Tag : ข่าวอสังหาฯ

48 ผลลัพธ์
เปิดกลยุทธ์ “วนชัยกรุ๊ป” สู่รายได้ 20,000 ล้าน หลังหนีสงครามการค้าโลกหันมาบุกตลาดในประเทศ

เปิดกลยุทธ์ “วนชัยกรุ๊ป” สู่รายได้ 20,000 ล้าน หลังหนีสงครามการค้าโลกหันมาบุกตลาดในประเทศ

สงครามการค้าระหว่างประเทศสหรัฐอเมริกากับจีนที่เกิดขึ้น ปฏิเสธไม่ได้ว่าส่งผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมกับประเทศอื่นๆ ที่ทำมาค้าขายอยู่บนเวทีการค้าโลก  เพราะทั้ง 2 ประเทศมหาอำนาจ  มีทั้งขนาดเศรษฐกิจและขนาดของตลาดที่ใหญ่  จึงมีส่วนสำคัญต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลก   หลายบริษัทที่ทำธุรกิจโดยพึ่งพากับตลาดต่างประเทศ หรือการส่งออกเป็นหลัก ช่วงที่ผ่านมาจึงได้รับผลกระทบกับยอดขายและรายได้ ซึ่งไม่เติบโตอย่างที่คาดหวัง เพราะสภาพเศรษฐกิจโลกไม่ได้สดใสอย่างที่คิด ผู้ประกอบการเริ่มมองหาโอกาสทางการตลาด  เพื่อลดความเสี่ยงในการทำธุรกิจ  ไม่ว่าจะเป็นการมองหาตลาดใหม่ พัฒนาสินค้าให้ดีขึ้น ลดการพึ่งพาตลาดต่างประเทศ โดยหันมาหากลุ่มลูกค้าในประเทศแทน   "วนชัยกรุ๊ป" หนึ่งในผู้ดำเนินธุรกิจแผ่นไม้ทดแทนธรรมชาติ ก็เป็นหนึ่งในบริษัทที่มีรายได้หลักมาจากตลาดต่างประเทศ และต้องเจอกับผลกระทบจากสงครามการค้า ปัญหาเศรษฐกิจโลกที่มีความผันผวน ทำให้รายได้และการเติบโตของบริษัทผันผวนตามไปด้วย  ช่วงปี 2561 ที่ผ่านมาจึงเริ่มวางแผนและปรับกลยุทธ์การทำธุรกิจกันใหม่ ด้วยการปรับโครงสร้างธุรกิจ ตามแผนธุรกิจในระยะ 5 ปี (2561-2565)  เพื่อสร้างรายได้ 20,000 ล้านบาท โดยจะเพิ่มบทบาทและความสำคัญของตลาดในประเทศ  รวมถึงการขยายไปยังธุรกิจพลังงานเพิ่มมากขึ้น   นายวรรธนะ เจริญนวรัตน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท วนชัย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (VNG) เปิดเผยว่า ในช่วงเวลา 4- 5 ปีนี้  ผลการดำเนินงานของบริษัทมีทั้งกำไรมากที่สุดและในบางปีก็ขาดทุนมากที่สุด เป็นผลกระทบโดยตรงจากความผันผวนของตลาดคอมโมดิตี้ส์โลก เศรษฐกิจโลกอาจจะมีความผันผวนมากกว่านี้ในอนาคต ทำให้เรามีความจำเป็นต้องปรับโมเดลธุรกิจใหม่ ลดความเชื่อมโยงกับตลาดคอมโมดิตี้ส์ของโลก แต่จะพัฒนาให้ขายสินค้าในตลาดในประเทศเพิ่มขึ้น วางเป้าโกยรายได้ในประเทศหมื่นล้าน   แผนธุรกิจสำคัญของ “วนชัยกรุ๊ป” ภายหลังจากปรับโครงสร้างธุรกิจใหม่ คือ การสร้างรายได้ภายในประเทศให้ขึ้นมาเป็นอีกหนึ่งรายได้หลัก หรือมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 50% จากปัจจุบันมีอยู่ประมาณ​ 20-25%  เป็นการลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาตลาดต่างประเทศเพียงอย่างเดียว ซึ่งหากสำเร็จตามแผนภายในปี 2565 จะสร้างรายได้ภายในประเทศ 10,000 ล้านบาท   ไม่เพียงแต่รายได้ในภาพรวมที่เติบโตเพิ่มมากขึ้น แต่ในด้านผลกำไรก็ถือเป็นเป้าหมายสำคัญที่บริษัทต้องการให้กลับมาอยู่ในอัตราที่สูงเท่าเดิม  เพราะปัจจุบันถือว่าอัตรากำไรขั้นต้น (Gross profit) ของบริษัทเหลือเพียง 10% จากก่อนหน้านี้มีประมาณ 25% ซึ่งเป็นผลจากภาวะเศรษฐกิจโลก  และต้นทุนการดำเนินธุรกิจที่เพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นราคาวัตถุดิบอย่างไม้ยางพารา ที่ปรับราคาสูงขึ้น ซึ่งหากเป็นไปตามแผนธุรกิจอัตรากำไรขั้นต้นน่าจะได้เห็น 25% ภายในอีก 2-3 ปีข้างหน้า   ผนึก “ไดนาสตี้" ลุยค้าปลีก กลยุทธ์ที่จะสร้างรายได้ 10,000 ล้านบาท คือ การบุกตลาดรีเทลภายในประเทศ  ซึ่งบริษัทได้วางแนวทางการตลาดที่สำคัญไว้ ดังนี้    1.การพัฒนาสินค้าใหม่ แต่เดิมบริษัทมุ่งเน้นการขายวัตถุดิบ เพื่อใช้สำหรับการผลิตเฟอร์นิเจอร์  และลูกค้าหลักในตลาดต่างประเทศ การหันมาบุกตลาดภายในประเทศ จึงจะพัฒนาสินค้าสำเร็จรูปออกขายให้มากขึ้น โดยมีครบตั้งแต่พื้นจนถึงฝ้าเพดาน อาทิ ไม้พื้นสำเร็จรูป ไม้ตกแต่งผนัง ประตูแบบต่างๆ เป็นต้น  รวมถึงผลิภัณฑ์ใหม่ ได้แก่ ไม้อัดเกล็ดเรียงชิ้น หรือ OSB (Oriented Strand Board) และแผ่นปิดไม้วีเนียร์   2.การพัฒนาช่องทางจำหน่าย บริษัทได้จัดตั้งบริษัท วนชัย วู้ดสมิธ จำกัด เพื่อพัฒนาตลาดการค้าปลีก ด้วยการเปิดร้านจำหน่ายสินค้าภายใต้แบรนด์ “วู้ดสมิตร” (Woodsmith) ซึ่งล่าสุดได้ทำบันทึกข้อตกลง (MOU) ร่วมกับ กลุ่มไดนาสตี้  เปิดพื้นที่ขายสินค้าภายในร้านไดนาสตี้  ขนาด 1,000 ตารางเมตร วางแผนขยายร้านให้ครบ 20 แห่งภายในปีนี้ จากปัจจุบันมีสาขาแล้ว 8 แห่ง และจะขยายให้ครบ100 แห่งภายในปี 2566 ซึ่่งในปีแรกคาดว่าจะทำยอดขายได้ 300 ล้านบาท และมียอดขาย 4,000 ล้านบาทในปี 2564   นอกจากช่องทางค้าปลีกแล้ว  บริษัทยังเตรียมพัฒนาช่องทางจัดจำหน่ายสินค้าออนไลน์ เพื่อรองรับกับพฤติกรรมผู้บริโภคปัจจุบัน และกลุ่มลูกค้าที่ต้องการได้รับความสะดวกในการสั่งซื้อสินค้า โดยเฉพาะกลุ่มช่าง และผู้รับเหมาที่รู้จักผลิตภัณฑ์แล้ว โดยคาดว่าภายในปี 2464 จะเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการ และคาดว่าจะทำรายได้ 20-30%   3.การพัฒนาระบบโลจิสติกส์ บริษัทได้ลงทุนจัดตั้งบริษัท วนชัย โลจิสติกส์ จำกัด ด้วยทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาท เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2562 ที่ผ่านมา ตามมติที่ประชุมกรรมการบริษัทเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2562 เพื่อรองรับกับการจัดส่งสินค้าให้กับลูกค้า โดยเฉพาะการจำหน่ายสินค้าทางออนไลน์ เนื่องจากปัจจุบันการจัดส่งสินค้ายังใช้บริการของผู้ประกอบการอื่นซึ่งมีต้นทุนสูง   นอกจากนี้ ยังได้เตรียมลงทุนศูนย์กระจายสินค้า (Distribution Center) 10 แห่ง  แต่ละแห่งจะมีขนาดพื้นที่ 5,000-8,000 ตารางเมตร  เพื่อเป็นจุดกระจายสินค้าไปยังสาขาต่างๆ ของร้านวู้ดสมิตร การจัดส่งสินค้าให้กับลูกค้าในแต่ละพื้นที่ และบางแห่งอาจจะใช้เป็นโชว์รูมแสดงสินค้าด้วย   4.การทำตลาดและสร้างการรับรู้ในผลิตภัณฑ์ เมื่อกลับมาบุกตลาดค้าปลีกในประเทศ บริษัทจึงต้องสร้างการรับรู้ในผลิตภัณฑ์ให้มากขึ้น แม้ว่าภาพลักษณ์แบรนด์จะเป็นที่ยอมรับว่าเป็นสินค้าคุณภาพ แต่กลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่ยังไม่รู้จักผลิตภัณฑ์ของบริษัทมากนัก ซึ่งนอกจากการสื่อสารและสร้างแบรนด์แล้ว  สิ่งที่บริษัทจะทำ คือ การสร้างการรับรู้ในกลุ่มลูกค้าเป้าหมายหลัก ได้แก่ กลุ่มช่าง กลุ่มผู้รับเหมา และสถาปนิก เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจในผลิตภัณฑ์ แผน 5 ปีเตรียมเงินลงทุนกว่าหมื่นล้าน  โดยตามแผนระยะ 5 ปี บริษัทได้เตรียมงบประมาณการลงทุนไว้กว่า 10,670 ล้านบาท เพื่อใช้ในการขยายธุรกิจด้านต่างๆ แบ่งเป็น 1.โรงงานไฟฟ้าชีวมวล 4 โรง มูลค่า 2,400 ล้านบาท 2.พลังงานแสงอาทิตย์ หรือ Solar Roof 3 แห่ง มูลค่า 600 ล้านบาท 3.โรงงานผลิต OSB จังหวัดสุราษฎร์ธานี แห่งแรก มูลค่า 2,300 ล้านบาท และโรงงานที่ 2 มูลค่า 3,000 ล้านบาท 4.โรงงานแผ่นปิดไม้วีเนียร์ แห่งแรก มูลค่า 300 ล้าบาท และโรงงานที่ 2 มูลค่า 1,000 ล้านบาท 5.ศูนย์กระจายสินค้า มูลค่า 1,000 ล้านบาท 6.ระบบโลจิสติกส์ มูลค่า 70 ล้านบาท    
คูน เอสเตท ผุด คูเปอร์ สยาม เติมเต็มย่านนวัตกรรมแห่งสยาม ฉีกทุกคอนเซ็ปต์ครั้งแรกของวงการอสังหาฯ ไทยกับคอนโดแนวคิดใหม่ ‘Combo Loft’ ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ ชีวิตอิสระทั้งทำงาน และพักอาศัย

คูน เอสเตท ผุด คูเปอร์ สยาม เติมเต็มย่านนวัตกรรมแห่งสยาม ฉีกทุกคอนเซ็ปต์ครั้งแรกของวงการอสังหาฯ ไทยกับคอนโดแนวคิดใหม่ ‘Combo Loft’ ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ ชีวิตอิสระทั้งทำงาน และพักอาศัย

คูน เอสเตท จำกัด บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่นำเสนอแนวคิดใหม่ๆ ในการออกแบบที่อยู่อาศัยเพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ได้อย่างลงตัว บุกตลาดนิชพรีเมียม เข้ามาเติมเต็มผังเมืองใหม่ในย่านนวัตกรรมแห่งสยาม เพื่อยกระดับให้เป็นมหานครต้นแบบในด้านนวัตกรรม ฉีกคอนเซ็ปต์คอนโดด้วยแนวคิดใหม่เป็นครั้งแรกในวงการอสังหาริมทรัพย์ไทย ด้วยแนวคิด ‘Combo Loft’ คอนโดมิเนียมสไตล์ลอฟท์เหมาะกับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ที่สามารถจดทะเบียนเป็นบริษัทได้ และโซนที่พักอาศัยพรีเมี่ยมในชั้นสูง (Sky Residence) แห่งแรกในเมืองไทย เหมาะกับกลุ่ม Gen Y และ กลุ่มคนที่มีไลฟ์สไตล์ยุคใหม่  มูลค่าโครงการกว่า 1,300 ล้านบาท นายธเนศ อรุณวณิชย์พร กรรมการบริหาร บริษัท คูน เอสเตท จำกัด  เปิดเผยว่า คูเปอร์ สยาม ฉีกคอนเซ็ปต์ของคอนโดมิเนียมทุกรูปแบบที่เคยมีมา ด้วยการนำคอนเซปต์ที่มีอยู่ในต่างประเทศตามใจกลางเมืองใหญ่เข้ามาพัฒนาเป็นคอนเซปต์แรกในประเทศไทย เพื่อตอบโจทย์เทรนด์ชีวิต และพฤติกรรมคนยุค 4.0 และ Gen Y มีอิสระในการใช้ชีวิต เสพเทคโนโลยี ชีวิตติดออนไลน์ เปิดกว้างทางความคิด และวัฒนธรรม เป็นมนุษย์หลายงาน ที่ต้องรองรับทั้งการอยู่อาศัยและการทำงานไปพร้อมๆ กัน โดยมีจุดเด่นเป็นห้องสไตล์ Combo Loft อย่างแท้จริง และสามารถจดทะเบียนเป็นบริษัทได้ เพดานสูงถึง 4.6 เมตร พื้นที่สูงโปร่งและกว้าง ซึ่งเราตั้งเป้าเจาะกลุ่มคนไลฟ์สไตล์ยุคใหม่ที่สามารถทำงานจากที่บ้านได้ ใช้ชีวิตทันสมัยในแบบของตัวเอง และชื่นชอบการใช้จ่ายเพื่อสร้างความสุขให้ตัวเอง ด้วยทำเลที่ตั้งใจกลางเมือง บนถนนรองเมือง ห่างจากรถไฟฟ้าสถานีสนามกีฬาแห่งชาติเพียง 8 นาที ใกล้สิ่งอำนวยความสะดวกทุกอย่าง ในราคาเฉลี่ยเพียง 138,000 บาทต่อตารางเมตรเท่านั้น คูเปอร์ สยาม เป็นโครงการคอนโดมิเนียมไฮไรส์สูง 24 ชั้น 188 ยูนิต แบ่งเป็นโซน Combo Loft แบบ Single และ Double ขนาด 41-71 ตารางเมตร โซนพักอาศัยชั้นสูง หรือ Sky Residence แบบ 1,2 ห้องนอน ขนาด 30 – 67 ตารางเมตรและ เพนท์เฮ้าส์ดูเพล็กซ์ 3 ห้องนอน ขนาด 188 – 220 ตารางเมตร โดยใช้ลิฟท์แยกโซนเพื่อความเป็นส่วนตัว  ภายในออกแบบตกแต่งให้มีอิสระในการปรับเปลี่ยนให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของผู้พักอาศัย เลือกใช้วัสดุที่มีคุณภาพ และมีเอกลักษณ์ และคงไว้ซึ่งความโอ่อ่าหรูหรา พื้นที่ส่วนกลางได้รับการออกแบบให้รองรับการใช้ชีวิตในรูปแบบต่างๆ พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างครบครัน อาทิ Co-working space ห้องประชุมส่วนตัว และห้องอเนกประสงค์ ศาลาชมวิว สระว่ายน้ำพร้อมจากุชซี่ ฟิตเนส ห้องสำหรับเล่นเกมส์ สวนลอยฟ้า เพิ่มความสะดวกด้วยรถรับส่งจากโครงการไปยังสถานที่ต่างๆ อาทิ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มาบุญครอง สยามสแควร์ และบีทีเอสสถานีสนามกีฬาแห่งชาติ เป็นต้น นายธเนศ กล่าวเสริมว่า โครงการตั้งอยู่ในทำเลย่านสยาม-ปทุมวัน ซึ่งกำลังจะถูกพัฒนาให้เป็น ‘ย่านนวัตกรรม’ (Innovation District) ซึ่งเป็นแนวโน้มล่าสุดในการวางผังเมืองของรัฐบาลที่ได้ให้ทุนตั้งต้นกว่า 230 ล้านบาท เพื่อเชื่อมโยงการทำงานของภาคอุตสาหกรรม และภาคธุรกิจเข้าด้วยกัน สร้างตลาดนวัตกรรม นำไปสู่การสร้างชุมชนใหม่ ซึ่งเป็นรูปแบบใหม่ในการกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจของมหานครทั่วโลก ประกอบกับแผนงานการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐ ทั้ง โครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าในเขตกรุงเทพฯ ปริมณฑล และมอเตอร์เวย์ สำหรับภาคอสังหาริมทรัพย์มองว่า จะมีการเปลี่ยนเทรนด์ของคอนโดที่ชัดเจนขึ้นเพื่อให้สอดรับกับเทรนด์โลกที่เปลี่ยนแปลงไป  นางสาวอลิวัสสา พัฒนถาบุตร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีบีอาร์อี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวเพิ่มเติมว่า บริเวณโซนพื้นที่ย่านปทุมวัน โดยเฉพาะบนถนนรองเมือง ซึ่งเป็นพื้นที่ชุมชนเก่าแก่ใจกลางเมือง ถูกจับจองพื้นที่มาเป็นเวลานาน แต่อยู่ใกล้กับสยามในระยะที่สามารถเดินไปได้ ซึ่งในอนาคตพื้นที่บริเวณนี้จะถูกพัฒนาให้มีโครงการต่างๆ เกิดขึ้นเพื่อรองรับย่านนวัตกรรม ไลฟ์สไตล์ของคนในพื้นที่จะค่อยๆเปลี่ยนแปลงไป ตามเมืองที่เริ่มมีการขยายตัว  โดยเฉพาะโครงการที่เป็นไฮไรส์ คูเปอร์ สยาม จึงเป็นโครงการน่าลงทุนเป็นอย่างมาก เพราะเป็นโครงการแรกที่อยู่ในบริเวณนี้ซึ่งเปิดราคาได้อย่างคุ้มค่าเป็นอย่างมาก เพราะหากรอให้เมืองขยายมาก่อนคงหาราคาแบบนี้ไม่ได้แน่นอน อีกทั้งยังมีตลาดการศึกษาซึ่งมีดีมานด์ใหม่ทุกปี ไม่สิ้นสุด ในแง่ของดีมานด์-ซัพพลายในย่านปทุมวันนั้น ซัพพลายที่สร้างเสร็จแล้วมีเพียง 12,906 ยูนิต หรือคิดเป็น 10% ของซัพพลายทั้งหมด และที่กำลังก่อสร้างมีเพียง 4,013 ยูนิต หรือคิดเป็น 13% ของซัพพลายทั้งหมด ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่ต่ำมาก ในขณะที่ความต้องการคอนโดในย่านนี้มีสูงโดยอัตราการขายของคอนโดในย่านนี้สูงถึง 86% โดยราคาเริ่มต้นจะอยู่ที่ 4 ล้านบาท นางสาวอลิวัสสากล่าวโดยสรุปว่าโครงการที่มีราคา 4 ล้านบาท โดยราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 138,000 บาท/ต่อตารางเมตร และมีการออกแบบอย่างพิถีพิถัน เลือกใช้วัสดุที่มีคุณภาพระดับพรีเมี่ยม นับว่าหาได้ยากมากในทำเลใจกลางเมืองอย่างนี้ โครงการ คูเปอร์ สยาม จะเปิดขายอย่างเป็นทางการในเดือนกุมภาพันธ์นี้ ในราคาเริ่มต้น 4 ล้านบาท พร้อมรับส่วนลดพรีเซลล์สูงสุด 100,000 บาทเมื่อลงทะเบียนออนไลน์ผ่าน www.coopersiam.com สอบถามรายละเอียดโครงการเพิ่มเติมที่เบอร์ 089 459 5399 หรือ line@CooperSiam
‘เอพี’ มั่นใจ ศักยภาพไทยปี 61 แข็งแกร่ง ผนึกกำลัง ‘มิตซูบิชิ เอสเตท’ เดินหน้าลงทุนต่อเนื่องใน 4 คอนโดใหม่ รวมมูลค่าโครงการร่วมทุน 5 ปีสูงกว่า 74,430 ล้านบาท

‘เอพี’ มั่นใจ ศักยภาพไทยปี 61 แข็งแกร่ง ผนึกกำลัง ‘มิตซูบิชิ เอสเตท’ เดินหน้าลงทุนต่อเนื่องใน 4 คอนโดใหม่ รวมมูลค่าโครงการร่วมทุน 5 ปีสูงกว่า 74,430 ล้านบาท

เอพี ไทยแลนด์ ผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์สำหรับคนเมือง มุ่งมั่นพัฒนานวัตกรรมที่อยู่อาศัยเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน เชื่อมั่นศักยภาพเศรษฐกิจไทยปี 2561 สดใส บรรยากาศการซื้อขายกลับสู่ภาวะปกติ ดีมานด์ตลาดคอนโดระดับกลางถึงบนตลาดตอบรับดี ผนึกกำลัง มิตซูบิชิ เอสเตท กรุ๊ป พันธมิตรทางธุรกิจ กางแผนพัฒนาปี 61 เร่งสานต่อการลงทุนหลังแผนการโอนกรรมสิทธิ์ 6 คอนโดร่วมทุนแรกออกมาสวยงาม ด้าน มิตซูบิชิ เอสเตท กรุ๊ป ประกาศงบลงทุนในไทย มูลค่ารวมไม่ต่ำกว่า 20,000 ล้านบาท ประเดิมลงนามร่วมทุนคอนโดแพคแรกกับ 4 โครงการใหญ่ รวมมูลค่าโครงการร่วมทุน 5 ปี สูงกว่า 74,430 ล้านบาท นายอนุพงษ์ อัศวโภคิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน)  กล่าวว่า “เอพี ไทยแลนด์ ได้ยกระดับความร่วมมือทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง กับ มิตซูบิชิ เอสเตท กรุ๊ป  (หรือ MECG) ยิ่งขึ้นเป็นปีที่ 5 โดยต้นปี 2561 นี้เอพี ไทยแลนด์ และมิตซูบิชิ เอสเตท กรุ๊ป มีแผนที่จะพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมระดับกลาง-บนอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงต้นปีได้มีการลงนามในสัญญาความร่วมมือพัฒนาคอนโดมิเนียมร่วมกัน จำนวน 4 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 23,000 ล้านบาท โดย LIFE สุขุมวิท 62 จะเป็นโครงการแรกที่พร้อมเปิดในเดือนมีนาคม ผ่านระบบ AP i-Booking และโครงการอื่นๆ จะทยอยเปิดตัวตามแผนงานที่กำหนดไว้ ณ ปัจจุบันรวมมูลค่าโครงการร่วมทุน 5 ปีสูงถึง 74,430 ล้านบาท” “เอพีและมิตซูบิชิ เอสเตท กรุ๊ป ถือเป็นพันธมิตรทางธุรกิจรายเดียวที่มีโมเดลร่วมทุนในแบบการจัดตั้งบริษัทแม่ในไทย ภายใต้ชื่อ “บริษัท พรีเมียม เรสซิเดนท์ จำกัด” เพื่อทำหน้าที่บริหารจัดการโครงการภายใต้การร่วมทุน ซึ่งในปีนี้ทางมิตซูบิชิ เอสเตทได้ส่งทีมงานจากญี่ปุ่นที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน มานั่งทำงานประจำร่วมกับทีมงานเอพีเพิ่มมากขึ้น เพื่อความสะดวกรวดเร็วในการอนุมัติและดำเนินการต่างๆ แผนการร่วมทุนกับกลุ่มมิตซูบิชิ เอสเตท ยังคงเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างการเติบโตทางธุรกิจแบบก้าวกระโดด โดยในปีที่ผ่านมา เอพีได้พัฒนาคอนโดมิเนียมร่วมทุนใน Scale ที่ใหญ่ขึ้น   ทั้ง LIFE วิทยุ LIFE ลาดพร้าว และ LIFE อโศก-พระราม 9 ซึ่งทั้ง 3 โครงการส่งผลให้ยอดขายในส่วนของคอนโดมิเนียมโตขึ้นมากถึง 180% หากเทียบกับปีก่อนหน้า” นายอนุพงษ์ กล่าวเสริม มร. โชจิโร โคจิมา กรรมการผู้จัดการ บริษัท มิตซูบิชิ เอสเตท เอเชีย ในนามของมิตซูบิชิ เอสเตท กรุ๊ป กล่าวถึงความเชื่อมั่นในศักยภาพเศรษฐกิจไทยและความสำเร็จในการพัฒนาโครงการร่วมกับ เอพี (ไทยแลนด์) ว่า "สำหรับงบลงทุนพัฒนาอสังหาฯ ในต่างประเทศของ MECG รวม 3 ปี (2561 - 2563) อยู่ที่ 4 แสนล้านเยน (หรือประมาณ 1.17 หมื่นล้านบาท) เป็นการลงทุนในสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร ยุโรป จีน โอเชียเนีย และกลุ่มประเทศอาเซียน ซึ่งประเทศไทยถือเป็นหนึ่งในเป้าหมายหลักของการลงทุนนี้ เนื่องจากประเทศไทยเป็นประเทศที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง และมีแนวโน้มที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่องเช่นนี้ต่อไป โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ ที่ทาง MECG เห็นโอกาสจากรายได้ต่อครัวเรือนของคนในกรุงเทพฯ ที่เพิ่มขึ้นทุกปี การขยายตัวของจำนวนประชากรที่ย้ายถิ่นฐานจากต่างจังหวัด อีกทั้งระบบขนส่งมวลชนที่พัฒนาไปมาก ส่งผลให้เกิดการกระจายออกของศูนย์กลางความเจริญของเมืองรูปแบบใหม่ ที่ทำให้วิถีการใช้ชีวิตของคนไทยมีความคล่องตัวในลักษณะครอบครัวขนาดเล็กลงมากขึ้น” “จากการร่วมมือกันที่ผ่านมา มีผลลัพธ์เป็นที่น่าพึงพอใจอย่างมาก ทั้งในส่วนของยอดขายและการโอนกรรมสิทธิ์ โดยในส่วนของยอดขายคอนโดมิเนียมภายใต้การร่วมทุนปี 2557 - 2560 ทั้งสิ้น 11 โครงการ มียอดขายรวมเฉลี่ย 90% จากมูลค่ารวมทั้งสิ้น 51,430 ล้านบาท โดยเป็นโครงการก่อสร้างแล้วเสร็จพร้อมเข้าอยู่จำนวน 6 โครงการ ได้แก่ (1) RHYTHM สุขุมวิท 36 – 38 (2) ASPIRE รัชดา – วงศ์สว่าง (3) ASPIRE สาทร – ท่าพระ (4) RHYTHM อโศก 2 และ 2 โครงการล่าสุด ที่ได้เปิดโอนกรรมสิทธิ์ในไตรมาส 4/2560 ที่ผ่านมา คือ (5) Life ปิ่นเกล้า และ (6) RHYTHM รางน้ำ โดยลูกค้าให้การตอบรับโอนกรรมสิทธิ์ทะลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ ซึ่งเป็นผลจากการทำงานร่วมกันในการพัฒนาและประยุกต์ใช้ AP Check List หนึ่งในเครื่องมือสำคัญในการควบคุมคุณภาพสินค้าที่เริ่มต้นตั้งแต่กระบวนการออกแบบพัฒนาและปรับปรุงกระบวนการตรวจสอบคุณภาพสินค้าอย่างเข้มข้น ทั้งนี้ บริษัทฯ ตั้งใจจะเดินหน้าทำงานร่วมกับเอพีฯ ต่อไปในการพัฒนาคอนโดมิเนียมตอบคุณภาพชีวิตที่ดีในอนาคต เพื่อป้อนตลาดในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง โดยในปีนี้เรายังคงตั้งเป้าจะพัฒนาโครงการร่วมกับเอพี ด้วยมูลค่ารวมไม่ต่ำกว่า 20,000 ล้านบาท” มร. โชจิโร โคจิมา กล่าวเสริม ก้าวเข้าสู่ปีที่ 5 แห่งความร่วมมือและมิตรภาพที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น เอพี (ไทยแลนด์) และ มิตซูบิชิ เอสเตท กรุ๊ป ยังคงให้ความสำคัญกับการนำความเชี่ยวชาญของเอพี และ MECG สู่การแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ที่ครอบคลุมการพัฒนาที่อยู่อาศัย การพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆ อย่างเข้มข้นและจริงจัง ที่จะสร้างความแตกต่าง ครอบคลุมทุกมิติทั้งในด้าน ‘คุณภาพ’ ‘บริการ’ ‘ความสะดวกสบาย’ และ ‘ความปลอดภัย’ นำเสนอให้เกิดขึ้นจริงในคอนโดมิเนียมเครือเอพี ภายใต้กรอบวิสัยทัศน์ “สร้างสรรค์นวัตกรรมดีไซน์ เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีในอนาคต” (Innovation for Quality Living in the Future) มุ่งยกระดับวงการอสังหาริมทรัพย์ไทยให้มีประสิทธิภาพทัดเทียมนานาประเทศ  โดยมีเป้าหมายในเฟสแรกจะร่วมพัฒนาคอนโดมิเนียม 4 โครงการใหม่ มูลค่ารวมกว่า 23,000 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้การร่วมทุนครั้งแรกเมื่อปี 2557 จนถึงวันนี้ เอพีและมิตซูบิชิ เอสเตท ได้พัฒนาโครงการร่วมกันมูลค่าสูงถึง 74,430 ล้านบาท “ด้วยความพร้อมด้านทีมงานคุณภาพ ผลิตภัณฑ์ที่อยู่อาศัยคุณภาพ และพันธมิตรคุณภาพภายใต้ passion เดียวกันที่จะสร้างสรรค์นวัตกรรมที่อยู่อาศัยคุณภาพ ผมเชื่อว่า เอพี ไทยแลนด์จะสามารถสร้างความแตกต่างและความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค และยังคงเป็น 1 ใน 3 ผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในเมืองไทยจะนำเสนอนวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อการอยู่อาศัยแห่งอนาคต ผ่านการคิดค้นและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เท่าทันต่อโลกในอนาคต เพื่อพัฒนาคอนโดมิเนียมไทยให้เติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพ" คุณอนุพงษ์กล่าวสรุป สำหรับภาพรวมตลาดอสังหาฯ ปี 61 มีแนวโน้มเติบโตขึ้นตามการคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจประเทศที่น่าจะเติบโตได้ถึง 3.8 – 4% กิจกรรมการตลาดและบรรยากาศการตัดสินใจซื้อสินค้าของผู้บริโภคปรับตัวดีขึ้นตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมาต่อเนื่องถึงต้นปี 61 การแข่งขันในตลาดอสังหาฯ ยังคงเกิดจากผู้ประกอบการรายใหญ่ประมาณ 10 รายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ที่ถือครองส่วนแบ่งอยู่ประมาณ 80% ดังนั้น ผู้ประกอบการที่หวังจะโตต่อต้องปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจและพฤติกรรมของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงเร็วและแบ่งย่อยเป็นกลุ่มที่ซับซ้อน และต้องบาลานซ์พอร์ตสินค้าคอนโดมิเนียมและแนวราบให้สมดุล โดยเชื่อว่าสินค้าคอนโดมิเนียมที่ตอบตลาดระดับกลางถึงบนมีแนวโน้มเติบโตได้ดี เพราะมีซัพพลายในตลาดไม่มาก และสต๊อกส่วนใหญ่ถูกระบายออกไปในปีที่ผ่านมา ขณะที่สินค้าแนวราบยังโตได้ต่อเนื่อง จากกำลังซื้อเรียลดีมานด์  “เอพี ไทยแลนด์ กล้าที่จะแตกต่าง ผู้นำด้านนวัตกรรมการดีไซน์ เพื่อการอยู่อาศัยในเมือง”
อั๊คโซ่ โนเบล เปิดตัวนวัตกรรมสีผลิตภัณฑ์สำหรับครอบครัว ตอกย้ำความยั่งยืนเป็นหัวใจสำคัญของผลิตภัณฑ์ทุกชนิด

อั๊คโซ่ โนเบล เปิดตัวนวัตกรรมสีผลิตภัณฑ์สำหรับครอบครัว ตอกย้ำความยั่งยืนเป็นหัวใจสำคัญของผลิตภัณฑ์ทุกชนิด

นวัตกรรมใหม่ล่าสุดสำหรับชุดตกแต่งผนังสร้างลวดลายสำหรับเด็ก ดูลักซ์ ฟาร์อเวย์ เพลสเซส  (Dulux Far Away Places) และผลิตภัณฑ์สีอะครีลิคทาภายใน ดูลักซ์ อีซี่แคร์ พลัส (Dulux EasyCare Plus)  ที่มีคุณสมบัติพิเศษเช็ดทำความสะอาดง่าย ป้องกันแบคทีเรียและเชื้อรา พร้อมเปิด ดูลักซ์ คัลเลอร์ ดีไซน์ สตูดิโอ (Dulux Color Design Studio)  มร. เดนิส จู (ซ้ายสุด) ประธานกรรมการบริหาร คิดซาเนีย กรุงเทพ มร. เดฟ เพลน (กลาง) กรรมการผู้จัดการ บริษัท อ๊คโซ่ โนเบล เพ้นท์ส (ประเทศไทย) จำกัด และคุณสุรีย์พร กังวานวาณิชย์ (ขวาสุด) ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท อั๊คโซ่ โนเบล (AkzoNobel)  ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสีชั้นนำระดับโลกภายใต้แบรนด์สี “ดูลักซ์” เปิดตัวชุดตกแต่งผนังสร้างลวดลายสำหรับเด็ก ดูลักซ์ ฟาร์อเวย์ เพลสเซส  (Dulux Far Away Places)  ที่ประกอบด้วยสติกเกอร์ใสสร้างลาย   สติกเกอร์สีสันสำหรับตกแต่ง เทปกาว    ดูลักซ์ คัลเลอร์ เพลย์ (Dulux Colour Play) ลูกกลิ้งเล็กสำเร็จรูปสำหรับกลิ้งสีบนผนัง ที่มาพร้อมผลิตภัณฑ์สีอะครีลิคทาภายใน ดูลักซ์ อีซี่แคร์ พลัส (Dulux EasyCare Plus)  คุณสมบัติพิเศษเช็ดทำความสะอาดง่าย ป้องกันแบคทีเรียและเชื้อรา    นอกจากนี้ยังได้เปิดตัว ดูลักซ์ คัลเลอร์ ดีไซน์ สตูดิโอ (Dulux Color Design Studio) ซึ่งนวัตกรรมเหล่านี้พัฒนาขึ้นโดยเฉพาะเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้ากลุ่มครอบครัวที่มีความต้องการออกแบบบ้านให้โดดเด่นยิ่งขึ้น ในขณะเดียวกันก็ใช้ประสิทธิภาพของเทคโนโลยีที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เช่น คิดพรูฟ พลัส เทคโนโลยี (KidProof+ TechnologyTM) ที่ทำหน้าที่เคลือบชั้นฟิล์มสีป้องกันและลดการสะสมของคราบฝังลึกบนผนัง และป้องกันแบคทีเรียและเชื้อรา ให้ศิลปินตัวน้อยได้ปลดปล่อยจินตนาการอิสระได้อย่างไร้กังวลด้วยผลิตภัณฑ์สีดูลักซ์ อีซี่แคร์ พลัส มร.เดฟ เพลน กรรมการผู้จัดการ บริษัท อั๊คโซ่ โนเบล เพ้นท์ส (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “นวัตกรรมและความยั่งยืนเป็นหัวใจสำคัญที่อั๊คโซ่ โนเบลยึดถือปฏิบัติเสมอมา เราเข้าใจว่าครอบครัวที่มีเด็กมีความต้องการที่แตกต่างจากเจ้าของบ้านทั่วไป จึงได้คิดค้นชุดตกแต่งผนังสร้างลวดลายสำหรับเด็ก ดูลักซ์ ฟาร์อเวย์ เพลสเซส  (Dulux Far Away Places) และผลิตภัณฑ์สีอะครีลิคทาภายใน ดูลักซ์ อีซี่แคร์ พลัส (Dulux EasyCare Plus)  ที่ได้การรับรองว่าเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มีคุณสมบัติพิเศษเช็คทำความสะอาดง่ายและป้องกันแบคทีเรีย ซึ่งถือเป็นอีกก้าวสำคัญของอั๊คโซ่ โนเบล ในการนำเสนอโซลูชั่นส์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในกลุ่มครอบครัว” “ในขณะเดียวกันเราเชื่อมั่นในพลังแห่งสี เพื่อสร้างแรงบันดาลใจในการเสริมสร้างจินตนาการการเล่นภายในบ้าน ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญต่อพัฒนาการทางสังคม จิตใจและความคิดสร้างสรรค์ของเด็ก ๆ รวมถึงการสร้างโอกาสที่ก่อให้เกิดการสร้างความสัมพันธ์ในครอบครัว”    ชุดตกแต่งผนังสร้างลวดลาย ดูลักซ์ ฟาร์อเวย์ เพลสเซส   (Dulux Far Away Places) ชุดตกแต่งผนังสร้างลวดลาย ดูลักซ์ ฟาร์อเวย์ เพลสเซส  (Dulux Far Away Places) คือชุดตกแต่งผนังสร้างลวดลาย 8 ธีมสุดมหัศจรรย์ พร้อมชุดอุปกรณ์ตกแต่งที่ช่วยสร้างสีสันเพื่อเสริมจินตนาการของศิลปินตัวน้อยได้ถึง 48 เฉดสีสดใส ช่วยเติมเต็มจินตนาการของลูกน้อยและผู้ปกครองในการตกแต่งห้องได้ตามใจฝัน นอกจากนี้ ยังช่วยสร้างแรงบันดาลใจและการเล่นที่ช่วยเสริมสร้างจินตนาการ  (Imaginative Play) ภายในบ้าน ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญต่อพัฒนาการของลูกน้อยทั้งทางด้านสังคม สติปัญญาและความคิดสร้างสรรค์ ชุดตกแต่งผนังสร้างลวดลาย ดูลักซ์ ฟาร์อเวย์ เพลสเซส  (Dulux Far Away Places) ประกอบด้วย ดูลักซ์ คัลเลอร์ เพลย์ 6 สี (ลูกกลิ้งเล็กสำเร็จรูปสำหรับกลิ้งสีบนผนัง)  สติกเกอร์ใสสร้างลาย สติกเกอร์สีสันสำหรับตกแต่ง เทปกาว และคู่มือแนะนำการตกแต่ง ที่ใช้งานง่ายและช่วยให้ผู้ปกครองสร้างสรรค์แต่งผนังห้องของลูกน้อยให้เปี่ยมไปด้วยแรงบันดาลใจและลวดลายสวยงามได้อย่างง่ายดาย โดยชุดตกแต่งผนังสร้างลวดลาย ดูลักซ์ ฟาร์ อเวย์ เพลสเซส (Dulux Far Away Places)    มีแบบการตกแต่งให้เลือกถึง 8 ธีมสุดมหัศจรรย์   ประกอบด้วย ซิตี้ ออฟ ฮีโร่ส์ (City of Heroes), พรินซ์เซส แคสเซิล (Princess Castle), อินทู เดอะ วู้ดส์ (Into the Woods), อันเดอร์ เดอะ ซี (Under the Sea), อัพ อิน เดอะ สกาย (Up in the Sky), ซาฟารี แลนด์ (Safari Land), อินทู สเปซ (Into Space) และ เทรเชอร์ ไอซ์แลนด์ (Treasure Island) เหมาะสำหรับทุกจินตนาการของเด็กทุกคน ไม่ว่าจะชื่นชอบการผจญภัยหรือมีความหลงใหลในโลกของเทพนิยาย นอกจากนี้ ผู้ปกครองและเด็กๆ ยังสามารถสร้างเรื่องราวแห่งจินตนาการกับดินแดนมหัศจรรย์ทั้ง 8 เพิ่มเติม พร้อมทั้งแชร์ผลงานชิ้นเอกได้ที่เว็บไซต์ www.dulux-farawayplaces.com/th ผลิตภัณฑ์สีอะครีลิคทาภายใน ดูลักซ์ อีซี่แคร์ พลัส (Dulux EasyCare Plus)  ที่มีคุณสมบัติพิเศษเช็ดทำความสะอาดง่าย ป้องกันแบคทีเรียและเชื้อรา เพื่อเติมเต็มความสมบูรณ์ให้กับชุดตกแต่งผนังสร้างลวดลาย ดูลักซ์ ฟาร์อเวย์ เพลสเซส  (Dulux Far Away Places) ดูลักซ์ อีซี่แคร์ พลัส ผลิตภัณฑ์สีอิมัลชันสูตรน้ำมี คิดพรูฟ พลัส เทคโนโลยี (KidProof+ TechnologyTM) ช่วยปกป้องผนังจากเชื้อแบคทีเรียและการฝังตัวลึกของคราบสกปรก สูตรต่อต้านแบคทีเรียช่วยเพิ่มปกป้องไปอีกขั้นกับประสิทธิภาพยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียบนผนัง ผลิตภัณฑ์สีอะครีลิคสูตรน้ำสำหรับทาภายในเกรดพรีเมี่ยมคุณภาพสูงที่มีคุณสมบัติเช็ดทำความสะอาดง่ายนี้ เป็นที่ชื่นชอบของครอบครัว ด้วยมีประสิทธิภาพสูงในการเคลือบพื้นผิวให้สีติดทนนานและช่วยให้พื้นผิวที่ก่อด้วยอิฐดูสวยเรียบเนียน นอกจากนี้ ยังช่วยการทำความสะอาดคราบในครัวเรือนให้เป็นเรื่องง่าย โดยเฉพาะครอบครัวที่มีเด็กที่อยู่ในวัยซุกซนและสนุกสนานกับการเรียนรู้และทดลอง ดูลักซ์ อีซี่แคร์ พลัส มีเทคโนโลยีดูลักซ์ คัลเลอร์ การ์ด  (Dulux Colourguard™) ช่วยล็อคเม็ดสีเพื่อให้ผนังดูสวยงามและคงความสดใสได้ยาวนานขึ้น  ทั้งมีคุณสมบัติเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมได้รับการรับรองคุณภาพตามาตรฐานฉลากเขียว และมีปริมาณสารระเหยต่ำ (VOCs) ดูลักซ์ คัลเลอร์ ดีไซน์ สตูดิโอ ดูลักซ์ ร่วมมือ คิดส์ซาเนีย กรุงเทพ ศูนย์การเรียนรู้และความบันเทิงใจกลางกรุงเทพ สร้างดูลักซ์ คัลเลอร์ ดีไซน์ สตูดิโอ เพื่อให้เด็กที่มีอายุระหว่าง 4-12 ปี ได้รับประสบการณ์เรียนรู้ผ่านการเล่นที่สนุกสนานที่สตูดิโอขนาด 32 ตารางเมตรแห่งนี้ ในโลกแห่งสีสัน เด็ก ๆ จะได้เรียนรู้เกี่ยวกับสีสันและกระบวนการพัฒนาผลิตภัณฑ์สี พร้อมทั้งได้ร่วมสนุกไปกับการตกแต่งห้องภายใต้คอนเซป ดูลักซ์ ฟาร์ อเวย์ เพลสเซส (Dulux Far Away Places) ที่มีให้เลือก 2 ธีม คือ ซิตี้ ออฟ ฮีโร่ส์ (City of Heroes)  และ  พรินซ์เซส แคสเซิล (Princess Castle) ผู้สนใจสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์สีดูลักซ์ อีซี่แคร์ พลัส ชุดตกแต่งผนังสร้างลวดลาย ดูลักซ์ ฟาร์ อเวย์ เพลสเซส (Far Away Places) และ ดูลักซ์ คัลเลอร์ ดีไซน์ สตูดิโอ ได้ที่เว็บไซต์ www.dulux-farawayplaces.com.th/ หรือ www.dulux.co.th
“ลลิล พร็อพเพอร์ตี้” เชื่อมั่นเศรษฐกิจโลกหนุนอสังหาฯ ไทย ปี 2561 โต 5-7% ปักหมุดขยายอาณาจักร ‘ลลิล ทาวน์’ 8-10 ทำเล – ตั้งเป้าเติบโต 15 %

“ลลิล พร็อพเพอร์ตี้” เชื่อมั่นเศรษฐกิจโลกหนุนอสังหาฯ ไทย ปี 2561 โต 5-7% ปักหมุดขยายอาณาจักร ‘ลลิล ทาวน์’ 8-10 ทำเล – ตั้งเป้าเติบโต 15 %

บริษัท  ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) มองเศรษฐกิจโลกปี 2561 ส่งสัญญาณบวก หนุนเศรษฐกิจไทย - ภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทย ฟื้นตัวชัดเจน จากโครงการอีอีซี-โครงการลงทุนรถไฟฟ้า ระบบ Mass Transit  มองการเติบโตตลาดที่อยู่อาศัยปีนี้ที่ 5-7% ประกาศแผนกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจปีที่สามทศวรรษ ด้วยนโยบาย ‘Year of Competitiveness and Innovation for LALIN 4.0’ ตอกย้ำความเป็นมืออาชีพ และเป็นผู้นำด้านการเปลี่ยนแปลงเทรนด์อสังหาฯ เตรียมเปิดอาณาจักร “ลลิล ทาวน์ (LALIN Town)’ ทำเลใหม่ 8-10 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 4,500-5,000 ล้านบาท ครอบคลุมพื้นที่กรุงเทพฯ – ปริมณฑล และต่างจังหวัด ตั้งเป้ายอดขายปีนี้ 4,400 ล้านบาท และเป้ารับรู้รายได้ที่ 4,000 ล้านบาท เติบโต 15% นายไชยยันต์ ชาครกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) (LALIN) ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ภายใต้คอนเซ็ปต์ “บ้านที่ปลูกบนความตั้งใจที่ดี” เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2561 ยังคงมีสัญญาณบวก ซึ่งคาดว่าเศรษฐกิจจะสามารถขยายตัวได้ดีขึ้นเล็กน้อยจากปี 2560 ที่คาดว่าจะขยายตัวได้ราว 3.8 - 3.9% โดยการขยายตัวในปี 2561 นั้นจะได้รับปัจจัยสนับสนุนจากภาคการส่งออกที่คาดว่าจะยังคงขยายตัวได้ดี ตามทิศทางเศรษฐกิจและการค้าโลกที่ขยายตัวได้ต่อเนื่อง ในส่วนของภาคการท่องเที่ยว คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจะยังคงขยายตัวได้ดี นอกจากนี้ในปี 2561 นี้ จะมีเม็ดเงินจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และเม็ดเงินจากการลงทุนของภาครัฐ ที่จะเริ่มทยอยเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจมากขึ้น กอปรกับการคาดการณ์ว่าจะมีการจัดการเลือกตั้งในช่วงปลายปี 2561 หรือต้นปี 2562 ซึ่งทั้งหมดนี้จะเป็นแรงส่งช่วยให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ต่อเนื่อง รวมทั้งช่วยให้ตัวเลขการบริโภคและการลงทุน ขยายตัวได้ดีขึ้นในระยะต่อไป สำหรับภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทยในปี 2561 คาดว่าจะขยายตัวได้ดีขึ้นจากปี 2560 โดยมีปัจจัยบวกมาจากทิศทางการขยายตัวของเศรษฐกิจในประเทศ และการลงทุนของภาครัฐ  นอกจากนี้ภาพรวมของตัวเลขหนี้ภาคครัวเรือนต่อจีดีพี ที่เริ่มค่อยๆ ปรับลดลง จะช่วยให้กำลังซื้อปรับดีขึ้น ในส่วนของอัตราดอกเบี้ยในประเทศยังคงทรงตัวในระดับต่ำ แม้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐอเมริกามีความเป็นไปได้ที่จะปรับเพิ่มขึ้นอีกราว 3 ครั้ง ในปี 2561 นี้ โดยมองว่าตลาดที่อยู่อาศัยแนวราบ ซึ่งเป็นตลาด Real Demand จะยังคงขยายตัวได้ราว 5-7%  สำหรับตลาดอาคารชุด อาจต้องระมัดระวังในบาง Sector และในบางทำเล ซึ่งอาจเริ่มเห็นสัญญาณ Over Supply บ้าง สำหรับการขับเคลื่อนธุรกิจของบริษัทฯ ในปี 2561 ซึ่งนับเป็นปีที่ครบรอบ 3 ทศวรรษของบริษัทฯ บริษัทยังคงเชื่อมั่นที่จะขยายตัวได้สูงกว่าภาพรวมของตลาดฯ ติดต่อกันเป็นปีที่สาม โดยมีการวางแผนธุรกิจที่สนับสนุนการขยายตัวของบริษัท ทั้งนี้ในปี 2561 นี้ บริษัทมีแผนขยายโครงการใหม่ทั้งสิ้น 8-10 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 4,500-5,000 ล้านบาท โดยตั้งเป้าหมายยอดขายไว้ที่ 4,400 ล้านบาท และยอดรับรู้รายได้ที่ 4,000 ล้านบาท ซึ่งเติบโตขึ้นราว 15% จากปีก่อน นายชูรัชฏ์ ชาครกุล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) (LALIN) กล่าวว่า ในปี 2561 ปรับกลยุทธ์การดำเนินงานในเชิงรุกเพื่อตอกย้ำความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ไว้วางใจ ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ มากว่าสามทศวรรษ และบริษัทฯ ยังคงมุ่งสู่ความเป็นผู้นำด้านการเปลี่ยนแปลงธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะโครงการแนบราบที่บริษัทมีความชำนาญ ทั้งแนวความคิด การวางคอนเซ็ปต์ ความคุ้มค่าในการอยู่อาศัย และการเลือกทำเลศักยภาพ ตอบโจทย์ด้านไลฟ์สไตล์และราคา และเน้นการทำ Digital Marketing และ CRM Strategy สำหรับแผนงานกลยุทธ์โครงการ “ลลิล ทาวน์ (LALIN Town) เตรียมเปิดโครงการใหม่ไว้ 8-10 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 4,500 – 5,000 ล้านบาท ครอบคลุมพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล และต่างจังหวัดในส่วนของหัวเมืองหลัก และหัวเมืองชั้นรอง แบ่งสัดส่วนทำเลออกเป็น โซนกรุงเทพฯ และปริมณฑล 75-80% และในทำเลต่างจังหวัด 20-25% ในส่วนของทางด้านการเงิน บริษัทฯ วางงบซื้อที่ดินไว้ที่ประมาณ 1,000 ล้านบาท โดยแหล่งเงินทุนส่วนใหญ่มาจากกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน ที่ได้มาจากการโอนโครงการต่างๆ และส่วนหนึ่งจะมาจากการออกหุ้นกู้ ซึ่งจะพิจารณาออกในจำนวนและช่วงเวลาที่เหมาะสม เพื่อให้สอดรับกับการขยายธุรกิจ และการเติบโตในระยะยาวของบริษัททั้งนี้อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) ของบริษัทในปัจจุบันยังคงอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมอยู่มาก ซึ่งสะท้อนความเสี่ยงทางด้านการเงินที่ต่ำ และยังคงมีศักยภาพในการขยายธุรกิจได้อีกมากโดยไม่ติดปัญหาเรื่องของแหล่งเงินทุน
ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทยชี้กลุ่มนักลงทุนต่างชาตินิยมลงทุนตลาดที่อยู่อาศัยในไทย

ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทยชี้กลุ่มนักลงทุนต่างชาตินิยมลงทุนตลาดที่อยู่อาศัยในไทย

ม.ร แฟรงค์ ข่าน กรรมการบริหารและหัวหน้าฝ่ายที่ปรึกษาด้านโครงการที่พักอาศัย บริษัท ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย จำกัด ให้ความเห็นว่า “ปี 2560เป็นปีที่โดดเด่นสำหรับนักลงทุนต่างชาติ เนื่องจากมีอุปทานใหม่ที่มีการออกแบบของนวัตกรรมและสิ่งอำนวยความสะดวกที่ทันสมัย และยังมีการเติบโตทางการลงทุนด้วยโอกาสทางการลงทุนที่น่าสนใจในประเทศไทยเปิดโอกาสให้นักลงทุนต่างชาติสามารถลงทุนได้โดยไม่ได้รับผลกระทบจากค่าภาษีและอากรแสตมป์ที่มีราคาแพง ในปี 2560 จะสังเกตุเห็นนักพัฒนาหลายแห่งที่ได้ประโยชน์จากส่วนแบ่งทางการตลาด จากกลุ่มผู้ซื้อชาวต่างชาติเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก ตลาดอสังหาฯที่อยู่อาศัยไทยได้รับกระแสการลงทุนเพิ่มมากขึ้นจากนักลงทุนชาวจีน แม้จะมีข้อจำกัดการลงทุนในต่างประเทศที่เข้มงวดมากขึ้นก็ตาม กรุงเทพฯจัดเป็นหนึ่งในพื้นที่เป้าหมายการลงทุนหลัก โดยคอนโดฯราคาระดับกลางหลายแห่งในเมืองได้รับความสนใจจากชาวจีนมากถึงร้อยละ 40 แต่ช่วงครึ่งหลังของปี 2560 ยังค่อนข้างนิ่ง เนื่องจากมีกฏบังคับควบคุมการโอนเงินที่เข้มงวดมากขึ้นของธนาคารแห่งประเทศจีน การจัดแสดงโครงการ ( Road Show ) ที่อยู่อาศัยในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก รวมถึงประเทศจีนถือเป็นกิจกรรมทางการตลาดที่สำคัญและมีแนวโน้มที่จะขยายใหญ่มากขึ้นในปี 2561  และคาดว่าจะได้รับความสนใจจากนักลงทุนต่างชาติในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมากขึ้นอีก นักพัฒนาควรตระหนักว่ากลุ่มนักลงทุนจะคำนึงถึงเกณฑ์พื้นฐานหลัก 3 ข้อต่อไปนี้ ก่อนการตัดสินใจซื้อ ทำเลที่ตั้ง: ปัจจัยหลักสำหรับผู้ซื้อต่างชาติ โดยเฉพาะบริเวณพื้นที่ที่มีสถานที่สำคัญหรือการเข้าถึงจุดบริการขนส่งมวลชน ราคา: มีความสัมพันธ์โดยตรงกับทำเลที่ตั้ง โดยระดับของโครงการเป็นปัจจัยที่สองในการกำหนดราคา สิ่งอำนวยความสะดวก: สิ่งอำนวยความสะดวก รวมถึงการตกแต่งโดยรวมเหมาะสมกับโครงการหรือไม่? ม.ร มาร์ซีอาโน เบิร์จโมฮัน ผู้ช่วยผู้อำนวยการด้านการตลาดและการขายต่างประเทศ บริษัท ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย จำกัด กล่าวเสริมว่า “ระบบขนส่งมวลชนในประเทศไทยมีการขยายเพิ่มขึ้นมาก แต่รถไฟฟ้าบีทีเอสยังคงเป็นปัจจัยขับเคลื่อนหลักในการพัฒนาเมือง และเป็นขนส่งมวลชนที่สำคัญที่สุดต่อโครงสร้างพื้นฐานของชุมชนในหลายๆ ด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานี interchange อย่าง สถานีกลางบางซื่อที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างในขณะนี้ได้กลายเป็นจุดสนใจหลักของนักลงทุนต่างชาติ อย่างไรก็ตามนักลงทุนต่างชาติจำนวนมากยังให้ความสนใจไปที่พื้นที่รอบนอกเขตกรุงเทพฯที่มีระดับการลงทุนต่ำแต่ได้ประโยชน์จากการเชื่อมต่อระหว่างย่านธุรกิจและพื้นที่ท่องเที่ยวโดยตรง นอกจากนี้สถานีเชื่อมต่อเตาปูนที่แล้วเสร็จและสถานีเชื่อมต่อสำโรงที่เกือบเสร็จสมบูรณ์แล้ว พื้นที่ทั้งสองนี้จะกลายเป็นพื้นที่ที่สำคัญในอนาคต หากสังเกตจากการจราจรในบริเวณที่มีสถานี interchange อย่างสถานีอโศกและสถานีสยาม เรามั่นใจว่าสถานีเตาปูนและสถานีสำโรงจะกลายเป็นสถานีขนส่งหลักภายในปี 2563 นอกจากนี้ คุณภาพของระบบโครงสร้างพื้นฐานในกรุงเทพฯ อย่างระบบขนส่งมวลชนและระบบโทรคมนาคมถือเป็นปัจจัยหลักที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจทางการลงทุนอสังหาฯและโครงการพัฒนา ซึ่งคล้ายคลึงกับเมืองใหญ่หลายๆ แห่งในโลก การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานจะส่งผลโดยตรงต่อมูลค่าทรัพย์สิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดวางตำแหน่งโครงสร้างพื้นฐานระบบขนส่งมวลชนจะมีผลต่อผู้คน ชุมชน และมูลค่าทรัพย์สินเป็นอย่างมาก เราสามารถสังเกตเห็นได้ชัดเจนจากแนวรถไฟฟ้าสายสุขุมวิทและสายสีลม   อสังหาที่อยู่อาศัยที่ตั้งอยู่ใกล้กับระบบขนส่งมักถือเป็นพื้นที่ "พรีเมียม" และเป็นเรื่องปกติที่ราคาอสังหาฯในบริเวณนั้นๆ จะปรับขึ้นตามการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน"
พลัส พร็อพเพอร์ตี้ เปิด 7 ทำเลทาวน์เฮ้าส์น่าลงทุนรอบ กทม. หลังพบยอดขายย้อนหลัง 3 ปี พุ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ย

พลัส พร็อพเพอร์ตี้ เปิด 7 ทำเลทาวน์เฮ้าส์น่าลงทุนรอบ กทม. หลังพบยอดขายย้อนหลัง 3 ปี พุ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ย

พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจรเผยผลสำรวจอสังหาริมทรัพย์ประเภททาวน์เฮ้าส์พื้นที่กรุงเทพและปริมณฑล พบ 7 ทำเลเด่นคุ้มค่าการซื้ออยู่อาศัยและลงทุน ทั้งกระทุ่มแบน-สาม พราน ,ทุ่งครุ-พระ ประแดง , ธนบุรี-ราษฎร์บูรณะ , ลาดหลุมแก้ว, ดอนเมือง-สายไหม, อ่อนนุชบางนา และสุวรรณภูมิ-บางเสาธง เผยราคาขายปัจจุบันน่าสนใจ ส่วนทิศทางปี 2561 คาดยังเติบโตดี เหตุได้แรงส่งจากปี 2560 ที่เติบโตทั้งอุปสงค์และอุปทาน นายอนุกูล รัฐพิทักษ์สันติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดเผยว่า พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ได้ทำการสำรวจที่อยู่อาศัยประเภททาวน์เฮ้าส์ ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล (นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร นครปฐม) ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (2557-2560) โดยพิจารณาอัตราขายได้และอัตราดูดซับเฉลี่ยของแต่ละทำเลเทียบกับค่าเฉลี่ยกลาง (อัตราดูดซับ 6.00 ยูนิต/เดือน/โครงการ และอัตราขายได้ 47%) พบว่ามีทำเลศักยภาพที่ขายดีและน่าลงทุน (มียอดขายเฉลี่ยสูงกว่าค่าเฉลี่ยกลาง) ทั้งสิ้น 7 ทำเล ประกอบด้วย ได้แก่ ทิศไต้: 1.กระทุ่มแบน-สาม พราน 2. ทุ่งครุ-พระ ประแดง, ตะวันตก : 3. ธนบุรี-ราษฎร์บูรณะ, ทิศเหนือ : 4. ลาดหลุมแก้ว 5. ดอนเมือง-สายไหม, ตะวันออก: 6. อ่อนนุชบางนา และ 7. สุวรรณภูมิ-บางเสาธง  โดยทั้ง 7 ทำเลนี้มีราคาระหว่าง 1.2 – 2.99 ล้านบาท และสามารถเชื่อมต่อด้านการคมนาคมเข้าสู่ตัวเมืองได้โดยสะดวกจึงได้รับความนิยมค่อนข้างมาก จากการวิเคราะห์พบว่า ในทุกๆ ทำเลมีราคาเสนอขายที่ไม่สูงมาก (ระหว่างราคา 1.2 -2.99 ล้านบาท) ยกเว้นทำเลกระทุ่มแบน – สามพรานที่ราคาเสนอขายยังอยู่ในระดับต่ำกว่า 1.2 ล้านบาท หากพิจารณาในด้านของศักยภาพของแต่ละทำเลนั้น พบว่า กระทุ่มแบน-สามพราน เป็นพื้นที่เขตปริมณฑลที่มีจุดเด่นจากทำเลไม่ไกลจากกรุงเทพฯ ทำให้ผู้ที่พักอาศัยในพื้นที่นี้สามารถเดินทางเข้าสู่ตัวเมืองกรุงเทพฯ ด้วยถนนพระราม 2 และถนนเพชรเกษมได้โดยง่าย นอกจากนี้ราคาทาวน์เฮ้าส์ในทำเลนี้ยังเสนอขายในระดับต่ำกว่า 1.2 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันพบทาวน์เฮาส์ระดับราคาต่ำ กว่า 1.2 ล้านบาทหาได้ยากและเสนอขายเพียงบางทำเลที่ราคาที่ดินยังไม่ทะยานตัวสูงมากนัก ซึ่งกระทุ่มแบน-สามพรานเป็นทำเลที่มียอดตอบรับทาวน์เฮาส์ในระดับราคานี้สูงที่สุด จากการพัฒนาโครงการที่สามารถตอบสนองกลุ่มกำลังซื้อในพื้นที่ได้เป็นอย่างดี   ทำเลทุ่งครุ-พระประแดง เป็นทำเลที่อยู่ใกล้กับกับทางพิเศษเฉลิมมหานครและถนนกาญจนาภิเษก (วงแหวนรอบนอก) จึงดึงดูดให้เกิดกำซื้อในทำเลนี้เพราะสามารถเดินทางเข้าสู่ใจกลางเมืองกรุงเทพฯ และเชื่อมต่อไปยังภูมิภาคอื่นได้อย่าง สะดวกสบาย นอกจากนี้ยังอยู่ไม่ไกลจากรถไฟฟ้าสายสีม่วง สถานีเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ ที่กำลังจะเริ่มก่อสร้างช่วงปลายปี 2561 และจะช่วยดึงผู้คนจากฝั่งธนบุรีเข้าสู่ฮับการเดินทาง หรือสถานีกลางบางซื่อ เพื่อเชื่อมต่อไปยังสถานที่ต่างๆ ในเมืองได้อย่างสะดวก ทำเลธนบุรี-ราษฎร์บูรณะ เป็นทำเลฝั่งธนบุรีที่ใกล้ย่านศูนย์กลางธุรกิจแวดล้อมด้วยแนวรถไฟฟ้า 3 สาย ได้แก่ รถไฟฟ้าบีทีเอสสายสีเขียวเข้ม (สายสีลม) ที่เปิดให้บริการมาเป็นเวลานาน รถไฟฟ้าสายสีม่วง (สถานีเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ) ที่เริ่มก่อสร้างช่วงปลายปี 2561 และรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน (สถานีหัวลำโพง-บางแค) ที่การก่อสร้างคืบหน้าแล้วเกินกว่า 85% ทำให้ผู้อยู่อาศัยในทำเลนี้สามารถเดินทางเข้าสู่ตัวเมืองกรุงเทพฯได้หลากหลายเส้นทาง ทำเลลาดหลุมแก้ว เป็นทำเลในเขตปทุมธานีที่สามารถเดินทางเข้าสู่ตัวเมืองกรุงเทพฯ ได้ผ่านทางด่วนสายอุดรรัถยาและเชื่อมต่อไปยังภูมิภาคต่างๆได้ผ่านถนนกาญจนาภิเษก(วงแวนรอบนอก) นอกจากนี้ยังอยู่ในทำเลที่ไม่ไกลจากรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง (สถานีบางซื่อ-รังสิต) ที่มีความคืบหน้าในการก่อสร้างแล้ว 60% ซึ่งมีแผนเปิดให้บริการในอีก 3 ปีข้างหน้า และในอนาคตภาครัฐมีแผนพัฒนาส่วน ต่อขยายจากสถานีรังสิตไปยังมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ศูนย์รังสิตอีกด้วย เอื้ออำนวยให้การเดินทางเข้าสู่ตัวเมืองของกลุ่มกำลังซื้อ ทั้งพนักงานบริษัทเอกชน ข้าราชการ หรือเจ้าของกิจการในละแวกนี้มีความสะดวกมากขึ้นในอนาคต ดอนเมือง – สายไหม เป็นทำเลในโซนเหนือที่มีรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง (สถานีบางซื่อ-รังสิต) และรถไฟฟ้าสายสีเขียว ส่วนต่อขยาย (สถานีหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต) พาดผ่านซึ่งทั้งสองเส้นทางมีแผนเปิดให้บริการอีก 3 ปีข้างหน้า อีกทั้งการเข้าสู่ตัวเมืองกรุงเทพฯได้สะดวก ผ่านทางยกระดับอุตราภิมุข (โทลเวย์) และทางด่วนรามอินทรา-อาจณรงค์ ทำให้ทำเลนี้ได้รับความนิยมจากพนักงานบริษัทเอกชน พนักงานที่ทำงานในสนามบินดอนเมือง หรือเจ้าของกิจการในละแวกนั้นเป็นอย่างดี อ่อนนุช – บางนา เป็นทำเลใกล้ย่านศูนย์กลางธุรกิจที่สามารถเข้าสู่ตัวเมืองได้ผ่านรถไฟฟ้าบีทีเอส สายสีเขียว (สถานีหมอชิต-แบริ่ง) ซึ่งเปิดให้บริการมาเป็นเวลานาน และล่าสุดก็ได้เปิดให้บริการในส่วนต่อขยาย ประกอบกับการมีทางพิเศษเฉลิมมหานคร ช่วยให้การเดินทางเชื่อมต่อไปยังสถานที่ต่างๆ ของกลุ่มกำลังซื้อในพื้นที่นี้มีความสะดวกสบายจากรถไฟฟ้าบีทีเอสสายสีเขียวหรือสายสุขุมวิทที่เปิดให้บริการเป็นเส้นทางแรกในกรุงเทพฯ และตอบสนองการใช้ชีวิตของผู้คนได้เป็น อย่างดีทำให้ทาวน์เฮาส์ที่พัฒนาใกล้ใจกลางเมืองในย่านอ่อนนุช-บางนาได้รับความนิยมมาอย่างต่อเนื่อง จากช่วง 2 ปี ที่ผ่านมา สุวรรณภูมิ – บางเสาธง เป็นทำเลในจังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งเป็นที่ตั้งของสนามบินสุวรรณภูมิ สามารถเดินทางเข้าสู่ตัวเมืองกรุงเทพฯ และเชื่อมต่อไปยังภูมิภาคต่างๆ ได้ผ่านทางพิเศษบูรพาวิถี, มอเตอร์เวย์, ถนนกาญจนาภิเษก (วงแหวนรอบนอก) ประกอบกับการมี รถไฟฟ้า Airport Rail Link (สถานีพญาไท-สุวรรณภูมิ), รถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยาย (สถานีแบริ่งสมุทรปราการ) และรถไฟฟ้าสายสีเหลือง (สถานีลาดพร้าว-สำโรง) ที่ภาครัฐมีการเตรียมแผนพัฒนาอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งกระตุ้นให้เกิดความต้องการซื้อทาวน์เฮาส์จากพนักงานในสนามบินสุวรรณภูมิหรือเจ้าของกิจการในพื้นที่นี้ได้เป็นอย่างดี   “จากข้อมูลที่ทำการสำรวจนี้สะท้อนว่ากำลังซื้อในที่อยู่อาศัยประเภททาวน์เฮ้าส์เริ่มกลับมา แม้ว่าปี 2560 ที่ผ่านมาจะไม่มีนโยบายกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์โดยเฉพาะ แต่อุปสงค์และอุปทานยังเติบโตได้ดี จึงคาดว่าทิศทางในปี 2561 ตลาดทาวน์เฮ้าส์จะยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง เหตุจากราคาเสนอขายยังไม่ปรับตัวขึ้นสูงมากนัก ซึ่งเหมาะกับกำลังซื้อของคนในพื้นที่ นอกจากนี้ความเชื่อมั่นผู้บริโภคน่าจะมีสัญญาณเติบโตตามทิศทางเศรษฐกิจที่เริ่มคลี่คลายอย่างต่อเนื่องในปี 2560 และจะมีแรงส่งต่อไปยังปี 2561 ต่อไป” นายอนุกูล กล่าว
คูโดส ต่อยอดผลิตภัณฑ์สู่โมเดิร์นลิฟวิ่งไลฟ์สไตล์ ประเดิมป๊อปอัพสโตร์สาขาแรกที่สยามดิสคัฟเวอรี่

คูโดส ต่อยอดผลิตภัณฑ์สู่โมเดิร์นลิฟวิ่งไลฟ์สไตล์ ประเดิมป๊อปอัพสโตร์สาขาแรกที่สยามดิสคัฟเวอรี่

คูโดส (KUDOS) แบรนด์ผลิตภัณฑ์สำหรับห้องน้ำและห้องครัวสัญชาติไทย จับมือสยามดิสคัฟเวอรี่ เปิดป๊อบอัพสโตร์สุดฮิปแห่งใหม่ใจกลางกรุง ต่อยอดกลุ่มผลิตภัณฑ์ทั้งแนวอีโค่ ดิจิตอล และยูนิเวอร์แซลดีไซน์ เจาะกลุ่มโมเดิร์นไลฟ์สไตล์ ณ โซน Ecotopia ชั้น 4 สยามดิสคัฟเวอรี่ ดิเอ็กซ์พลอราทอเรี่ยม ด้วยความใส่ใจและมุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตของคนเมือง รวมถึงความเข้าใจในไลฟ์สไตล์คนยุคใหม่ที่ให้คุณค่าทั้งงานดีไซน์และใส่ใจในคุณภาพของสินค้าไปพร้อมๆ กัน คูโดสจึงเป็นหนึ่งในแบรนด์ที่ได้รับการคัดสรรจากสยามดิสคัฟเวอรี่ ให้วางจำหน่ายสินค้าและผลิตภัณฑ์ที่มีฟังก์ชั่นและดีไซน์ล้ำสมัย และใส่ใจสิ่งแวดล้อม ในโซน Ecotopia ซึ่งสินค้าทุกชิ้นในEcotopia ต้องผ่านเกณฑ์การคัดเลือกในการเข้ามาวางขาย โดยแต่ละหมวดหมู่ก็มีเงื่อนไขที่แตกต่างกันออกไป นายสันติ ศรีวิชาญกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ซี.ไอ.ที. จำกัด และผู้ก่อตั้งแบรนด์คูโดส กล่าวว่า “ปีนี้นับว่าเป็นอีกก้าวที่สำคัญของแบรนด์ผลิตภัณฑ์สำหรับห้องน้ำและห้องครัวสัญชาติไทยอย่างเรา ที่ได้มีโอกาสต่อยอดผลิตภัณฑ์สำหรับห้องน้ำและห้องครัว (Kitchen & Bath) สู่ผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมสำหรับบ้านและที่อยู่อาศัย (Living) โดยเราหวังว่าผลิตภัณฑ์ที่เรานำเสนอ จะตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่ ทั้งในแง่ของนวัตกรรม ดีไซน์ และความใส่ใจสิ่งแวดล้อม” ด้วยความใส่ใจสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง คูโดสมีผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมสำหรับคนรุ่นใหม่ที่ใส่ใจทั้งตนเองและสิ่งแวดล้อม อาทิMIST ฝักบัวนวัตกรรมรุ่นล่าสุดที่จะสร้างมิติใหม่แห่งการล้างหน้า ด้วยเทคโนโลยี NanomistTM ออกแบบเพื่อให้น้ำไหลตัดกันทำให้ได้ละอองเบานุ่มละมุน ให้สัมผัสอ่อนโยน เหมาะต่อผิวแพ้ง่าย พร้อมฟังก์ชั่นปรับอุณหภูมิน้ำให้ทำงานเหมาะสมสำหรับผิวหน้า และPUREBLISS ฝักบัวกรองคลอรีน ปกป้องเส้นผมและผิวให้คงความชุ่มชื้นตามธรรมชาติ พร้อมเทคโนโลยี AtomistTM ที่ให้สายน้ำแรงแต่นุ่มนวล โดยฝักบัวทั้ง 2 รุ่นช่วยประหยัดน้ำได้มากถึง 45%   KUDOS MIST นวัตกรรมฝักบัวใหม่ล่าสุด ละอองน้ำอนุภาคขนาดเล็ก นอกจากนี้ หนึ่งในจุดเด่นของผลิตภัณฑ์คูโดสที่มาวางจำหน่ายในสยามดิสคัฟเวอรี่ ส่วนหนึ่งจะเป็นผลิตภัณฑ์ภายใต้แนวคิดUniversal Design เทรนด์ใหม่แห่งการออกแบบเพื่อทุกคนในสังคม  อาทิ CASTA กรรไกรอเนกประสงค์ ที่ส่วนคมของกรรไกรถูกซ่อนไว้ แม้แต่เด็กหรือคนชราก็สามารถใช้ได้อย่างปลอดภัย LINE คัตเตอร์รูปทรงคล้ายเม้าส์ ใช้งานง่าย ใบมีดทำจากเซรามิก วัสดุทนทาน ปลอดภัยแม้กับเด็กและผู้พิการ หรือ NAIL กรรไกรตัดเล็บที่ใช้แรงน้อยที่สุด เหมาะสำหรับเด็กและผู้สูงอายุที่ข้อมืออ่อนแรง ผลิตภัณฑ์ภายใต้แนวคิด Universal Design อีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ที่ทางแบรนด์ภูมิใจนำเสนอ คือ IGLOOHOME ล็อคประตูแบบดิจิตอล เป็นสินค้าใหม่ซึ่งได้เปิดตัวครั้งแรกในประเทศไทย เหมาะสำหรับบ้านและคอนโด เพราะความปลอดภัยในการอยู่อาศัยเป็นเรื่องสำคัญ  โดยล็อคประตูแบบดิจิตอลนี้ ใช้เทคโนโลยีสมาร์ทล็อคระดับโลก ทำงานได้โดยไม่ต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ป้องการการแฮ็คด้วยระบบ Synchronization ซึ่งเป็นระบบที่ธนาคารชั้นนำส่วนใหญ่เลือกใช้ จึงมั่นใจได้ในความปลอดภัยขั้นสูงสุด โดยจะเริ่มต้นวางจำหน่ายเฉพาะที่สยามดิสคัฟเวอรี่ และทางออนไลน์เท่านั้น IGLOOHOME ล็อคประตูแบบดิจิตอล แม้เทรนด์ของผู้บริโภคจะเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว คูโดสยังคงพัฒนาผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมเพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่อยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์แนวแก็ตเจ็ตเพื่อตอบสนองดิจิตอลเทรนด์ ผลิตภัณฑ์อีโค่เพื่อเอาใจผู้รักสิ่งแวดล้อม และผลิตภัณฑ์งานออกแบบเพื่อมวลชน (Universal Design) ให้คนทุกกลุ่มเข้าถึงและใช้ได้อย่างเท่าเทียมกัน โดยมุ่งหวังที่จะยกระดับงานออกแบบผลิตภัณฑ์โดยฝีมือคนไทย และยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในสังคมไปพร้อมๆ กัน “สำหรับคูโดส การรักษ์โลก คือ การรักตัวเองไปพร้อมๆ กัน ไม่ว่าจะเป็นการประหยัดน้ำ การใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม ก็เพื่อความเป็นอยู่ที่ดี และอนาคตที่ดี สำหรับตัวเราเองและคนที่เรารัก ดังนั้น การใส่ใจสิ่งแวดล้อมไม่ใช่แค่ เทรนด์ เราจึงมุ่งมั่นพัฒนาต่อยอดผลิตภัณฑ์จากห้องน้ำห้องครัว ให้ครอบคลุมถึง Total Living ตั้งแต่ตื่นนอนจนเข้านอน ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนยุคใหม่ และที่สำคัญผลิตภัณฑ์ของเราต้องใส่ใจสิ่งแวดล้อมด้วย” นายสันติ กล่าว
แสนสิริประสบความสำเร็จแบรนด์ “คณาสิริ” โกยยอดขายกว่า 1,000 ลบ. ล่าสุด Sold Out “คณาสิริ พระราม 2- วงแหวน” เฟสแรกหมดเกลี้ยง คาดปัจจัยบวกเศรษฐกิจ-การเมืองปี’61 ดันตลาดบ้านเดี่ยวรุ่ง เตรียมต่อยอดเปิดแบรนด์คณาสิริต่อเนื่องปีหน้า

แสนสิริประสบความสำเร็จแบรนด์ “คณาสิริ” โกยยอดขายกว่า 1,000 ลบ. ล่าสุด Sold Out “คณาสิริ พระราม 2- วงแหวน” เฟสแรกหมดเกลี้ยง คาดปัจจัยบวกเศรษฐกิจ-การเมืองปี’61 ดันตลาดบ้านเดี่ยวรุ่ง เตรียมต่อยอดเปิดแบรนด์คณาสิริต่อเนื่องปีหน้า

แสนสิริประสบความสำเร็จแบรนด์ “คณาสิริ” โกยยอดขายแบรนด์ทั้งหมดกว่า 1,000 ล้านบาท เผยดีมานด์บ้านเดี่ยวระดับราคา 3-5 ล้านบาทยังพุ่งแรง ล่าสุดปิดขาย “คณาสิริ พระราม 2-วงแหวน” เฟสแรกหมดเกลี้ยง กวาดยอดขายกว่า 50 ล้านบาท  ชี้ที่มาความสำเร็จเพราะทำเลดีเดินทางสะดวกติดถนนใหญ่พระราม 2 และจุดเด่นดีไซน์บ้านสไตล์ Mid Century 70’s ผสานสถาปัตยกรรมวันวานกับชีวิตสไตล์ใหม่อย่างลงตัว พร้อม Cooliving Designed Home นวัตกรรมบ้านระบายความร้อนด้วยโซล่า เซลล์ ไม่ใช้ไฟฟ้า ไฮไลท์ฟังก์ชั่น Breeze Panel ช่องลมสำหรับถ่ายเทอากาศภายในบ้านทำให้ปลอดโปร่ง Roof Shade ขนาดยาวกันแดดและฝนมากขึ้น คาดปัจจัยบวกเศรษฐกิจ-การเมืองปี’61 หนุนตลาดบ้านเดี่ยวโต เตรียมรุกต่อเปิดตัวแบรนด์คณาสิริโครงการใหม่ปีหน้า นายสมเกียรติ หงษ์ทรัพย์ภิญโญ รองกรรมการผู้จัดการ สายงานพัฒนาธุรกิจและพัฒนาโครงการแนวราบ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปีนี้บริษัทประสบความสำเร็จแบรนด์บ้านเดี่ยว “คณาสิริ” เป็นอย่างมาก โดยมียอดขายแบรนด์รวมทั้งสิ้นกว่า 1,000 ล้านบาท โดยแบรนด์ดังกล่าวขายดีตั้งแต่ต้นปี ปิดการขาย “คณาสิริ วงแหวน – พระราม 5” จำนวน 311 ยูนิต ด้วยยอดขาย 965 ล้านบาท ขณะที่ไตรมาส 3 ได้ปิดการขาย “คณาสิริ ปิ่นเกล้า-กาญจนา” เฟสแรก จำนวน 22  ยูนิต โกยยอดขายไป 100 ล้านบาท และล่าสุดได้ปิดการขายเฟสแรก “คณาสิริ พระราม 2- วงแหวน” จำนวน 9 ยูนิต มูลค่ากว่า 50 ล้านบาท “คณาสิริ พระราม 2-วงแหวน ขายดีตั้งแต่วันแรกที่เปิดขาย เนื่องจากมีดีมานด์สูงของลูกค้าโซนพระราม 2 – มหาชัย ที่ต้องการขยายครอบครัว และ สร้างครอบครัวใหม่ ประกอบกับทำเลศักยภาพที่ติดถนนใหญ่พระราม 2 เดินทางสะดวก เข้าเมืองด้วยทางด่วนดาวคะนอง-พระราม 3, ถนนกาญจนาภิเษก ใกล้ศูนย์การค้า เซ็นทรัลมหาชัย เซ็นทรัล พระราม 2 และดีไซน์บ้านที่โดดเด่นแตกต่าง  มีการผสานสถาปัตยกรรมวันวานกับชีวิตสไตล์ใหม่อย่างลงตัว ด้วยแบบบ้านสไตล์ Mid Century 70’s ที่มีหลังคาจั่ว ตัดกัน Fin แนวตั้งของบ้านทำให้เกิดรูปร่างสี่เหลี่ยมหัวตัดออกมาเป็นรูปทรงที่สวยงาม ผลานกับสีบ้านพาสเทล ทำให้รู้สึกอบอุ่น มีชีวิตชีวา พร้อมด้วยนวัตกรมเพื่อการอยู่อาศัย Cooliving Designed Home อาทิ  Breeze Panel ช่องลมสำหรับถ่ายเทอากาศภายในบ้านทำให้ปลอดโปร่ง  ฝ้าระบายอากาศรอบบ้าน Roof Shade ที่ออกมาให้ยื่นยาวเพื่อกันแดดและฝนมากขึ้น หลอดไฟ LED ทั้งหลังเพื่อประหยัดและมีอายุการใช้งานที่ยาวนานขึ้น ด้วยการตอบรับที่ดีดังกล่าว จึงได้เตรียมเปิดเฟส 2 จำนวน 20 ยูนิต  มูลค่า 92 ล้านบาท ตอบสนองความต้องการของลูกค้าเพิ่มเติม” “ ทั้งนี้ แบรนด์คณาสิริ มีคอนเซ็ปต์ “Feel Complete” บ้านคณาสิริ ความรู้สึกของความสุข หรือความสุขที่ไม่สิ้นสุด สำหรับการเริ่มต้นสร้างครอบครัวกับบ้านหลังแรก ตอบโจทย์การใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในทุกฟังก์ชั่นของโครงการ เป็นบ้านเดี่ยวระดับราคา 3-5 ล้านบาท ซึ่งเป็นระดับราคาที่มีดีมานด์สูงจากผู้บริโภค เนื่องจากเป็นระดับราคาที่ไม่สูงจนเกินไปนัก เหมาะกับครอบครัวขนาดปานกลางที่กำลังสร้างครอบครัวและมองหาจุดเริ่มต้นสำหรับชีวิตครอบครัวที่ดี ในสังคมคุณภาพ พร้อมยังมี นวัตกรรม Cooliving Designed Home บ้านระบายความร้อนด้วยโซล่า เซลล์ ไม่ใช้ไฟฟ้า ปลอดภัยและ Go green ที่ทันสมัยและตอบโจทย์การใช้งานอย่างเต็มเปี่ยม จึงทำให้แบรนด์คณาสิริได้รับการตอบรับที่ดีมาอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นจึงได้เตรียมเปิดโครงการภายใต้แบรนด์นี้อีกในปี 2561 แต่จะเป็นทำเลใดนั้นต้องติดตามกันต่อไป” นายสมเกียรติ กล่าว สำหรับแนวโน้มตลาดบ้านเดี่ยวในปี 2561 นายสมเกียรติ กล่าวว่า คาดว่าจะมีแนวโน้มที่สดใสกว่าปีนี้ แม้ว่าจะยังไม่มีมาตรการสนับสนุนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์โดยตรงจากทางภาครัฐเพิ่มเติม แต่จากปัจจัยบวกที่รัฐบาลมีความชัดเจนในการลงทุนในโครงการเมกะโปรเจค โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการรถไฟฟ้า ที่เริ่มเป็นรูปธรรมและมีความคืบหน้าในการก่อสร้างมากขึ้น เช่น สายสีเขียว (หมอชิต – สะพานใหม่ – คูคต) รวมไปถึงสายสีเหลือง (ลาดพร้าว – สำโรง) สายสีชมพู (แคราย – มีนบุรี) และสายสีส้ม (ศูนย์วัฒนธรรม – มีนบุรี) ที่คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างในปี 2562 จึงทำให้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคกลับมาดีขึ้น กำลังซื้อมีทิศทางที่ดี นอกจากนี้ยังคาดว่าปี’ 61 เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ร้อยละ 4.2 เนื่องจากรัฐบาลได้ประกาศการเลือกตั้งชัดเจนในปี 2562  ซึ่งจะช่วยสนับสนุนให้ภาคอสังหาริมทรัพย์เติบโตไปได้ด้วยดี ขณะที่ผู้ประกอบการเริ่มทยอยที่จะเปิดโครงการใหม่ออกสู่ตลาดและให้ความสำคัญกับการทางการตลาดอย่างเข้มข้น ทำให้คาดการณ์ว่าตลาดบ้านเดี่ยวจะดีขึ้นทั้งในฝั่งอุปทานและอุปสงค์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพื้นที่ที่รถไฟฟ้าผ่าน ซึ่งเป็นทำเลที่มีความน่าสนใจและมีศักยภาพในการพัฒนาบ้านเดี่ยวต่อไป อีกทั้งบ้านเดี่ยวระดับราคาที่น่าจะยังขยายตัวต่อไปได้คือบ้านเดี่ยวระดับราคา 3 ล้านบาทขึ้นไป  ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่มีปัญหาหนี้ภาคครัวเรือนน้อย และมีโอกาสถูกปฏิเสธสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยในระดับต่ำ ดังนั้นจึงจะเติบโตได้ดี”
‘เอพี ไทยแลนด์’ ประกาศนิวไฮด์ ด้วยยอดขายปี 60 ถึงกว่า 41,000 ล้านบาท นับเป็นสถิติสูงสุดครั้งใหม่ คาดปีหน้าตลาดระดับกลางถึงบนยังแรง

‘เอพี ไทยแลนด์’ ประกาศนิวไฮด์ ด้วยยอดขายปี 60 ถึงกว่า 41,000 ล้านบาท นับเป็นสถิติสูงสุดครั้งใหม่ คาดปีหน้าตลาดระดับกลางถึงบนยังแรง

บมจ. เอพี (ไทยแลนด์) สร้างเซอร์ไพรส์ตลาดอสังหาฯ โชว์สถิติใหม่ ด้วยยอดขาย ณ วันที่ 15 ธันวาคม 2560 ถึง 41,600 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อนหน้าถึง 85%  และเกินจากเป้าหมายยอดขายเดิมที่ตั้งไว้ 26,000 ล้านบาทถึง 60%  ซึ่งมาจากสินค้าแนวราบที่ขายได้ต่อเนื่อง รวมถึงการปลุก    แบรนด์ LIFE CONDO ใน 3 ทำเลเด็ดคือ วิทยุ ลาดพร้าว และอโศก-พระราม 9 โดยในปี 2560 บริษัทฯ ได้เปิดตัวโครงการใหม่ทั้งสิ้น 25 โครงการ มูลค่ารวม 49,040 ล้านบาท แบ่งเป็นบ้านเดี่ยว 9 โครงการ มูลค่า 12,350 ล้านบาท ทาวน์โฮม 13 โครงการ มูลค่า 12,590 ล้านบาท และคอนโดมิเนียม 3 โครงการ มูลค่า 24,100 ล้านบาท เผยสูตรสำเร็จพัฒนาอสังหาฯ เชื่อมโยง 4 มิติ โลเคชั่น – สินค้าที่โดนใจผู้บริโภค - การตั้งแพคเกจราคา-ซัพพลายคงเหลือ คาดปีหน้าตลาดระดับกลางและบนยังไปได้ดี สินค้าแนวราบเป็นที่น่าจับตามอง คอนโดต้องเจาะลึกเป็นรายเซกเมนต์ นายอนุพงษ์ อัศวโภคิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ในปีนี้ เอพี ไทยแลนด์ประสบความสำเร็จอย่างมากสามารถสร้างยอดขายรวมของสินค้าทั้งกลุ่มคอนโด และแนวราบได้มากถึง 41,600 ล้านบาท นับเป็นสถิติสูงสุดครั้งใหม่ เติบโตจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมากว่า 85%  และเกินจากเป้าหมายยอดขายเดิมที่ตั้งไว้ 26,000 ล้านบาทถึง 60% โดยแบ่งเป็นยอดขายที่เกิดจาก สินค้าแนวราบมูลค่า 14,525 ล้านบาท และคอนโดมิเนียม 27,075 ล้านบาท โดยปัจจัยที่ส่งผลให้ยอดขายของบริษัทเติบโตแบบก้าวกระโดดในปีนี้ นอกจากจะมาจากสินค้าแนวราบทั้งบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮมที่มีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปีแล้ว ยังมาจากการประสบความสำเร็จในการเปิดตัวคอนโดมิเนียมแบรนด์ LIFE จำนวน 3 โครงการ ได้แก่ LIFE วิทยุ LIFE ลาดพร้าว และ LIFE อโศก-พระราม 9  ซึ่งทั้ง 3 โครงการสามารถปิดการขายได้ประมาณ 90%” การเติบโตอย่างก้าวกระโดดในครั้งนี้ สะท้อนภาพความสำเร็จของวิธีคิดในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในแบบของเอพี ที่นำมิติทั้ง 4 ด้านมาเชื่อมโยงกันเพื่อออกแบบโมเดลสินค้าและราคาขายที่เข้าใจและตอบโจทย์ความต้องการลูกค้าได้อย่างแม่นยำ ซึ่งมิติทั้ง 4 ด้านประกอบด้วย 1) โลเคชั่น  2) โปรดักส์ที่เข้าถึงความต้องการแฝง 3) การกำหนดแพคเกจราคาขายที่สอดรับกับความสามารถในการผ่อนชำระและ 4) การศึกษาจำนวนซัพพลายคงเหลือแต่ละเซกเมนต์ นอกจากนั้น 4 ปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ยังได้รับความร่วมมืออย่างดีจากมิตซูบิชิ เอสเตท กรุ๊ป (MECG) พันธมิตรทางธุรกิจ ในการส่งต่อแนวคิดในการบริหารจัดการคุณภาพ สู่การสร้างกรอบแนวคิดหลักในการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีในการพัฒนาคอนโดมิเนียมของเอพี ด้วยการผสมผสานประสบการณ์ในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เข้ากับการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ โดยเฉพาะแนวคิดเรื่อง IoT (Internet of Thing) ตลอดจนนวัตกรรมการก่อสร้างสำเร็จรูปในระบบโมดูลาร์ อย่างห้องน้ำสำเร็จรูปที่ให้ค่า Defect เท่ากับศูนย์ สำหรับคอนโดมิเนียมภายใต้การร่วมทุนระหว่างเอพี (ไทยแลนด์) และมิตซูบิชิ เอสเตท กรุ๊ป (MECG)  มีทั้งหมด 11 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 50,830 ล้านบาท มียอดขายรวมเฉลี่ย 85% ก่อสร้างแล้วเสร็จพร้อมเข้าอยู่จำนวน 4 โครงการ ได้แก่ 1) RHYTHM สุขุมวิท 36 – 38 2) ASPIRE รัชดา – วงศ์สว่าง 3) ASPIRE สาทร – ท่าพระ 4) RHYTHM อโศก 2 โดยทั้ง 4 โครงการมีสัดส่วนการโอนกรรมสิทธิ์เกินกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ ซึ่งในปี 2561 เอพีและมิตซูบิชิ เอสเตท กรุ๊ป ยังคงจับมือเดินหน้าสร้างสรรค์นวัตกรรมดีไซน์ใหม่ๆ ให้กับตลาดคอนโดมิเนียมอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ บมจ. เอพี (ไทยแลนด์) ได้คาดการณ์ตลาดอสังหาริมทรัพย์ปี 2561 ว่า ภาพรวมธุรกิจยังคงสอดรับกับการเติบโตของเศรษฐกิจประเทศ การแข่งขันยังคงเกิดจากผู้ประกอบการรายใหญ่เป็นหลักที่ปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจ ซัพพลายที่ตอบโจทย์ตลาดระดับกลางและบนขึ้นไปยังคงได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภค การเปิดตัวของสินค้าใหม่แนวราบยังคงเป็นตลาดที่น่าจับตามอง ส่วนคอนโดมิเนียมที่ตอบโจทย์ตลาดระดับกลางถึงบนยังคงมีกำลังซื้อ ส่วนตลาดระดับล่างค่อนข้างน่ากังวลเพราะมีสต๊อกสร้างเสร็จคงเหลือจำนวนมาก กระแสการมาของเทคโนโลยีถือเป็นอีกหนึ่งความท้าทายของธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ผู้ประกอบการต้องปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง เทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นแม้จะเป็นตัวช่วยที่เปิดโอกาสให้เราเข้าใจและรู้จักลูกค้ามากขึ้น แต่สุดท้ายผู้ประกอบการก็จะต้องเป็นคนค้นหาให้เจอว่าลูกค้ากลุ่มเป้าหมายของตนเองกำลังมองหาอะไร สำหรับการอยู่อาศัยในโลกอนาคต   “เอพี (ไทยแลนด์) กล้าที่จะแตกต่าง ผู้นำด้านนวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัยสำหรับคนเมือง”
โครงการอาคารสูงระฟ้าระดับ ซูเปอร์ ลักชัวรี่ ออกแบบและ ตกแต่งโดย บริษัท เพซ  อินทีเรีย เซอร์วิสเซส มั่นใจเลือกฝ้า  “ยิปซัม ตราช้าง” ตอกย้ำศูนย์ไลฟ์สไตล์สุดหรู แห่งใหม่ใจกลางกรุงเทพฯ


โครงการอาคารสูงระฟ้าระดับ ซูเปอร์ ลักชัวรี่ ออกแบบและ ตกแต่งโดย บริษัท เพซ อินทีเรีย เซอร์วิสเซส มั่นใจเลือกฝ้า “ยิปซัม ตราช้าง” ตอกย้ำศูนย์ไลฟ์สไตล์สุดหรู แห่งใหม่ใจกลางกรุงเทพฯ


มหานคร (MahaNakhon) ตึกที่สูงที่สุดในประเทศไทย มาพร้อมกับความสูง 314 เมตร เป็นโครงการ mix-used ที่ได้รับการออกแบบเสมือนถูกโอบล้อมด้วยริบบิ้นสามมิติ หรือ “พิกเซล”  ตลอดทั้งความสูงของตัวอาคาร ทำให้เกิดโครงสร้างพิเศษและโดดเด่นสะดุดตา ผนังตึกด้านนอกล้อมรอบไปด้วยกระจกราวกับลอยอยู่บนฟ้าเมื่อมองมาแต่ไกล โดยสามารถรับลมชมวิวทิวทัศน์แบบพาโนราม่า ด้วยการออกแบบของบริษัท เพซ อินทีเรีย เซอร์วิสเซส จำกัด นายพงษ์ศักดิ์ มหัทธนสกุล CEO & Co-Founder บริษัท เพซ อินทีเรีย เซอร์วิสเซส จำกัด  บริษัทที่ปรึกษาด้านอินทีเรีย ที่มีประสบการณ์และความชำนาญสูงด้านการออกแบบโครงการระดับใหญ่สุดหรูหรา และความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ กล่าวว่า “การได้รับมอบหมายให้มารับผิดชอบดูแลโครงการมหานคร ซึ่งถือเป็นโครงการระดับ Super Luxury โดยได้รับโจทย์จาก  เดอะ ริทซ์-คาร์ลตัน เรสซิเดนซ์ บางกอก  ที่ต้องการให้มหานครเป็น เรสซิเดนซ์ ลักชัวรี่ โดยมุ่งเน้นคุณภาพและมาตรฐานอันเป็นที่ยอมรับในระดับสากล สำหรับโครงการนี้ในส่วนฝ้าภายใน ทางบริษัทเพซ อินทีเรียฯ มอบความไว้วางใจแก่ “ยิปซัม ตราช้าง”  เนื่องจากมีแนวทางการทำงานที่สอดคล้องกับความต้องการเดียวกันในระดับ Level 5 Finish คือการติดตั้งระบบฝ้าที่เรียบเนียนมากๆ แบบไม่มีที่ติ และมีเทรนนิ่งให้กับทีมช่างผู้ติดตั้งอย่างเป็นพิเศษ  เพื่อให้งานออกมาดีและมีคุณภาพที่สุด สำหรับโครงการนี้ เราเลือกใช้ผลิตภัณฑ์แผ่นยิปซัมตราช้าง พลัส แต่ส่วนที่มีความท้าทายในการทำงานคือดีไซน์ฝ้าโค้ง เราใช้ Elephant D Zine จากยิปซัมตราช้าง ซึ่งทำให้งานเราง่ายขึ้นและให้ความหรูหรา สวยงาม เรียบเนียนกว่างานปกติ ทั้งนี้ขอขอบคุณ “ยิปซัม ตราช้าง” ที่ใส่ใจและดูแลโครงการเป็นพิเศษ อีกทั้งยังได้ ยูเอสจีบอรอล (USG BORAL)  ผู้คิดค้นแผ่นยิปซัมรายแรกจากสหรัฐอเมริกาเข้ามาช่วยแนะนำอย่างใกล้ชิด” นายจรุง กาญจนภูมิ ผู้จัดการทั่วไปประจำประเทศไทย บริษัท สยามอุตสาหกรรมยิปซัม (สระบุรี) จำกัด เปิดเผยว่า “การได้ร่วมงานในโครงการระดับ Super Luxury ถือเป็นความร่วมมือครั้งสำคัญของ ยิปซัม ตราช้าง และ บริษัท เพซ อินทีเรีย เซอร์วิสเซส จำกัด  ที่ได้ปรึกษาแลกเปลี่ยนความรู้ในการออกแบบและตกแต่งภายใน การเทรนนิ่งทีมช่างติดตั้ง การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์คุณภาพในระดับ High End  ที่ต้องการดีไซน์เฉพาะตัวและความสวยงามระดับสากล สามารถตอบสนองต่อกลุ่มลูกค้าได้อย่างครอบคลุม ตั้งแต่กลุ่มเจ้าของโครงการ สถาปนิก นักออกแบบตกแต่งภายใน และผู้รับเหมา รวมไปถึงเจ้าของบ้าน ที่ต้องการความพิถีพิถันอย่างแท้จริง เพื่อให้สามารถตอบสนองการออกแบบระดับ hi-class กับโครงการมิกซ์ยูส (Mixed-use) อย่างตึกมหานคร ถือเป็นโจทย์หลักที่ทาง “ยิปซัม ตราช้าง” พิถีพิถันในการนำเสนอผลิตภัณฑ์และให้บริการตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า ในด้านระบบฝ้าเพดานยิปซัม และฝ้าดีไซน์  Elephant D Zine  ด้วยคุณสมบัติของแผ่นยิปซัม ตราช้างพลัส เป็นวัสดุสำหรับใช้เพื่องานฝ้าเพดาน มีคุณลักษณะแข็งแกร่งทั่วแผ่น ไม่ลามไฟ และให้ผิวเรียบเนียนสม่ำเสมอ เหมาะสำหรับงานตกแต่งภายในที่ต้องการความเรียบเนียนสูง และด้วยเทคโนโลยี "ชีตร็อคแบรนด์" สิทธิบัตรจาก ยูเอสจี  (USG) ผู้ผลิตยิปซัมชั้นนำจากประเทศสหรัฐอเมริกา ทำให้แผ่นยิปซัม ตราช้างพลัส มีคุณสมบัติโดดเด่นกว่าแผ่นยิปซัมทั่วไป นอกจากนี้ยังมี “Elephant D Zine” ซึ่งเป็นอีกหนึ่งในผลิตภัณฑ์และบริการของสยามยิปซัม ที่สามารถออกแบบชิ้นงานและติดตั้งให้มีรูปแบบสอดคล้องกับการออกแบบตกแต่งภายในที่มีลักษณะเฉพาะในแต่ละโครงการได้ ไม่ว่าจะเป็น ฝ้าเพดาน ฝาผนัง หรือการหุ้มโครงสร้างเพื่อใช้ในงานออกแบบตกแต่งที่เรียกว่า “ customized design and product”  นั่นเอง ให้ทั้งความสวยงามที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และยังติดตั้งง่ายและรวดเร็ว ได้มาตรฐานระดับสากลด้วย”   จากการที่โครงการมหานครเลือกใช้ “ยิปซัม ตราช้าง” แสดงให้เห็นความไว้วางใจของลูกค้าที่สร้างสรรค์งานระดับมาตรฐานสากลไว้วางใจต่อผลิตภัณฑ์ของยิปซัม ตราช้าง พร้อมตอกย้ำคุณภาพของผลิตภัณฑ์ฝ้าและผนังในอุตสาหกรรมการตกแต่งภายในยิ่งขึ้นไปอีก
ครั้งแรก!! พลิกโฉมประสบการณ์จ่ายเงินในวงการอสังหาฯ  แสนสิริจับมือไทยพาณิชย์สร้าง ‘Cashless Town’ สังคมไร้เงินสด ทำเรื่องเงินให้เป็นเรื่องง่าย เพียงจ่ายผ่าน QR Code

ครั้งแรก!! พลิกโฉมประสบการณ์จ่ายเงินในวงการอสังหาฯ แสนสิริจับมือไทยพาณิชย์สร้าง ‘Cashless Town’ สังคมไร้เงินสด ทำเรื่องเงินให้เป็นเรื่องง่าย เพียงจ่ายผ่าน QR Code

แสนสิริจับมือธนาคารไทยพาณิชย์สร้างปรากฏการณ์ใหม่ครั้งแรกในวงการอสังหาริมทรัพย์ไทย เปิดตัว ‘Cashless Town’ หรือสังคมไร้เงินสด พลิกโฉมมอบประสบการณ์เหนือความคาดหมายทางการเงินแก่ลูกค้าแสนสิริ ให้เรื่องการจ่ายเงินเป็นเรื่องง่าย เพียงชำระผ่าน QR Code เพิ่มความสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย เข้าถึงทุกๆ การชำระเงินได้โดยไม่มีข้อจำกัด ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ลูกค้ายุคดิจิทัล นำร่องเปิดให้บริการครั้งแรกแล้ววันนี้ที่ฮาบิโตะ (Habito) คอมมูนิตี้รีเทลใน “ที77” ศูนย์กลางการอยู่อาศัยและพื้นที่แห่งไลฟ์สไตล์ ซ.สุขุมวิท77 ใกล้ BTS อ่อนนุช และงาน Winter Market Fest ครั้งที่ 5 ครั้งแรกที่ไม่ต้องพกเงินสดช้อปปิ้ง วันที่ 16-17 ธ.ค.นี้เท่านั้น   นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แสนสิริได้ร่วมมือกับพันธมิตรธุรกิจสถาบันการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดตัว ‘Cashless Town’ หรือสังคมไร้เงินสด มอบประสบการณ์ใหม่ทางการเงินให้แก่ลูกค้าแสนสิริ ให้เรื่องการจ่ายเงินเป็นเรื่องง่าย เพียงชำระผ่าน QR Code เพิ่มความสะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย และสามารถเข้าถึงทุกๆ การชำระเงินได้โดยไม่มีข้อจำกัด ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของลูกค้ายุคดิจิทัล ซึ่งนับว่าเป็นครั้งแรกของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ร่วมมือกับธุรกิจสถาบันการเงิน ในการนำดิจิทัลแพลตฟอร์มใหม่ทางการเงินมาสร้างสรรค์ประสบการณ์การชำระเงินและช้อปปิ้งแบบไร้เงินสดเต็มรูปแบบให้แก่ลูกค้า   “ในปีนี้แสนสิริเห็นความเปลี่ยนแปลงในไลฟ์สไตล์และความต้องการของลูกค้าในยุคที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล เราเชื่อว่าเทคโนโลยีจะตอบโจทย์ของลูกค้าได้ดี จึงได้พยายามนำเทคโนโลยีมาต่อยอดใช้ประโยชน์ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในมิติใหม่ๆ อย่างไม่หยุดยั้ง  เพื่อยกระดับการบริการที่ตรงกับไลฟ์สไตล์ของลูกค้าและรักษาความเป็นผู้นำในการบุกเบิกและพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการอยู่อาศัยของวงการอสังหาริมทรัพย์ โดยเรามองลูกค้าเป็นศูนย์กลาง Customer Centric ซึ่งเราศึกษาและพบว่าในยุคดิจิทัลนี้ลูกค้าต้องการความสะดวกสบาย และรวดเร็วในการจับจ่ายใช้สอย ดังนั้นการมอบบริการ ‘Cashless Town’ จะช่วยเติมเต็มการใช้ชีวิตของลูกค้าในโลกยุคดิจิทัลด้านการเงินอย่างสมบูรณ์แบบ” นายอุทัย กล่าว นายวศิน ไสยวรรณ รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ผู้บริหารสูงสุด Multi-Corporate Segment และผู้บริหารสูงสุด Corporate Segment ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า “ธนาคารไทยพาณิชย์ และ บริษัทแสนสิริ จำกัด (มหาชน) เป็นพันธมิตรทางธุรกิจที่แน่นแฟ้น มีความร่วมมือในโครงการต่างๆ เกิดขึ้นร่วมกันอย่างหลากหลาย ด้วยวิสัยทัศน์ที่เป็นไปในทิศทางเดียวกันของทั้งสององค์กรในการให้ความสำคัญต่อการนำเทคโนโลยีเข้ามายกระดับการให้บริการแก่ลูกค้า เมื่อต้นปีที่ผ่านมาธนาคารได้ร่วมลงทุนในบริษัท สิริ เวนเจอร์ส จำกัด เพื่อพัฒนานวัตกรรมที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ให้กับลูกค้าในกลุ่มผู้อยู่อาศัย สำหรับครั้งนี้ธนาคารและแสนสิริร่วมกันนำเทคโนโลยีทางการเงินเข้ามาขับเคลื่อนสังคมไร้เงินสด ขยายไปสู่กลุ่มลูกค้าในภาคอสังหาริมทรัพย์ โดยร่วมกันเปิดตัวโครงการ Cashless Town นำระบบชำระเงินด้วย QR Code เข้าไปให้บริการในทุกทัชพอยท์ที่จะมีธุรกรรมทางการเงินเกิดขึ้นภายใต้พื้นที่ที่พัฒนาโดยแสนสิริ เพื่อเป็นทางเลือกใหม่ในการชำระเงินที่สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของลูกค้าที่อยู่อาศัยในยุคดิจิทัล โดยเริ่มต้นนำร่องครั้งแรกที่ ฮาบิโตะ (Habito) คอมมูนิตี้รีเทลของแสนสิริแล้ววันนี้ รองรับลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการร้านอาหาร และร้านค้าต่างๆ จำนวนไม่ต่ำกว่า 10,0000 คนต่อวัน โดยการชำระเงินด้วยการสแกน QR Code ผ่านสมาร์ทโฟนจะเพิ่มความคล่องตัวให้กับลูกค้ามากขึ้น ความร่วมมือระหว่างธนาคารไทยพาณิชย์ และแสนสิริครั้งนี้นับเป็นฟันเฟืองหนึ่งในการสร้าง Digital Eco System ให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งนี้ภายในไตรมาสแรก ปี 2561 Cashless Town เต็มรูปแบบจะขยายครอบคลุมพื้นที่ T 77 ศูนย์กลางการอยู่อาศัยและพื้นที่แห่งไลฟ์สไตล์ภายใต้การพัฒนาของแสนสิริต่อไป ” นายอุทัย กล่าวเพิ่มเติมว่า T 77 ตั้งอยู่บนถนนสุขุมวิท 77 อยู่ใกล้รถไฟฟ้า BTS สถานีอ่อนนุช ซึ่งปัจจุบันมีโครงการที่อยู่อาศัย 8 โครงการ ประกอบด้วยสังคมอยู่อาศัยประมาณถึง 10,000 ครอบครัว ได้แก่ บล็อค สุขุมวิท 77, เดอะ เบส สุขุมวิท 77, เดอะ เบส พาร์คอีสต์ สุขุมวิท 77, เดอะ เบส พาร์คเวสต์ สุขุมวิท 77, ฮาสุ เฮาส์, โมริ เฮาส์, การ์เด้น สแควร์ สุขุมวิท 77 และโครงการล่าสุดคาวะ เฮาส์ รวมถึง Park Court (พาร์ค คอร์ท) คอนโดมิเนียมและอพาร์ตเม้นต์ และ โรงเรียนนานาชาติ บางกอกเพรพ ”Bangkok International Preparatory & Secondary School (Bangkok Prep) หนึ่งในโรงเรียนนานาชาติชั้นนำของไทย รวมทั้ง Dental Hospital (โรงพยาบาลฟัน) ที่จะเปิดให้บริการปี 2561 โดยเมื่อเปิดอย่างเป็นทางการแล้วก็พร้อมเปิดบริการ Cashless Town ให้เป็นเมืองไร้เงินสดอย่างสมบูรณ์ ลูกค้าของแสนสิริสามารถชำระค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าส่วนกลาง และชำระค่าบริการที่โรงพยาบาลฟัน ผ่าน QR Code นับเป็นการมอบการบริการทางการเงินที่รองรับไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตในยุคดิจิทัลได้อย่างลงตัว นอกจากนี้ในวันที่ 16-17 ธันวาคมนี้ ในงาน Winter Market Fest (วินเทอร์ มาร์เก็ต เฟส) ครั้งที่ 5 ไลฟ์สไตล์ เฟสติวัลสุดฮิปที่แสนสิริจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี ที่ที77 ซึ่งรวบรวมร้านค้าและร้านอาหารชั้นนำมากมายถึง 150 ร้านค้า จะเป็นครั้งแรก ! ที่เปิดให้บริการ Cashless Town ลูกค้าช้อปปิ้งได้ชิลล์ๆ ผ่าน QR Code โดยไม่ต้องใช้เงินสด ซึ่งเหมาะกับคนร่วมงานที่ส่วนมากเป็นคนรุ่นใหม่ที่รักความสะดวกสบาย และคาดว่าปีนี้จะมีคนมาร่วมงานเป็นจำนวนมาก   นายอุทัย กล่าวทิ้งท้ายว่า คาดว่าความร่วมมือครั้งนี้จะทำให้ผู้บริโภคจะเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้จ่ายสู่สังคมไร้เงินสดเพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้แสนสิริจะยังคงไม่หยุดยั้งในมองหาบริการที่จะเข้ามาเติมเต็มไลฟ์สไตล์และประสบการณ์ของลูกค้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อยกระดับการให้บริการอย่างครบวงจร และมอบประสบการณ์ที่เหนือความคาดหมายให้ลูกค้าอย่างไม่สิ้นสุด”
“ออริจิ้น” ดึงเชน IHG ผุดโรงแรม 3 แห่ง มูลค่า 7,500 ล้านบาท พร้อมผนึกโนมูระลุยแบรนด์ Staybridge Suites ครั้งแรกในเอเชียแปซิฟิก

“ออริจิ้น” ดึงเชน IHG ผุดโรงแรม 3 แห่ง มูลค่า 7,500 ล้านบาท พร้อมผนึกโนมูระลุยแบรนด์ Staybridge Suites ครั้งแรกในเอเชียแปซิฟิก

ออริจิ้นแตกไลน์ธุรกิจ ดึงเชนเครืออินเตอร์คอนติเนนตัล ผุดโรงแรม 3 แห่งใจกลางทองหล่อ-ศรีราชา มูลค่าทรัพย์สิน 7,500 ล้านบาท เจาะตลาดญี่ปุ่น-รับการลงทุนอีอีซี พร้อมเปิดตัวแบรนด์ใหม่ Staybridge Suites ครั้งแรกในเอเชียแปซิฟิก ผนึกโนมูระลุย “Staybridge Suites Bangkok Thonglor” นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์เคนซิงตัน นอตติ้ง ฮิลล์ ไนท์บริดจ์ และพาร์ค กล่าวว่า นอกจากการพัฒนาที่อยู่อาศัยแล้ว บริษัทยังมีวิสัยทัศน์ในการเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร ครอบคลุมธุรกิจโรงแรม เซอร์วิสอพาร์ทเมนท์ สำนักงานเช่า คอมมูนิตี้มอลล์ สำหรับธุรกิจโรงแรมนั้น บริษัทจะนำร่องด้วยการพัฒนาโรงแรม 3 แห่ง มูลค่าทรัพย์สินหลังการก่อสร้าง (Asset Value) อยู่ที่ประมาณ 7,500 ล้านบาท โดยล่าสุดได้เซ็นสัญญานำแบรนด์และเชนของเครือโรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล (IHG) เข้ามาบริหารโรงแรมทั้ง 3 แห่ง “IHG เป็นหนึ่งในเครือโรงแรมชั้นนำของโลก ได้รับการยอมรับด้านการบริหารโรงแรมด้วยมาตรฐานสากล และมีแบรนด์โรงแรมคุณภาพหลากหลายแบรนด์อยู่ทั่วโลก การพัฒนาโรงแรม 3 แห่งแรกของเราในครั้งนี้จึงเลือกนำแบรนด์และเชนโรงแรมของ IHG จำนวน 2 แบรนด์มาบริหาร ซึ่งเรามีความยินดีอย่างยิ่งที่จะได้ทำงานร่วมกับ IHG นับจากนี้” นายพีระพงศ์ กล่าว   โรงแรมทั้ง 3 แห่งประกอบด้วย 1.สเตย์บริดจ์ สวีท แบงค็อก ทองหล่อ (Staybridge Suites Bangkok Thonglor) 2.สเตย์บริดจ์ สวีท ชลบุรี ศรีราชา (Staybridge Suites Chonburi Siracha) และ 3.ฮอลิเดย์ อินน์ แอนด์ สวีทส์ ศรีราชา แหลมฉบัง (Holiday Inn Suites Siracha Laemchabang) จะทยอยเปิดให้บริการจนครบทั้ง 3 แห่งภายในปี 2564 โดยการนำแบรนด์สเตย์บริดจ์ สวีท (Staybridge Suites) เข้ามานั้น ถือเป็นการนำแบรนด์ดังกล่าวเข้ามาใช้เป็นครั้งแรกในเอเชียแปซิฟิก   สำหรับการพัฒนาโรงแรมสเตย์บริดจ์ สวีท แบงค็อก ทองหล่อนั้น บริษัทยังได้จับมือกับบริษัท โนมูระ เรียลเอสเตท ดีเวลล็อปเมนท์ พันธมิตรสำคัญของออริจิ้นในการพัฒนาที่อยู่อาศัย มาร่วมพัฒนาโครงการดังกล่าวด้วย เพื่อให้สามารถพัฒนาโครงการและการบริการให้ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายได้อย่างดีที่สุด ล่าสุด ได้จัดตั้งบริษัทร่วมทุนขึ้นมาในสัดส่วน 51 ต่อ 49 ด้านนายราจิต สุขุมารัน ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ ประจำภูมิภาคเอเชีย ตะวันออกกลาง และแอฟริกา เครือโรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล (IHG) กล่าวว่า สเตย์บริดจ์ สวีท เป็นแบรนด์โรงแรมที่เปิดให้บริการมาแล้วมากกว่า 250 แห่งทั่วโลก ตกแต่งด้วยบรรยากาศที่อบอุ่น สะดวกสบาย มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน เช่น อุปกรณ์ครัวครบชุดโซนทำงานส่วนตัว โซนเอ็นเตอร์เทนเมนต์ เหมาะสำหรับแขกที่ต้องการเข้ามาพักระยะยาว เช่น กลุ่มชาวต่างชาติที่เข้ามาทำงานในพื้นที่นั้นๆ (Expat) หรือนักท่องเที่ยวเชิงธุรกิจ (Business Traveller)   “เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้ร่วมงานกับบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) อีกครั้ง ในการขยายฐานธุรกิจของเราด้วยการนำแบรนด์โรงแรมใหม่ๆ มาสู่ภูมิภาค และด้วยความต้องการที่พักแบบระยะยาวที่เพิ่มมากขึ้นทั้งในกรุงเทพฯ และศรีราชา จึงถือเป็นโอกาสที่ดียิ่งสำหรับสเตย์บริดจ์ สวีท และเราเห็นโอกาสในการเพิ่มจำนวนสเตย์บริดจ์ สวีทให้มากขึ้นในเอเชียแปซิฟิกในภายภาคหน้า ซึ่งเป็นเรื่องน่าตื่นเต้น” นายราจิต กล่าว ด้านนายโทชิฮิเดะ สึคาซากิ เจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจให้เช่าที่อยู่อาศัย การจัดการโรงแรมและอสังหาริมทรัพย์ด้านโลจิสติกส์ บริษัท โนมูระ เรียลเอสเตท ดีเวลล็อปเมนท์ จำกัด กล่าวว่า ที่ผ่านมา โนมูระถือเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์อย่างครบวงจรในญี่ปุ่น แต่ครั้งนี้ถือเป็นอีกก้าวสำคัญในการตัดสินใจออกมาลงทุนธุรกิจโรงแรมในต่างประเทศ สาเหตุสำคัญที่ตัดสินใจลงทุนครั้งนี้ เนื่องจากมั่นใจในพันธมิตรที่มีความแข็งแกร่งในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของไทยอย่างออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ มั่นใจในแบรนด์คุณภาพของเครืออินเตอร์คอนติเนนตัล รวมถึงมั่นใจในศักยภาพทำเลทองหล่อ ซึ่งเป็นทำเลธุรกิจที่มีความต้องการการพักอาศัยของชาวต่างชาติ   “เรามั่นใจว่า เราจะสามารถนำโนว์ฮาวและความรู้ความสามารถของเรามาช่วยพัฒนาโรงแรมสเตย์บริดจ์ สวีท แบงค็อกทองหล่อ ให้ตอบโจทย์ผู้ใช้บริการ โดยเฉพาะชาวญี่ปุ่น ให้ได้รับการบริการที่สะดวกสบายและน่าประทับใจ” นายโทชิฮิเดะ กล่าว   สำหรับการลงทุนครั้งนี้ ถือเป็นส่วนหนึ่งของการลงทุนภายใต้แผนการเติบโตระยะกลาง-ยาวของโนมูระตั้งแต่ปีงบการเงิน 2559-2567 (สิ้นสุด มี.ค.2568) ด้วยการลงทุนในต่างประเทศภายใต้งบลงทุน 3 แสนล้านเยน (ราว 9.06 หมื่นล้านบาท) ด้านนางจตุพร ผิวขาว กรรมการผู้จัดการ บริษัท ออริจิ้น วัน จำกัด บริษัทพัฒนาธุรกิจที่สร้างรายได้หมุนเวียนในเครือ ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ กล่าวว่า จากข้อมูลของสำนักบริหารแรงงานต่างด้าว พบว่า จำนวนชาวต่างชาติที่เข้ามาทำงานในไทยมากที่สุด คือ ชาวญี่ปุ่น คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 24% ขณะเดียวกันจากข้อมูลของปี 2555-2559 ยังพบว่า จำนวนชาวต่างชาติที่เข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ (Expat) มีจำนวนเพิ่มขึ้นเฉลี่ยถึง 16% ต่อปี ทำเลทองหล่อถือเป็นทำเลสำคัญที่มีชาวต่างชาติเข้ามาทำงานและพักอาศัยเป็นจำนวนมาก มั่นใจว่าการพัฒนาโรงแรมในทำเลทองหล่อจะสามารถตอบโจทย์ความต้องการที่พักอาศัย โดยเฉพาะของชาวต่างชาติที่เพิ่มขึ้นในย่านนี้ได้   สำหรับทำเลศรีราชา ถือเป็นอีกหนึ่งทำเลศักยภาพ เพราะภาครัฐมีนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี) มีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานจำนวนมาก พร้อมให้สิทธิประโยชน์ต่างๆ เพื่อดึงดูดการลงทุนจากชาวต่างชาติ เมื่อมีชาวต่างชาติเข้ามาลงทุนเพิ่มขึ้น การเข้ามาทำธุรกิจทั้งระยะสั้นและระยะยาวในพื้นที่ก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย บริษัทจึงมั่นใจที่จะพัฒนาโรงแรมในพื้นที่ศรีราชา 2 แห่ง โดยเลือกทำเลที่ใกล้สถานที่พักผ่อนและอำนวยความสะดวกอื่นๆ ด้วย   โรงแรมสเตย์บริดจ์ สวีท แบงค็อก ทองหล่อ เป็นโรงแรมขนาด 303 ห้องพัก มีพื้นที่อาคารรวม 25,500 ตร.ม. มูลค่าทรัพย์สิน 2,500 ล้านบาท ตั้งอยู่บริเวณซอยสุขุมวิท 55 ห่างจากสถานีบีทีเอสทองหล่อประมาณ 10 นาที คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในช่วงไตรมาส 4/2562 ขณะที่โรงแรมสเตย์บริดจ์ สวีท ชลบุรี ศรีราชา เป็นโรงแรมขนาด 400 ห้องพัก มีพื้นที่อาคารรวม 37,200 ตร.ม. มูลค่าทรัพย์สิน 2,800 ล้านบาท ตั้งอยู่บริเวณถนนสุขุมวิท ตรงข้ามตึกคอม ศรีราชา คาดว่าจะเปิดให้บริการในช่วงไตรมาส 4/2563 ส่วนโรงแรมฮอลิเดย์ อินน์ แอนด์ สวีทส์ ศรีราชา แหลมฉบัง เป็นโรงแรมขนาด 347 ห้องพัก มีพื้นที่อาคารรวม 30,500 ตร.ม. มูลค่าทรัพย์สิน 2,200 ล้านบาท ตั้งอยู่ในพื้นที่โครงการ Origin District คาดว่าจะเปิดให้บริการในช่วงไตรมาส 1/2563   สำหรับเครือโรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล (IHG) มีเครือข่ายโรงแรมอยู่กว่า 5,300 แห่ง 7.85 แสนห้องพักในกว่า 100 ประเทศทั่วโลก ปัจจุบัน ดำเนินการบริหารโรงแรมในไทย 22 แห่ง ภายใต้ 5 แบรนด์ และมีที่รอเปิดให้บริการอีก 14 แห่ง โดยแบรนด์สเตย์บริดจ์ สวีท ถือเป็นแบรนด์ที่ 6 ในไทย   ขณะที่บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) มีโครงสร้างธุรกิจหลากหลาย ประกอบด้วย 1.ธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อการขาย (Project Development Business) 2.ธุรกิจที่สร้างรายได้หมุนเวียนต่อเนื่อง (Recurring Income Business) เช่น โรงแรม เซอร์วิสอพาร์ตเมนท์ สำนักงานเช่า ค้าปลีก 3.ธุรกิจบริการ (Service Business) เช่น ธุรกิจการจัดการอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจตัวแทนซื้อ ขาย เช่า อสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ และยังมีวิสัยทัศน์ในการขยายประเภทธุรกิจใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เป็นผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร
‘The Symphony of VITTORIO’ สัมผัสประสบการณ์เสียงแห่งงานศิลป์

‘The Symphony of VITTORIO’ สัมผัสประสบการณ์เสียงแห่งงานศิลป์

  โครงการ ‘VITTORIO’ สุดยอดอัลตร้า-ลักซ์คอนโด ใจกลางย่านสุดหรู The Em District บนถนนสุขุมวิท 39 โดยบริษัทเอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) รังสรรค์ประสบการณ์การชมงานศิลปะรูปแบบใหม่ ผ่านงาน ‘The Symphony of Vittorio’ ครั้งแรกกับการชมงานศิลปะแบบ “Sonic-Visual Journey” ที่เรียนเชิญแขกวีไอพีและเซเลบริตี้ชื่อดังของเมืองไทยร่วมสัมผัสความวิจิตรตระการตา ในคุณค่าของงานศิลป์ ถ่ายทอดผ่านงานดนตรีที่ประพันธ์และคัดเลือกโดยศิลปินทางดนตรีแนวหน้าของไทยได้แก่ บุรินทร์ บุญวิสุทธิ์ สมเกียรติ อริยะชัยพานิชย์ และทฤษฎี ณ พัทลุง     นายสรรพสิทธิ์ ฟุ้งเฟื่องเชวง ผู้อำนวยการสายงานคอร์ปอเรทมาร์เก็ตติ้ง บมจ. เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “งาน ‘The Symphony of VITTORIO’ ตั้งใจรังสรรค์ประสบการณ์รูปแบบใหม่ให้แขกผู้มีเกียรติร่วมสัมผัสการผสมผสานสุนทรียศาสตร์แห่งศิลปะและดนตรีเข้าด้วยกัน บนพื้นที่ของ VITTORIO คอนโดหรูระดับอัลตร้า-ลักซ์  ที่ตกแต่งด้วยชิ้นงานศิลปะที่ประเมินค่าไม่ได้ อาทิ งานจิตรกรรมและประติมากรรมจากศิลปินไทยที่โด่งดังทั้งในและต่างประเทศ อาทิ อาจารย์เขียน ยิ้มศิริ อาจารย์-นุกูล ปัญญาดี คุณพินรี สัณฑ์พิทักษ์  อาจารย์เสนีย์ แช่มเดช และ ผู้ช่วยศาสตราจารย์พิทักษ์ สง่า โดยล้วนเป็นชิ้นงานที่งดงามและทรงคุณค่า (มูลค่ารวมสูงกว่า 30 ล้านบาท)     ผู้ร่วมงานได้สัมผัสกับประสบการณ์รูปแบบใหม่แห่งการชมงานศิลปะผ่านความงามที่สัมผัสได้ทางสายตา และบทเพลงไพเราะทางโสตสัมผัส ประกอบกับการฟังบทเพลงที่ประพันธ์และเรียบเรียงโดย 3 ศิลปินทางดนตรีชั้นนำของประเทศ ได้แก่ Soul Master คุณบุรินทร์ บุญวิสุทธิ์  New Aged Music Pioneer    คุณสมเกียรติ อริยะชัยพาณิชย์ และ Classical Conductor  คุณทฤษฎี ณ พัทลุง โดยไฮไลท์ของงานครั้งนี้ศิลปินทั้ง 3 ได้แต่งเพลงให้กับผลงานประติมากรรม “งอกงาม” ผลงานของศิลปินแห่งชาติ อาจารย์เขียน ยิ้มศิริ เพื่อเป็นเกียรติแก่ท่าน นอกจากนี้ ศิลปินแต่ละท่านยังประพันธ์และคัดสรรบทเพลง หรือดนตรีจากแรงบันดาลใจที่ได้จากผลงานจิตรกรรมทั้งหมดที่แสดงอยู่ที่ VITTORIO ที่พร้อมส่งมอบที่สุดของการใช้ชีวิตภายใต้คอนเซ็ปต์ Living in the Masterpiece อีกด้วย”   หากเสน่ห์ของเมืองฟลอเรนซ์คืองานจิตรกรรมและประติมากรรมที่แฝงตัวอยู่ในทุกพื้นที่แล้ว สำหรับ VITTORIO ทุกพื้นที่ล้วนได้รับการจัดวางสเปซอย่างละเอียด เพื่อเสริมให้จิตรกรรมและประติมากรรมที่เอพีเลือกสรรมาประดับ VITTORIO ดูโดดเด่นทรงคุณค่าไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน    VITTORIO มีจำนวนเรสซิเดนซ์เพียง 88 ยูนิต ภายในอาคารที่พักอาศัยความสูง 28 ชั้น ครบครันด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกที่สามารถตอบโจทย์ทุกความต้องการของผู้อยู่อาศัยระดับ Ultra Luxury ราคาเริ่มต้น 31 ล้านบาท พร้อมส่งมอบที่สุดของการใช้ชีวิตระดับมาสเตอร์พีซแล้ววันนี้  www.vittorio-residence.com  
“เทพารักษ์-ศรีนครินทร์-สุวรรณภูมิ” สังคมน่าอยู่แห่งใหม่
ครบทุกฟังก์ชั่นความต้องการของผู้อยู่อาศัย

“เทพารักษ์-ศรีนครินทร์-สุวรรณภูมิ” สังคมน่าอยู่แห่งใหม่
ครบทุกฟังก์ชั่นความต้องการของผู้อยู่อาศัย

ย่านเทพารักษ์-ศรีนครินทร์ ในเวลานี้ถือว่าเป็นศูนย์กลางความเจริญแห่งใหม่ ด้วยทำเลศักยภาพใกล้แหล่งงานและย่านเศรษฐกิจ รวมทั้งยังแวดล้อมไปด้วย ไฮเปอร์มาร์เก็ตขนาดเล็ก-ใหญ่ ตั้งอยู่โดยรอบพื้นที่ รวมถึงตลาดที่อยู่อาศัย เริ่มมีการพัฒนาโครงการใหม่ๆ มากขึ้น หากใครกำลังมองหาที่อยู่อาศัยที่สามารถตอบโจทย์การใช้ชีวิตและรองรับไลฟ์สไตล์อันหลากหลาย รับรองว่าย่านเทพารักษ์-ศรีนครินทร์ ไม่ทำให้ผิดหวังอย่างแน่นอน เทพารักษ์ ศรีนครินทร์ สุขุมวิท เชื่อมต่อเพียงพริบตา ความเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนของย่านเทพารักษ์ เกิดขึ้นจากความคืบหน้าของแผนการลงทุนระบบขนส่งมวลชน โดยเฉพาะรถไฟฟ้าสายสีเหลือง (ลาดพร้าว-สำโรง) ส่งผลให้พื้นที่ดังกล่าวมีความสะดวกสบายต่อการเดินทางเข้าสู่ใจกลางเมือง  ซึ่งไม่ใช่เพียงแต่รถไฟฟ้าสายสีเหลือง เพียงเท่านั้น แต่ย่านนี้ยังมีรถไฟฟ้าสายสีเขียว (ส่วนต่อขยายสมุทรปราการ-บางปู) ที่มีแผนก่อสร้างและจะเปิดให้บริการในอนาคต เรียกได้ว่าสร้างความน่าสนใจและน่าอยู่อาศัยให้กับพื้นที่เทพารักษ์เป็นอย่างมากในช่วงปีที่ผ่านมา นอกจากนั้น หากมองทำเลเทพารักษ์ ในช่วงถนนบางพลี – ตำหรุ ยังเป็นถนน 6-8 ช่องจราจร ใช้งานสะดวก โดยถนนเส้นนี้สามารถเชื่อมต่อไปยังถนนโดยรอบได้หลายเส้นทาง ได้แก่ ถนนกิ่งแก้วที่สามารถเชื่อมต่อไปยังถนนบางนา-ตราด โดยเส้นบางนา-ตราดนี้จะเป็นที่ตั้งของศูนย์การค้าขนาดใหญ่หลายแห่งและเป็นจุดขึ้น-ลงทางด่วนบูรพาวิถีเพื่อเชื่อมต่อเข้าเมืองได้สะดวก เช่นเดียวกันยังอยู่ใกล้ถนนวงแหวนตะวันออกรอบนอก ที่สามารถเดินทางไปยังจังหวัดชลบุรี และจังหวัดอื่นๆ ในภาคตะวันออก อีกทั้งยังเป็นเส้นทางคมนาคมสายหลักไปสู่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ซึ่งนับว่าสามารถตอบสนองความต้องการและไลฟ์สไตล์ของผู้อยู่อาศัยอย่างลงตัว ตลาดอสังหาฯ ย่านเทพารักษ์ - ศรีนครินทร์  สำหรับตลาดอสังหาฯ ในทำเลนี้  ปัจจุบันยังคงเป็นตลาดแนวราบ ด้วยพฤติกรรมของผู้อยู่อาศัย ยังมองหาบ้านที่มีพื้นที่ใช้สอย เพียงพอกับกิจกรรมของผู้เริ่มสร้างครอบครัวใหม่ รวมถึงครอบครัวใหญ่ โดยตลาดอสังหาในทำเลดังกล่าว แบ่งเป็นหมู่บ้านจัดสรร ที่มีทั้งโครงการใหม่ และบ้านมือสอง อพาร์ทเม้นท์ และยังมีคอนโดมิเนียม Low-rise ในราคาที่ยังไม่สูงมากเมื่อเทียบกับที่อยู่อาศัยในใจกลางเมือง อีกทั้งยังตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน เช่น บิ๊กซี บางพลี, มาร์เก็ต วิลเลจ สุวรรณภูมิ, โลตัส ซิตี้ พาร์ค บางพลี, โรบินสัน สมุทรปราการ, ไบเทค บางนา, เมกา บางนา และ อิเกีย นับว่าเป็นทำเลที่มีความเจริญเติบโตและน่าสนใจเป็นอย่างมาก เตรียมพบกับโครงการ ลลิล ทาวน์ ไลโอ บลิสซ์ เทพารักษ์-ตำหรุ โดยบริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) (LALIN) ปรากฏการณ์ใหม่ของการอยู่อาศัยบนทำเลเทพารักษ์ ด้วยฟังก์ชั่น 4 ห้องนอน 2 ที่จอดรถในร่ม พร้อมครัวไทย ใกล้ทางด่วน เมกาบางนา ราคาเริ่ม 1 ล้านกว่าบาทเท่านั้น และเร็วๆ นี้ ผู้ที่สนใจสามารถลงทะเบียนในเว็บไซต์ เพื่อรับสิทธิ์ช้อปปิ้งทั่วกรุง 20,000 บาท จองแปลงสวยทำเลหน้าโครงการ โซนติดสวนก่อนใคร คลิก!: http://bit.ly/lalinliotamru หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม Call Center โทร 1778 และเว็บไซต์ www.lalinproperty.com, Line @LalinSociety
บ้านลุมพินี สวนหลวง ร.๙ เปิดจองเฟสสุดท้าย 16 ธ.ค. นี้
เริ่ม 9 ล้าน พิเศษส่วนลดสูงสุด 5 แสน

บ้านลุมพินี สวนหลวง ร.๙ เปิดจองเฟสสุดท้าย 16 ธ.ค. นี้
เริ่ม 9 ล้าน พิเศษส่วนลดสูงสุด 5 แสน

“บ้านลุมพินี” ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์โครงการแนวราบในเครือ L.P.N. DEVELOPMENT GROUP ภายใต้แนวคิด “บ้านลุมพินี บ้านน่าอยู่” ในแนวทาง “บ้านดี สิ่งแวดล้อมดี ดูแลดี ผู้คนดี” เดินหน้าพัฒนาโครงการต่อเนื่อง “บ้านลุมพินี สวนหลวง ร.๙ เฟส 3” มูลค่ากว่า 300 ล้านบาท จำนวน 29 หลัง บ้านเดี่ยวขนาด 2 ชั้น 4 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ ที่จอดรถ และพื้นที่สวน เปิดจองเสาร์ที่ 16 ธ.ค. นี้ เริ่ม 9 ล้านบาท พิเศษ ส่วนลดสูงสุด 500,000 บาท (จำนวนจำกัด) นับเป็นโอกาสสุดท้ายสำหรับผู้ที่ต้องการขยายครอบครัวใหญ่ได้มาเป็นส่วนหนึ่งของสังคมคุณภาพ บนทำเลใกล้ชิดธรรมชาติ สวนหลวง ร.9 โดยบ้านทุกหลังมีการวางระบบมาตรฐานต่างๆ เพื่อเติมเต็มความสมบูรณ์ของบ้าน มีการออกแบบที่คำนึงถึงการใช้งานทุกพื้นที่ในบ้าน พร้อมรองรับผู้อาวุโส ด้วยการจัดสรรห้องนอนชั้นล่าง โดยออกแบบให้ตั้งอยู่ใกล้ห้องน้ำ และส่วนพื้นที่ครัวที่สามารถแบ่งพื้นที่การใช้งานให้คนในครอบครัวทำกิจกรรมต่างๆ ร่วมกันได้ อาทิ การจัดปาร์ตี้เล็กๆ เพื่อกระชับความสัมพันธ์ และห้องครัวไทยแยกส่วน บริเวณชั้น 2 มี 3 ห้องนอน ทุกห้องนอนให้ความเป็นส่วนตัวสูง มีห้องน้ำในตัว และพื้นที่ห้องนั่งเล่นสำหรับเด็กๆ ให้มีกิจกรรมร่วมกัน นอกเหนือจากพื้นที่จอดรถที่เตรียมไว้ 2-3 คันแล้ว (ขึ้นกับแบบบ้าน)  ยังมีพื้นที่จอดรถส่วนกลางสำหรับผู้มาเยี่ยมเยือน  โดยมุ่งเน้นการอำนวยความสะดวก และไม่เป็นการรบกวนเพื่อนบ้าน ด้านสิ่งอำนวยความสะดวกก็ครบครันทั้งคลับเฮาส์, ฟิตเนส, สระว่ายน้ำระบบน้ำเกลือ, สวนส่วนกลาง, กล้อง CCTV ทั่วทั้งโครงการ และระบบรักษาความปลอดภัย 24 ชั่วโมง รวมทั้งการบริหารจัดการที่ดีจากทีมบริหารงานมืออาชีพจากบริษัท ลุมพินี พรอพเพอร์ตี้ มาเนจเมนท์ จำกัด ตอบโจทย์ความสุขที่แท้จริงของการอยู่อาศัย สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม LPN Call Center 02-689-6888 ,www.baanlumpini.com และ Facebook : Baan Lumpini
ครั้งแรกของโลกที่ป่าธรรมชาติและสังคมอยู่รวมกันในเมือง THE FORESTIAS – เดอะ ฟอเรสเทียส์” โดย MQDC ปรากฏการณ์ที่สร้างบนพื้นฐาน “ความสุขที่แท้จริง”

ครั้งแรกของโลกที่ป่าธรรมชาติและสังคมอยู่รวมกันในเมือง THE FORESTIAS – เดอะ ฟอเรสเทียส์” โดย MQDC ปรากฏการณ์ที่สร้างบนพื้นฐาน “ความสุขที่แท้จริง”

บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) สร้างสรรค์พื้นที่ความสุขครั้งยิ่งใหญ่ เพื่อตอบโจทย์รูปแบบการใช้ชีวิตของทุกคนในครอบครัว ท่ามกลาง   ระบบนิเวศของผืนป่าธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ เปิดตัวโปรเจกต์แฟลกชิพ “THE FORESTIAS - เดอะ ฟอเรสเทียส์” ครั้งแรกของโลกที่ธรรมชาติและสังคมอยู่รวมกันในเมือง คุณวิสิษฐ์ มาลัยศิริรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) กล่าวว่า “ด้วยคำมั่นสัญญาของแบรนด์ ‘for all well-being’ ที่มุ่งมั่นและตั้งใจในการสร้างสรรค์สิ่งที่ดีที่สุดในการใช้ชีวิตเพื่อส่งผลดีต่อทุกการดำเนินชีวิตในอนาคต และเป็นส่วนหนึ่งของโลกผ่านการออกแบบที่ใส่ใจธรรมชาติ การนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆ มาประยุกต์ใช้ในการร่วมอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม หรือ (Sustainnovation) ประกอบกับการนำคำว่า “ความสุขที่แท้จริง” เป็นโจทย์ในการดำเนินงานเพื่อสร้างสรรค์โครงการ เพื่อมอบความสุขที่แท้จริงในกับคนในยุคปัจจุบันและอนาคต จึงเป็นที่มาของโครงการ “THE FORESTIAS - เดอะ ฟอเรสเทียส์ ครั้งแรกของโลกที่ป่าธรรมชาติและสังคมอยู่รวมกันในเมืองบนพื้นที่กว่า 300 ไร่ บริเวณบางนา-ตราด กิโลเมตรที่ 5-7 มูลค่าโครงการมากกว่า 90,000 ล้านบาท ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Imagine Happiness” โดยมีองค์ประกอบสำคัญทั้ง 4 หมวดใหญ่ หรือ Eternal 4 อันเป็นพื้นฐานของความสุขที่แท้จริง ได้แก่ 50 Shades of Nature ความสุขในการใช้ชีวิตท่ามกลางระบบนิเวศขนาดใหญ่ Connecting 4 Generations ความสุขในการดีไซน์พื้นที่ความอบอุ่นให้กับครอบครัวได้ใช้ชีวิตร่วมกันครอบคลุมถึง 4 เจนเนเรอชั่น Community of Dreamsความสุขบนพื้นที่และสาธารณูปโภคที่ให้ทุกคนได้ทำกิจกรรมร่วมกัน Sustainnovation for Well-being ความสุขด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน ซึ่งนับเป็นดีเอ็นเอของ MQDC ที่สร้างแนวคิดใหม่ของการใช้ชีวิตทั้งในวันนี้และในอนาคต” ในครั้งนี้ ได้เปิดเผยภาพลักษณ์และคอนเซ็ปต์ของโครงการ ภายในงาน “World Premiere of THE FORESTIAS” ที่นำเสนอประสบการณ์ไลฟ์สไตล์ผ่านนิยามแห่งความสุขทั้ง 4 ที่รายล้อมภายในโครงการ โดยได้รับเกียรติจาก คุณทิพพาภรณ์ อริยวรารมย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร – กลุ่มบริษัท ดีทีจีโอ คุณรัช ตันตนันตา ประธานผู้อำนวยการ - กลุ่มบริษัทดีทีจีโอ คุณศศินันท์ออลแมนด์ ผู้อำนวยการบริหาร ฝ่ายการตลาดและการสื่อสารองค์กร และคณะผู้บริหาร MQDC ร่วมให้การต้อนรับพันธมิตรทางธุรกิจ บุคคลทางสังคม เซเลบริตี้ทั่วฟ้าเมืองไทยร่วมงานอย่างคับคั่ง อาทิ ดร. แคทลีน มาลีนนท์, คุณชาลอต โทณวณิก, คุณศรันย์ภัค เพ็ญชาติ, คุณภีมนิดา อุตสาหจิต, คุณจรสพรรณ สวัสดิวัฒน์ ณ อยุธยา, คุณหฤทัย ไชยันต์ ณ อยุธยา, คุณกติกากร วรวรรณ ณ อยุธยา, คุณพัชมน สินธนเจริญวงศ์ คุณสิรีภัทร มหาดำรงกุล เป็นต้น และดาราสุดฮอต อาทิ คุณธีรนัยน์ ณ หนองคาย,   คุณก้อง สหรัถ, คุณนนท์ ธนนท์, คุณพัดชา อเนกอายุวัฒน์, คุณต้น ธนษิต และคุณปุ๊ อัญชลีเป็นต้น เพื่อร่วมสัมผัสความสุขที่แท้จริง และร่วมเฉลิมฉลองในการเปิดคอนเซ็ปต์ครั้งสำคัญของโปรเจกต์แฟลกชิพครั้งแรกของโลก “THE FORESTIAS - เดอะ ฟอเรสเทียส์”
อนันดาฯ ผู้นำอสังหาฯ !! ประกาศจับมือ แกร็บ (Grab) รายแรก ยกระดับคุณภาพชีวิตเมืองยุคใหม่ ตอกย้ำแนวคิด UrbanTech อย่างเป็นรูปธรรม มอบสิทธิพิเศษเหนือใคร!! นำร่อง 20 โครงการ

อนันดาฯ ผู้นำอสังหาฯ !! ประกาศจับมือ แกร็บ (Grab) รายแรก ยกระดับคุณภาพชีวิตเมืองยุคใหม่ ตอกย้ำแนวคิด UrbanTech อย่างเป็นรูปธรรม มอบสิทธิพิเศษเหนือใคร!! นำร่อง 20 โครงการ

บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ANAN ผู้นำตลาดคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้าและผู้นำนวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัยที่ตอบรับไลฟ์สไตล์คนเมืองได้อย่างลงตัวที่สุด ตอกย้ำแนวคิด UrbanTech ยกระดับคุณภาพการอยู่อาศัยของคนเมืองด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ล่าสุด ประกาศความยิ่งใหญ่ในวงการอสังหาฯไทยอีกครั้ง กับการเป็นรายแรก!! ที่ร่วมมือกับพันธมิตรระดับสากล แกร็บ (Grab) ผู้นำแพลตฟอร์มด้านการขนส่งชั้นนำในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  พันธมิตรด้านการเดินทางที่จะมอบสิทธิพิเศษเหนือใครแก่ลูกบ้านของอนันดาฯ เตรียมนำร่องให้บริการลูกบ้านใน 20 โครงการ มั่นใจช่วยเพิ่มความสะดวก สบาย ปลอดภัยในทุกๆ การเดินทางเพื่อชีวิตที่ดีขึ้นกว่าเดิม   นายชานนท์ เรืองกฤตยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า อนันดาฯ ตระหนักและเข้าใจปัญหาที่เกิดขึ้นในเมืองหลวงเป็นอย่างดี จึงถือว่าเป็นความท้าทายที่จะมุ่งมั่นในการพัฒนา Urban Living Solutions ซึ่งเป็นปรัชญาในการดำเนินธุรกิจของบริษัท  และสิ่งที่ทำให้การเดินทางนั้นมีค่าใช้จ่ายที่ถูกลงหรือเพิ่มความสะดวกสบายมากขึ้นคือการปรับปรุงคุณภาพชีวิตของคนในเมือง ทั้งเพื่อตอกย้ำแนวคิด UrbanTech ยกระดับคุณภาพชีวิตการอยู่อาศัยของคนเมืองให้ดียิ่งขึ้น ทั้งในวันนี้และอนาคต ด้วยการสร้างสรรค์และพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมต่างๆ ให้สามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าให้ได้มากที่สุด โดยล่าสุด ประกาศความยิ่งใหญ่ ด้วยการร่วมมือกับพันธมิตรระดับสากล ได้แก่ แกร็บ (Grab)  ถือเป็นก้าวใหญ่ก้าวหนึ่ง ที่อนันดาฯ สร้างสรรค์มาเพื่อมอบการบริการแก่ลูกค้าให้มีความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น  โดยการมอบสิทธิพิเศษเหนือใครให้แก่ลูกบ้านของอนันดาฯ   ความร่วมมือระหว่าง อนันดาฯ และ แกร็บ (Grab) ในครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกของวงการอสังหาริมทรัพย์ไทย ที่ได้นำแพลตฟอร์มด้านการเดินทางมาให้บริการกับลูกบ้าน เพื่อมอบสิทธิพิเศษเหนือใคร เพิ่มความสะดวก สบาย ปลอดภัยในการเดินทาง  โดยการใช้บริการของ แกร็บ (Grab) ซึ่งลูกบ้านจะได้รับส่วนลดพิเศษโดยเริ่มต้นที่ 50 บาท สำหรับลูกค้าเดิม และ สำหรับลูกค้าที่เริ่มใช้งานเป็นครั้งแรกเริ่มต้นที่ 100 บาท โดยส่วนลดนี้สามารถใช้ได้กับลูกค้าที่จองบริการของ แกร็บ (Grab)  รับ-ส่ง ใน 20 โครงการของอนันดาฯ  นอกจากบริการด้านการเดินทางแล้วยังมีแผนเปิดตัวบริการอื่นๆ อาทิ Grab Food เป็นบริการจัดส่งอาหาร ช่วยให้ลูกค้าสามารถสั่งซื้ออาหารได้อย่างง่ายดายจากร้านอาหารที่ชื่นชอบใกล้บ้าน บริการต่างๆ เหล่านี้จะเป็นประโยชน์และส่งเสริมคุณภาพชีวิตของคนเมืองให้ดียิ่งขึ้นต่อไป ซึ่งทั้งสองฝ่ายให้ความสำคัญต่อการทำงานร่วมกันมากกว่าการมีส่วนร่วมทางการตลาด โดยได้แบ่งปันข้อมูลเพื่อร่วมกันพัฒนาแนวทางแก้ไขที่ดีขึ้นในอนาคตสำหรับลูกค้าทั้งของอนันดาฯ และ แกร็บ   ซึ่งจากสถิติที่น่าสนใจของ แกร็บ (Grab) ในภูมิภาคคือมีอัตราการเติบโตของผู้ใช้แกร็บ (Grab) อยู่ที่ 360% ต่อปี ตั้งแต่ปี 2013  โดยเฉลี่ยแล้วผู้โดยสารจะประหยัดเวลาในการเดินทางไปกว่าครึ่งเมื่อเทียบกับบริการขนส่งสาธารณะทั่วไป และในส่วนของผู้ขับขี่ของ แกร็บ (Grab) ก็มีการเติบโตกว่า 340% ต่อปี ตั้งแต่ปี 2013 เช่นกัน นอกจากนี้ อัตราอุบัติเหตุยังต่ำกว่าอัตราอุบัติเหตุเฉลี่ยของประเทศถึง 5 เท่า ซึ่งทำให้มั่นใจได้ว่าการใช้บริการของ แกร็บ (Grab)  จะปลอดภัยในทุกการเดินทางอย่างแน่นอน นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ กรรมการบริหาร บริษัท แกร็บ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า  จุดมุ่งหมายของแกร็บนับตั้งแต่เริ่มก่อตั้งคือการ “ก้าวไปสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้” ซึ่งบริการของเรา คือ การประหยัดเวลา ความรวดเร็วปลอดภัยและเชื่อถือได้ เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้โดยสาร  โดยเรายินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เป็นส่วนร่วมในการช่วยมอบความสะดวกสบายให้กับลูกบ้านของอนันดาฯ  ซึ่ง อนันดาฯ ถือว่าเป็นที่รู้จักในฐานะผู้นำตลาดคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้าและผู้นำนวัตกรรมที่ทันสมัยที่สุด และเชื่อว่าการแลกเปลี่ยนกันของทั้งสองฝ่ายจะส่งผลให้เกิดประโยชน์ร่วมกัน โดยเฉพาะการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนเมืองให้ดียิ่งขึ้น ถือว่าเป็นวัตถุประสงค์หลักของการร่วมมือในครั้งนี้  ซึ่งนอกจากจะมอบสิทธิพิเศษทางการเดินทางให้กับลูกบ้านของอนันดาฯ แล้ว ยังให้การบริการในทุกประเภทของ แกร็บ (Grab) ด้วยเช่นกัน อาทิ  แกร็บคาร์, แกร็บคาร์พลัส, แกร็บไบค์ (เดลิเวอร์รี่), แกร็บไบค์ (วิน), แกร็บเอ็กซ์เพรส, แกร็บ ฟอร์ บิสสิเนส,  จัสท์แกร็บ และ แกร็บเพย์ รวมถึงแกร็บรีวอร์ดส เป็นต้น   “อนันดาฯ ในฐานะผู้นำวงการพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับคนเมือง ผู้นำตลาดคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้า ให้ความสำคัญกับการพัฒนาและเลือกสรร Innovation และ Technology ใหม่ๆ เข้ามาผสานในทุกองค์ประกอบของการดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เพื่อเพิ่มมูลค่ามากยิ่งขึ้นให้แก่ลูกค้า นอกจากนี้ยังเป็นการตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้ทันการเปลี่ยนแปลงในโลกยุคดิจิทัล  และยกระดับการใช้ชีวิตของคนเมืองให้มีคุณภาพที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืนต่อไป”  นายชานนท์ กล่าว
3D Mapping บนตึกสูง 60 ชั้น…ครั้งแรกในเมืองไทย!!

3D Mapping บนตึกสูง 60 ชั้น…ครั้งแรกในเมืองไทย!!

3D Projection Mapping เทรนด์ใหม่ที่กำลังมาแรงของงานโชว์ทั่วโลก ซึ่งถ้าพูดถึงการแสดง Mapping หลายคนอาจจะเคยได้เห็นได้ชมกันมาบ้างแล้ว จุดเด่นของ 3D Projection mapping เป็นการผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีและศิลปะ โดยใช้โปรเจคเตอร์ฉายแสงไปที่จุดรับภาพ ที่ส่วนใหญ่มักจะใช้ฉากเป็นสถานที่กว้างๆ รวมไปถึงตึกสูงๆ ที่มีความโดดเด่น สามารถมองเห็นได้จากมุมกว้าง อย่างตามตึกดังๆ ทั่วโลก นอกจากตัวเทคนิคต่างๆ แล้ว ตัวศิลปินที่จะมาออกแบบผลงานนับว่ามีความสำคัญมากๆ  และกลุ่มศิลปินที่กำลังมาแรง ไลม์ไลต์ (Limelight) ศิลปินชาวยุโรปที่เคยสร้างผลงานให้ทั่วโลกได้ตื่นตะลึง การันตีด้วยรางวัล Jury Choice Awards และ The People’s Choice Awards จากงานประกวดภาพ 3D Projection Mapping ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก ด้วยผลงานการแสดง “Interconnection” และล่าสุดพวกเค้ากำลังจะมาโชว์ผลงานให้ชมกันถึงเมืองไทย แต่ก่อนที่จะได้ชมของจริง ลองมาดูผลงานของพวกเค้าเรียกน้ำย่อยกันก่อนดีกว่า.. ผลงาน Cosmic Flow จัดแสดงที่ Nicolaus Copernicus University Museum ในงานเทศกาล Bella Skyway Festival เมืองโทรุน (Torun) ประเทศโปแลนด์ ปี ค.ศ.2017 ผลงาน Pennybridge จัดแสดงที่โรงละครเออเรบรู (Building örebro Länsteater. Perfurming art theater in Sweden) ประเทศสวีเดน ปี ค.ศ.2017 Winner of Jury’s Choice and Public Choice Award (1) ผลงาน Interconnection จัดแสดงที่ Palace of Parliament (พระราชวังรัฐสภา) ประเทศโรมาเนีย ปี ค.ศ.2016 ซึ่งใช้โปรเจ็คต์เตอร์ในการจัดแสดงถึง 104 ตัว   Winner of Jury’s Choice and Public Choice Award (2) ผลงาน Interconnection จัดแสดง ณ ประเทศโรมาเนีย ปี ค.ศ.2016 Winner of Jury’s Choice and Public Choice Award (3) ผลงาน Interconnection จัดแสดง ณ ประเทศโรมาเนีย ปี ค.ศ.2016   ผลงาน Awakening จัดแสดงที่ มหาวิทยาลัยแดแบร็ตแซ็น (University of Debrecen) ประเทศฮังการี ปี ค.ศ.2016   ผลงาน Impossible Landscape จัดแสดงที่โบสถ์ในเมืองโทรุน (Church of the Holy Spirit in Torun) ประเทศโปแลนด์ ปี ค.ศ.2013 ผลงาน Stars จัดแสดงที่ Nicolaus Copernicus University Museum เมืองโทรุน (Torun)  ประเทศโรมาเนีย ปี ค.ศ.2012   และเร็วๆ นี้...ครั้งแรกในเมืองไทย!! กับปรากฏการณ์ครั้งยิ่งใหญ่กับ “Beautiful Bangkok by Magnolias @Ratchaprasong” (บิวตี้ฟูล แบงค็อก บาย แมกโนเลียส์ แอท ราชประสงค์) การแสดง แสง สี 3 มิติ หรือ 3D Projection Mapping บนตึกสูง 60 ชั้น ณ โครงการแมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด (MRB)  แลนด์มาร์คแห่งใหม่ใจกลางย่านราชประสงค์   โดยการแสดงชุดนี้มาภายใต้แนวคิด “Beautiful Bangkok” (บิวตี้ฟูล แบงค็อก) ซึ่งกลุ่มศิลปิน ไลม์ไลต์ (Limelight) ได้นำวิถิชีวิต วัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ของกรุงเทพฯ มาเป็นแรงบันดาลใจสำคัญ ในการสร้างสรรรค์ผลงานครั้งนี้ การแสดงแบ่งออกเป็น 4 ชุดๆ ละ 1 นาที โดยจะเริ่มเรื่องและจบเรื่องด้วยภาพดวงอาทิตย์ขึ้นในรอบหนึ่งวัน ได้แก่ ฉาก 1 “ธรรมชาติ” จากมุมมองว่าไทยเป็นประเทศที่มีความอุดมสมบูรณ์ด้านทรัพยากรธรรมชาติ ฉาก 2 “ดวงอาทิตย์ขึ้น” สีสันของกรุงเทพฯ ในยามเช้าที่มีแต่ความคึกคักของผู้คนและชีวิตในเมืองใหญ่ ฉาก 3 “ขนบธรรมเนียมประเพณี” อันงดงามของไทย ถ่ายทอดเชิงสัญลักษณ์ผ่าน “หน้ากากหนุมาน” และ ฉาก 4 “ชีวิตยามราตรี” สีสันเสน่ห์ยามราตรีของกรุงเทพฯ ที่มีชื่อเสียงทั่วโลก   สำหรับ “Beautiful Bangkok by Magnolias @Ratchaprasong” (บิวตี้ฟูล แบงค็อก บาย แมกโนเลียส์ แอท ราชประสงค์) เริ่มตั้งแต่วันที่ 14 - 31 ธันวาคม 2560 ณ โครงการแมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด (MRB) แสดงวันละ 5 รอบ คือ รอบ 19.00 น., รอบ 19.15 น., รอบ 19.30 น., รอบ 19.45 น.,  รอบ 20.00 น. พิเศษสุดๆ คือในคืนวันที่ 31 ธันวาคม 2560 เพิ่มรอบ 23.55 น. ชวนมานับถอยหลัง (Countdown) ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ 2561   ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.facebook.com/MagnoliasRatchadamriBoulevard
พลัส พร็อพเพอร์ตี้ เผยคอนโดเมืองท่องเที่ยวกินส่วนแบ่งอันดับ 1 หัวหิน-ชะอำราคาขายต่อพุ่ง 19% เทรนด์คนรุ่นใหม่ซื้อไว้พักผ่อน-ปล่อยเช่าช่วงไฮซีซั่น

พลัส พร็อพเพอร์ตี้ เผยคอนโดเมืองท่องเที่ยวกินส่วนแบ่งอันดับ 1 หัวหิน-ชะอำราคาขายต่อพุ่ง 19% เทรนด์คนรุ่นใหม่ซื้อไว้พักผ่อน-ปล่อยเช่าช่วงไฮซีซั่น

พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจรเผยผลสำรวจอสังหาริมทรัพย์ 5 เมืองท่องเที่ยวหลัก ได้แก่ เชียงใหม่ ภูเก็ต พัทยา หัวหิน-ชะอำ และเขาใหญ่ พบคอนโดมิเนียมมาแรงสุดขึ้นอันดับหนึ่งมาร์เก็ตแชร์สูง 76% ขณะที่บ้านเดี่ยวมีส่วนแบ่งอันดับสองที่ 19% ตามด้วยทาวน์เฮาส์ครองส่วนแบ่ง 5% เหตุเติบโตตามภาคการท่องเที่ยวที่ยังโดดเด่น โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมมียอดขายเฉลี่ย 5 พื้นที่ 80% จากอุปทานราว 100,00 ยูนิต ส่งผลตลาดเช่าคึกคัก พื้นที่ภูเก็ตให้ผลตอบแทนต่อปี 6-8% ต่อปี พัทยาผลตอบแทนสูง 5-7% ต่อปี ด้านเขาใหญ่ราคารีเซลเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 5 – 6% ต่อปี ส่วนราคาขายต่อยังคึกคักพื้นที่หัวหิน – ชะอำ ราคาขายต่อพุ่งแรงสุด ปี 2560 ราคาโครงการติดทะเลสูงจากปีก่อน 10% โครงการไม่ติดทะเลพุ่ง 19% พบเทรนด์คนรุ่นใหม่ชื่นชอบการซื้อไว้พักผ่อนและถือโอกาสปล่อยเช่าช่วงไฮซีซั่น นายอนุกูล รัฐพิทักษ์สันติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดเผยว่า พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ได้ทำการสำรวจที่อยู่อาศัยในทำเลเมืองท่องเที่ยวสำคัญ 5 พื้นที่ ได้แก่ เชียงใหม่ ภูเก็ต พัทยา หัวหิน-ชะอำ และเขาใหญ่ พบว่าปัจจุบันที่อยู่อาศัยในรูปแบบคอนโดมิเนียมมีส่วนแบ่งการตลาดสูงเป็นอันดับ 1 ครองส่วนแบ่งถึง 76% (98,163 ยูนิต) ในขณะที่บ้านเดี่ยวครองส่วนแบ่งอันดับสองมี 19% (24,925 ยูนิต) และทาวน์เฮ้าส์ครองส่วนแบ่งอันดับสามที่ 5% (5,998 ยูนิต) โดยการสำรวจล่าสุดพบว่าในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา (2558-2560) คอนโดมิเนียมเมืองท่องเที่ยวยังเติบโตได้ดีมียอดขายเฉลี่ยทั้ง 5 พื้นที่ประมาณ 80% จากอุปทานเกือบ 100,000 ยูนิต ซึ่งการตอบรับที่อยู่ในเกณฑ์ดีนี้มาจากการท่องเที่ยวที่เติบโตอย่างโดดเด่น และนักท่องเที่ยวที่มาพักผ่อนระยะยาวนิยมเช่าคอนโดมิเนียมเป็นที่พักอาศัยส่งผลให้การปล่อยเช่าได้รับอัตราผลตอบแทนสูงแม้ในบางพื้นที่จะทำการได้จากการปล่อยเช่าได้เฉพาะในฤดูกาลท่องเที่ยวเที่ยวแต่ด้วยราคาปล่อยเช่าที่สูงกว่าทำเลทั่วไปจึงทำให้ยังมีคนสนใจซื้อเพื่อรองรับความต้องการพักผ่อนเองและปล่อยเช่าในบางช่วง อีกทั้งคนในพื้นที่เองก็นิยมซื้อไว้เป็นบ้านพักตากอากาศ และยังสามารถเก็บไว้เก็งกำไรได้เนื่องจากมองเห็นแนวโน้มการเติบโตที่ดีในอนาคต ซึ่งพฤติกรรมการซื้อคอนโดมิเนียมในเมืองท่องเที่ยวของผู้บริโภคปัจจุบันนี้กำลังกลายเป็นเทรนด์ที่ไม่นิยมซื้อคอนโดมิเนียมเพื่อวัตถุประสงค์ใดอย่างหนึ่งเพียงอย่างเดียว แต่เป็นลักษณะ time sharing ที่ไปพักเองเมื่อไหร่ก็ได้ และยังสามารถได้รายได้จากการปล่อยเช่า ซึ่งจะมาช่วยค่าผ่อนหรือค่าใช้จ่ายต่าง ๆ โดยเฉพาะพื้นที่ เขาใหญ่ และ หัวหิน-ชะอำ การปล่อยเช่าแทบจะเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวเกือบ 100% ดังนั้น การเข้าพักสูงในช่วงเดือน ตุลาคม - กุมภาพันธ์ โดยเข้าพักเฉลี่ยประมาณ 1.5 เดือน ซึ่งยังคงได้รับความนิยมเพราะผู้ซื้อยังต้องการเก็บไว้เพื่อพักผ่อนเองในบางโอกาส สำหรับตลาดปล่อยเช่านั้นและนำกลับมาขายใหม่ (รีเซล) พบว่าที่เชียงใหม่นั้นคอนโดมิเนียมที่นำมาปล่อยเช่าขนาด 30 -60 ตารางเมตรจะคิดค่าเช่าอยู่ระหว่าง 10,000 – 25,000 บาทต่อเดือน  ด้านราคารีเซลในบางโครงการที่คอนโดมิเนียมขนาด 1 ห้องนอน 30 ตารางเมตร  ขายประมาณ 75,000-80,000 บาทต่อตารางเมตรหรือยูนิตละ 2.0-2.5 ล้านบาท โดยราคารีเซลเพิ่มขึ้นจากปีก่อนประมาณ 4-5% ต่อปี ส่วนในอนาคตคาดว่าราคามีโอกาสปรับขึ้นไปได้อีก เนื่องจากมีปัจจัยสนับสนุนจากโครงการลงทุนขนาดใหญ่ที่สนับสนุนการเติบโตของเชียงใหม่ ได้แก่ โครงการรถไฟความเร็วสูง เส้นทางกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ โดยจะนำเทคโนโลยีชินคันเซ็นมาใช้ในโครงการนี้ นอกจากนี้ยังมีโครงการมอเตอร์เวย์เชื่อมเชียงใหม่-เชียงรายและโครงการขนาดใหญ่อื่นๆ อีกจำนวนมาก ส่วนภูเก็ตโครงการคอนโดมิเนียมที่นิยมปล่อยเช่าห้องพักในรูปแบบสตูดิโอ และ 1 ห้องนอน ขนาดประมาณ 30-32 ตารางเมตร อัตราค่าเช่า City Condo ประมาณ 10,000 – 18,000 บาทต่อเดือน ขึ้นอยู่กับระยะเวลาการเช่า คิดเป็นผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีประมาณ 6-8% สำหรับค่าเช่า Resort Condo ที่อยู่ติดหาด จะได้รับความนิยมโดยเฉพาะในช่วง High Season ค่าเช่าประมาณ 50,000 – 70,000 บาทต่อเดือน คิดเป็นผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีประมาณ 4-5% ราคาของคอนโดมิเนียมเฉลี่ยทั้งตลาดอยู่ที่ 99,700 บาทต่อตารางเมตร ขยับขึ้น 7% ปัจจุบันพบว่าคอนโดมิเนียมโครงการใหม่ มีราคาเปิดขายเฉลี่ยอยู่ที่ 130,000 บาทต่อตารางเมตร ซึ่งส่วนมากเป็น Resort Property ที่อยู่ริมหาด สำหรับพื้นที่หัวหิน-ชะอำ สำหรับคอนโดที่นำกลับมาขายใหม่ (รีเซล) ที่ติดชายทะเล เฉลี่ยอยู่ที่ 135,000 บาทต่อตารางเมตร เพิ่มขึ้นจากตอนเปิดโครงการ 10% ส่วนโครงการที่ไม่ติดชายทะเลราคารีเซลอยู่ที่ 79,000 บาทต่อตารางเมตร เพิ่มขึ้นจากตอนเปิดโครงการ 19%  ด้านการปล่อยเช่า หากเป็นโครงการใจกลางเมืองที่ติดชายทะเล รูปแบบ 1 ห้องนอน ปล่อยเช่าได้ 35,000 – 45,000 บาทต่อเดือน รูปแบบ 2 ห้องนอน 55,000 – 70,000 บาทต่อเดือน ส่วนโครงการที่ไม่ติดทะเล รูปแบบ 1 ห้องนอน ปล่อยเช่าได้ 15,000 – 20,000 บาทต่อเดือน รูปแบบ 2 ห้องนอน 30,000 – 50,000 ต่อเดือน ขณะที่คอนโดมิเนียมในพัทยาพบราคารีเซลบางโครงการในพื้นที่พัทยากลางอยู่ที่ 110,000 บาทต่อตารางเมตร หากนำมาปล่อยเช่า (1 ห้องนอน ขนาด 30-35 ตารางเมตร) จะได้ค่าเช่าประมาณ 18,000-20,000 บาทต่อเดือน หรือคิดเป็นผลตอบแทนจากการปล่อยเช่าประมาณ 6-7% ต่อปี นอกจากนี้ยังพบว่าราคาขายเฉลี่ยยังเพิ่มขึ้นปีละประมาณ 5% ส่วนพื้นที่เขาใหญ่ ราคาขายรีเซลบางโครงการ (1 ห้องนอน 50-55 ตารางเมตร) เสนอขายประมาณ 92,000 บาทต่อตารางเมตร หรือยูนิตละ 4.6-5.2 ล้านบาท โดยราคาขายรีเซลเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 5-6% อย่างไรก็ตาม คอนโดมิเนียมในพื้นที่เขาใหญ่นิยมปล่อยเช่าห้องพักแบบระยะสั้น หรือในช่วง High Season (พฤศจิกายน - มกราคม) “ช่วงปี 2559 - 2560 คอนโดมิเนียมในพื้นที่เชียงใหม่ หัวหิน-ชะอำและภูเก็ต ตลาดยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องจากอุปสงค์ที่นิยมซื้อเป็นบ้านพักตากอากาศ ส่วนในพื้นที่พัทยา และเขาใหญ่ ตลาดค่อนข้างทรงตัวจากการระบายอุปทานที่คงค้าง ในทางกลับกันยังมีการขยายตัวในบางทำเล ในบางช่วงราคาที่ยังมีกำลังซื้อ อย่างไรก็ตามยังมองเห็นทิศทางการขยายตัวในอนาคตที่คาดว่าตลาดจะเติบโตได้จากการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น อีกทั้งเริ่มพบเห็นอุปทานใหม่เริ่มทยอยเข้าสู่ตลาดบ้างแล้ว” นายอนุกูล กล่าว  
โรจนะเซ็น MOU ขายที่ดิน 300 ไร่กลุ่มทุนยักษ์ใหญ่ธุรกิจยานยนต์และโดรนจากจีน แจงยอดรับรู้รายได้ขายที่ดินบริษัทย่อย มูลค่ากว่า 1,200 ล้านส่งผลประกอบการปีนี้เกินเป้า

โรจนะเซ็น MOU ขายที่ดิน 300 ไร่กลุ่มทุนยักษ์ใหญ่ธุรกิจยานยนต์และโดรนจากจีน แจงยอดรับรู้รายได้ขายที่ดินบริษัทย่อย มูลค่ากว่า 1,200 ล้านส่งผลประกอบการปีนี้เกินเป้า

โรจนะคาดปีหน้าอนาคตสดใส เซ็น MOU ขายที่ดินกว่า 300 ไร่สวนอุตสาหกรรมโรจนะ อยุธยา ให้กลุ่มทุนยักษ์ใหญ่อุตสาหกรรมยานยนต์-โดรนจากจีน เผยผลประกอบการปีนี้เกินเป้า ส่วนหนึ่งมียอดรับรู้รายได้ไตรมาส 4 จากการขายที่ดินของบริษัทย่อย มูลค่ากว่า 1,200 ล้านบาท ชมนโยบายรัฐฟื้นญี่ปุ่นลงทุนไทย ยิ้มรับอานิสงส์จากแผนพัฒนาเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก   นายจิระพงษ์ วินิชบุตร กรรมการผู้จัดการ บริษัท สวนอุตสาหกรรมโรจนะ จำกัด (มหาชน) หรือ ROJNA เปิดเผยว่า จากภาพรวมภาวะเศรษฐกิจและการลงทุนในปีหน้ามีสัญญาณที่ดีขึ้น โดยในส่วนของบริษัทฯมีแนวโน้มที่สดใสเช่นกัน บริษัทฯ มีการเซ็น MOU ขายที่ดินกว่า 300 ไร่ ที่สวนอุตสาหกรรมโรจนะ อยุธยา ให้กับ PROJEN GROUP กลุ่มทุนรายใหญ่จากประเทศจีน ซึ่งประกอบธุรกิจอุตสาหกรรมยานยนต์, โดรน ที่มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ต้าหลี่ ส่วนผลประกอบการในปีนี้คาดว่าจะสามารถทำได้ตามเป้าหมายที่กำหนด ด้วยผลประกอบการ 9 เดือนอยู่ในระดับที่น่าพอใจ และสำหรับในไตรมาสสุดท้ายของปี 2560 จะมีการรับรู้รายได้จากการขายที่ดินบริเวณซอยสุขุมวิท 66 ของบริษัท โรจนะ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อย เนื้อที่รวม 4-2-32 ไร่ คิดเป็นมูลค่ารวมสูงกว่า 1,200 ล้านบาท   “ที่ดินบริเวณซอยสุขุมวิท 66 ของบริษัทย่อย เป็นการเข้าไปซื้อที่ดินพร้อมงานฐานราก ซึ่งเราซื้อมานานก่อนที่จะมีโครงการรถไฟฟ้าผ่าน ปัจจุบันโครงการรถไฟฟ้าบีทีเอสเปิดดำเนินการแล้ว ส่งผลให้ที่ดินบริเวณนั้นมีมูลค่าสูงขึ้น เราจึงขายที่ดินได้ในราคาที่น่าพอใจมากๆ”   นายจิระพงษ์กล่าวต่อไปว่า จากการที่รัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมภาคการลงทุนอย่างจริงจัง ทำให้ภาพรวมของภาวะการลงทุนจากต่างประเทศเริ่มมีสัญญาณฟื้นตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะประเทศญี่ปุ่นซึ่งมีความสัมพันธ์ทางการทูตกับไทยมายาวนานถึง 130 ปี และเป็นประเทศที่ครองแชมป์ลงทุนในไทยมากที่สุด แต่ได้ชะลอการลงทุนในช่วงหลายปีที่ผ่านมาได้นั้น ในปีนี้เริ่มมีสัญญาณฟื้นตัวกลับมาอีกครั้ง ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ญี่ปุ่นรวมถึงประเทศอื่น ยังคงให้ความสนใจเข้ามาลงทุนในไทย เนื่องจากองค์ประกอบหลายส่วน ทั้งความพร้อมทางสาธารณูปโภคสาธารณูปการ มาตรการที่เอื้ออำนวยจากนโยบายส่งเสริมการลงทุนอย่างต่อเนื่องในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา นอกจากนั้นการที่รัฐบาลปัจจุบันมีการผลักดันให้เกิดการพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก ส่งผลให้มีมาตรการด้านต่างๆ รวมถึงการวางแผนและระยะเวลาในการจัดสาธารณูปโภคสาธารณูปการเข้าไปรองรับอย่างชัดเจนยิ่งขึ้น ส่งผลดีต่อโครงการสวนอุตสาหกรรมของบริษัท ที่มีหลายแห่งในโซนพื้นที่ดังกล่าวพลอยได้รับอานิสงส์ไปด้วย ได้แก่ โครงการ แหลมฉบัง, บ่อวิน, ปลวกแดง, บ้านค่าย และ ปราจีนบุรี
บ้านลุมพินี ชวนเป็นเจ้าของทาวน์โฮมออฟฟิศ 
จอง-โอนวันนี้ รับส่วนลดสูงสุดเป็นล้าน

บ้านลุมพินี ชวนเป็นเจ้าของทาวน์โฮมออฟฟิศ 
จอง-โอนวันนี้ รับส่วนลดสูงสุดเป็นล้าน

“บ้านลุมพินี” ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์โครงการแนวราบในเครือ L.P.N. DEVELOPMENT GROUP ภายใต้แนวคิด “บ้านลุมพินี บ้านน่าอยู่” ในแนวทาง “บ้านดี สิ่งแวดล้อมดี ดูแลดี ผู้คนดี” ชวนเป็นเจ้าของทาวน์โฮมออฟฟิศโครงการลุมพินี ทาวน์ เรสซิเดนซ์ บางนา-ศรีนครินทร์ พิเศษ 4 หลังสุดท้าย ขนาด 4 ชั้น 1 หลัง ราคาเริ่ม 12.5 ล้านบาท และขนาด 3 ชั้น 3 หลัง ราคาเริ่ม 8.74 ล้านบาท เพียงจองและโอนกรรมสิทธิ์ภายในสิ้นปีนี้ รับส่วนลดสูงสุด 1 ล้านบาท โครงการลุมพินี ทาวน์เรสซิเดนซ์ บางนา-ศรีนครินทร์ มีการออกแบบในสไตล์โมเดิร์นที่เรียบง่ายและลงตัว ด้วยการใช้กระจกทั้งหมดเพื่อให้สามารถรับแสงธรรมชาติได้อย่างเต็มที่ และคำนึงถึงประโยชน์ใช้สอยสูงสุด สำหรับทาวน์โฮมออฟฟิศ ขนาด 4 ชั้น ออกแบบพื้นที่โถงให้มีความสูงจากพื้นถึงเพดาน 6 เมตร โดยชั้น 1 และชั้น 2 ปูพื้นกระเบื้องรองรับการใช้งานแบบสำนักงาน ส่วนขนาด 3 ชั้น ทุกห้องนอนสามารถปรับรูปแบบได้ตามสัดส่วนการใช้งาน เหมาะสำหรับคนรุ่นใหม่ที่มีไลฟ์สไตล์คนเมือง บนทำเลศักยภาพ ใกล้สาธารณูปโภคมากมาย พรั่งพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกและความปลอดภัยภายในโครงการ รวมทั้งการบริหารจัดการที่ดีจากทีมบริหารงานมืออาชีพจากบริษัท ลุมพินี พรอพเพอร์ตี้ มาเนจเมนท์ จำกัด   สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม LPN Call Center 02-689-6888 , www.lpn.co.th และ Facebook : Baan Lumpini
บิ๊กพฤกษา เปิดโรงงาน “พฤกษา พรีคาสท์” โชว์เทคโนโลยีระดับโลก

บิ๊กพฤกษา เปิดโรงงาน “พฤกษา พรีคาสท์” โชว์เทคโนโลยีระดับโลก

ทุกวันนี้จะเห็นว่าผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์อันดับต้นๆ ของประเทศไทยต่างหันมาใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีการก่อสร้างที่อยู่อาศัย ทั้งบ้านจัดสรร ทาวน์เฮาส์ และคอนโดมิเนียม บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) ผู้นำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ที่ได้นำเอานวัตกรรมการก่อสร้างแบบสำเร็จรูป โดยเป็นผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์เป็นรายแรกในประเทศไทยที่นำเทคโนโลยีพรีคาสท์ (Precast) มาใช้ ตั้งแต่ปี 2547 ทำให้มีประสบการณ์และมีความเชี่ยวชาญมากกว่าผู้ประกอบการรายอื่น นายอมรพล ธูปะวิโรจน์ กรรมการผู้จัดการ สายงานโรงงานพฤกษา พรีคาสท์ บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “นวัตกรรมพฤกษา พรีคาสท์” เป็นนวัตกรรมที่ทันสมัยที่สุดในโลกจากเยอรมนี ทำให้ได้บ้านที่แข็งแรงทนทาน ปลอดภัย  โดยพฤกษาได้นำมาใช้ตั้งแต่ปี 2547 ปัจจุบันมีโรงงานพฤกษา พรีคาสท์รวมทั้งหมด 7 โรงงานตั้งอยู่ในพื้นที่ จ.ปทุมธานีทั้งหมด มีกำลังการผลิตรวม 1,120 ยูนิตต่อเดือน  ใช้งบลงทุนกว่า 4,700 ล้านบาท ทำการผลิตคอนกรีตสำเร็จรูปเพื่อใช้ในการก่อสร้างบ้านในโครงการต่างๆ ของพฤกษาทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ และคอนโดมิเนียม  “เราเป็นผู้ประกอบการอสังหาฯรายแรกของประเทศที่นำเอาเทคโนโลยีพรีคาสท์มาใช้ตั้งแต่ปี 2547 ทำให้มีประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญมากกว่ารายอื่นๆ ในประเทศ ใช้เทคโนโลยีได้มาตรฐานเทียบเท่าระดับโลก” นายอมรพล กล่าว การสร้างบ้านด้วยพรีคาสท์ นั้นมีข้อดีทั้งในส่วนของ “ลูกค้า” รวมถึง “ผู้ประกอบการเจ้าของโครงการ” กล่าวคือ ในส่วนของบริษัทฯนั้น สามารถควบคุมคุณภาพแผ่นคอนกรีตได้ทุกขั้นตอน ด้วยระบบคอมพิวเตอร์ มั่นใจได้ในคุณภาพที่ได้มาตรฐานในทุกชิ้น ลดระยะเวลาการก่อสร้างหน้างาน ก้าวข้ามข้อจำกัดจำนวนช่างก่อสร้างส่งมอบทันเวลา และลดต้นทุนรวมถึงควบคุมราคาได้ ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบระบบการก่อสร้างแบบดั้งเดิม บ้านที่ก่อสร้างด้วยระบบ “พฤกษา พรีคาสท์”  มีประโยชน์ต่อลูกค้า หลายประการ ได้แก่ คุณภาพการก่อสร้างที่ดีกว่าด้วยการผลิตจากโรงงานที่ทันสมัยที่สุด เป็นเทคโนโลยีที่ได้รับการยอมรับทั่วโลก ทุกขั้นตอนควบคุมการผลิตด้วยระบบคอมพิวเตอร์มั่นใจได้ในคุณภาพและมาตรฐาน ความแข็งแรง ทนทาน ผนังบ้านเป็นคอนกรีตเสริมเหล็กทุกชิ้น จึงมีความคงทนแข็งแรงกว่าการก่อสร้างแบบผนังก่ออิฐทั่วไปหลายเท่า สามารถต้านทานแรงลมและแรงสั่นสะเทือน เพิ่มพื้นที่ใช้สอยมากกว่า การก่อสร้างโดยใช้ผนังคอนกรีตสำเร็จรูปที่แข็งแรงเป็นตัวรับน้ำหนักของบ้าน ไม่ต้องใช้เสาและคาน ทำให้บ้านมีพื้นที่ใช้สอยมากขึ้น และสามารถ ออกแบบและตกแต่งภายในได้สวยงามลงตัวกว่า ป้องกันความร้อน และทนไฟไหม้ ได้มากกว่า 2 ชั่วโมง และป้องกันเสียงรบกวนจากภายนอกได้ ดีกว่า ด้วยระบบการผลิตที่สามารถควบคุมต้นทุนได้ดี ทำให้ลูกค้าสามารถซื้อที่อยู่อาศัยได้ในราคาที่สมเหตุสมผล  และได้เข้าอยู่อาศัยได้ตรงตามสัญญาจากการก่อสร้างที่รวดเร็ว จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่พฤกษา สามารถส่งมอบบ้านคุณภาพให้กับลูกค้าได้กว่า 13,000 ยูนิตต่อปีถือว่ามีจำนวนยูนิตมากที่สุดในวงการอสังหาฯ
ไทวัสดุ เขย่าตลาดวัสดุก่อสร้างปลายปี ทุ่ม 600 ล้านผุดสาขาที่ 43 บนถนนชัยพฤกษ์

ไทวัสดุ เขย่าตลาดวัสดุก่อสร้างปลายปี ทุ่ม 600 ล้านผุดสาขาที่ 43 บนถนนชัยพฤกษ์

ไทวัสดุ ศูนย์รวมสินค้าบ้านของคนไทย เดินหน้าตอกย้ำผู้นำของตกแต่งบ้าน และ วัสดุก่อสร้าง ทุ่มเงินลงทุนกว่า 600 ล้านบาท เปิดสาขาที่ 43 บนถนนชัยพฤกษ์ หวังดูดลูกค้ากว่า 400,000 ครัวเรือนในรัศมี 10 กิโลเมตร ด้วยดีไซน์รูปแบบอาคารใหม่ และติดแอร์ทั้งศูนย์เพิ่มความสบายให้ลูกค้า บนพื้นที่ 17,000 ตารางเมตร ตอกย้ำสโลแกน “ครบเรื่องบ้าน ถูกและดี” นายสุทธิสาร  จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ซีอาร์ซี ไทวัสดุ จำกัด  ผู้ดำเนินธุรกิจร้านค้าปลีก  ไทวัสดุ ,โฮมเวิร์ค และบ้าน  แอนด์ บียอนด์ ในกลุ่มเซ็นทรัล เปิดเผยว่า บริษัทฯ มีกำหนดเปิดร้านไทวัสดุ สาขาชัยพฤกษ์ เป็นสาขาที่ 43 บนพื้นที่ 17,000 ตารางเมตร ในวันศุกร์ที่ 1 ธันวาคม 2560 และสาขานี้จะเป็นศูนย์รวมสินค้าบ้านที่ใหญ่ที่สุด และมีสินค้าครบที่สุดบนถนนราชพฤกษ์ โดยมีกลุ่มเป้าหมายเป็นลูกค้าเจ้าของบ้านรวมทั้งกลุ่มผู้รับเหมา ในรัศมี 10 กิโลเมตร ซึ่งจากการสำรวจพบว่ามีจำนวนบ้านมากกว่า 430,000 ครัวเรือน และมีโครงการที่กำลังเกิดขึ้นใหม่อีกมากกว่า 30 โครงการ ขณะเดียวกัน ยังได้มองไปถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายในอนาคตที่จะเกิดขึ้นตามแนวถนนที่จะขยายไปเชื่อมกับถนนวงแหวนตะวันตก   สำหรับสาขานี้ ได้ตั้งอยู่บนที่ดินขนาด 19 ไร่ ใกล้จุดตัดถนนราชพฤษ์ และถนนชัยพฤกษ์ ซึ่งในอนาคตจะมีการพัฒนาโครงการก่อสร้างถนนต่อเชื่อมถนนราชพฤกษ์ – ถนนกาญจนาภิเษก (แนวเหนือ – ใต้) ต่อไปอีก ทำให้มีการผุดโครงการหมู่บ้านต่างๆ ตามแนวถนนในอีกหลายๆ โครงการ อีกทั้งยังทำให้ครอบคลุมกลุ่มลูกค้าได้อีกเป็นจำนวนมาก ทั้งทางด้านถนนวงแหวน ถนนชัยพฤษ์-ราชพฤกษ์ ลูกค้าตอนเหนือของจังหวัดปทุมธานี และฝั่งตะวันออก-ตกของแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งคาดว่า สาขานี้จะทำยอดขายได้ไม่น้อยกว่า 600 ล้านบาทต่อปี “ไทวัสดุ สาขาชัยพฤกษ์จะเป็นสาขาต้นแบบ เพราะเราDesign รูปแบบอาคารใหม่ และติดเครื่องปรับอากาศภายในทั้งศูนย์ เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้กับลูกค้าในเลือกซื้อสินค้า ด้วยสโลแกน  “ศูนย์รวมสินค้าบ้านของคนไทย” โดยเน้นความครบของสินค้า มีครบทุกอย่างที่ลูกค้าต้องการ เช่น อุปกรณ์ไฟฟ้า อุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ เครื่องมือช่าง, มีการจัดเรียงสินค้าที่สวย ง่ายต่อการตัดสินใจซื้อ เช่น สินค้าตกแต่ง กระเบื้องปูพื้น-ผนัง สุขภัณฑ์ ห้องครัว และยิ่งไปกว่านั้นเรามีครบด้วย Complete Kitchen Solution อาทิ ครัวปูน พร้อมบริการออกแบบ3D Design ฟรี, เฟอร์นิเจอร์ชุดครัวในรูปแบบ Complete set หรือ DIY Kitchen ที่ลูกค้าสามารถเลือก Mix&Match ชุดครัวได้เอง และชุดครัวสำเร็จ/ตู้กับข้าว ที่ลูกค้าสามารถยกไปวางได้เลย นอกจากนี้ พิเศษยิ่งขึ้นด้วย Contractor Gallery ที่ทำให้ลูกค้าเห็นตัวอย่างการใช้งานหรือติดตั้งจริงของวัสดุต่าง ๆ อีกด้วย ในส่วนของบริการ Home service เรามีทีมช่างที่ให้บริการติดตั้งและซ่อมแซมแก่ลูกค้า มั่นใจ ได้มาตรฐาน ตอบโจทย์ทุกปัญหาบ้าน ด้วยทีมช่างมืออาชีพ เพื่อตอกย้ำสโลแกน ครบเรื่องบ้าน  ถูกและดี” นายสุทธิสาร กล่าว นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้มีการทำโปรโมชั่น เพื่อกระตุ้นยอดขาย ในสาขาใหม่ด้วย โดย 5 วันแรกของการเปิดสาขา คือวันที่ 1-5 ธันวาคม 2560 เพียงกด Like facebook thaiwatsadu fan page และ Share Location ไทวัสดุสาขาชัยพฤกษ์เปิดแล้ว! แจกฟรีบัตรกำนัลเงินสด มูลค่า 500 บาท  จำกัด 100 ท่านแรกต่อวัน (เริ่มแจกเวลา 08.00 น.บัตรกำนัลเงินสด 500 บาท ซื้อครบ 1,000 บาทขึ้นไป จึงใช้เป็นส่วนลดได้) และเมื่อสมัครสมาชิก The1Card  รับฟรี!!เสื้อยืดไทวัสดุ จำนวนจำกัด หมดแล้วหมดเลย (เฉพาะการสมัครสมาชิกใหม่) ขณะเดียวกัน ยังมีแคมเปญรับของสมนาคุณฟรี ในระหว่างวันที่ 1-28 ธันวาคม 2560 อีกมากมาย อาทิ ช้อปครบรับฟรี ช้อปครบทุก 3,000 บาท  รับฟรี คูปองส่วนลด 300 บาท, รับเพิ่ม เมื่อช้อปครบทุก 30,000-59,999 บาท  รับฟรี เตาแม่เหล็กไฟฟ้า SHARP มูลค่า 2,290 บาท, รับเพิ่ม เมื่อช้อปครบ 60,000-99,999 บาท  กล้องติดรถยนต์ 4,200 บาท, รับเพิ่ม เมื่อช้อปครบ 100,000-299,999 บาท  บัตรกำนัลทองคำ หรือบัตรกำนัลเงินสด มูลค่า 5,000 บาท, รับเพิ่ม เมื่อช้อปครบ 300,000 บาทขึ้นไป  บัตรกำนัลทองคำ หรือบัตรกำนัลเงินสด มูลค่า 20,000 บาท และโปรโมชั่นพิเศษ เมื่อซื้อกลุ่มอิฐ ปูน เหล็ก ทุก 10,000 บาท รับฟรี คูปองส่วนลด 1,000 บาท  (ระหว่างวันที่ 1-8 ธันวาคม 2560) รับเพิ่ม เมื่อซื้อครบ 100,000-199,999 บาท รับบัตรกำนัลเงินสด 3,000 บาท, รับเพิ่ม เมื่อซื้อครบ 200,000-399,999 บาท รับบัตรกำนัลเงินสด 7,000 บาท, รับเพิ่ม เมื่อซื้อครบ 400,000 บาทขึ้นไป รับบัตรกำนัลเงินสด 15,000 บาท พิเศษ! สมาชิกที่มียอดซื้อสูงสุด  รับฟรี LED TV 55 นิ้ว  (1-28 ธ.ค 60) ซึ่งรายละเอียดโปรโมชั่นของสาขาพระราม 2 สามารถติดตามได้ใน www.thaiwatsadu.com หรือสอบถามได้ที่สาขาโดยตรง