prop Tech อย่างน้อย 200 รายภายในปี 2020  
โฮมโปร เดินหน้าจับทำเลทอง กรุงเทพตะวันออก  ผุด “HomePro S” สาขาบิ๊กซี บางนา รองรับที่อยู่อาศัย  และไลฟ์สไตล์ชีวิตคนเมืองแบบ Smart Life

โฮมโปร เดินหน้าจับทำเลทอง กรุงเทพตะวันออก ผุด “HomePro S” สาขาบิ๊กซี บางนา รองรับที่อยู่อาศัย และไลฟ์สไตล์ชีวิตคนเมืองแบบ Smart Life

โฮมโปร เดินหน้าแตกไลน์สโตร์รูปแบบใหม่ “HomePro S” Smart Select Service สาขาที่ 2 ของปี 2561 จับทำเลกรุงเทพตะวันออก เปิด “HomePro S สาขาบิ๊กซี บางนา ชั้น 2 ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ยุค 4.0 เดินทางสะดวก ช้อปสบาย กับสินค้าเรื่องบ้าน ที่ได้คัดสรรมาแล้ว ครบด้วยคุณภาพ ทั้งสินค้า และบริการ พร้อมสร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งออนไลน์ด้วย Click & Collect มิติใหม่ที่เชื่อมโยงประสบการณ์ การซื้อออนไลน์ที่สามารถเลือกวัน และสาขาที่รับด้วยตัวเองที่โฮมโปร ทุกสาขาทั่วประเทศ พร้อมโปรโมชั่นลดสูงสุดกว่า 60% พิเศษสุด เพียงวันเดียวเท่านั้น 18 พ.ค. 61 ลุ้นซื้อสินค้าสุดคุ้ม ลดสูงสุดกว่า 65% ตั้งเป้ากว่า 13 ล้านบาท นางสาวสิริวรรณ เสริมชีพ ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายการตลาด บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ “โฮมโปร” เปิดเผยว่า โฮมโปร ได้มีการขยายธุรกิจในรูปแบบใหม่ เพื่อตอบรับกับความต้องการซื้อของกลุ่มลูกค้าที่ชอบความสะดวกสบาย และซื้อสินค้าเกี่ยวกับบ้านได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าเพื่อซ่อมแซม ต่อเติม ตกแต่งบ้าน อุปกรณ์จัดเก็บ และ DIY จึงได้เกิด “HomePro S” สโตร์รูปแบบใหม่ของ “โฮมโปร” ชูจุดเด่น 3S ตอบโจทย์ทุกความต้องการทั้ง “SMART” สะดวก ช้อปง่าย สบาย ใกล้บ้าน เพราะตั้งอยู่ภายในศูนย์การค้าใกล้บ้าน “SELECT” คัดสรรสินค้า ที่ตรงกับความต้องการของลูกค้าในการปรับปรุง ซ่อมแซม ดูแลรักษา “SERVICE” ครบครันทุกบริการเพื่อคนรักบ้าน เหมือนสโตร์ใหญ่     สำหรับ “HomePro S” สาขาบิ๊กซี บางนา เปิดเป็นสาขาที่ 2 ของปี 2561 สาขาแรกที่ “The Paseo Park” กาญจนาภิเษก ซึ่ง HomePro S เปิดดำเนินการในปี 2559 เป็นปีแรก โดยให้บริการ 2 สาขา ได้แก่ สาขาเทอร์มินอล 21 โคราช สาขา พาซิโอ ลาดกระบัง และในปี 2560 อีก 1 สาขา ได้แก่ ศูนย์การค้าเกตเวย์ เอกมัย และจะขยายสาขาอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี เพื่อรองรับความสะดวกสบายให้กับกลุ่มลูกค้า ที่ซื้อสินค้าเกี่ยวกับบ้านได้ง่ายขึ้น Home Pro S “บิ๊กซี บางนา” ตั้งอยู่บริเวณ ชั้น 2 ซึ่งจะเป็นแหล่งช้อปปิ้งเรื่องบ้านที่ทันสมัยที่สุดของกรุงเทพตะวันออก เป็นอีกหนึ่งทำเลทอง ทั้งเรื่องของการเดินทาง ศูนย์รวมแหล่งงาน ที่อยู่อาศัย และความเจริญ เนื่องจากเป็นช่วงการขยายตัวของเมืองจากใจกลางกรุงเทพฯ มาสู่ทำเลรอบนอกอย่างแท้จริง ซึ่งจะสามารถเพิ่มโอกาสในการสร้างฐานลูกค้าใหม่ที่มีกำลังซื้อ และตอบโจทย์เรื่องความสะดวกสบายในการเลือกซื้อสินค้าและบริการเกี่ยวกับบ้านที่คัดสรรมาเป็นอย่างดีเหมาะกับ ไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคยุค 4.0 โดยเพิ่มช่องทางการช้อปให้สะดวกสบายมากขึ้น เพื่อให้ลูกค้าได้เข้าถึงสินค้า และบริการได้ทุกช่องทาง สร้างประสบการณ์ใหม่ในการช้อปออนไลน์รูปแบบใหม่ที่เรียกว่า Click & Collect ซื้อสินค้าผ่านทางออนไลน์ ลูกค้าสามารถกำหนดช่วงเวลารับสินค้า โดยสามารถรับสินค้าได้ที่โฮมโปร ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือจัดส่งให้แบบ Deliveryนอกจากความพิเศษของสโตร์รูปแบบใหม่แล้ว “HomePro S” บิ๊กซี บางนา ยังขนโปรโมชั่นดีๆ อีกมากมายเพื่อมาฉลองการเปิดสาขาใหม่     HomePro S สาขา บิ๊กซี บางนา ศูนย์รวมความสุขสไตล์ใหม่ สะดวกสบาย ใกล้คุณ พร้อมเปิดประสบการณ์การช้อป และโปรโมชั่นสุดพิเศษ ได้ตั้งแต่ 18 พ.ค. – 4 ก.ค. 61 พร้อมเปิดบริการทุกวัน 10.00 - 22.00 น โทร 02-080-5650 หรือ. สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ Call Center หมายเลข 1284 และ www.homepro.co.th FB : homeprothailand นางสาวสิริวรรณ เสริมชีพ กล่าวปิดท้าย
เจ.เอส.พี. เปิดศักราชใหม่ มุ่งดันกำไรสุทธิปี 61 พุ่งทะลุเป้า 15%  พร้อมเผยแผนยุทธศาสตร์ ประกาศบุกตลาดแนวราบเต็มสูบ

เจ.เอส.พี. เปิดศักราชใหม่ มุ่งดันกำไรสุทธิปี 61 พุ่งทะลุเป้า 15% พร้อมเผยแผนยุทธศาสตร์ ประกาศบุกตลาดแนวราบเต็มสูบ

  บมจ. เจ.เอส.พี. พร็อพเพอร์ตี้ สยายปีกความสำเร็จ หลังกวาดรายได้ไตรมาสแรกปี 2561 ทะลุเป้า 1,044,718 ล้านบาท ก่อนเปิดศักราชใหม่ ดึงผู้บริหารมืออาชีพเสริมทัพความแข็งแกร่ง ร่วมเดินหน้าปั้นกำไรสุทธิรวมทั้งปีโตเพิ่ม 15% พร้อมกางแผนยุทธศาสตร์ ประกาศบุกตลาดแนวราบเต็มสูบ   นายไพโรจน์ วัฒนวโรดม กรรมการผู้จัดการ บริษัท เจ.เอส.พี. พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าจากความ สำเร็จที่ผ่านมาในปี 2559-2560 บริษัทฯ ได้ทำการเปิดโครงการไปแล้วกว่า 25โครงการ และมียอดขายโตสูงขึ้นตาม ลำดับ โดยเฉพาะในปี 2560 บริษัทฯ สามารถทำยอดรายได้รวมถึง 4,521 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 3,327 ล้านบาท ซึ่งรายได้เพิ่มขึ้นมาถึง 35% จากปีก่อน ส่งผลให้พุ่งทะยานขึ้นติดท็อป 10 ของแบรนด์อสังหาริมทรัพย์ไทย ในกลุ่มสินค้าราคาต่ำกว่า 5 ล้านบาท อีกทั้งในส่วนของไตรมาสแรกในปี 2561 สามารถปรับอันดับขึ้นมาเป็นอันดับ 6 ของแบรนด์อสังหาริมทรัพย์ไทยในกลุ่มสินค้าราคาต่ำกว่า 5 ล้านบาท   “ล่าสุดในช่วงต้นปีที่ผ่านมาบริษัทฯ มีการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ โดยมีการเปลี่ยนผู้ถือหุ้นรายใหม่เข้ามาบริหาร ได้แก่ นายลิขิต ลือสกุลกิจไพศาล เข้ามาดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ผู้มีความเชี่ยวชาญในด้านการบริหารงานและการระดมทุน พร้อมกับมีวิสัยทัศน์ใหม่ในการขับเคลื่อนองค์กร เจ.เอส.พี. ให้เกิดความชัดเจนมากยิ่งขึ้น โดยกำหนดเป้าระยะสั้น คือในปีแรกจะเป็นการปรับฐานให้มีความแข็งแรง มั่นคง และมีสภาพคล่องทางการเงินมากขึ้น อีกทั้งตั้งเป้าภายใน 3 ปีจะสร้างอัตราการเติบโตให้กับบริษัทฯ ไม่ต่ำกว่า 25% และเน้นพัฒนาอสังหาฯ แนวราบเป็นหลัก ภายใต้หลักการดำเนินงาน 3 ทิศทาง ได้แก่ สร้างทรัพย์  ซื้อขายทรัพย์ และพัฒนาทรัพย์” นายไพโรจน์ กล่าว   บริษัทฯ เดินหน้ารักษาความสำเร็จต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา ซึ่งในปี 2561 นี้จะเป็นปีของการ Keep Fighting กับ    แบรนด์ยักษ์ใหญ่ที่ลงมาชิงดำตลาดอสังหาฯ ที่ราคาต่ำกว่า 5 ล้านบาท โดยสร้างรากฐานความเติบโตแบบยั่งยืน เน้นอัตราการเติบโตของกำไรสุทธิ (Net Profit Growth) เพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะทำการปรับสัดส่วนการดำเนินงานและสร้างรายได้จาก 2 กลุ่มธุรกิจหลัก คือ ธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อขาย จะทำการปรับจีพี (GP) มากขึ้น ส่วนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์หรือธุรกิจให้เช่า มีการลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นเพื่อสร้างกำไรสุทธิให้เป็นบวก   นอกจากนี้ ยังมีการดึงผู้บริหารระดับมืออาชีพที่มีความเชี่ยวชาญด้านการบริหารโครงสร้างการเงินและการบริหารตลาดธุรกิจให้เช่า ได้แก่ นายสมชาย วรุณพันธุลักษณ์ ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ ซึ่งเข้ามาช่วยดูแลในส่วนการดำเนินงาน และการจัดโครงสร้างการเงินของบริษัทฯ เพื่อให้เกิดกำไรสุทธิ ลดการด้อยค่าในสัดส่วนธุรกิจพื้นที่ให้เช่าให้กลับเป็นบวก พร้อมปักธงรายได้รวมสิ้นปีทะยานเพิ่ม 4,700 ล้านบาท   สำหรับกลยุทธ์การดำเนินงาน บริษัทฯ ได้กำหนดแนวทางเป็น 4 มิติ ได้แก่ ด้านการเงิน จะดำเนินการใน 3 ขั้นตอน คือ การเปลี่ยนแปลงแหล่งเงินกู้ระยะสั้นให้เป็นระยะยาว ซึ่งที่ผ่านมา เจ.เอส.พี. ได้ทำการชำระหนี้ จำนวน 2,500 ล้านบาท จากหุ้นกู้จำนวน 1,100 ล้านบาท และตั๋วแลกเงินระยะสั้น Bill of Exchange (B/E) จำนวน 1,400 ล้านบาท เป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงทำให้สถาบันการเงินพร้อมสนับสนุนสินเชื่อในการพัฒนาโครงการ ในขณะเดียวกันบริษัทฯ เตรียมจัดหาต้นทุนทางการเงินให้ต่ำลง โดยในปีหน้าเตรียมออกหุ้นกู้ใหม่ที่มีอายุ 2-3 ปี ซึ่งวางแผนจะทำการออกหุ้นกู้ในไตรมาสที่ 3จำนวน 1,000  ล้านบาท จึงทำให้เป็นการปรับโครงสร้างหนี้ให้สอดคล้องกับการพัฒนาโครงการที่บริษัทฯ มีกับสถาบันการเงิน    อีกทั้งบริษัทฯ ยังมีแผนสำหรับการขายทรัพย์สินบางส่วนที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ โดยจัดตั้งบริษัท เจ.เอส.พี. พร็อพเพอร์ตี้ แมเนจเมนท์ จำกัด (JPM) เข้ามาดูแลบริหารที่ดินในส่วนของพื้นที่เปล่าและพื้นที่ให้เช่า มุ่งเน้นการตลาดพื้นที่เช่าให้เป็นที่รู้จัก และพัฒนาตลาดให้เหมาะกับเทรนด์ไลฟ์สไตล์ (Trend Lifestyle) แต่อย่างไรก็ดี แนวทางการขายทรัพย์สินพื้นที่ธุรกิจให้เช่า บริษัทฯ ยังคงชะลอการดำเนินการ เพื่อเป็นโอกาสทางธุรกิจในการเปิดรับข้อเสนอจากนักลงทุนหรือผู้สนใจติดต่อเข้ามา ซึ่งในขณะนี้ก็มีนักลงทุนชาวต่างชาติที่ให้ความสนใจ   นายไพโรจน์ กล่าวเพิ่มเติมถึงแนวทางการดำเนินงานว่า ปีนี้บริษัทฯ เน้นการพัฒนาโครงการแนวราบเป็นหลัก โดยจะทำการปรับเพิ่มราคาสินค้าขั้นต้น 5-10% และลดต้นทุนค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นในการบริหารงาน ซึ่งเน้นทำตลาดแบบออนไลน์เป็นหลัก ทำการปรับการสร้างสต็อกสินค้าให้สมดุลกับยอดการขายในแต่ละเดือน ขณะเดียวกันปีนี้บริษัทฯ จะรับรู้รายได้ของคอนโด 2 โครงการ คือ โครงการเจ คอนโด สาทร - กัลปพฤกษ์ จำนวน 500 ล้านบาท และโครงการเจ คอนโด พระราม 2 จำนวน 206 ล้านบาท และจะชะลอการพัฒนาโครงการแนวดิ่ง โดยมุ่งพัฒนาและให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงการแนวราบเป็นหลัก แต่ยังคงจับตาภาพรวมเศรษฐกิจภายในระหว่าง 3-5 ปีนี้ หากมีความเสถียรแล้วก็จะกลับมาลงทุนเพิ่ม   ส่วนแนวทางในการพัฒนาสินค้าของปีนี้ บริษัทฯ จะทำการปรับโฉมโปรดักส์ใหม่ จับกลุ่มเซ็กเม้นต์ระดับพรีเมียม เพื่อเพิ่มจีพีให้สะท้อนกำไรสุทธิมากขึ้น โดยเน้นโครงการบ้านเดี่ยว - บ้านแฝด กลุ่มราคา 3-5 ล้านบาท เพิ่มอีก 4 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 1,116 ล้านบาท ในสัดส่วน 43% ได้แก่ โครงการเจซิตี้ ติวานนท์ - บางกะดี โครงการบ้านเดี่ยว -บ้านแฝด มูลค่า 316 ล้านบาท และโครงการเจ วิลล่า รัตนาธิเบศร์ - บางบัวทอง โครงการบ้านแฝด มูลค่าโครงการ 800 ล้านบาท ขณะเดียวกันก็เปิดโครงการอาคารพาณิชย์อีก 2 ทำเล ทั้งบนทำเลบางใหญ่และบางบัวทอง มูลค่าโครงการรวม 270 ล้านบาท ได้แก่ โครงการ เจบิซ วงแหวน - บางใหญ่ มูลค่า 200 ล้านบาท โครงการเจซิตี้ รัตนาธิเบศร์ - บางบัวทอง มูลค่า 70 ล้านบาท และเปิดโครงการใหม่ เป็นทาวน์โฮมเพิ่มอีก 1 ทำเลในโซนบางบัวทอง คือ โครงการเจ อเวนิว รัตนาธิเบศร์ - บางบัวทอง มูลค่า 100 ล้านบาท   ส่วนในต่างจังหวัดทางบริษัทฯ มีความสนใจในการพัฒนาอสังหาฯ ในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เตรียมเปิดโครงการทาวน์โฮม 2 ทำเล ในโซนบางปะกง - บ้านโพธิ์ คือ โครงการเจ ทาวน์ เอ็กซ์คลูซีฟ ที่เป็นทาวน์เฮ้าส์ มูลค่าโครงการ 107 ล้านบาท รวมทั้งบริษัทฯ ลงทุนซื้อที่ดินใหม่เพื่อพัฒนาโครงการเจซิตี้ บางพระ - ฉะเชิงเทรา ในอำเภอเมือง จังหวัดฉะเชิงเทรา อีกจำนวน 860ล้านบาท พร้อมกันนี้ในช่วงปลายปีเตรียมเปิดอาคารพาณิชย์ที่โครงการเจซิตี้   ศรีราชา - อัสสัมชัญ มูลค่าโครงการ 100 ล้านบาท   อย่างไรก็ตามจากนโยบายของผู้ถือหุ้นรายใหม่ที่เข้ามา พร้อมกับแผนกลยุทธ์ของบริษัทฯ ที่ตั้งไว้ในปีนี้ จะทำให้ บริษัทฯ เกิดการรับรู้รายได้ใน 2 ทาง ทั้งกลุ่มธุรกิจอสังหาฯ และพื้นที่ให้เช่า จึงถือเป็นปีแห่งการเก็บเกี่ยวรายได้ของ เจ.เอส.พี. ซึ่งมั่นใจว่ายอดขายจะโตทะลุเป้าที่ตั้งไว้ และสามารถก้าวติดท็อป 5 แบรนด์อสังหาฯ ของโครงการแนวราบในกลุ่มสินค้าราคา 3-5 ล้านบาท ที่ทำรายได้สูงสุดของประเทศได้อย่างแน่นอน และทั้งหมดนี้จะเป็นการสร้างการเติบโตแบบก้าวกระโดดในศักราชใหม่ของผู้ถือหุ้นรายใหม่ พร้อมผู้บริหารมืออาชีพคนใหม่ที่จะเข้ามาร่วมทัพในการสร้างความมั่นคงของ เจ.เอส.พี. เพื่อก้าวต่อไปในอนาคต นายไพโรจน์ กล่าวสรุป
‘พีอาร์เอ อะคาเดมี’ จัดงานมหกรรมการลงทุน-อสังหาฯ ครั้งแรก เดินหน้ายกระดับสถาบันเทียบเท่าคุณวุฒิวิชาชีพระดับสากล

‘พีอาร์เอ อะคาเดมี’ จัดงานมหกรรมการลงทุน-อสังหาฯ ครั้งแรก เดินหน้ายกระดับสถาบันเทียบเท่าคุณวุฒิวิชาชีพระดับสากล

  พีอาร์เอ อะคาเดมี สถาบันสอนการลงทุนอสังหาฯ ทุกรูปแบบ ชี้ทิศทางการลงทุนอสังหาฯ ดี มีโอกาสหลากหลาย เดินเกมส์รุกเพิ่มนักลงทุนคุณภาพ ตอบสนองทุกโอกาสการลงทุน เผยยอดคนสนใจต่อยอดเงินและบริหารการลงทุนอสังหาฯ เพิ่มขึ้น ตั้งเป้าเป็นสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ สาขาบริหารโครงการ และเป็นสถาบันระดับสากล เตรียมจัดงาน Money Property Expo 2018 งานที่รวมแหล่งทรัพย์ดี ทำเลเด่น ราคาถูก และสินเชื่อที่อยู่อาศัยโปรโมชั่นร้อนแรงที่สุดแห่งปี พร้อมการลงทุนครบทุกรูปแบบ มาไว้ในงานเดียว ระหว่าง 24 – 30 พฤษภาคม 2561 ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา   นางสุดา ประกฤติพงศ์ ประธานกรรมการบริหาร พีอาร์เอ อะคาเดมี (P.R.A. Academy) สถาบันสอนการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ครบทุกรูปแบบ เปิดเผยว่า ตลอดระยะเวลากว่า 2 ปี นับตั้งแต่ พีอาร์เอ อะคาเดมี ก่อตั้งขึ้น ได้พัฒนาองค์กรมาอย่างต่อเนื่องด้วยเจตนารมณ์ที่มุ่งหวังในการพัฒนาศักยภาพนักลงทุนอสังหาริมทรัพย์ไทยก้าวไกลสู่ระดับสากล ปัจจุบัน พีอาร์เอ อะคาเดมี ได้พัฒนาหลักสูตรเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ และรวบรวมวิทยากรที่มีองค์ความรู้ ความเชี่ยวชาญ ประสบความสำเร็จและมีชื่อเสียงในวงการอสังหาริมทรัพย์ในแต่ละด้าน มากที่สุดแห่งเดียวในประเทศไทย เน้นการเรียนรู้ให้ทำได้จริง ประสบความสำร็จจริง เพื่อสร้างสรรค์และพัฒนาความรู้ด้านอสังหาริมทรัพย์อย่างเต็มรูปและแบบครบวงจร อาทิ การลงทุนที่ดิน, คอนโด, โกดัง,ตึกแถว, พื้นที่ให้เช่า, โฮสเทล บูทีคโฮเทล, การประมูล, ธุรกิจขายฝาก, กฎหมายอสังหาริมทรัพย์และภาษี การพัฒนาโครงการและพัฒนาเป็นนักอสังหาริมทรัพย์ในระดับสากล เป็นต้น   ทั้งนี้ พีอาร์เอ อะคาเดมี ตั้งเป้าหมายภายในปีนื้เราพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอนให้ผู้เรียนมีวิสัยทัศน์กว้างไกล เน้นการพัฒนาศักยภาพให้มีความชำนาญ พร้อมเป็นสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ สาขาบริหารธุรกิจ และเป็นศูนย์กลางประสานความร่วมมือระหว่างผู้ประกอบการ ภาครัฐ และภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง เพื่อพัฒนาให้เป็นสังคมนักอสังหาริมทรัพย์ที่มีคุณภาพในระดับสากล   ภาพรวมการลงทุนอสังหาฯ นางสุดา กล่าวว่า มีการเติบโตทุกปี สะท้อนจากสถิตินักลงทุนที่เข้ามาเรียนกับพีอาร์เอ อะคาเดมี ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดแตะ 5,000 คน โดยคาดว่าภายในสิ้นปีนี้จะแตะ8,000 คน เติบโตกว่า 20% จากปีที่ผ่านมา เพราะอสังหาฯ มีสินทรัพย์ที่ให้เลือกลงทุนที่หลากหลายและให้ผลตอบแทนที่ดี ส่วนประเภทของนักลงทุนที่มาเรียน แบ่งเป็น ผู้ประกอบการรายกลางและรายย่อย 40% มนุษย์เงินเดือน 30% บุคคลทั่วไป 30%   นายปิยะพงศ์ จันทร์ภาโส หรือโค้ชเต้ วิทยากรและนักลงทุนอสังหาฯ พีอาร์เอ อะคาเดมี กล่าวว่า มองการเติบโตของตลาดอสังหาฯ จะได้รับผลบวกโดยตรงจากนโยบายภาครัฐที่คืบหน้าอย่างมากในปี 2561 ทั้งเรื่องศูนย์กลางการคมนาคมของอาเซียน และโครงการระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก (EEC) ที่ได้รับการตอบรับจากนักลงทุนจีนและญี่ปุ่น ในพื้นที่นำร่อง 3 จังหวัด คือ ระยอง ชลบุรี และฉะเชิงเทรา โดยคาดว่าราคาที่ดินอีอีซี จะปรับเพิ่มขึ้น เฉลี่ย 30-50 % และมีผลทำให้ราคาอสังหาฯ มือหนึ่งปรับเพิ่มขึ้น กว่า 20-30 %   นายธานี โทเจริญ หรือโค้ชโดโด้ กล่าวเสริมว่า อีอีซี นับเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้บรรยากาศการลงทุนอสังหาฯ กลับมาคึกคักมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะนักลงทุนต่างชาติ สะท้อนจากการกว้านซื้อคอนโดในเขตพื้นที่ อีซีซี และพัทยาของนักลงทุนชาวจีน เพราะพ.ร.บ. อีซีซี เปิดช่องให้ต่างชาติเช่าที่ดินได้ถึง 99 ปี คาดว่านักท่องเที่ยวในอีซีซี ใน 4 ปีเพิ่มเป็น 46.7 ล้านคน จาก 29.8 ล้านคนในปัจจุบัน เพิ่มถึง 36.1% และมีรายได้มากกว่า 508,590 ล้านบาทจากเดิมเพียง 285,572 ล้านบาท จึงเป็นโอกาสของนักลงทุนอสังหาฯ ไทย ที่จะขายสินทรัพย์ในราคาที่ดีขึ้นจากความต้องการที่สูงขึ้น   นายโชติรัตน์ อภิวัฒนาพงศ์ หรือโค้ชเต็ม กล่าวปิดท้ายว่า นอกเหนือจากสินทรัพย์เดิม อาทิ บ้าน คอนโด มือหนึ่งและมือสอง ที่ได้รับความนิยมแล้ว มองว่าสินทรัพย์ทางเลือกที่น่าจะได้รับผลบวกจากอีอีซี คือธุรกิจบริการที่พัก (โฮเทลและบูทีคโฮเทล) โดยเฉพาะเขตกรุงเทพที่ใกล้แนวรถไฟฟ้า ในเมืองท่องเที่ยวต่างๆทั้งเมืองหลักและเมืองรองมีการเพิ่มขึ้นของธุรกิจดังกล่าวเป็นอย่างมาก เนื่องจากไทยเป็นศูนย์กลางทางการบินและการคมนาคมที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน ยอดนักท่องเที่ยวจากประเทศต่างๆจึงเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมากเช่นกัน   อย่างไรก็ดี พีอาร์เอ อะคาเดมี เตรียมจัดงาน Money Property Expo 2018 ภายในงานจะได้พบกับเสวนาพิเศษจากวิทยากรด้านการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และการเงิน นักพัฒนาโครงการชื่อดังจะมาให้มุมมองนักลงทุนต่างชาติและตลาดอสังหาฯครึ่งปีหลัง 2018 รวมอสังหาริมทรัพย์ และสินทรัพย์ทางการเงิน ที่น่าลงทุนกว่า 100 รายการ มูลค่ากว่า 1,000 ล้านบาท พร้อมโปรโมชั่นสุดพิเศษงานนี้งานเดียว จัดขึ้นระหว่าง 24 – 30 พฤษภาคม 2561 เวลา 10.30 – 21.00 น. ณ ชั้น 1 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว โดยคาดว่าจะมีผู้เข้าชมงานจำนวนมาก สามารถลงทะเบียนเข้าชมงานล่วงหน้า www.pra.co.th
เซนต์เอ็ดเวิร์ด เปิดโครงการใหม่ติดริมแม่น้ำ  ใจกลางศูนย์รวมประวัติศาสตร์ย่านเวสต์มินสเตอร์

เซนต์เอ็ดเวิร์ด เปิดโครงการใหม่ติดริมแม่น้ำ ใจกลางศูนย์รวมประวัติศาสตร์ย่านเวสต์มินสเตอร์

  ในวันเสาร์ที่ 2 มิถุนายน ที่จะถึงนึ้บริษัทอสังหาฯชั้นนำ เซนต์ เอ็ดเวิร์ด ภูมิใจเสนอการเปิดตัวโครงการสุดหรู บนถนน ไนน์ มิลล์แบงค์ (9 Millbank) ซึ่งเป็นโครงการที่โดดเด่นตระการตาติดกับ ริมแม่น้ำเทมส์ ใจกลางเมืองประวัติศาสตร์ย่านเวสต์มินสเตอร์ของกรุงลอนดอน   โครงการใหม่ล่าสุด 9 มิลล์แบงค์นี้ รายล้อมไปด้วยแลนด์มาร์คชื่อดังในกรุงลอนดอน ไม่ว่าจะเป็นรัฐสภา หอนาฬิกาบิกเบน และถนนเวสต์มินสเตอร์ ซึ่งถือเป็นโอกาศพิเศษเป็นอย่างยิ่งที่จะได้ครอบครองที่อยู่บนทำเลทองแห่งกรุงลอนดอน ทีเป็นจุดศูนย์รวมของสถาปัตยกรรม ความสุนทรีย์ ที่หรูหรา และมีสไตล์ ในแบบอังกฤษที่แท้จริง   สำหรับ มิลล์แบงค์ ควอเตอร์ เป็นเฟสแรกของโครงการ ไนน์ มิลล์แบงค์ด้วยดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์เพื่อเติมเต็มแหล่งความสำคัญทางประวัติศาสตร์ที่รายล้อมไปด้วยสถาปัตยกรรมท้องถิ่น โครงการพัฒนาอาคารอันโดดเด่นนี้ได้รับการออกแบบโดยนักออกแบบชื่อดังอย่าง Goddard Littlefair ซึ่งผสมผสานการตกแต่งภายในด้วยสไตล์สุดคลาสสิก แต่ยังคงความร่วมสมัยได้อย่างลงตัว พร้อมมอบภูมิทัศน์ส่วนตัวด้วยลานสนามภายในอาคารที่เต็มไปด้วยพื้นที่สีเขียวและพื้นที่นั่งเล่นเพื่อการพักผ่อนที่เงียบสงบและมีความเป็นส่วนตัวสำหรับผู้พักอาศัย   มิลล์แบงค์ ควอเตอร์ เป็นอาคารที่ก่อสร้างขึ้นด้วยไลม์สโตนและหินแกรนิต โดยเป็นการออกแบบภายนอกอาคารที่สะท้อนถึงความสมดุลกับพื้นที่ลานกว้างอันร่วมสมัยภายในอาคาร และยังคงความสวยงามตามแบบฉบับอังกฤษและผสมผสานกับอาคารรอบ ๆในพื้นที่บริเวณได้อย่างลงตัว   ความงดงามของการตกแต่งดีไซน์ที่โดดเด่นและร่วมสมัยของ มิลล์แบงค์ ควอเตอร์ ได้สะท้อนออกมาผ่านสิ่งก่อสร้างด้านนอก ด้วยการใช้ไลม์สโตนและหินแกรนิต ส่วนภายในออกแบบด้วยพื้นกระเบื้องและเหล็กดัดเคลือบทองเหลือง ทั้งยังมีหินที่มีคุณสมบัติในการดึงแสง ช่วยเพิ่มรายละเอียดของสถาปัตยกรรมให้เห็นได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น   ทันทีที่ผู้เข้าพักมาถึง จะก้าวเข้าสู่ล้อบบี้อันทันสมัยและหรูราด้วยสไตล์การออกแบบในยุคอาร์ท เดกโค (Art Deco) ท่านจะได้รับการต้อนรับจากเจ้าหน้าที่เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับท่าน     มิลล์แบงค์ ควอเตอร์ ได้รับการออกแบบมาเพื่อเป็นต้นแบบแห่งการดีไซน์ด้วยวัสดุอันยอดเยี่ยม ในโทนสีธรรมชาติที่โดดเด่นและลงตัว เพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตร่วมสมัย ทั้งยังมีหน้าต่างบานใหญ่และห้องนั่งเล่นที่เปิดโล่งโปร่งสบาย พร้อมห้องครัวและห้องรับประทานอาหาร ซึ่งได้รับการออกแบบเพื่ออำนวยความสะดวกสบายแก่ผู้เข้าพัก   ห้องนอนในโทนสีอ่อนนุ่มให้อารมณ์สัมผัสถึงความเป็นธรรมชาติ ด้วยการออกแบบเพดานสูงและห้องที่กว้างขวาง เสริมด้วยห้องน้ำในตัวและตู้เสื้อผ้าแบบ walk-in ทำให้ห้องนอนกลายเป็นสวรรค์สำหรับการพักผ่อนและผ่อนคลาย   ทั้งนี้ผู้ก่อตั้ง ไนน์ มิลล์แบงค์ยังสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย ทั้ง สระว่ายน้ำ สปา ยิม และ โรงหนังส่วนตัว รวมทั้งพนักงานต้อนรับที่คอยอำนวยความสะดวกให้กับผู้เข้าพัก 24 ชั่วโมง พร้อมด้วย ห้องประชุมที่รวมห้องครัวในตัวสำหรับผู้พักอาศัยที่ต้องการจัดงานหรือใช้งานส่วนตัว และยังมีที่จอดรถใต้อาคารเพื่อรองรับผู้พักอาศัยอีกด้วย   พอล วอลโลน รองประธานคณะกรรมการบริหารเซนต์เอ็ดเวิร์ด กล่าวว่า “ไนน์ มิลล์แบงค์จะเป็นที่กล่าวขานกันมากที่สุดในลอนดอน ด้วยโลเคชั่นและการตกแต่งที่ผสมผสานด้วยสถาปัตยากรรมร่วมสมัยและคลาสสิกเข้าด้วยกัน ทำให้โครงการ ไนน์ มิลล์แบงค์เต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งประวัติศาสตร์ราชวงศ์อังกฤษ”     "ด้วยสถานที่ที่รายล้อมไปด้วยแลนด์มาร์คชื่อดังไม่ว่าจะเป็นรัฐสภาหรือถนนหลักอย่างเวสต์มินสเตอร์ ล้วนแต่สามารถเดินไปได้จาก ไนน์ มิลล์แบงค์ทั้งสิ้น นับเป็นการปรับแต่งอย่างพิถีพิถันเพื่อเติมเต็มความสำคัญในประวัติศาสตร์บนพื้นที่ แต่ในขณะเดียวกันผู้อยู่อาศัยก็ยังได้รับการออกแบบอย่างสวยงาม พร้อมทั้งสิทธิประโยชน์ที่มาพร้อมกับการพัฒนาโครงการอันหรูหรายิ่งขึ้นนี้”   กิลส์ วอคเกอร์ รองผู้อำนวยการ เจแอลแอล กล่าวว่า “เจแอลแอลภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการเปิดตัวโครงการที่โดดเด่นและสง่าใจกลางเวสต์มินสเตอร์ในครั้งนี้ นับเป็นโอกาสที่หาได้ยากที่ผู้ซื้อจะได้ครอบครองที่อยู่อาศัยริมแม่น้ำใจ กลางกรุงลอนดอน ในอาคารที่มีสถาปัตยกรรมอันน่าตื่นตา นอกจากนี้ ไนน์ มิลล์แบงค์ยังนำเสนอสิ่งอำนวยความสะดวกที่มีความเป็นส่วนตัวสำหรับผู้อยู่อาศัย เพดานสูง และวัสดุตกแต่งที่ได้รับการคัดสรรค์อย่างปราณีต ซึ่งทั้งหมดนี้จะสร้างบรรทัดฐานใหม่ให้กับที่อยู่อาศัยระดับหรู”     แอนดรูว์ ฮอว์กวิน ผู้อำนวยการ ซาวิลส์ เปิดเผยว่า “ลอนดอนเป็นหนึ่งในเมืองชั้นนำระดับโลก ด้วยประวัติศาสตร์และหัวใจทางการเมืองย่านเวสต์มินสเตอร์ จึงทำให้โครงการ ไนน์ มิลล์แบงค์ของเซนต์เอ็ดเวิร์ด นั้นเป็นโอกาสที่ไม่ควรพลาด ในการจับจองเพราะมีเอกลักษณ์ในการดีไซน์ที่โดดเด่นและที่ตั้งของโครงการในย่านชื่อดังระดับโลก”   ซาวิลส์ มีความยินดีที่ได้เป็นตัวแทนของ เซนต์เอ็ดเวิร์ด ในการทำการตลาดและขายโครงการ ไนน์ มิลล์แบงค์ (9 Millbank) ในครั้งนี้ เราคิดว่าจะได้รับการสนใจอย่างล้นหลาม เพราะมีสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างมากมายไม่ว่าจะเป็นบริการเจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวกตลอด 24 ชั่วโมง ที่จอดรถชั้นใต้ดิน รวมไปถึงการดูแลในระดับคุณภาพจากบริษัทมากประสบการณ์อย่าง เบิร์กเลย์ กรุ้ป (Berkeley Group) นอกจากนี้ โครงการยังอยู่ใกล้กับแหล่งช้อปปิ้ง ภัตตาคาร และสถาบันทางวัฒนธรรมต่างๆ ผู้พักอาศัยสามารถเดินไปยังสามสวนสาธารณะอันโดดเด่นของราชวงศ์อังกฤษได้ โดยสวนสาธารณะที่ใกล้ที่สุดคือสวนสาธารณะเซนต์เจมส์ที่ใช้เวลาเดินเพียงแค่ 15 นาที โครงการมีแผนจะสร้างเสร็จในปี 2022 โดยในอาคารที่หรูหราทั้งสองอาคารนั้น มีห้องให้เลือกทั้งแบบ อพาร์ทเม้นท์และเพนท์เฮ้าส์ และยังเชื่อมต่อกันอย่างสวยงามด้วยสวนส่วนตัวอันตระการตา นอกจากนี้ มิลล์แบงค์ ควอเตอร์ ยังอยู่ใกล้กับสถาบันการศึกษาชื่อดังอย่าง โรงเรียน เวสต์มินสเตอร์ (Westminster School) โรงเรียน ฟรานซิส ฮอลแลนด์ (Francis Holland School) และ เชลซี คอลเลจ ออฟ อาร์ต (Chelsea College of Art) รวมไปถึงมหาวิทยาลัยชื่อดังระดับโลกอย่าง ลอนดอน บิสสิเนส สคูล (London School of Economics) อิมพีเรียล คอลเลจ ลอนดอน (Imperial College London) และ คิงส์คอลเลจ ลอนดอน (Kings College London) ซึ่งล้วนแต่อยู่ใกล้เพียงสามไมล์โดยรอบของโครงการทั้งสิ้น ในพื้นที่ที่เปี่ยมด้วยประวิติศาสตร์อันยาวนานนี้ มิลล์แบงค์ ควอเตอร์ มีจุดเด่นที่สร้างใกล้กับแลนด์มาร์คเพียงแค่ก้าวเดียว อย่างแม่น้ำเทมส์ และอยู่ใกล้กับถนนสุดหรูของประเทศอังกฤษอย่าง ย่านเบลเกรเวีย ไนท์สบริดจ์ และเมย์แฟร์ มิลล์แบงค์ ควอเตอร์ นั้นเชื่อมต่อโดยตรงกับเวสต์มินสเตอร์ (รถไฟใต้ดิน สถานีจูบิลี่) โดยใช้เวลาเพียงแค่ 10 นาทีในการเดิน และยังใช้เวลาเพียง 13 นาทีในการเดินไปสวนสาธารณะเซนต์เจมส์ (รถไฟใต้ดินสายเซอร์เคิลและสายดิสทริกต์) นอกจากนี้ยังอยู่ไม่ห่างจากสถานีรถไฟวิคตอเรีย (รถไฟใต้ดินสายเซอร์เคิล สายดิส- ทริกต์ และสายวิคตอเรีย) วอเตอร์ลู และสถานีรถไฟชาริงครอส ที่สามารถเข้าถึงตัวเมืองได้อย่างง่ายดาย ราคาที่อยู่อาศัยใน มิลล์แบงค์ ควอเตอร์ เริ่มต้นเพียง 1,860,000 ปอนด์
เมกาโฮม จัดแคมเปญ “ซื้อไฟตกแต่งและงานระบบไฟฟ้า..รับเพิ่ม 4 คุ้ม”  ตอกย้ำคอนเซปต์ ถูกใจช่างและคนทำบ้านตัวจริง  หมดเขต 30 พ.ค. นี้เท่านั้น

เมกาโฮม จัดแคมเปญ “ซื้อไฟตกแต่งและงานระบบไฟฟ้า..รับเพิ่ม 4 คุ้ม” ตอกย้ำคอนเซปต์ ถูกใจช่างและคนทำบ้านตัวจริง หมดเขต 30 พ.ค. นี้เท่านั้น

“เมกาโฮม" ศูนย์รวมวัสดุก่อสร้าง และของใช้ในบ้านครบวงจร รวบรวมสินค้าในแผนกไฟฟ้า ไม่ว่าจะเป็น สายไฟ และอุปกรณ์ หลอดไฟ โคมไฟ ร่วมจัดแคมเปญ “ซื้อไฟตกแต่งและงานระบบไฟฟ้า..รับเพิ่ม 4 คุ้ม” ตอกย้ำคอนเซ็ปต์ “ถูกใจช่างและคนทำบ้านตัวจริง” คุ้มที่ 1 ซื้อสินค้าครบ 5,000 บาทขึ้นไป รับคูปองส่วนลด 300 บาท (ใช้เป็นส่วนลดในครั้งถัดไป) คุ้มที่ 2 ซื้อสินค้าแบรนด์เดียวกัน ที่ร่วมรายการ ครบทุก 6,000 บาท รับส่วนลดทันที 200 บาท คุ้มที่ 3 ทุกๆ 8,000 บาท รับส่วนลดอีกทันที 250 บาท และจัดหนักกับคุ้มที่ 4 สะสมยอดซื้อตั้งแต่วันนี้ - 30 พ.ค. 61 รับสร้อยคอทองคำ สูงสุด 1 บาท อีกทั้งยังมีโปรโมชั่นพิเศษอื่นๆ ที่เมกาโฮม จัดให้สุดคุ้ม.. หมดเขต 30 พ.ค. นี้เท่านั้น สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ แผนกบริการลูกค้า ณ เมกาโฮม ทุกสาขา หรือดูโปรโมชั่นอื่นๆได้ที่ www.megahome.co.th หรือ fb page : MegahomeCenter Line@ : @megahome
คอนโดติดรถไฟฟ้า ดีจริงหรือ?

คอนโดติดรถไฟฟ้า ดีจริงหรือ?

ทุกวันนี้เมื่อเอ่ยถึงคอนโดมิเนียมก็ต้องทำเลติดรถไฟฟ้า เพราะเป็นการเดินทางที่สะดวกรวดเร็วที่สุด ท่ามกลางรถติดอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันในกรุงเทพมหานครแห่งนี้ หลายค่ายก็โหมโปรโมทกันยกใหญ่ว่ายิ่งติดรถไฟฟ้าก็ยิ่งดี แต่ทว่ายิ่งติดสถานีรถไฟฟ้ามากเท่าไร ราคาก็ยิ่งแพงขึ้นเป็นเงาตามตัวเช่นกันใช่ไหมคะ ที่สำคัญก็ใช่ว่าจะมีสิ่งแวดล้อม หรือสิ่งอำนวยความสะดวกดีๆ ไปเสียทุกสถานี แล้วอย่างนี้จะดีจริงหรือ?   จากการประเมินสภาพจราจรทั่วโลก ประจำปี 2560 โดย INRIX Global Traffic Scorecard(บริษัทที่ทำการ วัดผลการจราจรในช่วงเวลาเร่งด่วนรวมถึงช่วงเวลาอื่นๆ จากทั่วโลก) พบว่ากรุงเทพฯ ติดอันดับเมืองรถติดมากที่สุดอันดับ 16 ของโลก และยังเป็นอันดับ 1 ของเอเชีย การเดินทางบนท้องถนนจึงกลายเป็นปัญหาใหญ่ที่เกิดขึ้นทุกวัน และการแก้ปัญหาได้ดีที่สุดจึงหนีไม่พ้นรถไฟฟ้า เพราะสามารถลดระยะเวลาเดินทางลงได้มาก แม้ว่าทุกวันนี้ จะมีอยู่ไม่กี่สายก็ตาม หลายคนเลยพยายามมองหาที่พักอาศัยใกล้สถานีรถไฟฟ้า เพื่อแลกมากับ เวลาเดินทางที่สั้นลง เหนื่อยน้อยลง แต่ก็มีข้อควรระวังในการเลือกคอนโดมิเนียมติดสถานีรถไฟฟ้าด้วยนะคะ   เป็นที่ทราบกันดีว่ายิ่งติดรถไฟฟ้ามากเท่าไรก็ยิ่งมีราคาแพง โดยเฉพาะสถานีย่านใจกลางเมืองก็ย่อมเป็นโครงการระดับ Super Luxury ด้วยทำเล รวมถึงสิ่งอำนวยความสะดวกเพียบพร้อมในทุกด้าน เช่น สถานีทองหล่อ, สถานีเพลินจิต, สถานีชิดลม, สถานีศาลาแดง, สถานีช่องนนทรี เป็นต้น แต่ถ้าเป็นคอนโดมิเนียมที่อยู่ใกล้สถานีที่ห่างออกมา จากใจกลางเมืองก็คงต้องมาพิจารณากันเป็นรายสถานีกันไปค่ะ เพราะหลายสถานีก็ไม่ได้มีสภาพแวดล้อมที่ดีเท่าไรนัก หากไม่ใช่คนที่อยู่ย่านนั้นอยู่แล้วก็อาจจะไม่รับรู้ได้ อย่างที่เราจะยกตัวอย่างปัญหาจากบางสถานีแบบกว้างๆ ให้ได้ลองไปสังเกตกันดูค่ะ สถานีคนล้น เป็นสถานีที่มีคนใช้บริการกันเยอะมาก โดยเฉพาะชั่วโมงเร่งด่วนเพื่อเดินทางเข้าไปทำงานในเมือง บางวันถึงขั้นล้นจนไม่สามารถขึ้นไปยังชานชาลาได้ และหากผู้โดยสารในขบวนก็เต็มมาจากสถานีก่อนหน้าอยู่แล้ว พอมาถึงสถานีถัดไปก็ขึ้นได้แค่ไม่กี่คนเท่านั้น กลายเป็นต้องเผื่อเวลากันมากขึ้นเพื่อรอคิวเบียดเข้าขบวนรถที่อัดแน่นไปด้วยผู้คนจนแทบหายใจไม่ออก   สถานีน้ำท่วม เชื่อไหมคะว่ามีบางสถานีที่เวลาเกิดฝนตกหนักก็เกิดน้ำท่วมขังที่ถนนข้างใต้สถานีนั้นเอง แล้วยิ่งหากถนนช่วงที่น้ำท่วมนั้นอยู่หน้าคอนโดของเราพอดีล่ะคะ นอกจากผู้ที่ใช้บีทีเอสจะต้องเดินลุยน้ำแล้วเข้าคอนโดแล้วยังส่งผลถึงราคาขายห้องในอนาคตตามไปด้วย เพราะฉะนั้นเรื่องนี้ต้องดูดีๆ เลยค่ะ   สถานีเปลี่ยว แม้จะเป็นช่วงที่มีรถไฟฟ้าผ่าน แต่ก็ยังมีบางสถานีที่เป็นเหมือนแค่ทางผ่านค่ะ สิ่งอำนวยความสะดวก ใกล้สถานีก็แทบไม่มี แถมช่วงกลางคืนไม่ค่อยมีผู้คนเดินอยู่แถวนั้น ไฟก็ไม่สว่างก็ยิ่งเปลี่ยวเข้าไปกันใหญ่   สถานีมีแค่ตลาด ถ้าไลฟ์สไตล์ของคุณชอบเดินห้างสรรพสินค้าตากแอร์เย็นๆ นั่งทานร้านอาหารในห้างแล้วล่ะก็ คอนโดมิเนียมที่อยู่ในสถานีใกล้กับตลาดก็คงไม่เหมาะเท่าไร แม้จะอยู่ติดกับรถไฟฟ้าก็ตามใช่ไหมคะ บางแห่งก็เป็นตลาดสดอาจมีกลิ่นรบกวน ส่งผลต่อสภาพแวดล้อม สุดท้ายก็ไปกระทบกับราคาขายในอนาคตอีกต่างหาก   สถานีใกล้ห้างสรรพสินค้า หรือแหล่งร้านแฮงค์เอ้าท์ คอนโดมิเนียมที่ใกล้ทั้งสถานีรถไฟฟ้าพร้อมๆ กับห้างสรรพสินค้า ย่อมเป็นทำเลที่ดีมากใช่ไหมคะ แต่ในทางกลับกันหากไลฟ์สไตล์ของคุณชอบความเงียบสงบเป็นส่วนตัว เดินหาอะไรง่ายๆ ทานมากกว่า คอนโดมิเนียมทำเลนี้ก็คงไม่เหมาะค่ะ เพราะอาจมีค่าครองชีพที่สูงขึ้น ผู้คนพลุกพล่านอยู่เกือบตลอดเวลา และยิ่งหากใกล้แหล่งแฮงค์เอ้าท์ก็อาจได้รับผลกระทบจากเสียงดังช่วงกลางคืนได้   ห้องติดริมถนนใหญ่ โครงการที่ติดสถานีรถไฟฟ้าย่อมต้องอยู่ติดริมถนนใหญ่ไปด้วยใช่ไหมคะ ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ควรระวังห้องที่อยู่ฝั่งริมถนนหน้าโครงการปค่ะ โดยเฉพาะยูนิตที่อยู่ชั้นไม่สูงจะได้รับผลกระทบจากเสียงบนท้องถนนที่ดังอยู่ตลอดเวลา และสิ่งที่จะตามมานั้นคือฝุ่นดำๆ ที่มักจะเกาะติดอยู่ที่ระเบียงเป็นประจำ ซึ่งเวลาเราตากผ้าไว้ที่ระเบียงก็ต้องโดนฝุ่นเหล่านี้ตามไปด้วยค่ะ   สุดท้ายหากคิดจะควักเงินสักก้อนเพื่อให้ได้อยู่คอนโดติดรถไฟฟ้าแลกกับความสะดวกสบายก็ต้องดูที่สถานีด้วยค่ะ ว่าเป็นสถานีอะไร สำรวจสภาพแวดล้อมเป็นอย่างไร ช่วงชั่วโมงเร่งด่วนเป็นอย่างไร เวลาเราเข้าไปอาศัยอยู่จริงจะได้ ไม่เกิดปัญหาภายหลัง และเพื่อได้คอนโดที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของเรามากที่สุดค่ะ  
‘บางกอกซิตี้สมาร์ท’ จัดงาน  “BC Prime Condominium Showcase”  ครบทุกอย่างเรื่องคอนโดมิเนียมติดแนวรถไฟฟ้าทั่วกรุงเทพฯ

‘บางกอกซิตี้สมาร์ท’ จัดงาน “BC Prime Condominium Showcase” ครบทุกอย่างเรื่องคอนโดมิเนียมติดแนวรถไฟฟ้าทั่วกรุงเทพฯ

‘บางกอกซิตี้สมาร์ท (หรือ BC)’ ผู้นำที่ปรึกษาด้านการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ใจกลางเมืองแบบครบวงจร นำโดย นายขยล ตันติชาติวัฒน์ ผู้อำนวยการ เชิญร่วมงาน“BC Prime Condominium Showcase” ภายใต้คอนเซ็ปต์ 1 Stop, 40 Stations with 100 Projects ในวันอังคารที่ 22 – วันพฤหัสบดีที่ 24 พฤษภาคมนี้ คัดห้องพิเศษที่คุ้มค่าที่สุดจากคอนโดมิเนียมคุณภาพกว่า 100 โครงการ ครอบคลุมทั้ง BTS  MRT และ Airport Rail Link กว่า 40 สถานีทั่วกรุงเทพมหานคร ในราคาเริ่มต้นเพียง 3.17 ล้านบาท พร้อมลุ้นรับ Apple Watch Series 3 และดีลส่วนลดสุดพิเศษมากมาย มาร่วมกันหาคำตอบทุกความต้องการของที่ อยู่อาศัย ทั้งการแนะนำการซื้อ-เช่า ฝากขาย และปล่อยเช่าให้แก่ลูกค้าและนักลงทุนในงานนี้งานเดียวเท่านั้น ณ ชั้น M ศูนย์การค้าเทอร์มินอล 21 อโศก ถ. สุขุมวิท
ฮาบิแทท กรุ๊ปส่ง 3 โครงการ ชูไฮไลท์จัดเต็มโปรฯ มอบส่วนลดสูงสุดถึง 5 แสนบาท พร้อมแจกฟรี! iPhone X

ฮาบิแทท กรุ๊ปส่ง 3 โครงการ ชูไฮไลท์จัดเต็มโปรฯ มอบส่วนลดสูงสุดถึง 5 แสนบาท พร้อมแจกฟรี! iPhone X

ฮาบิแทท กรุ๊ป ขน 3 โครงการเพื่อการลงทุนทำเลพัทยาและย่านอโศก – BluPhere Pattaya managed by BW Premier Collection (บลูเฟียร์ พัทยา แมนเนจ บาย เบสท์เวสเทิร์น พรีเมียร์ คอลเล็คชั่น) คอนโดฯ สไตล์รีสอร์ทห่างจากชายหาดนาจอมเทียนเพียง 100 เมตร Wyndham Atlas Wongamat Pattaya (วินด์แฮม แอทลาส วงศ์อมาตย์ พัทยา) คอนโดฯ ใกล้หาดวงศ์อมาตย์ 200 ม. และ Walden Asoke (วาลเด้น อโศก) คอนโดฯ ทำเลสุขุมวิท 23 ใกล้ BTS อโศกและ MRT สุขุมวิท ประมาณ 750 เมตร รวมมูลค่าโครงการ 2,200 ล้านบาท จัดเต็มโปรฯ แรงในงาน FUTURE PROPERTY EXPO 2018 อาทิ มอบส่วนลดสูงสุดถึง 5 แสนบาท พร้อมแจกฟรี iPhone X และสิทธิพิเศษอื่นมากมาย เฉพาะลูกค้าที่จองในงาน วันที่ 24 - 27 พ.ค.นี้เท่านั้น ณ ลานอีเดน ชั้น 1 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์   นายชนินทร์ วานิชวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฮาบิแทท กรุ๊ป จำกัด ผู้นำด้านการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนของไทย เปิดเผยว่า ฮาบิแทท กรุ๊ป เตรียมนำทัพโครงการคอนโดมิเนียมระดับลักชัวรี่เพื่อการลงทุนทั้งทำเลพัทยา และกรุงเทพฯ จำนวน 3 โครงการ รวมมูลค่าโครงการ 2,200 ล้านบาท จัดโปรโมชั่นแรงในงาน “FUTURE PROPERTY EXPO 2018” มอบสิทธิพิเศษเฉพาะลูกค้าที่จองในงานเท่านั้น ระหว่างวันที่ 24 - 27 พฤษภาคม 2561 ณ ลานอีเดน ชั้น 1 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์   3 โครงการไฮไลท์ที่ร่วมงาน FUTURE PROPERTY EXPO 2018 Walden Asoke (วาลเด้น อโศก) คอนโดมิเนียมโลว์ไรส์เพื่อการอยู่อาศัยและการลงทุนระดับลักชัวรี่ จำนวน 7 ชั้น จำนวน 83 ยูนิต มูลค่าโครงการ 700 ล้านบาท ตั้งอยู่ในซอยสุขุมวิท 23 คอนโดฯ ซอยสุขุมวิท 23 ใกล้ BTS อโศกและ MRT สุขุมวิท ประมาณ 750 เมตร ขนาดพื้นที่ใช้สอย31.10 – 65.43 ตร.ม. ราคาเริ่มต้นที่ 6.9 ล้านบาท โปรโมชั่นเด็ดในงาน ส่วนลดสูงสุดถึง 500,000 บาท เฉพาะจองในงานเท่านั้น ฟรี! ชุดเฟอร์นิเจอร์แพ็คเกจและเครื่องใช้ไฟฟ้า cid:image001.jpg@01D3ED0D.A3BAC340 ผ่อนชำระค่าจองและทำสัญญา 0% นาน 6 เดือน ผ่านบัตรเครดิตธนาคารชั้นนำ ได้แก่ กสิกรไทย, ไทยพาณิชย์, กรุงเทพ และกรุงศรี     BluPhere Pattaya managed by BW Premier Collection (บลูเฟียร์ พัทยา แมนเนจ บาย เบสท์เวสเทิร์น พรีเมียร์ คอลเล็คชั่น) คอนโดมิเนียมสไตล์รีสอร์ทเพื่อการลงทุน วิวสวยติดทะเล ห่างจากชายหาดนาจอมเทียนเพียง 100 เมตร ภายใต้การบริหารจัดการโดย BW Premier Collection พรีเมียมที่สุดในเครือ Best Western แบรนด์โรงแรมชั้นนำระดับโลก มูลค่าโครงการ 650 ล้านบาท จำนวนทั้งสิ้น 195 ยูนิต ขนาดพื้นที่ใช้สอย 21.7 - 26.2 ตร. ม. ราคาเริ่มต้น 3.2 ล้านบาท โปรโมชั่นเด็ดในงาน   มอบส่วนลดพิเศษถึง 200,000 บาท หรือเลือกรับส่วนลดพิเศษ 150,000 บาท พร้อมฟรี iPhone X ขนาด 256 GB เมื่อจองในงานเท่านั้น ฟรีค่าส่วนกลางและค่าประกันอัคคีภัย นาน 5 ปี ฟรีค่าใช้จ่าย ณ วันโอน (ค่าโอนกรรมสิทธิ์, ค่ากองทุนรวม, ค่าประกันมิเตอร์น้ำและไฟ)     Wyndham Atlas Wongamat Pattaya (วินด์แฮม แอทลาส วงศ์อมาตย์ พัทยา) คอนโดมิเนียมโลว์ไรส์เพื่อการลงทุนระดับลักชัวรี่ 8 ชั้น จำนวน 192 ยูนิต ใกล้หาดวงศ์อมาตย์ 200 เมตร และใกล้ ศูนย์การค้า Terminal 21 เพียง 300 เมตร ตอบโจทย์ความต้องการ การลงทุนปล่อยเช่าคอนโดแบบ Worry-free Investment และไลฟ์สไตล์การท่องเที่ยว มี 3 แบบ ให้เลือก แบบ DELUXE ROOM ขนาดพื้นที่ใช้สอย 24.3 - 28.25 ตร.ม. แบบ JUNIOR SUITE ขนาดพื้นที่ใช้สอย 33.78 - 39.4 ตร.ม. และ 1 BEDROOM SUITE ขนาดพื้นที่ใช้สอย 52.3 - 57.4 ตร.ม. ราคาเริ่มต้นเพียง 3.8 ล้านบาท โปรโมชั่นเด็ดในงาน   ส่วนลดพิเศษถึง 200,000 บาท หรือเลือกรับส่วนลดพิเศษ 150,000 บาท พร้อมฟรี iPhone X ขนาด 256 GB เมื่อจองในงานเท่านั้น ฟรีค่าส่วนกลางและค่าประกันอัคคีภัย นาน 5 ปี   “เรามั่นใจว่า 3 โครงการที่นำมาร่วมงาน “FUTURE PROPERTY EXPO 2018 จะได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยมและมีผู้เข้าร่วมงานจำนวนมากตลอดทั้ง 4 วัน เพราะเราคัดสรรโครงการทำเลคุณภาพที่ดีที่สุดทั้งในทำเลพัทยาและกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นโครงการที่เหมาะสมทั้งการอยู่อาศัยและการปล่อยเช่า โดยจุดเด่นของโครงการที่เราแตกต่างจากคู่แข่งคือ เราใช้แบรนด์โรงแรมที่มีประสบการณ์จากทั่วโลกมาบริหารโครงการ ซึ่งทำให้ลูกค้าไว้วางใจและเชื่อมั่นในแบรนด์ รวมถึงโครงการให้ผลตอบแทนที่ดี การันตีค่าเช่า 6% นานต่อเนื่องถึง 5 ปี ตอบโจทย์การลงทุนเป็นอย่างมาก ซึ่งมั่นใจว่ายอดขายจากงานนี้จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งจนทำให้เป้ายอดขายรวมของปีนี้เป็นไปตามที่คาดไว้ที่ 3,000 ล้านบาทแน่นอน” นายชนินทร์ กล่าวปิดท้าย
ซีเอ็มซี กรุ๊ป บูมตลาดคอนโดใกล้รถไฟฟ้าย่านเพชรเกษม

ซีเอ็มซี กรุ๊ป บูมตลาดคอนโดใกล้รถไฟฟ้าย่านเพชรเกษม "แบงค์คอก ฮอไรซอน ไลท์ @สถานีเพชรเกษม 48

  คุณอนงค์ลักษณ์  แพทยานันท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เจ้าพระยามหานคร จำกัด (มหาชน) เผยว่าบริษัท เจ้าพระยามหานคร จำกัด (มหาชน) เตรียมกระตุ้นตลาดคอนโดมิเนียมใกล้รถไฟฟ้าย่านเพชรเกษม ชูคอนเซปต์ ความสุขที่ใช่...ใกล้รถไฟฟ้า จัดงาน Exclusive Booking โครงการคอนโดมิเนียม แบงค์คอก ฮอไรซอน ไลท์ @สถานีเพชรเกษม48 คอนโดใกล้รถไฟฟ้า ที่นักลงทุนไม่ควรพลาด ซึ่งจะมีขึ้นระหว่างวันที่ 2-3 มิถุนายน 2561 ราคาเริ่มต้น 1.69 ล้านบาท และรับโปรโมชั่นสุดเร้าใจ ฟรีทองคำแท่ง 2 บาททุกยูนิต* ผ่อนดาวน์เพียง 3,900 บาท พร้อมตกแต่งเฟอร์นิเจอร์ครบชุด ลงทะเบียนออนไลน์รับเพิ่มส่วนลด 200,000 บาท ที่เว็บ https://www.cmc.co.th/CMC2017/bangkokhorizon/p482/ และสอบถามรายละเอียด โทร. 02-457-5959 086-340-1063  หรือ 1172  และ www.facebook.com/cmc.co.th
ซันเคียวโฮม ผนึก“เคฮัง เรียลเอสเตท”  ผุดคอนโดมิเนียมลักชัวรี “The FINE Bangkok” ใจกลางทองหล่อ-เอกมัย

ซันเคียวโฮม ผนึก“เคฮัง เรียลเอสเตท” ผุดคอนโดมิเนียมลักชัวรี “The FINE Bangkok” ใจกลางทองหล่อ-เอกมัย

  ซันเคียวโฮม (ไทยแลนด์) จับมือ บริษัทอสังหาริมทรัพย์ญี่ปุ่น “เคฮัง เรียลเอสเตท” พัฒนาคอนโดมิเนียมสุดหรู “The FINE Bangkok” ทองหล่อ-เอกมัย มูลค่าโครงการกว่า1.7 พันล้านบาท ชูจุดเด่นงานดีไซน์แบบลักชัวรี โมเดิร์น เจแปนนิส ตอบรับความต้องการคนรุ่นใหม่ พร้อมเดินหน้าเปิดขายพรีเซล 2-3 มิ.ย.นี้   นายสุทธิพงษ์ ไชยลังกา กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซันเคียวโฮม (ไทยแลนด์) จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทได้ร่วมมือกับบริษัท เคฮัง เรียลเอสเตท จำกัด (Keihan Real Estate Co.,Ltd.) ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่มของบริษัท เคฮัง โฮลดิ้งส์ จำกัด (Keihan Holdings Co., Ltd.) ผู้ให้บริการรถไฟรายใหญ่ในภูมิภาคคันไซ ประเทศญี่ปุ่น ที่มีประวัติยาวนานตั้งแต่ปี ค.ศ.1910 เพื่อพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมในประเทศไทยร่วมกันในลักษณะโครงการร่วมทุน (Joint Venture) เป็นโครงการแรก ภายใต้ชื่อโครงการ “The FINE Bangkok” (เดอะฟายน์ แบงค็อค) บนย่านทองหล่อ-เอกมัย     “นอกจากพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ญี่ปุ่นแล้ว เราต้องการสร้างตลาด และโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ โดยมองเห็นโอกาสตลาดกลุ่มประเทศอาเซียนที่กำลังเติบโต และเมื่อพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ ของประเทศ GDP ขนาดเศรษฐกิจ ความชัดเจนในด้านกฎหมาย และกำลังซื้อของผู้บริโภค ประเทศไทยมีความโดดเด่นในปัจจัยต่างๆ เหล่านี้มากที่สุดประเทศหนึ่งในอาเซียน การันตีได้จากบริษัทญี่ปุ่นที่เข้ามาลงทุนที่ไทยมากมาย เรามุ่งหวังให้กรุงเทพฯเป็นจุดศูนย์กลางการขยายธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในภูมิภาคนี้” นายสุทธิพงษ์ กล่าว   ที่ผ่านมา บริษัท ซันเคียวโฮม (ประเทศญี่ปุ่น) จำกัด และบริษัท เคฮัง เรียลเอสเตท จำกัด เคยร่วมกันพัฒนาโครงการลักษณะร่วมทุน (Joint Venture) ที่ประเทศญี่ปุ่นมาแล้ว 5 โครงการ ภายใต้แบรนด์ The FINE เช่น โครงการคอนโดมิเนียมหรู 45 ชั้น The FINE Tower - Umeda Toyosaki ใจกลางโอซาก้าและสามารถปิดการขายแล้ว 100%   ทั้งนี้ ด้วยประสบการณ์การพัฒนาที่อยู่อาศัยครอบคลุมทุกเซ็กเมนท์ ทุกระดับราคาของทั้ง 2 บริษัท ประกอบกับประสบการณ์การพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมร่วมกันจนเป็นที่ยอมรับของชาวญี่ปุ่น บริษัทจึงมุ่งหวังให้การพัฒนาโครงการ The FINE Bangkok ร่วมกันในครั้งนี้ เป็นโอกาสในการส่งมอบคุณภาพและมาตรฐานใหม่ของการใช้ชีวิตในเขตเมือง เช่นเดียวกับที่บริษัทได้เคยส่งมอบให้ผู้บริโภคชาวญี่ปุ่นมาแล้ว   สำหรับโครงการ The FINE Bangkok ทองหล่อ-เอกมัย เป็นโครงการคอนโดมิเนียมสุดหรู มูลค่าโครงการกว่า 1,700 ล้านบาท เป็นอาคารสูง 31 ชั้น จำนวน 220 ยูนิต ตั้งอยู่บริเวณซอยเอกมัย 12 พัฒนาขึ้นภายใต้คอนเซ็ปต์ “Luxury Modern Japanese” มีความเรียบง่ายอบอุ่น แต่หรูหรา ภายในประกอบด้วยห้องชุด 1-2 นอน และเพนท์เฮ้าท์ ขนาดตั้งแต่ 34.5-92 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้นที่ 5.5 ล้านบาท โดดเด่นด้วยนวัตกรรมการออกแบบที่คำนึงถึงการใช้ประโยชน์ของพื้นที่สูงสุดโดยนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามาใช้ อาทิ การมีระบบ Auto Parking เพิ่มพื้นที่จอดรถให้มีมากถึง 70% รองรับผู้อยู่อาศัยในเมืองที่ยังคงต้องใช้รถยนต์ในการเดินทาง นอกเหนือจากรถไฟฟ้า  และรวมถึงระบบการสั่งซื้อของ และจัดการธุรกรรมต่างๆ ผ่าน Application บนอุปกรณ์อัจฉริยะที่มีติดตั้งไว้ทุกห้อง   นอกจากนี้ภายในโครงการ มีการแบ่งโซนการใช้งานอย่างเป็นสัดส่วน ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนเมืองถึง 4 โซนได้แก่ โซน Fine Sky, พื้นที่ Roof  Lounge ที่ทุกกิจกรรมสามารถชมวิวเมือง 360 องศา ไปพร้อมๆ กัน ทั้งFitness, Golf Club, Sky Seat, Karaoke room, Kids Room และ Wine Lounge  โซน Fine Retreat พื้นที่รวมของการพักผ่อนรับแดด หรือชมวิวเมืองยามค่ำคืน ได้แก่ สระว่ายน้ำขนาดใหญ่, Pool Bar, Sauna Room, Hot Pool และ The Edge View Point ซึ่งทุกส่วนออกแบบให้สามารถชมวิวขอบฟ้าได้ใกล้ที่สุด โซน Fine Lounge ได้แก่ Lobby, Co-working room, Private meeting room, Mail room ซึ่งทางโครงการตั้งใจที่จะสร้างโซนนี้ให้เป็นพื้นที่ใช้งานร่วมกัน โดยคำนึงถึงความเป็นส่วนตัว แต่มีพื้นที่กว้างเพียงพอรองรับการใช้งานแบบกลุ่มใหญ่ด้วย ภายในโครงการยังตกแต่งด้วยวัสดุเรียบหรู ผสมผสานทั้งเรื่องฟังก์ชัน พื้นผิว และการออกแบบ ให้ทั้งตัวอาคารและห้องพักอาศัย มีกลิ่นอาย Modern Luxury และสุดท้าย โซน Fine Greenery ตอบโจทย์ที่พักอาศัยใจกลางเมือง แต่รายล้อมไปด้วยธรรมชาติตั้งแต่ก้าวแรกที่เดินเข้าบริเวณโครงการคือ Spring Garden และ พื้นที่สวนชั้น 23 และชั้น 27     ด้าน นายโยชิฮิสะ โดโมโตะ (Mr.Yoshihisa Doumoto) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เคฮัง เรียลเอสเตท จำกัด กล่าวว่า บริษัท เคฮัง เรียลเอสเตท จำกัด เป็นบริษัทในกลุ่มของบริษัท เคฮัง โฮลดิ้งส์ จำกัด ซึ่งประกอบไปด้วย 4 ธุรกิจหลัก คือ 1.ธุรกิจคมนาคม (Transportation Business) 2.ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ (Real Estate Business) 3.ธุรกิจค้าปลีก (Retail Business) 4.ธุรกิจบริการและพักอาศัย (Leisure and Service Business) และจากกลุ่มธุรกิจที่เข้มแข็งของเรา บริษัท เคฮัง เรียลเอสเตท จำกัด ได้พัฒนาที่อยู่อาศัยมากมายทั่วทั้งประเทศญี่ปุ่นมาอย่างยาวนาน ในครั้งนี้เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งกับครั้งแรกที่ได้ร่วมมือกับซันเคียวโฮม (ไทยแลนด์) ในการพัฒนาคอนโดมิเนียมในต่างประเทศครั้งแรกที่ไทยซึ่งเป็นประเทศที่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจอย่างมากในภูมิภาคอาเซียน โดยเรามุ่งหวังที่จะให้คนไทยสัมผัสประสบการณ์การใช้ชีวิตในคอนโดมิเนียมคุณภาพ ประณีตใส่ใจในทุกรายละเอียด เช่นเดียวกับโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยที่เราทำที่ญี่ปุ่น   ทั้งนี้ บริษัทจะเปิดพรีเซลในวันที่ 2-3 มิถุนายนนี้ โดยมีกลุ่มเป้าหมายหลักคือ กลุ่มคนรุ่นใหม่อายุ 30-40 ปี ที่ชื่นชอบความหรูหราอย่างมีสไตล์ รวมไปถึงกลุ่มผู้บริหารระดับสูงที่มีวิสัยทัศน์ในการอยู่อาศัย ตลอดจนเพื่อการลงทุนระยะยาว คาดว่าในวันเปิดขายพรีเซลจะมียอดขายกว่า 60 % โดยมี บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด เป็นผู้ดูแลบริหารงานขายและการตลาด ผู้สนใจดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.thefinebangkok.comหรือโทรสอบถาม 065-219-2727
ครั้งแรกของคอนโดในย่านรัชดา - ห้วยขวาง พร้อมมอบสิทธิพิเศษ! รับ Living Set ภายใน 30 มิ.ย. นี้

ครั้งแรกของคอนโดในย่านรัชดา - ห้วยขวาง พร้อมมอบสิทธิพิเศษ! รับ Living Set ภายใน 30 มิ.ย. นี้

แชปเตอร์วัน อีโค รัชดา – ห้วยขวาง คอนโดมิเนียมแต่งครบจากพฤกษา ตอบรับ Active Lifestyle ของคน Gen Y ที่ใช้ชีวิตแบบไม่หยุดนิ่ง มีความคิดสร้างสรรค์ และสามารถทำอะไรได้หลายๆ อย่างในเวลาเดียวกัน  เปิดให้บริการพื้นที่ส่วนกลางตลอด 24 ชม. ในส่วนของ CO-WORKING SPACE พื้นที่สำหรับหาแรงบันดาลใจและพูดคุยงาน, READING ROOM ห้องอ่านหนังสือสำหรับคนรักการอ่าน และ FITNESS พื้นที่สำหรับคนใส่ใจสุขภาพ ซึ่งนอกจากส่วนกลางที่ครบครันแล้ว แชปเตอร์วัน อีโค รัชดา - ห้วยขวาง ยังสร้างสรรค์บริการที่เหนือระดับ โดยจับมือแบรนด์กาแฟชั้นนำระดับโลกอย่าง Starbucks มาเปิดให้บริการแล้วในโครงการ ส่งผลให้ แชปเตอร์วัน อีโค รัชดา - ห้วยขวาง เป็น Complete Community แห่งใหม่ที่มีความโดดเด่นที่สุด และยังครองแชมป์ขายดีที่สุดในคอนโดระดับราคา 2-3 ล้าน ด้วยราคาเริ่มเพียง 2.4 ล้านบาท และการันตีด้วย 2 รางวัลระดับโลกจาก International Property Award คือ Development Marketing Thailand และ Best Development Marketing ของ Asia Pacific เหมาะสำหรับคนที่กำลังมองหาคอนโดที่จัดเต็มด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกรองรับไลฟสไตล์ 24 ชั่วโมง พิเศษ! รับ Living Set ภายใน 30 มิ.ย. นี้เท่านั้น! สอบถามเพิ่มเติมโทร. 1739 หรือ http://chapterone.pruksa.com/
เอสซีฯ สรุปไตรมาสแรกปี 2561 ปลื้มยอดขายตอบรับดีพร้อมเตรียมเปิดอีก 17 โครงการ มูลค่ากว่า 17,000 ล้านบาท

เอสซีฯ สรุปไตรมาสแรกปี 2561 ปลื้มยอดขายตอบรับดีพร้อมเตรียมเปิดอีก 17 โครงการ มูลค่ากว่า 17,000 ล้านบาท

  นายอรรถพล สฤษฎิพันธาวาทย์ ประธานเจ้าหน้าที่ด้านสนับสนุนองค์กร บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์คุณภาพทุกระดับราคา กล่าวว่า ผลประกอบการไตรมาส 1/2561 ของ SC มีการเติบโตครบทุกด้านทั้งยอดขาย รายได้ และกำไรสุทธิ  โดยมีรายได้รวม 2,686 ล้านบาท เติบโต 53% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน รายได้หลักมาจากโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายคิดเป็นสัดส่วน 92% ของรายได้ทั้งหมด และมีกำไรสุทธิ 259 ล้านบาท เติบโต 244% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน พร้อมกับมียอดขายรอโอน หรือ Backlog ประมาณ 10,800 ล้านบาท ซึ่ง 47% จะรับรู้รายได้ในปีนี้ และส่วนที่เหลืออีก 53% จะรับรู้รายได้ในปี 2562-2563  โดยบริษัทยังคงเป้าหมายรายได้ทั้งปีอยู่ที่ 17,000 ล้านบาท     ในส่วนของยอดขาย 3,662 ล้านบาท เติบโต 7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนทั้งในส่วนของโครงการแนวราบและแนวสูงทุกระดับราคา โดยเฉพาะโครงการที่เปิดใหม่ในไตรมาสแรกได้รับการตอบรับที่ดีมาก ได้แก่ โครงการคอนโดมิเนียมเซ็นทริค รัชโยธิน ที่ห่างจากสถานีรถไฟฟ้ารัชโยธินเพียง 150 เมตร ปัจจุบันมียอดขายถึง 75% และ โครงการบ้านเดี่ยวเพฟ บ้านโพธิ์-ฉะเชิงเทรา ขณะเดียวกันโครงการแนวราบเดิมในระดับราคา 8 ล้านบาทขึ้นไปมียอดขายเติบโตกว่า 70% เทียบกับไตรมาสแรกของปี 2560   ทั้งนี้ จากที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ประจำปี 2561 ได้มีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นเป็นเงินจำนวน  0.12 บาท/หุ้น หรือคิดเป็นอัตราการจ่ายเงินปันผล เท่ากับ 44.44%  โดยมีกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 22 พฤษภาคม 2561 นายอรรถพล กล่าวเพิ่มเติมว่า “ SC เตรียมทยอยเปิดโครงการใหม่ที่เหลือในปีนี้อีก 17 โครงการ มูลค่ากว่า 17,000 ล้านบาท  โดยในเดือนมิถุนายนนี้จะเปิดโครงการ เวนิว พระราม 5-3 บนพื้นที่ กว่า 7 ไร่ มูลค่าโครงการ 260 ล้านบาท เป็นบ้านแฝดรุ่นใหม่ จำนวน 46 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 5.89  ล้านบาท ต่อยอดความสำเร็จของโครงการ เวนิว พระราม 5-1 และ 2 ที่ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี     โครงการใหม่อยู่บนถนนนครอินทร์ พระราม 5 ใกล้ทางด่วนศรีรัช-วงแหวนรอบนอก และใกล้รถไฟฟ้าสายสีม่วงกับสายสีน้ำเงิน (เสร็จปลายปี 2562)  โดย ณ 30 เม.ย 61  SC มีโครงการเพื่อขายทั้งหมด 39 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 34,400 ล้านบาท ”นอกจากนี้ บริษัทได้จัดแคมเปญการตลาด “Reflection of Your Success” ภายใต้โครงการ บางกอก  บูเลอวาร์ด บน 6 ทำเลศักยภาพ  พร้อมบ้านซี่รี่ส์ใหม่กับห้องนอนเพดานสูงกว่า 4 เมตร* ราคา  6-27 ล้านบาท  พร้อมรับข้อเสนอพิเศษสูงสุด 2 ล้านบาท* ระหว่างวันนี้ - 31 พ.ค.61  เมื่อลงทะเบียนออนไลน์ที่ https://bit.ly/2jhDyCF สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร. 1749 หรือ www.scasset.com

"เสนาพาร์ค แกรนด์ รามอินทรา" แรงต่อเนื่อง จัดโปรฟ้าผ่า “Thunder Sale” ชูราคาสุดพิเศษ ลด + แถมกว่าล้าน*

เสนาฯ เดินหน้ารุกจัดงานอีเว้นท์ใหญ่ โครงการ เสนา พาร์ค แกรนด์ รามอินทรา กระตุ้นกำลังซื้อต่อเนื่อง พร้อมชมบ้านนวัตกรรมใหม่ ฟังก์ชั่นตอบโจทย์ 3 GEN เตรียมพบกับงาน Grand sale 19 - 20 พ.ค. นี้ กับโปรโมชั่นสุดพิเศษ ภายใต้แคมเปญ  โปรฟ้าผ่า  “Thunder Sale” ชูราคาสุดพิเศษ เริ่มเพียง 9.65 ล้านบาท ลด+แถมกว่าล้าน* ฟรี! Solar + EV Charger / ค่าโอนกรรมสิทธิ์ และรับสิทธิพิเศษมากมายภายในงาน   "เสนาพาร์ค แกรนด์ รามอินทรา" ตั้งอยู่บนเนื้อที่โครงการ 42-2-17.6 ไร่ ออกแบบฟังก์ชั่นให้ตอบโจทย์ผู้อยู่อาศัย 3 Gen Space  รองรับสังคมผู้สูงอายุในอนาคต  ด้วยแบบบ้าน OXY SMART บนพื้นที่ใช้สอย 190 ตรม. พร้อมระบบ Air Fresh ช่วยให้อากาศภายในบ้านหมุนเวียนถ่ายเทได้ดีตลอด 24 ชม. พร้อม Relation Space มุมพักผ่อนภายในบ้าน ที่เชื่อมโยงความสุขเพิ่มขึ้นกับพื้นที่ Outdoor พร้อมให้คุณได้สัมผัสธรรมชาติ รับลมและแสงแดด   อีกหนึ่งฟังก์ชั่นพิเศษ ที่ตอบโจทย์วิถีชีวิตคนรุ่นใหม่ให้สะดวกสบาย ด้วยการบริการหลังการขายที่มีประสิทธิภาพผ่าน Application SENA 360° Service  แอพฯ เดียวจบครบทุกเรื่องของที่อยู่อาศัย มาพร้อมระบบ SOS ช่วยดูแลคุณยามฉุกเฉินตลอด 24 ชม., Triple Security สามารถดู CCTV  เชื่อมโยงผ่าน App 360° ช่วยให้คุณสะดวกสบายตลอด 24 ชม. พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน เช่น ECO CLUB HOUSE ขนาดใหญ่ Jacuzzi Zone สุดหรู พร้อมห้องฟิตเนส อุปกรณ์มาตรฐานครบเซต และผ่อนคลายไปกับสวน SENA Park Avenueสำหรับพักผ่อนขนาดใหญ่ถึง 10 ไร่   "เสนาพาร์ค แกรนด์ รามอินทรา" ตั้งอยู่บนทำเลที่มีศักยภาพ การเดินทางสะดวกสามารถใช้ถนนหลัก 4 เส้น คือถนนรามอินทรา, ถนนคู้บอน, ถนนวงแหวน และทางด่วนเอกมัย – รามอินทรา โดยปัจจุบันถนนรามอินทรา อยู่ระหว่างการก่อสร้างโครงข่ายการคมนาคมรถไฟฟ้าสายสีชมพูที่เป็นระบบโมโนเรล (รถไฟฟ้ารางเดี่ยว) เส้นทางเริ่มจากแคราย – มีนบุรี ใกล้สถานีรามอินทรา 83 แวดล้อมด้วยสถานศึกษา โรงพยาบาล และห้างสรรพสินค้าชั้นนำ เช่น แฟชั่น ไอส์แลนด์ , ศูนย์การค้า เดอะ พรอมานาด เพียง 1.4 กม.และ MaxValu   เตรียมพบกับกันในงาน Thunder sale 19 -20 พ.ค.นี้ พร้อมเปิดให้ชมบ้านตัวอย่าง และรับสิทธิพิเศษมากมาย เฉพาะวันงานฟรี! Solar + EV Charger / ค่าโอนกรรมสิทธิ์ สำหรับลูกค้าที่สนใจสามารถลงทะเบียน http://bit.ly/SENA-ParkGrand หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร. 1775 กด 17
‘บ้านเดี่ยวเอพี’ จับมือ ‘กสิกรไทย’ จัดแคมเปญ ‘ULTIMATE PRIZE’ ผ่อนสบาย ลุ้น “เบนซ์ป้ายแดง”และที่สุดของข้อเสนอไร้ขีดจำกัด มูลค่ารวมกว่า 100 ล้านบาท

‘บ้านเดี่ยวเอพี’ จับมือ ‘กสิกรไทย’ จัดแคมเปญ ‘ULTIMATE PRIZE’ ผ่อนสบาย ลุ้น “เบนซ์ป้ายแดง”และที่สุดของข้อเสนอไร้ขีดจำกัด มูลค่ารวมกว่า 100 ล้านบาท

  บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ สำหรับคนเมือง นำโดย นายรัชต์ชยุตม์ นันทโชติโสภณ รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานพัฒนาธุรกิจกลุ่มสินค้าบ้านเดี่ยว จัดแคมเปญใหญ่ในรอบปี ‘ULTIMATE PRIZE’ กับกองทัพบ้านเดี่ยวพร้อมอยู่ภายใต้แบรนด์ CENTRO, THE CITY, MIND และ THE PALAZZO กว่า 25 โครงการ ราคาเริ่มต้นที่ 4.99 – 35 ล้านบาท มอบที่สุดของข้อเสนอไร้ขีดจำกัดมูลค่ารวมกว่า 100 ล้านบาท พร้อมดีลพิเศษทางการเงินจากธนาคารกสิกรไทย รับอัตราดอกเบี้ยพิเศษ 0.75%  ในปีแรก พร้อมผ่อนเพียงล้านละ1,000 บาทต่อเดือน พิเศษสำหรับลูกค้าที่จองซื้อในระยะเวลาแคมเปญ ลุ้นรับ รับ Mercedes-Benz GLA ร่วมพิสูจน์  ความยิ่งใหญ่ของแคมเปญ ‘ULTIMATE PRIZE’ ได้แล้ววันนี้ – 17 มิถุนายนนี้เท่านั้น พบกับข้อเสนอพิเศษนี้ได้ที่ Sales Gallery ของโครงการที่ร่วมรายการ
ไนท์แฟรงค์ประเทศไทยรายงานแนวโน้มตลาดคอนโดมิเนียมระดับไพร์มและซูเปอร์ไพร์ม ราคาขายเฉลี่ยคอนโดมิเนียมระดับซูเปอร์ไพร์มสูงสุดเป็นประวัติการณ์

ไนท์แฟรงค์ประเทศไทยรายงานแนวโน้มตลาดคอนโดมิเนียมระดับไพร์มและซูเปอร์ไพร์ม ราคาขายเฉลี่ยคอนโดมิเนียมระดับซูเปอร์ไพร์มสูงสุดเป็นประวัติการณ์

จากรายงานวิจัยของไนท์แฟรงค์ประเทศไทย คาดว่าในปีพ.ศ. 2561 ตลาดคอนโดฯระดับไพร์มและซูเปอร์ไพร์มในกรุงเทพฯจะเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องตามปริมาณอุปทานที่เพิ่มขึ้นและความต้องการที่มากขึ้นเรื่อยๆ โดยนักพัฒนาโครงการอสังหาฯยังคงเปิดตัวโครงการใหม่ๆ ตลอดทั้งปีนี้ เนื่องจากอสังหาฯและยูนิตระดับไฮเอนด์ในกรุงเทพฯยังคงดึงดูดความสนใจจากผู้ซื้อทั้งในและนอกประเทศ การพัฒนาในพื้นที่ทำเลทองอย่างบริเวณไพร์มสุขุมวิทและลุมพินีกลางจะยังคงมีอยู่ตลอด สำหรับด้านอุปสงค์ ความต้องการยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอยู่เรื่อยๆ เนื่องจากอุปทานระดับไพร์มมีจำนวนจำกัดและส่วนใหญ่มักถูกครอบครองโดยกลุ่มผู้ซื้อชาวไทยที่ร่ำรวย อย่างไรก็ตามคาดว่าจะเห็นผู้ซื้อชาวต่างประเทศมากขึ้นในตลาดนี้ โดยเฉพาะผู้ซื้อชาวจีน, ฮ่องกง และไต้หวัน สำหรับราคาขายเฉลี่ยคาดการณ์ว่าจะปรับสูงขึ้นตามปัญหาการขาดแคลนของที่ดินในย่านไพร์มและการเพิ่มขึ้นของราคาที่ดิน ซึ่งทำให้นักพัฒนาโครงการมีทางเลือกน้อย โดยจำเป็นต้องสร้างโครงการราคาสูงเพื่อให้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายในการลงทุน   ภาพรวมตลาด ตลาดคอนโดฯระดับไพร์มและซูเปอร์ไพร์มในกรุงเทพฯ ณ สิ้นปีพ.ศ. 2560 แสดงอัตราการครอบครองที่ปรับลดลง แต่ยังคงรักษาแนวโน้มการเติบโตของตลาดและการพัฒนาโครงการ โดยในพื้นที่ย่านไพร์มมีโครงการใหม่ๆ ที่กำลังเกิดขึ้นซึ่งสร้างมาตรฐานการใช้ชีวิตที่สูงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในย่านที่อยู่อาศัยชั้นนำอย่างในบริเวณไพร์มสุขุมวิทและลุมพินีกลางที่มีอุปทานใหม่เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ในขณะเดียวกันผู้พัฒนาโครงการชั้นนำในตลาดนี้ทำการยกระดับตลาดคอนโดฯ ไพร์มและซูปเปอร์ไพร์มในกรุงเทพฯ โดยร่วมมือกับบริษัทก่อสร้างและสถาปัตยกรรมชั้นนำ เพื่อสร้างโครงการที่เน้นความโดดเด่นและทันสมัย สำหรับด้านอุปสงค์ ตลาดคอนโดฯระดับไพร์มและซูเปอร์ไพร์มในกรุงเทพฯ แสดงอัตราการชะลอตัวลงในบางพื้นที่ ในช่วงปีพ.ศ. 2560 เนื่องจากยังมีอุปทานสะสมอยู่ในตลาดเป็นจำนวนมาก แม้อุปสงค์จะแสดงอัตราลดลง แต่ราคาขายเฉลี่ยต่อตารางเมตรยังคงปรับสูงขึ้นเนื่องจากปัญหาที่ดินพัฒนาที่มีจำกัดบนถนนสายหลักและการเพิ่มขึ้นของราคาที่ดิน   จากสุขุมวิทถึงลุมพินีกลาง และสาทรถึงริมฝั่งแม่น้ำ อุปทานคอนโดฯระดับไพร์มและซูเปอร์ไพร์มในกรุงเทพฯในปีพ.ศ. 2560 แสดงอัตราการเพิ่มขึ้นมากถึงร้อยละ 135.8 และ 135.7 จากปีก่อนตามลำดับ โดยมีโครงการใหม่และกิจกรรมทางการตลาดอย่างต่อเนื่องในปี พ.ศ. 2560 อย่างไรก็ตามการเติบโตของอุปทานแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของนักพัฒนาโครงการต่อตลาดนี้ จากผลการสำรวจตลาดคอนโดฯ ระดับไพร์มและซูเปอร์ไพร์มใน กรุงเทพฯจะเห็นว่ามีการเปิดตัวโครงการประมาณ 7,200  ยูนิตในปีพ.ศ 2560 โดยร้อยละ 34 ตั้งอยู่ในบริเวณสุขุมวิท และบริเวณลุมพินีร้อยละ 24 บริเวณพระราม 4  อยู่ที่ร้อยละ 11 ส่วนที่เหลืออยู่ในบริเวณริมฝั่งแม่น้ำ, สีลม-สาทร, พญาไท และรัชดาภิเษก-พระราม 9 มีโครงการคอนโดฯระดับซูเปอร์ไพร์ม 10 แห่งที่มีจำนวนยูนิตรวมกัน 1,306 ยูนิตเปิดตัวในปีพ.ศ. 2560 โดยแสดงการเพิ่มขึ้นมากถึงร้อยละ135.7 จาก 554 ยูนิตในปีก่อนหน้า ในขณะเดียวกันอุปทานใหม่จากโครงการ 15  แห่งที่มียูนิตรวมทั้งสิ้น 5,876 ยูนิตเพิ่มเข้ามาในตลาดคอนโดฯระดับไพร์ม โดยแสดงการเพิ่มขึ้นร้อยละ 135.8 ปีต่อปี   กราฟที่ 1 และ 2 อุปทานสะสมคอนโดมิเนียมระดับไพร์มและซูเปอร์ไพร์ม                     ซูเปอร์ไพร์ม                                                                            ระดับไพร์ม   ที่มา:  ไนท์แฟรงค์ประเทศไทย     อุปสงค์ อุปสงค์ในปี พ.ศ. 2560 ตลาดคอนโดฯระดับไพร์มและซูเปอร์ไพร์มในกรุงเทพฯ ปรับตัวลดลง เนื่องจากมีปริมาณอุปทานสะสมอยู่ในตลาดเป็นจำนวนมาก ซึ่งผลลัพธ์จากปริมาณอุปทานที่เพิ่มขึ้นนี้ส่งผลให้อัตราการครอบครองในตลาดซูเปอร์ไพร์มลดลงประมาณร้อยละ 14 ปีต่อปีอยู่ที่ร้อยละ 67 ในขณะที่ความต้องการยูนิตระดับไพร์มมีอัตราการครอบครองเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 76.5ลดลงไปประมาณร้อยละ 2 ปีต่อปี แม้ว่าอัตราการครอบครองเฉลี่ยจะลดลงเนื่องจากมีปริมาณอุปทานสะสมอยู่ในตลาด แต่ปริมาณความต้องการตามข้อมูลสำรวจพบว่ายูนิตที่ขายออกต่อปีพุ่งสูงขึ้นทั้งในตลาดไพร์มและซูเปอร์ไพร์ม โดยก่อนหน้านี้มีการเติบโตอย่างเห็นได้ชัดอยู่ที่ประมาณ  3,370  ยูนิตปีต่อปี โดยเพิ่มขึ้นประมาณ 80  ยูนิตปีต่อปี นอกจากนี้ความต้องการของโครงการระดับไฮเอนด์ที่มีทำเลและรูปแบบที่ดียังคงเป็นที่น่าสนใจ โดยผู้ซื้อมักซื้อไว้เพื่อการอยู่อาศัยเองหรือเพื่อเก็งกำไรในระยะยาว   กราฟที่ 3 และ 4 อุปทาน อุปสงค์สะสมและอัตราการครอบครองของคอนโดฯระดับไพร์มและซูเปอร์ไพร์ม                        ซูเปอร์ไพร์ม                                                                         ระดับไพร์ม ที่มา:  ไนท์แฟรงค์ประเทศไทย   แนวโน้มด้านราคา ราคาขายเฉลี่ยของคอนโดฯระดับไพร์มและซูเปอร์ไพร์มที่เปิดตัวในปี พ.ศ. 2560 สูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยมีราคาขายเฉลี่ยอยู่ที่ 302,630 บาท/ตร.ม. และหากดูในแต่ละภาคตลาดย่อย จากผลสำรวจของไนท์แฟรงค์ประเทศไทย พบว่าราคาขายเฉลี่ยต่อตารางเมตรของคอนโดฯระดับซูเปอร์ไพร์มในกรุงเทพฯ เพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 26 ปีต่อปี โดยมีราคาอยู่ที่  366,745 บาท/ตร.ม. ในขณะที่ราคาขายเฉลี่ยของคอนโดฯระดับไพร์มปรับขึ้นไปที่ 238,515 บาท/ตร.ม. เพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 8 ปีต่อปี ทั้งนี้ราคาที่ปรับตัวสูงขึ้นถูกขับเคลื่อนด้วยปัจจัย 2 ประการ ได้แก่ ราคาที่ดินที่สูงขึ้นในพื้นที่ย่านไพร์ม และความต้องการสะสมจากผู้ซื้อที่ชะลอการซื้อเมื่อปี พ.ศ. 2559   กราฟที่ 5   ราคาขายเฉลี่ยต่อตารางเมตร   ที่มา:  ไนท์แฟรงค์ประเทศไทย   แนวโน้มด้านอุปทาน เมื่อเร็วๆนี้ นักพัฒนาโครงการไม่เพียงแค่ร่วมมือกับบริษัทสถาปัตยกรรมและบริษัทก่อสร้างที่มีชื่อเสียงเท่านั้น แต่ยังร่วมดำเนินงานกับศิลปินระดับประเทศและต่างชาติที่มีชื่อเสียงหลายราย เพื่อรังสรรค์ออกแบบที่พักอาศัยระดับไพร์มและเพื่อสร้างมาตรฐานใหม่ในการใช้ชีวิตในเมือง โดยจะเห็นได้ว่าในปัจจุบัน โครงการใหม่ๆ หลายแห่งออกแบบภายนอกอาคารให้มีความน่าสนใจ สวยงามและโดดเด่น ในขณะที่การออกแบบตกแต่งภายในเน้นความสร้างสรรค์และมีเอกลักษณ์ เลือกใช้วัสดุที่มีคุณภาพและเฟอร์นิเจอร์ที่ทันสมัย ยกตัวอย่างเช่นการออกแบบของดีไซน์เนอร์ชาวไทยและชาวต่างติที่มีชื่อเสียงบริเวณล็อบบี้หลักและพื้นที่ส่วนกลางของโครงการวิตโตริโอ สุขุมวิท 39 (VITTORIO Sukhumvit 39), เครื่องใช้ในครัวระดับไฮเอนด์ของ Gaggenau ที่ติดตั้งภายในโครงการสินธร ต้นสน (Sindhorn Tonson) และเฟอร์นิเจอร์จาก Ralph Lauren ในโครงการไนน์ตี้เอท ไวร์เลส (98  Wireless) ทั้งหมดนี้ถูกรังสรรค์เพื่อให้เหมาะกับการดำเนินชีวิตของกลุ่มผู้ซื้อเศรษฐี โดยโครงการคอนโดใหม่ๆ บางแห่งมีสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เช่น ห้องทำเล็บ, สปาและห้องนวด, สระว่ายน้ำสปา, และห้องรับประทานอาหารส่วนตัวที่มีพ่อครัวส่วนตัวจากโรงแรม 5 ดาวพร้อมให้บริการ                            
“ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ ประกาศผลประกอบการไตรมาสแรกเติบโต 60% รับรู้รายได้ 962.1 ล้านบาท กำไรสุทธิ 182.2 ล้านบาท

“ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ ประกาศผลประกอบการไตรมาสแรกเติบโต 60% รับรู้รายได้ 962.1 ล้านบาท กำไรสุทธิ 182.2 ล้านบาท

  บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) (LALIN) โชว์ศักยภาพแข็งแกร่งเหนือตลาดอย่างต่อเนื่อง ประกาศผลประกอบการไตรมาสแรก ปี 2561 มียอดรับรู้รายได้ที่ 962.1 ล้านบาท ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อนราว 45% นับเป็นการขยายตัวได้ดีอย่างต่อเนื่องจากที่บริษัทสามารถเติบโตในระดับสูงกว่า 30% ตลอดช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ในแง่ของกำไรสุทธิ บริษัทยังคงสามารถบริหารจัดการต้นทุนต่างๆ ได้เป็นอย่างดี ส่งผลให้ในไตรมาสแรกนี้ บริษัทมีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 182.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนถึง 60%   นายไชยยันต์ ชาครกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ภายใต้คอนเซ็ปท์ “บ้านที่ปลูกบนความตั้งใจที่ดี” กล่าวว่า แม้บริษัท คาดการณ์ภาพรวมของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2561 จะมีอัตราการเติบโตไม่มากนักราว 3-5% แต่ด้วยกลยุทธ์ที่วางเอาไว้ ประกอบกับการบริหารงานอย่างมืออาชีพ จึงมีความเชื่อมั่นว่าในปีนี้จะเป็นอีกปีที่บริษัทสามารถเติบโตได้สูงกว่าอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่องเช่นเคย โดยในไตรมาสแรกนี้บริษัทมียอดรับรู้รายได้ที่ 962.1 ล้านบาท ซึ่งเติบโตได้ราว 45% ในขณะที่ยอดขายสามารถทำได้ราว 1,500 ล้าน นอกจากนี้ บริษัทยังคงสามารถบริหารจัดการต้นทุนต่างๆ ได้ดี โดยมีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 39.9% ซึ่งสูงเป็นลำดับต้นๆ ของบริษัทในตลาดฯ ในส่วนของต้นทุนการขายและบริหาร บริษัทยังคงสามารถบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ในไตรมาสแรกนี้บริษัทมีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 182.2 ล้านบาท ขยายตัวขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนราว 60%   สำหรับการขยายธุรกิจ ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา บริษัทได้เปิดโครงการใหม่ไปทั้งสิ้น 2 โครงการ มูลค่าประมาณ 800 ล้านบาท โดยในไตรมาสสองมีแผนที่จะเปิดอีก 1 - 2 โครงการ มูลค่าประมาณ 1,200 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามแผนธุรกิจในปีนี้ที่จะมีการเปิดโครงการใหม่ 8 – 10 โครงการ มูลค่ารวม 4,500 - 5,000 ล้านบาท ในแง่ของโครงสร้างเงินทุน แม้ว่าบริษัทจะมีการขยายธุรกิจอย่างมากในช่วง 2 - 3 ปีที่ผ่านมา แต่บริษัทยังคงรักษาระดับ Gearing ได้ดีกว่าค่าเฉลี่ยของตลาด โดย ณ สิ้นไตรมาสแรกนี้ บริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) อยู่ที่ 0.82 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยโดยรวมของอุตสาหกรรมซึ่งอยู่ที่ราว 1.3 - 1.4 เท่า สะท้อนความแข็งแกร่งทางด้านการเงินของบริษัท และความพร้อมในการขยายธุรกิจของทางบริษัทได้เป็นอย่างดี   ทั้งนี้ตามมติที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2561 เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2561 ที่ผ่านมา ได้มีมติอนุมัติจัดสรรกำไรสำหรับผลการดำเนินงานประจำปี 2560 โดยให้จ่ายปันผลทั้งปีในอัตราหุ้นละ 0.30 บาท ซึ่งหากคิดจากราคาหุ้นของบริษัทในปัจจุบัน จะมี Dividend Yield อยู่ที่ราว 5.3 % ทั้งนี้บริษัทได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลไปแล้วในอัตราหุ้นละ 0.135 บาท ดังนั้นจะคงเหลือจ่ายปันผลเป็นเงินสด ในงวดนี้อีก 0.165 บาท ซึ่งได้จ่ายให้ผู้ถือหุ้นไปแล้วเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2561 ที่ผ่านมา

1 ... 69 70 71 ... 105