We Recommend

เสนาฯ รับมือแผ่นดินไหว มองหาโอกาส เสริมเกราะธุรกิจอสังหาฯ อย่างยั่งยืน

เสนาฯ รับมือแผ่นดินไหว มองหาโอกาส เสริมเกราะธุรกิจอสังหาฯ อย่างยั่งยืน

เสนาฯ รับมือแผ่นดินไหว มองหาโอกาส เสริมเกราะธุรกิจอสังหาฯ อย่างยั่งยืน หลังจากที่ประเทศไทยต้องเผชิญกับเหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อ 28 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในภาคอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะกลุ่มอาคารแนวสูงที่ถูกตั้งคำถามเรื่องความปลอดภัยในวงกว้าง ท่ามกลางสถานการณ์นี้ เราได้มีโอกาสพูดคุยกับ ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ถึงความคิดเห็นต่อสถานการณ์อสังหาฯ ต่อจากนี้ รวมถึงมาตรการต่างๆ ที่ทางเสนาฯ ได้มีการวางแผนไว้ ทั้งในด้านการให้ความช่วยเหลือกับลูกบ้าน ภาพรวมของตลาด และปรับตัวในอนาคต เสนาฯ เดินหน้าเต็มกำลัง มั่นใจลูกบ้านไม่ถูกทิ้ง หลังเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ผ่านมาทางฯ เสนา เร่งดำเนินมาตรการช่วยเหลือและฟื้นฟูความเชื่อมั่นของลูกบ้านในโครงการฯ อย่างเป็นระบบ โดยแบ่งการทำงานออกเป็น 3 เฟสหลัก ได้แก่     Phase 1: “สร้างความมั่นใจ” เร่งตรวจสอบความปลอดภัยของโครงสร้างอาคารอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะอาคารที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง จะได้รับการตรวจสอบโดยทีมวิศวกรของเสนาฯ ร่วมกับ ผู้เชี่ยวชาญอิสระ (Third Party) เพื่อความโปร่งใสและน่าเชื่อถือ   ส่วนอาคารแนวสูงและแนวราบที่มีผู้อยู่อาศัยแล้ว พบว่าไม่มีความเสียหายรุนแรง ลูกบ้านสามารถเข้าอยู่อาศัยได้ตามปกติ ซึ่งในเฟสนี้ทาง เสนาฯ ได้ดำเนินการแล้วเสร็จ 100%   Phase 2: “ตรวจสอบ” เน้นการ เก็บข้อมูลและปัญหาอย่างละเอียด เป็นการตรวจสอบเชิงลึกจากลูกบ้านแต่ละราย โดยได้มีการอำนวยความสะดวกให้แจ้งผ่าน “แอปพลิเคชัน SEN PROP” ซึ่งจะช่วยให้กระบวนการรับเรื่องและวิเคราะห์ปัญหาเป็นไปอย่างรวดเร็ว เพื่อการรวบรวมข้อมูลสำหรับงานประกันและซ่อมแซมทำได้รวดเร็วขึ้น   Phase 3: “การแก้ไข” ทาง เสนาฯ มีการร่วมมือกับพันธมิตรและผู้เชี่ยวชาญ ในการเข้าดำเนินการแก้ไขจุดที่ได้รับผลกระทบให้ตรงจุด เพื่อให้โครงการกลับสู่สภาพที่สมบูรณ์ที่สุด   จากแนวทางการทำงานที่แบ่งเป็นระยะและมีความต่อเนื่องนี้ ทำให้เห็นได้ชัดว่า เสนาฯ ไม่เพียงมองแค่การซ่อมแซมทางกายภาพ แต่ยังมุ่งมั่นสร้างความมั่นใจในจิตใจของลูกบ้านอย่างจริงจัง ซึ่งถือเป็นการสื่อสารเชิงบวกที่มีน้ำหนักมากในภาวะที่สถานการณ์ต่างๆ ยังคงสร้างความกังวลให้กับลูกบ้าน โดยเฉพาะการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้เพื่อเพิ่มความรวดเร็วในการสื่อสารกับลูกบ้านเป็นวงกว้าง อย่างแอปพลิเคชัน SEN PROP เพื่อรับฟังเสียงของลูกบ้าน   นอกจากนี้ ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ ยังได้สะท้อนมุมมองว่า วิกฤตในครั้งนี้ทำให้บริษัทมองเห็นโอกาสได้ชัดเจนมากขึ้น ในการนำเสนอเทคโนโลยีเพื่อการอยู่อาศัยแบบยั่งยื่น (Sustainable) จากที่ผ่านมา เสนาฯ เคยนำเสนอ “บ้านพลังงานแสงอาทิตย์” หลังจากเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ก็เป็นหนึ่งในแนวคิดที่ได้รับความนิยมสูงมาก จึงเหมือนเป็นการตอกย้ำว่า เหตุจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ ซึ่งเป็นผลกระทบส่วนหนึ่งจากปัญหาภาวะโลกร้อน และส่งผลกระทบในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องด้วย ดังนั้น เสนาฯ จึงเล็งเห็นถึงโอกาสในการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยแนวคิดใหม่ๆ ที่เป็นมิตรกับธรรมชาติและลดความกังวลกับภัยธรรมชาติ ที่อาจจะเกิดขึ้นได้อีก   หลังจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ผ่านมา เสนาฯ ได้นำแนวคิด ‘จีโอ ฟิต’ (Geo fit+) องค์ความรู้ในการพัฒนาโครงการอสังหาฯ ตามมาตรฐานญี่ปุ่น จาก Hankyu Hanshin Properties Corp. ซึ่งเป็นพันธมิตรร่วมทุนบริษัทฯ มาอย่างยาวนาน กลับมาทบทวนอีกครั้งเพื่อปรับใช้กับทุกโครงการต่อจากนี้ เพื่อเป็นการยกระดับคุณภาพและมาตรฐานความปลอดภัยให้เทียบเท่าสากลมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะ “Geo Mamoru” ที่เป็นแผนการรับมือเมื่อมีเหตุแผ่นดินไหวเกิดขึ้น ซึ่งประเทศญี่ปุ่นมีความเชี่ยวชาญในเรื่องนี้เป็นอย่างดี นอกจากการ “แจกคู่มือป้องกันภัยพิบัติ” ที่ทางเสนาฯ ตั้งใจจะทำเป็นอันดับแรกแล้ว ต่อจากนี้ยังจะพิจารณาในการนำแนวทางการป้องกันและรับมือในหัวข้อนี้ มาปรับใช้ให้เข้ากับโครงการมากขึ้นด้วย     ส่วนในด้านความเชื่อมั่นของลูกบ้านเสนาฯ ผศ.ดร.เกษรา กล่าวว่า กว่า 80% ของลูกบ้านเสนาฯ ให้ความมั่นใจคืนกลับมาแล้ว ด้วยทุกอาคารที่ก่อสร้างตั้งแต่ปี 2564 ถูกออกแบบให้รองรับแผ่นดินไหวอยู่แล้ว ดังนั้นความเสียหายที่เกิดขึ้นจึงถือว่าอยู่ใน เกณฑ์ที่ยอมรับได้ บวกรวมกับประสิทธิภาพของการสื่อสารและการลงมือแก้ไขอย่างรวมเร็วของทีมเสนาฯ ด้วย อสังหาฯไทย ดีมานด์จะเปลี่ยนไปมั้ย? ผศ.ดร.เกษรา ได้พูดถึงภาพรวมของอสังหาฯ ไทยต่อจากนี้ เชื่อว่าในไตรมาส 2-3 ดีเวลลอปเปอร์จะเริ่ม “ชะลอ” การเปิดคอนโด High Rise ใหม่เพื่อปรับให้สอดคล้องกับดีมานด์ เนื่องด้วยผลกระทบในความเชื่อมั่นโครงการ High Rise จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ผ่านมา ส่วนโครงการแนวราบคงจะได้รับความสนใจมากขึ้น แต่ทั้งนี้ก็เชื่อว่า “ทำเล” เป็นปัจจัยหลักในการตัดสินใจเลือกที่อยู่อาศัย ด้วยพฤติกรรมของคนจะ“ติดทำเล” มากกว่า โดยเฉพาะทำเลที่คุ้นเคย เดินทางสะดวก ใกล้ที่ทำงานหรือครอบครัว  ทั้งนี้ผู้พัฒนาโครงการ (Developer) คงจะต้องมีการปรับตัว พัฒนาสินค้า รวมถึงวางแผนเพื่อรับมือกับแรงกดดันรอบด้าน ทั้งด้านการเงิน การตลาด และการดึงความเชื่อมั่นของผู้บริโภคกลับมา เสนาฯ กับแผนรับมือสถานการณ์เลวร้าย เพื่อรับมือกับภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอนและความเสี่ยงรอบด้าน เสนาฯ ได้วางแผนฟื้นฟูอย่างครอบคลุม โดยเฉพาะการ จัดการกระแสเงินสดและหนี้สินอย่างมีระบบ พร้อมตั้งเป้า ลดสัดส่วนการพึ่งพาหุ้นกู้ และสร้างรูปแบบธุรกิจใหม่ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภครุ่นใหม่ นอกจากนี้ เสนาฯ ยังให้ความสำคัญกับการเลือกพันธมิตรธุรกิจร่วมทุน (JV) ที่เหมาะสม เพื่อช่วยเสริม ศักยภาพด้านเงินทุนและการวิจัยพัฒนาโครงการใหม่ๆ โดยเฉพาะในช่วงที่ต้นทุนสูงและการเข้าถึงแหล่งเงินทุนยากขึ้น   ทางเสนาฯ เห็นโอกาสในสถานการ์เศรษฐกิจในปัจจุบัน จากปัญหาหนี้ครัวเรือนทำให้กระทบต่อสภาพคล่อง จึงพัฒนาโมเดล “SENA LivNex” (เช่าออมบ้าน) เพื่อมาตอบโจทย์กลุ่มคนที่อยากมีบ้านเป็นของตัวเอง แต่ยัง ไม่พร้อมกู้ธนาคารในตอนนี้ เพื่อเป็นการกระตุ้นกำลังซื้อแฝงให้เข้าสู่ระบบ ไปพร้อมกับการเพิ่มยอดขายจากโครงการที่มีอยู่ในมืออีกทาง     ซึ่ง SENA LivNex เป็นโปรแกรมที่คัดกรองและประเมินศักยภาพของผู้ซื้อจริงในอีก 3 ปีข้างหน้า ผู้ที่เข้าร่วมโปรแกรมจะทำสัญญาเช่า แบบมีเงื่อนไข "เงินที่จ่ายทุกเดือน = เงินออม" เป็นระยะเวลา 36 เดือน โดยมีค่าผ่อนต่อเดือนเฉลี่ย 5,500 บาท/ล้านบาท เมื่อครบกำหนดแล้วก็สามารถนำเงินที่จ่ายไปทั้งหมด มาหักเป็นเงินต้นในการขอสินเชื่อได้ โดยปัจจุบันมีลูกค้าได้รับการตอบรับเข้าร่วมแล้วกว่า 1,000 ยูนิต และยังคงมีกลุ่มที่ให้ความสนใจเพื่อเข้าร่วมโปรแกรมอีกราว 100 ราย   SENA LivNex ไม่ใช่แค่โมเดลเช่า-ซื้อ ที่ทางเสนาฯ พยายามหาแนวทางเพื่อมาตอบโจทย์หนี้ครัวเรือนของคนไทย แต่เป็นการแสดงให้เห็นถึงความเข้าใจในความต้องการของตลาดที่อยู่อาศัย ที่จะมาช่วยให้คนกลุ่มนี้ “เข้าถึงการเป็นเจ้าของบ้าน” ได้จริง และนับเป็นกลยุทธในการปรับตัวที่ไม่ใช่แค่ทำเพื่ออยู่รอด แต่อาจจะเป็นหมัดเด็ดที่จะนำให้ เสนาฯ เป็นผู้พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย ที่โดดเด่นต่างจากรายอื่นๆ ในปัจจุบัน   สามารถดาวน์โหลดและอ่าน “คู่มือป้องกันภัยพิบัติ” ผ่านแอปพลิเคชันได้ที่ลิงก์นี้ : https://bit.ly/3XJjMUj     บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ เปิดแล้ว ‘Design Village Ratchada’ Community Living Mall 5 สิ่งที่คนติดตั้งโซลาร์เซลล์บ้านห้ามพลาด!  

[Preview] SUPALAI BLU สาทร-ราชพฤกษ์ คอนโดฯ ฝั่งธนฯ ขับรถยนต์ 10 นาทีถึงสาทร

[Preview] SUPALAI BLU สาทร-ราชพฤกษ์ คอนโดฯ ฝั่งธนฯ ขับรถยนต์ 10 นาทีถึงสาทร

SUPALAI BLU สาทร-ราชพฤกษ์ คอนโดฯ ฝั่งธนฯ ขับรถยนต์ 10 นาทีถึงสาทร SUPALAI BLU สาทร-ราชพฤกษ์ คอนโดมิเนียม High Rise สี Blue Nova สูง 32 ชั้น 771 ยูนิต ขนาดพื้นที่โครงการ 4 ไร่กว่า พร้อมแบบห้องหลากหลายให้เลือกได้ตรงใจ ตั้งแต่ 1-3 ห้องนอน ขนาด 29-122.5 ตารางเมตร ในราคาเบาๆ เริ่มต้น 1.89 ล้านบาท โล่ง โปร่ง สบาย ด้วยเพดานสูง 2.7 เมตร อีกทั้งรองรับการใช้ชีวิตกับดีไซน์แบบ Multi-Function Living ที่ออกแบบพื้นที่ให้ตอบโจทย์ทุกการอยู่อาศัย พร้อมครัวปิดเป็นสัดส่วน ดีไซน์ชีวิตเองได้หลากหลายกับ Favorite Corner ที่ให้มุมโปรด..ปรับเปลี่ยนได้ตามใจ ส่วนใครที่ของเยอะก็หมดปัญหาสัมภาระล้นห้อง ด้วยห้องเก็บของส่วนตัวสำหรับยูนิตพิเศษ และใช้ชีวิตแบบที่วาดฝันไว้ บนจักรวาลส่วนกลาง     เดินทางได้สะดวกสบายมากกว่า เพราะ SUPALAI BLU สาทร-ราชพฤกษ์ เชื่อมต่อใจกลางเมืองด้วยสถานีบางหว้า Interchange ครบครันทั้งรถไฟฟ้า BTS และ MRT พร้อม Shuttle Service รับ-ส่งถึงสถานี ทำเลศักยภาพ ติดถนนใหญ่ มุ่งสู่สาทรเพียง 10 นาที โดยแวดล้อมด้วยแหล่งอำนวยความสะดวกครบครัน อาทิ รพ.พญาไท 3, ตลาดพลู, เดอะมอลล์ ไลฟ์สโตร์ ท่าพระ, มหาวิทยาลัยสยาม, ไอคอนสยาม, รร.กรุงเทพคริสเตียน และรร.อัสสัมชัญ แนวคิดในการออกแบบอาคาร ตัวอาคารออกแบบด้วยคอนเซ็ปต์ Stella Nova หรือนวดารา โดยนำองค์ประกอบของอวกาศมาใช้ในการออกแบบคือ • Flow ความพริ้วไหวไหลลื่นอิสระของเส้นในห้วงอวกาศ เส้นแสงแห่งดวงดาว ความอิสระที่มอบผ่านเส้นให้งานออกแบบรู้สึกถึงความเคลื่อนไหวเป็นเอกลักษณ์ • Unique เอกลักษณ์จากสี Blue Nova ให้ความรู้สึกถึงจักรวาล โทนสีน้ำเงินที่โดดเด่นไม่เหมือนใคร และเป็นสีที่สื่อถึงความสงบและอิสระ • Twinkle ประกายระยิบระยับจากดวงดาว สู่องค์ประกอบของอาคารเพื่อเพิ่มจุดเด่นของจักรวาล   แนวคิดในการวางผัง เน้นการออกแบบที่คำนึงถึงการประหยัดพลังงาน อาคารจึงถูกออกแบบและให้ความสำคัญในเรื่องต่างๆ อาทิ การวางผังโครงการเพื่อลดความร้อนจากแสงแดดยามบ่าย เข้ามาภายในอาคารและห้องพักอาศัย โดยวางอาคารเป็นรูปตัว I โดยหันด้านอาคารตามแนวทิศเหนือ-ใต้ เพื่อลดการตกกระทบจากแสงแดด และเปิดมุมมองไปยังภายนอกได้โดยรอบโครงการ การใช้กระจกเขียวตัดแสงและระเบียงเฉียงเพื่อลดความร้อนจากแสงแดดภายนอกเข้าสู่ตัวอาคาร ห้องพักที่สามารถรับลมและแสงแดดจากธรรมชาติได้ดีขึ้น อีกทั้งยังใช้วัสดุก่อสร้างที่เป็นมิตรต่อผู้พักอาศัยและสิ่งแวดล้อม สวนพื้นที่สีเขียวในโครงการขนาดใหญ่มีถึง 3 ชั้น เพื่อให้การพักผ่อนของผู้อยู่อาศัยที่ใกล้ชิดธรรมชาติ และยังช่วยลดความร้อนที่จะเข้าสู่ตัวอาคาร   Facility Full Facilities จัดเต็มส่วนกลางที่มากถึงกว่า 20 รายการ อาทิ BLU Aqua Pool สระว่ายน้ำไซส์เท่าสระโอลิมปิก, Stella Lounge, Sky Jogging Track, BLU Active Gym และ Galaxy Theater   ชั้น 1 • Starry Lobby พื้นที่พักคอย ใช้สำหรับการนั่งพักผ่อน และทำกิจกรรมต่างๆ ในส่วนโซนที่นั่งทำงาน มีมุมบาร์เล็กๆ ส าหรับนั่งอ่านหนังสือ และโซนประชุมขนาดเล็ก ที่จัดส่วนพื้นที่ใช้งานกันกับห้อง Mailbox • Kid’s Planet สนามเด็กเล่น ส าหรับปีนป่ายมีติดตั้งสไลด์เดอร์ • Natural Space สวนชั้น 1 มีรูปแบบการปลูกลายเส้นไม้พุ่ม สอดคล้องกับคอนเซ็ปต์อวกาศที่ลายพื้นทางเข้า สวนพื้นที่ค่อนข้างใหญ่ ทำให้เพิ่มมุมมองที่สวยงามของส่วนต้อนรับ โซน Drop off มีน้ำพุประติมากรรม • BLU Storage ห้องเก็บของส่วนบุคคล ภายห้องเป็นห้องเปล่า ระบบให้แสงสว่างแบบแบตเตอรี่   ชั้น 6 • BLU Aqua Pool สระว่ายน้ำ ขนาด 50 เมตร แบบ Infinity Edge Pool ระบบเกลือ มี Pool Bed และ Jacuzzi • BLU Active Gym พื้นที่สำหรับออกกำลังกาย • BLU Active Space พื้นที่ทำกิจกรรม ที่มาพร้อมเครื่องเล่นเกม และอุปกรณ์ต่างๆ ตกแต่งในแนว Active • Hybrid Club มีโซน Live สด และโซนทำอาหารแบบครัวไม่หนัก และพื้นที่สำหรับนั่งคุยงานหรือเรียนพิเศษอ่านหนังสือ • Galaxy Theater ห้องดูหนังสำหรับคนทุกกลุ่ม มีโซนโซฟาด้านใน ที่มากันเป็นคู่หรือมาชมกันเป็นครอบครัวได้ • BLU Terrestrial (Terrestrial แปลว่ากลุ่มดาวเคราะห์) เป็นพื้นที่ทำกิจกรรมกึ่งภายนอก (ไม่ปรับอากาศ) สำหรับนั่งพัก และทำกิจกรรมต่างๆ มากมาย และที่มีนั่งแบบชิงช้า • Rock Climbing ที่ปีนหน้าผาจำลอง • Orbit Garden สวนพักผ่อนชั้น 6 มี Gazebo สำหรับนั่งชมวิว   ชั้น 32 • Sky Garden พื้นที่สวนชั้น 32 มีจุดนั่งชมวิว และสวนสำหรับพักผ่อน • Stella Lounge พื้นที่พักผ่อนที่อยู่สูงที่สุดสามารถชมวิวเมือง และชมวิวรอบๆ โครงการได้เป็นอย่างดี เป็นพื้นที่นั่งทำงาน และนั่งเล่นพักผ่อนได้ มีมุมอ่านหนังสือและเคาน์เตอร์บาร์ขนาดเล็กนั่งชมวิวได้ดี • Sky Jogging Track ทางวิ่งออกกำลังระยะทาง 100 เมตร มีจุดนั่งพักผ่อน และชมวิวในมุมที่สูงที่สุดในโครงการ   ค้นหาจักรวาลของคุณที่พร้อมให้เข้าชมห้องตัวอย่างได้แล้ววันนี้ ณ สำนักงานขายโครงการSUPALAI BLU สาทร-ราชพฤกษ์ ตั้งแต่เวลา 9.00-18.00 น. พิเศษ! เป็นเจ้าของก่อนใครในงาน Pre-sales วันที่ 26-27 ตุลาคมนี้ ลงทะเบียนก่อนเข้าเยี่ยมชมโครงการ รับส่วนลดพิเศษ 10,000 บาท เฉพาะช่องทางออนไลน์เท่านั้น https://bit.ly/47czAlK สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมโทร.1720 หรือ www.supalai.com   โครงการอื่นๆ ที่น่าสนใจ RHYTHM เจริญนคร ไอคอนิค คอนโดจาก AP THAILAND Supalai Sense Srinakarin - Staycation คอนโดแนวใหม่ ใกล้ห้างและรถไฟฟ้า SASARA Hua Hin โครงการสุดว้าว ติดหาดที่ดีที่สุดใน หัวหิน    

5 สิ่งที่คนติดตั้งโซลาร์เซลล์บ้านห้ามพลาด! ติดตั้งอย่างไรให้คุ้ม ง่าย และตอบโจทย์ผู้อยู่อาศัย

5 สิ่งที่คนติดตั้งโซลาร์เซลล์บ้านห้ามพลาด! ติดตั้งอย่างไรให้คุ้ม ง่าย และตอบโจทย์ผู้อยู่อาศัย

5 สิ่งที่คนติดตั้งโซลาร์เซลล์บ้านห้ามพลาด! ติดตั้งอย่างไรให้คุ้ม ง่าย และตอบโจทย์ผู้อยู่อาศัย ตอนนี้ทั่วโลกกำลังให้ความสำคัญกับปัญหาสิ่งแวดล้อมที่รุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นกระแสให้หลายประเทศรวมถึงประเทศไทย และหลายหน่วยงานใหญ่ต่างก็ตั้งเป้าหมายกับเรื่อง Sustainability เป็นนโยบายหลักขององค์กร ซึ่งต้องให้ความสำคัญกับความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อมและสังคม เช่น ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ลดปัญหาด้านพลังงานและหันมาให้ความสำคัญกับการใช้พลังงานทดแทน หรือพลังงานสะอาดมากขึ้น   หนึ่งในพลังงานทดแทนที่เป็นพลังงานสะอาดและได้รับความนิยมในประเทศไทย คือ “พลังงานแสงอาทิตย์” เนื่องจากเราเป็นประเทศที่มีแสงแดดจัดตลอดทั้งปี การใช้โซลาร์เซลล์ในไทยก็กำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นกัน ทั้งการมองหาพลังงานสะอาดทดแทนขององค์กรต่างๆ รวมถึงการติดตั้งเพื่อลดค่าไฟฟ้าของครัวเรือน ทำให้เห็นว่าตลาดโซลาร์เซลล์ในไทยมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง จึงมีหลากหลายแบรนด์ให้เลือกในท้องตลาด     วันนี้ Reviewyourliving จึงลิสสิ่งที่ห้ามพลาด! สำหรับผู้อยู่อาศัยที่กำลังตั้งเป้าหมายในการติดตั้งระบบโซลาร์ที่บ้าน ไม่ว่าจะทั้งเพื่อลดบิลค่าไฟของบ้าน หรือ มีส่วนในการช่วยลดภาวะโลกร้อนและหันไปใช้พลังงานสะอาดมากยิ่งขึ้น แน่นอนว่า สิ่งที่คนจะติดตั้งโซลาร์เซลล์คำนึงถึง มีมากมายหลายปัจจัย ขึ้นอยู่กับไลฟ์สไตล์และความต้องการของแต่ละครอบครัว แต่วันนี้เราจะหยิบยกตัวอย่างสำคัญๆ ที่ห้ามพลาด ลองมาดูกันว่า จะมีอะไรกันบ้าง     1. บิลค่าไฟ สิ่งแรกที่ต้องคำนึงถึง และขาดไม่ได้เลยก็คือ บิลค่าไฟ ซึ่งแต่ละบ้านมีค่าใช้จ่ายในการใช้ไฟฟ้าไม่เท่ากัน โดยหากย้อนกลับไปดูเรทค่าไฟฟ้าจะเห็นว่าตั้งแต่ปี 2564 ถึงปีที่ผ่านมา เรทค่าไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้นถึง 30% ค่าใช้จ่ายในการใช้ไฟฟ้าของแต่ละครัวเรือนจึงเพิ่มสูงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สำหรับบิลค่าไฟที่เริ่มมีความเหมาะสมในการติดตั้งระบบโซลาร์นั้น ขึ้นอยู่กับการใช้งานของแต่ละครอบครัว บางครอบครัวอาจคุ้มสำหรับการติดตั้งเมื่อบิลค่าไฟเพียง 4,000 บาท แต่บางบ้านที่มีไลฟ์สไตล์ต่างกัน อาจคุ้มค่าเมื่อบิลค่าไฟสูงกว่านี้ก็ได้   2. พฤติกรรมการใช้ไฟฟ้าของครอบครัว การติดตั้งระบบโซลาร์ของบ้านนั้น โดยทั่วไปประกอบด้วย 3 ส่วนหลัก คือ แผงโซลาร์เซลล์ อินเวอร์เตอร์ และแบตเตอรี่ โดยในบางครอบครัวที่ใช้ไฟฟ้าส่วนใหญ่ในตอนกลางวัน อาจติดตั้งเพียงแผงโซลาร์เซลล์ และ อินเวอร์เตอร์ ก็เพียงพอสำหรับการช่วยลดค่าไฟแล้ว แต่หากบ้านที่ไม่อยู่บ้าน ออกไปทำงานในตอนกลางวัน ใช้ไฟฟ้าส่วนใหญ่ตอนกลางคืน หรือมีรถยนต์ไฟฟ้าที่ต้องชาร์จไฟฟ้าในตอนกลางคืน การติดระบบโซลาร์แบบไม่มีแบตเตอรี่ ก็จะเสียพลังงานโซลาร์ที่ผลิตได้ตอนกลางวันไปแบบสูญเปล่า การติดระบบโซลาร์พร้อมแบตเตอรี่จึงเหมาะสมมากกว่า   3. การรับประกัน และบริการหลังการขาย ระบบโซลาร์มีหลากหลายอุปกรณ์จากหลากหลายแบรนด์ นำมาประกอบกันในระบบเดียว ซึ่งการใช้งานของระบบโซลาร์ เป็นการใช้งานในระยะยาว ดังนั้น คุณภาพและประสิทธิภาพของอุปกรณ์จึงเป็นสิ่งสำคัญ การรับประกันประสิทธิภาพของอุปกรณ์ที่ครอบคลุมในระยะยาวจึงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ นอกจากนี้ เมื่อระบบที่เกิดจากการประกอบกันจากหลากหลายแบรนด์ หากแต่ละอุปกรณ์มีปัญหา การติดต่อเพื่อขอรับประกันและบริการหลังการขาย อาจเป็นสิ่งที่ยุ่งยากของใครหลายๆ คน และอาจมีคนพบเจอถึงปัญหาที่แต่ละแบรนด์เกิดการตั้งคำถามกันเองว่า ปัญหาของระบบเกิดจากแผง เกิดจากอินเวอร์เตอร์ หรือเกิดจากแบตเตอรี่ แบรนด์ไหนกันแน่ที่ควรรับผิดชอบเรื่องการเคลมประกันในครั้งนี้ ดังนั้น การเลือกผู้ที่ติดตั้งแบรนด์เดียวครบทั้งระบบที่มีทั้งแผงโซลาร์เซลล์ อินเวอร์เตอร์ และแบตเตอรี่ รวมถึงแบรนด์ที่ให้บริการติดตั้ง รับประกัน และบริการหลังการขาย ก็จะได้รับทั้งในแง่ของความสะดวกสบาย และในแง่ของความมั่นใจในการทำงานร่วมกันว่าระบบจะสามารถมอบประสิทธิภาพการทำงานที่ปลอดภัยและมีคุณภาพสูงให้ได้   4. ดีไซน์ของระบบ ผู้ที่ติดตั้งระบบโซลาร์ แน่นอนว่า จะต้องพบเจอกับปัญหาของสายไฟมากมายที่ต้องเชื่อมกับทั้งอินเวอร์เตอร์ แผงโซลาร์เซลล์ ตู้โหลดไฟฟ้าภายในบ้าน และหากครอบครัวใดติดตั้งแบตเตอรี่ด้วยแล้วล่ะก็ ก็จะยิ่งมีสายไฟระโยงระยาง ระหว่างอินเวอเตอร์และแบตเตอรี่ในตัวบ้าน เกิดความไม่เป็นระเบียบเรียบร้อย รกรุงรัง ดูไม่สวยงาม เรียกได้ว่า หลายคนที่เพิ่งซื้อบ้านใหม่ บ้านสวยโมเดิร์น การเลือกดีไซน์ติดตั้งของระบบจึงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้   5. ดีไซน์และประสิทธิภาพของอุปกรณ์และตัวแผง เวลาตกแต่งบ้าน โดยทั่วไปเราจะเลือกสิ่งที่สวยและเข้ากับตัวบ้านได้มากที่สุด ระบบโซลาร์ก็เช่นกัน เพราะในเมื่อจะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของบ้านแล้ว ดีไซน์ที่เข้ากับตัวบ้านที่เป็นสิ่งที่ดูไม่สำคัญแต่จริงๆ แล้วสำคัญอย่างมาก ยิ่งใครที่มองไว้ว่าจะติดตั้งที่โรงรถหรือหน้าบ้าน เรียกได้ว่า ต้องเจออุปกรณ์นี้ในทุกๆ วัน นอกจากนี้ ดีไซน์ของแผงโซลาร์เซลล์ก็ไม่ควรมองข้าม เพราะนอกจากเรื่องความสวยงามที่เข้ากับหลังคาบ้านแล้ว หากตัวแผงสะท้อนแสงมากเกินไป ก็อาจจะรบกวนเพื่อนบ้าน ก่อเกิดปัญหาได้อีกด้วย อีกทั้งยังควรคำนึงถึงประสิทธิภาพของการผลิตไฟฟ้าของตัวแผงและอินเวอร์เตอร์ และความจุของแบตเตอรี่ที่เหมาะสมอีกด้วย   ทั้งหมดก็เป็นตัวอย่างของสิ่งที่ควรคำนึงถึงเมื่อจะติดตั้งระบบโซลาร์ที่บ้าน หลายคนที่อ่านถึงตรงนี้ อาจรู้สึกถึงความยุ่งยาก ซับซ้อน แล้วถ้ามีแบรนด์ที่มีระบบโซลาร์โซลูชันแบบครบวงจรสำหรับที่อยู่อาศัยโดยเฉพาะล่ะจะดีแค่ไหน? วันนี้เลยพามารู้จัก “EnergyLIB” แบรนด์แรกในประเทศไทย ที่นำเสนอระบบโซลาร์โซลูชันแบบครบวงจรสำหรับที่อยู่อาศัยกัน โดย EnergyLIB ชูจุดแข็งในด้าน one-stop solution ที่มีทั้งบริการติดตั้งพื้นฐาน[1] รับประกัน และบริการหลังการขาย ครบจบในแบรนด์เดียว เพื่อให้ระบบโซลาร์เป็นเรื่อง “ง่าย” และใกล้ตัวมากยิ่งขึ้น     นอกจากนี้ ยังมาพร้อมผลิตภัณฑ์ “EnergyLIB P1 All-In-One” ช่วย “ลดค่าไฟสูงสุด 70%[2] ใช้ไฟได้ทั้งกลางวัน-กลางคืน” ที่เรียกได้ว่าครบทั้งระบบ เพราะมีทั้ง Black Magic (แผงโซลาร์เซลล์) และเครื่อง All-In-One ที่รวมอินเวอร์เตอร์และแบตเตอรี่ไว้ในเครื่องเดียว โดย Black Magic (แผงโซลาร์เซลล์) ถูกออกแบบใหม่ในดีไซน์ Pure Black ไร้ช่องตาราง เมื่อติดตั้งบนหลังคาแล้วจะให้ความเรียบหรูสวยงาม พร้อมให้ประสิทธิภาพดูดซับแสงและความร้อนที่มากกว่า สูญเสียพลังงานแสงน้อยกว่าด้วยการลดแสงสะท้อน และยังมีระยะเวลาประกันนานถึง 25 ปี[3]     ในส่วนของเครื่อง All-In-One มาแก้ปัญหารูปแบบตู้ควบคุมและที่จัดเก็บแบตเตอรี่สำรองไฟเดิมๆ ที่มักจะไม่สวยงาม และมีสายเกะกะไม่สบายตา พอติดตั้งแล้วก็ทำให้บ้านไม่สวย ไม่เข้ากับตัวบ้าน ด้วยดีไซน์แบบโค้งมน พรีเมียม สบายตา ที่สำคัญตัวเครื่องได้รวมอินเวอร์เตอร์และแบตเตอรี่ในที่เดียว ไร้สายไฟระโยงระยางให้เกะกะสายตา ไม่ว่าจะนำไปวางที่ตำแหน่งใดของบ้านก็กลมกลืนไปกับการตกแต่งบ้านหลากสไตล์ และยังมีระยะเวลาประกันนานถึง 10 ปี[3]   ระบบโซลาร์โซลูชันแบบครบวงจรสำหรับที่พักอาศัยทาง EnergyLIB มีผลิตภัณฑ์ให้เลือกหลายรูปแบบตามความต้องการใช้กำลังไฟในแต่ละบ้าน ได้แก่     EnergyLIB P1 All-In-One ขนาด 8kW ใช้สำหรับระบบไฟ 1 เฟส ประกอบด้วย Black Magic (แผงโซลาร์เซลล์) และเครื่อง All-In-One ที่มาพร้อมอินเวอร์เตอร์และแบตเตอรี่ ราคา 359,000 บาท (รวมติดตั้งพื้นฐาน[1]) EnergyLIB P1 All-In-One ขนาด 15kW ใช้สำหรับระบบไฟ 3 เฟส ประกอบด้วย Black Magic (แผงโซลาร์เซลล์) และเครื่อง All-In-One ที่มาพร้อมอินเวอร์เตอร์และแบตเตอรี่ ราคา 549,000 บาท (รวมติดตั้งพื้นฐาน[1])     EnergyLIB P1 Lite ขนาด 6kW ใช้สำหรับระบบไฟ 1 เฟส ประกอบด้วย Black Magic (แผงโซลาร์เซลล์) และอินเวอร์เตอร์ ราคา 199,000 บาท (รวมติดตั้งพื้นฐาน[1]) EnergyLIB P1 Lite ขนาด 15kW ใช้สำหรับระบบไฟ 3 เฟส ประกอบด้วย Black Magic (แผงโซลาร์เซลล์) และอินเวอร์เตอร์ ราคา 399,000 บาท (รวมติดตั้งพื้นฐาน[1])   พรีออเดอร์ได้แล้วตั้งแต่วันนี้ – 22 กันยายน 2567 ที่ BaNANA ทุกสาขาทั่วประเทศและตัวแทนจำหน่าย พร้อมรับ EnergyLIB Voucher มูลค่าสูงสุด 30,000 บาท สัมผัสผลิตภัณฑ์จริงได้ที่ร้าน BaNANA เฉพาะสาขาที่ร่วมรายการ หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Facebook Official Page ของ EnergyLIB หรือ Call Center 02-070-7888   #EnergyLIB #EnergyLIBP1AllInOne #OneStopSolution #ลดค่าไฟสูงสุด70เปอร์เซ็นต์ #ใช้ไฟได้ทั้งกลางวันกลางคืน #โซลาร์เซลล์ ## หมายเหตุ [1] อาจมีค่าใช้จ่ายในการติดตั้งเพิ่มเติมหรือเปลี่ยนแปลง ภายหลังจากการสำรวจพื้นที่หน้างานจริง โดยขึ้นอยู่กับโครงสร้างและสภาพแวดล้อมของบ้าน [2] ปริมาณพลังงานไฟฟ้าคำนวณจากการใช้งาน EnergyLIB P1 All-In-One ระบบไฟ 3 เฟส ที่ติดตั้งแบตเตอรี่ 20 kWh และแผงโซลาร์เซลล์ 26 แผง โดยประสิทธิภาพและผลลัพธ์อาจแตกต่างกันขึ้นอยู่กับการใช้งานจริงและปัจจัยภายนอกอื่น ๆ อาทิ ปริมาณแสงแดดและความร้อน ความสะอาดของแผงโซลาร์เซลล์ อายุการใช้งานผลิตภัณฑ์ พฤติกรรมการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้า และอื่นๆ [3] โปรดศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ใบรับประกัน        

[Preview] The Holmes สาทร-กัลปพฤกษ์ พรีเมี่ยมทาวน์โฮม 3 ชั้น

[Preview] The Holmes สาทร-กัลปพฤกษ์ พรีเมี่ยมทาวน์โฮม 3 ชั้น

The Holmes สาทร-กัลปพฤกษ์ พรีเมี่ยมทาวน์โฮม 3 ชั้น โครงการ "เดอะโฮมส์ (สาทร-กัลปพฤกษ์)" พรีเมี่ยมทาวน์โฮมใหม่ล่าสุดจาก บริษัท เบญญารัตน์ จำกัด ปักหมุดบนทำเลถนนเทอดไท เดินทางสะดวกด้วยถนนสายหลักอย่างถนนเทอดไท, ถนนบางแค, ถนนเพชรเกษม และถนนกัลปพฤกษ์ สามารถเชื่อมต่อเข้าสู่ใจกลางเมืองอย่าง สาทร-สีลม ได้ไม่ยาก ใกล้รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน MRT สถานีบางแค และ รถไฟฟ้าสายสีเขียว BTS สถานีบางหว้า และสถานีวุฒากาศ อีกทั้งยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่พร้อมสำหรับการอยู่อาศัย ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวคู่แต่งงานใหม่ หรือครอบครัวขยาย และอยากได้พื้นที่ใช้สอยเพิ่มเติมสำหรับสมาชิกในบ้าน     "เดอะโฮมส์ (สาทร-กัลปพฤกษ์)"  ออกแบบบ้านในสไตล์ Modern Classic Retro Futuristic สื่อถึงคาแรกเตอร์ของผู้อยู่อาศัย ที่มีความต้องการที่ชัดเจน บ่งบอกถึงรสนิยมของตัวเองผ่านงานสถาปัตยกรรม และ Facade's ที่ผสานความโมเดิร์นและคลาสสิคไว้ด้วยกันอย่างลงตัว   Make Your Dream Fresh Start จุดเริ่มต้นใหม่ของชีวิต กับพรีเมี่ยมทาวน์โฮม 3 ชั้น ที่ออกแบบพื้นที่ใช้สอยภายในบ้านมาเพื่อตอบสนองทุกความต้องการของผู้อยู่อาศัยให้สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างลงตัว และพร้อมที่จะปรับเปลี่ยนฟังก์ชันภายในบ้านได้อย่างอิสระ โดดเด่นด้วยห้องนอนใหญ่รูปแบบ Penthouse เต็มพื้นที่ชั้น 3 พร้อมฟังก์ชันของแต่ละส่วนที่ชัดเจน ส่วนของที่นอน ส่วนของที่พักผ่อน Walk-in Closet และห้องน้ำที่มีขนาดใหญ่     "เดอะโฮมส์ (สาทร-กัลปพฤกษ์)" หนึ่งเดียวบนถนนเทอดไท ให้คุณเริ่มต้นชีวิตบนทำเลศักยภาพ ตอบโจทย์ Life Style ชีวิตคนเมืองรุ่นใหม่ พร้อมคลับเฮ้าส์หรู สระว่ายน้ำ พื้นที่สวนส่วนกลางในบรรยากาศร่มรื่น พร้อมความอุ่นใจของการอยู่อาศัยด้วยการรักษาความปลอดภัยได้มาตรฐาน ทั้งเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยดูแลตลอด 24 ชม. ติดตั้งกล้อง CCTV การเข้าออกโครงการด้วยระบบ Easy Pass     Hyde แบบบ้าน พรีเมี่ยมทาวน์โฮม 3 ชั้น หน้ากว้าง 5 เมตร บนที่ดินขนาดเริ่มต้น 18.1 ตร.วา พร้อมรองรับการจอดรถได้มากถึง 2 คัน ในขณะที่ภายในบ้านมีพื้นที่ใช้สอย 170.40 ตร.ม. แบ่งฟังก์ชันเป็น 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ พิเศษด้วย Master Bedroom รูปแบบ Penthouse เต็มพื้นที่ชั้น 3 ในราคาเริ่มต้น 4.99 ล้านบาท* เพียง 58 ยูนิตเท่านั้น