Tag : บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน)

23 ผลลัพธ์
แสนสิริ ผนึกพลัส พร็อพเพอร์ตี้ เปิดตัว “Smart Command Centre” ศูนย์เฝ้าระวังอัจฉริยะจากส่วนกลาง แจ้งเตือนเหตุฉุกเฉิน 24/7 แห่งแรกของวงการอสังหาฯ ไทยเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดในการบริการ

แสนสิริ ผนึกพลัส พร็อพเพอร์ตี้ เปิดตัว “Smart Command Centre” ศูนย์เฝ้าระวังอัจฉริยะจากส่วนกลาง แจ้งเตือนเหตุฉุกเฉิน 24/7 แห่งแรกของวงการอสังหาฯ ไทยเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดในการบริการ

แสนสิริ ผนึกพลัส พร็อพเพอร์ตี้ เปิดตัว “Smart Command Centre” ศูนย์เฝ้าระวังอัจฉริยะจากส่วนกลาง แจ้งเตือนเหตุฉุกเฉิน 24/7 แห่งแรกของวงการอสังหาฯ ไทย เพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดในการบริการ ยกระดับความปลอดภัยและระบบวิศวกรรมอาคารจากศูนย์ควบคุมส่วนกลางตลอด 24 ชม. ต่อยอดเทคโนโลยี IoT ที่เชื่อมต่อข้อมูลเรียลไทม์จาก 4 โครงการนำร่อง   แสนสิริ จับมือพลัส พร็อพเพอร์ตี้ บริษัทในเครือ ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดตัว “Smart Command Centre” ศูนย์ควบคุมสังเกตการณ์จากส่วนกลางเต็มรูปแบบแห่งแรกของวงการอสังหาริมทรัพย์ไทย ณ อาคารสิริภิญโญ ภายใต้การลงทุนรวมกว่า  20 ล้านบาท เพื่อบริหารจัดการความปลอดภัยในพื้นที่ส่วนกลาง (Security Monitoring) และระบบวิศวกรรมอาคารส่วนกลาง (IoT Facility Management) ของโครงการที่พักอาศัย มายังศูนย์ควบคุมส่วนกลาง พร้อมผู้เชี่ยวชาญคอยเฝ้าระวัง สั่งการ และประสานงานตลอด 24 ชั่วโมงเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดในการบริการ ทั้งด้านการดูแลความปลอดภัย และระบบภายในอาคารให้ทุกระบบทำงานรวดเร็ว แม่นยำ จัดการปัญหาได้ตรงจุด พร้อมเสริมขีดความสามารถในการบริหารโครงการแบบป้องกันก่อนเกิดเหตุ (Preventive Maintenance) นำร่อง 4 โครงการส่งท้ายปี 61 เป็นของขวัญปีใหม่ให้ลูกบ้านแสนสิริ เผยแผนเตรียมเชื่อมต่อ Smart Command Centre เข้ากับ 11 โครงการแนวราบและกลุ่มโครงการคอนโดมิเนียม ภายใต้การบริหารโดยพลัส พร็อพเพอร์ตี้ที่จะแล้วเสร็จใหม่ ในปี 2562 ดร. ทวิชา ตระกูลยิ่งยง ประธานผู้บริหารสายงานเทคโนโลยี บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทเข้าใจลึกซึ้งถึงความต้องการของลูกค้าและไม่หยุดนิ่งในการพัฒนาการบริการในโครงการที่อยู่อาศัย ล่าสุดจึงประกาศความพร้อมในการเดินหน้าต่อเนื่องในการนำนวัตกรรม และเทคโนโลยีมาพัฒนายกระดับการบริการหลังการขายให้แก่ลูกบ้าน เพื่อสร้างประสบการณ์การอยู่อาศัยที่สมบูรณ์แบบ ภายใต้แนวคิดที่เป็นหัวใจหลักของแสนสิริและตอบโจทย์เทรนด์การใช้ชีวิตในยุคที่เทคโนโลยีและแพลตฟอร์มดิจิทัล มีบทบาท สำคัญในชีวิตประจำวัน หลังจากที่ก่อนหน้านี้ บริษัทประสบความสำเร็จในกระแสตอบรับการเปิดตัว Sansiri Security System หรือระบบรักษาความปลอดภัยภายในโครงการ (พื้นที่ส่วนกลาง) ที่แข็งแกร่งด้วยเทคโนโลยีอุปกรณ์รักษาความปลอดภัยที่ทันสมัยผสานกับการทำงานของทีมงานที่ได้รับการฝึกอบรมจากครูฝึกมากด้วยประสบการณ์ เพื่อสร้างความอุ่นใจให้กับการอยู่อาศัยของลูกบ้านในด้านความปลอดภัยอย่างรอบด้าน รวมถึงการเป็นผู้นำในการพัฒนา สมาร์ท คอนโด โดยการเดินหน้าใช้เทคโนโลยี Internet of Things (IoT) ในทุกโครงการคอนโดมิเนียมที่จะแล้วเสร็จตั้งแต่ปี 2562เป็นต้นไป “ในวันนี้ แสนสิริได้ต่อยอดการให้บริการด้านการอยู่อาศัยให้ล้ำหน้าไปอีกขั้นด้วยการร่วมมือกับพลัส พร็อพเพอร์ตี้ จัดตั้ง “Smart Command Centre” ศูนย์ควบคุมสังเกตุการณ์จากส่วนกลาง เต็มรูปแบบแห่งแรกของวงการอสังหาริมทรัพย์ไทย ด้วยมูลค่าการลงทุนรวมกว่า 20 ล้านบาท เพื่อสร้างความมั่นใจในการให้บริการที่ดีที่สุดให้กับลูกบ้านแสนสิริในโครงการที่บริหารจัดการโดยพลัส พร็อพเพอร์ตี้ทั้งด้านบริหารจัดการความปลอดภัย (Security Monitoring) ที่เพิ่มความอุ่นใจแก่ผู้อยู่อาศัยเป็น 2 เท่า และด้านการบริหารจัดการระบบวิศวกรรมอาคาร (IoT Facility Management) ด้วยเทคโนโลยี IoT อันล้ำสมัยที่สามารถช่วยในเรื่องของการบริหารจัดการ Facility และลดค่าใช้จ่ายส่วนกลางของโครงการได้อย่างมีประสิทธิภาพ” ดร.ทวิชา กล่าว สำหรับศูนย์ควบคุมสังเกตุการณ์จากส่วนกลางเต็มรูปแบบแห่งแรกของวงการอสังหาฯ ไทย (Smart Command Centre) ตั้งอยู่ที่อาคารสิริภิญโญ ได้รับการพัฒนาและวางระบบจากผู้นำในธุรกิจและเทคโนโลยีด้านการรักษาความปลอดภัยมาตรฐานสากลที่มีประสบการณ์มากว่า 40 ปี ได้แก่ บริษัท กัทส์ อินเวสติเกชั่น จำกัด ร่วมพัฒนาและวางระบบในการปฏิบัติการทั้งหมด โดย Smart Command Centre มีหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการ เฝ้าระวัง สังเกตุการณ์เหตุผิดปกติต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ส่วนกลาง รวมถึงแจ้งเตือนเมื่ออุปกรณ์ใกล้ถึงเวลาบำรุงรักษาแบบเรียลไทม์ พร้อมสั่งการเพื่อดำเนินการตรวจสอบความผิดปกติต่าง ๆ จากศูนย์ควบคุมฯ ได้ทันที นอกจากนี้ยังช่วยประสานงาน กับหน่วยงานต่างๆ เช่น ตำรวจ โรงพยาบาล หรือช่างผู้เชี่ยวชาญได้ทันทีเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินได้อย่างทันท่วงที เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการต่อเหตุการณ์ได้อย่างแม่นยำ รวดเร็ว และแก้ไขปัญหาได้ตรงจุด โดยภายในศูนย์ควบคุมฯ จะมีเจ้าหน้าที่ผู้ชำนาญการ 2 ทีมประจำ 24 ชั่วโมง ตลอดทั้ง 7 วัน ผ่านหน้าจอมอนิเตอร์คมชัดระดับ HD จำนวน 12  จอที่จะรับสัญญาณตรงมาจากโครงการแบบเรียลไทม์ นายชาญ ศิริรัตน์ รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายบริหารทรัพยากรอาคารและวิศวกรรม บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด กล่าวเพิ่มเติมว่า ความร่วมมือกับแสนสิริในการจัดตั้ง Smart Command Centre จะช่วยสร้างความอุ่นใจและสบายใจให้กับลูกบ้านแสนสิริในโครงการที่พลัส พร็อพเพอร์ตี้บริหารจัดการ ทั้งในด้านการเฝ้าระวัง (Preventive Monitoring) และการดูแลรักษาเชิงป้องกัน (Preventive Maintenance ) สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับโครงการที่อยู่อาศัยให้โดดเด่นด้านมูลค่าเหนือคู่แข่งในทำเลเดียวกัน จากระดับความปลอดภัยในการอยู่อาศัยและความสามารถในการดูแลรักษาโครงการให้มีประสิทธิภาพสวยงามอยู่เสมอ ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการตัดสินใจเช่าและการซื้อขายเปลี่ยนมือ รวมถึงช่วยบริหารค่าส่วนกลางได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วย “ในปลายปี 2561 นี้ Smart Command Centre จะเริ่มเชื่อมต่อข้อมูลจาก 4 โครงการ ประกอบด้วย โครงการคอนโดมิเนียม เดอะ เทอร์ทีไนน์ สุขุมวิท 39, โครงการ เดอะ ไลน์ อโศก-รัชดา, โครงการ เดอะ ไลน์ ราชเทวี และโครงการบ้านเดี่ยวคณาสิริ พระราม 2 – วงแหวน นอกจากนี้ในปี 2562 เรามีแผนที่จะเชื่อมต่อ Smart Command Centre เข้ากับโครงการแนวราบ 11 โครงการ และโครงการแนวสูงที่จะแล้วเสร็จทั้งหมด ในอนาคต แสนสิริ และพลัสฯ ยังมีแผนการต่อยอดขอบข่ายการทำงานของ Smart Command Centre ทั้งในด้านของการบริหารความปลอดภัย ที่จะเพิ่มการเชื่อมต่อข้อมูลจากระบบ Visitor Management System ที่ใช้ในการจัดเก็บข้อมูลของผู้มาติดต่อทั้งหมด และระบบ Face Recognition ที่สามารถจัดเก็บภาพใบหน้า ลายนิ้วมือ และข้อมูลของผู้รับเหมา และในส่วนของ IoT Facility Management จะนำมาใช้ในการบริหารจัดการซื้อขายพลังงานไฟฟ้าแสงอาทิตย์ (Smart Grid) และการบำรุงรักษาเชิงป้องกัน (Preventive Maintenance) เพิ่มเติม   “นอกเหนือจากความสามารถด้านการบริหารจัดการด้านความปลอดภัย และการดูแลระบบวิศวกรรมอาคารส่วนกลาง แสนสิริและพลัสฯ ยังมีแผนขยายขีดความสามารถของ Smart Command Centre ไปยังการใช้งานระบบ Touch Points & Intelligent ซึ่งเป็นเครื่องมือในการรับฟังและตอบรับ ความต้องการของลูกค้าทั่วประเทศผ่านทั้งช่องทางโซเชียลมีเดียและ คอลล์เซ็นเตอร์ รวมถึง Sansiri Infrastructure ที่จะสร้างความมั่นใจในความพร้อมเรื่อง CRM, Salesforce, Data Warehouse ต่าง ๆ เพื่อยกระดับประสิทธิภาพการดูแลลูกบ้านตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งทั้งหมดนี้ คือบริการจากแสนสิริและพลัสฯ ที่พัฒนาด้วยความใส่ใจ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดในการให้บริการและสร้างประสบการณ์การอยู่อาศัยที่สมบูรณ์แบบให้แก่ลูกบ้านแสนสิริครอบคลุมไปถึงในปี 2562” ดร. ทวิชากล่าว          
“แสนสิริ” ประกาศความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ โกยยอดขาย “XT” แบรนด์ใหม่ 3 โครงการรวด ทะลุเป้าพุ่ง 12,000 ลบ. สูงสุดในประวัติศาสตร์  ปลื้ม! โครงการไลฟ์สไตล์คอนโดมิเนียมแนวคิดใหม่แบรนด์แรกในไทย ฉีกทุกกฏการอยู่อาศัย โดนใจมิลเลนเนียล

“แสนสิริ” ประกาศความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ โกยยอดขาย “XT” แบรนด์ใหม่ 3 โครงการรวด ทะลุเป้าพุ่ง 12,000 ลบ. สูงสุดในประวัติศาสตร์ ปลื้ม! โครงการไลฟ์สไตล์คอนโดมิเนียมแนวคิดใหม่แบรนด์แรกในไทย ฉีกทุกกฏการอยู่อาศัย โดนใจมิลเลนเนียล

“แสนสิริ” เขย่าวงการอสังหาฯ ประกาศความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ “XT New Lifestyle Condominium” ไลฟ์สไตล์คอนโดมิเนียมแห่งแรกในไทยกับคอนเซปท์ที่ฉีกทุกกฏการอยู่อาศัย กวาดยอดขายทะลุเป้า 12,000 ลบ. สูงสุดในประวัติการณ์ คิดเป็น 75% ของจำนวนยูนิตที่เปิดขาย ภายในเวลาเพียง 3 เดือนกับ 3 ทำเลศักยภาพ XT เอกมัย XT ห้วยขวาง และ XT พญาไท ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีเยี่ยมจากทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ตอกย้ำความสำเร็จจากการพัฒนาโครงการที่ตอบโจทย์และเข้าใจไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตที่สะท้อนตัวตนของชาวมิลเลนเนียลอย่างแท้จริง การปั้นแบรนด์ใหม่ที่แข็งแกร่งด้วยแนวคิดฉีกกรอบ “Extend Your Style” เผย 3 ปัจจัยหลักการซื้อ รูปแบบห้องที่เลือกเองได้ Co-Sharing Space พื้นที่ส่วนกลางที่แชร์ร่วมกันระหว่างโครงการครบครันด้วยเทคโนโลยี ทำเลและราคาที่คุ้มค่าตอบโจทย์การอยู่อาศัยและลงทุน นายปิติ จารุกำจร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโสฝ่ายพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมและบริหารกลยุทธ์ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เผยว่า “โครงการ XT New Lifestyle Condominium นับว่าเป็นแบรนด์ไลฟ์สไตล์คอนโดมิเนียมแนวคิดใหม่แบรนด์แรกของแสนสิริ ที่มีความท้าทายในการพัฒนาโครงการที่ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่และมิลเลนเนียล โดยมีมูลค่ารวมโครงการสูงสุดในประวัติศาสตร์ของแสนสิริด้วยมูลค่าถึง 21,000 ล้านบาท ซึ่งถือว่าการเปิดตัวแบรนด์ใหม่และโครงการในครั้งนี้ประสบความสำเร็จเกินเป้าที่คาดหวังไว้จากการเปิดขายพร้อมกันรวด 3 โครงการ ทุบสถิติยอดขายทะลุถึง 12,000 ล้านบาท คิดเป็น 75% ของจำนวนยูนิตที่เปิดขาย ภายในระยะเวลาเพียง 3 เดือน ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายตั้งไว้ที่ 10,000 ล้านบาท ตอกย้ำความสำเร็จของการพัฒนาโครงการและสร้างแบรนด์ไลฟ์สไตล์คอนโดมิเนียมแห่งแรกในไทยเพื่อคนรุ่นใหม่และมิลเลนเนียลอย่างแท้จริง” “ปัจจัยความสำเร็จในครั้งนี้ เกิดจากการพัฒนาแบรนด์ที่แข็งแกร่งของ XT ภายใต้แนวคิด “Extend Your Style” ซึ่งเป็นจุดเด่นของโครงการที่ฉีกกฏเกณฑ์ของการอยู่อาศัยเดิมๆ จากการเป็นไลฟ์สไตล์คอนโดมิเนียมใหม่แห่งแรกในไทยที่ผู้ซื้อสามารถเลือกออกแบบเลย์เอาท์ห้องและปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับสไตล์การใช้ชีวิต พื้นที่ส่วนกลางที่พัฒนาจากแนวคิด Co-Sharing Space ที่สามารถแชร์ร่วมกันระหว่างโครงการ XT ที่ครบครันด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย ไม่ว่าจะเป็น Flexible Furniture และ Sansiri Home Service Application ฯลฯ ตลอดจนศักยภาพทำเลโครงการและราคาที่คุ้มค่าของทั้ง 3 แห่ง ที่ตอบโจทย์ทั้งด้านการอยู่อาศัยและลงทุนอย่างแท้จริง ด้วยจุดเด่นที่แตกต่างกันใน 3 ทำเลโครงการ  ไม่ว่าจะเป็น XT เอกมัย ศูนย์กลางของไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตใจกลางเมืองของคนยุคใหม่ ดีไซน์ของโครงการที่โดดเด่นทันสมัย และด้วยราคาที่ดินที่ถีบตัวขึ้นในอัตราที่สูงอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งผลตอบแทนการลงทุนสูงจากการปล่อยเช่า เนื่องจากเป็นโลเคชั่นที่มีดีมานด์สูงจากการเช่าของลูกค้าต่างชาติโดยเฉพาะ ชาวญี่ปุ่น ส่วน XT ห้วยขวาง ทำเลศักยภาพสูงที่อยู่ใกล้ศูนย์กลางธุรกิจใหม่หรือ CBD ของกรุงเทพฯ  ห่างจากสถานีรถไฟฟ้าเอ็มอาร์ทีห้วยขวางเพียง 70 เมตร พร้อมด้วยพื้นที่ส่วนกลางและสิ่งอำนวยความสะดวกจัดเต็มในพื้นที่กว่า 4 ไร่ ซึ่งหาไม่ได้จากโครงการอื่นๆ ในพื้นที่ใกล้เคียง ขณะที่ XT พญาไท ตั้งอยู่บนทำเลใจกลางเมืองที่เดินทางสะดวกสบายในราคาที่ไม่สูงเกินเอื้อม พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการบนพื้นที่รวมถึงกว่า 6,000 ตารางเมตร” นายปิติ กล่าว นอกจากนี้ แสนสิริ ยังสร้างมิติใหม่ด้วยการมอบไลฟ์สไตล์พริวิเล็จหรือ ‘XT Experience’ ที่สร้างประสบการณ์การอยู่อาศัยในแบบฉบับ XT ให้กับลูกบ้านตั้งแต่ยังไม่ได้เข้าอยู่อาศัย ซึ่งสร้างสรรค์ขึ้นจากแนวคิดหลักของโครงการและพฤติกรรมของคุนรุ่นใหม่ คือ ต้องการสิ่งที่ได้รับการออกแบบพิเศษเฉพาะบุคคล (Customized) โดยแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มสิทธิประโยชน์หลัก ได้แก่ Dining สำหรับลูกบ้าน XT ที่ชื่นชอบในการทานอาหาร, Travel สำหรับลูกบ้านที่ชื่นชอบการท่องเที่ยว, Activity สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการทำกิจกรรมสุดแอคทีฟ และ Leisure สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการผ่อนคลาย ตลอดจน Co-Sharing Space  ในสำนักงานขายด้วยแนวคิดใหม่ที่เปิดให้ลูกบ้านและคนทั่วไปได้มาใช้สถานที่ส่วนได้จริงเพื่อร่วมแบ่งปันหรือหาไอเดียใหม่ๆในการทำงาน ตลอดจนเป็นแหล่งพบปะพูดคุยงาน โดยมีบริการเครื่องดื่มและบริการ Wi-fi ฟรี อีกด้วย   ผู้สนใจสามารถเยี่ยมชมเซลล์ แกลอรี่ ที่ผสานเอาบรรยากาศคาเฟ่สุดฮิปและ Co-sharing space เข้าด้วยกัน ของทั้ง 3 โครงการ XT เอกมัย XT ห้วยขวาง และ XT พญาไท  ได้แล้ววันนี้ พร้อมรับบริการ เครื่องดื่มและ Wi-fi ฟรี! โดยสามารถร่วมทำแบบทดสอบ XT Personality Test ค้นหาคาแรกเตอร์ที่ตอบโจทย์อิสระการเลือกรูปแบบห้องเฉพาะบุคคล ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ www.sansiri.com/xt          
แสนสิริหนุนโรงแรม The Standard สยายปีก 15 สาขาทั่วโลกภายใน 5 ปี  พร้อมเปิดตัว One Night แอปฯ จองโรงแรมปฏิวัติวงการครั้งแรกในเอเชีย

แสนสิริหนุนโรงแรม The Standard สยายปีก 15 สาขาทั่วโลกภายใน 5 ปี พร้อมเปิดตัว One Night แอปฯ จองโรงแรมปฏิวัติวงการครั้งแรกในเอเชีย

แสนสิริประกาศเปิดตัวโรงแรมเดอะสแตนดาร์ด (The Standard Hotel) และสแตนดาร์ด เรซิเดนซ์ (Standard Residences) ในประเทศไทยอันเป็นส่วนหนึ่งของแผนการขยายสาขาทั่วโลก พร้อมเปิดตัววัน ไนท์ (One Night)แอปพลิเคชั่นจองโรงแรมภายในวันเดียวกับที่พัก ซึ่งขยายขอบข่ายการบริการสู่เอเชียเป็นครั้งแรกที่กรุงเทพฯ เพื่อต่อยอดหลังการประกาศวิสัยทัศน์ในการก้าวสู่ธุรกิจโรงแรม เทคโนโลยี และไลฟ์สไตล์ระดับโลกผ่านการลงทุนมูลค่า 80 ล้านดอลล่าร์ หรือ 2,640 ล้านบาท ในหลากหลายแบรนด์ชั้นนำระดับโลก     การสยายปีกของ The Standard และOne Night สู่เอเชียครั้งนี้เป็นผลจากการขยายตัวทางธุรกิจอย่างรวดเร็วหลังการร่วมลงทุน ของแสนสิริเมื่อปลายปีที่ผ่านมา  โดย Standard International ตั้งเป้าขยายสาขาโรงแรมทั่วโลกเพิ่มขึ้น 2 เท่า จาก 5 สาขาในปัจจุบันเป็น 10 สาขาภายใน 1 ปี และขยายเพิ่ม 2 เท่าอีกครั้งเป็น 20สาขาภายใน 5 ปี ขณะที่ One Night เริ่มรุกสู่ตลาดเอเชียซึ่งมีศักยภาพการเติบโตทางธุรกิจสูง โดยเริ่มเปิดให้บริการที่กรุงเทพฯ แล้วเป็นแห่งแรก     นายอภิชาติ จูตระกูล ประธานอำนวยการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “เมื่อเดือนพฤศจิกายนปี 2560 เราได้ประกาศแผนการลงทุนในแบรนด์ระดับโลกมากมาย ซึ่งล้วนเป็นผู้นำในธุรกิจโรงแรม เทคโนโลยี และไลฟ์สไตล์ การลงทุนนี้เป็นส่วนหนึ่งของการขยายฐานความรู้และการสร้างพันธมิตรในประเภทธุรกิจอื่นที่หลากหลายออกไปนอกเหนือจากด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เป็นเรื่องน่ายินดีที่ในระยะเวลาเพียงหนึ่งปี การลงทุนครั้งนี้ได้ช่วยขับเคลื่อนให้ The Standardและแอปพลิเคชั่น One Night เติบโตในอัตราที่รวดเร็ว ซึ่งวันนี้ทั้งสองแบรนด์พร้อมเดินหน้าขยายธุรกิจสู่ตลาดเอเชียอย่างแข็งแกร่ง โดยมีประเทศไทยเป็นเป้าหมายแห่งแรก”      The Standard แบรนด์ที่กล่าวได้ว่ามีอิทธิพลที่สุดในธุรกิจบูทีคโฮเทล ได้วางแผนขยายสาขาโรงแรมเพิ่มขึ้นสองเท่า ทั่วโลกหลังจากที่แสนสิริเข้าถือหุ้นในสัดส่วน 35% ในบริษัทแม่ คิดเป็นมูลค่า 58 ล้านดอลล่าร์ หรือกว่า 1,900 ล้านบาท The Standardตั้งเป้าขยายสาขาสู่ตลาดใหม่ๆ โดยอาศัยทีมงานที่เปี่ยมคุณภาพ ความเชี่ยวชาญ  ในการสร้างสรรค์โปรแกรมและกิจกรรมที่เน้นการสะท้อนวัฒนธรรมในรูปแบบต่างๆ การคัดสรรพาร์ทเนอร์  และการสร้างสรรค์งานอีเวนต์ที่ไม่ซ้ำใคร เพื่อเชื่อมโยงชุมชนและสังคมท้องถิ่นที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวจากทั่วโลก เข้าด้วยกัน The Standard ได้ปักหมุดขยาย 10 สาขาทั่วโลกโดยมี 2 สาขาที่ประเทศไทย ที่จะเปิดบริการภายในอนาคตอันใกล้     ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของแผนธุรกิจ 5 ปีที่จะขยายสาขาให้ครบ 20 แห่ง ทั้งในโลเคชั่นที่อยู่ในพื้นที่ใจกลางเมือง และเมืองตากอากาศชั้นนำทั่วโลก อันได้แก่ ลอนดอน ซึ่งจะเปิดในไตรมาส 1 ปี 2562ตามด้วย ปารีส มิลาน เบอร์ลิน ลิสบอน ปราก แมดริด ชิคาโก ลาสเวกัส  นิวออร์ลีนส์ แอตแลนต้า ดูไบ สิงคโปร์ จีน ฮ่องกง ไต้หวัน กรุงเทพฯ ภูเก็ต หัวหิน จาการ์ตา และบาหลี โดยเมืองเป้าหมายทั้งหมดข้างต้นล้วนแล้วแต่เป็นทำเลที่ The Standardมีแผนดำเนินการพัฒนาโรงแรมที่เป็นรูปธรรมแล้ว หรือมีความคืบหน้าในขั้นตอนเจรจาตกลง     อามาร์ ลาลวานี ซีอีโอ สแตนดาร์ด อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวว่า “การขยายแบรนด์ The Standard ไปสู่พื้นที่ใหม่ๆ ทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทย ถือเป็นโอกาสสำคัญในการส่งมอบประสบการณ์การเข้าพักในโรงแรมที่มีเอกลักษณ์ โดดเด่นของเราสู่ผู้คนอีกมากมาย เราสร้างสรรค์พื้นที่ให้มีความสอดคล้องกลมกลืนกับวัฒนธรรรมเฉพาะตัวของแต่ละท้องถิ่นที่โรงแรมตั้งอยู่ ผ่านการออกแบบพื้นที่ใช้สอยและการสร้างประสบการณ์ที่หาไม่ได้จากที่อื่นให้กับทั้งแขกที่มาพักและผู้คนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่นั้นๆ    The Standardยังตั้งใจสร้างแบรนด์ให้เป็นพื้นที่ที่เป็นเสมือนศูนย์กลางของพลังแห่งความสร้างสรรค์และการร่วมกันทำกิจกรรมแสนสนุกสนาน ตัวอย่างที่ชัดเจนได้แก่ The Standard สาขา High Line ซึ่งเป็นโรงแรมแฟล็กชิพของเราที่นิวยอร์ก ที่นับได้ว่าเป็นเครื่องมือบุกเบิกการพลิกโฉมพื้นที่ซึ่งอดีตเป็นย่านโรงงานเนื้อสัตว์ให้กลายเป็นทำเลซึ่งเป็นที่น่าสนใจที่สุดของแห่งหนึ่งของเมือง และดึงดูดให้เกิดสถานที่ซึ่งมีความน่าสนใจ และผู้ประกอบการใหม่ๆ เข้ามาในย่าน   ไม่ว่าจะเป็นพิพิธภัณฑ์วิทนีย์ (Whitney Museum) เทสลา (Tesla) และซัมซุง(Samsung)นอกจากนี้นับตั้งแต่ The Standard ได้เข้ามาดำเนินธุรกิจภายในย่าน ยังส่งผลให้ราคาของอสังหาริมทรัพย์ในบริเวณนี้มีมูลค่าสูงขึ้นราวสองเท่าเมื่อเทียบกับอสังหาฯ ในบริเวณที่ห่างออกไปเพียงไม่กี่บล็อกจากโรงแรม และเราเชื่อมั่นว่าปรากฏการณ์เช่นนี้จะเกิดขึ้นอีกเช่นเดียวกันเมื่อเราเปิดโรงแรม The Standard สาขาใหม่แห่งแรกนอกสหรัฐอเมริกา ที่ลอนดอน ในย่านคิงส์ครอส และในพื้นที่ใหม่ๆ ทั่วโลกอีกมากมาย”       “สำหรับประเทศไทย เรามีแผนเปิดโรงแรม The Standard แห่งแรกที่ภูเก็ต ซึ่งนอกจากโรงแรมแล้ว ยังมี Standard Residences ซึ่งเราพัฒนาขึ้นเป็นครั้งแรกภายใต้ความร่วมมือกับแสนสิริ ประเทศไทยเป็นตลาดที่มีความน่าสนใจทั้งในเรื่องของสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ที่น่ามาเยี่ยมเยือน รวมถึงจำนวนของนักท่องเที่ยวที่เพิ่มสูงขึ้นทุกปี จึงเป็นทำเลที่เหมาะสมสำหรับการเปิดตัวแบรนด์ The Standard ไม่ว่าจะเป็นความโดดเด่นในด้านอาหารการกินชั้นเลิศ แวดวงแฟชั่น และศิลปะ เมื่อประกอบเหตุผลต่างๆ เข้าด้วยกัน เราจึงตัดสินใจเลือกกรุงเทพฯ เป็นที่ตั้งสำนักงาน ประจำภูมิภาคของเราเพื่อดูแลการดำเนินธุรกิจทั้งหมดในแถบเอเชียและตะวันออกกลาง”      ด้วยจำนวนโรงแรมทั้งหมด 6 แห่งในปัจจุบันและห้องพักรวมกันกว่า 1,200 ห้อง (รวมโรงแรมแห่งใหม่ที่จะเปิดในลอนดอน) The Standard สามารถสร้างรายได้ปีละประมาณ 200 ล้านดอลล่าร์ หรือ6,600 ล้านบาท มีอัตราการเข้าพักเฉลี่ย 85% มีรายได้เฉลี่ยต่อห้องพักเติบโต 121% โดยทุกสาขามีอัตราที่ใกล้เคียงกัน  The Standard ยังมีสัดส่วนการจองห้องพักจากลูกค้าโดยตรงและการกลับมาใช้บริการซ้ำของแขกที่สูงเป็นอย่างมาก ซึ่งช่วยสะท้อน  ความแข็งแกร่งของแบรนด์ซึ่งโดดเด่นกว่าคู่แข่งรายอื่นๆ     จิมมี่ ซูฮ์ ประธานบริหาร และผู้ร่วมก่อตั้ง One Night กล่าวว่า “เรายินดีเป็นอย่างยิ่งกับการเปิดตัวแอปพลิเคชั่น One Night ในกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นการขยายธุรกิจสู่เอเชียเป็นครั้งแรก กรุงเทพฯ คือเมืองที่ไม่เคยหลับ ผู้คนเปี่ยมพลัง  ในการทำงานและใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ ซึ่งนับเป็นโอกาสที่ดีเยี่ยมสำหรับOne Night แอปพลิเคชั่นจองโรงแรมในวันเดียวกับการเข้าพัก ที่มอบตัวเลือกโรงแรมอิสระชื่อดังซึ่งล้วนคัดสรรมาเพื่อประสบการณ์สุดพิเศษด้วยราคาที่ดีที่สุด”   “แอปพลิเคชั่น One Night เกิดขึ้นเพื่อส่งเสริมแนวคิดในการใช้ชีวิตให้คุ้มค่าและการท่องเที่ยวที่เสริมสร้างประสบการณ์ใหม่ สอดคล้องกับเศรษฐกิจในยุคปัจจุบันที่ผู้บริโภคต้องการบริการที่สั่งได้ทันทีอย่างใจ (on-demand service) ผ่านทางหน้าจอโทรศัพท์ นอกจากนี้ ยังเป็นการผลักดันให้การพักในโรงแรมกลายเป็นกิจกรรมพักผ่อนหย่อนใจสำหรับผู้คนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ เพื่อหลีกหนีจากชีวิตประจำวันที่จำเจ ตามเทรนด์ Staycation ที่กำลังมาแรง นอกจากนั้นตัวแอปฯ ยังมีข้อมูลเกี่ยวกับกิจกรรมที่น่าสนใจบริเวณโดยรอบโรงแรมอีกด้วย”     สำหรับ One Night ที่เปิดตัวในกรุงเทพฯ ได้รวบรวมโรงแรมอิสระที่ดีที่สุด 16 แห่ง ประกอบด้วย โรงแรมอาคิระ สุขุมวิท, โรงแรมอาคิระ ทองหล่อ, แบงค็อก ริเวอร์ไซด์, ปาเฮ่า เกสต์เฮาส์ เยาวราช, โรงแรมคาโบชอง, โรงแรมดิโอกุระ เพรสทีจ กรุงเทพฯ, ริว่าอรุณ, ริวา เซอร์ยา, เซี่ยงไฮ้แมนชั่น, เดอะสยาม, สยามแอทสยาม, โรงแรมสุโขทัย, โรงแรม เดอะ สุโกศล, 137 พิลล่าร์ สวีท แอนด์ เรสซิเด้นซ์, โรงแรมอำแดง, จอช โฮเทล และวันเดย์ โฮสเทล ลูกค้าแสนสิริสามารถรับสิทธิพิเศษสำหรับการจองโรงแรมในกรุงเทพมหานครผ่านแอปพลิเคชั่น One Night ได้ระหว่างวันนี้ – 30พฤศจิกายน 2561 ด้วยส่วนลดพิเศษ 1,000 บาท สำหรับลูกค้า Sansiri Family และส่วนลด 1,500บาทสำหรับลูกค้า Siri Priority     นอกเหนือจากกรุงเทพฯ ปัจจุบัน One Night ได้เปิดให้บริการแล้วในอีก 15 เมืองหลักในสหรัฐอเมริกา และลอนดอน ครอบคลุมโรงแรมอิสระกว่า 170แห่ง และมีแผนขยายขอบข่ายให้ครอบคลุม 30เมืองทั่วโลก รวมทั้งในเอเชีย  และยุโรป ภายในสิ้นปี 2563 “การร่วมเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์กับแบรนด์ที่แข็งแกร่งและโดดเด่น จะช่วยส่งเสริมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของแสนสิริ ผู้บริโภคจะได้รับประโยชน์จากการเข้าถึงบริการจากผู้นำธุรกิจระดับโลกอย่างแท้จริง การเปิดตัวThe Standard และ One Night ในประเทศไทยคืออีกก้าวสำคัญของเรา ที่จะนำไปสู่สิ่งใหม่ๆ อีกมากมายในอนาคต" นายอภิชาติกล่าว    
แสนสิริเผยโฉม “เดอะ ไลน์ อโศก-รัชดา” ชูโมเดลสมาร์ท  คอนโดเต็มรูปแบบแห่งแรกของแสนสิริ  ตอกย้ำผู้นำคอนโดมิเนียมอัจฉริยะผสานเทคโนโลยี IoT

แสนสิริเผยโฉม “เดอะ ไลน์ อโศก-รัชดา” ชูโมเดลสมาร์ท คอนโดเต็มรูปแบบแห่งแรกของแสนสิริ ตอกย้ำผู้นำคอนโดมิเนียมอัจฉริยะผสานเทคโนโลยี IoT

แสนสิริ ตอกย้ำความเป็นผู้นำในด้านผู้พัฒนานวัตกรรมเพื่อการใช้ชีวิตในยุคดิจิทัล เผยแผนพัฒนาสมาร์ท คอนโด ประกาศเดินหน้าใช้เทคโนโลยี Internet of Things (IoT) ในทุกโครงการคอนโดมิเนียมที่จะแล้วเสร็จตั้งแต่ปี 2562 เป็นต้นไป แบ่งแผนพัฒนาออกเป็น 3 ระดับตามเซ็กเมนต์โครงการ ตั้งแต่การควบคุมระบบพื้นฐานไปจนถึงอาคารอัจฉริยะเต็มรูปแบบ เน้นกลยุทธ์ในการยกระดับสมาร์ท คอนโด ของวงการอสังหาริมทรัพย์ ผ่านแนวคิด 3 ด้าน ได้แก่ iConvenience (ความสะดวกสบาย) iSafe (ความปลอดภัย) และ iGreen (ด้านประหยัดพลังงาน) ชู “เดอะ ไลน์ อโศก-รัชดา” โครงการภายใต้การร่วมทุนระหว่างแสนสิริและบีทีเอส กรุ๊ปฯ เป็นโมเดลสมาร์ท คอนโดแห่งแรกของแสนสิริ พร้อมยก ดิ เอดจ์ (The Edge) อาคารอัจฉริยะที่สุดในโลกของประเทศเนเธอร์แลนด์เป็นต้นแบบในการพัฒนาโครงการภายในปี 2563     ดร. ทวิชา ตระกูลยิ่งยง ประธานผู้บริหารสายงานเทคโนโลยีและวิเคราะห์ข้อมูล บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “แสนสิริเล็งเห็นถึงความสำคัญในเทรนด์ผู้อยู่อาศัยยุคใหม่ จึงนำแนวคิดการบริหารจัดการอาคารอัจฉริยะ ที่ใช้เทคโนโลยี IoT หรือ Internet of Things เข้าไปเชื่อมต่ออุปกรณ์กับซอฟต์แวร์และบริการที่มีภายในอาคาร ตั้งแต่ พื้นที่ส่วนกลางไปจนถึงภายในห้องพักอาศัย ยกระดับความสะดวกสบายและปลอดภัยให้แก่ลูกบ้าน และยังสามารถบริหารจัดการอาคารได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมช่วยควบคุมการทำงานเครื่องใช้ไฟฟ้าส่วนกลาง เช่น อุปกรณ์ดับเพลิง เครื่องปั่นไฟ ตู้ควบคุมระบบไฟฟ้าหลัก ลิฟต์ ปั๊มน้ำ ระบบท่อระบายน้ำและสระว่ายน้ำ ไปจนถึงการปรับสภาพอากาศภายในอาคาร (Heating, Ventilation and Air Conditioning : HVAC) ทำให้สามารถควบคุมอุณหภูมิให้อยู่ในสภาวะที่เหมาะสม เพื่อลดการใช้พลังงานเกินความจำเป็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสามารถช่วยคาดการณ์ความเสียหายของอุปกรณ์ต่าง ๆ (Preventive Maintenance) ให้สามารถวางแผนการซ่อมแซมได้อย่างทันท่วงที และช่วยประหยัดต้นทุนในการบริหารจัดการได้ในระยะยาว”     “จากความสำคัญดังกล่าว แสนสิริจึงได้วางแผนการพัฒนาสมาร์ท คอนโดออกเป็น 3 ระดับ ตามเซ็กเมนต์ที่แตกต่างกันของโครงการที่จะแล้วเสร็จตั้งแต่ปี 2562 ได้แก่ ระดับพื้นฐาน คือการใช้เทคโนโลยี IoT เข้ามาควบคุมระบบส่วนกลางของโครงการ ระดับปานกลาง คือการใช้เทคโนโลยี IoT เข้ามาควบคุมระบบพร้อมด้วยระบบ Building Automation System (BAS) ในการสั่งการระบบพื้นที่ส่วนกลาง ระดับสูงสุด คือสมาร์ท คอนโด ที่นำเทคโนโลยี IoT เข้ามาร่วมบริหารจัดการอาคารในการคาดการณ์ความเสียหายของอุปกรณ์ต่าง ๆ (Preventive Maintenance) เพิ่มศักยภาพในการบริหารจัดการให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น”     “แสนสิริ จึงได้นำแผนพัฒนาระดับสูงสุดดังกล่าวเข้ามาใช้ที่โครงการเดอะ ไลน์ อโศก-รัชดา ซึ่งเป็นโครงการภายใต้การร่วมทุนระหว่างแสนสิริและบีทีเอส กรุ๊ปฯ โครงการที่ 4 ที่สร้างเสร็จพร้อมอยู่แล้ววันนี้ ภายใต้คอนเซ็ปต์ Balance is Everything ที่ต้องการตอบสนองการใช้ชีวิตที่สมดุลให้กับคนเมือง ซึ่งประสบความสำเร็จจากการปิดการขายได้ทันทีในวันพรีเซลล์ และศักยภาพด้านทำเลใจกลางย่านธุรกิจแห่งใหม่ของกรุงเทพฯ อย่างย่านพระรามเก้า โดยโครงการได้รับผลตอบรับอย่างดีจากลูกค้า มียอดโอนแล้วเกือบ 40% เพียง 2 อาทิตย์หลังจากเริ่มโอน มั่นใจถึงเป้าที่ตั้งไว้ 80% ภายในปีนี้อย่างแน่นอน และอีกหนึ่งองค์ประกอบที่โดดเด่นของเดอะ ไลน์ อโศก-รัชดา คือ เทคโนโลยีสุดล้ำครอบคลุมทั้งการบริการจัดการระบบพลังงานและทรัพยากรต่าง ๆ ภายในอาคารแบบอัตโนมัติ พร้อมคาดการณ์การซ่อมบำรุง ทั้งระบบไฟฟ้า ระบบน้ำประปา ระบบระบายน้ำ ระบบการรักษาความปลอดภัย และระบบ Home Automation ภายในห้องพักอาศัยใน 3 ด้าน ได้แก่ iConvenience (ความสะดวกสบาย) iSafe (ความปลอดภัย) และ iGreen (ด้านประหยัดพลังงาน) เพื่ออำนวยความสะดวกในทุกมิติของการใช้ชีวิตของลูกบ้าน” ดร.ทวิชา กล่าว       นอกจากนี้ แสนสิริยังได้นำระบบลงทะเบียนอัจฉริยะสำหรับบุคคลภายนอกที่เข้ามาในโครงการได้เพียงใช้คิวอาร์โค้ด โดยลูกบ้านสามารถกำหนดวันและเวลา รวมทั้งบริเวณที่ผู้มาติดต่อสามารถเข้าถึงได้ (Smart Guest Registration) ซึ่งถือเป็นเทคโนโลยีที่แสนสิริสร้างสรรค์ขึ้นเข้ามาใช้ในโครงการนี้เป็นครั้งแรก นอกจากนี้ยังมี ศูนย์ควบคุมระบบการบริหารจัดการอาคารด้วยระบบ IoT of Building, ระบบควบคุมการใช้ไฟฟ้าส่วนกลาง (Smart Lighting Control), ระบบควบคุมการปิด-เปิดประตูหนีไฟ (Smart Door Safety Monitoring), ระบบสมาร์ทล็อคเกอร์และตู้จ่ายพัสดุอัติโนมัติเชื่อมต่อกับ iBox (Smart Delivery), แท่นชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า พร้อมบริการรถยนต์พลังงานไฟฟ้า Smartmove และสถานีชาร์จประจุไฟฟ้า โดยสามารถจองใช้บริการได้ง่าย ๆ บนแอพพลิเคชั่น Home Service, เครื่องซักผ้าอัจฉริยะ (Smart Wash), เครื่องรับคืนขวดพลาสติค (Refun Machine) และระบบเทเลคอมในอาคารจอดรถ     “ยิ่งไปกว่านั้น แสนสิริยังมุ่งมั่นที่จะก้าวข้ามขีดจำกัดในการพัฒนาการบริหารจัดการอาคารแบบสมาร์ท คอนโดให้เหนือขึ้นไปจากแผนพัฒนา 3 ระดับดังกล่าว โดยยกให้โครงการ ดิ เอดจ์ (The Edge) ประเทศเนเธอร์แลนด์ ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นอาคารอัจฉริยะที่สุดในโลกให้เป็นต้นแบบในการพัฒนาโมเดลสมาร์ท คอนโดในอนาคตของแสนสิริภายในปี 2563 ซึ่งโครงการดังกล่าวโดดเด่นด้านการใช้เทคโนโลยี IoT เข้ามาเชื่อมโยงการจัดการอาคารเข้ากับผู้ใช้งานหรือผู้อาศัยที่มีความต้องการและพฤติกรรมที่แตกต่างกัน (Personalization) ได้อย่างสมบูรณ์แบบในทุกมิติ โดยโครงการนี้ยังได้ชื่อว่าเป็นอาคารที่โดดเด่นด้านการจัดการพลังงานและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากที่สุดในโลก” ดร. ทวิชา กล่าวสรุป    
แสนสิริ เปิดตัวเดอะ เบส สะพานใหม่ ภายใต้ความร่วมมือกับบีทีเอส กรุ๊ป  และเดอะ เบส สุขุมวิท 50

แสนสิริ เปิดตัวเดอะ เบส สะพานใหม่ ภายใต้ความร่วมมือกับบีทีเอส กรุ๊ป และเดอะ เบส สุขุมวิท 50

แสนสิริปลุกกระแสแบรนด์ เดอะ เบส ภายใต้คอนเซ็ปต์ใหม่ MARK MY BASE ต่อยอดหลังประสบความสำเร็จมาแล้วถึง 13 โครงการ มูลค่ารวม 24,000 ล้านบาท เผยโฉมTHE BASE New Series ในแบบที่สะท้อนความเป็นคุณ เปิดตัว 3 โครงการใหม่ในปี 61 บนทำเลศักยภาพทั้งอยู่อาศัยและลงทุน มูลค่ารวมกว่า 6,100 ล้านบาท ชูเดอะ เบส เซ็นทรัล – ภูเก็ต โครงการแรก ประสบความสำเร็จปิดการขายทันทีในวันพรีเซลล์ เดินหน้าตามแผนเปิดตัวอีก 2 โครงการใหม่ ในกรุงเทพฯ “เดอะ เบส สะพานใหม่” ภายใต้ความร่วมมือกับบีทีเอส กรุ๊ป และ“เดอะ เบส สุขุมวิท 50” ภายใต้ความร่วมมือกับโตคิว คอร์ปอเรชัน มั่นใจ เดอะ เบส ภายใต้ คอนเซ็ปต์ใหม่ MARK MY BASE โดดเด่นด้านดีไซน์ที่เข้าใจการใช้ชีวิตและฟังก์ชั่นการอยู่อาศัยในแต่ละทำเล สามารถตอบโจทย์ทุกรูปแบบการใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่ได้อย่างแน่นอน ส่งผลยอดขายรวมคอนโดมิเนียมของแสนสิริตามเป้าหมาย 30,000 ล้านบาท ก้าวสู่ปีแห่ง Sansiri Best Year Ever     นายภูมิภักดิ์ จุลมณีโชติ รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทประสบความสำเร็จในการพัฒนาคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ เดอะ เบส (THE BASE) ซึ่งเป็นอีกหนึ่งแบรนด์คอนโดมิเนียมที่มีความแข็งแกร่งของแสนสิริ เน้นการตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ ทันสมัย มีความเป็นตัวของตัวเอง การออกแบบในแต่ละโครงการสะท้อนบุคลิกภาพและไลฟ์สไตล์ของกลุ่มลูกค้าในทำเลนั้นๆ ซึ่งเป็นที่มาของคอนเซ็ปต์ You are where you live โดยเปิดตัวมาแล้วถึง 13 โครงการ จำนวน 9,440 ยูนิต มูลค่ารวม 24,000 ล้านบาท     ล่าสุดเพื่อเป็นการตอกย้ำความสำเร็จและความแข็งแกร่งของแบรนด์ เดอะ เบส บริษัทจึงได้เปิดตัว เดอะ เบส ภายใต้คอนเซ็ปต์ใหม่ “MARK MY BASE” สู่แบรนด์คอนโดมิเนียมที่มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น สะท้อนความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริง ชูแนวคิดการออกแบบจากตัวตนของผู้อยู่อาศัยโดยการผสมผสานเอกลักษณ์เฉพาะตัวของแต่ละทำเลเข้ากับการออกแบบที่ร่วมสมัย เกิดเป็นเอกลักษณ์และเรื่องราวที่สะท้อนถึงตัวตนของผู้อยู่อาศัย โดยเดอะ เบส ที่ตั้งอยู่ในทำเลต่างๆ จะมีความโดดเด่นที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ แตกต่างกัน ในแต่ละทำเล เพื่อตอบโจทย์ทุกรูปแบบการใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่ นอกจากนี้ยังเติมเต็มการใช้ชีวิตในทุกๆ ด้าน ตามมาตรฐานของแสนสิริที่พัฒนาและลงมือทำมาโดยตลอด ทั้งดีไซน์สวยงามที่มาพร้อมกับฟังก์ชั่นพร้อมใช้งานได้จริง ใส่ใจในทุกรายละเอียดและเลือกสรรสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของลูกบ้าน และการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ ผสมผสานกับการอยู่อาศัยเพื่อความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น อาทิ สมาร์ท ล็อคเกอร์ และโฮม เซอร์วิส แอปพลิเคชัน รวมถึงบริการที่ครบถ้วนเพื่อสร้างประสบการณ์การอยู่อาศัยที่ดีทั้งก่อนและหลังการขาย อาทิ Sansiri Security System มั่นใจกับระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชม. และสิทธิพิเศษต่างๆ ในแสนสิริ แฟมิลี่ ซึ่งทั้งหมดเพื่อ เติมเต็มการอยู่อาศัยให้สมบูรณ์แบบแก่ลูกบ้านแสนสิริ “บริษัทมีแผนเปิดตัวคอนโดมิเนียมแบรนด์ เดอะ เบส ภายใต้คอนเซ็ปต์ใหม่ MARK MY BASE ในปี 2561 จำนวน 3 โครงการ ทำเลกรุงเทพฯ และภูเก็ต ได้แก่ เดอะ เบส เซ็นทรัล – ภูเก็ต, เดอะ เบส สะพานใหม่ และเดอะ เบส สุขุมวิท 50 มูลค่ารวมกว่า 6,100 ล้านบาท โดยหลังจากที่บริษัทได้เผยโฉม THE BASE New Series ในแบบที่สะท้อนความเป็นตัวคุณ โครงการแรก เดอะ เบส เซ็นทรัล – ภูเก็ต จำนวน จำนวน 590 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,660 ล้านบาท เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาปรากฎว่าได้รับการตอบรับที่ดีจนสามารถปิดการขายได้ทันทีในวันพรีเซลล์” นายภูมิภักดิ์ กล่าว     สำหรับโครงการ “เดอะ เบส สะพานใหม่” ภายใต้ความร่วมมือระหว่างแสนสิริและบีทีเอส กรุ๊ป จำนวน 820 ยูนิต มูลค่าโครงการกว่า 2,800 ล้านบาท พัฒนาขึ้นภายใต้แนวคิด MY BASE REVEALS NEW PERSPECTIVES (มาย เบสมีหลายมุม) ผสมผสานองค์ประกอบของความแตกต่างอย่างลงตัวภายใต้คอนเซ็ปต์ความย้อนแย้ง (Irony) สะท้อน ไลฟ์สไตล์ที่หลากหลาย ตั้งอยู่บนทำเลที่น่าจับตามองในอนาคตเพียง 0 เมตรจากสถานีสายหยุด ส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสายสีเขียวที่จะเปิดให้บริการในปี 2563 และรถไฟฟ้าสายสีชมพูที่สถานีวัดพระศรีมหาธาตุ พร้อมเชื่อมต่อถนนหลายสายหลักอย่างวิภาวดีรังสิต พหลโยธิน และสนามบินดอนเมือง ทั้งยังตั้งอยู่ใกล้โรงพยาบาล มหาวิทยาลัยและสถานที่ราชการหลายแห่ง เต็มอิ่มกับการใช้ชีวิตด้วยพื้นที่ส่วนกลางเปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง 7 วัน ซึ่งมีพื้นที่รวมสูงถึง 4,800 ตารางเมตร จากพื้นที่โครงการทั้งหมด 4 ไร่ พร้อมโดดเด่นด้วย Rooftop Facilities เต็มพื้นที่ชั้นดาดฟ้าของโครงการที่รวบรวมทั้งสวนสวย พื้นที่ดูดาว ลู่วิ่ง และสระว่ายน้ำขนาดใหญ่ และ Panoramic Gym ที่ชั้น 14 เข้าไว้ด้วยกันพร้อมเชื่อมต่ออาคาร 2 ฝั่งด้วยทางเชื่อมแบบ Spiral Bridge ซึ่งออกแบบขึ้นด้วยหลัก Universal Design รองรับการใช้งานของคนทุกวัย นอกจากนี้ยังนำเสนอประสบการณ์ใหม่ของการอยู่อาศัยแนวสูงด้วยยูนิตแบบลอฟท์ (Loft Unit) เพดานสูง 4.55 เมตร ที่ชั้น 14 ช่วยเพิ่มพื้นที่การใช้งานให้มากขึ้นกว่าเดิมโดยมีพื้นที่ใช้สอยให้เลือกสรรหลายขนาดตามความต้องการ พร้อมเปิดขายแบบแต่งครบ (Fully Furnished) ในราคาเริ่มต้นเพียง 2.29 ล้านบาท     โครงการเดอะ เบส สุขุมวิท 50 ภายใต้ความร่วมมือกับโตคิว คอร์ปอเรชั่น จำนวน 415 ยูนิต มูลค่าโครงการกว่า 1,600 ล้านบาท พัฒนาขึ้นภายใต้แนวคิด MY BASE DISCOVER THE UNEXPECTED (มาย เบส คือ การค้นพบ) เพื่อให้คนรุ่นใหม่สามารถเข้ามาค้นพบความแตกต่าง อย่างเป็นตัวเอง ตั้งอยู่บนซอยสุขุมวิท 50 เชื่อมต่อทุกการเดินทางด้วยทางด่วน 2 สายหลักทั้งฉลองรัช และเฉลิมมหานคร สามารถเดินทางสู่พื้นที่ต่าง ๆ ของกรุงเทพฯ อย่างรวดเร็ว ด้วยรถไฟฟ้าบีทีเอส เพียง 2 นาที จากบีทีเอสอ่อนนุช พร้อมบริการรถรับ-ส่งจากโครงการ อีกทั้งยังมีศักยภาพสูงในเรื่องของการลงทุนด้วย Rental Yield ของคอนโดมิเนียม แสนสิริในย่านนี้ที่เฉลี่ยสูงถึง 5-10% พร้อมสะท้อนตัวตนของคุณด้วยดีไซน์การออกแบบโครงการที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ ทั้งภายนอกและภายในโครงการ อาทิ การออกแบบฟาสาด (Façade) ที่เล่นสนุกกับสีสัน คู่ตรงข้าม (Contrast) และลวดลายพรางสายตา (Camouflage) รวมถึงการดีไซน์ภายในส่วนกลางของโครงการด้วย หินเทอร์ราซโซ (Terrazzo) จากประเทศอิตาลีที่สั่งผลิตในลวดลายพิเศษสำหรับโครงการนี้โดยเฉพาะ เป็นวัสดุหลักในการตกแต่ง และโคมไฟคอลเลคชั่น เมลท์เพนแดนท์ (Melt Pendant) จากดีไซน์เนอร์ชื่อดังทอม ดิกซอน (Tom Dixon) ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากการหลอมละลายที่เกิดขึ้นในปรากฏการณ์ธรรมชาติ นอกจากนี้ยังสามารถรองรับการใช้งานหลากฟังก์ชั่น ด้วยความลงตัวของการออกแบบพื้นที่ภายในห้องพัก และสิ่งอำนวยความสะดวกในพื้นที่ส่วนกลางที่แตกต่าง ให้ความเป็นส่วนตัวในการใช้งาน พร้อมเปิดขายแบบแต่งครบ (Fully Furnished) ในราคาเริ่มต้นเพียง 2.29 ล้านบาท โดยทั้ง 2 โครงการจะเปิดพรีเซลอย่างเป็นทางการในวันที่ 22-23 กันยายน 2561 นี้ พร้อมมอบข้อเสนอสุดพิเศษ! ฟรีเครื่องใช้ไฟฟ้า โดยลูกค้าที่สนใจสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ www.sansiri.com โทร. 1685   “ด้วยปัจจัยภาพรวม อาทิ ตัวเลขเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมาที่สะท้อนพื้นฐานเศรษฐกิจไทยที่ดี มีการปรับเป้าการส่งออกเพิ่มขึ้น ความเชื่อมั่นผู้บริโภคในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาที่สูงสุดในรอบ 5 ปี รวมถึงกำลังซื้อลูกค้าและทิศทางความต้องการที่อยู่อาศัยที่ขยายตัวในช่วงครึ่งปีหลัง เมื่อรวมกับการสร้างกระแสแบรนด์เดอะ เบส ภายใต้คอนเซ็ปต์ใหม่ “MARK MY BASE” เชื่อมั่นว่าจะส่งผลให้ทั้ง 2 โครงการคอนโดมิเนียมเดอะ เบส ได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้าทั้งในด้านราคา ทำเล พื้นที่ใช้สอย และฟังก์ชั่นการใช้งาน ส่งผลให้ยอดขายรวมคอนโดมิเนียมของแสนสิริในปีนี้เป็นไปตามเป้าหมาย 30,000 ล้านบาท ก้าวสู่ปีแห่ง “Sansiri Best Year Ever ” ได้อย่างสมบูรณ์” นายภูมิภักดิ์กล่าว #SansiriBestYearEver
จาก “บิ๊ก ดาต้า” สู่กลยุทธ์บ้านที่เติมเต็มทุกการใช้ชีวิตของแสนสิริ

จาก “บิ๊ก ดาต้า” สู่กลยุทธ์บ้านที่เติมเต็มทุกการใช้ชีวิตของแสนสิริ

ในโลกยุคปัจจุบัน ถือเป็นยุคแห่งการปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในทุกมิติ ทั้งทางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง และเทคโนโลยีแบบวินาทีต่อวินาที ส่งผลให้พฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน การนำ “บิ๊กดาต้า” (Big Data) หรือข้อมูลที่มีอยู่อย่างมหาศาลจากการเก็บรวบรวมในที่ต่างๆ มาวิเคราะห์ เพื่อให้ได้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับพฤติกรรมผู้บริโภคมาใช้จึงเป็นเทคโนโลยีที่สามารถสร้างแต้มต่อให้แก่การทำธุรกิจในยุคปัจจุบันได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล   ปัจจุบันองค์กรชั้นนำต่างๆ มีการนำข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับความต้องการของผู้บริโภคจากบิ๊กดาต้ามาใช้อย่างแพร่หลาย ส่วนภาคอสังหาริมทรัพย์เองก็มีการนำบิ๊กดาต้ามาใช้เพื่อจับเทรนด์พฤติกรรมของผู้บริโภคว่า ในขณะนี้ผู้บริโภคมีความต้องการเชิงลึกอะไร และจะต้องออกแบบที่อยู่อาศัยและดูแลลูกบ้านอย่างไรเพื่อให้ตอบสนองความต้องการทั้งในปัจจุบันและอนาคต แสนสิริเป็นอีกหนึ่งองค์กรที่นำบิ๊กดาต้ามาใช้ เพื่อวิเคราะห์พฤติกรรมเชิงลึกของผู้บริโภคที่มีความหลากหลายในแต่ละเจนเนอเรชั่น และตีโจทย์ออกมาเป็นกลยุทธ์องค์กรและผลงานที่เป็นรูปธรรมครอบคลุมทุกมิติในการใช้ชีวิตของผู้พักอาศัย   นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา แสนสิริไม่หยุดยั้งที่จะพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อเติมเต็มการใช้ชีวิตในทุกๆ ด้านแก่ลูกบ้าน โดยมีการนำบิ๊กดาต้า ซึ่งเป็นการรวบรวมฐานข้อมูลจากภายนอกและภายในของแสนสิริเอง มาวิเคราะห์ กลั่นกรอง ออกแบบ และพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ผ่านทีมแสนสิริดีไซน์ โซลูชั่น ดีพาร์ทเมนท์ (DSD) และทีมวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ (Product Development) ที่ใส่ใจทุกรายละเอียด ตั้งแต่ก่อนการพัฒนาคอนเซ็ปต์โครงการไปจนถึงการดูแลหลังการขาย เรียกได้ว่าเป็นการคิดและใส่ใจตลอดเส้นทางของผู้บริโภค (Customer Journey) โดยแนวคิดบ้านเติมเต็มทุกการใช้ชีวิต นี้ได้มี 4 มาตรฐานหลักในการพัฒนาการ ดูแล และนำมาใช้กับทุกโครงการด้านหลักๆ ของแสนสิริ คือ การออกแบบ (Design) คุณภาพ (Quality) เทคโนโลยี (Technology) และการบริการ (Service) เพื่อตอบโจทย์ทุกความต้องการและการใช้ชีวิตที่หลากหลายของผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน   การออกแบบ กับ คุณภาพ เป็นสิ่งที่แสนสิริมองว่า ต้องมาคู่กัน การออกแบบที่ดีนอกจากดีไซน์ที่สวยงามและก่อสร้างได้จริงแล้ว จะต้องมาพร้อมกับฟังก์ชั่นที่ใช้งานได้จริง ตอบโจทย์ทุกการอยู่อาศัยของอยู่อาศัย ซึ่งจากข้อมูลบิ๊กดาต้าของแสนสิริ พบว่า ผู้อยู่อาศัยบ้านเดี่ยว มักจะอยู่รวมกันถึง 3 เจนเนอเรชั่น คือ รุ่นปู่ ย่า พ่อแม่ และลูก ในการออกแบบโครงการประเภทบ้านเดี่ยวจึงต้องออกแบบให้ครอบคลุมเพื่อตอบโจทย์สำหรับ 3 เจนเนอเรชั่น ตั้งแต่การออกแบบให้ชั้นล่างมีห้องนอน เพื่อรองรับผู้สูงอายุจะได้ไม่ต้องเดินขึ้นลงบัน ออกแบบให้ขนาดห้องน้ำมีความกว้างมากกว่าปกติ มีการแยกโซนเปียกโซนแห้ง และพื้นจะต้องเรียบเสมอกัน เพราะจากฐานข้อมูล พบว่า การหกล้มและอุบัติเหตุที่เกิดกับผู้สูงอายุมักเกิดขึ้นในห้องน้ำ   การออกแบบเพื่อครอบครัวที่มีเด็กเล็ก ด้วยความใส่ใจของแสนสิริ จึงออกแบบและพัฒนาสนามเล่นที่เป็นมากกว่าสนามเด็กเล่น ภายใต้แนวคิด Educational Playground ที่ช่วยเสริมสร้างพัฒนาการด้านร่างกายและช่วยเพิ่มพูนพัฒนาการทางสมอง ในด้านทักษะการตัดสินใจ รวมถึงการแก้ปัญหาผ่านการเล่นเกมส์ โดยได้รับคำปรึกษาในการออกแบบและแนะนำเรื่องการใช้วัสดุให้ปลอดภัยในสนามเด็กเล่นจากโรงพยาบาลสมิติเวช   แสนสิริยังเติมเต็มคำว่า “บ้าน” ด้วยการออกแบบบ้านให้เย็นสบายไม่ต้องเปิดแอร์ ด้วยการออกแบบ Cool Living Designed Home อาทิ “Solar Attic” ระบบพัดลมและช่องระบายอากาศใต้หลังคาจากพลังงานแสงอาทิตย์ ทำให้ภายในตัวบ้านเย็นลง ทำให้ทุกมุมของบ้านอยู่สบายตอบโจทย์การใช้ชีวิต     นอกจากนี้ ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับความต้องการของผู้บริโภค ยังช่วยให้แสนสิริเห็นแนวโน้มสำคัญของคนรุ่นใหม่หรือคนยุคมิลเลนเนียลที่จะเริ่มมีบทบาทและกำลังซื้อมากขึ้นในอนาคต โดยข้อมูลระหว่างปีพ.ศ. 2556 - 2560 พบว่า กลุ่มดังกล่าวซื้อโครงการของแสนสิริเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 25 และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ แสนสิริจึงนำข้อมูลดังกล่าวมาใช้ในการพัฒนาโครงการ XT Condominium ที่จะตอบโจทย์การใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่ และสร้างนิยามใหม่ของไลฟ์สไตล์คอนโดมิเนียม โดยชู 3 จุดเด่น คือ Personalized Room Layouts อิสระในการเลือกรูปแบบห้อง 6 สไตล์ Co-Sharing Spaces เกิดจากแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่ที่ชื่นชอบวัฒนธรรม Sharing Economy โดยแลกเปลี่ยนการเข้าใช้ Co-Sharing Spaces ที่แตกต่างกันได้ทุกโครงการภายใต้แบรนด์ XT และVirtual Activities ตอบรับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ที่สนใจเทคโนโลยี และ ระบบ Home Automation สำหรับการควบคุมและสั่งการเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ ภายในยูนิตและส่วนกลาง   เทคโนโลยีและนวัตกรรม แสนสิริ เป็นผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์รายแรกที่มีการนำ Prop Tech มาช่วยเติมเต็มการใช้ชีวิตของลูกบ้านในฐานะครอบครัวของแสนสิริ ผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล ที่ต่อยอดมาจากบิ๊กดาต้า โดยเฉพาะในเรื่องของ Customer Journey ของแสนสิริ จนออกมาเป็น Sansiri Home Service Application แอปพลิเคชันเดียวที่เชื่อมต่อการใช้ชีวิตของลูกบ้านให้ง่ายขึ้นผ่านปลายนิ้วสัมผัส ไม่ว่าจะเป็นการสื่อสารระหว่างลูกบ้าน แสนสิริ และนิติบุคคลแบบเรียลไทม์ ระบบแจ้งเตือนเมื่อมีจดหมายหรือพัสดุมาถึง ระบบแสดงค่าส่วนกลาง ยอดเงินฝาก ยอดเงินค้างชำระ รวมถึงระบบแจ้งซ่อม และ ตรวจสอบสถานะการแจ้งซ่อม โดยที่ไม่ต้องลงไปตรวจสอบทางฝ่ายนิติบุคคลด้วย ปัจจุบัน Sansiri Home Service Application ของแสนสิริมีผู้ใช้งานมากกว่า 20,000 คน   การบริการ ที่ไม่ใช่แค่บริการหลังการขาย แสนสิริพร้อมการสร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้แก่ลูกบ้านตั้งแต่ก่อนซื้อ จนกระทั่งการย้ายเข้ามาอยู่ แสนสิริจึงได้พัฒนา Sansiri Move in Experience ขึ้น ในรูปแบบดิจิทัลแพลตฟอร์มเพื่อดูแลลูกบ้านตลอดทุกการใช้ชีวิต รวมถึงดูแลสิทธิพิเศษให้กับลูกบ้านแสนสิริก่อนใครอย่าง Sansiri Priority และ Sansiri Family   ด้านความปลอดภัยซึ่งถือเป็นหัวใจของการอยู่อาศัย แสนสิริพัฒนา Sansiri Security System ระบบรักษาความปลอดภัยที่ผสานระหว่างการทำงานของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย (รปภ.) มืออาชีพ ร่วมกับการนำเทคโนโลยีระบบอุปกรณ์รักษาความปลอดภัยที่ทันสมัยมาใช้ อาทิเช่น Face Recognition บันทึกใบหน้าและลายนิ้วมือของผู้มาติดต่อ กล้องวงจรปิดที่พร้อมจับความผิดปกติตลอด 24 ชั่วโมง Digital Fence ระบบรั้วแจ้งเตือนเหตุการณ์ฉุกเฉิน โดยตรวจจับและส่งสัญญานแจ้งเตือนเมื่อมีการบุกรุก   ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งที่แสนสิริสร้างสรรค์ขึ้นด้วยความเข้าใจข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับความต้องการของผู้บริโภคเพื่อ “เติมเต็มการใช้ชีวิตในทุกๆด้านอย่างแท้จริง นับเป็นอีกหนึ่งองค์กรที่นำความต้องการของลูกค้ามาวิเคราะห์และใช้ให้เกิดประโยชน์ทางธุรกิจและเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภคได้อย่างเป็นรูปธรรม
SIRI ปลื้มขายเกลี้ยงหุ้นกู้ล็อตใหญ่ 5 พันล้านบาท  พร้อมนำเงินลงทุนจับมือพันธมิตรระดับโลกลุยธุรกิจในไทย พัฒนาโครงการใหม่ไตรมาส4 และขยายกำลังการผลิตโรงงานพรีคาสต์

SIRI ปลื้มขายเกลี้ยงหุ้นกู้ล็อตใหญ่ 5 พันล้านบาท พร้อมนำเงินลงทุนจับมือพันธมิตรระดับโลกลุยธุรกิจในไทย พัฒนาโครงการใหม่ไตรมาส4 และขยายกำลังการผลิตโรงงานพรีคาสต์

บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI สุดปลื้มหลังปิดจ๊อบขายหุ้นกู้ล็อตใหญ่ 5,000 ล้านบาทหมดเกลี้ยง นักลงทุนให้ความเชื่อมั่นตอบรับดีจากความแข็งแกร่งของแผนธุรกิจภายใต้ Sansiri Best Year Ever เผยพร้อมนำเงินทุนเสริมแกร่งรับแผนขยายธุรกิจ อาทิ การสานต่อกลยุทธ์การเติบโตอย่างก้าวกระโดดด้วยการจับมือกับบริษัทชั้นนำระดับโลกพลิกโฉมวงการอสังหาริมทรัพย์ในไทยและเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในตลาดต่างประเทศ นำไปเป็นเงินทุนหมุนเวียนต่อยอดกำลังการผลิตโรงงานพรีคาสต์และป้อนการพัฒนาโครงการใหม่ของแสนสิริในไตรมาส 4 ทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์และคอนโดมิเนียม เดินหน้าเต็มกำลังการผลิต 100% ในทั้ง 2 โรงงาน รองรับความต้องการใช้ได้ถึง 8.5 แสนตร.ม.ต่อปี เติบโตตามแผนการเปิดโครงการใหม่ เผยการระดมทุนผ่านหุ้นกู้ในปีนี้ได้รับความสนใจเกินคาดและช่วยลดต้นทุนทางการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยต้นทุนการเงินล่าสุดอยู่ที่ 3.20%     นายวันจักร์ บุรณศิริ ประธานผู้บริหารสายงานการเงินและสนับสนุนธุรกิจ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) (SIRI) เปิดเผยว่า ล่าสุดบริษัทประสบความสำเร็จในการออกหุ้นกู้เสนอขายไม่เกิน 5,000 ล้านบาท ดอกเบี้ยคงที่ 3.20% ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุก ๆ 3 เดือนตลอดอายุของหุ้นกู้ 3 ปี ในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา โดยปรากฏว่าได้รับการต้อนรับจากนักลงทุนอย่างล้นหลาม จนทำให้หุ้นกู้ล้อตใหญ่ ขายหมดในระยะเวลารวดเร็ว โดย ทั้งนี้ ทริส เรทติ้ง ได้จัดอันดับความน่าเชื่อถือของหุ้นกู้ในระดับ “BBB+” แนวโน้ม “คงที่” เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2561 ที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นถึงสถานะความเป็นผู้นำของบริษัทและผลการดำเนินงานในช่วงที่ผ่านมาในการพัฒนาที่อยู่อาศัย ตลอดจนแบรนด์ที่แข็งแกร่งเป็นที่ยอมรับในที่อยู่อาศัยทุกประเภททั้ง คอนโดมิเนียม บ้านเดี่ยว และทาวน์เฮาส์ รวมถึงความครอบคลุมในทุกระดับราคา     สำหรับการเสนอขายหุ้นกู้ในครั้งนี้ ยังนับเป็นการเสนอขายหุ้นกู้มูลค่าสูงที่สุดที่แสนสิริเคยเปิดการจำหน่ายมาก่อน ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยมจากนักลงทุน โดยเงินทุน 5,000 ล้านบาท ที่ได้จากการขายหุ้นกู้ในครั้งล่าสุดนี้ ส่วนหนึ่งเพื่อนำไปชำระคืนหุ้นกู้เดิมที่หมดอายุลง และเดินหน้าสานต่อกลยุทธ์การเติบโตอย่างก้าวกระโดดจากการเป็นพันธมิตรกับบริษัทชั้นนำระดับโลก อาทิ การจับมือกับ Standard International แบรนด์ที่ทรงพลังที่สุดในธุรกิจบูติกโฮเทล พลิกโฉมวงการอสังหาริมทรัพย์ในไทย และจับมือกับ Hostmaker บริษัทบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์อันดับหนึ่งจากลอนดอน เข้ามาช่วยบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์ให้แก่ลูกบ้านและเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในตลาดต่างประเทศ   นอกจากนี้บริษัทจะนำเงินไปขยายการลงทุนเพิ่มกำลังการผลิตในโรงงานพรีคาสท์แบบ Semi-Automated Carousel System ของแสนสิริ ซึ่งใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยจากประเทศเยอรมัน โดยกระบวนการผลิตทุกสถานีควบคุมด้วยคอมพิวเตอร์ และมีการนำเทคโนโลยีหุ่นยนต์มาใช้ในการประกอบแบบข้าง (Shuttering Robot) ทำให้เกิดความแม่นยำในการกำหนดขนาดชิ้นงานพรีคาสท์ ทำงานได้รวดเร็ว ประหยัดเวลา และลดระยะเวลาการก่อสร้าง สำหรับพัฒนาโครงการใหม่ของแสนสิริในไตรมาส 4 ทั้งบ้านดี่ยว ทาวน์เฮาส์และคอนโดมิเนียม     ปัจจุบันโรงงานพรีคาสท์ของแสนสิริในทั้ง 2 โรงงาน มูลค่าการลงทุน 750 ล้านบาท ตั้งอยู่ในพื้นที่ประมาณ 107 ไร่ คลอง 10 ลำลูกกา จ.ปทุมธานี มีกำลังการผลิตผนังสำเร็จรูปป้อนให้โครงการต่างๆ ของแสนสิริได้ 100% โดยมีการวางแผนการผลิตพรีคาสต์ให้สอดคล้องกับแผนการเปิดโครงการใหม่ที่จะเติบโตขึ้นในทุกๆปี โดยในปี 2561 โรงงานพรีคาสต์ของแสนสิริ สามารถผลิตแผ่นสำเร็จรูปได้สูงสุดถึง 8.5 แสนตารางเมตรต่อปี ผนังสำเร็จรูปที่ผลิตได้นำไปใช้พัฒนาที่อยู่อาศัยในโครงการบ้านเดี่ยวทุกโครงการของแสนสิริ อาทิ บ้านเดี่ยวแบรนด์คณาสิริ, สราญสิริ, บุราสิริ และเศรษฐสิริ ในส่วนของทาวน์เฮาส์ ใช้กับทุกโครงการของสิริเพลส และคอนโดมิเนียม ใช้กับ Façade ในโครงการ ดีคอนโด ธรรมศาสตร์2, เดอะ ไลน์ วงศ์สว่าง, เดอะ ไลน์ ราชเทวี, โมนูเมนต์ สนามเป้า และใช้เป็นส่วนประกอบอาคารของโครงการดีคอนโด ศรีราชา เป็นต้น นอกจากนี้บริษัทยังมีแผนเปิดตัวโรงงานพรีคาสต์เพิ่มเติมในปีหน้าอีกด้วย     “สำหรับการระดมทุนผ่านการออกหุ้นกู้ถือเป็นการบริหารต้นทุนของแสนสิริอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งในปี 2561 ต้นทุนทางการเงินจากการออกหุ้นกู้ของแสนสิริลดลงมาอยู่ที่ 3.20% โดยปัจจุบันแสนสิริมีสัดส่วนการระดมทุนจากหุ้นกู้อยู่ที่ 50% การกู้จากสถาบันการเงินอยู่ที่ 25% และอีก 25% เป็นเงินกู้ระยะสั้นของบริษัท จากการเข้าถึงแหล่งทุนที่มีต้นทุนต่ำนี้ทำให้แสนสิริสามารถนำเงินทุนที่ได้มาพัฒนาโครงการใหม่ๆได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้บริษัทสามารถก้าวสู่ปีแห่งการเติบโตเป็นประวัติการณ์ จากการตั้งเป้าหมายยอดขายสูงที่สุด 45,000 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นปีที่ดีที่สุดของแสนสิรินับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท” นายวันจักร์ กล่าว #SansiriBestYearEver
แสนสิริ จับมือฮาบิแททเอาใจคนรุ่นใหม่ เผยเทรนด์การตกแต่งบ้านคอนเซ็ปท์ ‘A REFLECTION OF LIVING IN STYLE’

แสนสิริ จับมือฮาบิแททเอาใจคนรุ่นใหม่ เผยเทรนด์การตกแต่งบ้านคอนเซ็ปท์ ‘A REFLECTION OF LIVING IN STYLE’

เมื่อ Design Matters เรื่องของดีไซน์ไม่เคยอยู่ไกลตัวเรา ทุกสิ่งประดิษฐ์ที่เราใช้ในชีวิต ประจำวัน ล้วนเป็นผลผลิตมาจากการออกแบบทั้งสิ้น ไม่ว่าจะสร้างสรรค์มาเพื่อตอบโจทย์ ความสะดวกสบาย หรือเติมเต็มการใช้ชีวิต ดีไซน์ที่ดี พร้อมทั้งรูปลักษณ์และประโยชน์ใช้สอย นอกจากจะทำให้เราใช้ชีวิตสะดวกสบายขึ้น ยังสะท้อนตัวตนของเราอีกด้วย   แสนสิริจึงร่วมกับฮาบิแทท เปิดคอลเลคชั่นเฟอร์นิเจอร์สุดเอ็กซ์คลูซีฟ จากฮาบิแทท ดีไซน์ สตูดิโอระดับโลก ที่มาพร้อมกับแนวคิด “A REFLECTION OF LIVING IN STYLE” ผลงานออกแบบเอ็กซ์คลูซีฟที่ยึดถือความงามอันเรียบง่าย ละทิ้งการตกแต่งประดับประดาที่มากเกินไป เกิดเป็นความกลมกลืนกับสภาพแวดล้อม สะท้อนแนวคิดการใช้ชีวิต และตัวตนของ คนรุ่นใหม่     คุณชัยจักร วทัญญู ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ให้ความเห็นเรื่องเทรนด์ของงานดีไซน์สถาปัตยกรรมและการตกแต่งในปัจจุบันว่าความซับซ้อน ของสภาพสังคม และเศรษฐกิจในปัจจุบัน ทำให้ผู้คนแสวงหาความเป็นธรรมชาติ ความเรียบง่าย ที่จะทำให้รู้สึกปลอดโปร่ง ปราศจากความวุ่นวาย จะเห็นว่ากระแสมินิมอล สโลว์ไลฟ์ เรียบแต่โก้ กำลังเป็นที่นิยมในกลุ่มคนรุ่นใหม่ และถูกนำมาใช้ในวงการออกแบบ ทั้งงานสถาปัตยกรรม งานออกแบบตกแต่งภายใน งานแฟชั่น และงานออกแบบเฟอร์นิเจอร์ ซึ่งสไตล์ออกแบบบ้าน ที่สะท้อนการใช้ชีวิตของคนยุคปัจจุบันจะออกมาในรูปทรงโมเดิร์น ที่ลดทอนรายละเอียดลงไป เน้นการใช้รูปทรงเรขาคณิต ทรงเหลี่ยมเพื่อให้ได้พื้นที่ใช้สอย โทนสีก็จะเรียบง่ายสบายตา ส่วนอีกสไตล์หนึ่งที่นิยมกันก็จะเป็นบ้านสไตล์รีสอร์ตที่กลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ ให้ความรู้สึกผ่อนคลาย ปลอดโปร่ง”   สำหรับงานออกแบบเฟอร์นิเจอร์สไตล์มินิมอล หลายคนจะนึกถึงแบรนด์ฮาบิแทท ที่เรียบง่าย แต่โดดเด่นด้วยวัสดุ และประโยชน์ใช้สอยที่ใช้งานได้จริง มาครั้งนี้ แสนสิริและฮาบิแททเลือกที่ จะนำเสนอผลงานใน 3 คอลเลคชั่น ที่ถ่ายทอดความหมายของ Less is More และ Simplicity มาเป็นงานดีไซน์เฟอร์นิเจอร์แบบครบองค์ประกอบของการอยู่อาศัย ตั้งแต่ คอร์เนอร์โซฟา ที่จัดเจนในด้านฟังก์ชั่นใช้สอยและความประณีต หรือจะเป็น Dining set ที่ได้แรงบันดาลใจ มาจากเส้นสายความอ่อนช้อยตามธรรมชาติของอาร์ต นูโว ไปจนถึงชุดโต๊ะ ตู้ เตียง เฟอร์นิเจอร์ ที่แฟนพันธุ์แท้ มินิมอลลิส รักความเป็นธรรมชาติ ต้องสรรหามาใส่ในบ้าน และห้องนอน     มร.วินเซนต์ เดตาเยอร์ CEO ของฮาบิแทท กล่าวว่า ฮาบิแททคือ ความลงตัวของ Minimal กับ Space งานออกแบบเฟอร์นิเจอร์ทั้ง 3 คอลเลคชั่นนี้ เป็นงานออกแบบที่แสดงชัดถึงการ ลดทอนเส้นสาย สิ่งไม่จำเป็นต่างๆ ออก คงเหลือแต่ ความเรียบ เท่ จะเน้น ไปที่สีเอิร์ธโทน เป็นหลัก เช่นสีน้ำตาล โทนต่างๆ ของไม้ สีเทา สีขาว สีน้ำเงิน จะจัดวางตรงไหน ก็ลงตัว สามารถมิกซ์แอนด์แมทช์ ได้ง่าย กลมกลืนไปกับพื้นที่ที่ล้อมรอบ (Space) ให้ความสุนทรีย์และ ความปลอดโปร่ง นอกจากนี้ยังมาพร้อมด้วยฟังก์ชั่น ใช้การออกแบบเพื่อซ่อนการจัดเก็บ สิ่งของอย่างมีดีไซน์ ตลอดจนมีความประณีตในการผลิต คัดเลือกผ้าทอชั้นดี ให้สัมผัสที่ อ่อนโยนต่อทั้งสายตาและการใช้งาน     “ฮาบิแททเป็นแบรนด์ที่ได้รับการยอมรับระดับโลกมายาวนานกว่า 50 ปี ในกลุ่มลูกค้าที่ชอบงานดีไซน์ ที่สวย เรียบง่ายสไตล์มินิมอล เน้นการโชว์พื้นผิวของไม้จริงจากยุโรป เช่นไม้โอ๊ค ไม้บีช และไม้แอช ขณะเดียวกันก็มีเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัย คัดสรรค์วัสดุคุณภาพดี มีความคงทน ซึ่งทั้ง 3 คอลเลคชั่นนี้ เป็นคอลเลคชั่นที่ดีไซน์ เฉพาะสำหรับแสนสิริเท่านั้น” มร.วินเซนท์ สรุป   สำหรับลูกบ้านและผู้สนใจในโครงการ บุราสิริ และเศรษฐสิริ สามารถเยี่ยมชมบ้านตัวอย่าง และพบกับคอลเลคชั่นสุดเอ็กซ์คลูซีฟจากฮาบิแททใน 6 โครงการนำร่อง ได้แก่ บุราสิริ วงแหวน-อ่อนนุช บุราสิริ ราชพฤกษ์ 345 เศรษฐสิริ พหล-วัชรพล เศรษฐสิริ กรุงเทพกรีฑา เศรษฐสิริ ปิ่นเกล้า-กาญจนา และ เศรษฐสิริ วงแหวน ลำลูกกา พร้อมเงื่อนไขพิเศษแพคเกจ เฟอร์นิเจอร์ราคาเริ่มต้น 650,000 บาท หรือสามารถเข้าดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.sansiri.com โทร. 1685
แสนสิริผนึกบีซีพีจี ล้ำหน้าเปิดโครงการนำร่องแลกเปลี่ยนไฟฟ้าสะอาดแบบเรียลไทม์ ด้วย Blockchain ที่ใหญ่ที่สุดในโลกแล้ววันนี้ที่ T77

แสนสิริผนึกบีซีพีจี ล้ำหน้าเปิดโครงการนำร่องแลกเปลี่ยนไฟฟ้าสะอาดแบบเรียลไทม์ ด้วย Blockchain ที่ใหญ่ที่สุดในโลกแล้ววันนี้ที่ T77

แสนสิริ จับมือ บีซีพีจี ประกาศความสำเร็จในการเริ่มใช้ระบบแลกเปลี่ยนพลังงานไฟฟ้ารูปแบบใหม่แบบเพียร์ทูเพียร์ (Peer-to-Peer) ด้วยการทำธุรกรรมโดยใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) ในโครงการที่พักอาศัยที่ใหญ่ที่สุดในโลกและเป็นครั้งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยนำร่องระบบแลกเปลี่ยนพลังงานจริงแล้ววันนี้ที่โครงการทาวน์สุขุมวิท 77 หรือ T77 ก่อนจะเริ่มมีการซื้อขายอย่างเป็นทางการภายในเดือนกันยายนปีนี้ ซึ่งนับเป็นการประสานความร่วมมือระหว่างพันธมิตรในระดับกลยุทธ์ในการผสานความเชี่ยวชาญข้ามอุตสาหกรรมของภาคเอกชนในระดับมหภาคระหว่างผู้นำในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และพลังงานทดแทนของไทย ภายใต้ยุทธศาสตร์การบริหารจัดการพลังงานเพื่ออนาคต (Energy management for the future) ด้วยการสร้างปรากฏการณ์เปลี่ยน Consumerเป็น “Prosumers” ยุคแห่งการผลิตโดยผู้บริโภคซึ่งคนไทยสามารถเป็นทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภคพลังงานสะอาดจากพลังงานไฟฟ้าทดแทน   อีกทั้งยังสามารถขายพลังงานส่วนเกินที่ผลิตได้ให้กับสมาชิกในชุมชน พร้อมมุ่งเดินหน้าสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของการพัฒนาแนวทางการอยู่อาศัยอย่างยั่งยืน (Green Sustainable Living) รวมทั้งการความยั่งยืนในการใช้พลังงานทดแทนในประเทศไทยไปอีกขั้น คาดว่าจะสามารถลดต้นทุนค่าไฟฟ้า และลดการส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการลดคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าการปลูกป่าถึง 400 ไร่ ตามแนวคิด Low Cost-Low Carbon ด้วยกำลังการผลิตพลังงานสะอาดถึง 20% ของปริมาณไฟฟ้าที่ใช้ทั้งหมดในโครงการ T77 ซึ่งคาดว่าไฟฟ้าสะอาดทุกหน่วยที่ผลิตได้จะช่วยประหยัดค่าไฟต่อหน่วยให้ลูกบ้านแสนสิริได้ถึง 15% พร้อมเผยแผนการระยะยาวในการนำไปใช้ในโครงการอสังหาริมทรัพย์ของแสนสิริกว่า 20 โครงการภายในปี 2018 ภายใต้แผนพัฒนาชุมชนพลังงานสีเขียวอัจฉริยะ (Smart Green Energy Community) นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “แสนสิริมุ่งมั่นและให้ความสำคัญกับการสร้างชุมชนที่พักอาศัยอย่างยั่งยืนภายใต้แนวทางที่ชาญฉลาด เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และประหยัดพลังงาน (Green Sustainable Living) ด้วยการแสวงหาเทคโนโลยีเพื่อสิ่งแวดล้อมใหม่ ๆ อย่างไม่หยุดยั้ง ซึ่งถือได้ว่าเป็นวาระสำคัญในการดำเนินธุรกิจของแสนสิริมาอย่างยาวนาน โดยหนึ่งในเป้าหมายของแสนสิริคือการนำพลังงานทดแทนมาใช้ในทุกโครงการ ภายใต้ยุทธศาสตร์การบริหารจัดการพลังงานเพื่ออนาคต(Energy management for the future) ประกอบกับในปัจจุบันเทคโนโลยีการผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคากำลังได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย   เราจึงได้ริเริ่มนำระบบการผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ไปติดตั้งในหลาย ๆ โครงการที่กำลังก่อสร้างอยู่ การจับมือกับบีซีพีจีในฐานะพันธมิตรระดับกลยุทธ์ (Strategic partnership) ในครั้งนี้นับเป็นการผลักดันวาระ Green Sustainable Living ของแสนสิริให้ก้าวล้ำไปอีกระดับ ด้วยการวางระบบพลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์แบบเพียร์ทูเพียร์ (Peer-to-Peer) โดยใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนในที่พักอาศัย ที่เราคัดสรรระบบที่เหมาะสำหรับแต่ละคอนโดมิเนียมและบ้านเดี่ยวกว่า 20 โครงการ โดยนับเป็นครั้งแรกของอีกขั้นในการพัฒนานวัตกรรมด้านพลังงานสำหรับโครงการที่พักอาศัยทั้งในประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเป็นการแลกเปลี่ยนพลังงานผ่านระบบบล็อคเชนที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งการปฏิวัติระบบการจัดจำหน่ายพลังงานในครั้งนี้จะช่วยสร้างประสบการณ์ในการพักอาศัยที่มีความยั่งยืนให้กับลูกบ้านของแสนสิริ โดยมีไฮไลท์สำคัญคือการที่ลูกบ้านจะได้เป็นผู้ผลิตและผู้บริโภคในเวลาเดียวกันในฐานะ Prosumer เป็นครั้งแรก ทำให้เราสามารถสร้างระบบการแลกเปลี่ยนใหม่ในตลาดพลังงานที่ก้าวข้ามข้อจำกัดเดิมๆ โดยประโยชน์ที่จะเกิดอย่างชัดเจนแก่ลูกบ้านแสนสิริที่อาศัยในโครงการที่มีการวางระบบนี้คือสามารถประหยัดค่าไฟฟ้า โดยไฟฟ้าสะอาดทุกหน่วยที่ผลิตได้จะช่วยประหยัดค่าไฟต่อหน่วยได้ถึง 15% และยังสร้างความภูมิใจให้ลูกบ้านจากการมีส่วนร่วมในดูแลสิ่งแวดล้อมโดยการลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ จากกำลังการผลิตพลังงานสะอาดถึง 20% ของปริมาณกระแสไฟฟ้าที่ใช้ทั้งหมดในโครงการ T77 ช่วยลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 530 ตันต่อปีโดยประมาณ หรือเท่ากับการปลูกป่า จำนวน 400 ไร่   บีซีพีจีและแสนสิริได้ติดตั้งระบบแลกเปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ผ่านเทคโนโลยีบล็อกเชนแล้ววันนี้ที่โครงการทาวน์สุขุมวิท 77 (Town Sukhumvit 77) หรือที 77 (T77) ซึ่งเป็นโครงการเมกะโปรเจ็ค (Mega Project) ของแสนสิริที่ประกอบด้วยที่พักอาศัยหลากหลายรูปแบบและไลฟ์สไตล์ฮับที่สมบูรณ์แบบบนพื้นที่กว่า 50 ไร่ในใจกลางสุขุมวิท 77 ก่อนจะเริ่มมีการซื้อขายอย่างเป็นทางการภายในเดือนกันยายนของปีนี้   โดยระบบพลังงานเซลแสงอาทิตย์บนหลังคามีกำลังการผลิตติดตั้ง 635 กิโลวัตต์ แบ่งสัดส่วนการใช้เป็น 54 กิโลวัตต์สำหรับฮาบิโตะมอลล์ (Habito Mall) ซึ่งเป็นไลฟ์สไตล์คอมมูนิตี้มอลล์ภายในโครงการ 413 กิโลวัตต์สำหรับโรงเรียนนานาชาติบางกอกเพรพ (Bangkok Prep International School) และ 168 กิโลวัตต์ สำหรับพาร์ค คอร์ท คอนโดมิเนียม (Park Court Condominium) รวมถึงโรงพยาบาลฟันที่เข้าร่วมเป็นสมาชิกในการแลกเปลี่ยนพลังงานภายในโครงการ นอกจากนั้น ยังติดตั้งระบบนี้ในโรงงานผลิตแผ่นคอนกรีตสำเร็จรูปของแสนสิริด้วยกำลังการผลิตกระแสไฟฟ้า 150 กิโลวัตต์ โดยภายในปี 2564 แสนสิริมีแผนที่ติดตั้งระบบแลกเปลี่ยนซื้อขายพลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ผ่านอินเทอร์เน็ตในโครงการใหม่ ๆ กว่า 31 โครงการ และมีกำลังการผลิตกระแสไฟฟ้ารวม 2 เมกะวัตต์ นายบัณฑิต สะเพียรชัย กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ในฐานะผู้นำ ในธุรกิจพลังงานหมุนเวียนในภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิค บีซีพีจีมุ่งมั่นสร้างอนาคตที่ยั่งยืนทางพลังงานร่วมกับพันธมิตรต่าง ๆ โดยนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ชาญฉลาด มาใช้ในการบริหารจัดการไฟฟ้าให้มีประสิทธิภาพสูงสุด เริ่มต้นจากโครงการนำร่องแลกเปลี่ยนซื้อขายไฟฟ้าทางอินเตอร์เน็ตที่โครงการที 77 (T77) ร่วมกับแสนสิริ และพาวเวอร์ เล็ดเจอร์ ผู้บุกเบิกแพลตฟอร์มการแลกเปลี่ยนพลังงานทดแทนระดับโลกจากออสเตรเลีย ซึ่งเราคาดว่าจะพร้อมซื้อขายจริงในเดือนกันยายนหลังจากช่วงนำร่อง   ถือเป็นก้าวแรกของเราในโครงการที่พักอาศัยของประเทศไทย และเป็นการเปิดใช้แพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนซื้อขายพลังงานในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ส่งผลให้ลูกบ้านแสนสิริกลายเป็นทั้งผู้บริโภคและผู้ผลิตไฟฟ้า หรือ Prosumers สามารถซื้อขายกระแสไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดที่เหลือใช้ผ่านอินเทอร์เน็ตให้แก่ผู้ร่วมโครงการ โดยจะช่วยประหยัดค่าไฟได้ประมาณ 15% ของค่าไฟฟ้าในปัจจุบัน” ข้อดีของการนำเทคโนโลยีบล็อกเชนมาใช้คือช่วยให้เกิดการแลกเปลี่ยนซื้อขายพลังงานไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานสะอาดแบบเรียลไทม์ผ่านเครือข่ายแบบเพียร์ทูเพียร์ (Peer-to-Peer) ผ่านแพลตฟอร์มที่มีความปลอดภัย รวดเร็ว โปร่งใส และปราศจากข้อผิดพลาดในการทำธุรกรรมโดยไม่ต้องมีคนกลาง ด้วยราคาที่ถูกลงและช่วยลดมลภาวะด้วยการใช้พลังงานสะอาด ตามแนวคิด Low Cost, Low Carbon   ในโครงการนำร่องที่ T77 นี้ มีผู้ร่วมโครงการ 4 อาคาร โดยมีระบบกักเก็บพลังงานหรือแบตเตอรี่ภายในโครงการ และการเชื่อมโยงกับสายส่งของการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ซึ่งแต่ละรายมีพฤติกรรมการใช้ไฟฟ้า (load profile) และศักยภาพในการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ที่แตกต่างกันโดยในเบื้องต้น ไฟฟ้าที่ผลิตได้จากโซลาร์รูฟท็อปในแต่ละอาคาร จะนำไปใช้ภายในอาคาร เพื่อให้แต่ละอาคารสามารถใช้ไฟฟ้าในต้นทุนที่ต่ำกว่าไฟฟ้าที่เคยซื้ออยู่ ในกรณีที่มีไฟฟ้าส่วนเกินจากการผลิตใช้ภายในอาคาร แต่ละอาคารสามารถนำไฟฟ้านั้นแลกเปลี่ยนกันภายในแพลตฟอร์ม โดยภายในหนึ่งเสี้ยววินาทีนั้น สามารถเกิดสถานการณ์การใช้และการผลิตไฟฟ้าได้หลายรูปแบบ ทั้งอาคารก็จะผลิตได้เกินความต้องการ หรืออาคารที่ผลิตได้ไม่เพียงพอกับความต้องการ   สำหรับในกรณีที่ไฟฟ้าที่ผลิตได้มีมากกว่าความต้องการที่ใช้เอง ระบบก็จะนำไฟส่วนเกินขายให้ผู้ใช้รายอื่นด้วยระบบ P2P หากยังมีเหลืออีก ก็จะขายให้ระบบกักเก็บพลังงาน (Energy Storage) เพื่อเก็บไว้ขายในเวลาอื่นๆ และหากระบบกักเก็บเต็ม ไฟฟ้าก็จะถูกส่งขายเข้าระบบของกฟน. ทั้งนี้ ในกรณีที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงกว่าที่สามารถผลิตได้ ระบบก็จะทำการซื้อจากระบบ P2P จากระบบกักเก็บพลังงาน และจากกฟน. ตามลำดับ   การดำเนินการทั้งหมดนี้ เกิดขึ้นได้โดยเทคโนโลยีบล็อกเชนที่นำมาใช้เพื่อประมวลผลถึงความเหมาะสมในการกำหนดผู้ซื้อและผู้ขายในความถี่ระดับเสี้ยววินาที โดยสามารถใช้แอพพลิเคชั่นของบีซีพีจี ได้ทั้งบนคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือโครงการนำร่องแลกเปลี่ยนซื้อขายไฟฟ้าที่ T77 นี้ ถือเป็นหนึ่งในโครงการขนาดใหญ่ที่สุดของโลกทั้งยังเป็นโครงการอันดับแรก ๆ ของโลก อีกด้วย ในเบื้องต้นคาดว่าโครงการนำร่องนี้จะสามารถผลิตไฟฟ้าให้กับ Community นี้ได้ถึงร้อยละ 20 ของความต้องการใช้ไฟฟ้าโดยรวม ซึ่งนอกจากจะเป็นการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดได้ด้วยตนเอง และสามารถแลกเปลี่ยนซื้อขายได้ด้วยระบบ P2P แล้ว การติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปยังเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับแต่ละอาคารหรือแต่ละบ้าน เพิ่มโอกาสในการจัดหาสินเชื่ออีกด้วย” นายบัณฑิต อธิบายเพิ่มเติม มร.เดวิด มาร์ติน กรรมการผู้จัดการและหนึ่งในผู้ก่อตั้งพาวเวอร์ เล็ดเจอร์ ผู้พัฒนาเทคโนโลยีการแลกเปลี่ยนและซื้อขายพลังงานไฟฟ้าในระบบบล็อกเชนเสริมว่า “วิสัยทัศน์ของเรา คือการนำเอาอำนาจในการบริหารจัดการด้านพลังงานมาสู่มือผู้บริโภคทั่วโลก (Democratization of Energy) โดยที่ยังคงไว้ซึ่งคุณค่าของเครือข่ายการกระจายพลังงานที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน เรามุ่งมั่นที่จะปฎิรูปอุตสาหกรรมพลังงานโดยนำเอาเทคโนโลยีมาใช้เพื่อช่วยให้ผู้บริโภคสามารถประหยัดค่าไฟฟ้า จำหน่ายพลังงานเหลือใช้ในราคาที่ดี และใช้พลังงานที่สะอาดมากขึ้น   การนำเทคโนโลยีบล็อกเชนมาใช้ในระบบการแลกเปลี่ยนและซื้อขายพลังงานจะช่วยสร้างแพลตฟอร์มการแลกเปลี่ยนและซื้อขายแบบอัตโนมัติสำหรับทั้งอาคารที่พักอาศัยและอาคารเพื่อการพาณิชย์ในการขายพลังงานที่เหลือใช้ให้กับลูกค้าที่สามารถเลือกได้ในราคาที่พอใจ การร่วมมือกับแสนสิริและบีซีพีจีนับเป็นก้าวแรกของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ส่งเสริมให้เกิดการรวมพลังกันระหว่างผู้บริโภคชุมชนและผู้ผลิตพลังงานเพื่อร่วมกันสร้างอนาคตที่ยั่งยืนทางด้านพลังงาน”     สำหรับการแลกเปลี่ยนซื้อขายไฟฟ้าระหว่างอาคารนั้น ทุกฝ่ายสามารถเป็นได้ทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย ผ่านการตกลงกันไว้ล่วงหน้าด้วย smart contract โดยผู้ที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าจะซื้อไฟฟ้าจากผู้ที่ผลิตได้เหลือใช้ด้วยราคาที่ต่ำที่สุด ส่วนผู้ที่ผลิตได้เกินจากความต้องการก็จะขายให้กับผู้ซื้อที่ให้ราคาสูงที่สุด ทั้งนี้ในการทำธุรกรรมจะใช้ Sparkz Token ซึ่งเปรียบเสมือนกับคูปองในศูนย์อาหาร และเป็นเพียงสัญลักษณ์ในการแลกเปลี่ยนไฟซื้อขายในระบบเท่านั้น   ไม่เกี่ยวข้องกับกระบวนการ cryptocurrency และไม่มีผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนใดๆ นับเป็นอีกหนึ่งข้อได้เปรียบของแพลตฟอร์มของเราที่สามารถแยกระดับการเข้าถึงและการแลกเปลี่ยน เป็น 2 ขั้นตอน คือระหว่างผู้บริโภคกับบีซีพีจี และระหว่างบีซีพีจีกับพาวเวอร์ เล็ดเจอร์เพื่อปิดความเสี่ยงต่อผู้บริโภคในเรื่อง cryptocurrency ความสำเร็จที่ผ่านมาของเราในระบบ P2P Energy Trading มีตัวอย่างเช่นการร่วมมือกับกับเวสเทิร์นพาวเวอร์และมหาวิทยาลัยเคอร์ตินในออสเตรเลีย และการร่วมมือกับมหาวิทยาลัยนอร์ธเวสเทิร์นในชิคาโก สหรัฐอเมริกา ซึ่งเรามั่นใจว่าแพลตฟอร์มนี้จะประสบความสำเร็จอย่างดีในประเทศไทยเช่นกัน” มร.เดวิด กล่าวเสริม   “เป้าหมายที่สำคัญที่สุดของแสนสิริในการนำเทคโนโลยีระดับโลกในด้านนวัตกรรมพลังงานสะอาดเพื่อการประหยัดพลังงานมานำร่องทดลองใช้ครั้งนี้ไม่ใช่การมุ่งหวังถึงรายได้จากการขายไฟฟ้า แต่เรามุ่งเน้นการสร้างประสบการณ์ในการพักอาศัยที่เหนือชั้นและสร้างชุมชนที่พักอาศัยที่มีความยั่งยืนในประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นอกจากนี้เรามุ่งหวังให้เป็นกรณีศึกษาถึงความสำเร็จในการใช้ระบบแลกเปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าในโครงการที่พักอาศัยหรือภายในชุมชนในระดับมหภาค ที่จะช่วยสนับสนุนการเดินหน้าประเทศไทยสู่ประชาธิปไตยทางพลังงานอย่างเช่นความสำเร็จที่เกิดขึ้นแล้วในหลาย ๆ ประเทศ รวมทั้งการมีส่วนร่วมในการช่วยลดภาระของภาครัฐในการลงทุนสร้างโรงผลิตไฟฟ้าขนาดใหญ่เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้น แสนสิริยังคงมุ่งมั่นที่จะสรรหาพันธมิตรเพื่อร่วมกันพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อสิ่งแวดล้อมและนวัตกรรมด้านอสังหาริมทรัพย์เพื่อเดินหน้าสู่การพัฒนาแนวทางการอยู่อาศัยอย่างยั่งยืนต่อไป” นายอุทัย กล่าวปิดท้าย
อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์” ผนึก “แสนสิริ”  เผยโฉมนวัตกรรมสุดล้ำ XT Flexible Furniture ครั้งแรกในไทย

อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์” ผนึก “แสนสิริ” เผยโฉมนวัตกรรมสุดล้ำ XT Flexible Furniture ครั้งแรกในไทย

  บริษัท อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ จำกัด นำโดย นางสาวกฤษชนก ปัทมสัตยาสนธิ กรรมการผู้จัดการ จับมือ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) นำโดย นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ ซึ่งแสนสิริได้เผยโฉมนวัตกรรมสุดล้ำ XT Flexible Furniture ครั้งแรกในไทย ในงาน “XT DIMENSION” งานพรีเซลล์แนวใหม่ เปิดตัวโครงการ XT New Lifestyle Condominium นิยามใหม่ของไลฟ์สไตล์คอนโดมิเนียมที่มาพร้อมกับประสบการณ์การอยู่อาศัยแนวใหม่แห่งแรกในประเทศไทย ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Extend Your Style” พร้อมนำเสนออิสระในการใช้ชีวิตของชาวมิลเลนเนียล ให้สามารถใช้ชีวิตแบบสมาร์ท ด้วยเทคโนโลยีสุดล้ำในทุกโครงการ XT ได้แก่ XT เอกมัย, XT ห้วยขวาง และ XT พญาไท ผ่านการจัดแสดง XT Flexible Furniture ที่ผลิตและพัฒนาร่วมกับทาง อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ เหนือชั้นกับจุดเด่นของ XT Flexible Furniture ที่สามารถปรับเปลี่ยนเฟอร์นิเจอร์ ให้กลายเป็นพื้นที่ใช้สอยได้หลากหลายรูปแบบตามไลฟ์สไตล์ในแต่ละวันด้วยปลายนิ้วสัมผัส ผ่านการควบคุมของ Home Service Application ของแสนสิริ ให้คุณนำเทรนด์กว่าใครกับการแปลงโฉมรองรับการใช้งานแบบกั้นห้องแต่งตัวเสมือน Walk-in Closet ขยายพื้นที่รองรับการจัดปาร์ตี้ เปลี่ยนห้องนั่งเล่นให้เป็น Sofa Bed ในวันที่เพื่อนมาค้างที่บ้าน รวมทั้งยังสามารถปรับเตียงให้เป็น Super Sofa สุดสบายในวันพักผ่อน และแพทเทิร์นอื่นๆ มากมาย
“แสนสิริ” ประกาศความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ ปลื้มโครงการ XT ฮอตฉุดไม่อยู่!  กวาดยอดขายพรีเซลล์ในงาน “XT Dimension” กว่า 8,000 ลบ.

“แสนสิริ” ประกาศความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ ปลื้มโครงการ XT ฮอตฉุดไม่อยู่! กวาดยอดขายพรีเซลล์ในงาน “XT Dimension” กว่า 8,000 ลบ.

  “แสนสิริ” ประกาศความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่จากการจัดงานพรีเซลล์รูปแบบใหม่ “XT Dimension” เปิดตัวโครงการ “XT New Lifestyle Condominium” กวาดยอดขายมูลค่ารวมกว่า 8,000 ล้านบาท รวมจำนวน เกือบ 1,400 ยูนิต ทั้ง 3 ทำเลโดนใจ ได้แก่ โครงการ XT เอกมัย XT ห้วยขวาง และ XT พญาไท จากมูลค่าโครงการรวมกว่า 21,000 ล้านบาท ซึ่งนับเป็นการเปิดตัวโครงการที่มีมูลค่ารวมสูงสุดในประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของแสนสิริ ปลื้มมีผู้สนใจตบเท้าจองโครงการและร่วมกิจกรรมภายในงานตลอด 3 วัน รวมกว่า 10,000 คน เนื่องจากคอนเซ็ปท์ของแบรนด์และโครงการที่ใหม่ตอบโจทย์โดนใจชาวมิลเลนเนียลและกลุ่มคนรุ่นใหม่ ซึ่งชื่นชอบในการแสวงหาประสบการณ์ใหม่ๆในการใช้ชีวิตที่สะท้อนตัวตน ด้วยอิสระในการใช้ชีวิตแบบไร้ขีดจำกัดภายใต้แนวคิด Extend Your Style มั่นใจรุกเดินหน้าต่อยอดการขายผ่านการสร้างประสบการณ์ที่เซลล์แกลลอรี่ในรูปแบบใหม่ เตรียมแผนกวาดยอดขายรวมปลายปี 2561กว่า 10,000 ล้านบาท ตอกย้ำการเป็นปีแห่ง #SansiriBestYearEver   นายปิติ จารุกำจร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโสฝ่ายพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เผยถึงความสำเร็จในการจัดงานครั้งนี้ว่า “จากการที่แสนสิริได้จัดงาน XT Dimension งานพรีเซลล์รูปแบบใหม่ของโครงการ XT New Lifestyle Condominium ระหว่างวันที 3-5 สิงหาคมที่ผ่านมา ณ ลานพาร์ค พารากอน บริษัทฯ สร้างยอดขายได้มูลค่ารวมกว่า 8,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามเป้าที่วางไว้ จากทั้ง 3 โครงการ XT หรือคิดเป็น 70 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนยูนิตที่เปิดขาย ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการนำเสนอประสบการณ์ที่แตกต่างจากการจัดงานพรีเซลล์แบบทั่วไปผ่านบรรยากาศของ co-sharing หรือพื้นที่ส่วนกลางที่สามารถใช้ร่วมกันได้ทุกโครงการ XT นำเสนอผ่านไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตที่ตรงกับคนรุ่นใหม่ที่ เป็นกลุ่มเป้าหมาย รวมถึงลูกค้าที่ไปเยี่ยมชมเซลล์แกลอรี่แนวคิดใหม่และห้องตัวอย่างของทั้ง 3 โครงการก่อนวันงาน ประกอบกับโปรโมชั่นพิเศษที่ดึงดูดใจภายในงาน ลูกค้าสามารถเลือกแพคเกจที่เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ตัวเองได้ เช่น รับส่วนลดสูงสุดภายในงานถึง 120,000 บาท (ตามเงื่อนไขที่กำหนด) และการผ่อนเริ่มเดือนละ 2,999 บาท รวมถึงการติดตามฐานลูกค้าที่ให้ความสนใจภายในงาน ซึ่งปรากฏการณ์ยอดขายที่ทำได้ใน 3 วันนี้ รวมถึงการสร้างยอดขายในตลาดต่างชาติที่เราได้เริ่มจัด Roadshow ในต่างประเทศไปเมื่อไม่นานมานี้ และจะมีอย่างต่อเนื่องในอนาคต จะช่วยสนับสนุนเป้ายอดขายของปี 2561 ที่บริษัทฯ ตั้งไว้สำหรับโครงการ XT New Lifestyle Condominium ทั้ง 3 โครงการกว่า 10,000 ล้านบาท ได้ภายในปีนี้อย่างแน่นอน ถือเป็นส่วนสำคัญในการตอกย้ำการเป็น #SansiriBestYearEver ของแสนสิริในปี 2561” “ตลอดระยะเวลา 3 วันของงาน มีผู้เข้าร่วมงานกว่า 10,000 คน โดยส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่วางแผนอยู่อาศัยเองและกลุ่มนักลงทุน สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพที่แข็งแกร่งของแบรนด์ XT ซึ่งเป็นแบรนด์คอนโดมิเนียมใหม่ของแสนสิริภายใต้แนวคิด Extend Your Style ซึ่งงาน XT Dimension ถือเป็นมิติใหม่ในการจัดงานพรีเซลล์รูปแบบใหม่ให้โดนใจกลุ่มคนรุ่นใหม่ โดยดึงเอาไฮไลท์ต่างๆ ของโครงการ XT ที่พร้อมฉีกทุกกฎเกณฑ์การสร้างคอนโดมิเนียมมานำเสนอให้ผู้ร่วมงานได้สัมผัสประสบการณ์ตรงเป็นครั้งแรก ตั้งแต่กิจกรรม Personality Test ที่ให้ผู้ร่วมงานสามารถค้นหาเลย์เอาท์ห้องที่ใช่จากอิสระในการเลือกรูปแบบห้อง การจัดแสดง Flexible Furniture ครั้งแรกในไทย ของเทคโนโลยีชุดเฟอร์นิเจอร์ที่ปรับเปลี่ยนได้เพื่อตอบรับไลฟ์สไตล์ในแต่ละวันได้อย่างเต็มที่เพียงปลายนิ้วสัมผัสผ่านการควบคุมของ Home Service Application กิจกรรมเวิร์คชอปต่างๆ และบาร์เครื่องดื่มที่สะท้อนถึงพื้นที่ co-sharing spaces ที่พัฒนาคอนเซ็ปท์ขึ้นจากสไตล์การทำงานและการใช้ชีวิตของกลุ่มมิลเลนเนียล ในแต่ละโลเคชั่น ภายใต้แนวคิดการผนวกรวม co-sharing space ของ XT แต่ละโครงการเข้าสู่แพลตฟอร์มเดียวกัน ที่ทุกคนสามารถใช้งานข้ามโครงการได้ในทุกโลเคชั่นของ XT รวมทั้งโลเคชั่นที่จะเกิดขึ้นใหม่ในอนาคต รวมไปถึงการนำเสนอรูปแบบการใช้ชีวิตแบบสมาร์ทที่เอาใจสาย Active Lifestyle ด้วยการเปิดประสบการณ์ออกกำลังกายสไตล์ใหม่ด้วยเทคโนโลยี Virtual Exercise ร่วมด้วยสีสันจาก ปาร์ตี้ XT Mash Up Music Experience จากดีเจและศิลปินชั้นนำมากมาย ทำให้มีผู้ที่สนใจเข้าเยี่ยมชมงานจำนวนมากและประสบความสำเร็จด้านยอดขายสูงเกินจากเป้าหมายที่ตั้งไว้” นายปิติกล่าวเสริม นอกจากนี้ แสนสิริ ยังสร้างมิติใหม่ของโปรโมชั่นด้วยไลฟ์สไตล์พริวิเล็จหรือ ‘XT Experience’ ที่จะสร้างประสบการณ์การอยู่อาศัยในแบบฉบับ XT ตั้งแต่ยังไม่ได้เข้าอาศัยจากแนวคิดหลักของโครงการและพฤติกรรมของคุนรุ่นใหม่ คือ ต้องการสิ่งที่ได้รับการออกแบบพิเศษ (Customized) ให้เหมาะสมกับความต้องการของตัวเอง ดังนั้น แสนสิริจึงให้ความใส่ใจตั้งแต่ขั้นตอนการนำเสนอโปรโมชั่นตั้งแต่การขายที่ด้วยการ Customized เพื่อความต้องการลูกค้าได้จริงๆ โดยแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มสิทธิประโยชน์หลัก ได้แก่ Dining สำหรับลูกบ้าน XT ที่ชื่นชอบในการทานอาหาร เช่น Marriott Club Card , Travel สำหรับลูกบ้านที่ชื่นชอบการท่องเที่ยว เช่น E-code Voucher มูลค่า 5,000 บาท สำหรับใช้ในการจองในเอเจนซี่ออนไลน์อย่าง Agoda และ Traveloka, Activity สำหรับผู้ที่ชื่น ชอบการทำกิจกรรมสุดแอคทีฟ เช่น สมาชิก 3 เดือนที่ We Fitness การร่วมกิจกรรมผจญภัยกับ Pickaboo Club ฯลฯ และ Leisure สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการผ่อนคลาย ไม่ว่าจะเป็น Treatment จาก Panpuri Organic Spa โปรแกรม Facial Treatment จาก Divana Spa ฯลฯ ซึ่งทั้งหมดนี้สอดรับกับการที่แสนสิริให้ความสำคัญกับการสร้างสรรค์กลยุทธ์ที่มาจากการความเข้าใจของกลุ่มลูกค้าเสมอ (Human Centric) สะท้อนให้เห็นถึงความเข้าใจความต้องการของชาวมิลเลนเนียลและคนรุ่นใหม่อย่างแท้จริง XT จึงเป็นคอนโดมิเนียมที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตทุกด้านทั้งเรื่องงาน การพักผ่อน และกิจกรรมต่างๆ และเป็นคอนโดมิเนียมที่มีชีวิต เพราะ XT ไม่เคยหยุดนิ่ง ไม่ล้าสมัย และมีประสบการณ์และข้อเสนอใหม่ๆ มาให้ลูกค้าอยู่เสมอ ผู้สนใจสามารถเยี่ยมชมเซลล์แกลอรี่ของทั้ง 3 โครงการ XT เอกมัย XT ห้วยขวาง และ XT พญาไท ได้แล้ววันนี้ โดยสามารถร่วมทำแบบทดสอบ XT Personality Test ค้นหาคาแรกเตอร์ที่ตอบโจทย์อิสระการ เลือกรูปแบบห้องเฉพาะบุคคล จาก 6 รูปแบบเลย์เอาท์ที่มีให้ได้แก่ The Fashionista, The Snoozy Head, The Visionary, The Party Goer, The Master Chef และ The Naturalist พร้อมเพลิดเพลินกับกิจกรรมสุดพิเศษต่างๆในบรรยากาศคาเฟ่สุดฮิปของเซลล์แกลอรี่ในแต่ละโครงการในแนวคิดที่แตกต่างกันได้แล้ววันนี้ ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ www.sansiri.com/xt
แสนสิริ เปิดตัว “XT” ไลฟ์สไตล์คอนโดมิเนียม แห่งแรกในไทย  หวังคว้าใจชาวมิลเลนเนียล

แสนสิริ เปิดตัว “XT” ไลฟ์สไตล์คอนโดมิเนียม แห่งแรกในไทย หวังคว้าใจชาวมิลเลนเนียล

  แสนสิริพลิกวงการอสังหาริมทรัพย์ เปิดตัวแบรนด์ไลฟสไตล์คอนโดมิเนียมแนวคิดใหม่ “XT Condominium” #SansiriXT รับเทรนด์การเติบโตของลูกค้ากลุ่มมิลเลียนเนียล ฉีกทุกกฎคอนโดมิเนียมด้วยแนวคิด Extend Your Style ครั้งแรกในไทยกับอิสระในการเลือกรูปแบบห้องที่ออกแบบมาเพื่อตอบรับไลฟ์สไตล์ของชาวมิลเลนเนียลที่มีความหลากหลาย และแพลตฟอร์มใหม่ของสังคมกลุ่มคนที่มีความชอบเหมือนกันกับการแลกเปลี่ยนการเข้าใช้ Co-Sharing Spaces ได้ทุกโครงการภายใต้แบรนด์ XT พร้อมการใช้ชีวิตแบบสมาร์ทด้วยเทคโนโลยีใหม่ในแบบฉบับ XT ตอกย้ำวิสัยทัศน์ในการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์โดยให้ความสำคัญสูงสุดกับลูกค้า ตามแนวคิดการสร้างสรรค์และส่งมอบประสบการณ์อยู่อาศัยสมบูรณ์แบบ #CompleteYourLivingExperience เปิดตัวพร้อมกัน 3 โครงการบนทำเลโดนใจชาวมิลเลนเนียล (Central Millennial District) ได้แก่ เอกมัย ห้วยขวาง และ พญาไท มูลค่ารวมถึง 21,000 ล้านบาท ซึ่งนับเป็นมูลค่าการเปิดตัวโครงการพร้อมกันสูงสุดในประวัติการณ์ของแสนสิริ นับเป็นหนึ่งในการผลักดันให้เป็นปีแห่งที่สุดของแสนสิริหรือ #SansiriBestYearEver โดยจะเปิดขายครั้งแรกในงาน XT Dimensions 3 - 5 สิงหาคมนี้ ณ ลานพาร์ค พารากอน ศูนย์การค้าสยามพารากอน คุณอู้ พหลโยธิน ประธานบริหารฝ่ายสร้างสรรค์ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “จากวิสัยทัศน์การพัฒนาอย่างไม่หยุดนิ่งในฐานะผู้นำด้านอสังหาริมทรัพย์ของไทยที่ให้ความสำคัญสูงสุดกับลูกค้า (Human Centric) ตามแนวคิดการสร้างสรรค์และส่งมอบประสบการณ์การอยู่อาศัยสมบูรณ์แบบ #CompleteYourLivingExperience ประกอบกับการที่เศรษฐกิจมีการส่งสัญญาณในภาพรวมเป็นไปในทางบวก ส่งผลให้เกิดการพัฒนาโครงการใหม่ ของแสนสิริที่เกิดขึ้นจากการวิจัยและศึกษาพฤติกรรมเป้าหมายอย่างลึกซึ้ง ทั้งนี้ หนึ่งในเป้าหมายที่แสนสิริให้ความสำคัญและต้องจับตามอง ได้แก่   “คนมิลเลนเนียล” หรือ กลุ่มประชากรที่เกิดในช่วงระหว่างปี 1980 – 2000 ที่ได้กลายมาเป็นกลุ่มคนที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมของประเทศตั้งแต่นี้เป็นต้นไป เห็นได้จากพนักงานของแสนสิริเอง ก็เป็นคนมิลเลนเนียลมากถึง 60% และหากดูตามสถิติของลูกค้าแสนสิริตั้งแต่ปี 2013 – 2017 จะพบว่า กลุ่มคนรุ่นใหม่อายุตั้งแต่ 21-30 ปี มาซื้อโครงการของแสนสิริเป็นจำนวนเพิ่มขึ้นถึง 25% ในระยะเวลา 5 ปี และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอีกในอนาคต”   “กลุ่มคนมิลเลนเนียล นับเป็นกลุ่มเป้าหมายสำคัญที่แสนสิริจับตามอง ด้วยความโดดเด่นทางพฤติกรรมและไลฟ์สไตล์ในการใช้ชีวิตที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว นอกจากนี้เกือบ 80% ของชาวมิลเลนเนียลยังให้ความสำคัญกับการสร้างประสบการณ์ใหม่ ๆ หรือ Experience Over Things ใช้ชีวิตผ่านเทรนด์ Sharing Economy มากกว่าการครอบครองทรัพย์สิน เป็นที่มาของการพัฒนาที่อยู่อาศัยที่จะตอบโจทย์ความต้องการคนมิลเลนเนียลและเป็นที่มาของการสร้างสรรค์แบรนด์ไลฟ์สไตล์คอนโดมิเนียม (New Lifestyle Condominium) ภายใต้แนวคิด “Extend Your Style” ที่เป็นมากกว่าโครงการที่พักอาศัย แต่เป็นแบรนด์เพื่อการใช้ชีวิตของชาวมิลเลนเนียลอย่างแท้จริง”   “แสนสิริจึงมีความตั้งใจที่จะให้ XT สร้างมาตรฐานใหม่ให้แก่วงการคอนโดมิเนียมเมืองไทย ที่เริ่มต้นจากการทำความเข้าใจตัวตนและความต้องการของกลุ่มเป้าหมายอย่างลึกซึ้ง ทั้งในด้านทัศนคติ แนวความคิด พฤติกรรม ค่านิยม และความมุ่งหมายในชีวิต ไปจนถึงบุคลิกภาพ โดยการทำวิจัยร่วมกับ TCDC ตลอดจนรวบรวมข้อมูลจากงานวิจัยอื่นๆ แล้วจึงนำข้อมูลเหล่านั้นมาผ่านกระบวนการด้านดีไซน์ หรือ Design Thinking Process จนออกมาเป็นแบรนด์ XT ที่จะมอบประสบการณ์และสภาพแวดล้อมในการพักอาศัยที่ไม่เหมือนใคร โดยยังคงรักษามาตรฐานด้านคุณภาพตามแบบฉบับแสนสิริเอาไว้อย่างเหนียวแน่น ทำให้ XT เป็นคอนโดมิเนียมที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตทุกด้านทั้งเรื่องงาน การพักผ่อน และกิจกรรมต่างๆ และเป็นคอนโดมิเนียมที่มีชีวิต เพราะ XT ไม่เคยหยุดนิ่ง ไม่ล้าสมัย และมีประสบการณ์และข้อเสนอใหม่ๆ มาให้ลูกค้าอยู่เสมอ สมกับคำพูดที่ว่า “You can always expect something new in the future XT condominiums.” คุณอู้กล่าว คุณปิติ จารุกำจร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโสฝ่ายพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวเพิ่มเติมว่า “แสนสิริพร้อมที่จะเปิดตัวแบรนด์โครงการ XT พร้อมกันถึง 3 โครงการ บนทำเลโดนใจชาวมิลเลนเนียล หรือ Central Millennial District (CMD) ที่ตอบโจทย์ทั้งไลฟ์สไตล์และการทำงานของคนเหล่านี้ รวมมูลค่า 21,000 ล้านบาท ซึ่งนับเป็นมูลค่าการเปิดตัวโครงการพร้อมกันสูงสุดในประวัติการณ์ของแสนสิริ และเป็นหนึ่งในไฮไลท์ของปีแห่งที่สุดของแสนสิริหรือ #SansiriBestYearEver โดยทั้ง 3 ทำเล Central Millennial District ที่แสนสิริคัดสรรที่ดินแปลงเด็ดในสุดยอดทำเลที่จะช่วยให้ชาวมิลเลเนียลสามารถประหยัดเวลา มี Extra Time in Life ประกอบไปด้วย XT เอกมัย ซึ่งเป็นโครงการที่แสนสิริร่วมกันพัฒนากับบริษัท โตคิว คอนสตรัคชัน จำกัด ตั้งอยู่ห่างจากสถานี BTS เอกมัย 1.5 กม. ราคาเริ่มต้น 4.59 ล้านบาท โครงการนี้ได้รับการสร้างสรรค์ขึ้นมาเพื่อคนรุ่นใหม่ที่มีไลฟ์สไตล์ไม่หยุดนิ่ง สนุกกับการทำงานและการใช้ชีวิต รักการสังสรรค์ยามค่ำคืน ชอบพบปะเพื่อนฝูง โดดเด่นด้วย Sky Lounge บนชั้นดาดฟ้าที่มาพร้อมวิวกรุงเทพฯแบบ 360 องศา พร้อมด้วยฟิตเนสและสระว่ายน้ำที่เป็น Swimming Pool Cinema XT ห้วยขวาง ตั้งอยู่ห่างจากสถานี MRT ห้วยขวาง 75 ม. และ 5 นาทีจากเซ็นทรัลพระราม 9 ราคาเริ่มต้น 3.69 ล้านบาท ซึ่งโครงการนี้พร้อมสร้างประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้นให้กับชาว XT ที่จะเข้ามาค้นพบชีวิตน่าหลงใหลที่ซุกซ่อนอยู่ใจกลางห้วยขวาง พื้นที่แห่งไลฟ์สไตล์ที่รองรับทุกด้านของความชอบ โดดเด่นด้วย Hidden Skybar ที่ซ่อนอยู่หลังห้องชั้นหนังสือ ซึ่งจะสร้างประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้นให้ลูกบ้านเวลาในเวลาพักผ่อน และ XT พญาไท ตั้งอยู่ห่างจากสถานีแอร์พอร์ตเรลลิงก์ราชปรารภ 500 ม. และ สถานี BTS พญาไท เพียง 600 ม. ราคาเริ่มต้น 4.9 ล้านบาท โดดเด่นด้วยทำเลแห่งศักยภาพ เชื่อมโยงความหลากหลายของไลฟ์สไตล์ รายล้อมด้วยสถานศึกษาที่มีชื่อเสียง ศูนย์การค้าชั้นนำ และการคมนาคมที่สะดวก พร้อมจุดเด่นของ Interactive Fitness ที่จะสร้างมิติใหม่ในการออกกำลังกายโดยที่ชาว XT ไม่ต้องก้าวออกจากคอนโดมิเนียม” นอกจากนี้ แสนสิริยังได้นำข้อมูลที่ได้จากการศึกษาพฤติกรรมชาวมิลเลนเนียลมาสร้างนิยามใหม่ของการออกแบบการอยู่อาศัยด้วยแนวคิด Explore your space, Expand your lifestyle ที่ชู 3 จุดเด่นซึ่งถือเป็นการพลิกวงการอสังหาริมทรัพย์ เพื่อลูกบ้านสามารถออกแบบการอยู่อาศัยและการใช้ชีวิต ค้นพบไลฟ์สไตล์ได้อย่างไร้ขีดจำกัด ได้แก่ EXPLORE YOUR SPACE with Personalized Room Layouts – อิสระในการเลือกรูปแบบห้องที่ออกแบบมาเพื่อตอบรับไลฟ์สไตล์ของชาวมิลเลนเนียลที่มีความหลากหลาย ผ่านรูปแบบห้อง 6 สไตล์ ได้แก่ The Fashionista ด้วย Walk-in closet ขนาดใหญ่ The Snoozy Head กับการขยายพื้นที่ห้องนอน The Visionary ที่มีพื้นที่ห้องทำงานกว้างขึ้น The Party Goer รองรับปาร์ตี้ด้วยห้องนั่งเล่นที่กว้างกว่า The Master Chef เอาใจสายทำอาหารด้วยห้องครัวที่เป็นสัดส่วน และ The Naturalist กับพื้นที่สีเขียวจากชานระเบียงร่มรื่น พร้อมด้วย Flexible Furniture ที่ควบคุมด้วยระบบไฟฟ้าผ่าน Home Service Application เพื่อปรับเปลี่ยนแปลนห้องให้เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ในแต่ละวัน EXPAND YOUR LIFESTYLE at Co-Sharing Spaces – แพลตฟอร์มใหม่ของสังคมกลุ่มคนที่มีความชอบเหมือนกันกับการแลกเปลี่ยนการเข้าใช้ Co-Sharing Spaces ที่แตกต่างกันได้ทุกโครงการภายใต้แบรนด์ XT ซึ่งพัฒนาขึ้นมาจากแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่ที่ชื่นชอบวัฒนธรรม Sharing Economy ในยุคปัจจุบัน เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ทั้งการใช้ชีวิตและการทำงานที่หลากหลายของแต่ละคน ได้แก่ พื้นที่ Co Work/Play Space ณ XT เอกมัย สำหรับการทำงานร่วมกัน Creative Studio ณ XT ห้วยขวาง ที่เปิดโอกาสให้สร้างสรรค์งานศิลปะหลากแขนงร่วมกัน และ Co-Creation Space ณ XT พญาไท ที่ให้ชาว XT สามารถเข้ามาสนุกและผ่อนคลายไปกับจินตนาการเสมือนจริงด้วย VR GAME ROOM และพื้นที่ Co-Sharing Spaces จากโครงการ XT ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต Virtual Activities – นำเสนอการใช้ชีวิตแบบสมาร์ทด้วยเทคโนโลยีใหม่ในแบบฉบับ XT ไม่ว่าจะเป็นเครื่อง Virtual Exercise เทคโนโลยีการถ่ายทอดสดคลาสออกกำลังกายจากสตูดิโอฟิตเนสชื่อดัง นอกจากนี้ยังมีเทคโนโลยี Igloo Home สำหรับขอรหัสผ่านประตูแบบใช้ครั้งเดียวผ่านสมาร์ทโฟน ระบบ Home Automation สำหรับการควบคุมและสั่งการเครื่องใช้ไฟฟ้าต่าง ๆ ภายในยูนิตและส่วนกลาง Smart Wash เครื่องซักผ้าอัจฉริยะที่เชื่อมต่อการแจ้งเตือนกับ Home Service Application, New Concept Convenience Store, อินเทอร์เน็ต Wi-fi ในพื้นที่ส่วนกลาง, ล็อกเกอร์อัจฉริยะ และ จุดชาร์จไฟรถยนต์ไฟฟ้า ฯลฯ   มากไปกว่านั้น แสนสิริยังได้สร้างสรรค์ XT Experience แผนส่งเสริมการตลาดที่มีการริเริ่มนำมาใช้กับโครงการ XT เป็นครั้งแรก เป็นการสร้างประสบการณ์การอยู่อาศัยในแบบฉบับ XT ตั้งแต่ยังไม่ได้เข้าอาศัย โดยเปิดโอกาสให้ลูกค้าได้เลือกโปรโมชั่นที่มีความหลากหลายและตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของตัวเอง ทั้งด้าน Health & Wellness , Travel experience, Lifestyle experience, หรือ Gadget experience เช่น สมาชิก TCDC สิทธิ์เข้าเทรนนิ่งคอร์สกับธนาคารระดับแนวหน้า สิทธิ์ร่วมปาร์ตี้เอ็กซ์คลูซีฟ สมาชิก Netflix/Spotify สมาชิก Virgin Fitness และ สมาชิก JustCo Co-Working Space เป็นต้น ซึ่งลูกค้าก็จะได้รับข่าวสารอัพเดทและสิทธิพิเศษในด้านที่สนใจอย่างสม่ำเสมอด้วยเช่นกัน ซึ่งสำหรับผู้ที่สนใจสามารถร่วมสร้างปรากฎการณ์การอยู่อาศัยของชาวมิลเลนเนียลและสัมผัสแนวคิดของแบรนด์ไลฟ์สไตล์คอนโดมิเนียม XT ได้ครั้งแรกในเมืองไทยที่งาน XT Dimensions ซึ่งจะเปิดการขายพร้อมกัน 3 โครงการพร้อมกันภายในงาน ระหว่างวันที่ 3 - 5 สิงหาคมนี้ ณ ลานพาร์ค พารากอน ศูนย์การค้าสยามพารากอน   “การสร้างแบรนด์ XT เพื่อให้เป็น New Lifestyle Condominium แบรนด์แรกของไทยที่จะตอบโจทย์ความต้องการในการใช้ชีวิตของชาวมิลเลนเนียล และช่วย Extend Your Style ของพวกเขาอย่างเต็มที่ ในที่สุดแล้วคือการย้อนกลับไปที่แนวคิด #CompleteYourLivingExperience ของแสนสิริ เพื่อส่งมอบประสบการณ์การอยู่อาศัยที่สมบูรณ์แบบที่สุดให้แก่ลูกบ้านของแสนสิริ ทั้งหมดนี้คือหัวใจสำคัญของการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ในแบบของแสนสิริ ซึ่งแบรนด์ XT จะช่วยต่อยอดความสำเร็จภายใต้แนวคิดนี้ให้กับแสนสิริอย่างต่อเนื่องต่อไป เพราะ XT จะเป็นที่พักอาศัยที่ไม่เคยหยุดนิ่ง ไม่ล้าสมัย เพราะมีประสบการณ์และข้อเสนอใหม่ ๆ มามอบให้ลูกค้าอยู่เสมอ”นายปิติ กล่าวสรุป
“แสนสิริ” เปิดตัว “เดอะ โมนูเมนต์ ทองหล่อ” มูลค่ารวมกว่า 6.5 พันลบ.

“แสนสิริ” เปิดตัว “เดอะ โมนูเมนต์ ทองหล่อ” มูลค่ารวมกว่า 6.5 พันลบ.

  แสนสิริ เปิดตัว “THE MONUMENT THONG LO” (เดอะ โมนูเมนต์ ทองหล่อ) คอนโดมิเนียม ระดับลักซ์ชัวรี่ล่าสุด มูลค่าโครงการกว่า 6,500 ล้านบาท ภายใต้บริษัทร่วมทุนกับ บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) ต่อยอดความสำเร็จของแบรนด์ THE MONUMENT (เดอะ โมนูเมนต์) ด้วยแนวคิด “LUXURY IS SPACE” ผ่านประสบการณ์การใช้ชีวิตที่ตอบโจทย์เสมือนเป็นมรดกอันล้ำค่าที่สามารถส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น ด้วยจำนวนยูนิตสุดเอ็กซ์คลูซีฟเพียงชั้นละ 4 ห้อง รวม 127 ยูนิต กำหนดนิยามใหม่แห่งการอยู่อาศัยด้วยพื้นที่กว้างขวาง โอ่โถงเสมือนอยู่บ้านเดี่ยว และเป็นส่วนตัว บนที่ดินขนาด 2 ไร่ ติดถนนเส้นหลักของทองหล่อซึ่งเป็นทำเลที่หาได้ยากสำหรับการพัฒนาโครงการในปัจจุบัน ทั้งยังเป็นที่พักอาศัยใจกลางเมืองศูนย์รวมไลฟ์สไตล์ และการอยู่อาศัยที่เหนือระดับพร้อมสะกดทุกสายตาด้วยสถาปัตยกรรมอาคารสูงรูปทรง “Monolith” (โมโนลิธ) สูง 177 เมตร 45 ชั้น แห่งแรกในทองหล่อ เช่นเดียวกับอาคารสูงระฟ้าในมหานครใหญ่ทั่วโลก ที่จะเป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่เหนือทุกอาคารสูงบนถนนทองหล่อด้วยวิวเมืองแบบพาโนรามา พรั่งพร้อมด้วยทุกองค์ประกอบของความหรูหรา สง่างาม เหนือกาลเวลาทุกตารางนิ้ว ซึ่งปัจจุบันมีราคาแนวโน้มที่ดินถีบตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องถึง 200% ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา จากราคา 1 ล้านบาทต่อตารางวามาอยู่ที่2 ล้านบาทต่อตารางวา พร้อมชูจุดเด่นดีไซน์สระว่ายน้ำระดับไอคอนิคสูง 10 เมตร ที่สวยงามดุจงานประติมากรรม รายล้อมด้วยสวนสีเขียวขนาดใหญ่ เปรียบเสมือนโอเอซิสใจกลางเมืองที่ด้านหน้าโครงการร่วมด้วยบริการเหนือระดับ 24 ชั่วโมง พร้อมดึงสุดยอด 2 แบรนด์ดีไซน์ชั้นนำด้านการตกแต่ง “Chanintr Living” (ชนินทร์ ลิฟวิ่ง) และ “Jim Thompson” (จิม ทอมป์สัน) รังสรรค์ห้องตัวอย่าง     นายปิติ จารุกำจร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “แสนสิริ ร่วมกับ บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) นำเสนอนิยามใหม่ของโครงการคอนโดมิเนียมระดับลักซ์ชัวรี “THE MONUMENT THONG LO” (เดอะ โมนูเมนต์ ทองหล่อ) ที่ผสานดีไซน์ระดับไอคอนิค โดยเราพัฒนาโครงการด้วยการมองความต้องการของกลุ่มเป้าหมายเป็นตัวตั้งต้น (Customer Centric) ซึ่งเป็นเจเนอเรชั่นที่ 2 ของครอบครัวอาศัยเติบโตมาในทำเลใจกลางเมืองและกำลังขยายครอบครัวใหม่ โดยต้องการหาที่อยู่อาศัยที่ไม่ไกลจากครอบครัวในเจเนอเรชั่นแรก ด้วยการดึงอินไซต์ของครอบครัวยุคใหม่ที่ต้องการพื้นที่กว้างขวางเสมือนบ้านเดี่ยว และต้องการความสะดวกสบาย ปลอดภัยจากการอยู่คอนโดมิเนียม มีพื้นที่เพียงพอสำหรับให้ลูกๆ หรือสัตว์เลี้ยงที่รักได้ใช้ชีวิตเหมือนอยู่บ้านเดี่ยว โดยกลุ่มเป้าหมายของเรายังรวมถึงกลุ่มคนที่กำลังมองหาบ้านเดี่ยว ที่อยู่อาศัยรูปแบบอื่นๆ ที่มีพื้นที่ใช้สอยที่กว้างขวางใกล้เคียงกับบ้าน แต่ต้องการความสะดวกสบายในด้านทำเลที่อยู่ใจกลางเมืองทั้งยังเพียบพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกและบริการสุดเอ็กซ์คลูซีฟเราจึงได้ตอบโจทย์ดีมานด์ของคนกลุ่มนี้เพื่อเติมเต็มประสบการณ์การอยู่อาศัยอย่างสมบูรณ์แบบ (Complete your living experience) ด้วยการออกแบบพื้นที่พักอาศัยที่มอบความโอ่โถง กว้างขวางกว่าขนาดของห้องคอนโดมิเนียมที่มีอยู่ในตลาดปัจจุบัน บนทำเลที่พักอาศัยใจกลางเมืองคุณภาพสูงที่หาไม่ได้อีกแล้ว ทว่าเป็นโลเคชั่นที่สงบและมีความเป็นส่วนตัวของทองหล่อ เพื่อให้เป็นสมบัติล้ำค่าของผู้ครอบครองที่ส่งต่อให้ลูกหลานได้อย่างภาคภูมิใจ”   “THE MONUMENT THONG LO” (เดอะ โมนูเมนต์ ทองหล่อ) เป็นโครงการลำดับที่สองของแบรนด์ THE MONUMENT (เดอะ โมนูเมนต์) คอนโดมิเนียมที่พัฒนาขึ้นภายใต้คอนเซ็ปต์หลัก ‘The Monument to Generations’ (เดอะ โมนูเมนต์ ทูเจเนอเรชั่น) การส่งต่อทำเลที่มีคุณค่าจากรุ่นสู่รุ่น โดยโครงการแรก “เดอะ โมนูเมนต์ สนามเป้า” คอนโดมิเนียมมาสเตอร์พีซบนถนนพหลโยธินได้เปิดตัวไปแล้วเมื่อปี 2558 ที่ผ่านมา ประสบความสำเร็จและสามารถเขย่าวงการอสังหาฯ ด้วยกระแสตอบรับที่ดีเยี่ยมจากดีไซน์และวัสดุที่มีคุณภาพระดับเวิลด์คลาสอย่างมีเอกลักษณ์ พิถีพิถันในทุกรายละเอียด รวมถึงทำเลในย่านที่ทรงคุณค่า และติดถนนใหญ่ที่ห่างจากบีทีเอสสนามเป้าเพียง 300 เมตร ซึ่งเราหวังว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีเยี่ยมจากลูกค้าอีกเช่นเคย”     โครงการ THE MONUMENT THONG LO (เดอะ โมนูเมนต์ ทองหล่อ) นำเสนอจุดเด่นผ่านแนวคิด “LUXURY IS SPACE เติมเต็มประสบการณ์การอยู่อาศัยอย่างสมบูรณ์แบบ (Complete your living experience) ในทุกมิติดังนี้   ความโอ่โถงกว้างขวาง และฟังก์ชั่นการใช้งานเสมือนบ้านเดี่ยว โครงการประกอบด้วยห้องพัก 3 ประเภท คือ ขนาด 2 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ พื้นที่ 124.25 ตรม. ขนาด 3 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ พื้นที่ 252.25 ตรม. และเพนต์เฮาส์ พื้นที่ 508.75 – 662 ตรม. ในราคาเริ่มต้น 300,000 บาทต่อตรม. หรือ 30 ล้านบาทต่อยูนิต นอกจากนี้ ยังออกแบบพื้นที่ภายในห้องให้โอ่โถงกว้างขวางเสมือนบ้าน อย่างห้องนั่งเล่นเพดานสูง 3.3 เมตร ห้องน้ำในห้องนอนมาสเตอร์ของทุกยูนิตเปิดรับวิวกรุงเทพฯ แบบพาโนรามาและมีระเบียงเทอร์เรซพื้นที่ถึง 20 ตรม. ในยูนิตขนาด 3 ห้องนอน   ทำเลอันเป็นมรดกทรงคุณค่า ถนนทองหล่อตั้งอยู่ใจกลางเมืองย่านสุขุมวิทที่มีศักยภาพสูงสุดอันดับต้น ๆ ของกรุงเทพฯ เป็นพื้นที่ซึ่งหลอมรวมประวัติอันยาวนานและวิถีชีวิตของคนยุคใหม่อย่างลงตัว เป็นทั้งที่พักอาศัยคุณภาพสูงมาตั้งแต่อดีต และแหล่งรวมร้านค้าระดับชั้นนำ ร้านอาหารและคอมมูนิตี้มอลล์ระดับไฮเอนด์มากมาย ที่สามารถตอบสนองทุกมิติของการใช้ชีวิตที่ให้ความสะดวกสบายสูงสุดด้านการเดินทางเชื่อมต่อภายในใจกลางกรุงเทพฯ และมีความพร้อมสรรพด้านทางด้านไลฟ์สไตล์ ทำให้ถนนสายนี้จึงยังคงเป็นที่ต้องการอย่างสูง สำหรับผู้ที่เคยพักอาศัยในแถบนี้และต้องการขยับขยายครอบครัวในพื้นที่ใกล้เคียงกับครอบครัวเดิม ทำเลนี้จึงเป็นพื้นที่เป้าหมายสำคัญในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับลักซ์ชัวรี่มาอย่างต่อเนื่อง ด้วยอัตราการเติบโตของราคาที่ดินในอัตราสูงมาก และแทบจะไม่มีพื้นที่ว่างติดถนนหลงเหลือสำหรับการพัฒนาโครงการใหม่ ๆ อีกแล้วในปัจจุบัน   ประสบการณ์อยู่อาศัยที่เป็นส่วนตัว (Privacy) มอบความเป็นส่วนตัวด้วยจำนวนยูนิตที่มีเพียง 127 ยูนิต โดยแต่ละชั้นจำกัดที่ไม่เกิน 4 ยูนิต พร้อมลิฟต์ส่วนตัวที่จอดเฉพาะชั้นห้องพักของเจ้าของห้อง รวมถึงสัดส่วนที่จอดรถกว่า 192% ของยูนิตทั้งหมดในโครงการพร้อมระบบ Cross Ventilation ในทุกยูนิตเพื่อการระบายอากาศธรรมชาติที่ดีภายในอาคาร   สถาปัตยกรรมอาคารสูงรูปทรง “Monolith” อันเป็นเอกลักษณ์ ที่จะกลายเป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่ในทองหล่อ เดอะ โมนูเมนต์ ทองหล่อ ได้รับการรังสรรค์ขึ้นด้วยองค์ประกอบที่จะทำให้ผู้อยู่อาศัยสัมผัสได้ถึงความกว้างขวาง เป็นส่วนตัว และสะดวกสบายไม่ต่างจากบ้าน ในทุกพื้นที่ของโครงการขนาด 2 ไร่ ด้วยความสูงถึง 45 ชั้น สูงที่สุดบนถนนทองหล่อ โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมอาคารรูปทรง “Monolith” (โมโนลิธ) ซึ่งมีเอกลักษณ์อยู่ที่รูปทรงตึกที่สูงตรงตั้งตระหง่าน โดยสัดส่วนระหว่างความกว้างของฐานอาคารต่อความสูงของอาคารอยู่ที่ 1:10 พร้อมนำที่จอดรถลงไปไว้ในชั้นใต้ดิน เพื่อความสวยงามและโดดเด่นของตัวอาคาร เช่นเดียวกับอาคารสูงระฟ้าในมหานครใหญ่ทั่วโลก อาทิ โรงแรมมิลเลนเนียม ฮิลตัน นิวยอร์ค อาคารซีแกรม และตึก 432 พาร์ค อเวนิว ที่กรุงนิวยอร์ค หรืออัล ชาร์ค ทาวเวอร์ที่ดูไบ     ความโดดเด่นของพื้นที่ส่วนกลาง ที่ตอบโจทย์การใช้งานใกล้เคียงกับบ้านที่สุด เริ่มจากล็อบบี้ส่วนกลางเสมือนห้องนั่งเล่นขนาดใหญ่ของบ้าน พื้นที่ 150 ตารางเมตร โอ่โถงด้วยเพดานความสูงถึง 5 เมตร เปิดรับวิวสวนสีเขียวเต็มตา คัดสรรแบรนด์เฟอร์นิเจอร์ระดับโลกอย่าง Fendi Casa และ Flexform มาประดับตกแต่ง โดยใช้ไม้ที่ใช้เวลาแปรสภาพถึง 300 ปี แชนเดอเลียร์จากแบรนด์ LASVIT ที่ได้รับการออกแบบเป็นพิเศษดุจงานศิลปะด้วยเทคนิคพิเศษที่สืบทอดเทคนิคการผลิตแก้วจากรุ่นสู่รุ่นมากว่า 200 ปี และสระว่ายน้ำดีไซน์ระดับไอคอนิกแรงบันดาลใจจากต้นไม้ใหญ่ที่มีความสูงถึง 10 เมตร ตัวสระยาว 28 เมตร กว้าง 9.5 เมตร พื้นสระปูด้วยหินไวท์ คลาวด์ (White Cloud) รายล้อมไปด้วยพรรณไม้นานาชนิด   วัสดุคุณภาพระดับเวิลด์คลาสและเทคโนโลยีเหนือระดับ มอบสัมผัสแห่งความหรูหรา กว้างขวาง ตั้งแต่ก้าวแรกที่ออกมาจากลิฟต์สู่โถงทางเข้าด้วย “Welcome Light” เปิดไฟแบบอัตโนมัติด้วยระบบโมชั่นเซ็นเซอร์ พื้นโถงปูด้วยหินอ่อนไวท์ วีนัส (White Venus) ต่อกันเป็นลวดลาย Bookmatch ประตูเข้าสู่ห้องเป็นประตูบานเฟี้ยมติดกระจกฟาบริคกลาส (Fabric Glass) นอกจากนี้ โมนูเมนต์ทองหล่อยังเพียบพร้อมด้วยอุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่เติมเต็มนิยามความหรูหรา เช่น สุขภัณฑ์จาก Gessi แบรนด์ระดับท้อปของอิตาลี สวิตช์พร้อมระบบอัตโนมัติจาก Legrand แบรนด์ฝรั่งเศสที่โดดเด่นด้วยงานดีไซน์   พื้นที่สีเขียวร่มรื่นใจกลางกรุง ทางโครงการยังคำนึงถึงออกแบบให้มีพื้นที่สีเขียวขนาดถึงกว่า 1,000 ตรม. แบ่งเป็นสวนด้านหน้าและสวนด้านหลัง ต้นจามจุรีที่อยู่กับที่ดินเดิมมาเป็นเวลานานกว่า 50 ปี ยังคงถูกเก็บรักษาไว้ให้ความร่มรื่น และอีกหนึ่งความพิเศษเหนือโครงการคอนโดมิเนียมระดับลักซ์ชัวรี่อื่นๆ คือ “Dog Park” ที่ออกแบบขึ้นมาพิเศษบริเวณสวนด้านหน้าสำหรับครอบครัวที่มีสัตว์เลี้ยง พร้อมเป็นส่วนตัวด้วยการจัดเส้นทางการใช้งานเฉพาะสำหรับสุนัขโดยสัญจรผ่านทางลิฟต์เซอร์วิส   บริการเอ็กซ์คลูซีฟเหนือระดับ 24 ชั่วโมง (Exclusive service) อาทิ บริการบัตเลอร์ประจำโครงการ บริการ Valet Parking และบริการรถลิมูซีน รองรับการใช้บริการแบบเป็นครอบครัวคอยให้บริการรับส่งตามต้องการ โดยสามารถจองการใช้งานล่วงหน้าผ่าน Home Service Application     THE MONUMENT THONG LO เปิดตัวอย่างเป็นทางการพร้อมห้องตัวอย่างที่ตกแต่งอย่างละเมียดละไมใน 2 สไตล์ ห้องแรกตกแต่งด้วยคอนเซ็ปท์ ‘The Southern Belle’ โดยชนินทร์ ลีฟวิ่ง โดดเด่นด้วยเฟอร์นิเจอร์จากแบรนด์ Hickory Chair แบรนด์คราฟท์เฟอร์นิเจอร์ลักซ์ชัวรี่ของอเมริกาซึ่งออกแบบโดยดีไซน์เนอร์ระดับโลก ‘ซูซาน แคสเลอร์’ (Suzanne Kasler) อีกห้องหนึ่งได้รับการออกแบบตกแต่งโดย ‘จิม ทอมป์สัน’ ภายใต้คอนเซ็ปท์ ‘Forbidden Colour’ โดดเด่นด้วยการเลือกใช้สีสันที่ฉูดฉาดอย่างลงตัว เช่น การใช้สีเหลืองกับสีดำ ขาว น้ำเงินเข้ม และเขียวมรกต รวมถึงการผสมผสานระหว่างเฟอร์นิเจอร์วินเทจและเฟอร์นิเจอร์แบบโมเดิร์น เพิ่มความลักซ์ชัวรี่ด้วยการกรุผนังห้อง โซฟา เก้าอี้ โครงเตียงนอนด้วยผ้าไหมแท้   “ปัจจุบัน โครงการ เดอะ โมนูเมนต์ ทองหล่อ ได้ดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จไปแล้วกว่า 70% และคาดว่าจะพร้อมโอนกรรมสิทธิ์ให้กับลูกบ้านได้ภายในต้นปี 2562 โดยเราตั้งเป้าการขายไว้ที่ 50% ภายในปีนี้ พร้อมกันนี้ แสนสิริ ยังได้เตรียมพริวิเลจสุดพิเศษสำหรับลูกค้าที่จองห้องชุดในโครงการภายในเดือนกรกฎาคมนี้ ด้วยการมอบโทรทัศน์แบรนด์ Bang & Olufsen รุ่น BEOVision 14 มูลค่ากว่า 6 แสนบาทให้อีกด้วย” นายปิติ กล่าวปิดท้าย     ผู้ที่สนใจเข้าชมโครงการและห้องตัวอย่าง สามารถสัมผัสประสบการณ์แห่งการอยู่อาศัยเหนือระดับบนนิยาม Luxury is space สมบัติอันล้ำค่าจากรุ่นสู่รุ่นของความหรูหรารูปแบบใหม่ผ่านพื้นที่โอ่โถงของคอนโดมิเนียม ที่ให้ประสบการณ์เสมือนบ้านเดี่ยว และความเป็นส่วนตัวสูงสุดที่ THE MONUMENT THONG LO (เดอะ โมนูเมนต์ ทองหล่อ) ได้แล้ววันนี้ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.sansiri.com/en/condominium/the-monument- thong-lo/ หรือ โทร. 1685
“แสนสิริ” เปิดตำนานโครงการแฟล็กชิพบทใหม่ “บ้านแสนสิริ พัฒนาการ” บ้านเดี่ยวระดับซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่ ย่านพัฒนาการ มูลค่ากว่า 3,000 ล้านบาท

“แสนสิริ” เปิดตำนานโครงการแฟล็กชิพบทใหม่ “บ้านแสนสิริ พัฒนาการ” บ้านเดี่ยวระดับซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่ ย่านพัฒนาการ มูลค่ากว่า 3,000 ล้านบาท

“แสนสิริ” สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของโครงการแฟล็กชิพบ้านเดี่ยวระดับซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่ของไทย เปิดตัว “บ้านแสนสิริ พัฒนาการ” ผลงานจากการรังสรรค์อย่างพิถีพิถันกว่า 3 ปี มอบความเป็นส่วนตัวสูงสุดด้วยจำนวนเพียง 36 ยูนิต บนผืนที่ดิน 37 ไร่ ถนนพัฒนาการซอย 30 ทำเลศักยภาพที่หาได้ยากใจกลางเมืองซึ่งกำลังได้รับความสนใจจากกลุ่มลูกค้าบุคคลสินทรัพย์สูง (High Net Worth Individual) ในประเทศไทยที่พรั่งพร้อมด้วยทุกองค์ประกอบแห่งสุนทรียะเพื่อการพักอาศัยสำหรับทุกเจเนอเรชั่น ใกล้ศูนย์กลางธุรกิจใจกลางเมือง ทั้งสุขุมวิท ทองหล่อ-เอกมัย เพชรบุรีตัดใหม่ พระราม 9 โรงเรียนนานาชาติ ตลอดจนสิ่งอำนวยความสะดวกอื่น ๆ มากมาย งามสง่าเหนือกาลเวลาด้วยแรงบันดาลใจจากสถาปัตยกรรมยุครีเจนซี่ (Regency) จากประเทศอังกฤษ มอบประสบการณ์ของการอยู่อาศัยสมบูรณ์แบบ แวดล้อมด้วยความสง่างามอันทันสมัย ผสานกับความรื่นรมย์ ผ่อนคลายด้วยพื้นที่โอ่โถ่ง กว้างใหญ่สำหรับแบ่งปันความรักในทุกเจเนอเรชั่นของครอบครัว ตลอดจนระบบรักษาความปลอดภัยสูงสุด และการออกแบบพื้นที่ใช้งานและฟังก์ชั่นพิเศษตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตอันสะท้อนรสนิยมทั้ง The Parlour ห้องอเนกประสงค์ที่เชื่อมต่อกับห้องนอนมาสเตอร์ ห้องผู้สูงอายุบริเวณชั้นล่างติดพื้นที่เปิดโล่ง และลิฟท์ในบ้าน รวมทั้งไฮไลท์ Golf Simulator Room ขนาดใหญ่ครั้งแรกในโครงการบ้านของแสนสิริ พร้อมสุดยอดบริการดูแลลูกบ้านแบบเอ็กซ์คลูซีฟจาก Plus Concierge และบริการด้านไลฟ์สไตล์ระดับโลกจาก Quintessentially     นายอภิชาติ จูตระกูล ประธานอำนวยการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “บ้านแสนสิริ พัฒนาการ คือ การสานต่อความสำเร็จอันเป็นตำนานของโครงการแฟล็กชิพบ้านเดี่ยวลำดับที่สองของแสนสิริ ซึ่งโครงการแรกของแฟล็กชิพบ้านเดี่ยว คือ “บ้านแสนสิริ สุขุมวิท 67” อาณาจักรชีวิตอันสมบูรณ์พร้อมระดับซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่แห่งสุดท้ายใจกลางสุขุมวิทเปิดตัวเมื่อปี 2549และยังคงเป็นที่กล่าวขานจนถึงปัจจุบัน การจะพัฒนาโครงการแฟล็กชิพระดับซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่ที่เหนือระดับเช่นนี้ ต้องอาศัยปัจจัยเกื้อหนุนที่พรั่งพร้อมในทุกด้าน บ้านแสนสิริ โครงการแฟล็กชิพที่สองนี้ จึงเกิดขึ้นหลังจากเว้นช่วงจากโครงการแรกกว่า 10 ปี ตั้งแต่การเฟ้นหาที่ดินขนาดใหญ่ที่หาได้ยากใจกลางเมืองในช่วงเวลาที่เหมาะสม การออกแบบรังสรรค์โครงการอย่างพิถีพิถันโดยอาศัยประสบการณ์ ความเข้าใจ การเข้าถึงรสนิยมและความต้องการของลูกค้ากลุ่มซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่อย่างแท้จริงของแสนสิริเพื่อสร้างสรรค์โครงการอาณาจักรแห่งการพักอาศัยที่สมบูรณ์แบบในทุกรายละเอียดทุกตารางนิ้ว ตั้งแต่การออกแบบ รูปแบบสถาปัตยกรรม การตกแต่งภายใน การคัดเลือกวัสดุคุณภาพสูงสุด รวมทั้งการออกแบบพื้นที่การใช้งานและฟังก์ชั่นที่ตอบสนองรูปแบบและความต้องการในการพักอาศัยของกลุ่มลูกค้าระดับบน เพื่อให้เป็นอีกหนึ่งนิยามของมาตรฐานใหม่ของโครงการบ้านเดี่ยวระดับซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่”   นางสาววิลาสิณี เดชอมรธัญ รองกรรมการผู้จัดการสายงานพัฒนาธุรกิจและพัฒนาโครงการแนวราบ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงรายละเอียดของโครงการแฟล็กชิพระดับซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่ล่าสุด บ้านแสนสิริ พัฒนาการ ว่า ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 37 ไร่ เป็นโครงการบ้านเดี่ยว 2 ชั้น จำนวน 36 ยูนิต ประกอบด้วยบ้าน 4 แบบ บนที่ดินขนาด 150 – 560 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย 459 – 941 ตารางเมตร ด้วยสนนราคา 65-240 ล้านบาท พัฒนาด้วยแนวคิดการพัฒนาใน 4 องค์ประกอบหลัก ได้แก่   Location : โลเคชั่นที่เห็นแล้วตกหลุมรักตั้งแต่แรกสัมผัส ถนนพัฒนาการถือเป็นทำเลที่มีศักยภาพสูงมากเนื่องจากเป็นพื้นที่ใจกลางเมืองที่นับวันจะหายากขึ้น เป็นชุมชนที่พักอาศัยคุณภาพสูงมายาวนาน ใกล้กับศูนย์กลางธุรกิจสำคัญ ๆ ทั้งย่านสุขุมวิท ทองหล่อ-เอกมัย เพชรบุรีตัดใหม่ และพระราม 9 พรั่งพร้อมด้วยปัจจัยสำหรับการอยู่อาศัยที่ครบครัน โดยเฉพาะด้านคมนาคมที่หลากหลาย เชื่อมต่อเข้าเมืองในย่านสุขุมวิท ทั้งทองหล่อ-เอกมัย ใกล้จุดขึ้น-ลงทางด่วนรามอินทรา-อาจณรงค์ และทางพิเศษศรีรัช โครงการระบบขนส่งมวลชนหลายโครงการทั้งรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว – สำโรง ซึ่งเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงค์ได้ที่สถานีพัฒนาการ โครงการก่อสร้างถนนศรีนครินทร์-ร่มเกล้า โครงการก่อสร้างทางลอดถนนพัฒนาการ-รามคำแหง-ถาวรธวัช ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการจราจรของถนนพัฒนาการและถนนบริเวณใกล้เคียง อีกทั้งยังรายล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อการใช้ชีวิต ทั้งร้านค้า ศูนย์การค้า โรงเรียนนานาชาติชั้นนำ อาทิ Shrewsbury International School โรงพยาบาลชั้นนำ รวมไปถึงสวนสาธารณะ เช่น สวนหลวง ร.9 สามารถเดินทางสู่สนามบินสุวรรณภูมิได้สะดวกรวดเร็ว ราคาที่ดินบริเวณเส้นถนนพัฒนาการจึงมีอัตราการเติบโตสูงมากในปัจจุบัน โดยการประเมินจากกรมที่ดินมีอัตราเติบโตถึง 7-16% จากปีประเมิน 2559-2562 เทียบกับ 2555-2558 ทำเลแถบนี้จึงเป็นเป้าหมายสำคัญของการพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยวระดับซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่ ด้วยศักยภาพของทำเลที่ดึงดูดกลุ่มผู้ซื้อระดับบน และลูกค้าบุคคลสินทรัพย์สูง(High Net Worth Individual) ของประเทศไทยซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี นอกจากนี้โครงการบ้านแสนสิริ ตั้งอยู่บนจุดท้องมังกร ตามหลักฮวงจุ้ยซึ่งเป็นชัยภูมิที่ถือว่าหายาก จากความเชื่อว่าเป็นจุดศูนย์รวมของความอุดมสมบูรณ์ ความรุ่งเรืองและโชคลาภ รวมถึงบ้านเลขที่ซึ่งขึ้นต้นด้วยเลข 789 ที่ถือเป็นที่สุดของเลขมงคล Design : การออกแบบที่เชื่อมต่อทุกพลังงานความรัก บรรจงรังสรรค์ขึ้นด้วยแรงบันดาลใจจากสถาปัตยกรรมในยุครีเจนซี่ (Regency) จากประเทศอังกฤษ ผสมผสานความสวยงาม แบบยุคคลาสสิคและความทันสมัยอย่างลงตัว ตัวบ้านใช้สีขาว ตัดกับองค์ประกอบสีดำ เช่นประตู, กรอบหน้าต่าง ให้ความรู้สึกที่หรูหรา โอ่อ่า สง่างาม แต่งเติมด้วยกลิ่นอายความหรูหราร่วมสมัยด้วยองค์ประกอบของประตูหน้าต่างที่มีเส้นสายของงานฝีมือ เหล็กกระจกบานสูงทุกองค์ประกอบในโครงการได้รับการออกแบบให้เชื่อมโยงความสัมพันธ์ของการอยู่อาศัยภายในครอบครัว นับตั้งแต่การจัดสรรพื้นที่ใช้สอยที่สามารถตอบสนองความต้องการของสมาชิกในครอบครัวได้ทุกเจเนอเรชั่น ฟังก์ชันการใช้งานที่ครบครัน และรูปลักษณ์ภายนอกที่สวยงามมีเสน่ห์เหนือกาลเวลา ชวนให้ตกหลุมรักตั้งแต่แรกสัมผัส Generations : พื้นที่โอ่โถงเหมาะกับทุกกิจกรรมที่รักของทุกเจเนอเรชั่น เพื่อเชื่อมต่อความรักระหว่างรุ่นสู่รุ่น ด้วยพื้นที่ใช้สอยที่เพียงพอต่อทุกคนในครอบครัว ให้เป็นไปอย่างสะดวกสบายและมีความเป็นส่วนตัวตั้งแต่ครอบครัวขนาดเล็กที่มีขนาดพื้นที่ตั้งแต่ 459 ตารางเมตร ไปจนถึงครอบครัวขนาดใหญ่ที่มีพื้นที่ใช้สอย 941 ตารางเมตร อยู่อาศัยร่วมกันได้ถึง 4 รุ่น   นอกจากนั้น ยังมีฟังก์ชั่นพิเศษที่สะท้อนรสนิยมการใช้ชีวิตเหนือระดับ อย่าง The Parlour ห้องอเนกประสงค์กึ่งกลางแจ้งเชื่อมต่อกับห้องนอนมาสเตอร์เพื่อเป็นพื้นที่พักผ่อนหย่อนใจ, Great Room พื้นที่ศูนย์รวมการใช้งานที่ต่อเนื่องเข้าไว้ที่มีขนาดใหญ่ ให้ความรู้สึกโอ่อ่า, Walk-in Closet ในทุกห้องนอน, ห้องผู้สูงอายุบริเวณชั้นล่างติดกับพื้นที่เปิดโล่งด้านข้างและด้านหลังของตัวบ้านเพื่อความเป็นส่วนตัว ออกแบบอย่างกว้างขวางเพื่อให้รถเข็นเข้าออกได้สะดวก ใช้วัสดุพื้น Shock Absorption Floor ซึ่งมีคุณสมบัติไม่ลื่น ช่วยดูดซับและลดแรงกระแทก, Walk-in Shoes Closet โซนเก็บรองเท้าติดประตูทางเข้าจากที่จอดรถ, Wine Cellar ห้องเก็บไวน์ส่วนตัวบริเวณกลางบ้าน พร้อมรวบรวมแบรนด์ชั้นนำระดับโลกมาไว้ในโครงการด้วยการคัดสรรอย่างละเมียดละไม อาทิ สุขภัณฑ์จาก Kohler หินอ่อนชนิด White Venus Marble เครื่องครัว Hacker Kitchen จากเยอรมัน อ่างล้างจานจาก Silestone by Cosentino ตู้เย็น เตาอบและตู้แช่ไวน์จาก Kuppersbusch ลูกบิดประตูทองเหลือง จาก Baldwin แบรนด์เก่าแก่จากสหรัฐอเมริกา   บ้านแสนสิริ พัฒนาการ ยังได้ติดตั้งเทคโนโลยี Home Intelligence ล่าสุดที่จะอำนวย ความสะดวกให้กับผู้อยู่อาศัยในทุกๆ ด้าน ทั้งระบบรักษาความปลอดภัยระดับโลก เพื่อช่วยปกป้องคุ้มครองผู้พักอาศัยและทุกสิ่งในบ้าน ระบบอัตโนมัติภายในบ้านที่ตอบสนองเทรนด์การใช้ชีวิต ใหม่ๆ ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของลูกบ้านหลากหลายวัยต่างไลฟ์สไตล์ในได้ทุกมิติ อาทิ Video Door Phone ประตูล็อคดิจิทัล และลิฟท์โดยสาร โครงการยังพรั่งพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการ ประกอบด้วย คลับเฮาส์ ฟิตเนส Pavilion, Tea Room, Barbecue Area, สระว่ายน้ำระบบเกลือขนาด 20 เมตร พร้อมสระเด็ก จากุซซี่ ภูมิทัศน์ที่ออกแบบอย่างสวยงามทั้งสวนส่วนกลาง และทะเลสาบ และครั้งแรกในโครงการบ้านเดี่ยวของแสนสิริกับ Golf Stimulator Room ขนาดใหญ่จำลองบรรยากาศสนามกอล์ฟ จากทั่วโลกกว่า 150 แห่ง ให้ความรู้สึกเสมือนอยู่ในสนามจริง   Exclusivity : ความเอ็กซ์คลูซีฟระดับสูงสุดและการบริการเหนือระดับสำหรับบุคคลที่รัก บ้านแสนสิริ พร้อมมอบความเป็นส่วนตัวและความภาคภูมิใจในสังคมคุณภาพ เนื่องจากมีเพียง 36 ครอบครัวเท่านั้นที่จะได้ครอบครองกรรมสิทธิ์ บนพื้นที่ถึง 37 ไร่บวกกับทำเลที่อยู่ใจกลางเมือง พร้อมสิทธิพิเศษสำหรับลูกบ้านด้วยบริการพิเศษจาก Quintessentially และ Plus Concierge   “เราเชื่อมั่นว่า บ้านแสนสิริ พัฒนาการ จะเป็นโครงการแฟล็กชิพบ้านเดี่ยวระดับซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่ของแสนสิริที่สะท้อนถึงความเหนือระดับในทุกมิติ และความสง่างามร่วมสมัยได้อย่างสมบูรณ์แบบที่สุด รวมทั้งยังเป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์ของความเป็นผู้นำในการสร้างสรรค์โครงการระดับซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่และลักซ์ชัวรี่ทั้งในโครงการแนวราบและแนวสูง ที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในแวดวงอสังหาริมทรัพย์ไทยตลอดจนกลุ่มลูกค้าทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ และเป็นอาณาจักรแห่งการพักอาศัยที่สร้างความภาคภูมิใจให้กับผู้ครอบครองที่ต้องการส่งมอบมรดกล้ำค่าจากรุ่นสู่รุ่น” นายอภิชาติกล่าวปิดท้าย
แสนสิริเสริมแกร่งยกระดับระบบรักษาความปลอดภัย เปิดตัว Sansiri Security System

แสนสิริเสริมแกร่งยกระดับระบบรักษาความปลอดภัย เปิดตัว Sansiri Security System

  ไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่แม้จะเลือกใช้ชีวิตอยู่ในที่อยู่อาศัยที่แตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ หรือคอนโดมิเนียม เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของวิถีชีวิตที่ลงตัวของแต่ละคน แต่มีสิ่งหนึ่งที่ไม่ว่าคนเราจะมีที่อยู่อาศัยในรูปแบบใดก็ตาม ต่างต้องการความรู้สึกปลอดภัยและอุ่นใจในบ้านของตัวเอง ซึ่งถือเป็นความต้องการพื้นฐานที่ตรงกันในผู้อาศัยทุกคน รวมทั้งความต้องการถึงความปลอดภัยนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงเฉพาะในช่วงเวลาที่เจ้าของบ้านทำการอาศัยอยู่เท่านั้น แต่ความคาดหวังด้านความปลอดภัยนั้นมีขึ้นตลอด 24 ชั่วโมง   บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หนึ่งในผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ได้มุ่งเน้นด้านระบบรักษาปลอดภัยที่มีความแตกต่างจากงานรักษาความปลอดภัยทั่วไป โดยให้ความสำคัญในการพัฒนาบุคลากรอย่างจริงจังจากผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษาความปลอดภัย ควบคู่กับการนำเทคโนโลยีด้านอสังหาฯและการอยู่อาศัย ( Property Technology) เข้ามาใช้ในระบบรักษาความปลอดภัยให้มีประสิทธิภาพและความทันสมัยมากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นประโยชน์กับผู้อยู่อาศัยในทุกๆด้าน เป็นการเติมเต็มประสบการณ์การใช้ชีวิตที่สมบูรณ์แบบให้กับลูกบ้านแสนสิริ   นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แสนสิริ ตั้งเป้าหมายที่จะเป็นผู้นำในตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ให้ความสำคัญกับทุกรายละเอียดในทุกด้าน รวมถึงด้านระบบรักษาความปลอดภัย ซึ่งเราได้ให้ความสำคัญเข้าไปในการให้บริการที่มีผู้ดูแลโครงการอย่างมืออาชีพ เพื่อช่วยคลายความกังวลกับลูกบ้านและสร้างความอุ่นใจเมื่ออยู่อาศัยภายในโครงการ แสนสิริจึงได้ให้ความสำคัญกับระบบรักษาความปลอดภัย และสร้างประสบการณ์การอยู่อาศัยให้รับรู้ถึงความแตกต่างหลังจากย้ายเข้ามาอยู่และได้เริ่มใช้ชีวิตจริงๆ ในบ้าน   ดังนั้น แสนสิริจึงได้เปิดตัว Sansiri Security System ระบบรักษาความปลอดภัยที่นำความล้ำสมัยที่ให้มากกว่าด้วยระบบรักษาความปลอดภัยภายในโครงการ(พื้นที่ส่วนกลาง) และเพิ่มความแข็งแกร่งด้วยระบบเทคโนโลยีรักษาความปลอดภัยบริเวณรอบบ้าน ด้วยการนำเทคโนโลยีระบบอุปกรณ์รักษาความปลอดภัยที่ทันสมัยผสมผสานร่วมกับการทำงานของทีมงานที่ได้รับการฝึกอบรมจากครูฝึกมากด้วยประสบการณ์ เพื่อสร้างความอุ่นใจให้กับการอยู่อาศัยในแต่ละวันของลูกบ้านโครงการแสนสิริในด้านความปลอดภัยอย่างรอบด้าน ภายใต้แนวคิด Complete Your Living Experience ซึ่งลูกบ้านทุกคนจะรู้สึกได้ตั้งแต่วันแรกที่ย้ายเข้ามาในโครงการ เพราะเราคำนึงว่าการทำธุรกิจด้านที่อยู่อาศัยนั้นเราไม่ได้มองเพียงด้านตัวสินค้าและบริการที่มีคุณภาพเท่านั้น แต่ยังได้ให้ความสำคัญถึงระบบรักษาความปลอดภัยที่ถือเป็นอีกหัวใจสำคัญของการอยู่อาศัยของลูกค้า   โดยจุดเด่นของ Sansiri Security System ที่มีเหนือกว่าของคู่แข่งคือการผสานระหว่างการนำเทคโนโลยีทันสมัยมาใช้ควบคู่กับทีมรักษาความปลอดภัยที่ได้รับการอบรมจากครูฝึกมากด้วยประสบการณ์ ทำให้ลูกบ้านอุ่นใจมากขึ้น ซึ่งเทคโนโลยีที่นำมาเพิ่มการรักษาความปลอดภัยในโครงการนำร่องของแสนสิรินั้น ถือเป็นการเปิดตัวใช้กับโครงการที่อยู่อาศัยเป็นแห่งแรกของประเทศไทย อาทิเช่น   o Digital fence ระบบรั้วอัจฉริยะต้นแบบ ที่สามารถเตือนภัยเมื่อเกิดเหตุบุกรุก o Face Recognition ระบบการจัดเก็บหน้า ลายนิ้วมือ และข้อมูลของผู้รับเหมา เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการตรวจสอบหาผู้กระทำความผิด และเป็นข้อมูลให้ช่วยในการติดตามหากเกิดเหตุฉุกเฉิน o SMART ACCESS QR code เพิ่มความสะดวกสบายให้กับแขกของลูกบ้าน สามารถใช้ QR Code เข้าผ่านประตูหน้ามานั่งรอเพื่อนที่ Lobby ได้ o Visitor Management System (VMS) ระบบเพิ่มความปลอดภัยในการจัดการผู้มาติดต่อ โดยมีระบบการอ่านข้อมูลบัตรประชาชน แบบสมาร์ทการ์ด พร้อมทั้งบันทึกรูปภาพบุคคล ระบบอ่านป้ายทะเบียน (License Plate Recognition) และบันทึกข้อมูลเข้าระบบอัตโนมัติแทนการแลกบัตร เพื่อเพิ่มความปลอดภัยอีกระดับ รวมไปถึงระบบยังรองรับการลงทะเบียนล่วงหน้าของผู้มาติดต่อ และคำนวณค่าที่จอดรถอัตโนมัติ ซึ่งระบบนี้อยู่ในช่วงพัฒนาเพิ่มเติมสำหรับเปิดให้บริการลูกบ้านในเฟสต่อไป   สำหรับด้านบุคลากรนั้น แสนสิริก็ให้ความสำคัญและเข้มงวดในการฝึกอบรมอย่างมาก ซึ่งได้จัดตั้งเป็น Sansiri Security Inspection (SSI) มีทีมครูฝึกมากด้วยประสบการณ์ รปภ.มืออาชีพ คุมเข้มตรวจความปลอดภัยทุกโครงการที่อยู่อาศัยทั่วประเทศ ตั้งแต่การติดตามรถที่เข้า-ออกได้มีการฝึกอบรม รปภ ของทุกโครงการให้มีมาตรฐานดูแลความปลอดภัยให้ลูกบ้าน รวมทั้งมีแผนฝึกแผนรับมือเหตุฉุกเฉินตามมาตรฐานของบริษัท อาทิ ฝึกแผนรับมือเหตุโจรกรรมและสัญญาณเตือนภัยดังภายในพื้นที่หน่วยงาน ฝึกแผนรับมือเหตุไฟไหม้ภายในพื้นที่หน่วยงาน ฝึกแผนรับมือเหตุไฟฟ้าดับในพื้นที่หน่วยงาน ฝึกแผนรับมือเหตุมีน้ำท่วมในพื้นที่ แผนเตรียมพร้อมและประสานงานเมื่อมีผู้ป่วยหนักหรือเสียชีวิตในพื้นที่ มีแผนการปฏิบัติเมื่อได้รับการประสานแจ้งเหตุ การเข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุและการระงับเหตุเบื้องต้น   เรื่องของการรักษาความปลอดภัยนั้นจะเป็นเรื่องสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เพราะมีส่วนเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยและความอุ่นใจของลูกบ้าน การนำเทคโนโลยีเข้ามาปรับใช้ให้เกิดประโยชน์จึงเป็นเรื่องที่แสนสิริให้ความใส่ใจเป็นอย่างมาก และมีความมุ่งมั่นที่จะนำเทคโนโลยีเพื่อการอยู่อาศัย มาใช้ให้เกิดประโยชน์กับผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง และตั้งเป้าหมายให้ Sansiri Security System เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่จะเติมเต็มประสบการณ์อยู่อาศัยที่ดีที่สุดให้กับลูกบ้าน   ทั้งนี้ การรักษาความปลอดภัย ระบบอุปกรณ์เทคโนโลยีรักษาความปลอดภัยต่างๆ ของแต่ละโครงการ เป็นไปตามเงื่อนไขที่บริษัทกำหนด หากต้องการรายละเอียดข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ 1685
“จัสท์โค” (JustCo) จับมือแสนสิริ ท้าชิงธุรกิจโคเวิร์คกิ้งสเปซ  ปักธงเปิดสาขาแรกใหญ่ที่สุดในประเทศไทย  พร้อมวางเป้าเปิด 100 สาขาทั่วเอเชียในปี 2563

“จัสท์โค” (JustCo) จับมือแสนสิริ ท้าชิงธุรกิจโคเวิร์คกิ้งสเปซ ปักธงเปิดสาขาแรกใหญ่ที่สุดในประเทศไทย พร้อมวางเป้าเปิด 100 สาขาทั่วเอเชียในปี 2563

JustCo ผู้ให้บริการโคเวิร์คกิ้งสเปซสุดสร้างสรรค์ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เดินหน้าสานต่อความเป็นพันธมิตรกับแสนสิริ ฉลองเปิด JustCo สาขาแรกในประเทศไทยอย่างเป็นทางการที่อาคารเอไอเอ สาทร ทาวเวอร์ พร้อมเปิดประสบการณ์ใหม่ให้กลุ่มคนทำงาน นักท่องเที่ยวเชิงธุรกิจ และองค์กรธุรกิจทุกขนาดในประเทศไทย ได้สัมผัสกับบรรยากาศการทำงานแบบใช้พื้นที่ร่วมกัน ที่แฝงความสนุกสนาน มีชีวิตชีวาเปิดโอกาสให้ทุกคนได้รู้จัก มีปฏิสัมพันธ์กัน และกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ การเปิดตัว JustCo แห่งแรกในกรุงเทพฯ คือก้าวแรกในการขยายธุรกิจสู่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และตลาดอื่นๆ ในเอเชีย อีกทั้งยังเป็นความสำเร็จบทแรกจากการดำเนินวิสัยทัศน์ Everyday Visionaries ของแสนสิริเพื่อสร้างการเติบโตครั้งใหม่ด้วยจุดมุ่งหมายที่จะกำหนดการใช้ชีวิตในอนาคต ครอบคลุมทั้งแนวทางการดำเนินชีวิต การทำงาน การพักผ่อนหย่อนใจ และการเรียนรู้ ทั้งยังสอดคล้องกับแนวคิดของ แสนสิริที่มุ่งเติมเต็มประสบการณ์การใช้ชีวิตให้แก่ลูกบ้านทุกคนอย่างต่อเนื่องอีกด้วย โดยลูกบ้านแสนสิริจะสามารถใช้บริการได้ฟรีถึงสิ้นปีนี้   มร.คง วัน ซิง ผู้ก่อตั้งและประธานอำนวยการ JustCo กล่าวว่า “ในช่วงหลายปีมานี้ โคเวิร์คกิ้งสเปซถือเป็นธุรกิจที่เติบโตอย่างก้าวกระโดดและเป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลายทั้งในหมู่คนรุ่นใหม่ สตาร์ทอัพ ไปจนถึงบริษัทใหญ่ๆ โดยโคเวิร์คกิ้งสเปซ ไม่ได้เป็นเพียงพื้นที่สำนักงานให้เช่าเท่านั้น แต่เป็นคอมมูนิตี้ที่สมาชิกสามารถมาพูดคุยสร้างปฎิสัมพันธ์ แลกเปลี่ยนวิธีการทำงานและแนวความคิดเพื่อต่อยอดธุรกิจให้ก้าวไกลไปกว่าเดิมได้ ซึ่งปัจจุบัน JustCo ถือเป็นผู้ให้บริการพื้นที่ในลักษณะโคเวิร์คกิ้งสเปซระดับพรีเมี่ยมที่ใหญ่ที่สุดและประสบความสำเร็จมากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สิ่งที่ทำให้เราแตกต่างจากโคเวิร์คกิ้งสเปซอื่นๆ คือ เราไม่ได้เป็นแค่ผู้ให้บริการเช่าพื้นที่ แต่เราสร้างคอมมูนิตี้ขนาดใหญ่ที่ช่วยให้สมาชิกของ JustCo สามารถสร้างคอนเนคชั่นใหม่ ๆ พร้อมทั้งมองหาโอกาสต่อยอดทางธุรกิจอื่นๆ นอกจากนี้ JustCo ยังมีเครือข่ายที่แข็งแกร่งกับพันธมิตรระยะยาวที่จะเชื่อมต่อสมาชิก JustCo ไปสู่ตลาดในระดับภูมิภาคและพวกเขายังสามารถเข้าถึงข้อมูลเชิงลึกทางธุรกิจที่น่าสนใจได้อีกด้วย” มร.คง วัน ซิง กล่าวเพิ่มเติมว่า “ในวันนี้ เรามีความยินดีอย่างยิ่งกับการเปิดตัวเซ็นเตอร์แห่งแรกของ JustCo ในประเทศไทย การร่วมเป็นพันธมิตรกับแสนสิริซึ่งเป็นผู้นำด้านอสังหาริมทรัพย์ของไทยคือแรงผลักดันสำคัญที่เบิกทางให้เราสามารถสร้างการเติบโตอย่างรวดเร็วในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียโดยอาศัยความเชี่ยวชาญและประสบการณ์อันยาวนานของแสนสิริในตลาดเอเชียและยังเป็นการเชื่อมโยง JustCo สู่ลูกบ้านแสนสิริที่มีอยู่จำนวนมากอีกด้วย ประเทศไทยนับเป็นหนึ่งในศูนย์กลางธุรกิจที่โดดเด่นของภูมิภาค ด้วยยุทธศาสตร์ด้านทำเลที่ตั้งที่ดี และความพร้อมในด้านระบบสาธารณูปโภค เราจึงเห็นว่าไทยคือตลาดที่สำคัญของ JustCo และเป็นประตูเชื่อมโยงให้เราขยายธุรกิจไปสู่ตลาดอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ความมุ่งมั่นของ JustCo คือการสร้างระบบนิเวศใหม่ในการทำงานซึ่งเอื้อให้คนทำงานและธุรกิจทุกขนาดได้รับประโยชน์จากพลังของเครือข่าย ผ่านการสร้างปฏิสัมพันธ์ที่ดีต่อกันการมีส่วนร่วม และการสร้างพันธมิตรทางธุรกิจระหว่างสมาชิก ซึ่งนำไปสู่โอกาสใหม่ๆ และความสำเร็จที่ดีเยี่ยมทางธุรกิจ” นายอภิชาติ จูตระกูล ประธานอำนวยการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “การเปิดตัว โคเวิร์คกิ้งสเปซ JustCo แห่งแรกในประเทศไทยคือความสำเร็จก้าวแรกของการดำเนินกลยุทธ์ Everyday Visionaries เพื่อสร้างการเติบโตครั้งใหม่ซึ่งเราริเริ่มเมื่อปี 2560 โดยการร่วมลงทุนใน 6 ธุรกิจเทคโนโลยีและไลฟ์สไตล์ระดับโลก ซึ่งต่างมีวิสัยทัศน์ร่วมกันในการร่วมกันสรรสร้างวิถีแห่งการใช้ชีวิต การทำงาน การเรียนรู้ และการพักผ่อนหย่อนใจเพื่อวันข้างหน้าที่ดีขึ้น เป็นทื่ทราบกันดีว่า ปัจจุบันรูปแบบการทำงานไม่ได้จำกัดอยู่ในออฟฟิศแบบเดิมๆ อีกแล้ว กระแสการเติบโตอย่างสูงของธุรกิจ ขนาดเล็กและสตาร์ทอัพใหม่ ๆ ทำให้เกิดความต้องการสถานที่ทำงานรูปแบบใหม่ ที่ให้ความยืดหยุ่นสูง และส่งเสริมให้ทำงานร่วมกัน นอกจากนั้น องค์กรธุรกิจใหญ่ๆ หลายแห่งก็เริ่มให้ความสนใจกับโคเวิร์คกิ้งสเปซเพื่อสร้างพลังและประสิทธิภาพในการทำงานให้พนักงานด้วยบรรยากาศการทำงานที่สร้างสรรค์และร่วมมือกัน JustCo จึงเกิดขึ้นในช่วงจังหวะที่ลงตัวเพื่อตอบสนองการเติบโตอย่างมีศักยภาพของปรากฏการณ์โคเวิร์คกิ้งสเปซในประเทศไทย ”   “แสนสิริเล็งเห็นว่า JustCo คือพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ทั้งในฐานะผู้ให้บริการโคเวิร์คกิ้งสเปซและผู้สร้างพื้นที่การใช้ชีวิตใหม่ๆ ให้กับโครงการแสนสิริและพันธมิตรอื่นๆ ของเราในอนาคต ซึ่งภายใต้การจับมือกันครั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายสามารถแบ่งปันทรัพยากร ความรู้ความเชี่ยวชาญ เทคโนโลยี และฐานลูกค้าร่วมกัน นอกจากนั้น ลูกค้าและลูกบ้านของแสนสิริจะได้รับสิทธิประโยชน์ใหม่ๆ ในการเข้าถึงเครือข่าย     โคเวิร์คกิ้งสเปซของ JustCo โดยลูกบ้านแสนสิริสามารถเข้าใช้บริการ Hot-desking ได้ฟรีถึงสิ้นปี รวมถึงในปีหน้าจะได้รับส่วนลด 20% เมื่อสมัครแพ็คเกจสมาชิกอีกด้วย ” นายอภิชาติกล่าว   JustCo ที่เอไอเอ สาทร ทาวเวอร์ มีพื้นที่ 2 ชั้น รวมกว่า 3,200 ตารางเมตรนับเป็น co-working space ที่มีพื้นที่มากที่สุดในประเทศไทย มีการตกแต่งที่สดใส มีชีวิตชีวา ด้วยองค์ประกอบที่สนุกสนาน แนวการออกแบบเน้นการใช้เฟอร์นิเจอร์และวัสดุสไตล์อินดัสเทรียล โต๊ะทำงานที่ใช้ร่วมกัน และเก้าอี้ชิงช้า เพิ่มเติมลูกเล่นด้วยการใช้โทนสีสดในมุมต่างๆ พรั่งพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก ทั้งพื้นที่ทำงานแบบฮ็อตเดสก์ พื้นที่ทำงานส่วนตัวที่เงียบสงบ ห้องประชุม พื้นที่จัดอีเวนท์ คาเฟ่ มุมเตะฟุตบอลและตีกอล์ฟ พร้อมแนวคิดที่ส่งเสริมให้เกิดชุมชนแห่งการทำงานโดยการจัดอีเวนท์และกิจกรรมร่วมกันเพื่อเชื่อมโยงธุรกิจทุกรูปแบบ และทุกขนาดเข้าด้วยกัน   ด้วยทำเลที่ตั้งใจกลางธุรกิจของสาทร ผู้ใช้บริการสามารถเดินทางสู่ JustCo เซ็นเตอร์ที่เอไอเอ สาทรทาวเวอร์ ได้สะดวกสบายด้วยรถไฟฟ้าบีทีเอส สถานีสุรศักดิ์ และจะเชื่อมต่อผ่านสกายวอล์คสู่สถานีศึกษาวิทยา ซึ่งคาดว่าจะเปิดให้บริการในไตรมาส 1 ปี 2562 JustCo มีแผนจะเปิดสาขาที่สองที่แคปิตอลทาวเวอร์ ออลซีซั่นเพลส ในเดือนกรกฎาคม 2561 JustCo ยังได้พัฒนาแอพพลิเคชั่น J App ซึ่งสามารถเข้าใช้ได้ผ่านทั้งสมาร์ทโฟนและเว็บไซต์ ทำให้สมาชิกเข้าถึงแพล็ตฟอร์มโคเวิร์คกิ้งได้ตลอด 24 ชั่วโมง โดยสามารถจองห้องประชุมล่วงหน้าได้จากทุกที่ทั่วโลก แลกเปลี่ยนไอเดียกับสมาชิกคนอื่นทั้งในฐานะบุคคลหรือบริษัทและแสวงหาโอกาสทางธุรกิจภายในเครือข่ายขนาดใหญ่ที่ประกอบด้วยสมาชิกระดับคุณภาพกว่า 12,000 คน ปัจจุบันสมาชิกสามารถเข้าใช้ J App ผ่านเว็บไซต์ได้แล้วและภายในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้จะพร้อมเปิดให้ใช้บริการผ่านสมาร์ทโฟน “วันนี้ JustCo กำลังก้าวสู่มิติใหม่ในการขยายธุรกิจสู่ประเทศไทย เราเชื่อว่าด้วยการประสานพลังระหว่างพันธมิตรกับแสนสิริ จะสามารถเติมเต็มประสบการณ์การใช้ชีวิต (Complete Your Living Experience) ให้แก่ลูกบ้านของเราอย่างไร้รอยต่อ นอกจากนั้น พันธมิตรเชิงกลยุทธ์เหล่านี้ยังเสริมความแกร่งให้แบรนด์แสนสิริบนเวทีระดับโลก เช่นเดียวกับสร้างแหล่งรายได้ใหม่ซึ่งจะเป็นมูลค่าเพิ่มให้กับลูกบ้านแสนสิริและธุรกิจหลักของเรา” นายอภิชาติกล่าว
แสนสิริฮุกหมัดเด็ดแล้ว!! เปิดตัว “สิริ เพลส”   ทาวน์เฮาส์คุณภาพในระดับ Best in Class ในราคาเริ่มต้นเพียง 1.69 ลบ.

แสนสิริฮุกหมัดเด็ดแล้ว!! เปิดตัว “สิริ เพลส” ทาวน์เฮาส์คุณภาพในระดับ Best in Class ในราคาเริ่มต้นเพียง 1.69 ลบ.

ครั้งแรก! ของแสนสิริ รุกตลาดทาวน์เฮาส์สองชั้นในราคาที่เอื้อมถึงได้ด้วยราคาเริ่มต้นเพียง 1.69 ล้านบาท ชูจุดยืน Best in Class ในทุกระดับราคา เปิดตัวแบรนด์ “สิริ เพลส” ทาวน์เฮาส์ หน้ากว้างถึง 5.2 - 5.7 เมตรที่ “ขยายทุกความชอบให้เป็นไปได้” กับ 4 จุดขาย ได้แก่ ทาวน์เฮาส์สไตล์โมเดิร์นลอฟท์ที่มาพร้อมช่องแสงธรรมชาติเพิ่มความโปร่งโล่ง - ห้องอเนกประสงค์ที่ออกแบบตกแต่งได้ตามไลฟ์สไตล์ตัวเอง – ห้องครัวที่สามาถต่อเติมรองรับ Passion ของผู้อยู่อาศัย - Educational playground สนามเด็กเล่นที่ออกแบบให้เป็นมากกว่าความสนุกสนาน มาแรง!! ด้วยราคาผ่อนเริ่มต้นเพียงล้านละ 999 บาทต่อเดือน ปักธง 8 โครงการทำเลศักยภาพ กรุงเทพฯ – ภูเก็ต โดยเตรียมพบกับงานพรีเซลล์ “สิริ เพลส” 5 โครงการ วันที่ 12-13 พค. นี้ ที่สิริ เพลส รังสิต และสิริ เพลส นวนคร วันที่ 19-20 พค. ที่สิริ เพลส สุขสวัสดิ์-พระราม 3, สิริ เพลส ราชพฤกษ์-รัตนาธิเบศร์ และสิริ เพลส กัลปพฤกษ์ – สาทร มั่นใจยอดขายดี ตอบรับเทรนด์การอยู่อาศัยคนรุ่นใหม่จากการพัฒนาโครงการภายใต้แนวคิดเติมเต็มการอยู่อาศัยอย่างสมบูรณ์แบบ (Complete Your Living Experience) ส่งผลโกยยอดขายจากโครงการทาวน์เฮาส์ที่จะเปิดในปี 2561 ทั้งหมด 11 โครงการ มูลค่ารวม 9,600 ล้านบาท     นายสมเกียรติ หงษ์ทรัพย์ภิญโญ รองกรรมการผู้จัดการสายงานพัฒนาโครงการแนวราบ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แสนสิริได้เปิดตัวทาวน์เฮาส์ภายใต้แบรนด์ “สิริ เพลส” ซึ่งนับเป็นครั้งแรกของในการรุกตลาดทาวน์เฮาส์สองชั้นที่มาพร้อมกับระดับราคาที่ลูกค้าแสนสิริรอคอยมานาน ในราคาเริ่มต้นเพียง 1.69 ล้านบาทภายใต้คุณภาพในระดับ Best-in-Class ซึ่งแสนสิริพัฒนาเป็นมาตรฐานในโปรดักส์ทุกเซกเมนต์ระดับราคา ด้วยจุดเด่นของ “สิริ เพลส” ซึ่งเป็นทาวน์เฮาส์ หน้ากว้างถึง 5.2 - 5.7 เมตร ที่ประกอบด้วย 4 จุดขายภายใต้แนวคิด “ขยายทุกความชอบให้เป็นไปได้” ได้แก่ ทาวน์เฮาส์สไตล์โมเดิร์นลอฟท์ที่มาพร้อมช่องแสงธรรมชาติเพิ่มความโปร่งโล่ง - ห้องอเนกประสงค์ที่ออกแบบตกแต่งได้ตามไลฟ์สไตล์ตัวเอง – ห้องครัวที่สามาถต่อเติมรองรับ Passion ของผู้อยู่อาศัย - Educational playground สนามเด็กเล่นที่ออกแบบให้เป็นมากกว่าความสนุกสนาน พร้อมกับสิ่งอำนวยความสะดวกในโครงการที่ครบครัน ทั้งนี้จากกระแสการตอบรับที่ดีจากลูกค้าจำนวนมากจากการเปิดลงทะเบียนใน www.sansiri.com ในช่วงที่ผ่านมา สิริ เพลส ยังได้เตรียมมอบข้อเสนอสุดพิเศษฟรีเงินจอง 5,000 บาท ในสิริเพลสทั้ง 5โครงการที่เตรียมเปิดพรีเซลในช่วงเดือนพฤษภาคม และผ่อนเริ่มต้นเพียงล้านละ 999 บาทต่อเดือนนาน 1 ปี สำหรับโครงการสิริ เพลส นวนคร และ โครงการสิริ เพลส ราชพฤกษ์-รัตนาธิเบศร์ อีกด้วย   “ในปี 2561 แสนสิริจะเปิดตัวทาวน์เฮาส์ ภายใต้แบรนด์ “สิริ เพลส” ทั้งหมด 8 โครงการทำเลกรุงเทพฯ และภูเก็ต ในทำเลศักยภาพใกล้ศูนย์กลางของชีวิตคนเมือง ใกล้เส้นทางคมนาคมที่สะดวก เชื่อมต่อการเดินทางทั้งในเมืองและนอกเมือง ด้วยราคาเริ่มต้นเพียง 1.69 ล้านบาท ประกอบด้วย 12 - 13 พฤษภาคมนี้ เปิดพรีเซลล์ โครงการสิริ เพลส รังสิต และ สิริ เพลส นวนคร และวันที่ 19 - 20 พฤษภาคมนี้ เปิดพรีเซลล์โครงการสิริ เพลส สุขสวัสดิ์- พระราม 3, สิริ เพลส ราชพฤกษ์-รัตนาธิเบศร์ และสิริ เพลส กัลปพฤกษ์-สาทร สำหรับโครงการ สิริ เพลส อีก 3 โครงการได้แก่ สิริ เพลส จรัญ-ปิ่นเกล้า, สิริ เพลส ราชพฤกษ์ – 345 และ สิริ เพลส ภูเก็ต จะเปิดตัวในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้” นายสมเกียรติ กล่าว     สำหรับทาวน์เฮาส์แบรนด์ “สิริ เพลส พัฒนาภายใต้แนวคิด เติมเต็มการอยู่อาศัยอย่างสมบูรณ์แบบ ภายใต้ 3 องค์ประกอบหลัก ประกอบด้วย Siri Living เติมเต็มการอยู่อาศัยที่สมบูรณ์แบบ ผ่านดีไซน์อันสวยงาม พร้อมประโยชน์การใช้งานได้จริง ด้วยการคัดสรรวัสดุคุณภาพ ใส่ใจทุกรายละเอียดการก่อสร้างตามมาตรฐานแสนสิริ พร้อมการออกแบบฟังก์ชั่นการใช้งานภายในบ้านที่ขยายทุกความชอบของผู้อยู่อาศัยให้เป็นไปได้ ทั้งห้องอเนกประสงค์ที่สามารถปรับเปลี่ยนพื้นที่การใช้งานให้เข้ากับไลฟ์สไตล์และความชื่นชอบได้ทุกตามความต้องการ พื้นที่หลังบ้านซึ่งลงเสาเข็มเสริมโครงสร้างให้แข็งแรง รองรับการขยายการใช้งานได้ในอนาคต และช่องแสงธรรมชาติที่โถงบันไดที่ช่วยประหยัดไฟ พรั่งพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกส่วนกลางแบบจัดเต็ม ตอบโจทย์ทุกคนในครอบครัว ทั้งคลับเฮาส์ สระว่ายน้ำ ฟิตเนส สวนส่วนกลาง และ Educational Playground ที่ได้รับการออกแบบเพื่อให้เด็ก ๆ ได้สนุกสนานไปพร้อมกับการพัฒนาทักษะต่าง ๆ Siri Lifetech เติมเต็มการอยู่อาศัยที่สมบูรณ์แบบ ผ่านนวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัยแนวใหม่ ให้ชีวิตสะดวกสบายง่ายขึ้น - ลูกบ้านสามารถใช้งาน Home Service Application ได้อย่างง่ายดายบนมือถือ ระบบเปิด - ปิด ประตูเข้า-ออกโครงการแบบอัตโนมัติ พร้อมกับอำนวยความสะดวกด้วย WiFi ในพื้นที่ส่วนกลาง และสาย LAN ภายในบ้านแบบติดตั้งเสร็จเรียบร้อยพร้อมใช้งาน เข้าออกบ้านสะดวกและปลอดภัยด้วยบัตรเข้าออกโครงการอัตโนมัติ และ Green Living Space ที่ใช้โซลาร์เซลล์เพื่อการประหยัดพลังงาน และลดค่าใช้จ่ายในพื้นที่ส่วนกลาง และ Siri Experience เติมเต็มชีวิตให้ครบสมบูรณ์แบบ ผ่านทุกช่วงเวลาให้กับลูกบ้านคนสำคัญ – ตั้งแต่บริการจัดการดูแลโครงการโดยพลัส พร็อพเพอร์ตี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร ปลอดภัยสูงสุดด้วย Sansiri Security Systems ที่พร้อมดูแลคุณ ตลอด 24 ชม. ด้วย รปภ.ที่ผ่านการฝึกฝนตามมาตรฐานแสนสิริ และนวัตกรรมที่พัฒนามาเพื่อเสริมระบบความปลอดภัย พร้อมกล้องวงจรปิดทุกจุด และสิทธิพิเศษต่างๆจาก Sansiri Family และอภิสิทธิ์การใช้บริการในแสนสิริ เลานจ์ ที่สยามพารากอน     การพัฒนาทาวน์เฮาส์ ภายใต้แบรนด์ สิริ เพลส ออกแบบในสไตล์โมเดิร์น ลอฟท์ เพื่อสะท้อนถึงผู้อยู่อาศัยที่มีไลฟ์สไตล์บ่งบอกความเป็นตัวเอง โดยสถาปัตยกรรมแบบลอฟท์ เกิดจากการดัดแปลงโกดังหรือโรงงานมาเป็นที่อยู่อาศัยในช่วงสมัยหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ปัจจุบัน โมเดิร์น ลอฟท์ เป็นสไตล์ที่โดดเด่นและเป็นที่นิยมกันอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะในนิวยอร์ค ให้ความรู้สึกโปร่งสบายด้วยเพดานสูง โล่งโปร่ง ผสมผสานกับการใช้ปูนเปลือย ปูนขัดมัน เหล็ก ไม้และอิฐแดง สร้างเอกลักษณ์ที่เป็นเสน่ห์เฉพาะตัว ด้วยกลิ่นอายความดิบผสานกับความทันสมัย มุ่งเจาะกลุ่มเป้าหมายคนรุ่นใหม่ซึ่งต้องการพื้นที่ที่มากขึ้นในการขยับขยายชีวิต ขณะที่ยังสามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตในแบบคนเมืองได้   “แสนสิริมองว่าทาว์นเฮาส์เป็น Living Trend ที่น่าสนใจในปีนี้ ซึ่งด้วยปัจจัยสนับสนุนต่าง ๆ ในทางบวก ทั้งกำลังซื้อและทิศทางความต้องการที่อยู่อาศัยซึ่งต้องการพื้นที่ใช้สอยเพิ่มขึ้น และปรับเปลี่ยนได้ตามไลฟ์สไตล์เฉพาะตัว ทาวน์เฮาส์จึงเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ สำหรับคนที่คิดจะซื้อที่อยู่อาศัยในปัจจุบัน เพราะตอบโจทย์ทั้งในด้านราคา ทำเล และพื้นที่ใช้สอย เราจึงเชื่อมั่นว่าโครงการทาว์นเฮาส์แบรนด์ สิริ เพลส จะได้รับการตอบรับที่ดี และสามารถเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญในการสร้างยอดขายจาก 11 โครงการทาวน์เฮ้าส์ที่จะเปิดขายในปี 2561 มูลค่ารวม 9,600 ล้านบาท ตามเป้าที่ตั้งไว้อย่างแน่นอน” นายสมเกียรติกล่าวปิดท้าย  
แสนสิริ เปิดตัว “ลา กาซิตา”คอนโดมิเนียมสไตล์สแปนิช มั่นใจปิดการขายไตรมาส 2

แสนสิริ เปิดตัว “ลา กาซิตา”คอนโดมิเนียมสไตล์สแปนิช มั่นใจปิดการขายไตรมาส 2

แสนสิริ “ลา กาซิตา” มูลค่าโครงการกว่า 2,300 ล้านบาท ชูจุดขายคอนโดมิเนียมขนาดใหญ่สไตล์สแปนิช ด้วยแรงบันดาลใจจากสถาปัตยกรรมสเปน จำนวน 705 ยูนิต เปิดขายในราคาเริ่มต้นเพียง 1.99 ล้านบาท คาดปิดการขายในไตรมาส 2  นายปิติ จารุกำจร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโสฝ่ายพัฒนาโครงการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แสนสิรินับว่าเป็นผู้บุกเบิกและเจ้าตลาดคอนโดมิเนียมตากอากาศในหัวหินมาอย่างยาว โดยเปิดตัวโครงการแรก “บ้านไข่มุก” หัวหิน ในปี 2534 ซึ่งนับเป็นโครงการแรกที่บริษัทพัฒนา มายาวนานกว่า 35 ปี ปัจจุบันบริษัทพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมในทำเลชะอำ-หัวหินมาแล้วทั้งสิ้น 21 โครงการ เช่น โครงการบ้านไข่มุก บ้านแสนสราญ บ้านแสนสุข บ้านนับคลื่น บ้านทิวลม เป็นต้น สำหรับโครงการที่บริษัทพัฒนาล่าสุดในปี 2558 คือ โครงการบ้านเคียงฟ้า ปัจจุบันทุกโครงการได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจนสามารถปิดการขายในทุกโครงการในทำเลหัวหิน จากความเชี่ยวชาญในการพัฒนาโครงการที่หัวหิน ทำให้แสนสิริมีความได้เปรียบในการเข้าใจความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปของลูกค้าทุกกลุ่มได้เป็นอย่างดี รวมถึงความศักยภาพของแบรนด์ที่มีความแข็งแกร่งในการพัฒนาโครงการที่มีประสิทธิภาพมาโดยตลอด นอกจากนี้ล่าสุด จากแรงหนุนในแผนการพัฒนาของภาครัฐด้านการลงทุนระบบคมนาคมในอนาคต ซึ่งมั่นใจว่าจะทำให้เกิดการกระตุ้นทั้งด้านการท่องเที่ยว และดึงดูดการลงทุนของภาคเอกชน และ เกิดความต้องการบ้านหลังที่ 2 เพิ่มมากขึ้น ล่าสุดบริษัทจึงได้เปิดตัวโครงการ ‘ลา กาซิตา’(La Casita) คอนโดมิเนียมตากอากาศบนทำเลที่ดีที่สุดในใจกลางเมืองหัวหิน แวดล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ทั้งโรงแรมระดับ 5 ดาว ศูนย์การค้าบลูพอร์ต โรงพยาบาลกรุงเทพ และร้านอาหารชั้นนำมากมาย ซึ่งนับเป็นโครงการฯ ที่ตั้งอยู่บนพื้นที่ศักยภาพอย่างแท้จริง โดยภายในโครงการยังมอบพื้นที่ส่วนกลางสีเขียวขนาดใหญ่ถึง 4,000 ตร.ม. โดยล่าสุดบริษัทได้จัดงานพรีเซลล์ เปิดขายโครงการในช่วงวันหยุดเสาร์ – อาทิตย์ที่ผ่านมา ปรากฎว่าได้รับการตอบรับจากกลุ่มลูกค้าเก่าหรือแฟนพันธุ์แท้แสนสิริเป็นอย่างดี โดยสร้างยอดขายไปได้แล้วถึง 50% คาดว่าจะได้รับความสนใจจากทั้งกลุ่มลูกค้าที่ซื้อเพื่อการพักผ่อนเป็นบ้านหลังที่ 2 รวมถึงกลุ่มลูกค้านักลงทุน และสามารถปิดการขายได้ในไตรมาส 2 นี้อย่างแน่นอน ทั้งนี้โครงการ ลา กาซิตา (La Casita) เป็นคอนโดมิเนียมสไตล์สแปนิช ได้รับการสร้างสรรค์ด้วยแรงบันดาลใจจากสถาปัตยกรรมของสเปนที่มีเอกลักษณ์โดดเด่น ไม่ว่าจะเป็นดีไซน์ที่มีมิติ สีสันในแบบพาสเทล ผสานความคลาสสิคท่ามกลางบรรยากาศของเกาะอิบิซ่า (Ibiza) ที่ตั้งอยู่ทางตะวันออกของประเทศสเปน อบอวลกลิ่นอายของหาดทรายสีขาว และท้องทะเลสวยงามเหมือนสวรรค์ โครงการ ลา กาซิตา เป็นอาคารสูง 8 ชั้น 4 อาคาร จำนวน 705 ยูนิต แบ่งเป็น 1-2 ห้องนอน ขนาดตั้งแต่ 26.50-91.00 ตร.ม. บนพื้นที่กว่า 6 ไร่ ซึ่งแบ่งเป็นพื้นที่ส่วนกลางรวมกว่า 4,000 ตร.ม. อาทิ Palm Court (ปาล์ม คอร์ท) สำหรับการจัดเป็นพื้นที่ครัวส่วนกลาง หรือพื้นที่พักผ่อนที่ให้ทุกคนสามารถใช้เวลาว่างให้ผ่อนคลายยิ่งขึ้น Blooming Wall (บลูมมิ่ง วอลล์) หรือ กำแพงดอกไม้ เพิ่มความเป็นส่วนตัวให้ผ่อนคลายได้ดังใจ Paradise Garden (พาราไดซ์ การ์เด้น) สวนขนาดใหญ่ตามแบบฉบับสเปน The Great Lawn (เดอะ การ์เด้น ลอว์น) พื้นที่สีเขียวเพื่อสูดอากาศให้ชุ่มปอดสำหรับการพักผ่อน และ Lap Pool (แล็บ พูล) สระว่ายน้ำขนาดใหญ่กว่า 1,000 ตร.ม. และยาวกว่า 100 เมตร    ซึ่งนับเป็นสระว่ายน้ำในคอนโดมิเนียมที่ยาวที่สุดในหัวหิน พร้อมทางเดินร่มรื่นรอบโครงการ ภายใต้บรรยากาศของการผ่อนคลายที่แสนสงบ และความสนุกที่สามารถสัมผัสคำว่าบ้านได้อย่างแท้จริง นอกจากนี้ล่าสุดบริษัทยังได้เปิดตัวแคมเปญฤดูร้อน ตอบรับไลฟ์สไตล์ท่องเที่ยวในหัวหิน “Joy of Huahin” โดยมอบข้อเสนอสุดพิเศษเพื่อรองรับความต้องการของผู้ที่ต้องการคอนโดมิเนียมตากอากาศในย่านชะอำ - หัวหิน และถือเป็นกิจกรรมแห่งความสุขที่มอบสิทธิพิเศษ ส่วนลดร้านค้า ร้านอาหารต่างๆ ในหัวหินให้กับลูกบ้านแสนสิริกว่า 66 ร้าน โดยเริ่มตั้งแต่ 1 เมษายน – 31 พฤษภาคม 2561 เท่านั้น “ตลาดคอนโดมิเนียมในหัวหินมีราคาเฉลี่ยสูงขึ้นถึง 15% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ทั้งยังมีแนวโน้มที่เพิ่มสูงขึ้นทุกปี และสามารถปล่อยเช่าได้ถึง 4-5% ต่อปี ผนวกกับการเติบโตของธุรกิจปล่อยเช่าออนไลน์ ซึ่งแสนสิริได้จับมือกับ Hostmaker (โฮสต์ เมกเกอร์) พาร์ทเนอร์สำคัญที่มีความเชี่ยวชาญ และได้รับรางวัลการันตีคุณภาพในระดับโลก มาช่วยอำนวยความสะดวกบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์เพื่อการเช่าและอยู่อาศัย โดยใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือสำคัญในการช่วยลดความซับซ้อนใน การจัดการการจองที่พักให้ง่ายขึ้น ดังนั้น โอกาสในการปล่อยเช่ารายเดือนจึงมีโอกาสมากขึ้น จากนักท่องเที่ยวที่นิยมเช่าพักในระยะยาว และคนทำงานประจำที่โยกย้ายจากต่างเมือง โดยมีอัตรา   ค่าเช่าโครงการของแสนสิริเฉลี่ยอยู่ที่ 20,000 บาทสำหรับขนาด 1 ห้องนอน และสูงสุดถึง 40,000 บาทสำหรับขนาด 2 ห้องนอน ทั้งนี้ โครงการ ลา กาซิตา (La Casita) จัดกิจกรรมพิเศษ “Live in the Lively Spanish Style” พร้อมเปิดให้ชมห้องตัวอย่างสมบูรณ์แบบครั้งแรกในวันที่ 6-8 เม.ย นี้ที่    หัวหินพร้อมมอบข้อเสนอพิเศษ ได้ภายในงานนี้เท่านั้น รวมทั้งมีกำหนดการนำไปโรดโชว์ในต่างประเทศในวันที่ 21-22 เมษายนนี้ ซึ่งคาดว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติเช่นเดียวกัน” นายปิติ กล่าวเสริม  สำหรับแนวโน้มตลาดคอนโดมิเนียมในทำเลหัวหินในปี 2561 นี้ คาดว่าจะมีแนวโน้มที่ดี และกลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง โดยมีแรงหนุนจากแผนการลงทุนของภาครัฐในการลงทุนระบบคมนาคมสู่เมืองท่องเที่ยวฝั่งตะวันออก ไม่ว่าจะเป็นการเชื่อมต่อพัทยาสู่หัวหิน โดยการเปิดบริการเรือเฟอร์รี่เมื่อต้นปี 2560 ที่ผ่านมา ซึ่งสามารถช่วยลดเวลาเดินทางจาก 5-6 ชม. เหลือเพียง 1.40 ชม. เท่านั้น และการเชื่อมต่อการเดินทางจากกรุงเทพฯ – หัวหิน ด้วยทางรถไฟความเร็วสูง และการสร้างมอเตอร์เวย์จากนครปฐม-ชะอำ (ท่ายาง) ซึ่งช่วยให้การเดินทางคล่องตัวกว่าเดิม รวมถึงการขยายการลงทุนภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ขยายตัวจากกรุงเทพฯ สู่เมืองท่องเที่ยวโซนอ่าวไทยมากขึ้น โดยเฉพาะเมืองหัวหินที่มีแนวโน้มการเติบโตได้ดีต่อเนื่อง *สำหรับทิศทางตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติในประเทศไทยปี 2561 คาดว่าจะมีจำนวนประมาณ 37.8 ล้านคน ขยายตัวประมาณร้อยละ 7.0 จากปี 2560 ซึ่งปัจจัยที่เป็นแรงขับเคลื่อนการเติบโตของนักท่องเที่ยวต่างชาติ เช่น การขยายเส้นทางการบินของธุรกิจสายการบินระหว่างประเทศ โดยเฉพาะการขยายเส้นทางการบินของไทยที่เชื่อมไปยังเมืองรองของจีน เป็นต้น โดยได้รับปัจจัยหนุนหลักจากการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวจีน อยู่ที่ประมาณ 9.81 ล้านคน ** ขณะที่แนวโน้มจำนวนนักท่องเที่ยวไทยเดินทางท่องเที่ยวในประเทศเพิ่มขึ้น ซึ่งคาดว่าจะมีรายได้หมุนเวียนอยู่ที่ประมาณ 9.9 แสนล้านบาท (*,**ที่มา: ข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทย) ซึ่งแน่นอนว่าส่งผลให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในเมืองตากอากาศกลับมีความคึกคักขึ้นอีกครั้ง โดยล่าสุดคอนโดมิเนียมในหัวหิน มีอัตราการเสนอขายสูงสุดที่ 140,000 บาท/ ตารางเมตร และสามารถสร้างผลตอบแทนการขายต่อมากถึง 59%  
แสนสิริ จับมือไมโครซอฟท์-เอไอเอส เปิดตัว‘Mixed Reality (MR)’ ครั้งแรกในไทย!

แสนสิริ จับมือไมโครซอฟท์-เอไอเอส เปิดตัว‘Mixed Reality (MR)’ ครั้งแรกในไทย!

แสนสิริ ไมโครซอฟท์ และเอไอเอส เปิดตัวที่สุดนวัตกรรมเชื่อมโลกจริง และเสมือนจริง ‘Mixed Reality (MR)’ เป็นครั้งแรกของประเทศไทย กับ “MR Sales Gallery” จำลองสภาพแวดล้อมให้ลูกค้าได้สัมผัสบรรยากาศของโครงการที่พักอาศัยได้แบบอินเทอร์แอ็คทีฟด้วยฟังก์ชันในการออกแบบและปรับเปลี่ยนห้องตัวอย่างได้ในทุกมุมมอง สร้างประสบการณ์การซื้อที่อยู่อาศัย ดร. ทวิชา ตระกูลยิ่งยง ประธานผู้บริหารสายงานเทคโนโลยี บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แสนสิริมุ่งมั่นวิสัยทัศน์ Siri LifeTech ในการเป็นผู้นำทางด้านเทคโนโลยี ซึ่งได้ร่วมมือกับบริษัทผู้นำทางด้านไอที ไมโครซอฟท์และ เอไอเอส ร่วมมอบประสบการณ์ที่เหนือระดับแก่ลูกค้า โดยเปิดตัวสุดยอดนวัตกรรมเชื่อมโลกจริงและเสมือนจริง Mixed Reality (MR)  มาใช้เป็นครั้งแรกในไทยกับ  “MR Sales Gallery” จำลองสภาพแวดล้อมให้ลูกค้าได้สัมผัสบรรยากาศของโครงการที่พักอาศัยได้แบบอินเทอร์แอ็คทีฟ  ด้วยฟังก์ชันในการออกแบบและปรับเปลี่ยนห้องตัวอย่างได้ในทุกมุมมอง ซึ่งดิจิทัลแพลตฟอร์ม MR จะช่วยสร้างความแปลกใหม่และยกระดับประสบการณ์การซื้อที่อยู่อาศัยในวงการอสังหาริมทรัพย์ให้ล้ำไปอีกขั้น ขณะเดียวกัน MR ก็จะช่วยต่อยอดองค์ความรู้ทางด้านเทคโนโลยีให้กับพันธมิตรเอไอเอสและไมโครซอฟท์ เสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจอย่างต่อเนื่องอีกด้วย เทคโนโลยี Mixed Reality (MR) คือ การผสานจุดเด่นของเทคโนโลยี Virtual Reality (VR) และ Augmented Reality (AR) เข้าด้วยกัน และต่อยอดให้เหนือชั้นไปอีกขั้นด้วยการสร้างภาพจำลองที่ผู้ใช้งานสามารถมีปฏิสัมพันธ์ตอบได้ในสภาพแวดล้อมที่ผสานโลกจริงและโลกเสมือนจริงเป็นหนึ่งเดียว โดยเมื่อลูกค้าเข้าเยี่ยมชมห้องตัวอย่างดิจิทัล ลูกค้าจะต้องสวมอุปกรณ์ holographic computing devices ที่ถูกออกแบบมาเป็นพิเศษ เพื่อให้สามารถแสดงผลของภาพเสมือนจริงหรือภาพ Hologram ได้โดยไม่จำเป็นต้องเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ใดๆ ทั้งยังออกแบบให้ควบคุมได้ง่ายด้วยมือเปล่า ซึ่งจะทำให้ผู้สวมใส่เสมือนกำลังเดินอยู่ในสถานที่จริงของโครงการซึ่งสร้างเสร็จแล้ว ขณะเดียวกันก็ปรับแต่งการออกแบบและฟังก์ชันต่างๆ ได้ตามความต้องการของแต่ละบุคคลไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนย้าย เปลี่ยนขนาดเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งต่าง ๆ เปลี่ยนสี เปลี่ยนวัสดุชมทัศนียภาพจากหน้าต่างเหมือนดังสถานที่จริง ตลอดจนปรับบรรยากาศได้ตามแต่ละช่วงเวลา ซึ่งทั้งหมดนี้ช่วยให้ลูกค้าสามารถเห็นภาพจำลองของโครงการได้อย่างสมจริง ทั้งยังสอดรับเทรนด์ Customization ตามแนวคิดของแสนสิริในการพัฒนาสินค้าและบริการตามแนวความคิด customer-centric ที่รังสรรค์สินค้าและบริการตามความพึงพอใจและไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของลูกค้า นอกจากนี้ ลูกค้ายังสามารถบันทึกรูปแบบของห้องตัวอย่างที่ตนเองได้สร้างสรรค์ขึ้นเป็นไฟล์ภาพ หรือวีดิโอเพื่อประกอบการตัดสินใจแทนโบรชัวร์โครงการในอดีต "โซลูชั่น Mixed Reality (MR) จะกลายเป็นนวัตกรรมสำคัญที่จะขับเคลื่อนกลยุทธ์ทางการตลาดและขายโครงการ ช่วยยกระดับประสบการณ์ในการซื้ออสังหาริมทรัพย์ให้เหนือชั้นยิ่งกว่าเคย และสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันให้กับผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และช่วยอำนวยความสะดวกในการขายลูกค้าตลาดต่างประเทศ ซึ่งจะสามารถเยี่ยมชมโครงการได้แม้ไม่ได้เดินทางมาด้วยตัวเองในสถานที่จริง เพื่อเป็นข้อมูลในการประกอบการตัดสินใจซื้อได้อย่างแม่นยำ รวดเร็วยิ่งขึ้น" ดร. ทวิชา กล่าว ซึ่งแสนสิริมีแผนการในการนำร่องใช้งานห้องตัวอย่างดิจิทัล กับโครงการแสนสิริในเดือนกรกฎาคม 2561 นี้ และหลังจากนั้นจะมีการพัฒนาฟีเจอร์และการใช้งานในรูปแบบใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่องสำหรับการร่วมมือกันในครั้งนี้ ถือเป็นจุดเริ่มต้นในการต่อยอดนวัตกรรมระหว่างพันธมิตร ข้ามอุตสาหกรรมให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม และนำไปสู่การต่อยอดความเป็นพันธมิตรในระยะยาว เพื่อเดินหน้าพัฒนาต่อยอดโซลูชั่นและร่วมหาความเป็นไปได้ของนวัตกรรมอื่นๆ ที่จะมาเติมเต็ม Complete Living Experience ประสบการณ์การอยู่อาศัยของลูกค้าอย่างสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น นายธนวัฒน์ สุธรรมพันธุ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า จุดมุ่งหมายของไมโครซอฟท์คือการเสริมศักยภาพให้กับทุกคนและทุกองค์กรทั่วทุกมุมโลก เชื่อว่าเทคโนโลยี Mixed Reality จะเป็นเทคโนโลยีที่สามารถผสมผสานโลกดิจิทัลกับโลกแห่งความจริงเข้าไว้ด้วยกันได้อย่างลงตัว ต่อยอดจินตนาการได้อย่างเหนือชั้น และจะมีบทบาทสำคัญอย่างมาก ในการเชื่อมต่อความคิดของผู้คนเข้าไว้ด้วยกัน เปิดโอกาสให้เราได้สัมผัสกับความเป็นไปได้ใหม่ๆ ที่เหนือทุกความคาดหมาย สร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับลูกค้า ซึ่งจะทำให้เกิดรูปแบบใหม่ๆ ในการดำเนินธุรกิจที่อาศัยจุดเด่นและเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใครจากเทคโนโลยีนี้อีกด้วย นายปรัธนา ลีลพนัง หัวหน้าคณะผู้บริหารกลุ่มลูกค้าทั่วไป บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ด้วยวิสัยทัศน์ของเอไอเอส ในการนำศักยภาพด้านเครือข่ายและเทคโนโลยีดิจิทัล มาขยายบทบาทสู่การเป็น Digital Platform ของประเทศ เพื่อเป็นแกนกลางสนับสนุนการทำงาน ของพันธมิตรในทุกภาคส่วน ทุกอุตสาหกรรม ร่วมกันสร้างสรรค์นวัตกรรมดิจิทัลอันทันสมัย ขยายขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับภาคธุรกิจ สร้างการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลในภาพรวมของประเทศ รวมถึงยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับลูกค้าและประชาชนคนไทยได้อย่างยั่งยืน จึงเป็นการผนึกกำลังครั้งสำคัญที่จะนำความเชี่ยวชาญของทั้ง 3 บริษัทชั้นนำจาก 3 วงการ เพื่อเปิดประสบการณ์การอยู่อาศัยครั้งใหม่ โดยเอไอเอสได้พัฒนาดิจิทัลแพลตฟอร์มใหม่ที่ล้ำสมัยอย่าง Mixed Reality หรือ MR ที่ Customized ขึ้นมาด้วยทีมงานเอไอเอสผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีดิจิทัล และมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในการตอบโจทย์ประสบการณ์การซื้อที่อยู่อาศัย ของคนยุคใหม่ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยครั้งนี้ เราได้นำเทคโนโลยี MR มาประยุกต์ใช้ในห้องตัวอย่างในรูปแบบดิจิทัลให้กับทางแสนสิริ เพื่อมอบประสบการณ์เสมือนจริงยิ่งกว่า ในการเลือกชมและเลือกซื้อที่อยู่อาศัยที่สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของตัวเอง พลิกโฉมรูปแบบการชมห้องตัวอย่างจากเดิมที่เคยมีมา " ดิจิทัลแพลตฟอร์ม MR จะสามารถตอบโจทย์การทำธุรกิจ สร้างความแตกต่างและเสริมความแข็งแกร่งให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ถือเป็นการก้าวไปอีกขั้น ในฐานะผู้สร้างสรรค์ Digital Platform เพื่อทุกธุรกิจ ซึ่งเอไอเอสมีศักยภาพความพร้อมทั้งด้าน Digital Infrastructure และทีมงานผู้เชี่ยวชาญ รวมถึงพันธมิตรด้านเทคโนโลยีระดับโลกอย่างไมโครซอฟท์ ซึ่งมี Azure Cloud Platform ที่ทำให้ทีมงานของเอไอเอส สามารถออกแบบและ Customized ดิจิทัลโซลูชั่นส์และบริการใหม่ๆ ให้สอดคล้องกับลักษณะธุรกิจแต่ละประเภทโดยเฉพาะ ซึ่งเป็นการสร้าง Business Model ใหม่ๆ ให้กับตลาดอีกด้วย” นายปรัธนา กล่าว
แสนสิริผนึก 6 พาร์ทเนอร์ชั้นนำทั้งไทยและระดับโลก เปิดตัว ‘Smart Move’ ครั้งแรกในโครงการที่อยู่อาศัย ปฏิวัติการเดินทางรูปแบบใหม่ให้ลูกบ้านแสนสิริ สู่ยุค Car Free Living

แสนสิริผนึก 6 พาร์ทเนอร์ชั้นนำทั้งไทยและระดับโลก เปิดตัว ‘Smart Move’ ครั้งแรกในโครงการที่อยู่อาศัย ปฏิวัติการเดินทางรูปแบบใหม่ให้ลูกบ้านแสนสิริ สู่ยุค Car Free Living

ดร. ทวิชา ตระกูลยิ่งยง ประธานผู้บริหารสายงานเทคโนโลยี บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ร่วมด้วย 6 พาร์ทเนอร์ชั้นนำทั้งไทยและระดับโลก เปิดตัว Smart Move แพลตฟอร์มบริการยานพาหนะระบบเช่าในโครงการของแสนสิริเป็นครั้งแรกในโครงการที่อยู่อาศัย เดินหน้าสร้างสรรประสบการณ์ใหม่แก่ลูกบ้านแสนสิริเพื่อเติมเต็มประสบการณ์การอยู่อาศัยสมบูรณ์แบบ (Complete Your Living Experience) โดย 6 พาร์ทเนอร์ชั้นนำ ประกอบด้วย Honda ผู้นำรถจักรยานยนต์อันดับหนึ่งของไทย ส่งรถจักรยานยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ล่าสุดร่วมบริการ Uber ผู้ให้บริการรถร่วมเดินทางผ่านแอพพลิเคชั่นจากสหรัฐอเมริกา มอบสิทธิพิเศษนั่งฟรีครั้งแรกสำหรับลูกบ้านโครงการใหม่ ofo ผู้ให้บริการเช่า จักรยานผ่านทางแอปพลิเคชั่นมือถือรายแรกและรายใหญ่ที่สุดของโลก นำร่องให้บริการเช่ารถจักรยานใน 11 โครงการครอบคลุมกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด Haupcar ผู้พัฒนาแพลตฟอร์มให้บริการคาร์แชร์ริ่งรายแรกของไทย และทางแสนสิริได้ส่งรถยนต์ไฟฟ้า BMW i3 ร่วมบริการครั้งแรกในโครงการที่อยู่อาศัยไทย SHARGE ผู้ให้บริการเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าชั้นนำ พร้อมบริหารแพลตฟอร์มอัจฉริยะนี้ และ EA Anywhere ผู้ให้บริการสถานีอัดประจุไฟฟ้าสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า เดินหน้าติดตั้งอุปกรณ์รุ่นใหม่พร้อมให้ชาร์จฟรีครั้งแรกสำหรับลูกบ้านแสนสิริ เสิร์ฟบริการครอบคลุมทุกการเดินทางด้วยยานพาหนะทุกรูปแบบ รวมถึงสถานีชาร์จไฟฟ้ารถยนต์ผ่านแพลตฟอร์มบริการที่สมบูรณ์แบบ ตอบสนองความต้องการและไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตยุคใหม่ของลูกบ้านแสนสิริในโครงการที่พักอาศัยครั้งแรกของประเทศไทย  
“แสนสิริ” เปิดเกมรุกหนัก รับปี’61 ลุยส่งแคมเปญกวาดยอด 6,000 ลบ. “ปรากฏการณ์ดาวสุขเต็มฟ้า” จัดเต็มแบบที่ไม่เคยมีใครให้มาก่อนในวงการ รับกว่า 17 ล้าน!! แจกหนัก รับรางวัลทุกเดือน

“แสนสิริ” เปิดเกมรุกหนัก รับปี’61 ลุยส่งแคมเปญกวาดยอด 6,000 ลบ. “ปรากฏการณ์ดาวสุขเต็มฟ้า” จัดเต็มแบบที่ไม่เคยมีใครให้มาก่อนในวงการ รับกว่า 17 ล้าน!! แจกหนัก รับรางวัลทุกเดือน

“แสนสิริ” ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของไทย เปิดเกมรุกหนัก รับปี’61 ประกาศผู้นำอสังหาฯ กับปรากฏการณ์สะเทือนวงการ ส่งแคมเปญ “ดาวสุขเต็มฟ้า” จัดเต็มแบบที่ไม่เคยมีใครให้มาก่อนในหน้าประวัติศาสตร์ ตั้งเป้ากวาดยอด 6,000 ล้านบาท สร้างสีสันและกระตุ้นตลาดคึกคักต้อนรับไตรมาส 1 -- รับกว่า17 ล้าน!! แจกหนัก รับรางวัลทุกเดือนกว่า 80 รางวัล รางวัลที่ 1 ส่วนลด รางวัลละ 1 ล้านบาท จำนวน 3 รางวัล รางวัลที่ 2 บัตรกำนัล SB Furniture รางวัลละ 300,000 บาท จำนวน 21 รางวัล รางวัลที่ 3 บัตรกำนัลเครื่องใช้ไฟฟ้าจาก SAMSUNG รางวัลละ 100,000 บาท  จำนวน 60 รางวัล ยิ่งตัดสินใจเร็ว ยิ่งมีลุ้นสิทธิ์มากกว่า พบดีลพิเศษ และทัพโครงการพร้อมอยู่ และโครงการใหม่ บ้านเดี่ยว คอนโดฯ และทาวน์เฮาส์ ทั่วประเทศ เริ่มแล้ววันนี้ – 31 มี.ค. นี้ นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เผยว่า “ปีนี้ แสนสิริ พร้อมลุยประกาศความเป็นผู้นำในตลาดอสังหาริมทรัพย์ก่อนใครตั้งแต่เริ่มต้นศักราชใหม่    กับโปรโมชั่นและข้อเสนอพิเศษที่ยิ่งใหญ่และไม่เคยมีใครให้เท่านี้มาก่อนในประวัติศาสตร์ ถือเป็นการสร้างสีสันและความคึกให้กับตลาดอสังหาฯตั้งแต่เริ่มต้นปี กับแคมเปญ “ปรากฏการณ์ดาวสุขเต็มฟ้า” ที่เราขนทัพมาแบบจัดหนักและจัดเต็มกับหลากหลายโครงการให้ได้เลือกจับจอง นับเป็นครั้งแรกที่เราคืนกำไรขอบคุณลูกค้าโดยการมอบส่วนลดและสิทธิพิเศษมากที่สุดและคุ้มค่าที่สุดที่ไม่เคยมีใครให้มากเท่านี้ มาก่อนในวงการอสังหาฯ ที่ให้กว่า 17 ล้านบาท ซึ่งรวมถึงลุ้นรับรางวัลทุกเดือน รวมกว่า 80 รางวัล โดยเราจับฉลากแจกหนักทุกเดือน ทุก 1 ล้านบาท รับ 1 สิทธิ์จับฉลากชิงโชค ซึ่งโอกาสในการรับรางวัลนั้นสูงมาก เราหวังว่า จะได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้าและนักลงทุนมากกว่าปีก่อนๆ และสามารถทำยอดขายได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ 6,000 ล้านบาท การมีโครงการและโปรโมชั่นเร้าใจ ตรงกับความต้องการลูกค้าและการกระตุ้นให้ลูกค้าตัดสินใจเร็วขึ้นผ่านแคมเปญนี้ จะช่วยผลักดันให้ยอดขายในช่วงไตรมาสแรกทะลุเป้าได้แน่นอน” “นอกจากส่วนลดและสิทธิพิเศษที่อัพเกรดแบบเหนือกว่าแล้ว ความพิเศษของปีนี้ คือ เรายังส่งโครงการคอนโดใหม่เข้าร่วมด้วย ซึ่งไม่ได้มีเพียงเฉพาะแค่โครงการพร้อมอยู่เท่านั้น เนื่องจากเราเล็งเห็นถึงความต้องการของลูกค้าในเมืองที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจึงนำโครงการใหม่เข้าร่วมด้วยพร้อมนำเสนอความคุ้มค่า เพื่อเพิ่มทางเลือกในการอยู่ศัยในทุกระดับโครงการ อาทิ เดอะ โมนูเมนต์ ทองหล่อ, คุณ บาย ยู, โอกะ เฮาส์ และ คาวะ เฮาส์ โดยมีโครงการที่อยู่อาศัยที่เข้าร่วมรายการทั้งหมดกว่า 61 โครงการ ทั้งบ้านเดี่ยว คอนโดมิเนียม และทาวน์เฮาส์ ครอบคลุมทุกระดับราคาตั้งแต่แบรนด์นาราสิริ ตลอดจน ดีคอนโด หลากหลายทำเลทั้งกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ โคราช เขาใหญ่ ชะอำ ขอนแก่น อุดรธานี สุราษฎร์ธานี และภูเก็ต เป็นต้น โดยมอบโปรโมชั่นสุดคุ้มกับยูนิตสวยโดนใจ ในจำนวนจำกัด” นายอุทัย กล่าว พบกับไฮไลท์สุดปัง กับแคมเปญโปรโมชั่น “ปรากฎการณ์ดาวสุขเต็มฟ้า” ได้แล้ววันนี้ ลุ้นจับฉลากและรับรางวัลทุกเดือน รวมมูลค่ากว่า 15 ล้านบาท โดยทุก 1ล้านบาท รับ 1 สิทธิ์จับฉลาก สำหรับลูกค้าที่จองและโอนโครงการพร้อมอยู่ หรือจองและทำสัญญาสำหรับโครงการใหม่ ภายในช่วงระยะเวลาโปรโมชั่นตั้งแต่วันนี้ -31 มี.ค.2561 จับรางวัลและประกาศรางวัลประจำทุกเดือนทางหน้า แสนสิริ เฟซบุ๊ค และเว็บไซต์ www.sansiri.com/โครงการพร้อมอยู่ ต่อที่ 1 รับข้อเสนอพิเศษมากมายจากโครงการ และ ต่อที่ 2 รับส่วนลดเพิ่มสูงสุด 2 ล้านบาท ต่อยูนิตจากต่อที่ 1 ประกอบด้วย บ้านเดี่ยว 36 โครงการ คอนโด 18 โครงการ และทาวน์เฮาส์ 7 โครงการ ทั่วประเทศ อาทิเช่น โครงการใหม่คอนโดมิเนียม คุณ บาย ยู ลดสูงสุด 1,000,000 บาท เดอะ โมนูเมนต์ สนามเป้า ห้องแต่งพิเศษเริ่ม 5 ล้าน บาท บ้านเดี่ยว ทาว์นเฮ้าส์พร้อมอยู่ในกรุงเทพฯ นาราสิริ พระราม 2 และ นาราสิริ ปิ่นเกล้า-สาย1 รับฟรี! Living Package 1,000,000 บาท สิริ สแควร์ เจริญกรุง 80 ลดสูงสุด 1,000,000 บาท เชียงใหม่ เศรษฐสิริ สันทราย รับส่วนลดกว่า 300,000 บาท หรือไม่ว่าจะเป็น คอนโดตากอากาศพร้อมอยู่ในจังหวัดท่องเที่ยวหลัก อย่าง ภูเก็ตบ้านเดี่ยวและคอนโดพร้อมอยู่ 4 โครงการ รับข้อเสนอพิเศษสูงสุดกว่า 1,000,000 บาท นอกจากนี้ ยังมีโครงการอื่นๆอีกมากมายที่ยกทัพพร้อมมามอบโปรฯเด็ดๆอีกครั้งแบบจัดเต็ม ต่อที่ 3 ลุ้นรับรางวัลทุกเดือน ทุก 1 ล้านบาท รับ 1 สิทธิ์จับฉลาก รางวัลที่ 1 ส่วนลด รางวัลละ 1 ล้านบาท จำนวน 3 รางวัล รางวัลที่ 2 บัตรกำนัลจาก SB Furniture รางวัลละ 300,000 จำนวน 21 รางวัล รางวัลที่ 3 บัตรกำนัลเครื่องใช้ไฟฟ้าจาก SAMSUNG รางวัลละ 100,000 จำนวน 60 รางวัล โอกาสทอง แบบนี้ไม่ควรพลาด พิสูจน์ความแรงของโปรโมชั่นเด็ดโดนใจจำนวนจำกัด แจกหนัก จัดเต็ม!!    “ปรากฎการณ์ดาวสุขเต็มฟ้า” ได้แล้ววันนี้ ถึง 31 มี.ค.61 พบกับข้อเสนอพิเศษนี้ได้ที่ Sale Galley ของโครงการที่เข้าร่วมรายการ หรือ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. 1685 หรือ http://www.sansiri.com/โครงการพร้อมอยู่
แสนสิริเปิดแบรนด์ใหม่แนวราบ “อณาสิริ” เจาะตลาด 1-3 ล้านบาท ครั้งแรก Low Rise มิกซ์โปรดักส์ รวมบ้านเดี่ยว-บ้านแฝด-ทาวน์เฮาส์ ปักธงทำเลใหม่อยุธยา โครงการแรก “อณาสิริ อยุธยา”

แสนสิริเปิดแบรนด์ใหม่แนวราบ “อณาสิริ” เจาะตลาด 1-3 ล้านบาท ครั้งแรก Low Rise มิกซ์โปรดักส์ รวมบ้านเดี่ยว-บ้านแฝด-ทาวน์เฮาส์ ปักธงทำเลใหม่อยุธยา โครงการแรก “อณาสิริ อยุธยา”

แสนสิริขยายแบรนด์แนวราบ ผุดแบรนด์ “อณาสิริ” เจาะกลุ่มลูกค้าตลาดระดับราคา 1-3 ล้านบาท ครั้งแรกในการพัฒนา Low rise แบบมิกซ์โปรดักส์ รวมบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์เฮาส์ ในโครงการเดียว ตอบรับครบทุกความต้องการ หวังครองตลาดแนวราบอยู่หมัด ครอบคลุมทุกเซกเมนต์ เปิดตัวโครงการแรก ปักธงทำเลใหม่อยุธยา ในชื่อ “อณาสิริ อยุธยา” จำนวน 318 ยูนิต มูลค่าโครงการประมาณ 1,000 ล้านบาท ชูจุดเด่นดีไซน์สไตล์ Minimal Loft สมัยใหม่ รวมสไตล์แห่งยุคกับเสน่ห์แห่งเมือง ตอบโจทย์ลงตัวในทุกการอยู่อาศัย ราคา 1.89 – 5 ล้าน พร้อมเปิดขายอย่างเป็นทางการ 25-26 พ.ย.นี้ ชี้อยุธยาทำเลที่อยู่อาศัยแห่งใหม่ย่านนิคมอุตสาหกรรมใหญ่ เผยดีมานด์แรงมีทั้งคนในท้องถิ่น หน่วยงานราชการ และแรงงานชาวไทยและชาวต่างชาติ ระบุตลาดทาวน์เฮาส์ฮอต อยู่โซนนิคมอุตสาหกรรม ราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท อัตราการดูดซับโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 5 ยูนิตต่อเดือนต่อโครงการ และบ้านเดี่ยว ทำเลฮอตคือโซนอยุธยา-บ้านแพรก ราคา 3.00-4.99 ล้านบาท อัตราตอบรับดีเฉลี่ย 3 ยูนิตต่อเดือนต่อโครงการ ขณะที่ราคาที่ดินโซนนิคมอุตสาหกรรมแพงสุด 20,000-50,000 บาท / ตร.ว. ด้านยอดขายแนวราบไปได้สวย 10 เดือน ปิดยอดขายได้ 11,300 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากรอบ 10 เดือนของปีก่อนถึงเกือบ 30% และก้าวสู่ 75% จากเป้าหมายยอดขายโครงการแนวราบในปีนี้ที่ตั้งไว้ 15,000 ล้านบาท มั่นใจยอดขายแนวราบปีนี้เป็นไปตามเป้าแน่นอน คุณวิลาสิณี เดชอมรธัญ รองกรรมการผู้จัดการสายงานพัฒนาธุรกิจและพัฒนาโครงการแนวราบ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แสนสิริเปิดแบรนด์แนวราบ ภายใต้ชื่อ “อณาสิริ” เจาะกลุ่มลูกค้าระดับราคา 1-3 ล้านบาท ซึ่งเป็นครั้งแรกในการพัฒนาโครงการ Low Rise แบบมิกซ์โปรดักส์ รวมบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์เฮาส์ ในโครงการเดียวกันตอบรับทุกความต้องการ ครอบคลุมตลาดโครงการแนวราบในทุกเซกเมนต์ โดยแบรนด์อณาสิริ มีคอนเซ็ปต์ว่า “LIVABLE LIVES” บ้าน   อณาสิริ ความรู้สึกที่เติมเต็ม มาจากคำว่า “อณา + แสนสิริ” บ้านที่รวมสังคมดีๆ เอาไว้ด้วยกัน เตรียมเปิดตัวโครงการแรก ในจังหวัดอยุธยาที่เป็นทำเลที่แสนสิริไม่เคยเข้าไปพัฒนาโครงการมาก่อน ในชื่อ “อณาสิริ อยุธยา” จำนวนทั้งหมด 318 ยูนิต มูลค่าโครงการประมาณ 1,000 ล้านบาท ชูจุดเด่นออกแบบสไตล์ Minimal Loft สมัยใหม่ รวมสไตล์แห่งยุคกับเสน่ห์แห่งเมือง สอดแทรกด้วยภูมิปัญญาท้องถิ่นในวิถีการอยู่อาศัยและการสร้างบ้าน เช่น การใช้สีอิฐ (สีส้ม) ที่รอให้มาค้นหาความสุขใหม่ในเมืองเดิม กับสังคมที่มีคุณภาพ ตอบโจทย์ลงตัวในทุกการอยู่อาศัย เติมเต็มความสมบูรณ์ในการใช้ชีวิต เสนอขายราคา 1.89 – 5 ล้านบาท พร้อมเปิดขายอย่างเป็นทางการวันเสาร์-อาทิตย์ที่  25-26 พฤศจิกายนนี้ “แสนสิริเปิดตัวแบรนด์ใหม่ อณาสิริ บนทำเลอยุธยาครั้งแรก เพราะเราศึกษาและพบว่าทำเลนี้มีศักภาพสูง โดยอยุธยาเป็นศูนย์กลางการเดินทางไปยังภาคเหนือและภาคอีสาน เปรียบดั่งบ้านหลังที่ 2 ของคนกรุงเทพฯ และเป็นที่ตั้งของนิคมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ทำให้มีผู้คนย้ายเข้ามาในพื้นที่เป็นจำนวนมากและมีความต้องการที่อยู่อาศัย ซึ่งกลุ่มดีมานด์หลักคือกลุ่มคนในท้องถิ่น หน่วยงานราชการ รวมไปถึงแรงงานทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติที่ย้ายมาทำงานในนิคมอุตสาหกรรม ที่ต้องการที่อยู่อาศัยเพื่ออยู่อาศัยเอง และปล่อยเช่า ทั้งนี้สำหรับซัพพลายในทำเลอยุธยา ส่วนใหญ่เน้นเปิดโครงการทาวน์เฮาส์ โดยมีจำนวน         ซัพพลายทั้งหมด 3,072 ยูนิต คิดเป็น 55% ของส่วนแบ่งการตลาดทั้งหมด รองลงมาคือบ้านเดี่ยว มีจำนวนซัพพลายทั้งหมด 2,249 ยูนิต คิดเป็น 40% ของส่วนแบ่งการตลาดทั้งหมด และ คอนโดมิเนียม มีจำนวนซัพพลายทั้งหมด 294 ยูนิต คิดเป็นส่วนแบ่ง 5% ของส่วนแบ่งการตลาดทั้งหมด ขณะที่ดีมานด์ที่นิยมที่สุดคือ ทาวน์เฮาส์ ในราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท โดยโซนนิคมอุตสาหกรรมได้รับความนิยมสูงสุด อัตราการดูดซับโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 5 ยูนิตต่อเดือนต่อโครงการ ขณะที่บ้านเดี่ยว ราคาที่ได้รับความนิยมคือ 3.00-4.99 ล้านบาท ในโซนอยุธยา-บ้านแพรก อัตราตอบรับดีเฉลี่ย 3 ยูนิตต่อเดือนต่อโครงการ ส่วนราคาที่ดินของอยุธยา โซนที่ราคาสูงที่สุดอยู่ที่ โซนนิคมอุตสาหกรรม ถนนโรจนะ ถนนพหลโยธินใน     อ.บางปะอิน ซึ่ง เป็นที่ตั้งของนิคมอุตสาหกรรม อยู่ที่ประมาณ 20,000-50,000 บาทต่อตารางวา รองลงมาคือ โซนอยุธยา-บ้านแพรก ถนนอู่ทอง ถนนนเรศวร อยู่ที่ 30,000 - 40,000 บาทต่อตารางวา และโซนลาดบัวหลวง-ผักไห่ ถนน ศรีเสนา ราคาประเมิน อยู่ที่ 15,000-25,000 บาทต่อตารางวา ทั้งนี้มองว่าทำเลอยุธยามีแนวโน้มในการเติบโตที่ดี รายล้อมด้วยสถานที่ท่องเที่ยว ประกอบด้วยวัดพระศรีสรรเพชญ์ วัดใหญ่ชัยมงคล โรงแรมและคาเฟ่ต่างๆมากมาย จึงทำให้วันหยุดมีคนเดินทางมาท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก ทั้งคนที่อยู่กรุงเทพฯ เนื่องจากใกล้กรุงเทพฯ มากเดินทางเพียง 1 ชั่วโมงเศษ และนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางมาท่องเที่ยว ซึ่งมองว่าอยุธยาในอนาคตจะเติบโตขึ้นและเป็นทำเลที่อยู่อาศัยแห่งใหม่ที่น่าจับตามองอีกทำเลหนึ่ง” คุณวิลาสิณี กล่าว คุณวิลาสิณี กล่าวต่อว่า “สำหรับตลาดที่อยู่อาศัยโครงการแนวราบมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง และมีดีมานด์จริงที่ต้องการซื้อเพื่ออยู่อาศัยที่สูง ส่งผลให้ปีนี้ยอดขายแนวราบของแสนสิริเป็นไปได้สวย ปัจจุบันแสนสิริมียอดขายโครงการแนวราบ 10 เดือน ปิดยอดขายได้ 11,300 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากรอบ 10 เดือนของปีก่อนถึงเกือบ 30% โดยที่ช่วงเดียวกันของปีที่แล้วยอดขาย 10 เดือนอยู่ที่ 8,485 ล้านบาท และก้าวสู่ 75% จากเป้าหมายยอดขายโครงการแนวราบในปีนี้ที่ตั้งไว้ 15,000 ล้านบาท ซึ่งมั่นใจว่ายอดขายแนวราบของปีนี้จะเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้อย่างแน่นอน” สำหรับโครงการใหม่ อณาสิริ อยุธยา ตั้งอยู่บนพื้นที่ 40 ไร่ บนทำเลคุณภาพ เดินทางง่าย ใกล้ถนนใหญ่ หมู่ 5 ต.เกาะเรียน อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา มูลค่าโครงการ ประมาณ 1,000 ล้านบาท ออกแบบภายใต้คอนเซ็ปต์ อาณาจักรชีวิตที่ลงตัว พร้อมเติมเต็มความสมบูรณ์แบบด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก ส่วนกลางที่ครบครัน สระว่ายน้ำระบบเกลือ ห้องออกกำลังกายพร้อมอุปกรณ์มาตรฐาน และระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ช.ม. มีจำนวนทั้งสิ้น 318 ยูนิต ประกอบด้วยบ้านเดี่ยว จำนวน 74 ยูนิต ราคา 3.99-5 ล้านบาท บ้านแฝด จำนวน 102 ยูนิต ราคา 2.99-3.5 ล้านบาท และทาวน์เฮาส์ จำนวน 142 ยูนิต ราคา 1.89-2.3 ล้าน สำหรับขนาดพื้นที่ใช้สอย ทาวน์เฮาส์ พื้นที่ใช้สอย 93 ตร.ม. ที่ดินเริ่มต้น 16.2 ตร.ว. ประกอบด้วย 2 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ ห้องรับแขก ห้องอเนกประสงค์ 1 ที่จอดรถ บ้านแฝด พื้นที่ใช้สอย 134 ตร.ม. ที่ดินเริ่มต้น 35.6 ตร.ว. 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ  ห้องอเนกประสงค์ ห้องรับแขก  2 ที่จอดรถ และบ้านเดี่ยว พื้นที่ใช้สอย 127 ตร.ม. ที่ดินเริ่มต้น 50.6 ตร.ว. ประกอบด้วย 3 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ 1 ห้องรับแขก ครัวไทย 2 ที่จอดรถ เตรียมเปิดขายอย่างเป็นทางการวันที่ 25-26 พฤศจิกายนนี้ โดยจัดโปรโมชั่น ราคาดีที่สุด พร้อมเลือกทำเลสวยหน้าโครงการ
แสนสิริเปิดแผนธุรกิจ “Sansiri Transformation” สู่การขับเคลื่อนองค์กรครั้งใหญ่ ผนึกแผนครึ่งหลังเปิดอีก 16 โครงการใหม่ มูลค่ารวมกว่า 39,260 ลบ.

แสนสิริเปิดแผนธุรกิจ “Sansiri Transformation” สู่การขับเคลื่อนองค์กรครั้งใหญ่ ผนึกแผนครึ่งหลังเปิดอีก 16 โครงการใหม่ มูลค่ารวมกว่า 39,260 ลบ.

แสนสิริเปิดแผนธุรกิจ “Sansiri Transformation” สู่การขับเคลื่อนองค์กรครั้งใหญ่ ผนึกแผนครึ่งหลังเปิดอีก 16 โครงการใหม่ มูลค่ารวมกว่า 39,260 ลบ.พร้อมโชว์ผลงานครึ่งปีแรกกวาดยอดขายกว่า 15,000 ลบ. เติบโตเกือบ 20% เผยตลาดต่างชาติตอบรับดี สร้างยอดขายทะลุ 3,700 ล้านบาท แสนสิริ เปิดแผนธุรกิจ  “Sansiri Transformation” กลยุทธ์ขับเคลื่อนองค์กรครั้งใหญ่ ภายใต้ 4 ด้านหลัก ได้แก่ การบริหารการเงิน - การบริหารการพัฒนาโครงการ –การบริหารกลยุทธ์การตลาด และการบริหารด้านเทคโนโลยี ก้าวสู่การเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำด้านเทคโนโลยีที่ครอบคลุมทุกแง่มุมของอสังหาริมทรัพย์และการอยู่อาศัย พร้อมเตรียมเปิดตัวอีก 16 โครงการใหม่ มูลค่ารวมกว่า 39,260 ล้านบาท มุ่งสานต่อพัฒนาโครงการร่วมทุนกับบีทีเอส พร้อมเล็งหาพันธมิตรทางธุรกิจเพิ่มเติม - รุกตลาดต่างชาติต่อเนื่อง – เปิดตัว “บ้านแสนสิริ” super hi-end ของแบรนด์บ้านเดี่ยวในไตรมาส 4 - ลุยปั้นแบรนด์ “HAUS” หลังลูกค้าตอบรับดี และเดินหน้าส่งมอบนวัตกรรมเพื่อที่อยู่อาศัยใหม่ๆ เตรียมเปิดตัวผลงาน PropTech ชิ้นแรกเร็วๆ นี้ ขณะที่ผลประกอบการครึ่งแรกปี 2560 แข็งแกร่งน่าพอใจ ด้วยยอดขายรวมกว่า  15,000  ล้านบาท เติบโตเกือบ 20% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ยอดขายตลาดต่างชาติโตต่อเนื่องกว่า 3,700 ล้านบาท มั่นใจสามารถบรรลุเป้าหมายยอดขายรวมทั้งปีที่ 36,000 ล้านบาทที่วางไว้ในปีนี้ นายอภิชาติ จูตระกูล ประธานอำนวยการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา แสนสิริมีผลประกอบการที่น่าพึงพอใจ ด้วยยอดขายรวมประมาณ 15,000  ล้านบาท เติบโตจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วกว่า 20% และคิดเป็นกว่า 42% ของเป้าหมายยอดขายรวม 36,000 ล้านบาทที่ตั้งไว้ในปีนี้ สำหรับตลาดต่างชาติซึ่งเป็นตลาดสำคัญก็มียอดขายไปถึงประมาณ 3,700  ล้านบาท คิดเป็น 46% ของเป้าหมายยอดขายตลาดต่างชาติที่วางไว้ 8,000 ล้านบาท ซึ่งนับว่าเติบโตตามเป้าหมาย โดยในช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทจะเดินหน้าเปิดตัวโครงการใหม่อีกประมาณ  16 โครงการ มูลค่ารวม 39,260 ล้านบาท พร้อมเปิดแผนธุรกิจ “Sansiri Transformation” สู่การขับเคลื่อนองค์กรครั้งใหญ่ โดยมั่นใจว่าจะสามารถบรรลุเป้าหมายยอดขายทั้งปีที่วางไว้ นอกจากนี้ในปัจจุบัน แสนสิริยังมี Presale backlog หรือยอดขายรอรับรู้รายได้รวมทั้งหมดถึง 37,500 ล้านบาท ซึ่งสามารถรองรับการรับรู้รายได้ไปถึงอีก 4 ปีข้างหน้า “ไฮไลต์สำคัญของการดำเนินธุรกิจของแสนสิริในครึ่งปีหลังคือการเดินหน้าขับเคลื่อนองค์กรตามกลยุทธ์ “Sansiri Transformation” หรือการรุกปรับองค์กรอย่างเต็มรูปแบบใน 4 ด้านเพื่อเสริมความแข็งแกร่ง โดยมีการจัดทัพทีมผู้บริหารที่มากประสบการณ์ในแต่ละด้าน ที่จะมาช่วยบริหารสู่การเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำด้านเทคโนโลยีที่ครอบคลุมทุกมิติของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และการอยู่อาศัยอย่างเต็มรูปแบบ” นายอภิชาติกล่าว สำหรับกลยุทธ์ที่สำคัญ Sansiri Transformation มุ่งเน้นใน 4 ด้าน คือ การบริหารการเงิน - การบริหารการพัฒนาโครงการ –การบริหารกลยุทธ์การตลาด และการบริหารด้านเทคโนโลยี Financial Transformation การบริหารด้านการเงิน นำโดยคุณวันจักร์ บุรณศิริ ประธานผู้บริหารสายงานการเงินและสนับสนุนธุรกิจ (Chief Financial Officer) หนึ่งในผู้บริหารที่ร่วมก่อตั้งบริษัทแสนสิริ Project Transformation – การบริหารการพัฒนาโครงการทั้งปัจจุบันและในอนาคต นำโดย คุณอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฎิบัติการ (Chief Operating Officer) Marketing Transformation – การบริหารด้านกลยุทธ์การตลาด เพื่อให้สามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้ตรงกลุ่มและหลากหลายมากขึ้น นำโดยคุณอรุณภรณ์ ลิ่มสกุล รองกรรมการผู้จัดการสายงานการตลาด (Executive Vice President - Marketing Division) Technology Transformation – การบริหารด้านเทคโนโลยีเพื่อก้าวสู่การเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำด้านเทคโนโลยีที่ครอบคลุมอสังหาริมทรัพย์และการอยู่อาศัยอย่างเต็มรูปแบบ นำโดย ดร. ทวิชา ตระกูลยิ่งยง ประธานผู้บริหารสายงานเทคโนโลยีและวิเคราะห์ข้อมูล (Chief Technology Officer) นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ (Chief Operating Officer) บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในปี 2560 เรามีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ 19 โครงการ มูลค่ารวม 44,460 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการบ้านเดี่ยว 9 โครงการมูลค่ารวม 19,400 ล้านบาท โครงการคอนโดมิเนียม 8 โครงการ มูลค่ารวม 24,200 ล้านบาท และโครงการทาวน์เฮ้าส์ 2 โครงการ มูลค่า 860 ล้านบาท โดยในช่วงครึ่งปีแรกแสนสิริได้พัฒนาไปแล้ว 3 โครงการ ส่งผลให้มียอดขาย (พรีเซลล์) รวมในช่วงครึ่งปีแรกประมาณ 15,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 42% จากเป้าหมายยอดขายรวม 36,000 ล้านบาทที่ตั้งไว้ในปีนี้แม้จะมีการเปิดตัวโครงการใหม่ค่อนข้างน้อยซึ่งแสดงถึงความสำเร็จจากการตอบรับที่ดีจากลูกค้า ขณะที่ในช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทจะเดินหน้าเปิดตัวโครงการใหม่อีกประมาณ  16 โครงการ มูลค่ารวม 39,260 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นคอนโดมิเนียม 7 โครงการ มูลค่า 22,350 ล้านบาท บ้านเดี่ยว 8 โครงการ มูลค่า 16,150 ล้านบาท และทาวน์เฮาส์ 1 โครงการ มูลค่า 760 ล้านบาท นอกจากการพัฒนาโครงการใหม่ ปัจจัยที่ทำให้ยอดขายในช่วงครึ่งปีแรกประสบความสำเร็จตามที่คาดหวัง ยังมาจากการรุกตลาดต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงครึ่งปีแรก สามารถทำยอดขายได้ถึง 3,700 ล้านบาท คิดเป็น 46% ของเป้ายอดขายต่างชาติที่วางไว้เป็น 8,000 ล้านบาท โดยโครงการที่ได้รับความนิยมจากกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติมากที่สุด ได้แก่ โครงการคอนโดมิเนียมภายใต้ความร่วมมือระหว่างแสนสิริและบีทีเอส “แบรนด์ เดอะ ไลน์” โครงการเดอะ ไลน์ สุขุมวิท 101 โครงการ และเดอะ ไลน์ พหลฯ – ประดิพัทธ์ รวมถึงโครงการเดอะ เบส พัทยากลาง ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดีจากลูกค้าชาวฮ่องกงและ จีน ลูกค้าชาวสิงคโปร์ และลูกค้าชาวไต้หวัน อีกปัจจัยที่สำคัญคือ การเปิดตัวโครงการ 98 WIRELESS มูลค่าโครงการรวม 8,700 ล้านบาท ซึ่งนับเป็นแฟล็กชิพคอนโดมิเนียมของแสนสิริที่เปิดการขายอย่างเป็นทางการในช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ปัจจุบันมียอดขายแล้ว 60% รวมถึงโครงการคอนโดมิเนียมใน Affordable Segment ที่มียอดขายเพิ่มสูงขึ้นจากปีก่อน โดยสามารถปิดการขายโครงการคอนโดมิเนียม “ดีคอนโด” ได้ทั้งหมด 4 โครงการ ได้แก่ ดีคอนโด นิม เชียงใหม่, ดีคอนโด อ่อนนุช-พระราม 9, ดีคอนโด กาญจนวณิช และ ดีคอนโด กะทู้-ป่าตอง นอกจากนี้ยังสามารถปิดการขายโครงการคอนโดมิเนียมเดอะ เบส เซ็นทรัล พัทยา และบ้านเคียงฟ้า หัวหิน ในตลาดต่างจังหวัดอีกด้วย ทั้งนี้ แนวทางสำคัญในการดำเนินธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลัง ประกอบด้วย การสานต่อความสำเร็จของโครงการภายใต้บริษัทร่วมทุนกับบีทีเอส ด้วยการเดินหน้าตามแผนการเปิดโครงการภายใต้บริษัทร่วมทุนกับบีทีเอสในระยะยาว โดยในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาพัฒนาไปแล้ว 8 โครงการ มูลค่ารวม 30,000 ล้านบาท โดยในช่วงครึ่งปีแรกนี้เปิดเพิ่มอีก 1 โครงการ ได้แก่เดอะ เบส เพชรเกษม มูลค่าโครงการ 1,900 ล้านบาท และในช่วงครึ่งปีหลังนั้นมีแผนจะเปิดเพิ่มอีก 3 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 10,000 ล้านบาท นอกจากนี้บริษัทยังมองหาพันธมิตรธุรกิจเพิ่มเติม เพื่อเสริมความแข็งแกร่งของธุรกิจในอนาคตอีกด้วย การรุกตลาดระดับบน โดยเล็งเปิดตัว “บ้านแสนสิริ” ซึ่งเป็นโครงการระดับ super hi-end ของแบรนด์บ้านเดี่ยวในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ หลังจากที่เคยประสบความสำเร็จจากโครงการ “บ้านแสนสิริ สุขุมวิท 67” ในปี 2549 การเดินหน้าบุกตลาดต่างประเทศอย่างเต็มพิกัด เพื่อรักษาความเป็นผู้นำบริษัทอสังหาริมทรัพย์ไทยที่ลูกค้าต่างชาติให้การไว้วางใจจนครองส่วนแบ่งทางการตลาดสูงสุดเป็นปีที่ 4 โดยช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา สามารถสร้างยอดขายได้แล้วถึง 3,700 ล้านบาท และคาดว่าจะสามารถบรรลุเป้ายอดขายตลาดต่างชาติในปีนี้ที่ตั้งไว้ 8,000 ล้านบาทในช่วงครึ่งปีหลัง ต่อยอดการพัฒนาคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ “HAUS” ซึ่งเป็นคอนโดมิเนียมสไตล์รีสอร์ท ที่มีส่วนกลางเป็นสวนขนาดใหญ่ ท่ามกลางธรรมชาติ ที่ผ่านมาประสบความสำเร็จไปแล้ว 2 โครงการ คือ ฮาสุ เฮาส์ (Hasu HAUS) โครงการแรก ตามด้วย โมริ เฮาส์ (Mori HAUS) ซึ่งเป็นโครงการที่ 2 ที่สามารถตอบไลฟ์สไตล์ลูกค้าที่ต้องการที่อยู่อาศัยใกล้ชิดธรรมชาติกลางเมืองใหญ่ โดยกลุ่มเป้าหมายของแบรนด์ HAUS นั้น ส่วนใหญ่จะซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง รวมถึงทั้ง 2 โครงการที่เปิดขายยังมีชาวญี่ปุ่นให้ความสนใจจำนวนมาก การเดินหน้าพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการอยู่อาศัย เพื่อสร้างนวัตกรรมใหม่ด้าน Property Technology อย่างเต็มรูปแบบเป็นรายแรกของไทย โดยในช่วงครึ่งปีหลังนี้จะได้เห็นการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยี    ใหม่ๆ เข้ามาใช้ ทั้งในการดำเนินธุรกิจ การพัฒนาโครงการและบริการใหม่ ๆ สำหรับลูกค้า อาทิ “Delivery Robot” หุ่นยนต์ที่สามารถส่งอาหารหรือสิ่งของถึงหน้าประตูห้องของลูกบ้าน โดยวางแผนนำร่องใช้ในโครงการ เดอะ โมนูเมนต์ สนามเป้า เป็นโครงการแรก ในช่วงปลายปีนี้ “ทั้งนี้จากผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีแรกของบริษัทที่เติบโตขึ้นเกือบ 20% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ผนวกกับภาพรวมแผนธุรกิจของ     แสนสิริในการก้าวสู่ Sansiri Transformation อย่างเต็มรูปแบบโดยทีมผู้บริหารที่แข็งแกร่ง รวมถึงปัจจัยอื่นๆ ที่เกื้อหนุนต่อการเติบโตขององค์กร แสนสิริจึงมั่นใจกว่าจะสามารถบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้สำหรับปีนี้คือ 36,000 ล้านบาทได้อย่างแน่นอน” นายอภิชาติ กล่าวปิดท้าย