เพิ่งจะเปิดสำนักงานขาย Pre-sales กันไปไม่นานกับโครงการ The Saint Residences คอนโดมิเนียมในทำเลห้าแยกลาดพร้าว (หน้าโรงเรียนเซนต์จอนห์) ซึ่งกำลังเป็นที่สนใจของใครหลายๆ คน และเป็นอีกหนึ่งในหลายๆ โครงการซึ่งอยู่ในย่านที่มีศักยภาพด้านการอยู่อาศัยมากพอตัวเลยทีเดียว การเดินทาง ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ทำเลบริเวณห้าแยกลาดพร้าวน่าสนใจก็คือ การเดินทางที่สะดวกสบายด้วยรถไฟฟ้า และระบบขนส่งมวลชนอื่นๆ ที่มีให้เลือกหลากหลายเรียกว่า ไม่จำเป็นต้องมีรถ ก็อยู่ได้ เดินทางสะดวก เริ่มจากการเดินทางด้วยรถไฟฟ้าใต้ดิน (MRT) สถานีที่ใกล้ที่สุดคือ สถานีพหลโยธิน ซึ่งสามารถเลือกออกได้ทั้งทางออกที่ 1 หรือ 2 ก็ได้ เพราะอยู่ห่างกันไม่มาก แล้วค่อยเดินต่อมายังตัวโครงการ โดยใช้เส้นทางเดินในซอยลาดพร้าว 2 หรือจะเลือกออกที่ทางออกที่ 1 แล้วเดินมาริมถนนลาดพร้าวเลี้ยวเข้าถนนวิภาวดีฯ ก็ได้เหมือนกัน ซึ่งทั้ง 2 เส้นทางนี้ระยะทางต่างกันนิดหน่อย จากทางออกสถานีถึงหน้าโครงการก็ราวๆ 300 เมตรเท่านั้น ถือว่าอยู่ในระยะที่กำลังเดินได้สบายๆ เพียงแต่ว่าทางเดินในซอยลาดพร้าว 2 จะดูเงียบและร่มรื่นมากกว่า ส่วนเส้นทางเดินเลียบถนนใหญ่ช่วงค่ำๆ จะต้องผ่านร้านอาหารสไตล์กินดื่มบ้างนิดหน่อย สะดวกใจจะเดินทางไหนก็เลือกเอาครับ แผนที่สถานีรถไฟฟ้า MRT พหลโยธิน จะเห็นว่าเลือกออกได้ทั้งทางออกที่ 1 และ 2 ครั้งนี้เราเลือกเดินไปทางออกที่ 2 กันก่อนครับ ป้ายบอกทางชัดเจน เดินไปตามทางไปมหาวิทยาลัยเซนต์จอนห์ เลี้ยวซ้ายไปเลยครับ ที่สถานีพหลโยธินจะมี metro mall ด้วย ตรงนี้จะเดินไปออกที่ทางออกที่ 1 กับ 5 ได้ หน้าสถานีตรงทางออกที่ 2 เส้นทางแรกก็เดินตรงเลียบริมถนนไปทางนี้เลยครับ ส่วนหันมาอีกทางจะเห็นทางออกที่ 1 อยู่ไม่ไกล ตึกเหลืองๆ นั่นคือ Union Mall จ้า ระหว่างทางออกที่ 1 กับ 2 จะมีซอยลาดพร้าว 2 อยู่ ซอยนี้สามารถเดินไปออกซอยวิภาวดี 26 ที่อยู่ข้างๆ โครงการได้ หรือถ้าขับรถมาทางถนนลาดพร้าวก็เข้าซอยนี้ได้เลย อ้อ ซอยนี้เดินรถทางเดียวนะครับ ลองมาดูบรรยากาศในซอยกัน ภายในซอยค่อนข้างร่มรื่นเลยทีเดียว ด้านซ้ายเป็นรั่วของโรงเรียนเซนต์จอนห์ ส่วนด้านขวาก็เป็นอาคารพาณิชย์ครับ เดินเข้ามาจะถึงประตูทางเข้าโรงเรียนก็จะเห็นป้ายของ The Saint บอกทางไปสำนักงานขายชัดเจนเลย เยื้องกับประตูโรงเรียนเป็นวัดหรือโบสถ์เซนต์จอนห์ วันอาทิตย์น่าจะมีคนมาเข้าโบสถ์เยอะเหมือนกัน ออกมาถึงปากซอยวิภาวดี 26 แล้วจะเห็นร้านอาหารลองดูทางขวามือครับ ช่วงกลางวันคนเยอะ รถจอดเรียงเต็มเลยครับ ทางซ้ายเป็นพื้นที่ของโครงการ The Saint แล้วนะครับ มีประตูเล็กๆ ซึ่งทางโครงการแจ้งว่าจะใช้เป็นทางออกอีกทาง เพื่อช่วยร่นระยะทางในการเดินไปรถไฟฟ้าให้ใกล้ขึ้นอีกนิดนึง แต่ถ้าขับรถมาก็ออกถนนวิภาวดีแล้วเตรียมเลี้ยวเข้าโครงการได้เลย ดูกันชัดๆ อีกที ตัวโครงการตั้งอยู่ปากซอยวิภาวดี 26 พอดิบพอดีครับ ถึงแล้วสำนักงานขาย ซึ่งตกแต่งพื้นที่ด้านหน้าไว้สวยงามเลย ส่วนการเดินทางด้วยรถส่วนตัว ก็แค่มุ่งหน้ามาทางห้าแยกลาดพร้าว หรือจับจุดสังเกตุเป็นโรงเรียนเซนต์จอนห์ไว้ให้ดีก็พอ ถ้ามาจากทางฝั่งสะพานควาย ผ่านสวนจตุจักรมาก็ให้เลี้ยวไปทางดินแดง พ้นห้าแยกลาดพร้าวมานิดหน่อยก็เจอโครงการเลย แต่ถ้ามาจากทางถนนวิภาวดีฯขาเข้า ต้องขึ้นสะพานข้ามห้าแยกลาดพร้าวมาก่อน ซึ่งพอลงสะพานมาจะเลยหน้าโครงการไปให้ตรงไปเข้าซอยวิภาวดี 22 เพื่อไปออกถนนลาดพร้าวแล้ววนมาที่หน้าโครงการใหม่อีกรอบ จะเลี้ยวเข้าซอยลาดพร้าว 2 หรือจะวิ่งมาเลี้ยวซ้ายออกถนนวิภาวดีอีกก็ได้ครับ (ลองดูภาพประกอบการเดินทาง) ซึ่งโดยรวมแล้วการเดินทางด้วยรถส่วนตัวก็จัดว่าสะดวกพอใช้ได้ครับ แต่ต้องมีสติสตางค์กันมากหน่อย ขับรถเพลินๆ ขึ้นสะพานข้ามแยก หรือเข้าผิดแยก ผิดเลน ก็จะต้องเลยไปตั้งหลักกลับมาใหม่ ถ้ารถไม่ติดก็ดีหน่อย ซึ่งเรามักจะทราบกันดีอยู่แล้วว่าการจราจรบริเวณห้าแยกลาดพร้าวนั้นติดขัดหนักหนาแค่ไหน โดยเฉพาะในช่วงเวลาเร่งด่วน ไหนจะคนทำงาน ไหนจะรถเข้าเมือง หรือรถผู้ปกครองที่มาส่งลูกๆ เข้าเรียน อันนี้ก็เลี่ยงกันยากหน่อย เพราะทางออกหลักของโครงการคือถนนวิภาวดีฯ ที่ปริมาณรถหนาแน่นเกือบจะตลอดเวลาเลยทีเดียว จากแผนที่อันนี้ จะเห็นว่าทำเลที่ตั้งของโครงการ The Saint Residences สามารถเดินทางมาได้หลายทางเลย อันนี้เป็นเส้นทางแรก ซึ่งเดินทางมาจากฝั่งสะพานควายหรือจตุจักรครับ ถ้าขึ้นรถไฟฟ้า BTS มาก็ลงที่สถานีหมอชิต แล้วค่อยต่อรถอีกทอด หรือถ้าขับรถมาทางนี้ก็วิ่งยาวไปที่ห้าแยกเลย วิ่งผ่านสวนจตุจักร และธนาคารทหารไทยสำนักงานใหญ่ไปก็เตรียมชิดขวาได้ สังเกตุป้ายบอกไปทางดินแดงนะครับ เราจะเลี้ยวไปทางนี้ พ้นสัญญาณไฟแดงมาให้เลี้ยวขวาไปทางดินแดง ซึ่งเป็นทางเลี้ยวอันที่สองตรงใต้สะพานข้ามแยกนะครับ เล็งกันให้ดีๆ เลี้ยวมาแล้วก็ชิดซ้ายได้เลย ผ่านซอยวิภาวดีรังสิต 26 มาก็เจอตัวโครงการอยู่ตรงหน้าแล้ว ถึงละครับ สำนักงานขายของ The Saint Residences ส่วนเส้นทางที่มาจากถนนวิภาวดีรังสิตขาเข้า ก็ให้ขึ้นสะพานข้ามห้าแยกลาดพร้าวมาก่อน แล้วค่อยเลี้ยวเข้าซอยวิภาวดีรังสิต 22 เพื่ออ้อมกลับมาที่โครงการอีกที ตามลูกศรในแผนที่เลยครับ เริ่มจากทางขึ้นสะพานข้ามห้าแยกลาดพร้าวจากถนนวิภาวดีรังสิตฝั่งขาเข้า ชิดซ้ายตามป้ายดินแดงไปเลยนะครับ ตอนนี้ที่ตั้งโครงการจะอยู่ทางซ้ายมือเรานะครับ เมือลงสะพานมาแล้วให้ชิดซ้ายทันที เพื่อที่จะเลี้ยวซ้ายเข้าซอยวิภาวดี 22 ก่อนถึงซอยจะมีป้ายบอกเป็นทางลัดไปออกถนนลาดพร้าว จุดสังเกตง่ายๆ คือซอยวิภาวดีรังสิต 22 จะอยู่ก่อนถึงโชว์รูม Ducati เข้าซอยมาแล้วจะเป็นซอยเล็กๆ ที่มีแยกอยู่เยอะมาก และจะเห็นป้ายบอกทางไปออกซอยลาดพร้าว 8 อยู่เป็นระยะๆ เราก็ตามป้ายไปเลยครับ ขอตัดภาพข้ามมาที่ซอยลาดพร้าว 8 เลยนะครับ ตรงออกมาเรื่อยๆ เราก็จะมาโผล่ออกถนนลาดพร้าวแล้ว เลี้ยวซ้ายไปเลยครับ เมื่อเข้าสู่ถนนลาดพร้าวแล้วก็ตรงไปอีกครับ จากซอยลาดพร้าว 8 มาประมาณ 400 เมตร ก็จะถึงซอยลาดพร้าว 2 ใครเลือกจะเลี้ยวซ้ายเข้าซอยนี้ก็ได้นะครับ หรือถ้าใครจะตรงไปเลี้ยวซ้ายที่ห้าแยกก็ได้เหมือนกัน ใครที่มาทางถนนวิภาวดีฝั่งขาออกจะต้องไปกลับรถใต้สะพานข้ามแยก พอกลับรถมาแล้วจะเลยโครงการเหมือนกันครับ ต้องไปเลี้ยวซ้ายเข้าซอยวิภาวดี 22 แทน เพื่อวนกลับมาโครงการอีกที หรือถ้ามาจากถนนลาดพร้าว ก็สามารถเลี้ยวเข้าซอยลาดพร้าว 2 มาออกที่ซอยวิภาวดีรังสิต 26 หรือจะเลยมาแล้วเลี้ยวเข้าห้าแยกลาดพร้าวมาที่โครงการก็ได้เช่นกัน ถ้ามาจากแยกรัชโยธินทางถนนพหลโยธิน พอมาถึงห้าแยกลาดพร้าวก็เลี้ยวซ้ายเข้าถนนวิภาวดีรังสิตง่ายๆ เลยครับ ตัวโครงการจะอยู่เชิงสะพานข้ามห้าแยกลาดพร้าว บนถนนวิภาวดีรังสิตฝั่งขาเข้า ภาพนี้เป็นถนนวิภาวดีฝั่งขาเข้า มุ่งหน้าไปดินแดง เมื่อออกจากโครงการมาแล้วก็ต้องไปทางนี้ก่อนล่ะครับ ถ้าจะไปเส้นทางอื่นค่อยไปกลับรถกันอีกที ที่ตั้งโครงการล้อมรั้วไว้ชัดเจน พร้อมสำหรับการก่อสร้าง สำหรับการเดินทางด้วยวิธีอื่นๆ ในระบบขนส่งมวลชนก็จัดว่าสะดวกไม่แพ้กัน เพราะบริเวณนี้มีปริมาณรถมาก จะหาเรียกแท็กซี่ก็ง่าย (ถ้าเรียกแล้วไปนะครับ) มอเตอร์ไซค์รับจ้างก็มี คิวรถตู้ก็เยอะ จะขึ้นรถเมล์ก็สะดวกเพราะมีหลายสายเลือกขึ้นได้หลายฝั่ง แค่อาศัยเดินนิดๆ หน่อยๆ ก็เจอป้ายรถเมล์แล้ว นอกจากนี้ยังสามารถต่อรถหรือรถไฟฟ้าใต้ดินไปขึ้นรถไฟฟ้า BTS สถานีหมอชิตอีกทีก็ได้เหมือนกัน วิเคราะห์รอบโครงการ ก่อนที่จะไปดูรายละเอียดของตัวโครงการ The Saint Residences เรามาดูสภาพแวดล้อมรอบๆ โครงการกันก่อนดีกว่า ทำเลของห้าแยกลาดพร้าวนี้จัดว่าเป็นแยกใหญ่ เป็นศูนย์รวมสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ หรือเรียกว่าเป็น Hub ขนาดใหญ่ในโซนกรุงเทพตอนบนก็คงไม่เกินจริงนัก นอกจากจะเป็นแหล่งรวมการคมนาคมที่มากมายหลากหลาย ทั้งรถไฟฟ้า BTS, MRT สถานีขนส่งหมอชิต และสถานีรถไฟบางซื่อ บริเวณนี้ก็ยังมีแหล่งช็อปปิ้ง ห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่อีกหลายแห่ง เช่น ห้างเซ็นทรัล ลาดพร้าว ยูเนี่ยนมอลล์ เทสโก้โลตัส ตลาดนัดจตุจักร เจเจมอลล์ ตลาดสด อตก. ตลาดลุงเพิ่มหลังการบินไทย ฯลฯ รวมไปถึงโรงเรียนใหญ่ๆ อย่าง โรงเรียนหอวัง และโรงเรียนเซนต์จอนห์ หน่วยงานราชการ อาคารสำนักงานใหญ่ๆ ที่รายล้อมโดยรอบ จนแทบจะนับได้ว่าเป็นศูนย์กลางธุรกิจที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งเลยก็ว่าได้ และที่สำคัญที่สุดคือ บริเวณนี้ยังมีพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ นับเป็นปอดที่สำคัญของคนกรุงเทพด้วยสวนสาธารณะขนาดใหญ่ถึง 3 แห่ง คือ สวนจตุจักร สวนรถไฟ (สวนวชิรเบญจทัศ) และสวนสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ ซึ่งอยู่ติดกันทั้งหมดจึงเป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจที่ดีมากๆ สำหรับคนเมืองที่วันๆ อยู่แต่ในสภาพแวดล้อมที่แออัดเกือบจะหาอากาศบริสุทธิ์ไม่ได้ เซนทรัลลาดพร้าวอยู่ใกล้แค่ขึ้นสะพานข้ามแยก เดินชิวๆ ไม่เกิน 500 เมตร ก็ถึงหน้าห้างแล้ว ส่วน Union Mall ก็จะเดินใกล้กว่า อยู่ที่ราวๆ 300 เมตรจากหน้าโครงการเท่านั้น จากภาพรวมกว้างๆ ที่ว่ามาข้างต้น คงพอจะทำให้เห็นศักยภาพของทำเลบริเวณนี้ชัดเจนขึ้นมาบ้าง ไม่มากก็น้อยนะครับ ทีนี้เราลองขยับเข้ามาใกล้ตัวโครงการอีกหน่อย เอาแค่ในระยะเดินสบายๆ ไม่เกิน 500 เมตร ก็พอจะมีร้านอาหาร ร้านกาแฟ ที่แฮงค์เอ้าท์ รวมถึงแหล่งช็อปปิ้งให้พึ่งพาได้มากมายเลยทีเดียว ยกตัวอย่างเช่น ร้านลองดู ที่อยู่ปากซอยวิภาวดีฯ 26 ติดกับตัวโครงการพอดี เลยไปอีกหน่อยก็มีร้านปาเต๊ะ ร้านลาดมะพร้าว ไว้แฮงค์เอ้าท์ตอนค่ำๆ เช่นเดียวกันกับร้าน V24 ที่อยู่ถัดจากตัวโครงการไปหน่อย ตรงทางเข้าโรงเรียนเซนต์จอนห์พอดิบพอดี หรือถ้าอยากหาอะไรกินง่าย ทางฝั่งลาดพร้าวข้างๆ ยูเนี่ยนมอลล์ก็มีร้านรายทางให้เลือกมากอยู่เหมือนกัน เพราะอยู่ในย่านชุมชนแล้ว ส่วนถ้าอยากจะนั่งเย็นๆ กินอาหารบนห้าง ก็เลือกได้ตามสบายทั้งในห้างยูเนี่ยนมอลล์ และเซนทรัลลาดพร้าว รับรองว่ามีให้เลือกเพียบ รอบๆ โครงการจึงถือได้ว่าอุดมสมบูรณ์ดีทีเดียว ไม่ต้องกลัวอดอยากปากแห้งครับ ร้านลองดู อยู่หน้าปากซอยวิภาวดีรังสิต 26 ติดกับโครงการเลยครับ ฝากท้องยามหิวกับที่นี่ได้ อันนี้ร้านปาเต๊ะครับ ร้านดังของย่านนี้เหมือนกัน อยู่ตรงห้าแยกลาดพร้าวเลย ใกล้ๆ กับร้านปาเต๊ะ มีอีกร้านชื่อ ลาดมะพร้าว สไตล์กินดื่มคล้ายๆ กันครับ สาวๆ กลับบ้านดึกเดินผ่านทางนี้ก็ระวังกันหน่อยนะ เลยไปอีกทางริมถนนวิภาวดีรังสิต จะมีร้าน V24 เป็นสไตล์นั่งดื่มอยู่หน้าประตูมหาวิทยาลัยเซนต์จอนห์เลย ตอนค่ำๆ รถจอดเยอะม๊ากกก เนื่องจากตัวโครงการ The Saint Residences ใช้พื้นที่ส่วนหนึ่งของโรงเรียนเซนต์จอนห์มาทำการก่อสร้างเป็นคอนโด ซึ่งประกอบไปด้วยอาคารสูง 3 ตึก บนพื้นที่กว่า 7 ไร่ รอบๆ โครงการในระยะประชิดไม่ได้มีตึกสูงขนาบข้างมากมายนัก ที่เห็นชัดๆ ก็จะเป็นอาคารเรียนสูง 12 ชั้น และอาคารสูง 9 ชั้นภายในโรงเรียนเซนต์จอนห์ อยู่ทางด้านหลังโครงการ ซึ่งมุมนี้อาจจะถูกบังวิวในระยะใกล้บ้าง ส่วนด้านอื่นๆ ถือว่าค่อนข้างโล่ง ไม่มีตึกสูงอยู่ใกล้ๆ แล้ว วิวทางฝั่งด้านหน้าโครงการ จะได้เปรียบเรื่องวิวของสวนสาธารณะ มีพื้นที่สีเขียวโล่งๆ ดูสบายตาดีครับ ส่วนด้านข้างโครงการส่วนใหญ่ก็เป็นอาคารสูงไม่เกิน 5-6 ชั้น แถมยังเป็นบ้านอาศัยในแนวราบเสียเป็นส่วนใหญ่ (ในซอย) วิวจากห้องพักจึงค่อนข้างกว้างสบายตา ภาพจำลองโครงการครับ สังเกตุได้ว่าอาคารสูงทั้ง 3 ตึก แทบจะไม่มีตึกอื่นๆ มาบังวิวเลย อย่างที่บอกว่าโครงการ The Saint Residences มีอาคารทั้งหมด 3 ตึก คือ อาคาร A, B และ C สูง 41 ชั้นเท่ากัน โดยมีพื้นที่ Facilities อยู่ตรงกลางระหว่างอาคารทั้ง 3 ถ้าสังเกตุจากโมเดลจะเห็นว่า มีการวางตัวตึกในรูปแบบตัว U ล้อมพื้นที่ส่วนกลางไว้ ดังนั้นห้องพักที่อยู่ด้านในเปิดหน้าต่างมาก็จ๊ะเอ๋ เห็นวิวเป็นห้องเพื่อนบ้านกันเอง พร้อมกับวิวพื้นที่ส่วนกลางด้านล่าง แต่ก็ไม่ถึงกับอึดอัดมากนะครับ ระยะห่างแต่ละตึกยังพอเว้นว่างห่างกันอยู่พอสมควร โมเดลของโครงการในสำนักงานขายครับ เข้าไปชมกันใกล้ๆ ได้ บริเวณชั้น 1-6 จะเป็นพื้นที่จอดรถ โดยคิดเป็นจำนวน 40% แบบยังไม่นับจอดซ้อนคัน ซึ่งถือว่าเป็นไปตามมาตรฐานโครงการที่ใกล้รถไฟฟ้า ที่เน้นจับกลุ่มคนที่เดินทางด้วยรถไฟฟ้า และไม่ต้องอาศัยรถส่วนตัวมากนัก นอกจากนี้บริเวณชั้น 1 ของแต่ละอาคารจะเป็นพื้นที่ของล็อบบี้และร้านค้าบางส่วน โดยมีพื้นที่สีเขียวตรงกลาง เหมือนเป็นจุด Drop Off เชื่อมพื้นที่หน้าอาคารทั้งหมดเข้าด้วยกัน อันนี้เป็นภาพจำลองบริเวณจุด Drop Off ตรงหน้าอาคารทั้ง 3 ซึ่งเน้นการตกแต่งที่หรูหรามีสไตล์ ตัวโมเดลก็จำลองโถงตรงด้านหน้าให้เห็นชัดๆ ซึ่งจุดนี้จะฝ้าเพดานใต้สระว่ายน้ำจะสูงถึง 5 ชั้นเลยทีเดียว บริเวณชั้น 1 ของอาคาร A และ B จะมีร้านค้าภายในโครงการด้วยนะครับ พอขึ้นไปที่ชั้น 7 ซึ่งจะเริ่มเป็นโซนที่พักอาศัย โดยมีพื้นที่ส่วนกลางรวมอยู่ที่ชั้นนี้ด้วย ทั้งสระว่ายน้ำยาว 50 เมตร ห้องฟิตเนส ห้องซาวน่า ห้องสตรีม และห้องอเนกประสงค์ รวมถึงบริเวณสวนสำหรับพักผ่อน โซนด้านอาคาร A และ B ในขณะที่ด้านหลังของอาคาร C ยังมี Facilities เหมือนกันแยกออกมาอีกด้าน แต่ขนาดเล็กกว่า เพื่อเพิ่มความเป็นส่วนตัว แต่ทั้งนี้ลูกบ้านของทั้ง 3 อาคารสามารถใช้ Facilities ทั้งหมดร่วมกันได้เพราะมีทางเดินเชื่อมถึงกัน ส่วนที่ชั้นบนสุดของแต่ละอาคารจะเป็น สวนลอยฟ้า (Roof Top Garden) แยกกันไป ตรงนี้ลูกบ้านสามารถขึ้นมานั่งเล่น Take View มุมสูงได้ ที่เหลือนอกจากนี้ก็เป็นระบบรักษาความปลอดภัยตามมาตรฐานทั่วไป ทั้ง Key Card Access แบบล็อคชั้น และกล้อง CCTV พร้อมระบบรักษาความปลอดภัยแบบ 24 ชั่วโมง Master Plan ของโครงการ Facility ทั้งหมดจะรวมอยู่บนชั้น 7 สระว่ายน้ำยาว 50 เมตร เชื่อมต่อระหว่างตึก A กับตึก B บรรยากาศจำลองบริเวณสระว่ายน้ำใหญ่ ในวงกลมจะเห็นทางเชื่อมจากตึก B กับตึก C แต่มีสามารถเดินเชื่อมได้นะครับ หลังตึก C จึงมีสระว่ายน้ำแยกให้ลูกบ้านอีก 1 สระ สระว่ายนี้หลังตึก C ภาพบรรยากาศจำลองของสระว่ายน้ำที่บริเวณด้านหลังของอาคาร C หน้าตาของฟิตเนสบนชั้น 7 คร่าวๆ ก็จะประมาณนี้ครับ Roof Top Garden บนชั้นดาดฟ้าของทั้ง 3 อาคาร เรามาดู Plan ของแต่ละชั้นบางนะครับ เริ่มจากชั้น 7 ของอาคาร B จะมีห้องพักอาศัยเพียง 5 ยูนิต เพราะอีกด้านจะติดกับ Facility มาต่อที่ชั้น 8-40 มีห้องพักอาศัยอยู่ที่ชั้นละ 12 ยูนิต ส่วนใหญ่จะเป็นห้องแบบ 1 ห้องนอน จะมีห้อง 2 ห้องนอนเป็นห้องมุม ส่วนชั้นบนสุดที่ชั้น 41 จะมีเพียง 6 ยูนิตเป็นห้องแบบ 2 ห้องนอน 4 ยูนิต และแบบ 3 ห้องนอน 2 ยูนิต มาดูที่อาคาร C กันบ้างนะครับ ตัวอาคารจะเป็นรูปตัว L ซึ่งจะมีความหนาแน่นมากกว่าอาคาร B อยู่พอสมควร ที่ชั้น 7 จะมีทั้งหมด 13 ยูนิต ส่วนชั้นที่ 8-40 จะมีจำนวนห้องเพิ่มมาเป็นชั้นละ 21 ยูนิต ถ้าพูดกันถึงการใช้สอยพื้นที่ส่วนกลางแล้ว จากที่เห็นตอนแรกว่าทางโครงการจัดมาให้เยอะดูเต็มที่ พอเอามาเทียบกับจำนวนยูนิตรวมทั้งหมดของโครงการแล้ว ต้องบอกว่าหนาแน่นเอาการอยู่เหมือนกัน เพราะทั้งโครงการมียูนิตรวมมากถึง 1,537 ยูนิต ถึงจะพยายามจัด Facilities มาแบบคูณ 2 แล้ว แต่ถ้ามองกันจริงๆ ก็ คงจะไม่เพียงพอต่อการใช้งานซักเท่าไหร่ ถ้าลงมาพร้อมๆ กันเกินครึ่งหนึ่งก็แน่นละ ตรงนี้ถ้าใครคิดหวังอยากจะใช้ Facilities ให้เต็มที่อาจจะต้องพิจารณาเพิ่มเติมกันนิดนึงนะครับ พาชมห้องตัวอย่าง ก่อนจะไปดูห้องตัวอย่าง เรามาดูแปลนอาคารกันซักหน่อย ซึ่งห้องพักอาศัยในแต่ละอาคารจะเริ่มกันตั้งแต่ชั้น 7 ขึ้นไป และขณะนี้ทางโครงการก็เปิดขายเฉพาะอาคาร B และ C เท่านั้น ส่วนอาคาร A ยังไม่เปิดให้จองครับ ห้องส่วนใหญ่ที่ทางโครงการจัดไว้ก็จะเป็นห้องแบบ 1 Bedroom โดยมีขนาดเริ่มตั้งแต่ 29 ตารางเมตรเศษๆ ไปจนเกือบๆ 35 ตารางเมตร ส่วนห้องแบบ 2 Bedroom และ 3 Bedroom ก็มีให้เลือกบ้างเหมือนกัน แต่ก็มีจำนวนไม่มากในแต่ละอาคาร โดยจะเป็นห้องที่อยู่ในตำแหน่งมุมอาคาร ชั้นหนึ่งจึงมีเพียง 2-3 ห้องเท่านั้นนะครับ อีกเรื่องที่เกือบจะลืมดูไปเลยก็คือ จำนวนลิฟท์โดยสารในแต่ละอาคาร ที่ทางโครงการจัดมาให้ 3 ตัว สำหรับอาคาร B และ 4 ตัว สำหรับอาคาร C และแยกลิฟท์ขนของมาให้อีกอาคารละ 1 ตัว ซึ่งดูเผินๆ ก็ว่าจำนวนลิฟท์น่าจะเพียงพอแล้ว แต่ถ้าลองเทียบกับจำนวนยูนิตรวมในแต่ละอาคารจะเห็นว่า ความหนาแน่นของการใช้งานลิฟท์โดยสารนั้น อยู่ในระดับ 135-180 ยูนิตต่อลิฟท์ 1 ตัวเลยทีเดียว ช่วงเช้าๆ ที่ทุกคนรีบออกไปทำงาน คงมีจำนวนคนแย่งใช้งานเยอะเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน แต่อย่างไรแล้วเวลาใช้งานจริงต้องรอลุ้นกันอีกที สำหรับห้องตัวอย่าง ทางโครงการเตรียมไว้ให้ชม 2 แบบ ซึ่งเป็นแบบห้องในอาคาร B และ C ทุกห้องฝ้าเพดานสูง 2.6-2.9 เมตร (ขึ้นอยู่กับขนาดห้อง) พื้นห้องปูด้วย Engineer Wood หนา 14 มม. ผนังติด Wall Paper ให้ทั้งห้อง และเลือกใช้วัสดุ สุขภัณฑ์มาในสเปคที่สูงเลยทีเดียว เริ่มกันด้วยห้องแบบ 1 Bedroom ที่ขนาด 30 ตร.ม. จากแปลนจะเห็นว่ามีการจัดวาง Layout ออกมาได้ลงตัวดีทีเดียว มีการแยกสัดส่วนพื้นที่การใช้งานไว้ชัดเจน เปิดเข้าห้องมาจะเป็น Living Area ส่วนห้องนอนจะมีห้องน้ำในตัว และอยู่ด้านในสุดติดกระจกบานใหญ่ เพื่อจะได้ Take View จากห้องนอนได้เต็มที่ ในขณะที่พื้นที่ครัวเป็นครัวปิดติดกับระเบียง จึงสามารถเปิดประตูกระจกบานเลื่อนออกเพื่อช่วยระบายกลิ่นได้ แถมพื้นที่ระเบียงก็กว้างพอที่จะตากผ้า และใช้เป็นพื้นที่ซักล้างได้อีกด้วย โดยภายในห้องตัวอย่างที่เห็นเฟอร์นิเจอร์ส่วนหนึ่งก็จะ Built-in แถมมาพร้อมกับห้องเรียบร้อยแล้ว (Fully Fitted) เว้นแต่เฟอร์นิเจอร์ลอยตัวที่ไม่มีมาให้ ซึ่งบรรยากาศภายในห้องและหน้าตาวัสดุ สุขภัณฑ์ เฟอร์นิเจอร์จะเป็นอย่างไรบ้าง ไปดูภาพประกอบกันเลยครับ แบบแปลนของห้อง 1 Bedroom ซึ่งห้องตัวอย่างที่เราดูมีขนาด 30 ตร.ม. เข้ามาในห้องแล้วจะเจอส่วน Living Area ก่อนนะครับ บริเวณนี้เพดานจะสูง 2 ระดับ คือ 2.60 และ 2.90 เมตร ข้างๆ ประตูห้องจะมีตู้เก็บของแบบนี้อยู่ด้วยนะครับ ใช้เป็นที่เก็บรองเท้า เก็บร่ม หรือของเล็กๆ น้อยๆ อันนี้ให้มาพร้อมห้องเลย จริงๆ สามารถวางโซฟา 3 ที่นั่งได้เลยนะครับ หรือจะเลือกวางโซฟาที่เล็กลงมาหน่อยเพื่อให้มีพื้นที่วางอย่างอื่นตกแต่งก็ได้ แล้วแต่ไลฟ์สไตล์ของแต่ละคน อีกฝั่งจะเป็นจุดที่วางทีวี ระยะระหว่างทีวีกับโซฟาถือว่าห่างกันพอสมควร สามารถเลือกวางทีวีจอใหญ่ๆ ได้สบายๆ ที่ Living Area จะเป็นแอร์แบบ Conceal โต๊ะกินข้าวอันนี้วางอยู่ระหว่างประตูห้องครัวกับห้องนอน ทางโครงการทำให้ดูเป็นไอเดียนะครับ ห้องจริงไม่มีมาให้ จาก Living Area เราขยับมาดูทางซ้ายที่ห้องครัวกันก่อนนะครับ ห้องแบบนี้จะได้ครัวปิด ซึ่งใช้ประตูกระจกบานเลื่อนสูงจรดเพดานเลย ทำให้แสงผ่านเข้ามาถึง Living Area ได้เต็มที่ เคาน์เตอร์ครัวเป็นสีขาวสะอาดตา ของจริงก็ให้มาแบบนี้เลยครับ ทั้งตู้เก็บของด้านบนที่สูงจรดเพดานด้วย ชุดครัวก็ให้มาครบ ทั้งเตาไฟฟ้า พร้อมฮูดดูดควัน เตาอบไมโครเวฟ และอ่างล้างจานฝั่งเคาน์เตอร์ เตาไฟฟ้าแบบ 2 หัว พร้อมเครื่องดูดควันของ Franke เตาไมโครเวฟพร้อมระบบเตาอบ ตัวนี้ก็ให้มาด้วยนะครับ ชั้นเก็บอุปกรณ์เครื่องครัวเป็นแบบนี้เลย มีช่องใส่ของมาให้เสร็จสรรพ ตู้ด้านบนก็เก็บของได้อีกเยอะเลย ที่สำคัญประตูตู้ทุกบานเป็นแบบ Soft Close ด้วย ประตูบานเลื่อนตรงระเบียง เป็นกระจก 3 ตอน เปิดได้กว้างจนเกือบสุดเลยรับรองว่าช่วยเรื่องระบายกลิ่นในครัวได้ดีทีเดียว พื้นระเบียงปูด้วยกระเบื้อง และดรอปลงมาต่ำกว่าพื้นห้องเล็กน้อยเท่านั้น ดังนั้นต้องคอยระวังเรื่องท่อระบายน้ำที่ระเบียงให้ดีนะครับ อย่าให้ตันเด็ดขาด ไม่งั้นมีโอกาสที่น้ำจะท่วมเข้าห้องได้ พื้นที่ระเบียงตรงนี้กว้างพอให้ตากผ้าได้เลย คอมเพรสเซอร์แอร์สองตัว แขวนไว้ด้านบนมีระแนงบังตาไว้เรียบร้อย ใต้คอมเพรสเซอร์แอร์วางเครื่องซักผ้าได้สบายๆ เพราะตรงนี้มีปลั๊กมาให้แล้ว ขาดแค่ก๊อกน้ำเท่านั้น มองจากในห้องครัวไปจะเห็นว่าประตูระเบียงสามารถเปิดได้กว้างเต็มที่แบบนี้เลยครับ คราวนี้มาดูที่ห้องนอนกันบ้าง ของจริงประตูห้องนอนจะเป็นบานสวิงนะครับ ในห้องตัวอย่างวางเตียงขนาด 5 ฟุตไว้ ถ้าจะใส่เป็นเตียง 6 ฟุตก็ได้แต่พื้นที่รอบๆ ก็จะเหลือน้อยหน่อย หน้าต่างในห้องนอนเป็นกระจกบานใหญ่เกือบเต็มผนัง เน้นเปิดรับวิวจากห้องนอนกันไปเต็มๆ ปลายเตียง Built-in ตู้เสื้อผ้ามาให้ด้วยนะครับ ติดกันกับตู้เสื้อผ้ามีที่เหลือไว้แขวนทีวีเล็กๆ ได้อีกเครื่อง ในตู้เสื้อผ้า แบ่งชั้นแขวน ลิ้นชักเก็บของ ที่แขวนกางเกงเอาไว้ให้เรียบร้อย บานประตูตู้เสื้อผ้าก็เรียบๆ หน้าตาแบบนี้เลย ข้างๆ เตียงเป็นมุมโต๊ะเครื่องแป้ง หรือจะจัดเป็นโต๊ะทำงานก็ได้ แต่ของจริงผนังมุมนี้ไม่ได้ติดกระจกมาให้นะ ทางโครงการให้เป็น wall paper มาแทน ห้องน้ำมีห้องเดียวอยู่ในห้องนอนเลย อ่างล้างหน้า โถสุขภัณฑ์เป็นสีขาวทั้งหมด ตู้กระจกเหนืออ่างล้างหน้า เปิดออกมาเป็นชั้นเก็บของได้อีกเพียบเลย อ่างล้างหน้าเป็นทรงสี่เหลี่ยม ดีไซน์เรียบๆ ยี่ห้อ Kasch เพิ่มความเก๋ด้วยชุดก๊อกน้ำดีไซน์ล้ำๆ ใต้อ่างล้างหน้าสามารถเปิดออกมาเป็นที่เก็บของได้อีก โถสุขภัณฑ์ก็เลือกดีไซน์เรียบๆ เช่นกัน ส่วนที่กำชำระขยับไปอยู่ด้านบนที่วางของ ถ้าไม่ทันสังเกตุนี่หาแทบไม่เจอเลยครับ ห้องอาบน้ำอยู่ด้านในสุด กั้นด้วยกระจกเทมเปอร์ พื้นบริเวณที่อาบน้ำดรอปลงอีกนิดหน่อย ราวๆ 2 เซนติเมตร ชุดฝักบัวอาบน้ำของ Kasch ดีไซน์แปลกตา ฝักบัวดีไซน์เรียบมาก ไม่มีส่วนเว้าให้จับแบบนี้ระวังลื่นหลุดมือนะครับ แต่ถ้าไม่ถนัดถือฝักบัวอาบ ก็มี Rain Shower ของ Kasch ติดตั้งมาให้อีกเช่นกัน ในห้องอาบน้ำจะติดมุมเสานิดนึง ดังนั้นที่ว่างข้างๆ ทางโครงการเลยก่อปูนปูกระเบื้องขึ้นมา เผื่อไว้วางของหรือจะนั่งก็ได้มั้งครับ (ถ้าตัวเล็กๆ หน่อย) จริงๆ พื้นที่ในห้องอาบน้ำไม่ได้ใหญ่มากนะครับ ออกจะแคบไปหน่อย เวลายกแขนถูสบู่อาจชนผนังหรือประตูบ้าง อันนี้ผมเลยลองถ่ายให้เห็นเท้าด้วย เผื่อจะได้นึกภาพกันออกว่าเวลายืนอาบน้ำจริงๆ แล้วจะใช้พื้นที่แค่ไหน ภาพรวมๆ ในห้องน้ำครับ เน้นการจัดแสงอุ่นๆ ดูเรียบหรู อีกห้องจะเป็นห้องแบบ 2 Bedroom โดยขนาดห้องก็จะมีตั้งแต่ 55-65 ตร.ม. แต่ห้องตัวอย่างที่เตรียมไว้จะเป็นขนาดเริ่มต้นที่ 55 ตร.ม. นะครับ อย่างที่บอกไปแล้วว่าห้องแบบ 2 Bedroom จะอยู่ในตำแหน่งมุมตึก ลักษณะของห้องที่เลือกมาก็เป็น Type B1 ซึ่งพื้นที่ใช้สอยไม่ได้เป็นสี่เหลี่ยมซะทีเดียว พอเปิดประตูเข้ามาเราจึงเจอ Living Area ที่เป็นพื้นที่ในแนวลึก ครัวของห้องนี้เป็นแบบครัวเปิด แบ่งพื้นที่ใช้สอยกับโซนนั่งเล่นซึ่งติดกับระเบียง ในขณะที่พื้นที่ด้านในสุดแบ่งเป็นห้องนอน 2 ห้อง และห้องน้ำ 2 ห้อง เรื่องวัสดุ สุขภัณฑ์ และเฟอร์นิเจอร์ภายในห้องก็เหมือนกับห้องแรกทุกอย่าง ซึ่งขายมาแบบ Fully Fitted เช่นเดียวกัน แบบแปลนห้อง 2 Bedroom Type นี้จะเป็นห้องในแนวลึกนะครับ ทางเข้าห้องจะเป็นโถงทางเดินลึกเข้าไป ด้านซ้ายเป็นชั้นเก็บของ ที่เก็บรองเท้าที่ Built-in มาให้พร้อมห้อง ส่วนกระจกด้านขวาของจริงไม่ได้ให้มานะครับ พื้นห้องปูด้วย Engineer Wood หนา 14 มม. ทุกห้อง แต่ห้องแบบ 2 Bedroom จะสีเข้มกว่า เดินเข้ามาอีกหน่อยก็เจอครัวเปิดอยู่ทางซ้าย มีชุดโต๊ะกินข้าววางไว้ตรงกลางเลย เคาน์เตอร์ครัวหน้าตามาตรฐานเลย ตู้ทั้งด้านบนและล่างมาเต็ม เคาน์เตอร์ครัว Top ด้วยหินสังเคราะห์นะครับ อันนี้ได้เหมือนกันทุกห้องเช่นกัน เตาไฟฟ้า ฮูดดูดควัน และเตาไมโครเวฟโอเว่นก็ให้มาครบเหมือนกัน แต่สำหรับห้อง 2 Bedroom จะเป็นเตาขนาด 4 หัว ยี่ห้อ Franke ฮูดดูดควันแบบใกล้ๆ ครับ อ่างล้างจานเป็นแบบฝังเคาน์เตอร์เหมือนเดิม แต่ตัวอ่างนี่ลึกใช้ได้เลย ลิ้นชักเก็บของก็จัดมาเต็ม บานประตูเป็น Soft Close เช่นกัน ติดกับครัวเป็น Living Area แต่ Layout ยังดูไม่ค่อยลงตัวเท่าไหร่ เพราะตำแหน่งวางทีวีไปตรงกับทางเดินไปห้องนอนพอดี เลยทำให้ต้องวางโซฟาเอียงๆ แบบนี้ ถ้าจะว่าโซฟาไว้ตรงๆ ก็คงจะเดินลำบากหรือไม่ก็เหลือระยะห่างระหว่างทีวีกับโซฟาไม่มาก พื้นที่ตรงนี้เลยแปลกๆ หน่อย หลังโซฟาเป็นระเบียง จะเดินไปออกระเบียงก็ต้องอ้อมๆ โซฟาหน่อย ถ้าจัดวางกันแบบนี้ ระเบียงกว้างเหมือนกันครับ ประตูก็เป็นกระจกบานเลื่อนขนาดใหญ่จรดเพดานทำให้เปิดรับแสงธรรมชาติได้เต็มๆ พื้นระเบียงดรอปลงมาประมาณนึง ไม่ต่างกับห้องอื่นๆ ครับ ต้องระวังเรื่องการระบายตรงระเบียงกันไป พื้นที่ระเบียงนี่กว้างพอให้ตากผ้า หรือจะวางเก้าอี้ไว้นั่งเล่นรับลมก็ได้เก๋ๆ ที่แขวนคอมเพรสเซอร์แอร์กั้นไว้เป็นห้องเลย ประตูเปิดได้แบบนี้ ส่วนเครื่องซักผ้าต้องไปไว้ที่อื่นไม่เหมือนกับห้องเล็กที่เอาไว้ใต้คอมเพรสเซอร์เลย ไปดูห้องนอนกันดีกว่า ซึ่งด้องเดินผ่านโถงทางเดินตรงนี้เข้าไปครับ ประตูทางซ้ายเป็นห้องนอนใหญ่ ส่วนประตูตรงหน้าเป็นห้องนอนเล็ก และห้องน้ำเล็กอยู่ทางขวาหน้าห้องนอนเล็กครับ เรามาดูห้องน้ำเล็กกันก่อน ซึ่งเป็นแบบเดียวกับห้อง 1 Bedroom เลย เหนืออ่างล้างหน้าเป็นตู้กระจกบานใหญ่เหมือนกัน หลังบานกระจกเปิดออกเป็นชั้นเก็บของได้ อ่างล้างหน้าของ Kasch ดีไซน์เรียบ ก๊อกน้ำดีไซน์ล้ำ พร้อมหัวน้ำอุ่น และมีปลั๊กไฟไว้ให้ด้วย ชุดสุขภัณฑ์แบบฝั่งผนังนะครับ ตัวกดชำระเลยไปอยู่ด้านบน ห้องอาบน้ำกันด้วยกระจกเทมเปอร์ แต่ไม่มี Rain Shower มาให้นะครับ มีแต่ชุดฝักบัวเล็ก อันนี้เป็นห้องนอนเล็ก แต่ทางโครงการจัดการตกแต่งให้เป็นห้องทำงานแทน เผื่อไว้เป็นไอเดียสำหรับคนที่ไม่จำเป็นต้องใช้ 2 ห้องนอนครับ มี Sofa Bed และมุมทำงานติดริมหน้าต่าง เพราะจริงๆ แล้วมันเป็นห้องนอนเล็ก เลยมีตู้เสื้อผ้า Built-in มาให้ อันนี้ได้มาเหมือนกันทุกห้อง เปิดมาข้างในก็จัดเป็นชั้นเก็บของ ที่แขวนเสื้อผ้าไว้ให้แล้ว Sofa Bed แบบนี้ จริงๆ ก็ใช้นอนได้ครับ แต่อาจจะไม่สบายเท่าเตียง ซึ่งห้องนอนเล็กนี้ก็วางเตียง 3.5 ฟุตแทนได้กำลังดี ไม่งั้นจะอึดอัดเกินไป ส่วนห้องนอนใหญ่ก็จัดกันไปเต็มๆ ด้วยเตียง Queen Size หรือจะ King Size ก็ยังพอไหว พอเป็น Queen Size ก็เลยมีที่เหลือข้างๆ ไว้วางโต๊ะหัวเตียงได้บ้าง หน้าต่างในห้องนอนใหญ่เป็นบานใหญ่เกือบเต็มผนัง แต่มีเว้นแบ่งเป็นบานกระทุ้งเล็กๆ ไว้เผื่อเปิดระบายอากาศหรือรับลมได้ ตู้เสื้อผ้า Built-in เหมือนกัน เปิดมาก็แบ่งพื้นที่เก็บของไว้ชัดเจนแล้ว ลิ้นชัก ที่เก็บข้าวของมากมายแบบนี้เลยครับ มุมแต่งตัวโต๊ะเครื่องแบบวางไว้ปลายเตียงครับ แต่อันนี้ห้องจริงไม่ได้มีมาให้นะไม่งั้นคงผิดหลักฮวงจุ้ยกันนิดหน่อย อิอิ แอร์ในห้องนอนเป็นแบบแขวนนะครับ ไม่ได้ฝังฝ้า ประตูห้องน้ำของห้องนอนใหญ่ก็อยู่ด้านปลายเตียงเช่นกัน ในห้องน้ำก็ไม่ได้มีอะไรแตกต่างครับ Layout เดิมเลย กระจกบานใหญ่ ไฟฝังผนัง ชุดสุขภัณฑ์สีขาว หลังกระจกเป็นตู้เก็บของเหมือนกัน อ่างล้างหน้าของ Kasch มีตู้เก็บของด้านล่าง ก๊อกน้ำเก๋ๆ พร้อมหัวน้ำอุ่นในตัว ชุดโถสุขภัณฑ์แบบฝังผนัง ของ American Standard ที่กดชำระจะเรียบๆ อยู่ด้านบน ห้องอาบน้ำกั้นด้วยกระจกเทมเปอร์ แต่ต่างที่มีหน้าต่างบานกระทุ้งเพิ่มขึ้นมา ซึ่งดีตรงที่ช่วยเรื่องระบายอากาศได้ดี ชุดฝักบัวเล็กของ Kasch เรียบๆ ตามมาตรฐานเท่ากันทุกห้อง ตัวฝักบัวจะเรียบๆ ขนาดพอดีมือ แต่อาจจะจับไม่ค่อยถนัดเวลาอาบน้ำมือลื่นๆ ห้องอาบน้ำของห้องนอนใหญ่มี Rain Shower มาให้ และมีไฟฝังเพดานด้วย ก่อปูนปูกระเบื้องมาไว้ให้นั่งอาบน้ำหรือวางของได้เหมือนกัน แต่กว้างกว่าดูใช้งานได้มากกว่า หน้าต่างบานกระทุ้งในห้องน้ำบานใหญ่ใช้ได้เลย เปิดไว้ให้ระบายอากาศได้ดีทีเดียว หลังจากที่ได้ดูห้องตัวอย่างทั้ง 2 แบบไปแล้ว เรากลับถูกใจห้องแบบ 1 Bedroom มากกว่า เพราะถึงแม้ห้อง 2 Bedroom จะมีพื้นที่ใช้สอยที่มากกว่า แต่กลับรู้สึกว่าห้องแคบกว่าและ Layout ของ Living Area ยังไม่ค่อยลงตัวนัก ไหนจะเรื่องห้องครัวที่เป็นครัวเปิด ซึ่งจะทำให้ภายในห้องมีปัญหาเรื่องกลิ่นรบกวนได้ง่ายกว่า ทั้งๆ ที่ห้องแบบนี้เหมาะกับการอยู่อาศัยเป็นครอบครัวมากกว่า และน่าจะมีการทำครัวมากกว่า ถ้าได้เป็นครัวปิดก็คงจะดี แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็อย่าเพิ่มด่วนสรุปว่าห้อง 2 Bedroom ไม่ดีนะครับ เพราะทางโครงการยังมี Type ห้องแบบอื่นๆ ให้เลือกเปรียบเทียบด้วยเช่นกัน ซึ่งคุณก็สามารถเลือกให้ตรงกับความต้องการหรือตอบโจทย์การใช้สอยส่วนตัวได้มากที่สุดเลยครับ ราคาและเงื่อนไขการขาย ณ วันที่ 10 เมษายน 2558 ห้องเลขที่ 709 ชั้น 7 Tower B แบบ 1 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ ขนาด 30.02 ตารางเมตร
ราคาขาย 4,071,552.56 บาท
ราคาต่อตารางเมตร 135,628 บาท
เงินจอง 30,000 บาท
เงินทำสัญญา 5% หรือ 173,578 บาท
เงินดาวน์ 20% จำนวน 814,320 บาท ผ่อนดาวน์ 40 งวด งวดละ 20,358 บาท ห้องเลขที่ 1008 ชั้น 10 Tower C แบบ 1 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ ขนาด 30.37 ตารางเมตร
ราคาขาย 3,960,308.74 บาท
ราคาต่อตารางเมตร 130,402 บาท
เงินจอง 30,000 บาท
เงินทำสัญญา 5% หรือ 168,016 บาท
เงินดาวน์ 20% จำนวน 792,080 บาท ผ่อนดาวน์ 40 งวด งวดละ 19,802 บาท