Tag : ข่าวอสังหาริมทรัพย์

22 ผลลัพธ์
ออริจิ้น ฉลองครบรอบ 10 ปี เปิดตัว “The Origin” คอนโดแบรนด์ใหม่ ดึง “ซันนี่” เป็น Brand Ambassador

ออริจิ้น ฉลองครบรอบ 10 ปี เปิดตัว “The Origin” คอนโดแบรนด์ใหม่ ดึง “ซันนี่” เป็น Brand Ambassador

ออริจิ้น ฉลองครบรอบ 10 ปี เปิดตัว “The Origin” คอนโดแบรนด์ใหม่เจาะ New Gen ชู Empathy ตอบโจทย์ลูกค้า พร้อมดึง “ซันนี่” เป็น Brand Ambassador   ออริจิ้น ปรับเซ็กเมนต์ธุรกิจสอดรับตลาดอสังหาฯปี 62 พร้อมเปิดตัวแบรนด์ “The Origin” ลุยตลาดคอนโด เพิ่มโอกาสเจาะกลุ่มวัยรุ่น-สะท้อนความเป็นตัวตน ชูแนวทาง “Empathy” ทุกกลุ่มธุรกิจ หนุน Smart Products และ Excellent Services สร้างมาตรฐานเหนือระดับดึงดูดใจลูกค้า ดึง “ซันนี่” นั่งแท่น Brand Ambassador คนใหม่ กระตุ้นการจดจำพร้อมเติบโตอย่างยั่งยืน ปี 62 จ่อเปิดโครงการอสังหาฯเพื่อขายกว่า 26,000 ล้านบาท เตรียมเปิดให้บริการโรงแรม 2 แห่งปลายปีนี้ มั่นใจโกยยอดขายทั้งปีกว่า 28,000 ล้านบาท และรายได้อีกกว่า 19,000 ล้านบาท   นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดเผยว่า เพื่อเป็นการปรับแผนธุรกิจให้สอดรับกับแนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่มีการเปลี่ยนแปลงในปี 2562 ทำให้โครงการเปิดใหม่ในปีนี้จะประกอบด้วย 3 แบรนด์หลัก ได้แก่ 1.พาร์ค ออริจิ้น (PARK ORIGIN) แบรนด์คอนโดมิเนียม เจาะกลุ่ม Young Rich & Success อายุ 30-45 ปี ที่ชื่นชอบ lifestyle และ lifestage ในทำเล CBD และ New CBD ราคาขายประมาณ 4-6 ล้านบาทต่อยูนิต 2.ดิ ออริจิ้น (The Origin) แบรนด์คอนโดมิเนียม เจาะกลุ่มลูกค้าNew Gen วัยเริ่มต้นทำงาน (First Jobber and First Home Buyer) อายุประมาณ 24-28 ปีที่มีแนวคิด Smart Finance เปลี่ยนค่าเช่าเป็นทรัพย์สิน ซื้อคอนโดตามแนวรถไฟฟ้า ในย่านส่วนต่อขยายธุรกิจ (EBD) ราคาขายประมาณ 1.6-2.4 ล้านบาท และ 3.บริทาเนีย (Britania) แบรนด์โครงการแนวราบทั้งทาวน์โฮม บ้านแฝด และบ้านเดี่ยว ที่มี Smart Design เจาะกลุ่มวัยเริ่มต้นครอบครัว อายุ 28-45 ปี ในระดับราคา 2.5-6 ล้านบาท   “จากความโดดเด่นในการวิจัยการตลาด และความคิดสร้างสรรค์ในการพัฒนาสินค้าและบริการ บริษัทมั่นใจว่า Brand Segmentation ที่มีความชัดเจน และ Price Point ที่แม่นยำในลูกค้าเป้าหมายแต่ละกลุ่ม จะทำให้บริษัทสามารถตอบโจทย์การเปลี่ยนแปลงของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่จะมีการปรับตัวครั้งใหญ่จาก Macro Prudential Policy ของธนาคารแห่งประเทศไทย” นายพีระพงศ์ กล่าว   ทั้งนี้ จุดแข็งสำคัญที่ทำให้บริษัทมัดใจผู้บริโภคได้คือเรื่องความเข้าใจลูกค้า (Empathy) ทุกกลุ่มธุรกิจของบริษัทต่างตระหนักถึงความต้องการของลูกค้าในแต่ละกลุ่มเป็นอย่างดี ส่งผลให้บริษัทจะต่อยอดเรื่อง Empathy ผ่าน 2 เรื่องได้แก่ 1.Smart Products พัฒนาสินค้าทุกประเภทให้มีฟังก์ชันที่ตอบโจทย์มากยิ่งขึ้น ประกอบกับนำ Smart Technology เข้ามาช่วยเติมเต็ม 2.Excellenct Services มอบบริการเหนือระดับที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการของลูกค้ายุคใหม่ พร้อมปลูกฝังจิตสำนึกพนักงานทุกคนในด้านการบริการแบบนึกถึงใจเขาใจเรา     นายพีระพงศ์ กล่าวอีกว่า ปีนี้บริษัทยังสร้างเซอร์ไพรส์ให้กับวงการอสังหาริมทรัพย์อีกครั้ง กับการเปิดตัว Brand Ambassador คนใหม่ คือซันนี่ สุวรรณเมธานนท์ ซุปตาร์แถวหน้าของเมืองไทยที่มี Character ความเป็น Romantic Comedy มาช่วยสะท้อนถึงบุคลิกแบรนด์ต่างๆ ในเครือออริจิ้น ขณะเดียวกัน จะตอกย้ำภาพเรื่อง Empathy ให้ผู้บริโภคได้เห็นทั้งเรื่อง Smart Products และ Excellent Services ชัดเจนมากขึ้น โดยจะมีโฆษณาตัวแรกขึ้นในวันที่ 1ก.พ.นี้   สำหรับผลประกอบการในปี 2561 ถือว่าเป็นไปได้อย่างยอดเยี่ยม สามารถสร้างยอดขายรวมได้มากกว่า 27,500 ล้านบาท ส่วนปี 2562 นั้น บริษัทตั้งเป้าจะเปิดโครงการอสังหาฯเพื่อขาย มูลค่าโครงการรวมกว่า 26,000 ล้านบาท ประกอบด้วย 1.แบรนด์พาร์ค ออริจิ้น 3 โครงการในทำเลราชเทวี พระราม 4 และอีก 1 โครงการในย่าน New CBD มูลค่ารวมประมาณ 9,000 ล้านบาท 2.แบรนด์ดิ ออริจิ้น 7 โครงการในย่านยอดนิยมสำหรับ New Gen ได้แก่ สุขุมวิท รัชดา ลาดพร้าว รามคำแหง และรามอินทรา มูลค่ารวมประมาณ 9,000 ล้านบาท 3.โครงการมิกซ์ยูสใหม่ Origin District Rayong มูลค่า 2,000 ล้านบาท และ4.แบรนด์บริทาเนีย 4 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 6,000 ล้านบาท ตั้งเป้ายอดขายจากทั้งโครงการเก่าและใหม่รวมกันไว้ที่ 28,000 ล้านบาท ขณะเดียวกัน กลุ่มธุรกิจที่สร้างรายได้หมุนเวียน จะเปิดตัวโรงแรมใหม่ทั้งสิ้น 2 โครงการ ทำให้ปีนี้ทุกกลุ่มธุรกิจของบริษัทจะมีการเติบโตและรายได้ที่หลากหลายมากขึ้น ส่งผลให้บริษัทตั้งเป้ารายได้รวมไว้ที่ 19,000 ล้านบาท   ด้านนางศุภลักษณ์ จันทร์พิทักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น เฮ้าส์ จำกัด บริษัทที่ดูแลธุรกิจโครงการแนวราบในเครือออริจิ้น กล่าวว่า จากเดิมที่เป็นกลุ่มธุรกิจย่อยของเครือในปีที่ผ่านมา มาปีนี้บริษัทพร้อมขับเคลื่อนนำโครงการแนวราบแบรนด์บริทาเนียขึ้นมาเป็นหนึ่งในกลุ่มธุรกิจหลักของออริจิ้น โดยโฆษณาชิ้นแรกที่มี Brand Ambassador มาแสดงนั้นจะช่วยสะท้อนภาพลักษณ์ที่แตกต่างของแบรนด์บริทาเนียให้อยู่ในการรับรู้ของผู้บริโภค รวมถึงเป็นการเปิดตัวแบรนด์บริทาเนียสู่ตลาดแนวราบ และส่งเสริมให้เติบโตได้อย่างก้าวกระโดดต่อไป   “Empathy ในธุรกิจโครงการแนวราบของออริจิ้นนั้น ได้ส่งมอบทั้ง Smart Products และ Excellent Services ในทำเลที่ติดเส้นทางคมนาคมหลัก เดินทางเข้าเมืองได้สะดวกและอยู่ใกล้แหล่งงานที่มีการเติบโตสูง โดยเฉพาะกรุงเทพฯโซนตะวันออก บางนา และ EEC จากความประทับใจของลูกค้า พิสูจน์ความสำเร็จได้จากยอดขาย Pre-event ในช่วงคริสต์มาสที่ผ่านมา กับ 3 โครงการใหม่ คือ บริทาเนีย เมกะทาวน์ บางนา, บริทาเนีย บางนา กม. 12, และ บริทาเนีย วงแหวน-หทัยราษฎร์ ซึ่งเรามียอดขายมากถึง 1,000 ล้านบาทภายในเวลาเพียง 1 สัปดาห์ ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ใหม่ในการขายบ้านจัดสรรแบบPresale” นางศุภลักษณ์ กล่าว   ด้านนางกมลวรรณ วิปุลากร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วัน ออริจิ้น จำกัด บริษัทที่ดูแลธุรกิจที่สร้างรายได้หมุนเวียนในเครือออริจิ้น กล่าวว่า ปี 2562 เป็นปีที่เห็นความสำเร็จของแผนการขยายงานอย่างชัดเจน โดยการก่อสร้างโรงแรมทั้ง 5 แห่งที่ประกาศเปิดตัวไปก่อนหน้านี้ ถือว่าเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะโรงแรม Staybridge Suites Bangkok Thonglor และโรงแรม Holiday Inn & Suites Sriracha ที่ก่อสร้างได้เร็วกว่าแผน และคาดว่าน่าจะเปิดให้บริการได้ในไตรมาส 4 ปีนี้ และทยอยสร้างรายได้กลับเข้าสู่บริษัท อีกทั้งปี 2562 นี้ บริษัทมีแผนจะเปิดตัว 2 โครงการใหม่ ทั้งโรงแรมในกรุงเทพฯ และมิกซ์ยูสครบวงจรแห่งใหม่ในจังหวัดระยอง ที่จะมีการเติบโตสูงจากการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและ Smart Park ในมาบตาพุด ที่จะเป็นศูนย์กลางแห่งใหม่ของ EEC   “ความต้องการเข้าพักของธุรกิจโรงแรมในประเทศไทยยังคงเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะประเทศไทยยังคงเป็นจุดหมายที่สำคัญของโลกทั้งในแง่การท่องเที่ยวและการทำธุรกิจ จากความเข้าใจธุรกิจ ความเข้าใจความต้องการของลูกค้าที่หลากหลาย และความร่วมมือกับเชนผู้บริหารระดับโลก ทำให้เราสามารถรังสรรค์ Smart Products และมั่นใจในการส่งมอบ Excellent Services ให้แก่ลูกค้าของเรา” นางกมลวรรณ กล่าว   นายธนา ต่อสหะกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พรีโม เซอร์วิส โซลูชั่น จำกัด บริษัทที่ดูแลธุรกิจบริการในเครือออริจิ้น กล่าวว่า พรีโม เซอร์วิส โซลูชั่น จะถือเป็นกลุ่มธุรกิจสำคัญของออริจิ้นที่นำเรื่อง Excellent Services และ Smart Brokerage มาส่งมอบให้แก่ลูกค้าทุกกลุ่ม เช่น ในกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการขาย ด้วยวิสัยทัศน์ของเครือไม่ได้เพียงต้องการขายสินค้าแล้วจากไป แต่ต้องการส่งมอบการอยู่อาศัยและประสบการณ์การใช้ชีวิตที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้า   “Insight ของกลุ่มคนรุ่นใหม่ในปัจจุบัน คือเติบโตมาจากครอบครัวที่ได้รับการเอาใจใส่เป็นอย่างดี มีคนคอยทำทุกอย่างให้ เมื่อมาอยู่คอนโดหรือบ้านจัดสรรยุคใหม่ จึงต้องการบริการต่างๆ ในทุกช่วงเวลาของการใช้ชีวิต บริการ Fully Services ครบวงจรในการใช้ชีวิตของพรีโม จึงเป็น Excellent Services ที่เติมเต็มความสุขของการอยู่อาศัย” นายธนา กล่าว   ทั้งนี้ พรีโม มีบริการ After Sales Service ครบวงจร ผ่านบริษัทย่อย 6 บริษัท ส่งมอบ Excellent Services ที่ได้รับการการันตีโดยมาตรฐาน ISO 9001 ทั้งด้าน Property Management และด้าน Home Service เป็นรายแรกของไทย ให้แก่ผู้อยู่อาศัยตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาเป็นลูกบ้านออริจิ้น พรีโมยังมี Service Application ผ่านแอปพลิเคชั่น BUTLER รวบรวมทุกงานบริการเอาไว้อย่างครบวงจร และในปี 2562 พรีโมไม่ได้มีเป้าหมายเพียงส่งมอบบริการสุดพิเศษนี้ให้เฉพาะลูกบ้านออริจิ้น แต่ยังเปิดกว้างการขยาย Excellent Services เข้าไปช่วยดูแลลูกค้าในโครงการที่อยู่อาศัยทุกแบรนด์ทุกประเภท เพื่อเป็น Living Partner ส่งมอบความสุขให้แก่ทุกคน   สำหรับบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) มีโครงสร้างธุรกิจหลากหลาย ประกอบด้วย 1.ธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อการขาย (Residential Development Business) พัฒนาคอนโดมิเนียมและบ้านจัดสรรมาแล้ว 51 โครงการ เช่น แบรนด์ PARK ORIGIN, KnightsBridge, Notting Hill, Kensington และ Britania รวมมูลค่าโครงการกว่า 84,000 ล้านบาท 2.ธุรกิจที่สร้างรายได้หมุนเวียนต่อเนื่อง (Recurring Income Business) เช่น โรงแรม เซอร์วิส อพาร์ตเมนท์ ค้าปลีก 3.ธุรกิจบริการ (Service Business) เช่น ธุรกิจการจัดการอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจตัวแทนซื้อ ขาย เช่า อสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ และยังมีวิสัยทัศน์ในการขยายประเภทธุรกิจใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เป็นผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร        
ไนท์แฟรงค์ประเทศไทยเผยทุบสถิติโครงการคอนโดมิเนียมเปิดใหม่ในกรุงเทพฯ  สูงสุดในรอบ 10 ปี

ไนท์แฟรงค์ประเทศไทยเผยทุบสถิติโครงการคอนโดมิเนียมเปิดใหม่ในกรุงเทพฯ สูงสุดในรอบ 10 ปี

นายพนม กาญจนเทียมเท่า กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า ตลาดคอนโดมิเนียมกรุงเทพมหานครในปี 2561 ทุบสถิติการเปิดตัวโครงการใหม่สูงสุดในรอบ 10 ปี โดยมีอุปทานใหม่เข้าสู่ตลาดรวมทั้งสิ้นประมาณ 65,000 หน่วย ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 11% ส่งผลให้อุปทานสะสมของคอนโดมิเนียมเฉพาะในกรุงเทพมหานครตั้งแต่ปี 2552 – 2561 อยู่ที่ประมาณ 500,000 หน่วย ทั้งนี้จากการศึกษาของฝ่ายวิจัยอสังหาริมทรัพย์ ไนท์แฟรงค์ฯ พบว่าไตรมาส 3/2561 มีการเปิดตัวโครงการใหม่สูงที่สุดคือ 25,000 หน่วย ในขณะที่ไตรมาสสุดท้ายของปีมีอุปทานใหม่เข้าสู่ตลาดประมาณ 17,000 หน่วย โดยเปิดตัวหนาแน่นในเขตชานเมืองโดยเฉพาะแนวรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายสายสีเขียวและสายสีน้ำเงิน ซึ่งอุปทานใหม่ในพื้นที่ดังกล่าวคิดเป็น 57% ของหน่วยเปิดใหม่ทั้งหมดในไตรมาส 4/2561 เมื่อมองภาพรวมทั้งปี พบว่าเขตชานเมืองโดยเฉพาะแนวรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายแทบทุกสายยังคงเป็นพื้นที่ที่ได้รับความสนใจจากผู้ประกอบการอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่สัดส่วนของอุปทานใหม่ใน CBD และพื้นที่รอบ CBD อยู่ที่ 18% และ 33% ตามลำดับ ส่วนทำเลเด่นที่ผู้ประกอบการสนใจเป็นพิเศษในปี 2561 ได้แก่ ถ.สุขุมวิทตั้งแต่ช่วงอโศก–เอกมัย ถ.พหลโยธินตามแนวรถไฟฟ้าส่วนต่อขยาย (หมอชิต-คูคต) พระราม 9–รัชดาภิเษก ลาดพร้าว–รามคำแหง และจรัญสนิทวงศ์–เพชรเกษม   อุปทานของคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ ปี 2553 - 2561   อุปทานของคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ แบ่งตามโซน ปี 2561   ด้านยอดขาย พบว่ายอดขายเฉลี่ยของโครงการเปิดใหม่ในกรุงเทพมหานครตลอดปี 2561อยู่ที่ประมาณ 55% โดยคอนโดขายดีส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ CBD และโซนรอบ CBD มียอดขายประมาณ 51% และ 64% ตามลำดับ ในขณะที่คอนโดเปิดใหม่ย่านชานเมืองมียอดขายประมาณ 50% ซึ่งถือว่าไปได้ดีเมื่อเทียบกับอุปทานใหม่จำนวนมากที่เข้าสู่ตลาดในพื้นที่นี้ ส่วนทำเลที่ได้รับความนิยมสูงจากผู้ซื้อได้แก่ สุขุมวิทตอนกลาง (อโศก–อ่อนนุช) สุขุมวิทตอนปลาย (อุดมสุข–แบริ่ง) พระราม 9-รัชดาภิเษก พหลโยธิน (จตุจักร–พหลโยธิน 52) และธนบุรี ขณะที่ภาพรวมด้านราคาเสนอขายเฉลี่ยต่อตารางเมตรของยูนิตเปิดใหม่ปี 2561 อยู่ที่ 150,641 บาท ปรับตัวลดลงจากปีก่อนหน้า 6% โดยราคาเสนอขายเฉลี่ยต่อตารางเมตรของคอนโดใหม่ในเขต CBD และพื้นที่รอบ CBD อยู่ที่ 250,000 บาท และ 120,000 บาท ลดลง 8% และ 7% ตามลำดับเมื่อเทียบกับปี 2560 อย่างไรก็ตาม ราคาเสนอขายเฉลี่ยต่อตารางเมตรของยูนิตเปิดใหม่ย่านชานเมืองมีแนวโน้มขยับขึ้นเรื่อยๆ โดยในปี 2561 อยู่ที่ 85,000 บาทต่อตารางเมตร เพิ่มขึ้น 3%, 13% และ 20% จากปี 2560, 2559 และ 2558 ตามลำดับ   อุปทานสะสม อุปสงค์สะสม และอัตราการขายสะสม คอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ ปี 2553 - 2561     ราคาเสนอขายของคอนโดมิเนียมใหม่ในกรุงเทพฯ ปี 2553 – 2561   สำหรับแนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2562 คาดว่าจะชะลอตัวจากสถานการณ์ตลาดโดยรวม ไม่ว่าจะเป็นนโยบายกำกับดูแลสินเชื่อที่อยู่อาศัยของธนาคารแห่งประเทศไทย การปรับตัวขึ้นของดอกเบี้ยนโยบายภายในประเทศ และภาวะเศรษฐกิจโลกซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อจากต่างประเทศ ทั้งนี้ฝ่ายวิจัยอสังหาริมทรัพย์ ไนท์แฟรงค์ฯคาดว่าไตรมาสแรกของปีนี้ ราคาเสนอขายเฉลี่ยต่อตารางเมตรมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นจากปีที่แล้ว ด้วยแรงหนุนจากการเปิดตัวของโครงการในหลายทำเลทั้งใน CBD และพื้นที่รอบ CBD นอกจากนี้ใน Q1/2562 อัตราการโอนกรรมสิทธิ์มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว เนื่องจากผู้ซื้อต้องการโอนให้เสร็จก่อนนโยบายกำกับดูแลสินเชื่อที่อยู่อาศัยจะถูกบังคับใช้ในวันที่ 1 เมษายน 2562 นี้        
SC ตั้งเป้าปี 62 เติบโต 40% เตรียมเปิด 12 โครงการใหม่

SC ตั้งเป้าปี 62 เติบโต 40% เตรียมเปิด 12 โครงการใหม่

SC ตั้งเป้าเติบโตทั้งยอดขาย รายได้ และกำไรสุทธิ มุ่งยอดขายเติบโตมากกว่า 40% ในปี 62 และรายได้ 19,000 ลบ.  เตรียมเปิด 12 โครงการใหม่ มูลค่า 22,700 ลบ. เผย “โครงการ SCOPE หลังสวน” เปิดขายปีนี้   นายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยแผนธุรกิจว่า “ในปี 2562 SC มุ่งเติบโตทั้งยอดขาย รายได้ และกำไรสุทธิ โดยตั้งเป้ายอดขาย 22,000 ล้านบาท เติบโตมากกว่า 40% เทียบกับปีที่ผ่านมา และรายได้ 19,000 ล้านบาท ”   โดยยอดขายทั้งปีของ SC จะมาจากโครงการเพื่อขายทั้งหมดรวม 58 โครงการ มูลค่ารวม 62,700 ล้านบาท ประกอบด้วยโครงการต่อเนื่อง 46 โครงการ มูลค่า 40,000 ล้านบาท และ โครงการใหม่ 12 โครงการ มูลค่า 22,700 ล้านบาท   โครงการใหม่แบ่งเป็น 8 โครงการแนวราบ มูลค่ารวม 6,500 ล้านบาท ประกอบด้วยโครงการบ้านเดี่ยว ระดับราคา 4-50 ล้านบาท ภายใต้แบรนด์ เพฟ, เวนิว, บางกอก บูเลอวาร์ด และ เดอะเจนทริ พร้อมบ้านและทาวน์โฮม 2-5 ล้านบาท มีแบรนด์ วี คอมพาวด์ กับ เวิร์ฟ โดยทุกโครงการอยู่ในทำเลศักยภาพ ได้แก่ พระราม 5 , วิภาวดี , รังสิต , บางนา และ ลาดพร้าว-เสรีไทย เป็นต้น   ส่วนโครงการแนวสูงจะรุกเปิดทำเลใจกลางกรุงเทพฯ รวม 4 โครงการใหม่ มูลค่า 16,200 ล้านบาท โดย SC เปิด 2 โครงการ และ SCOPE จำนวน 2 โครงการ   คอนโดฯ ที่ SC เปิดใหม่ 2 โครงการ มูลค่า 6,000 ล้านบาท ได้แก่ 1. โครงการ The Crest ทำเล Prime ที่สุดของย่านห้าแยกลาดพร้าว ตั้งอยู่ใกล้ศูนย์รวมคมนาคมแห่งอนาคต โดยใกล้กับ Interchange Station กับ BTS ห้าแยกลาดพร้าว และเพียง 75 เมตร จาก MRT พหลโยธิน พื้นที่ขนาดกว่า 1.3 ไร่ มูลค่า 3,500 ล้านบาท อีกทั้งแวดล้อมด้วยแหล่งช้อปปิ้งชั้นนำ เช่น เซ็นทรัลลาดพร้าว ยูเนียนมอลล์ ที่สำคัญ คือ ใกล้สวนจตุจักร และสวนรถไฟ ที่ได้วิวสวนพื้นที่กว่า 700 ไร่  โดยพัฒนาภายใต้บริษัท เอสซี เอ็นเอ็นอาร์ วัน จำกัด (SC NNR1 Co.,Ltd.) บริษัทร่วมทุนระหว่าง SC กับ Nishitetsu Group ยักษ์ใหญ่และผู้นำในภูมิภาคคิวชู 2. โครงการ The Crest ทำเลสุขุมวิท 23 ย่านใจกลางธุรกิจสำคัญซึ่งผสมผสานความสะดวกสบายใจกลางเมือง ทั้งอยู่ใกล้กับ Interchange Station สถานีอโศก และสุขุมวิท บนพื้นที่กว่า 1.5 ไร่ มูลค่า 2,500 ล้านบาท โดยความพิเศษของทำเลนั้น เป็นจุดเชื่อมต่อพื้นที่ lifestyle ใกล้แหล่งท่องเที่ยวและชอปปิ้ง ในย่านทองหล่อ พร้อมพงษ์ และอโศก   สำหรับบริษัท สโคป จำกัด ซึ่งมีนายยงยุทธ ชัยพรหมประสิทธิ์ เป็น CEO บริหารอยู่ ปีนี้จะเปิด คอนโดฯ ใหม่ 2 โครงการ มูลค่า 10,200 ล้านบาท ได้แก่ 1. โครงการ SCOPE หลังสวน บนพื้นที่ประมาณ 2.02 ไร่ มูลค่าโครงการ 7,800 ล้านบาท   2. โครงการ SCOPE ทองหล่อ บนพื้นที่ประมาณ 1.01 ไร่ มูลค่า 2,400 ล้านบาท   โดยสรุปโครงการเพื่อขายทั้งหมด 58 โครงการ แบ่งสัดส่วนแนวราบ : แนวสูง คือ 60:40 ในส่วนแนวราบมี stock พร้อมโอน 3,000 ล้านบาท และ stock จากแนวสูงพร้อมโอน 6 โครงการ 8,400ล้านบาท ได้แก่ โครงการ SALADAENG ONE (ศาลาแดง วัน), BEATNIQ (บีทนิค) สุขุมวิท, CHAMBERS CHER (แชมเบอร์ส เฌอ) รัชดา-รามอินทรา  และ CHAMBERS CHAAN (แชมเบอร์ส ชาน) ลาดพร้าว-วังหิน เป็นต้น พร้อมกับอีก 2 โครงการใหม่สร้างเสร็จพร้อมโอนเพิ่มในปีนี้ คือ   1. โครงการ 28 CHIDLOM (ทเวนติ้เอท ชิดลม)   2. โครงการ CENTRIC RATCHAYOTHIN (เซ็นทริค รัชโยธิน)                
เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ ชี้ปี’62 ตลาดอาคารสำนักงานมาแรง

เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ ชี้ปี’62 ตลาดอาคารสำนักงานมาแรง

เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ชี้ปี’62 ตลาดอาคารสำนักงานมาแรง จับตาทำเล “พระราม 9-รามคำแหง” บูม อัตราการเช่าสูงถึงกว่า 90% เตรียมผุดมิกซ์ยูส “เมเจอร์ ทาวเวอร์ พระราม 9-รามคำแหง” มูลค่า 2,100 ล้านบาท   เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ชี้ปี’62 ตลาดอาคารสำนักงานมาแรง ระบุทำเล “พระราม 9-รามคำแหง” น่าจับตามอง ชี้อัตราการเช่าสูงกว่า 90% และมีราคาค่าเช่าพุ่งถึง 7% ต่อปี เตรียมผุดอาคารสำนักงานแบรนด์ “เมเจอร์ ทาวเวอร์” ภายใต้ชื่อ “เมเจอร์ ทาวเวอร์ พระราม 9-รามคำแหง” มิกซ์ยูสรูปแบบใหม่ มูลค่าโครงการ 2,100 ล้านบาท ใกล้แอร์พอร์ตลิงค์ สถานีรามคำแหง เพียง 600 เมตร และรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงศูนย์วัฒนธรรม-มีนบุรี (สุวินทวงศ์) ที่จะเปิดให้บริการในปี’66 เพียง 300 เมตร คาดอนาคตตลาดอาคารสำนักงานเติบโตต่อเนื่อง อีก 5 ปี จ่อเข้าตลาดอีกกว่า 766,000 ตร.ม.   คุณเพชรลดา พูลวรลักษณ์ กรรมการบริหาร บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปี 2562 ตลาดอาคารสำนักงานให้เช่ามีแนวโน้มเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งในส่วนของอัตราราคาค่าเช่าและพื้นที่ให้เช่า เนื่องจากความความต้องการยังมีสูงแต่ซัพพลายมีจำกัด โดยปัจจุบันตลาดอาคารสำนักงานไม่ได้กระจุกตัวอยู่ในเฉพาะโซนซีบีดีเหมือนที่ผ่านมา เริ่มขยับขยายออกไปจากรอบนอกสีลม, สาทร, สุขุมวิทชั้นใน เนื่องจากมีการขยายเมือง และการเกิดขึ้นของสาธารณูปโภคและคมนาคมหลากหลายรูปแบบ   สำหรับทำเลที่น่าจับตามอง คือ ทำเลพระราม 9-รามคำแหง เนื่องจากมีความต้องการอาคารสำนักงานสูงมาก โดยมีอัตราการเช่าสูงถึง 90% ขณะที่อัตราราคาค่าเช่าของอาคารสำนักงานที่เปิดใหม่ในทำเลนี้สูงขึ้นต่อเนื่อง เพิ่มขึ้นเฉลี่ยถึงปีละ 7% ทั้งนี้ทำเลพระราม 9-รามคำแหง เป็นทำเลศักยภาพแห่งใหม่ ใกล้ตัวเมืองและเป็นเขตรอยต่อของย่านธุรกิจ อย่างย่านรัชดา ทองหล่อและสุขุมวิท อีกทั้งยังเดินทางสะดวก ใกล้รถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงค์, มอเตอร์เวย์, ทางด่วนฉลองรัช และทางด่วนศรีรัช รวมถึงยังใกล้โรงพยาบาลชั้นนำอย่าง โรงพยาบาลสมิติเวช ศรีนครินทร์, โรงพยาบาลรามคำแหง และสถานศึกษาสำคัญ เช่น มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ, มหาวิทยาลัยรามคำแหงและมหาวิทยาลัยนานาชาติแสตมฟอร์ด รวมทั้งยังมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องในอนาคต ในอีก 2-3 ปี จะมีการเปิดตัวมิกซ์ยูส คอมเพล็กซ์ ที่รีโนเวทจากศูนย์การค้าเดอะมอลล์ รามคำแหง ซึ่งจะทำให้ทำเลนี้คึกคักเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ยังจะมีการพัฒนาโครงการรถไฟฟ้าถึง 3 สาย ได้แก่ รถไฟฟ้าสายสีเหลือง ลาดพร้าว-สำโรง และรถไฟฟ้าสายสีแดงอ่อน บางซื่อ-หัวหมาก ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จพร้อมเปิดให้บริการในปี 2563 และรถไฟฟ้าสายสีส้ม  ตลิ่งชัน-มีนบุรี คาดว่าจะแล้วเสร็จพร้อมเปิดให้บริการในปี 2566 โดยเมื่อโครงการรถไฟฟ้าทั้ง 3 สายเสร็จแล้วคาดว่าจะเข้ามาเติมเต็มความสมบูรณ์ให้กับทำเลนี้เป็นอย่างมาก     คุณเพชรลดา กล่าวว่า “เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ เล็งเห็นศักยภาพของทำเลพระราม 9-รามคำแหง จึงได้เตรียมพัฒนาอาคารสำนักงานเกรดเอแบรนด์ เมเจอร์ ทาวเวอร์ ภายใต้ชื่อ “เมเจอร์ ทาวเวอร์ พระราม 9-รามคำแหง” มูลค่าโครงการ 2,100 ล้านบาท โดยเป็นโครงการมิกส์ยูส (Mixed-use) รูปแบบใหม่ ประกอบด้วยอาคารสำนักงาน คอนโดมิเนียม และร้านค้า  มีพื้นที่ประมาณ 25,000 ตร.ม. ใกล้แอร์พอร์ตลิงค์ สถานีรามคำแหง เพียงแค่ 600 เมตร รวมทั้งยังใกล้รถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงศูนย์วัฒนธรรม-มีนบุรี (สุวินทวงศ์) เพียง 300 เมตร ซึ่งพัฒนาภายใต้คอนเซ็ปต์ ‘Boutique Art Gallery’ โดยตั้งใจรังสรรค์ออกแบบเพื่อให้เป็นออฟฟิศในฝันของคนรุ่นใหม่ที่ตอบโจทย์การทำงานอย่างมีคุณภาพ ซึ่งจะเปิดตัวในไตรมาส 4 ปีนี้ คาดว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีเช่นเดียวกับโครงการแรก “เมเจอร์ ทาวเวอร์ ทองหล่อ” บนทองหล่อ ซอย 10 ที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก มีอัตราการเช่าเต็ม 100%”   ทั้งนี้ สำหรับแนวโน้มตลาดอาคารสำนักงาน คาดว่าในปี 5 ปีข้างหน้า จะมีซัพพลายสูงขึ้นมาก โดยมีพื้นที่อาคารสำนักงานใหม่ให้เช่าเพิ่มขึ้นประมาณ 766,000 ตร.ม. ขณะที่เทรนด์ตลาดอาคารสำนักงาน โครงการมิกซ์ยูสกำลังมีความต้องการเป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นอสังหาฯ รูปแบบใหม่ที่รวมโครงการที่อยู่อาศัย อาคารสำนักงาน ศูนย์การค้า โรงแรม หรือแม้แต่ความบันเทิงเข้าด้วยกัน โดยเฉพาะในย่านศูนย์กลางเศรษฐกิจ ซึ่งจะเป็นทางเลือกใหม่ให้กับกลุ่มผู้อยู่อาศัยที่ต้องการความสะดวกสบายเป็นหลัก          
ไทยพุ่งอันดับหนึ่งอสังหาฯ ยอดนิยมของผู้ซื้อชาวจีน

ไทยพุ่งอันดับหนึ่งอสังหาฯ ยอดนิยมของผู้ซื้อชาวจีน

Juwai.com (จูเหว่ย) เว็บไซต์ซื้อ-ขายอสังหาฯอันดับหนึ่งที่ได้รับความนิยมจากชาวจีนเผยข้อมูลปี61 อสังหาฯไทยขึ้นแท่นได้รับความนิยมจากชาวจีนเป็นอันดับ1 และเป็นอันดับ4 ที่จีนเข้ามาลงทุน คิดเป็นมูลค่า 2.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยกรุงเทพฯยังมีพื้นที่น่าลงทุนอันดับแรก  ระบุเมกะโปรเจกต์ภาครัฐที่มีต่อเนื่องสร้างความเชื่อมั่นศักยภาพเศรษฐกิจระยะยาว  ด้านผู้บริหารTeC ชี้เหตุผลดึงจีนลงทุนในไทย ช่วยดันGDPโต และศึกษาโนว์ฮาวพัฒนาประเทศ ขณะที่นักวิจัยตลาดอสังหาฯเผยพฤติกรรมการคนจีนเปลี่ยนจากการทำตลาดหลายช่องทาง ส่งผลกระจายซื้อได้หลายทำเล   นางแคร์รี่ ลอร์ ประธานกรรมการบริหาร และกรรมการบริษัท Juwai.com เปิดเผยว่าข้อมูลจาก Juwai.com ซึ่งเป็นเว็บไซต์อันดับหนึ่งสำหรับชาวจีนในการค้นหาอสังหาริมทรัพย์ต่างประเทศซึ่งเข้าถึงผู้บริโภคประมาณ 3.1 ล้านคนต่อเดือน มีจำนวนประกาศขายอสังหาริมทรัพย์มากกว่า 2 ล้านประกาศ  รองรับการใช้งานกว่า 90 ประเทศ  และจากข้อมูลในปี 2559-2560 พบว่าประเทศไทยได้ถูกจัดอันดับความนิยมในการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ของชาวจีน จากลำดับ 6 ในปี 2559 ลำดับ 3 ในปี 2560 และในปี 2561ที่ผ่านมา พบว่าเป็นครั้งแรกที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยได้รับความสนใจ จากผู้ซื้อชาวจีนเพิ่มขึ้นเป็นอันดับ1 รองลงมาเป็นชาวออสเตรเลีย สหรัฐอเมริกา แคนนาดา อังกฤษ มาเลเซีย นิวซีแลนด์ กรีซ ญี่ปุ่น และเยอรมนี ตามลำดับ     จากข้อมูลล่าสุดของปี 2561 ยังพบว่าประเทศที่ชาวจีน เข้าไปลงทุนมากที่สุดคือสหรัฐอเมริกา คิดเป็นมูลค่า 30.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ รองลงมาคือฮ่องกง มูลค่า 16.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ, ออสเตรเลีย มูลค่า 14.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ, ไทยมูลค่า2.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และมาเลเซีย มูลค่า 2.0 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ     ทั้งนี้ จากข้อมูล Juwai.com พบว่าในช่วงที่ผ่านมานักลงทุนจากประเทศจีนและฮ่องกงได้มีการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยจำนวน 15,000 ยูนิต เป็นสัดส่วนถือครองตัวเลขกว่าครึ่งหนึ่งของนักลงทุนชาวต่างชาติทั้งหมดที่ลงทุนในประเทศไทย หากประเมินจากตัวเลขการซื้อ ชาวจีนและฮ่องกงจะเฉลี่ยราคาห้องละ 5 ล้านบาทต่อยูนิต มูลค่าลงทุนรวมการซื้ออสังหาริมทรัพย์ในไทยรวมในปี 2561 เป็นมูลค่า 75,000 ล้านบาท สำหรับพื้นที่นักลงทุนชาวจีนให้ความสนใจในประเทศไทยที่จะลงทุนลำดับ 1 คือ กรุงเทพ รองลงมาคือ เชียงใหม่ พัทยา ภูเก็ต และสัตหีบ   “เราไม่เคยเห็นความต้องการของผู้ซื้อชาวจีนต่ออสังหาริมทรัพย์ไทยสูงขนาดนี้มาก่อน ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นภาพสะท้อนให้เห็นว่าผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ อีกทั้งมีวิสัยทัศน์ด้านการลงทุนและเพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดี ประกอบกับปัจจัยอื่นที่เป็นตัวผลักดันให้ผู้ซื้อชาวจีนที่กำลังมองหาทำเลในต่างประเทศ ให้ความสนใจประเทศไทยในเรื่องราคาที่หลากหลายเมื่อเทียบเท่ากับประเทศอื่น ประกอบกับกฎระเบียบอันเคร่งครัดของกรุงปักกิ่ง และขาดความหลากหลายในโอกาสการลงทุนภายในประเทศจีน”นางแคร์รี่ กล่าวในที่สุด   ด้านนางสาวกุลธิรัตน์ ภควัชร์ไกลเลิศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร,Thailand e-Business Center (TeC) Project collaboration with Alibaba Business School เลขาธิการสมาคมดิจิทัลไทย MD บริษัท จอยฟูลเนส จำกัด กล่าวว่า หากสามารถดำเนินธุรกิจในประเทศจีนให้ประสบผลสำเร็จได้ จะเป็นใบเบิกในการดำเนินธุรกิจของตัวผู้ประกอบการเอง และเหตุผลทำไมต้องเป็นประเทศจีน มาจากคำว่า China  C คือ Chance หากย้อนไปอดีตจีนจะเป็นประเทศที่ไม่น่าไป ล้าหลัง เป็นประเทศที่ Copycat และมีมลพิษทางอากาศ แต่ช่วงเวลา10 ปีที่ผ่านมามีการพัฒนาหลายด้าน ปัจจุบันจีนเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี แรงงาน และมลพิษลดลงด้วยนวัตกรรมอิเล็กทรอนิกส์ยานยนต์  H คือ Huge จีนเป็นประเทศแผ่นดินใหญ่และมีจำนวนประชากรมาก ทำให้กำลังการซื้อและการขายมีมาก ทำให้เป็นเป้าหมายของอุตสาหกรรม I คือ Internet ระบบอินเตอร์เน็ตมีการใช้งานจำนวน 731 ล้านคน และใช้ซื้อของออนไลน์จำนวน 448 ล้านคน  มูลค่ารวมการบริโภค 3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมีมูลค่าซื้อขายออนไลน์ 759,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ N คือ Network ได้พัฒนาระบบต่างๆ รวมถึงระบบการค้าในรูปแบบ e-Commerce เพื่อให้ประชากรได้ใช้งานอย่างหลากหลายและเข้าถึงสินค้าอย่างรวดเร็ว สำหรับแพลตฟอร์มที่นิยมใช้ในการสั่งซื้อของคือ Taobao มีจำนวนผู้ใช้งาน 450 ล้านคน รองลงมา JD.com มีผู้ใช้งาน 850 ล้านคน และ Kaola มีผู้ใช้งาน 25 ล้านคน รวมทั้งการจ่ายเงินผ่านระบบ E-payment ใน Alipay มีผู้ใช้งาน 350ล้านคน  WeChat Pay มีผู้ใช้งาน 850 ล้านคน ยังครอบคลุมไปถึงการขนส่งสินค้าผ่านบริษัทต่างๆ จะเห็นได้ชัดว่า เครือข่ายของการซื้อขายของธุรกิจในจีนเต็มวงจรและมีกลุ่มผู้ใช้งาน และผู้ให้บริการเป็นจำนวนมาก A คือ Advertising & Affiliate นอกจากการเจริญเติบโตในประเทศตัวเองแล้ว จีนยังผลักดันธุรกิจของตนกระจายไปยังประเทศต่างๆ โดยการเข้าเป็นพันธมิตรทางธุรกิจในแต่และประเทศ ส่งเสริมและช่วยเหลือทางธุรกิจ และเทคโนโลยี อาทิ การเข้ามาของ Alibaba ในประเทศไทย   ปริมาณสินค้าทั้งหมดของทุกแพลตฟอร์มมีจำนวน 314,300 ล้านหยวน เพิ่มขึ้น 23.8% จากปีที่แล้ว Tmall  68% ของส่วนแบ่งการตลาด แต่แพลตฟอร์มอื่น ๆ กำลังกินส่วนแบ่งการตลาด แพลตฟอร์มใหม่ในการเข้าร่วมความนิยม e-Commerce นี้คือ Pinduoduo โดยมีส่วนแบ่งการตลาด 3.0%  ผู้เล่นรายใหญ่อันดับสองของ JD.COM ก็มีปีที่ทำลายสถิติเช่นกัน GMV สูงถึง 159.8 พันล้านหยวน เพิ่มส่วนแบ่งการตลาด 17.3%   “นี่คือเหตุผลทั้งหมดที่ไทยควรผลักดันให้ทำธุรกิจในประเทศจีน สิ่งที่ไทยจะได้รับประโยชน์ในเรื่องของการ ผลักดัน GDP ของประเทศไทย และ เรื่องของการลดต้นทุนในการผลิตสินค้าแต่ได้คุณภาพที่ดีขึ้น อีกทั้งยังได้โอกาสในศึกษาเทคโนโลยีจากจีนเพื่อนำมาพัฒนาประเทศไทยต่อไป   โดย TeC สามารถให้การปรึกษาในการทำธุรกิจที่จีน โดยเริ่มต้นตั้งแต่ขั้นการทำเอกสาร รวมถึงวิธีการทำธุรกิจในจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำออนไลน์ที่ได้รับความนิยมมากจากชาวจีน และหนึ่งในเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด คงไม่มีใครไม่รู้จัก Wechat ที่ยอดผู้ใช้ในปัจจุบันถือว่ามีอัตราการเติบโตก้าวกระโดดไปอย่างมาก จาก ปี 2554 ที่มีผู้ใช้งานเพียง 50 ล้านคน และในปี 2560 มีสูงถึง 963 ล้านคน โดยใช้ระยะเวลาแค่ 6 ปีเท่านั้น” นางสาวกุลธิรัตน์ กล่าว     ขณะที่นายสุรเชษฐ  กองชีพ นักวิจัยตลาดอสังหาริมทรัพย์  กล่าวว่าก่อนหน้านี้ผู้ซื้อชาวจีนอาจจะเลือกซื้อคอนโดมิเนียมในประเทศไทยกระจายไปตามทำเลที่คุ้นเคย หรือว่าตามทำเลที่มีคนจีนอาศัยอยู่มาก เช่น รัชดาภิเษก ซึ่งไม่ไกลจากสถานฑูตจีน รวมไปถึงพื้นที่ตามแนวรถไฟฟ้าบีทีเอส รถไฟฟ้าMRT  ที่สามารถทำให้เดินทางได้สะดวก แต่ในระยะหลังพบว่าการเลือกทำเลในการซื้อคอนโดมิเนียมของคนจีนเปลี่ยนไป โดยเปลี่ยนแปลงไปตามปัจจัยต่างๆ ที่มีผลต่อการตัดสินใจหรือปัจจัยที่เข้ามาเพิ่มความน่าสนใจให้นักลงทุนชาวจีน อาทิ   1) ผู้ประกอบการที่มีการประชาสัมพันธ์เข้าถึงนักลงทุนชาวจีนโดยตรงมากขึ้น ส่งผลให้หลายโครงการที่อยู่นอกพื้นที่ที่ชาวจีนเคยสนใจได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุนชาวจีนมากขึ้น    2) นายหน้าทั้งไทยและจีนที่มีการนำหลายโครงการไปเสนอขายทั้งในประเทศไทยและที่ประเทศจีนโดยตรง สร้างความรู้จักและคุ้นเคยทำเลอื่นๆ ให้กับนักลงทุนชาวจีนมากขึ้น   3) ผู้ประกอบการชาวจีนมีส่วนในการผลักดันหลายๆ พื้นที่ให้เป็นที่รู้จักของคนจีนด้วยเช่นกัน   4) ระบบออนไลน์ที่แข็งแกร่งของประเทศจีนเป็นอีกปัจจัยที่เพิ่มการรับรู้ให้กับผู้ซื้อชาวจีนโดยตรง เนื่องจากสามารถค้นหาหรือทำความรู้จักแต่ละทำเลของกรุงเทพฯ ได้เป็นอย่างดี รวมไปถึงมีหลายเว็บไซต์ของนายหน้าอสังหาฯทั้งไทยและจีนที่ให้ความรู้เรื่องของภาวะการณ์ของตลาดคอนโดมิเนียมในปัจจุบันในแต่ละทำเล หรือเรื่องอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องหรือเป็นประโยชน์ต่อการซื้อ-ขายคอนโดมิเนียมในประเทศไทย   ดังนั้น ทำให้ในอนาคตเชื่อได้เลยว่าผู้ซื้อคนจีนจะกระจายไปทุกพื้นที่ ทุกทำเลของกรุงเทพมหานคร และพื้นที่ในจังหวัดท่องเที่ยว ไม่ใช่เพียงพัทยา ภูเก็ต เชียงใหม่ สมุย หัวหิน กระบี่ เท่านั้น คาดการณ์ทำเลใหม่ในอนาคตอาจจะไปถึงหัวเมืองรองของแต่ละภูมิภาคก็เป็นไปได้                                                                                                                                                                                                   “การขยายตัวของกลุ่มผู้ซื้อชาวจีนในอนาคตอาจจะมีปัจจัยอื่นๆ เข้ามาเป็นตัวแปร เช่น สงครามการค้ากับสหรัฐอเมริกา ที่อาจจะมีผลต่อภาวะเศรษฐกิจประเทศจีน การลดลงของค่าเงินหยวน มาตรการการควบคุมของรัฐบาลจีน และความเข้มงวดของรัฐบาลไทย เป็นต้น แต่สุดท้ายแล้วคนจีนจะยังคงสนใจมาเที่ยวประเทศไทยและซื้ออสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าปัจจุบันนี้อาจจะมีปัญหาติดขัดบ้างจากทั้งฝั่งไทยเองและฝั่งประเทศจีน”นายสุรเชษฐ กล่าวในที่สุด      
ตลาดคอนโดมิเนียมมือสองในกรุงเทพฯ โตต่อเนื่อง

ตลาดคอนโดมิเนียมมือสองในกรุงเทพฯ โตต่อเนื่อง

เนื่องจากราคาคอนโดมิเนียมใหม่ๆ ในย่านใจกลางกรุงเทพมหานครยังคงปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผู้ซื้อจำนวนมากจึงหันมาให้ความสนใจคอนโดมิเนียมมือสองแทนการซื้อคอนโดมิเนียมในโครงการใหม่   ซีบีอาร์อี ที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำ เห็นถึงความต้องการนี้ที่เพิ่มมากขึ้นในตลาดคอนโดมิเนียมมือสองตั้งแต่ช่วงไตรมาสที่ 4 ปี 2561 เพราะราคาคอนโดมิเนียมมือสองมักจะถูกกว่าคอนโดมิเนียมในโครงการที่เปิดตัวใหม่ และผู้ซื้อจะได้ห้องที่มีขนาดใหญ่กว่าในราคาที่เอื้อมถึง   ทั้งนี้ คอนโดมิเนียมมือสองมีด้วยกันสองประเภท ได้แก่ คอนโดมิเนียมที่ยังอยู่ในระหว่างการก่อสร้างซึ่งนักลงทุนต้องการขายต่อหรือรีเซลส์ก่อนที่จะมีการโอนกรรมสิทธิ์เมื่อโครงการแล้วเสร็จ และคอนโดมิเนียมที่แล้วเสร็จและพร้อมเข้าอยู่ซึ่งผู้ซื้อได้รับการโอนกรรมสิทธิ์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว   จากการสำรวจโดยแผนกวิจัย ซีบีอาร์อี พบว่า ณ ไตรมาสที่ 3 ปี 2561 มีคอนโดมิเนียมที่การก่อสร้างแล้วเสร็จในย่านใจกรุงเทพฯ จำนวนทั้งสิ้น 145,350 ยูนิต มีราคาอยู่ระหว่าง 55,000 – 350,000 บาทต่อตารางเมตรขึ้นอยู่กับระดับ อายุของอาคาร และการบำรุงรักษาอาคาร  โดยคอนโดมิเนียมระดับลักซ์ชัวรี่ที่เปิดตัวใหม่ในย่านใจกลางกรุงเทพฯ ปัจจุบันมีราคาขายตั้งแต่ 300,000 ถึง 600,000 บาทต่อตารางเมตร ซึ่งโดยทั่วไปจะมีขนาดห้องเล็กกว่าคอนโดมิเนียมในโครงการเก่าที่การก่อสร้างแล้วเสร็จ   นางสาวพรพิมล พึ่งเขื่อนขันธ์ ผู้อำนวยการ แผนกซื้อขายที่พักอาศัยรายย่อย ซีบีอาร์อี ประเทศไทย ให้ความเห็นว่า ตลาดคอนโดมิเนียมที่ขายต่อก่อนการก่อสร้างแล้วเสร็จเป็นตลาดที่มีความคึกคักมากในช่วงแรกหลังจากการเปิดตัวโครงการหากโครงการนั้นสามารถขายได้หมดทุกยูนิต   ส่วนในระหว่างการก่อสร้าง การขายต่อห้องชุดที่ยังไม่แล้วเสร็จมีแนวโน้มที่จะลดลงและจะกลับมาคึกคักอีกครั้งเมื่อการก่อสร้างโครงการใกล้เสร็จสมบูรณ์   สำหรับการชำระเงินต่อก่อนการก่อสร้างแล้วเสร็จนั้น ผู้ซื้อชำระเงินให้แก่ผู้ขายตามจำนวนเงินที่ได้ชำระไปแล้วให้กับผู้พัฒนาโครงการพร้อมกับกำไรของผู้ขาย จากนั้นสัญญาจะซื้อจะขายฉบับเดิมจะถูกเปลี่ยนเป็นชื่อผู้ซื้อรายใหม่ ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบชำระเงินที่เหลือทั้งหมดให้แก่ผู้พัฒนาโครงการ   สำหรับโครงการคอนโดมิเนียมระดับไฮเอนด์ที่อยู่ในย่านใจกลางธุรกิจหรือซีบีดีนั้น ส่วนใหญ่ผู้พัฒนาโครงการจะกำหนดเงื่อนไขการชำระเงินดังนี้ ชำระเงิน 10%เมื่อลงนามในสัญญาจะซื้อจะขาย  ชำระเงิน 10-20% ในช่วงระยะเวลาการก่อสร้าง และชำระเงินที่เหลือทั้งหมดในวันโอนกรรมสิทธิ์เมื่อเสร็จสิ้นการก่อสร้าง  จำนวนเงินที่ผู้ซื้อใหม่ยังคงต้องจ่ายให้กับผู้พัฒนาโครงการขึ้นอยู่กับจำนวนเงินดาวน์รายเดือนที่ยังเหลืออยู่ก่อนที่การโอนกรรมสิทธิ์   สิ่งสำคัญที่จะต้องทราบก็คือ ผู้พัฒนาโครงการจะต้องลงนามในข้อตกลงการโอนสิทธิ์ เช่นเดียวกับผู้ขายและผู้ซื้อเพื่อให้การโอนสิทธิ์ในสัญญาจะซื้อจะขายนั้นถูกต้องโดยสมบูรณ์ สิ่งสำคัญที่ผู้ซื้อควรพิจารณา คือ ชื่อเสียงของผู้พัฒนาโครงการ และประวัติการทำงานที่ผ่านมาว่าสามารถส่งมอบโครงการได้ตามคุณภาพที่ระบุไว้ในเอกสารประกอบการขายหรือไม่   ส่วนโครงการที่การก่อสร้างแล้วเสร็จนั้น  ขั้นตอนการขายคือการทำสัญญาจะซื้อจะขายตามมาตรฐาน ซึ่งโดยปกติแล้ว จะต้องวางเงินมัดจำเท่ากับร้อยละสิบของราคาขาย และโอนกรรมสิทธิ์ ณ กรมที่ดินภายใน 30 – 60 วันหลังจากลงนามในสัญญาจะซื้อจะขาย  โดยยอดคงเหลือทั้งหมดจะต้องชำระให้กับผู้ขาย ณ กรมที่ดินในวันโอนกรรมสิทธิ์   ข้อควรพิจารณาที่สำคัญสำหรับผู้ซื้อคอนโดมิเนียมในอาคารเก่าคือ คุณภาพของการก่อสร้างและการบำรุงรักษาอาคารดีเพียงใด รวมทั้งสถานะการเงินในปัจจุบันของนิติบุคคลอาคารชุดซึ่งแต่งตั้งโดยเจ้าของร่วมทั้งหมด มีหน้าที่บริหารจัดการพื้นที่ส่วนกลางของอาคารและการบำรุงรักษาอาคาร   นับตั้งแต่ที่มีการออกพระราชบัญญัติอาคารชุดในปี 2522 ผู้ซื้อชาวไทยส่วนใหญ่นิยมโครงการใหม่ ไม่ว่าจะเป็นการซื้อคอนโดมิเนียมที่การก่อสรางยังไม่แล้วเสร็จจากผู้พัฒนาโครงการ หรือการซื้อห้องชุดจากนักลงทุนก่อนที่อาคารจะสร้างเสร็จสมบูรณ์  มากกว่าซื้อโครงการมือสองที่แล้วเสร็จ   “ความแตกต่างในด้านราคาของคอนโดมิเนียมที่เปิดตัวใหม่และคอนโดมิเนียมที่เก่ากว่าและแล้วเสร็จเริ่มมีมากขึ้นจนทำให้ผู้ซื้อที่ต้องการเข้าพักอาศัยเองมองหาคอนโดมิเนียมในอาคารที่มีอยู่ในปัจจุบัน เพราะคอนโดมิเนียมรุ่นใหม่ๆ มีราคาสูงเกินกว่างบประมาณที่ผู้ซื้อชาวไทยส่วนใหญ่มี   ผู้ซื้อค่อยๆ ลดอคติที่มีต่อคอนโดมิเนียมที่มีผู้อื่นเป็นเจ้าของมาก่อนเพื่อแลกกับการได้ห้องที่มีขนาดใหญ่ขึ้นภายใต้งบประมาณเดิมที่มีอยู่” นางสาวพรพิมลกล่าวเพิ่มเติม   ในด้านคุณภาพโครงการนั้นมีด้วยกันหลากหลายระดับ บางโครงการมีคุณภาพดีเหมือนโครงการใหม่ ในขณะที่บางโครงการสร้างขึ้นอย่างไม่มีคุณภาพและ/หรือไม่มีการบริหารอาคารที่ดี  ผู้ซื้อที่เลือกโครงการที่มีอยู่ในปัจจุบันควรทำการตรวจสอบในด้านคุณภาพการก่อสร้าง สภาพการบำรุงรักษาอาคาร รวมถึงทำความเข้าใจสถานะทางการเงินของสำนักงานนิติบุคคลของอาคาร เพื่อให้ทราบว่าอาคารจะได้รับการบำรุงรักษาที่ดีและมีมูลค่าเพิ่มขึ้นในอนาคตหรือไม่          
“อัสทราลพูล” ประกาศขึ้นแท่นเบอร์หนึ่งตลาดสระว่ายน้ำ

“อัสทราลพูล” ประกาศขึ้นแท่นเบอร์หนึ่งตลาดสระว่ายน้ำ

บริษัท อัสทราลพูล ประเทศไทย หนึ่งในเครือบริษัทฟลุยดรา ผู้นำทาง ด้านนวัตกรรมอุปกรณ์สระว่ายน้ำระดับโลกจากประเทศสเปน ประกาศขึ้นแท่นผู้นำในอุตสาหกรรมสระว่ายน้ำ หลังจากควบรวมกิจการกับโซดิแอค ทำให้มีไลน์สินค้าและนวัตกรรมเพิ่มขึ้นในทุกประเภทรวม 75,000 รายการ มีวิศวกรและผู้เชียวชาญกว่า 5,500 คนที่มีประสบการณ์มายาวนานกว่า 49 ปี มีสำนักงานทั่วโลกรวมกันกว่า 46 ประเทศทั่วโลก สำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่บาร์เซโลน่า   มูลค่าตลาดของธุรกิจสระว่ายน้ำทั่วโลกอยู่ที่ประมาณ 7.1 พันล้านยูโร (2.8 แสนล้านบาทไทย) โดยภูมิภาคอเมริกาเหนือและยุโรปรวมกันมีสัดส่วนสูงถึง 79% และบริษัทฟลุยดรามีส่วนแบ่งทางการตลาด 18% หากแบ่งตามประเภทของสระว่ายน้ำทั่วโลก สัดส่วนของสระว่ายน้ำตามบ้าน (residential pool) จะอยู่ที่ 76% ในขณะที่สระว่ายน้ำเชิงพาณิชย์จะอยู่ที่ 24% แต่สำหรับแถบเอเชียจะตรงกันข้าม สระว่ายน้ำเชิงพาณิชย์จะมีสัดส่วนที่สูงกว่า ในขณะที่ประเทศไทยสัดส่วนจะประมาณครึ่งต่อครึ่งระหว่างสระส่วนตัวกับสระเชิงพาณิชย์   สำหรับการคาดการณ์การเติบโตของตลาดนี้ทั่วโลกโดยเฉลี่ย (ระหว่างปี 2014-2017) อยู่ที่ 4-6% แต่ตลาดในเอเชียจะเติบโตเป็นเลขสองหลัก เนื่องจากตลาดนี้การเติบโตจะขึ้นอยู่กับสภาพภูมิอากาศและการเป็นเมืองท่องเที่ยว โดยแบ่งเป็น - การสร้างสระใหม่ 1-1.5% - การซ่อมสระเก่า 1.5-2% - สระที่มีฟีจเจอร์และนวัตกรรมใหม่ๆ 1.5-2.5%     บริษัทฟลุยดรามีวิศวกร R&D มากกว่า 200 คน มีนวัตกรรมสิทธิบัตรมากกว่า 1,100 สิทธิบัตร รายการสินค้าทั้งหมดมากกว่า 75,000 รายการ ครอบคลุมทุกองค์ประกอบของสระว่ายน้ำ และมีนโยบายการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ รวมทั้งการคิดค้นนวัตกรรมที่ลดการใช้พลังงานเพื่อความยั่งยืน หรือ Green Energy   ลูกค้าในประเทศไทย อาทิ โรงแรม Angsana Lagula ภูเก็ต สวนน้ำ Cartoon Network พัทยา (ระบบหมุนเวียนน้ำ) Virgin Active Fitness Center (เอ็มควอเทียร์) สวนน้ำ Santorini Park หัวหิน โรงแรม Banyan Tree ภูเก็ต Movenpick พัทยา โรงแรม Veeranda Resort หัวหิน ฯลฯ   สำหรับประเทศไทยมีดีลเลอร์ 2-3 รายในแต่ละภูมิภาค ซึ่งดีลเลอร์จะดูแลลูกค้าสำหรับบริการหลังการขายเช่นกัน ส่วนในปีหน้าการทำการตลาดจะเน้นไปในการสร้างแบรนด์ เช่น การจัดทำ Display Kiosk ให้กับดีลเลอร์   การออกงานแสดงสินค้าที่เกี่ยวข้องกับสถาปนิก การทำ Product Training การทำการตลาดโซเชียลมีเดีย (SEO, YouTuber, Tutorial VDO, Line, FB) กลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้แก่ โรงแรมและรีสอร์ท สปอร์ตเซ็นเตอร์และฟิตเนสเซ็นเตอร์ สระว่ายน้ำสำหรับการแข่งขัน กลุ่มบริษัทก่อสร้าง และผู้รับเหมาวางระบบไฟฟ้า ประปา เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีโปรเจกต์ เทิร์นคีย์ ได้แก่โรงแรม Imperial Boat House สมุย Virgin Active Whizdom 101 ฯลฯ โดยจะเน้นโปรเจกต์ขนาดใหญ่ ตั้งเป้าปีหน้าโตสองหลัก เพราะเชื่อมั่นในทีมงาน สินค้า และตลาดประเทศไทยมีการเติบโตของนักท่องเที่ยวและอสังหาริมทรัพย์            
LPN GROUP ทำรายได้รวมเติบโตสูง 20% หลังรีโมเดลธุรกิจ 2 ปี

LPN GROUP ทำรายได้รวมเติบโตสูง 20% หลังรีโมเดลธุรกิจ 2 ปี

LPN GROUP ทำรายได้รวมเติบโตสูง 20% หลังรีโมเดลธุรกิจ 2 ปี ปี 62 เน้นกระจายขารายได้ ฝ่าปัจจัยลบ เติบโตยั่งยืน   ผลดำเนินงานปี  61  L.P.N. DEVELOPMENT GROUP  เติบโต 20% หลังเริ่มมองเห็นภาวะถดถอยภาคอสังหาฯ  ตั้งแต่ 2 ปีก่อน และเตรียมรับมือปรับโครงสร้างธุรกิจครบวงจร  ปี 62 พร้อมฝ่าปัจจัยลบด้วยแผนรองรับที่เข้มแข็ง  มั่นใจทิศทางการดำเนินงานที่รอบคอบ ผลการจัดอันดับจาก TRIS Rating ที่ระดับ A- (Stable) และแบรนด์ที่ได้รับความเชื่อมั่นยาวนานกว่า 30 ปี จะสร้างการเติบโตในปี 62 รวม 10%   นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการบริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (LPN)  เปิดเผยว่า จากสภาวะถดถอยของตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน เป็นสิ่งที่ LPN ได้คาดการณ์ไว้ล่วงหน้าตั้งแต่เมื่อ 2 ปีที่แล้ว บริษัทจึงมีการปรับโมเดลและวางแผนธุรกิจภายใต้แนวทางYear of Shift และ Year of Change ในปี 60-61  เพื่อรองรับสถานการณ์และสร้างรายได้ให้เกิดขึ้นทั้งจากการทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์, Recurring Income และธุรกิจบริการ ส่งผลให้ L.P.N. DEVELOPMENT GROUP เป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์รายเดียวที่เน้นการทำธุรกิจอย่างครบวงจร โดยมีการเติบโตของรายได้ 20% จากกลยุทธ์ในด้านต่างๆ ได้แก่   1. การขยายกลุ่มเป้าหมายไปยังระดับบน ทั้งคอนโดมิเนียมและบ้านพักอาศัย โดยได้พัฒนาบ้านพรีเมียมเป็นครั้งแรกภายใต้แบรนด์ “BAAN 365” กับคอนเซ็ปต์ “Livable Simple Luxury” ซึ่งสามารถสร้างยอดขายในช่วง Presale ได้มากกว่า 50% จนได้รับการกล่าวขานเป็น Talk of the Town ในวงการอสังหาริมทรัพย์ นอกจากนี้ ยังได้พัฒนาคอนโดมิเนียมระดับบน และขยายเซ็กเมนท์ไปยังกลุ่ม Gen Y ที่มีไลฟ์สไตล์เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง ภายใต้ซับแบรนด์ “Lumpini Selected” ซึ่งได้ส่งมอบโครงการแรกที่เกษตร-งามวงศ์วานแล้วในปีที่ผ่านมา และต่อยอดไปยังย่านสุทธิสาร-สะพานควายที่ได้รับการออกแบบให้เหมาะกับการใช้ชีวิตของผู้หญิงรุ่นใหม่   2. การขยายธุรกิจไปยัง “Office Condo” พร้อมบริการวางระบบ Office Smart ที่เอื้อประโยชน์ต่อการทำธุรกิจ นำร่องด้วย อาคาร “ลุมพินี ทาวเวอร์ วิภาวดี” อาคาร A ที่ได้รับการตอบรับอย่างดีจากผู้สนใจหลายรายที่ต้องการซื้อยกตึก โดยในขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการเจรจา   3. การสร้างรายได้ประจำ (Recurring Income) จากการบริหารโครงการของบริษัท ลุมพินี พรอพเพอร์ตี้ มาเนจเมนท์ จำกัด และรายได้จากการปล่อยเช่า รวมถึงการนำห้องชุดในโครงการ “ลุมพินี ทาวน์ชิป รังสิต-คลอง 1” อาคาร Fมาปรับเปลี่ยนจากการขายมาเป็นการเช่า โดยได้ออกแบบพื้นที่ส่วนกลางและสิ่งอำนวยความสะดวกที่ทันสมัยให้เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ของผู้เช่า เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีเสมือนการพักอาศัยในคอนโดมิเนียม   ปี 2562 : ปีแห่งการฝ่าพายุ (Storm is coming) สำหรับปี 2562 นี้ ภาพของสภาวะถดถอยยิ่งปรากฏให้เห็นชัดเจนมากขึ้น LPN จึงได้เตรียมแผนรองรับปัจจัยลบต่างๆ ไว้เพื่อให้ธุรกิจสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืนโดยตั้งเป้าหมายไว้ที่ 10% ด้วยการเปิดตัวโครงการให้ครอบคลุมทั้งกลุ่ม Value และ Standard เพื่อกระจายความเสี่ยง ในขณะเดียวกันก็ระมัดระวังในการเลือกทำเลเปิดตัวโครงการใหม่ เพื่อให้มั่นใจว่าเป็นทำเลที่มีศักยภาพตามกลยุทธ์ขององค์กร เพื่อให้มั่นใจได้ถึงความสำเร็จของโครงการ  โดยข้อมูลที่ใช้ประกอบการตัดสินใจทั้งหมดสนับสนุนโดย  LPN Wisdom  หน่วยงานที่ทำหน้าที่วิจัยเพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลเชิงลึกในการพัฒนาโครงการและการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการอย่างต่อเนื่อง บริษัทยังมีสภาพคล่องอยู่ในระดับสูง เนื่องจากสินค้าพร้อมอยู่ทั้งหมดของ LPN มูลค่ากว่า 7,000 ล้านบาท เป็นสินค้าที่ไม่มีภาระทางด้านการเงิน นอกจากนั้น บริษัทได้รับการจัดอันดับจาก TRIS Rating ในระดับ A- (Stable) ที่แสดงถึงความมั่นคงและน่าเชื่อถือทางการเงินซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการระดมทุนหากบริษัทมีการออกหุ้นกู้ในอนาคต   ทิศทางการดำเนินงานของธุรกิจในเครือ L.P.N. DEVELOPMENT GROUP  - LPN Wisdom อีกหนึ่งธุรกิจในเครือที่เป็นตัวแทนด้านความเป็น “คนเก่ง” จัดตั้งขึ้นเพื่อพัฒนาสินค้าและบริการอย่างต่อเนื่อง รวมถึงวิเคราะห์วิจัยตลาดอสังหาริมทรัพย์ในทำเลที่เหมาะสมทั้งคอนโดมิเนียมและบ้านพักอาศัยตาม Segment ของ Product Brand “ลุมพินี” โดยได้สร้างศูนย์วิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ (Product Development Center) เพื่อเป็นที่ศึกษาและพัฒนาคุณค่าของสินค้าอย่างต่อเนื่อง โดยผ่านห้องทดลองพัฒนาและวิจัยแบบจำลอง หรือ Mock Up Center นอกจากนี้ LPN Wisdom ยังได้รับการยอมรับให้เป็นที่ปรึกษาด้านอาคารเขียวจากหน่วยงานราชการและเอกชนอย่างกว้างขวาง - LPN Project Management ถือเป็นหนึ่งในธุรกิจที่เป็นตัวแทนด้านความเป็น “คนเก่ง” ของ LPN โดยในปี 62 ซึ่งเป็นช่วงสภาวะถดถอยของภาคอสังหาริมทรัพย์นี้ LPN Project Management จะเน้นการพัฒนาและปรับปรุงประสิทธิภาพในการดำเนินงานเพื่อให้ต้นทุนการพัฒนาโครงการของ LPN ต่ำลง - LPP Property Management ถือเป็นฟันเฟืองหลักในธุรกิจบริการ โดยมีเป้าหมายการเติบโตอยู่ที่ 20% ซึ่งเป็นการเติบโตแบบก้าวกระโดดจาก 15% ในปีที่ผ่านมา โดยรายได้หลักของธุรกิจจะมาจาก 3 ขา คือ การบริหารชุมชนทั้งภายในและภายนอกโครงการของ LPN งานบริการด้านวิศวกรรม และธุรกิจนายหน้าหาผู้ซื้อและผู้เช่าห้องชุด นอกจากนั้น LPP ยังมีฐานลูกค้าอีกกว่า 150,000 รายที่สามารถนำไปต่อยอดเพื่อสร้างรายได้จากการบริการในอนาคต   4. LPC Service & Care ดำเนินธุรกิจบริการด้านต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอยู่อาศัยในโครงการ เช่น งานบริการความสะอาด งานบริการต้อนรับ เป็นต้น บริหารงานโดยบริษัท LPC Social Enterprise วิสาหกิจเพื่อสังคม 1 ใน 15 แรกในไทย ซึ่งเปรียบเสมือนตัวแทนด้านความเป็น “คนดี” ของ LPN ที่ต้องการแสดงความใส่ใจ ห่วงใย แบ่งปันต่อสตรีด้อยโอกาสที่ยังมีอยู่มากในประเทศ เพื่อสร้างรายได้ สร้างโอกาส สร้างศักดิ์ศรี และสร้างความสุขให้กับบุคคลเหล่านี้ และเป็น 1 ในการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม ช่วยลดปัญหาของสังคมอย่างยั่งยืน    นายโอภาสกล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากภาพรวมแนวทางของการดำเนินธุรกิจข้างต้นแล้ว ในปีนี้ บริษัทยังมีแนวทางในการจัดการ Zero Waste ในกระบวนการดำเนินธุรกิจขององค์กร ทั้ง Supply Chain เบื้องต้นนำร่องด้วยการเริ่มลดใช้ขวดและพลาสติกในสำนักงานขาย ซึ่งตั้งเป้าลดให้ได้มากกว่าปีละ 500,000 ชิ้น และจะดำเนินการต่อยอดไปในโครงการ “ลุมพินี” ที่บริษัทบริหารชุมชนอยู่ รวมถึงกิจกรรมบริจาคโลหิตที่ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องกว่า 30 ปี โดยในปี 62 นี้ ตั้งเป้าหมายรับบริจาคให้ได้ 1,300,000 C.C.          
SENA ท็อปฟอร์มขึ้นแท่นรองแชมป์ ปี 61 ทุบสถิติครั้งประวัติศาสตร์ในรอบ 3 ปี

SENA ท็อปฟอร์มขึ้นแท่นรองแชมป์ ปี 61 ทุบสถิติครั้งประวัติศาสตร์ในรอบ 3 ปี

SENA จุดพลุประกาศความสำเร็จ “Growth Hormone” ตามโรดแมปปี 61 โตพุ่งปรี๊ดครบทุกองศา ล่าสุดขึ้นแท่นรองแชมป์อันดับ 2 เปิดตัวคอนโดมิเนียมเยอะสุดทั้งในแง่แวร์ลูและควอลิตี้ทำลายสถิติครั้งประวัติศาสตร์ในรอบ 3 ปี   ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปี 2561 ที่ผ่านมามีความท้าทายต่างๆ เข้ามากดดันให้ผู้ประกอบการเปิดขายโครงการที่อยู่อาศัยใหม่อย่างระมัดระวังการแข่งขันในตลาดที่ยังคงเป็นไปอย่างรุนแรงและความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยยังมีจำกัด แต่ด้วยกลยุทธ์ของบริษัทสามารถจัดพอร์ตการลงทุนได้อย่างครอบคลุม ครบทุกเซกเมนท์ทำให้ในปีที่ผ่านมา เสนาสามารถทำลายสถิติหลายอย่างให้เป็นไปตามเป้าที่วางไว้   สำหรับปี 2561 ที่ผ่านมา ถือเป็นปีที่พีคที่สุดของเสนาในรอบ 3 ปี ทั้งในแง่การเปิดตัวโครงการใหม่ที่มีมูลค่าและจำนวนยูนิตที่สูงสุด ครองแชมป์อันดับ 2 ในธุรกิจเรียลเอสเตท (เครดิต:จากฝ่ายวิจัย คอลลิเออร์ส์ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย) โดยเฉพาะหากย้อนดูข้อมูลในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (ตั้งแต่ปี 2559 จนถึงปัจจุบัน ปี 2561) มีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 15–20   และมีการเปิดตัวโครงการและจำนวนยูนิตเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับปี 2559 เปิดคอนโดมิเนียม 5 โครงการ 1,654 ยูนิต รวมมูลค่า 2,560 ล้านบาท ปี 2560 เปิดคอนโดมิเนียม 7 โครงการ 4,111 ยูนิต คิดเป็นมูลค่ารวม 8,477 ล้านบาท และปี 2561 เปิดคอนโดมิเนียม 9 โครงการ 6,397 ยูนิต รวมมูลค่า 22,030 ล้านบาท ประกอบกับทางเสนาเองมีพันธมิตรธุรกิจที่แข็งแกร่ง “ฮันคิว ฮันชิน พร็อพเพอร์ตี้ส์ คอร์ปเปอร์เรชั่น” ร่วมลงทุนพัฒนาโครงการทั้งสิ้น ณ ปัจจุบัน 6 โครงการ ประกอบด้วย 1.นิช โมโน สุขุมวิท-แบริ่ง 2.นิช ไพร์ด เตาปูน-อินเตอร์เชนจ์ 3.นิช โมโน เจริญนคร 4.นิช โมโน เมกะ สเปช บางนา 5.นิช โมโน รามคำแหง และ6.ปีติ เอกมัย รวมมูลค่าทั้งสิ้น 20,846 ล้านบาท ซึ่งสร้างยอดขายเป็นที่น่าพอใจทุกโครงการ นอกจากนี้ทางเสนายังมีพาสเนอร์อย่างบริษัท แอคคิวท์ เรียลตี้ที่เข้ามาช่วยบริหารดูแลด้านการขายอย่างมืออาชีพให้กับหลายโครงการรวมถึงการทำตลาดในต่างประเทศด้วย   ทั้งนี้ทางเสนายังได้นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ เข้ามาใช้ทุกโครงการทั้งแนวราบและแนวสูง ซึ่งเป็นรายแรกของเมืองไทยที่เดินหน้าพัฒนาโครงการมุ่งเน้นการใช้พลังงานสะอาดแบบ100% โดยการนำร่องติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป (Solar Rooftop) ให้บ้านทุกหลัง และเครื่องชาร์จรถพลังงานไฟฟ้า EV ready รวมทั้งมีบริษัทในเครือเป็นผู้ติดตั้งและจัดจำหน่ายระบบพลังงานแสงอาทิตย์ชั้นนำของประเทศไทย รวมถึงได้ต่อยอดพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ใน Application SENA 360° Service ให้ครบ จบ ง่าย บริการหลังการขายแบบครบวงจรพร้อมดูแลลูกบ้านทุกที่ทุกเวลา   ด้วยหัวใจสำคัญแห่งความสำเร็จครั้งนี้ เสนาวางคอร์เปอเรทแคมเปญใหญ่ “MADE FROM HER” ใส่ใจทุกดีเทลชีวิตจากแนวคิดแบบผู้หญิงเพื่อสร้างจุดต่างและจุดขายให้กับโปรดักส์ในโครงการ ซึ่งความสำเร็จของเสนาในวันนี้เป็นผลพวงจากวิสัยทัศน์ผนวกกับประสบการณ์ที่สั่งสมมาอย่างยาวนานของผู้บริหารระดับสูง และการพัฒนาตัวเองอย่างไม่หยุดยั้งสู่การพัฒนาที่อยู่อาศัยอย่างยั่งยืน            
ชินวะ เรียลเอสเตท เปิดแผนลงทุน ปี 62

ชินวะ เรียลเอสเตท เปิดแผนลงทุน ปี 62

ชินวะ เรียลเอสเตท เปิดแผนลงทุน ปี 62 มูลค่า 3,000 ล้านบาท เล็งปั้นโลว์ไรซ์ชิมลางก่อนกระจายโหนดทั่วกรุง-เตรียมแผนเร่งโอนรับรู้รายได้ไตรมาสสาม   “ชินวะ กรุ๊ป” เจ้าของนวัตกรรมรูเนะสุ เปิดแผนลงทุนในไทยปี 62 มูลค่า 3,000 ล้านบาท เน้นย้ำการปักหลักมั่นคงเพื่อก้าวย่างเติบโตแข็งแรง สานต่อ”คอนโดที่อยู่อาศัยคุณภาพด้วยจิตวิญญาณญี่ปุ่นแท้ๆ” เตรียมปั้นคอนโดโลว์ไรซ์ไพลอท โปรเจ็กซ์เส้นทางรถไฟฟ้าสายสีเหลืองก่อนกระจายทั่วกทม. พร้อมดันทริเปิ้ล เอส เซอร์วิส เร่งโอนโครงการรูเนะสุ ทองหล่อที่จะเริ่มโอนไตรมาสสาม มร.โทโมยาสุ ยามาเบะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชินวะ เรียลเอสเตท (ไทยแลนด์) จำกัด ในเครือ ชินวะ กรุ๊ป กลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ที่สำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่โอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น เปิดเผยว่า ภายหลังการเข้ามาลงทุนในไทยประมาณสองปีด้วยการนำนวัตกรรม“รูเนะสุ” โดยใช้ซิกม่า บีม-ลิขสิทธิ์หนึ่งเดียวในโลกเพื่อกลับคานเป็นพื้น-กลับพื้นเป็นคาน เพื่อใช้ประโยชน์ในการบริหารจัดการ Death Space ทำให้ผู้อยู่อาศัยมีพื้นที่ใช้สอยเพิ่มขึ้นถึง 25-40 % นโยบายการลงทุนในในปีนี้ยังคงเน้นการปูทางวางรากฐานให้หนักแน่นมั่นคง เพื่อก้าวย่างที่เติบโตอย่างมั่นคงแข็งแรงในอนาคต โดยชูเอกลักษณ์จุดแข็งเทคนิคการก่อสร้างที่ทันสมัยของบริษัทแม่ เพื่อคงความเป็นคอนโดคุณภาพจิตวิญญาณญี่ปุ่นแท้ๆ ดังเจตนารมณ์ของชินวะ เนื่องจากมีบริษัทรับเหมาที่เป็นเจ้าของนวัตกรรมก่อสร้างอยู่ในกลุ่มธุรกิจ โดยปีนี้จะมีการเปิดคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ออกสู่ตลาดเป็นไพลอท โปรเจ็กซ์ รวมมูลค่าโครงการลงทุนปีนี้ประมาณ 3,000 ล้านบาท   “ประเทศไทยยังมีความน่าสนใจในการลงทุนของกลุ่มชินวะ กรุ๊ป ด้วยความพร้อมในหลายด้าน ทั้งตัวเลข "GDP" หรือผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ ค่าดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจโดยรวมที่มีอัตราสูงสุดในรอบหลายปี รวมถึงนโยบายส่งเสริมการลงทุนในด้านต่างๆของภาครัฐ จะเห็นว่าช่วงนี้รัฐบาลผลักดันโครงการรถไฟฟ้าสายต่างๆอย่างต่อเนื่องและเป็นไปอย่างรวดเร็ว ส่งผลเป็นลูกโซ่ต่อภาคลงทุนต่างๆ โดยเฉพาะสำหรับการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ต่อยอดให้มีการสร้างโครงการคอนโดมิเนียมเกิดขึ้นมากมาย ซึ่งเป็นผลดีต่อกลุ่มลูกค้าให้มีทางเลือกที่ดีและตรงใจมากขึ้น ชินวะเป็นกลุ่มทุนที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานเกือบ 130 ปี การเข้ามาลงทุนในไทยนับเป็นก้าวแรกที่รุกตลาดต่างประเทศ จึงเน้นการปูรากฐานให้หนักแน่นแข็งแรง เพื่อก้าวย่างเติบโตอย่างช้าๆแต่มั่นคงแข็งแรง” มร.ยามาเบะกล่าว   นายวิชัย จุฬาโอฬารกุล กรรมการบริหาร บริษัท ชินวะ เรียลเอสเตท (ไทยแลนด์) จำกัด กล่าวว่า นโยบายของชินวะ ยังให้น้ำหนักกับทำเลสุขุมวิทตอนกลาง เพื่อตอบสนองโจทย์ลูกค้าชาวญี่ปุ่น ซึ่งเป็นทำเลและกลุ่มเป้าหมายที่บริษัทมีความถนัดสอดรับกับข้อมูลการวิจัยต่างๆ โดยทำเลดังกล่าวยังมีความต้องการและเป็นทำเลที่มีอัตราการปรับราคาเพิ่มขึ้น แผนการลงทุน ประกอบด้วย โครงการเร็น สุขุมวิท 39 (REN Sukhumvit 39) นอกจากนั้นในปีนี้บริษัทจะมีการทดลองตลาด โดยขึ้นโครงการคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ในทำเลเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีเหลือง บริเวณถนนศรีนครินทร์ บนที่ดินเกือบ 1 ไร่ สูง 7-8 ชั้น จำนวนไม่เกิน 100 ยูนิต ขนาดพื้นที่รวม 4,000 ตารางเมตร มูลค่าโครงการประมาณ 200 ล้านบาท คาดว่าจะเริ่มขายประมาณไตรมาสสาม แม้เป็นโลว์ไรส์แต่ยังคงกิมมิกที่มีเสน่ห์เป็นเอกลักษณ์ของชินวะ ซึ่งภายหลังจะมีโครงการในลักษณะเดียวกันนี้กระจายในทำเลชุมชนทั่วไป เนื่องจากเป็นโครงการขนาดเล็กสามารถดำเนินการและปิดการขายได้เร็ว สำหรับปีนี้จะมีการรับรู้รายได้จากการโอนโครงการรูเนะสุ ทองหล่อ 5 ที่จะเริ่มทะยอยโอนกรรมสิทธิ์ในไตรมาสสาม ซึ่งบริษัทเตรียม       กลยุทธ์เร่งโอนด้วยทริเปิ้ล เอส เซอร์วิส (Triple S Service หรือ SSS Service ) ระบบการบริหารงานหลังงานขายที่ใช้ประสานนักลงทุนไทย-ต่างชาติ สำหรับผู้เช่าชาวญี่ปุ่นแบบ Life Time FREE ลดขั้นตอนช่วยเอเย่นต์และนักลงทุน เป็นบริการตลอดชีพไม่มีวันหมดอายุที่พร้อมดูแลเฉพาะลูกค้าชินวะเท่านั้น   โครงการของ ชินวะ กรุ๊ป ในประเทศไทย v รูเนะสุ ทองหล่อ 5 (Runesu Thonglor 5) ดำเนินงานโดย บริษัท ดับเบิ้ลยู-ชินวะ จำกัด ร่วมทุนกับ บริษัท วรลักษณ์ พร๊อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) โครงการตั้งอยู่บนที่ดินประมาณ 1 ไร่ ดำเนินงานโดย เป็นอาคารโลว์ไรส์ 8 ชั้น 1 อาคาร จำนวน 156 ยูนิต มี 2 type คือ 1-2 ห้องนอน ขนาดตั้งแต่ 29-65 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้น 4.9 ล้านบาท ออกแบบโครงการและฟังก์ชั่นการใช้งานเพื่อให้มีบรรยากาศกลิ่นอายการอยู่อาศัยแบบญี่ปุ่นแท้ๆ การใช้วัสดุก่อสร้าง-ตกแต่งบางส่วนนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่น อาทิ ห้องน้ำระบบใหม่ที่พื้นสามารถแห้งได้อย่างรวดเร็วภายใน 1 นาที, การใช้กระเบื้องนาโนคุณสมบัติพิเศษในการดูดซับกลิ่นความชื้นป้องกันไรฝุ่น เป็นต้น พื้นที่ส่วนกลางและสิ่งอำนวยความสะดวกครบสมบูรณ์ สวนญี่ปุ่น สระว่ายน้ำ ออนเซนต้นตำรับแท้จากญี่ปุ่น สนามไดรฟ์กอล์ฟ Auto Parking ระบบรักษาความปลอดภัย ฯลฯ คาดว่าจะเริ่มโอนกรรมสิทธิ์ราวไตรมาสสาม ปี 62 มูลค่าโครงการกว่า 1,200 ล้านบาท มีการติดตั้งระบบรูเนะสุ ซึ่งเป็นการกลับคานเป็นพื้น-กลับพื้นเป็นคาน ใช้พื้นที่ความต่างด้านล่างที่มีความสูง 60 เซนติเมตร เพื่อใช้ประโยชน์ในการเก็บของ ปรับเปลี่ยนฟังก์ชั่น การบริหารจัดการ Death Space และสามารถทำให้ผู้อยู่อาศัยมีพื้นที่ใช้สอยเพิ่มขึ้นถึง 25-40 %   v เร็น สุขุมวิท 39 (REN Sukhumvit 39) ดำเนินงานโดย บริษัท  เอส 39 จำกัด ภายใต้“ดีลแห่งชาติ” 3 ฝ่าย ผนึกกำลังจอยท์เวนเจอร์ ระหว่าง บริษัท พรีบิลท์ จำกัด (มหาชน)  บริษัท ชินวะ เรียลเอสเตท (ไทยแลนด์) จำกัด และ - Pressance Corporation จากญี่ปุ่น สัดส่วน 49:26:25 ดำเนินการโครงการคอนโดมิเนียมหรู บนที่ดินขนาด 2 ไร่ 2 งาน 88 ตารางวา ราคาเริ่มต้นประมาณ.....บาท ที่ตั้งโครงการบนถนนสุขุมวิท ซอย 39 (ซอยพร้อมมิตร) เป็นอาคารสูง 7 ชั้น 2 อาคาร จำนวนรวม 298 ยูนิต มูลค่าโครงการประมาณ 2,600 ล้านบาท  และจะเป็นครั้งแรกในไทยของการก่อสร้างห้องชุดด้วยนวัตกรรม“รูเนะสุ”ทุกห้องทั้งโครงการ มี 2 type คือ 1 และ 2 ห้องนอน ขนาดพื้นที่ใช้ประโยชน์ตั้งแต่ 30(+12) – 66(+18) ตร.ม. พร้อมฟังค์ชั่นแบบจัดเต็มทุกพื้นที่ และราคาที่คุ้มค่าทุกการอยู่อาศัยและการลงทุน เตรียมเปิดตัวอย่างเป็นทางการในปีนี้   เกี่ยวกับ บริษัท ชินวะ เรียลเอสเตท (ไทยแลนด์) จำกัด เป็นบริษัทในเครือของ ชินวะกรุ๊ป-กลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ สำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่เมืองโอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น ก่อตั้งมาเกือบ 130 ปี ประกอบธุรกิจด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในหลายรูปแบบ เข้ามาทำตลาดในไทยอย่างจริงจังตั้งแต่ปี 2016 ด้วยการร่วมทุนกับกลุ่มอสังหาฯในไทย ก่อสร้างโครงการแรก คือ  “รูเนะสุ ทองหล่อ 5” คอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ 8 ชั้น จำนวน 156 ยูนิต มูลค่าประมาณ 1,200 ล้านบาท ออกแบบโครงการและฟังก์ชั่นการใช้งานด้วยบรรยากาศการอยู่อาศัยแบบญี่ปุ่นแท้จริง คาดว่าจะแล้วเสร็จราวไตรมาส 3 ปี 2562 สำหรับโครงการ REN Sukhumvit 39 เป็นโครงการที่สองของการร่วมลงทุนในไทย   เกี่ยวกับ บริษัท พรีบิลท์ จำกัด (มหาชน) บริษัทรับเหมาก่อสร้างมีชื่อจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มีประสบการณ์และมีความชำนาญงานก่อสร้างคอนโดมิเนียมและอาคารต่างๆ ในไทยมากมาย นอกจากดำเนินงานด้านรับเหมาก่อสร้าง ยังมีนโยบายเปิดกว้างขยายการลงทุนทั้งในรูปของการพัฒนาโครงการเอง และเปิดกว้างร่วมลงทุนกับกลุ่มทุนต่างๆ   เกี่ยวกับ Pressance Corporation บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่ที่มีจำนวนยูนิตสร้างขายเป็นที่ 1 ของคันไซ และเป็นที่ 2 ของประเทศญี่ปุ่น 21 ปี เป็นพันธมิตรที่ดีกับชินวะ กรุ๊ป มาอย่างต่อเนื่องยาวนาน        
เดอะคิวบ์ พลัส พหลโยธิน 56 นำห้องสวยใกล้รถไฟฟ้าสีเขียวจัดบูทจองเพียง 999 บาท*

เดอะคิวบ์ พลัส พหลโยธิน 56 นำห้องสวยใกล้รถไฟฟ้าสีเขียวจัดบูทจองเพียง 999 บาท*

เดอะ คิวบ์ พลัส พหลโยธิน 56 (The Cube Plus Phahonyothin 56) คอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ (Low Rise) สูง 7 ชั้น 1 อาคาร มีความเป็นส่วนตัวสูงจำนวนห้องไม่แออัด ใกล้รถไฟฟ้าสายสีเขียว (สถานี กม.25 ในอนาคต) โดดเด่นที่เพดานห้องสูงถึง 2.70 เมตร นำคอนโดห้องสวยขนาดตั้งแต่ 25 - 34 ตร.ม. จัดบูทพร้อมโปรโมชั่นพิเศษ ‘จองเพียง 999 บาท/ยูนิต*’ ราคาเริ่มต้น 1.39 ล้านบาท พร้อมตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์สวยคุณภาพสูงจาก Modernform ครบทุกฟังก์ชั่น (Fully Furnished) ตั้งแต่วันนี้ – 15 กรกฎาคม 2561 ใกล้ร้าน McDonald's ชั้น 1 เทสโกโลตัส บางเขน เพื่อเปิดจองและให้คำปรึกษาเพื่อวางแผนซื้อคอนโดมิเนียม   สำหรับผู้ที่ต้องการที่พักอาศัยและลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในอนาคต โครงการมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย อาทิ โคเวิร์กกิ้งสเปซ (Co working space) ระบบอินเตอร์เน็ตไร้สาย (Wi-Fi Internet) บริเวณโถงล็อบบี้และพื้นที่ส่วนกลาง สระว่ายน้ำระบบเกลือ ห้องฟิตเนส ห้องซาวน่า (แยกชาย/หญิง) สวนหย่อม กล้องวงจรปิด CCTV รอบโครงการ คีย์การ์ด (Key Card) เข้าออกอาคาร และลิฟท์แบบล็อคชั้น ระบบรักษาความปลอดภัย 24 ชม. เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุดของผู้อยู่อาศัย มีความปลอดภัยสูงและให้ความสะดวกสบายในการใช้ชีวิตทั้งครอบครัว ใกล้รถไฟฟ้าสายสีเขียวเหนือช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต สังคมโดยรอบโครงการหน้าอยู่ สะอาด ปลอดภัยทั้งกลางวันและกลางคืน ทำเลมีศักยภาพสูงใกล้หน่วยงานราชการคือ กองทัพอากาศ สถาบันการศึกษาทุกระดับ สนามบินดอนเมือง โรงพยาบาล ศูนย์การค้า และแหล่งงาน สะดวกทุกการเดินทาง ติดตามความเคลื่อนไหวอื่น ๆ ของโครงการได้ทาง www.facebook.com/TheCubeCondominium เว็บไซต์ www.thecube-condo.com หรือสอบถามเพิ่มเติมโทร. 1246 กด เดอะคิวบ์ พลัส พหลโยธิน 56 (*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด)