Tag : เน็กซัส

10 ผลลัพธ์
ทาวน์โฮม-โฮมออฟฟิศ-บ้านแฝดระดับบน อีกหนึ่งทางเลือกของคนกรุงเทพฯ

ทาวน์โฮม-โฮมออฟฟิศ-บ้านแฝดระดับบน อีกหนึ่งทางเลือกของคนกรุงเทพฯ

เน็กซัส เผยผลการสำรวจตลาดทาวน์โฮมและโฮมออฟฟิศยังคงได้รับความนิยมจากผู้ซื้อที่ต้องการพื้นที่ใช้สอยขนาดใหญ่โดยเฉพาะกลุ่มคนที่มีอายุประมาณ 30-40 ปีที่ต้องการขยายครอบครัวแต่มีงบประมาณจำกัด ประกอบกับราคาที่ดินที่ปรับตัวสูงขึ้น เป็นต้นทุนที่ทำให้ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เลือกที่จะพัฒนารูปแบบโครงการที่มีพื้นที่ขายมากที่สุด ซึ่งหากที่ดินไม่สามารถพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมได้แล้วการพัฒนาโครงการทาวน์โฮมหรือบ้านแฝดจึงเป็นตัวเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ   ในส่วนของโฮมออฟฟิศ เป็นอีกรูปแบบการพัฒนาโครงการที่ได้รับความสนใจจากกลุ่มผู้ซื้อที่เป็นนักธุรกิจรุ่นใหม่ ต้องการซื้อเพื่อทำเป็นออฟฟิศในทำเลที่สามารถเดินทางได้สะดวกแทนการเช่าพื้นที่ออฟฟิศในเขตใจกลางเมืองที่มีราคาแพง และยังสามารถจัดสรรพื้นที่ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพไม่ว่าจะเป็นการแบ่งพื้นที่ชั้นบนสุดไว้เพื่อพักอาศัย หรือการปล่อยเช่าพื้นที่ในชั้นล่างเพื่อการพาณิชย์ เป็นต้น   ในปี 2559 – ไตรมาส 1 ปี 2562 ตลาดทาวน์โฮม-โฮมออฟฟิศ-บ้านแฝด ที่มีระดับราคาตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป เฉพาะในเขตกรุงเทพฯ มีอุปทานรวมทั้งสิ้น 1,119 ยูนิต แบ่งเป็นระดับราคา 10-20 ล้านบาทคิดเป็น 62% ของจำนวนทั้งหมด รองลงมาเป็นระดับราคา 20-30 ล้านบาท,มากกว่า 40 ล้านบาท และ 30-40 ล้านบาทคิดเป็น 29%, 6% และ 3% ตามลำดับ จากภาวะชะลอตัวของตลาดคอนโดมิเนียม ทำให้ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์หันมาพัฒนาโครงการแนวราบมากขึ้น อีกทั้งการพัฒนาแนวราบยังใช้ต้นทุนในการพัฒนาน้อยกว่าคอนโดมิเนียม ทำให้มีความเสี่ยงทางการเงินน้อยกว่า รวมทั้งกลุ่มของผู้ซื้อยังเป็นกลุ่มผู้ที่ซื้อเพื่ออยู่จริง (Real Demand) ต่างกับตลาดคอนโดมิเนียมที่มีการเก็งกำไรในสัดส่วนที่สูง ส่งผลให้ตลาดทาวน์โฮม-โฮมออฟฟิศ-บ้านแฝด เติบโตเพิ่มขึ้นอย่างมากในปี2561 โดยเท่ากับ 104%    “ทาวน์โฮมหรูทำเลใจกลางเมืองยังคงได้รับความนิยม” เห็นได้จากอัตราการขาย (Sold rate) ของทั้งตลาดอยู่ที่ 54% โดยทาวน์โฮม-โฮมออฟฟิศ-บ้านแฝด ระดับราคาที่มีอัตราการขายสูงอันดับ 1 คือกลุ่มระดับราคา 40 ล้านบาทขึ้นไป มีอัตราการขาย 71% เนื่องจากมีจำนวนอุปทานค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับระดับราคาอื่น โครงการส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในโซนวัฒนา-คลองเตย โดยเฉพาะตามแนวถนนสุขุมวิท รองลงมาเป็นโซนสาทร-บางรัก ซึ่งเป็นย่านที่อยู่ใจกลางเมือง อันดับ 2 เป็นกลุ่มที่มีระดับราคา 20-30 ล้านบาท มีอัตราการขาย 61% ซึ่งเป็นโครงการที่ตั้งอยู่ถัดจากเขตใจกลางกรุงเทพมหานคร ได้แก่ โซนพญาไท-รัชดาภิเษก, โซนพระโขนง-สวนหลวง-แบริ่ง, โซนลาดพร้าว-วังทองหลาง และโซนยานนาวา–บางคอแหลม-คลองสาน อันดับ 3 เป็นกลุ่มที่มีระดับราคา 10-20 ล้านบาท มีอัตราการขาย 46% ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในโซนยานนาวา–บางคอแหลม-คลองสาน, โซนพญาไท-รัชดาภิเษก, โซนสาทร-บางรัก และโซนพระโขนง-สวนหลวง-แบริ่ง   ส่วนกลุ่มระดับราคาที่มีอัตราการขายต่ำสุดเป็นกลุ่มที่มีระดับราคา 30-40 ล้านบาท มีอัตราการขาย 39% โครงการส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในโซนพระโขนง-สวนหลวง-แบริ่ง, โซนพญาไท-รัชดาภิเษก และโซนวัฒนา-คลองเตย       หากวิเคราะห์เป็นรายทำเลโซนรอบใจกลางเมืองยังเติบโตได้ดี จากผลการวิจัยของ เน็กซัส พบว่า อัตราการขาย (Sold rate) ของทาวน์โฮม-โฮมออฟฟิศ-บ้านแฝด โดยเฉลี่ยเท่ากับ 1.49 ยูนิตต่อเดือน โดยหากพิจารณาตามทำเลพบว่าโครงการที่อยู่ในโซนพระโขนง-สวนหลวง-แบริ่ง มีอัตราการขายสูงที่สุดในตลาดเท่ากับ 4.15 ยูนิตต่อเดือน โดยระดับราคาที่ส่งผลให้ทำเลดังกล่าวมีอัตราการขายสูงคือระดับราคา 10-20ล้านบาท มีอัตราการขาย 6.12  ยูนิตต่อเดือน อันดับ 2 ได้แก่โซนยานนาวา-บางคอแหลม-คลองสาน มีอัตราการขาย 1.61 ยูนิตต่อเดือน โดยระดับราคาที่มีอัตราการขายสูงที่สุดคือระดับราคา 20-30 ล้านบาท อันดับ 3 ได้แก่โซนพญาไท-รัชดาภิเษก มีอัตราการขาย 0.92 ยูนิตต่อเดือน โดยระดับราคาที่มีอัตราการขายสูงที่สุดคือระดับราคา 20-30 ล้านบาท   หากพิจารณาอัตราการขายของทั้งตลาดแยกตามระดับราคา พบว่าระดับราคา 10-20 ล้านบาท มีอัตราการขายสูงที่สุดเมื่อเทียบกับระดับราคาอื่น โดยมีอัตราการขายเท่ากับ 2.47 ยูนิตต่อเดือน รองลงมาเป็นระดับราคา 20-30 ล้านบาท มีอัตราการขายเท่ากับ 1.02 ยูนิตต่อเดือน สอดคล้องกับจำนวนอุปทานของระดับราคา 10-20 ล้านบาท  ที่มีสัดส่วนสูงที่สุดในตลาดและระดับราคา 20-30 ล้านบาทรองลงมา   นางนลินรัตน์ เจริญสุพงษ์ กรรมการผู้จัดการบริษัทเน็กซัส พรอพเพอร์ตี้ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด กล่าวเสริมว่า “ดีไซน์และคุณภาพวัสดุมีผลต่อการตัดสินใจซื้อ เนื่องจากวัตถุประสงค์ของลูกค้าที่ต้องการซื้อทาวน์โฮมและบ้านแฝด คือต้องการพื้นที่ใช้สอยภายในตัวบ้านที่มากขึ้นสำหรับการสร้างหรือขยายครอบครัว หรือมีครอบครัวแล้วแต่ต้องการมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและใช้ชีวิตในบ้านได้อย่างสะดวกสบายมากขึ้น แต่โครงการทาวน์โฮมที่ประสบความสำเร็จ ไม่ได้มีจุดเด่นในเรื่องขนาดของพื้นที่ใช้สอย โดยจากผลการสำรวจพบว่าจุดเด่นของโครงการทาวน์โฮมที่ประสบความสำเร็จ โดยสามารถทำอัตราการขายสูง ประกอบไปด้วยจุดเด่น 3 ประการคือ 1. การออกแบบภายนอกที่สวยงามทันสมัยและโดดเด่น 2. การออกแบบฟังก์ชันการใช้งานภายในบ้านให้สามารถใช้พื้นที่ได้เต็มประสิทธิภาพ ขนาดกะทัดรัดแต่สามารถใช้งานได้จริงและปรับเปลี่ยนฟังก์ชันการใช้งานได้ 3. วัสดุภายในบ้านที่มีคุณภาพหรือใช้แบรนด์ที่มีชื่อเสียง”   ในขณะที่โครงการโฮมออฟฟิศ ลูกค้าที่ตัดสินใจซื้อมีวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกันในแต่ละทำเล โดยหากเป็นโซนลาดพร้าว-วังทองหลาง ลูกค้าส่วนใหญ่ทำเป็นออฟฟิศโดยแบ่งชั้นบนสุดเพื่อพักอาศัยเพียงชั้นเดียว ลูกค้าที่ตั้งใจซื้อเพื่ออยู่อาศัยทุกชั้นมีจำนวนน้อย กลุ่มลูกค้าหลักเป็นธุรกิจประเภทสุขภาพ/ความงาม ต่างกับโซนพระโขนง-สวนหลวง-แบริ่ง ที่ลูกค้าซื้อโฮมออฟฟิศเพื่อทำเป็นที่พักอาศัยเนื่องจากทำเลโดยรอบโครงการเป็นย่านพักอาศัย ทำเลจึงเหมาะต่อการอยู่อาศัยมากกว่าการทำเป็นออฟฟิศ   โครงการโฮมออฟฟิศที่ประสบความสำเร็จในด้านยอดขาย จึงต้องมีจุดเด่นในเรื่องฟังก์ชันการใช้งานภายในบ้าน ซึ่งได้แก่ การปรับเปลี่ยนพื้นที่ได้อย่างอิสระตามความต้องการของลูกค้าแต่ละราย, จำนวนพื้นที่ใช้สอยและจำนวนที่จอดรถที่เพียงพอ และการมีลิฟต์หรือห้องน้ำทุกชั้นเพื่อรองรับความต้องการที่หลากหลาย เป็นต้น   โครงการขนาดเล็ก VS โครงการขนาดใหญ่ ปัจจุบันที่ดินเปล่าในกรุงเทพมหานครโดยเฉพาะทำเลที่สามารถเดินทางเข้าสู่ใจกลางเมืองได้อย่างสะดวกและมีสภาพแวดล้อมรอบโครงการที่น่าอยู่หายากมากขึ้นและมีราคาสูง การพัฒนาโครงการแนวราบขนาดใหญ่จึงมีความเป็นไปได้ยาก จึงมีหลายโครงการที่พัฒนาในรูปแบบของโครงการขนาดเล็ก มีจำนวนยูนิตไม่มากนัก แต่ในขณะเดียวกันก็ยังมีผู้พัฒนารายใหญ่สนใจโครงการขนาดใหญ่ที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบและตั้งอยู่ในทำเลใจกลางเมืองเช่นกัน สำหรับโครงการขนาดเล็กก็เป็นตัวเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ มีข้อดีของการพัฒนาโครงการขนาดเล็กซึ่งได้แก่ ทำเลดี โดยจากการสำรวจพบว่ามีโครงการขนาดเล็กหลายโครงการที่ตั้งอยู่ใกล้กับศูนย์การค้าขนาดใหญ่ ใกล้กับทางด่วนที่สามารถเดินทางเข้าสู่ตัวเมืองได้อย่างสะดวก หรือใกล้กับรถไฟฟ้า BTS / MRT ซึ่งเป็นทำเลที่หาได้ยากในปัจจุบัน การปรับเปลี่ยนฟังก์ชันภายในบ้านได้ตามความต้องการของผู้อยู่อาศัย โดยโครงการขนาดเล็กมักมีความยืดหยุ่นในเรื่องการออกแบบและการก่อสร้าง ผู้ซื้อสามารถปรับเปลี่ยนฟังก์ชันภายในบ้านได้ในช่วงก่อนหรือระหว่างการก่อสร้าง จำนวนยูนิตน้อย ซึ่งเหมาะสมสำหรับคนที่ต้องการความเงียบสงบและเป็นส่วนตัว และป้องกันปัญหาการอยู่ร่วมกันของลูกบ้าน นอกจากนี้การไม่มีส่วนกลาง จึงไม่ต้องเสียค่าส่วนกลางโครงการ เป็นต้น   ในส่วนของโครงการขนาดใหญ่ (หรือโครงการที่ต้องยื่นขออนุญาตจัดสรรทั่วไป) ยังคงได้รับความสนใจจากผู้ซื้อ ซึ่งมีข้อดีที่แตกต่างจากโครงการขนาดเล็กโดยมีข้อดีคือ ส่วนกลางขนาดใหญ่ เช่น สระว่ายน้ำ, ฟิตเนส และสโมสร เป็นต้น มีระบบการดูแลความปลอดภัยและการดูแลความเรียบร้อยของโครงการที่ได้มาตรฐาน ความเชื่อมั่นในงานก่อสร้าง การก่อสร้างบ้านแบบเดียวกันจำนวนหลายๆ หลัง ทำให้ช่างก่อสร้างของโครงการเกิดความคุ้นเคยในงานก่อสร้างมากกว่าโครงการขนาดเล็กที่มีไม่กี่หลัง ราคาถูกกว่าโครงการขนาดเล็ก เนื่องจากการพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ทำให้ต้นทุนต่อหน่วยถูกลง และการอยู่อาศัยร่วมกันหลายๆครอบครัว ทำให้เกิดสังคมภายในโครงการ       รูปแบบทาวน์โฮม-โฮมออฟฟิศ-บ้านแฝดในแต่ละทำเล การพัฒนาโครงการทาวน์โฮม-โฮมออฟฟิศ-บ้านแฝด ในแต่ละทำเลมีความแตกต่างกัน โดยหากเป็นทำเลใจกลางเมืองจะเป็นการพัฒนาโครงการทาวน์โฮมและบ้านแฝดเพื่ออยู่อาศัยทั้งหมด ซึ่งได้แก่โซนสาทร-บางรัก และโซนวัฒนา-คลองเตย โครงการทาวน์โฮมและบ้านแฝดใจกลางเมืองมีการออกแบบพื้นที่ใช้สอยให้มีขนาดใหญ่ ซึ่งโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 450 ตารางเมตร และราคาเฉลี่ยต่อยูนิตประมาณ 50 ล้านบาท แม้ว่าการออกแบบพื้นที่ใช้สอยจำนวนมากจะทำให้ราคาต่อยูนิตสูงตามไปด้วย แต่เป็นที่น่าสังเกตว่าทาวน์โฮมและบ้านแฝดทำเลใจกลางเมืองก็ยังได้รับความนิยม   โครงการในทำเลรอบใจกลางเมือง มีการพัฒนาโครงการทั้งทาวน์โฮม โฮมออฟฟิศ และบ้านแฝด โดยหากเป็นทาวน์โฮมโดยเฉลี่ยมีการออกแบบพื้นที่ใช้สอยประมาณ 300 ตารางเมตร ราคาเฉลี่ยประมาณ 19 ล้านบาท  บ้านแฝดมีการออกแบบพื้นที่ใช้สอยประมาณ 395 ตารางเมตร ราคาเฉลี่ยประมาณ 24 ล้านบาท และโฮมออฟฟิศ มีการออกแบบพื้นที่ใช้สอยประมาณ 460 ตารางเมตร ราคาเฉลี่ยประมาณ 29 ล้านบาท   โครงการที่เปิดใหม่ในปี 2562 มีหลายโครงการที่ตั้งอยู่ในทำเลที่แตกต่างจากโครงการที่ผ่านมา เช่น บางโครงการเป็นสัญญาเช่าระยะยาวแต่อยู่ในทำเลที่ดีและเป็นแหล่งพักอาศัยของคนกลุ่มที่มีรายได้สูง เป็นต้น   นางนลินรัตน์ กล่าวสรุปว่า “ตลาดทาวน์โฮม-โฮมออฟฟิศ-บ้านแฝด ระดับบน ในเขตกรุงเทพมหานครมีการแข่งขันมากขึ้น แต่ละโครงการจึงพยายามสร้างจุดขายโดยเน้นไปที่การออกแบบโครงการภายนอกและฟังก์ชันการใช้งานภายใน เพื่อให้แตกต่างจากโครงการคู่แข่ง ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้โครงการทาวน์โฮมและบ้านแฝดประสบความสำเร็จ สอดคล้องกับโครงการโฮมออฟฟิศที่ต้องมีการออกแบบพื้นที่ให้สามารถรองรับการใช้งานที่หลากหลาย   โซนใจกลางเมืองยังคงมีอัตราการขายสูงและมีอุปทานต่ำ ส่วนโซนที่อยู่รอบใจกลางเมืองยังคงมีการเติบโตได้ดี โดยสังเกตจากอัตราการขายที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยตลาดโดยเฉพาะในโซนพระโขนง-สวนหลวง-แบริ่ง   ตลาดทาวน์โฮมที่มีทำเลที่ตั้งที่ดี มีแนวโน้มที่จะเป็นโครงการขนาดเล็กหรือโครงการที่ไม่ต้องขออนุญาตจัดสรรมากขึ้น เนื่องจากข้อจำกัดในด้านที่ดินที่หายากและมีต้นทุนที่ดินที่สูงขึ้น ซึ่งส่งผลดีต่อผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ไม่ต้องใช้เงินลงทุนสูงและผู้ซื้อสามารถซื้อทาวน์โฮมได้ในทำเลที่ตั้งที่น่าอยู่และสามารถปรับเปลี่ยนแบบบ้านได้ตามความต้องการ”      
คอนโดมิเนียมสิทธิการเช่าระยะยาว ทางเลือกใหม่สำหรับผู้บริโภคใจกลางเมือง

คอนโดมิเนียมสิทธิการเช่าระยะยาว ทางเลือกใหม่สำหรับผู้บริโภคใจกลางเมือง

เน็กซัส เผยผลการสำรวจข้อมูลเกี่ยวกับคอนโดมิเนียมแบบให้สิทธิการเช่าระยะยาว (Leasehold) ปัจจุบันมีจำนวนไม่ถึง 1% ของจำนวนคอนโดมิเนียมที่ในตลาดกรุงเทพฯ ซึ่งส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่บริเวณใจกลางเมือง บนทำเลที่มีศักยภาพสูง หรือบริเวณที่ไม่สามารถหาซื้อที่ดินแบบซื้อขาดได้  และที่ดินลักษณะนี้เจ้าของที่ดินส่วนใหญ่จะเป็นของหน่วยงานรัฐ และสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ จะมีเพียงบางส่วนเท่านั้นที่เป็นที่ดินของเอกชน โดยทำเลหลักของคอนโดเหล่านี้ คือ ย่านราชดำริ หลังสวน พระราม 4   นางนลินรัตน์ เจริญสุพงษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เน็กซัส พรอพเพอร์ตี้ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (Mrs.Nalinrat Chareonsuphong, Managing Director of Nexus Property Marketing Company Limited) เผยว่า สำหรับ อุปทานของคอนโดมิเนียมแบบให้สิทธิการเช่าระยะยาวใจกลางกรุงเทพฯ นั้น มีทั้งสิ้น 4,500 หน่วย จาก 22 โครงการ โดยพบว่ามากกว่า 67% ตั้งอยู่บริเวณหลังสวน และราชดำริ ถ้าจะวิเคราะห์ถึงอุปทานคอนโดมิเนียมใหม่ที่เปิดขายในช่วง 2-3  ปีที่ผ่านมานั้น จะพบว่าเป็นโครงการบนทำเลพิเศษที่มีศักยภาพสูงมาก และมุ่งเจาะกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นโครงการในเครือของสินธร เรสซิเดนซ์ โครงการ ไอแอมไชน่าทาวน์ บริเวณเยาวราช หรือแม้แต่ โฟร์ซีซั่นส์ ไพรเวท เรสซิเดนซ์ บริเวณริมแม่น้ำ   ด้านราคาคอนโดมิเนียมแบบให้สิทธิการเช่าระยะยาวนั้น มีความแตกต่างกันมาก ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น ทำเลที่ตั้ง ปืที่ก่อสร้าง และคุณภาพโครงการ พบว่าหลายโครงการในกลุ่ม ซูเปอร์ ลักชัวรี่ มักใช้เครือโรงแรม 5 ดาวเข้ามาบริหาร หรือมีส่วนควบที่เป็นโรงแรมหรือเซอร์วิสอพาร์ทเมนท์เกรดเอพ่วงอยู่ด้วย เพื่อเพิ่มมูลค่าและดึงดูดผู้ซื้อชาวต่างชาติให้สนใจเข้ามาซื้อโครงการมากขึ้น  โดยหลักการแล้วคอนโดแบบให้สิทธิการเช่าระยะยาว จะมีระยะเวลาการเช่า 30 ปี ราคาซื้อขายสิทธิมือสองอาจจะลดลงเมื่อจำนวนปีที่เหลือถือครองลดลง แต่ในความเป็นจริง มีคอนโดมิเนียมแบบให้สิทธิเช่าระยะยาวในหลายโครงการ ราคาก็ไม่ได้ปรับตัวลดลงตามปีที่เหลืออยู่ แต่กลับเพิ่มขึ้น เนื่องจากคุณภาพของห้องชุดที่ดี มีการบำรุงรักษาอย่างต่อเนื่องจากเจ้าของโครงการ ผู้ซื้อยังมีความต้องการคอนโดในทำเล นั้นๆ อยู่ และยิ่งไปกว่านั้น เราพบว่าราคาของคอนโดแบบให้สิทธิการเช่าระยะยาว มักจะปรับตัวสูงขึ้น ถึงแม้อายุการเช่าน้อยลง และอาจจะทำราคาได้ดีกว่าคอนโดฟรีโฮลด์ที่ขายอยู่ในตลาดอีกด้วย ซึ่งส่งผลทำให้ผลตอบแทนต่อปีจากการลงทุนในคอนโดแบบให้สิทธิการเช่าระยะยาว อยู่ในอัตรา 7-10% ซึ่งมากกว่าคอนโดฟรีโฮลด์ในทำเลเดียวกัน     นางนลินรัตน์ ยังกล่าวต่อว่า ความน่าสนใจของคอนโดมิเนียมแบบให้สิทธิการเช่าระยะยาวในอนาคตจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จากปัจจัยหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นที่ดินใจกลางเมืองที่มีราคาสูงขึ้นและหายากขึ้น  ทำให้เจ้าของที่ดินเอกชนสนใจที่จะปล่อยที่ดินให้เช่าระยะยาวมากกว่าขายที่ดินทั้งผืน ในขณะที่ภาครัฐเองก็มีที่ดินให้เช่าอย่างต่อเนื่อง ในด้านของราคา พบว่าโดยทั่วไปคอนโดแบบให้สิทธิการเช่าระยะยาว จะมีราคาขายถูกกว่าคอนโดขายขาด(Freehold) อย่างน้อย 30-40% ทำให้ผู้ซื้อสามารถตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ ทำเลที่ตั้งของคอนโดแบบให้สิทธิการเช่าระยะยาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งคอนโดที่อยู่ในระดับ ซูเปอร์ ลักชัวรี่ เป็นทำเลที่มีความพรีเมี่ยมมาก เช่น หลังสวนหรือราชดำริ ยังคงได้รับการตอบรับอย่างต่อเนื่องจากผู้ซื้อ  และเมื่อวิเคราะห์ถึง แพลตฟอร์มการใช้ชีวิต ของคนกรุงเทพยุคมิลเลนเนียม ที่ต้องการความสะดวกสบาย เดินทางสะดวก และมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบในอนาคตก็สามารถย้ายที่อยู่ไปอยู่บ้านเดี่ยวได้เมื่ออยู่ในวัยทำงานที่อายุมากขึ้น การซื้อคอนโดแบบให้สิทธิการเช่าระยะยาวจึงเป็นทางเลือกใหม่ที่น่าสนใจสำหรับคนกลุ่มนี้ และด้วยสภาพสังคมไทยในปัจจุบันที่เรากำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ กลุ่มนี้เป็นอีกกลุ่มสำคัญที่จะให้ความสนใจกับที่อยู่อาศัยในแบบให้สิทธิการเช่าระยะยาว เนื่องจากคนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่ยังทำงาน และมีอำนาจการจับจ่ายสูง เพราะเมื่อพิจารณาองค์ประกอบโดยรวมแล้ว การซื้อคอนโดแบบให้สิทธิการเช่าระยะยาวนั้นคุ้มค่ากว่า เพราะพื้นฐานความต้องการของคนกลุ่มนี้ต้องการความปลอดภัยในการใช้ชีวิต ต้องการอยู่ในทำเลที่สะดวกสบาย และความสามารถในการเข้าถึงการรักษาพยาบาลได้โดยง่าย โดยเน็กซัสคาดว่าในอนาคต เราอาจจะเห็นคอนโดสำหรับผู้สูงอายุที่เป็นแบบให้เช่าระยะยาวนี้มากขึ้น   สำหรับในมุมมอง ตลาดลงทุน โดยปกติแล้วคอนโดแบบให้สิทธิการเช่าระยะยาว จะมีเงื่อนไขการจ่ายเงินจอง และทำสัญญามากกว่าคอนโดแบบขายขาดโดยอยู่ที่ประมาณ 30% ธนาคารก็จะปล่อยกู้ในวงเงิน 70% ที่เหลือ ซึ่งเงื่อนไขดังกล่าวหากเปรียบเทียบกับนโยบายใหม่ของธนาคารแห่งประเทศไทย ในกรณีที่ซื้อที่อยู่อาศัยหลังที่ 2 หรือหลังที่ 3  ส่งผลให้คอนโดแบบให้สิทธิการเช่าระยะยาว ไม่ได้เสียเปรียบคอนโดฟรีโฮลด์ในแง่เม็ดเงินลงทุนเบื้องต้นอีกต่อไป สำหรับ ผลตอบแทนจากการลงทุน  คอนโดแบบให้สิทธิการเช่าระยะยาว โดยทั่วไปจะให้ผลตอบแทนต่อปีสูงกว่า เนื่องจากราคาขายต่ำกว่าและส่วนใหญ่จะอยู่ในทำเลที่มีความต้องการเช่าสูง นอกจากนี้เงินที่ประหยัดได้จากการซื้อคอนโดที่ถูกกว่าสามารถนำไปลงทุนอย่างอื่นเพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นอีกด้วย ทั้งนี้ ขนาดห้องที่เหมาะสม และรูปแบบที่ตอบสนองความต้องการของตลาดในแต่ละทำเล  จะเป็นปัจจัยสำคัญในการทำให้คอนโดปล่อยเช่าได้ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี สุดท้าย ตลาดต่างชาติ ก็น่าจะมีอนาคตดีสำหรับคอนโดแบบให้สิทธิการเช่าระยะยาว ด้วยปัจจัยหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นความคุ้นเคยของต่างชาติ เช่น สิงคโปร์ ฮ่องกง ของการอยู่คอนโดประเภทนี้ ความง่ายในการเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์คอนโดแบบให้สิทธิการเช่าระยะยาว รวมถึงเงื่อนไขในการซื้อต่างๆ เช่น ไม่จำเป็นต้องโอนเงินจากต่างประเทศ โดยเฉพาะสำหรับชาวจีน ที่การโอนเงินออกมาซื้อคอนโดเป็นเรื่องไม่ง่ายนัก เป็นต้น    
เน็กซัสสรุปภาพรวมตลาดอสังหากรุงเทพปี 61 ตลาดคอนโดเริ่มมีการปรับตัวเพื่อตอบสนองเรียลดีมานด์ ในขณะที่ตลาดเช่าเพื่อการพาณิชย์ค่าเช่าทำสถิติสูงสุดในประวัติศาสตร์

เน็กซัสสรุปภาพรวมตลาดอสังหากรุงเทพปี 61 ตลาดคอนโดเริ่มมีการปรับตัวเพื่อตอบสนองเรียลดีมานด์ ในขณะที่ตลาดเช่าเพื่อการพาณิชย์ค่าเช่าทำสถิติสูงสุดในประวัติศาสตร์

เน็กซัสสรุปปีนี้ราคาเฉลี่ยคอนโดในกรุงเทพเพิ่มขึ้น 7.6% ในขณะที่ราคาคอนโดใจกลางเมืองเพิ่มถึง 10% คาดในอีก 2-3 ปีข้างหน้า ผู้ประกอบการควรเน้นการพัฒนาเพื่อเรียลดีมานด์ ส่วนราคาค่าเช่าสำนักงานเกรดเอในย่านศูนย์กลางธุรกิจเฉลี่ยทะลุ 1,000 บาท/ตารางเมตร/เดือน ในขณะที่ราคาค่าเช่าพื้นที่ศูนย์การค้าเฉลี่ยสูงถึง 3,900 บาท/ตารางเมตร/เดือน และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มสูงขึ้นอีก ในปีหน้าตลาดอาคารสำนักงานให้เช่าและตลาดศูนย์การค้ามีการแข่งขันสูงขึ้นแน่นอน ถือว่าเป็นแนวโน้มที่น่าจับตามองอย่างยิ่ง   ตลาดคอนโดมิเนียม นางนลินรัตน์ เจริญสุพงษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เน็กซัส พรอพเพอร์ตี้ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (Mrs. Nalinrat Chareonsuphong, Managing Director of Nexus Property Marketing Company Limited)  เผยว่า ปี 2561 ยังคงเป็นปีที่มีอุปทานของคอนโดมิเนียมเพิ่มขึ้นในตลาดในจำนวนที่ค่อนข้างสูง จากทั้งผู้ประกอบการรายใหญ่และรายย่อย โดยมีคอนโดมิเนียมเกิดขึ้นใหม่ 60,900 หน่วย จาก 138 โครงการ ซึ่งทำให้คอนโดมิเนียมมีหน่วยสะสมทั้งสิ้น 610,900 หน่วย ทำเลที่นิยมในการพัฒนาโครงการอันดับหนึ่งยังคงเป็นพญาไท รัชดา และ พหลโยธิน (21,100 หน่วย, 35%) ตามมาด้วย พระโขนง สวนหลวง (13,500 หน่วย, 22%) และ ธนบุรี เพชรเกษม (8,500 หน่วย, 14%) ตามลำดับ และในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาทั้ง 3 ทำเลนี้ก็มีอัตราการเพิ่มของอุปทานมากที่สุดโดยมากกว่า 65-70% เลยทีเดียว ซึ่งก็มีสาเหตุมาจากกระแสการอยู่อาศัยคอนโดใกล้รถไฟฟ้าที่มีมาอย่างต่อเนื่องนั่นเอง และในทำเลเหล่านี้ก็ยังคงหาที่ดินที่จะพัฒนาได้มากกว่าทำเลที่อยู่ในใจกลางเมือง   นอกจากนี้  หากจะวิเคราะห์ถึงอุปทานใหม่ที่เกิดขึ้นในปีที่ผ่านมาจะพบว่า 41% ของจำนวนหน่วยทั้งหมดจะมาจากตลาดไฮเอนด์ ที่มีระดับราคาอยู่ที่ 110,000 -190,000 บาทต่อตารางเมตร ราคาต่อหน่วย 4-8 ล้านบาท ตามมาด้วยตลาดระดับกลาง (mid market) 27% และตลาดซิตี้คอนโด 21% ซึ่งสัดส่วนดังกล่าว อาจดูไม่สอดคล้องกับรายได้และฐานเงินเดือนของคนกรุงเทพมากนัก โดยจากปัจจัยที่ดินที่ราคาปรับตัวสูงขึ้น ทำให้ผู้ประกอบการต้องหันมาพัฒนาสินค้าในระดับราคาที่สูงขึ้นนั่นเอง   ในปี 2561 ยอดขายคอนโดมิเนียมในตลาดกรุงเทพรวมทั้งสิ้นจำนวน 52,000 หน่วย โดยแบ่งเป็นห้องชุดที่เปิดใหม่ในปี 2561 จำนวน 31,800 หน่วย (คิดเป็นยอดขายเฉลี่ยของห้องชุดที่เปิดใหม่อยู่ที่ 52%) และห้องชุดที่เปิดขายก่อนปี 2561  มียอดขายเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 20,300 หน่วย ทั้งนี้จากยอดขายที่เพิ่มขึ้นทั้งคอนโดมิเนียมเปิดใหม่ในปีนี้และที่เปิดมาก่อนหน้านี้ทำให้อัตราขายรวมในตลาดอยู่ที่ 90% และยังคงมีห้องชุดเหลือขายในตลาดอยู่อีก 62,700 หน่วย   ในปี 2561 ราคาขายคอนโดมิเนียมเฉลี่ยในตลาดปรับตัวสูงขึ้น 7.6% จาก 130,600 บาทต่อตารางเมตร เป็น 140,600 บาทต่อตารางเมตร โดยตลาดใจกลางเมืองปรับตัวเพิ่มสูงสุดอยู่ที่ 10% ไปอยู่ที่ 231,000 บาทต่อตารางเมตร ตลาดรอบใจกลางเมือง 7% ไปอยู่ในระดับราคา 113,200 บาทต่อตารางเมตร ในขณะที่ตลาดรอบนอกปรับราคาเพิ่มเฉลี่ยเพียง 1% เป็น 73,500 บาทต่อตารางเมตร เท่านั้น สำหรับแนวโน้มการปรับตัวขึ้นของราคาคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ เริ่มเห็นการปรับตัวขึ้นในอัตราที่ลดลงบ้าง ซึ่งก็น่าจะเกิดจากการที่ผู้ประกอบการเริ่มเห็นแนวโน้มราคาที่ปรับตัวสูงมากในตลาดในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เช่นในปี 2561 ทำเลหลังสวนปทุมวัน ราคาปรับขึ้นเพียง 3% หรือในโซนธนบุรี เพชรเกษมเองซึ่งเป็นทำเลที่มีขอบเขตค่อนข้างกว้างมาก ราคาก็ปรับเพิ่มเพียง 1% แต่ไม่ได้หมายความว่าสินค้าคุณภาพดีขึ้นที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้นั้นราคาจะไม่มีโอกาสขยับตัวสูงขึ้นได้ ในตลาดคอนโดมิเนียมกรุงเทพฯ สำหรับการคาดการณ์แนวโน้มตลาดคอนโดมิเนียมในปี 2562 นั้น นางนลินรัตน์ เจริญสุพงษ์ เชื่อว่า ในส่วนของอุปทานใหม่ที่จะเกิดขึ้นในปี 2562 น่าจะเพิ่มขึ้นในอัตราที่ใกล้เคียงกับตัวเลขเฉลี่ย 5 ปีที่ผ่านมาที่ประมาณ  53,000 หน่วย ในขณะที่ความต้องการยังคงอยู่ในช่วงระหว่าง 50,000-55,000 หน่วย จากตัวเลขประมาณการดังกล่าว อัตราการขายรวมและห้องเหลือในตลาดก็น่าจะอยู่ในปริมาณใกล้เคียงกับตัวเลขปีนี้ สำหรับรูปแบบของการพัฒนาสินค้าก็จะปรับให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายย่อยมากขึ้น เช่นคอนโดสำหรับคนรักการออกกำลังกาย สำหรับผู้สูงอายุ หรือ คนรักสัตว์ เป็นต้น นอกจากนี้ คอนโดมิเนียมเช่าสิทธิระยะยาวในทำเลที่ดีก็จะมีออกมาในตลาดเพิ่มขึ้น รวมถึงโครงการ mixed used ที่ผสมผสานคอนโดมิเนียมเข้ากับพื้นที่เชิงพาณิชย์ซึ่งน่าจะตอบโจทย์ ไลฟ์สไตล์คนรุนใหม่ที่ต้องการความสะดวกสบายก็จะเปิดตัวมากขึ้นเช่นกัน   นอกจากนี้ ในมุมมองของ เน็กซัส สัดส่วนของห้องชุดที่ผู้ประกอบการควรจะพัฒนา น่าจะเพิ่มสัดส่วนไปที่กลุ่มซิตี้คอนโด และตลาดระดับกลาง (mid market) ที่เป็นประชากรกลุ่มใหญ่ของกรุงเทพมากขึ้นเพื่อจะได้ตอบสนองกับความต้องการอยู่อาศัยจริง ซึ่งจะเป็นตลาดที่มีเสถียรภาพและยั่งยืนมากกว่าตลาดต่างชาติเพื่อการลงทุน แต่อย่างไรก็ตาม เราก็ไม่ได้มองข้ามการลงทุนจากต่างชาติเลย สำหรับตลาดการลงทุนจากต่างชาติที่เป็นที่จับตามองในช่วงที่ผ่านมานั้น การลงทุนจากนักลงทุนรายใหญ่หรือนักลงทุนสถาบันจะยังคงเห็นได้อย่างต่อเนื่อง ในปี 2562 สัดส่วนจำนวนห้องชุดที่นักลงทุนจากจีน ญี่ปุ่น และบางส่วนจากฮ่องกงและสิงคโปร์ ที่เข้ามาลงทุนน่าจะเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ 30% จาก 26% (15,820  หน่วย ใน 24 โครงการ ในปี 2561) นอกจากนี้ นักลงทุนรายย่อยจากประเทศจีนก็น่าจะยังคงเข้ามาซื้ออสังหาริมทรัพย์ในไทยอย่างต่อเนื่องในทำเลที่ขยายออกไปจากทำเลเดิม ตลาดฮ่องกง สิงคโปร์ และไต้หวัน ก็น่าจะยังรักษาระดับการลงทุนที่ไม่แตกต่างจากปีที่ผ่านมา ในขณะที่ตลาด CLMV เป็นตลาดใหม่ที่น่าจับตามองเป็นอย่างมาก   หากจะวิเคราะห์ถึงการปรับตัวของราคาคอนโดมิเนียมในกรุงเทพในช่วง 1-3 ปีข้างหน้านั้น เน็กซัสมองว่าราคาจะปรับตัวสูงขึ้นในอัตราที่ลดลง ราคาที่ดินที่เพิ่มขึ้นน่าจะไม่สามารถขึ้นได้ในอัตราที่มากเหมือนเมื่อหลายปีก่อน ดังนั้น ผู้ประกอบการเองก็น่าจะพัฒนาโครงการในราคาที่ไม่ต้องปรับตัวสูงขึ้นมากนัก ดังนั้นจึงคาดการณ์ว่าราคาคอนโดมิเนียมจะปรับตัวสูงขึ้นเฉลี่ยอยู่ในระดับ 6-7% ต่อปี   นอกจากนี้ ในส่วนของทำเลการพัฒนาโครงการนั้น มีปัจจัยเรื่องภาพลวงตาของทำเลการอยู่อาศัย (Illusion of location) เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการพิจารณาเลือกซื้อที่อยู่อาศัย พร้อมพงษ์ ทองหล่อ เอกมัย ยังคงเป็นทำเลยอดนิยมสำหรับผู้ประกอบการ ที่มองหาที่ดินเพื่อเข้ามาพัฒนาโครงการ แต่ในทำเลนี้ ราคาคอนโดมิเนียมที่ควรเป็น น่าจะเป็นราคาที่เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายจริงๆ  ในขณะที่ทำเลริมแม่น้ำเจ้าพระยาและฝั่งธนบุรี ที่ได้รับความสนใจจากผู้ประกอบการในช่วงปีที่ผ่านมา ทำให้ราคาที่ดินปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับรถไฟฟ้าสายสีทองที่กำลังก่อสร้าง และก็เช่นเดียวกัน คอนโดมิเนียมที่เกิดขึ้นใหม่ราคาก็จะต้องสูงขึ้นมากอย่างแน่นอน จริงๆ แล้ว ทำเลอย่าง ติวานนท์ ที่ผู้ประกอบการหลายรายยังคงมีคำถามจากอุปทานที่ยังมีขายอยู่นั้น ในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า ราคาคอนโดมิเนียมที่สร้างเสร็จแล้วในบริเวณนี้ก็จะน่าสนใจ เพราะเป็นคอนโดที่ราคาจับต้องได้มากที่สุดในตลาด สุดท้าย รัชดา พระราม 9 ทำเลทองของชาวต่างชาติโดยเฉพาะชาวจีน ถ้าจะยังคงเป็นทำเลที่ครองใจลูกค้ากลุ่มนี้ได้ การตั้งราคาและการทำการตลาดจะต้องเป็นไปอย่างเหมาะสมและมีบริการหลังการขายที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าต่างชาติกลุ่มนี้ได้จริง   จากนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่องการเปลี่ยนแปลงอัตราส่วนการให้กู้ยืมเงินเพื่อการซื้ออสังหาริมทรัพย์นั้น จะส่งผลต่อการพัฒนาสินค้าในตลาดที่อยู่อาศัยไม่ว่าจะเป็นบ้านหรือคอนโดมิเนียม โดยบ้านอาจจะมีการขายระหว่างก่อสร้างมากขึ้นเพื่อให้ผู้ซื้อได้ผ่อนชำระเงินดาวน์บางส่วนก่อน คอนโดมิเนียมก็อาจจะต้องเน้นขายช่วงพรีเซลมากขึ้น ที่มีระยะเวลาการผ่อนยาวขึ้น และท้ายที่สุด เศรษฐกิจและการเมืองที่กำลังจะมีการเปลี่ยนแปลงจากการเลือกตั้งก็น่าจะมีผลต่อทิศทางของตลาดเช่นกัน   ตลาดอาคารสำนักงานให้เช่า นายธีระวิทย์ ลิ้มทองสกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัทเน็กซัส เรียลเอสเตท แอ็ดไวเซอรี่ จำกัด (Mr. Teerawit Limthongsakul, Managing Director of Nexus Real Estate Advisory) กล่าวว่า ตลาดอาคารสำนักงานให้เช่า เกรด เอ และ เกรดบี ในกรุงเทพ มีพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 4.1 ล้านตารางเมตร พบว่า ยังคงมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทั้งเรื่องของราคาค่าเช่าที่มีการปรับตัวสูงขึ้นและอัตราว่างของพื้นที่ที่อยู่ในระดับต่ำ จากข้อมูลในไตรมาส 4 ปีนี้ เห็นได้ว่าอุปทานของอาคารสำนักงานให้เช่าในกรุงเทพ ลดลงเล็กน้อย เนื่องมาจากมีบางอาคารอยู่ระหว่างการปิดปรับปรุงให้มีความทันสมัย ปลอดภัย สะอาด และสะดวกสบายมากขึ้น เพื่อดึงดูดผู้เช่าในตลาด สำหรับตลาดพื้นที่อาคารสำนักงานให้เช่านั้นยังคงมีความต้องการสูงจากธุรกิจให้เช่าพื้นที่ทำงานร่วม (co-working space) และสำนักงานพร้อมบริการ (serviced-office) ที่กำลังได้รับความนิยม ทำให้อัตราว่างของพื้นที่เช่าในช่วงไตรมาสนี้ลดลงเหลือเพียง 4% เท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาคารสำนักงานเกรดเอใหม่ๆ จะได้รับความสนใจจากผู้เช่าเป็นอย่างมาก   ในส่วนของราคาค่าเช่าอาคารสำนักงานในกรุงเทพ เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 800 บาท/ตารางเมตร/เดือน แต่หากพิจารณาเฉพาะอาคารสำนักงานเกรดเอที่อยู่ในย่านศูนย์กลางธุรกิจเท่านั้น พบว่า ค่าเช่าเฉลี่ยสูงกว่า 1,000 บาท/ตารางเมตร/เดือน นับเป็นสถิติใหม่ในตลาดอาคารสำนักงานให้เช่าของกรุงเทพ ยิ่งไปกว่านั้นสำหรับบางอาคารที่ตั้งอยู่บนถนนวิทยุหรือเพลินจิต อย่างเช่น อาคารเกษร ทาวเวอร์ และปาร์คเวนเชอร์ อีโคเพล็กซ์ ที่สามารถทำราคาค่าเช่าได้สูงถึง 1,500 บาท/ตารางเมตร/เดือน ซึ่งถือว่าเป็นราคาที่สูงที่สุด ณ ขณะนี้ แต่อย่างไรก็ตาม ในอีก 5 ปีข้างหน้า จะมีพื้นที่อาคารสำนักงานใหม่ให้เช่าเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 1 ล้านตารางเมตร หรือประมาณ 25% ของพื้นที่ที่มีอยู่ในตลาด ณ ปัจจุบัน อาจส่งผลให้มีอัตราว่างของพื้นที่ให้เช่าสูงขึ้นจากเดิมถึง 2 เท่า โดยจะมีอัตราว่างของพื้นที่ประมาณ 10% จากเดิมที่มีเพียง 4-5% เท่านั้น ถือว่าเป็นอัตราว่างที่สูงที่สุดในรอบ 10 ปี และอาจส่งผลให้อัตราการขึ้นราคาค่าเช่ามีการปรับตัวช้าลงอีกด้วย   หากเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น ตลาดอาคารสำนักงานให้เช่าในกรุงเทพ จะมีการแข่งขันที่ดุเดือดมากขึ้นอย่างแน่นอน อาจส่งผลให้ตลาดเกิดการเปลี่ยนแปลง โดยจำนวนอุปทานที่มีมากขึ้นในตลาดจะทำให้ผู้เช่ามีอำนาจในการต่อรองที่สูงขึ้น อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าอัตราว่างของพื้นที่เช่าจะสูงถึง 10% ก็จริง แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าจะทำให้เกิดอุปทานล้นตลาด เนื่องจากอัตราว่างของพื้นที่ประมาณ 10% ยังอยู่ในระดับที่น่าพอใจเมื่อเปรียบเทียบกับเมืองสำคัญอื่นๆ ทั่วโลก   จากการสำรวจของ Cushman & Wakefield ซึ่งเป็นบริษัทพันธมิตรของเน็กซัสฯ พบว่า ในประเทศกลุ่ม APAC มีอัตราว่างของพื้นที่อาคารสำนักงานให้เช่าเฉลี่ยอยู่ที่ 10% หรือแม้แต่ในสหรัฐอเมริกาก็ยังมีอัตราว่างของพื้นที่ถึง 13.3% ดังนั้น หากกรุงเทพมีอัตราว่างของพื้นที่ให้เช่าที่ประมาณ 10% ก็ถือว่ายังอยู่ในระดับที่ปกติ   ตลาดศูนย์การค้า   สำหรับตลาดศูนย์การค้า จากการสำรวจพบว่า ตลาดยังคงมีแนวโน้มเติบโตอย่างสม่ำเสมอ เนื่องจากตลาดศูนย์การค้านั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจ การบริโภคของภาคเอกชน รวมไปถึงอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว   ส่วนราคาค่าเช่าพื้นที่ศูนย์การค้าในย่านศูนย์กลางทางการค้าอย่างบริเวณถนนพระราม 1 และพร้อมพงษ์ ที่มีการแข่งขันสูงนั้น ทำให้อัตราค่าเช่าพื้นที่เฉลี่ยอยู่ที่ 3,900 บาท/ตารางเมตร/เดือน ในขณะที่ราคาเสนอให้เช่าพื้นที่สูงที่สุดของย่านนี้สูงทะลุถึง 5,000 บาท/ตารางเมตร/เดือน จากการเสนอราคาพื้นที่บริเวณชั้น G ของห้างสยามพารากอน นอกจากนี้โซนนอกศูนย์กลางการค้าอย่างไอคอนสยามซึ่งตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาก็มีราคาเสนอเช่าพื้นที่ที่สูงเช่นเดียวกัน โดยสูงมากกว่า 5,000 บาท/ตารางเมตร/เดือน นับว่าเป็นสถิติใหม่ของอัตราค่าเช่าพื้นที่สำหรับตลาดศูนย์การค้าในกรุงเทพ   การสำรวจของเน็กซัสฯ พบว่าพื้นที่ศูนย์การค้าให้เช่าที่เกิดขึ้นใหม่ของไตรมาสนี้ มาจากไอคอนสยามและเกตเวย์ แอท บางซื่อ ที่เพิ่งมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา และคาดว่าจำนวนพื้นที่ของศูนย์กลางการค้าให้เช่าในปีหน้าจะมีมากถึง 240,000 ตารางเมตร จากการคาดการณ์ภาพรวมของเศรษฐกิจไทยและการท่องเที่ยวในปีหน้านั้นยังคงมองเป็นปัจจัยบวก โดยทางสภาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวมีการคาดการณ์ว่าจำนวนนักท่องเที่ยว ณ สิ้นปี 2561 จะเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาถึง 5.08% หรือคิดเป็นจำนวนทั้งสิ้น 37.2 ล้านคน   เนื่องจากลักษณะนิสัยของคนไทยที่นิยมไปซื้อของที่ร้านค้าด้วยตัวเองและสภาพอากาศที่ร้อน ทำให้ศูนย์การค้าได้รับความนิยมเป็นอย่างมากสำหรับคนไทย แต่สำหรับตลาดในปัจจุบันที่มีการแข่งขันสูง ผู้ประกอบการมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ใหม่ๆ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของตัวเอง ให้สามารถดึงดูดลูกค้าและเพิ่มยอดขายได้มากขึ้น เช่น การออกแบบ ไลฟ์สไตล์ สิ่งอำนวยความสะดวก ความปลอดภัย และแพลตฟอร์ม จะมีส่วนช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถยืนหยัดอยู่ในตลาดได้        
จับตาดู อารีย์-พหลโยธิน ย่านเก่าร่วมสมัย ศูนย์กลางสำคัญแห่งใหม่ สำหรับชีวิตติดเมือง

จับตาดู อารีย์-พหลโยธิน ย่านเก่าร่วมสมัย ศูนย์กลางสำคัญแห่งใหม่ สำหรับชีวิตติดเมือง

อารีย์-พหลโยธิน ย่านดั้งเดิมเก่าแก่กำลังจะกลายเป็น ศูนย์กลางสำคัญแห่งใหม่ของอาคารสำนักงานและแหล่งที่อยู่อาศัยใหม่สำหรับคนจะย้ายเข้ามาใช้ชีวิตใจกลางเมือง โดยเฉพาะทำเลระหว่างช่วงสถานีอารีย์และสถานีสะพานควาย ในระยะทางประมาณ 2 กม. ที่มีสถานที่ราชการ อาคารสำนักงานและอาคารมิกส์ยูส ใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมาย ที่สำคัญยังแวดล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ ทั้ง ห้างสรรพสินค้า, ร้านอาหาร, คาเฟ่นั่งทำงาน, และโรงพยาบาล ด้วยการเดินทางที่ง่ายในระยะเดินเท้าถึงได้อย่างสบายหรือด้วยรถไฟฟ้าที่ใช้เวลาไม่นานสำหรับเดินทางเข้าเมืองและออกนอกเมือง จึงกลายเป็นทำเลที่ใครๆ ก็อยากเข้ามาอยู่อาศัย และขณะเดียวกันผู้อยู่อาศัยดั้งเดิมไม่ค่อยจะย้ายออกไปตั้งถิ่นฐานที่อื่น   นางนลินรัตน์ เจริญสุพงษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เน็กซัส พรอพเพอร์ตี้ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด ที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ กล่าวว่า ทำเลย่านอารีย์-พหลโยธิน ถือเป็นทำเลที่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจที่น่าจับตามองของย่านนี้ อาจเรียกได้ว่าที่นี่ คือ ศูนย์กลางสำคัญแห่งใหม่ของอาคารสำนักงาน เพราะนอกจากจะเป็นที่ตั้งของอาคารสำนักงานเอกชนและสถานที่ราชการสำคัญอยู่ก่อนแล้ว เช่น ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (เอ็กซิมแบงค์), ธนาคารออมสิน (สำนักงานใหญ่), สำนักงาน กสทช., ธนาคารกสิกรไทย สำนักงานใหญ่, เอไอเอส ทาวเวอร์ เป็นต้น ยังมีอาคารสำนักงาน เกรด A แห่งใหม่บนถนนพหลโยธิน อีก 3 อาคารที่เพิ่งเปิดใช้งาน ได้แก่  1. Pearl Bangkok อาคารสูง 25 ชั้น แลนด์มาร์คแห่งใหม่ของกรุงเทพฯ 2. Ari Hill อาคารมิกส์ยูส สูง 34 ชั้น ที่มีทั้งอาคารออฟฟิศ ร้านค้า และโรงแรม 3. SC Tower อาคารสูง 24 ชั้น คาดการณ์ว่าจะมีผู้ทำงานในทั้ง 3 อาคารนี้ประมาณ 3,733 คน, 1,500 คน และ 817 คน ตามลำดับ หรือรวมแล้วประมาณ 6,050 คน อีกทั้งยังมีโครงการใหญ่อื่นๆ ที่กำลังก่อสร้างและคาดการณ์กำหนดแล้วเสร็จภายในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ได้แก่ 1. The Rice อาคารมิกส์ยูส สูง 24 ชั้น มูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท 2. โรงพยาบาลวิมุตติ ในเครือพฤกษา ที่มีมูลค่าโครงการ 5,000 ล้านบาท โดยมีกำหนดแล้วเสร็จในปี 2020 ทั้ง 2 โครงการ 3. อาคารวานิช เพลส ของกลุ่มแหลมทองสหการ เป็นออฟฟิศ 31 ชั้น และคอมมูนิตี้มอลล์ที่มีกำหนดแล้วเสร็จในปี 2021 การผุดขึ้นของอาคารสูงระดับไฮเอนด์เหล่านี้อย่างต่อเนื่องเป็นการตอกย้ำว่าย่านนี้ ยังคงเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจที่สำคัญของกรุงเทพฯ ผสานกับเสน่ห์ของไลฟ์สไตล์ดั้งเดิมแบบกึ่งบ้านกึ่งเมืองทำให้คนรุ่นใหม่ อยากเข้ามาใช้ชีวิตในย่านนี้มากขึ้น ด้วยจุดเด่นที่สำคัญของทำเลนี้ ที่มีความชัดเจนของการขยายเมืองทั้งการเพิ่มขึ้นของอาคารสำนักงาน และตึกสูงเกรด A ความสะดวกในการเดินทางมีเส้นรถไฟฟ้าสายสีเขียว รวมถึงใกล้จุดขึ้นลงทางด่วน สร้างโอกาสในการเป็นศูนย์กลางที่อยู่อาศัยแห่งใหม่ เติบโตทั้งด้านอุปทาน, อุปสงค์และราคาขาย โดยตั้งแต่ปี 2013 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบันมีโครงการคอนโดเปิดใหม่มากขึ้น ซึ่งภาพรวมโครงการในตลาดมีทั้งคอนโดมิเนียมรูปแบบไฮไรส์และรูปแบบโลวไรส์ โดยมีคอนโดมิเนียมเปิดขาย ทั้งหมด 4,103 ยูนิต จาก 16 โครงการ ขายไปแล้ว 3,318   ยูนิต หรือประมาณ 81% ซึ่งโครงการที่เพิ่งเปิดขายในช่วงระยะ 1-2 ปี ที่ผ่านมาส่วนใหญ่จะมียอดขายเกินกว่า 70% ทั้งนี้คอนโดมิเนียมตลาดระดับไฮเอนด์ (110,000 – 190,000 บาท/ตร.ม.) เป็นตลาดใหญ่ที่สุด คิดเป็น 74% ของสัดส่วนตลาดทั้งหมด หรือจำนวน 2,544    ยูนิต มีทั้งคอนโดมิเนียมรูปแบบไฮไรส์และรูปแบบโลวไรส์ โดยอัตราขายที่ดีที่สุดของตลาดกลุ่มนี้ คือ โครงการที่มีระดับราคาต่อตารางเมตรอยู่ในช่วง 110,000-120,000 บาท/ตร.ม. ซึ่งโครงการส่วนใหญ่จะตั้งอยู่ในทำเลอินทามระ ขณะที่ยังไม่มีโครงการในระดับราคานี้ในทำเลอารีย์-พหล จึงเป็นโอกาสทางการตลาดที่น่าจับตามองสำหรับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมแบบโลวไรส์ที่ยังเป็นที่ต้องการอย่างต่อเนื่องของตลาดในทำเลนี้ เพราะราคาอยู่ในช่วงที่จับต้องได้แม้อยู่ใจกลางเมืองหรือใกล้รถไฟฟ้า ในขณะที่คอนโดไฮไรส์มีราคาสูงกว่าเพราะราคาที่ดินที่ติดถนนใหญ่หรือติดรถไฟฟ้ามีราคาสูงและทำเลที่มีศักยภาพที่จะพัฒนาโครงการมีอยู่จำกัด อีกทั้งคอนโดมิเนียมแบบโลวไรส์ยังมีจุดเด่นที่จำนวนยูนิตน้อยและมีบรรยากาศที่ดีทำให้มีความเป็นส่วนตัวมากกว่า ซึ่งตอบโจทย์การใช้ชีวิตของคนเมืองได้ตรงความต้องการมากกว่านั่นเอง ดังนั้น อาจจะกล่าวได้ว่าในโลกที่ต้องการความรวดเร็วไปหมดทุกเรื่อง รวมถึงเรื่องการใช้ชีวิตประจำวัน สิ่งที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่ง คือ การมีที่อยู่อาศัยที่อยู่ในเมือง ซึ่งจะสามารถลดเวลาการเดินทาง  ลดขั้นตอนในการออกไปหาการพักผ่อนแบบมีไลฟ์สไตล์ ทำเลย่านพหลโยธิน ถือเป็นทำเลที่ตอบโจทย์อีกทำเลหนึ่งในกรุงเทพ นางนลินรัตน์ กล่าวปิดท้าย          
ตลาดอาคารสำนักงานคาดแข่งขันเดือด อุปทานใหม่เตรียมจ่อเข้าตลาดอีกกว่า 3.5 แสน ตร.ม.

ตลาดอาคารสำนักงานคาดแข่งขันเดือด อุปทานใหม่เตรียมจ่อเข้าตลาดอีกกว่า 3.5 แสน ตร.ม.

เน็กซัสเผย ตลาดอาคารสำนักงานในย่านธุรกิจมีแนวโน้มในการแข่งดุ ปัจจุบันพบว่าตลาดอาคารสำนักงานในย่านธุรกิจมี อัตราว่างของพื้นที่เช่า อยู่ในระดับต่ำ ค่าเช่าสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง คาดว่าในอีก 3-4 ปีข้างหน้า การแข่งขันจะดุเดือดยิ่งขึ้น เนื่องจากมีอุปทานใหม่เกิดขึ้นในตลาดอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าอุปทานที่เพิ่มขึ้นจะสูงขึ้นกว่า 30 เปอร์เซ็นต์ จาก 1.175 ล้านตารางเมตร แนะเจ้าของอาคารเก่าควรปรับปรุงอาคารให้ทันสมัยอยู่เสมอ เพื่ออัตราค่าเช่าที่ดีขึ้น นายธีระวิทย์ ลิ้มทองสกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เน็กซัส เรียลเอสเตท แอ็ดไวเซอรี่ จำกัด กล่าวว่า “หากเรามองย้อนกลับไปในช่วง 10 ปีที่ที่ผ่านมา จะพบว่าอัตราว่างเฉลี่ยของพื้นที่เช่าสำนักงานอยู่ที่ประมาณไม่เกิน 10% ซึ่งถือว่าเป็นอยู่ในระดับที่ต่ำแล้ว แต่ในปัจจุบันพบว่าอัตราว่างกลับน้อยลงไปอีก คือ มีอัตราว่างเพียง  7-8% เท่านั้น และยังมีแนวโน้มที่จะลดลงอย่างต่อเนื่อง ทั้งหมดเป็นผลมาจากการเกิดขึ้นของบริษัทต่างๆ มีมากขึ้น มีการลงทุนของต่างชาติที่เข้ามาเช่าพื้นที่อาคารสำนักงานมากขึ้น และการเติบโตของธุรกิจของไทย โดยเฉพาะในกรุงเทพเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเมื่ออุปทานในตลาดมีอยู่อย่างจำกัดทำให้อัตราว่างของอาคารสำนักงานมีน้อยลงนั่นเอง” แต่สถานการณ์ดังกล่าว จะคงอยู่อีกไม่นานนัก เนื่องจากในปัจจุบันมีการเปิดตัวเมกกะโปรเจกต์มากมาย โดยเฉพาะบริเวณถนนพระรามที่ 4 ที่จะมีอาคารสำนักงานเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 3 โครงการ คือ สามย่านมิตรทาวน์ วัน แบงคอก และเดอะ ปาร์ค โดยทั้ง 3 โครงการนี้ คาดว่าจะมีพื้นที่เช่ารวมประมาณ 350,000 ตารางเมตร หรือคิดเป็นประมาณ 30% ของพื้นที่เช่าสำนักงานเกรดเอ ในย่านศูนย์กลางธุรกิจ โดยแต่ละโครงการจะถูกสร้างเสร็จในเวลาที่ไล่เลี่ยกัน ซึ่งจะ ส่งผลให้อุปสงค์ในตลาดอาคารสำนักงานจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในอีก 3-4 ปีข้างหน้า นั่นจะส่งผลกระทบให้ตัวเลขอัตราว่างของพื้นที่เช่าอาคารสำนักงานอาจสูงขึ้นมากกว่า 10% เป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี   แต่อย่างไรก็ตาม ตัวเลขของอัตราการว่างของอาคารสำนักงานเกรดเอที่มีอัตราเฉลี่ยสิบกว่า เป็นตัวเลขระดับค่าเฉลี่ยมาตรฐานที่เมื่อเปรียบเทียบกับตัวเลขของทั้งภูมิภาคเอเชีย จากการสำรวจของ Cushman & Wakefield ซึ่งเป็นบริษัทพันธมิตรของเน็กซัสฯ พบว่า อัตราว่างของพื้นที่เช่าอาคารสำนักงานเกรดเอ ในย่านธุรกิจของไตรมาสที่ 2 ยังคงอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกัน และอัตราว่างของกรุงเทพฯ อยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจเมื่อเทียบกับประเทศในเอเชีย ไม่ว่าจะเป็น สิงคโปร์ ฮ่องกง เซี่ยงไฮ้ หรือแม้กระทั่งปักกิ่ง เมื่อพิจารณาด้านราคาค่าเช่าอาคารสำนักงานเกรดเอ ในกรุงเทพ พบว่าในไตรมาสที่ 3 อัตราค่าเช่าของอาคารสำนักงานเกรดเอ ทั้งในและนอกย่านศูนย์กลางธุรกิจนั้น ยังคงสร้างสถิติสูงสุดใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยที่ค่าเช่าสูงสุดในปัจจุบันอยู่ที่ 1,500 บาท/ตารางเมตร/เดือน และราคาเฉลี่ยที่ 980 บาท/ตารางเมตร/เดือน นอกจากนี้ยังพบว่า อายุเฉลี่ยของอาคารสำนักงานเกรดเอ ในย่านศูนย์กลางธุรกิจจะอยู่ที่ประมาณ 17 ปี ดังนั้นบางอาคารเริ่มมีแผนปรับปรุงอาคารที่ชัดเจน หรือมีแผนสร้างอาคารใหม่ทดแทนของเดิม เพื่อเพิ่มศักยภาพและยกระดับอาคารให้ตอบสนองกับความต้องการที่เปลี่ยนไปในปัจจุบัน ทั้งนี้เพราะอายุของอาคารสำนักงานจะส่งผลต่อราคาค่าเช่าด้วย โดยเราพบว่าอาคารสำนักงานใหม่ที่อายุไม่เกิน 5 ปี สามารถทำราคาค่าเช่าเฉลี่ยได้สูงถึง 1,200 บาท/ตารางเมตร/เดือน ทำให้ผู้ประกอบการหลายรายเริ่มปรับปรุงพื้นที่เพื่อให้ได้ค่าเช่าที่สูงขึ้น โดยเฉพาะอาคารเกรดบี โดยเฉพาะในย่านสีลม ซึ่งในอนาคต โดยเราคาดว่าในย่านสีลมจะมีการพัฒนาอาคารสำนักงานเกรดเอให้เห็นเพิ่มมากขึ้นจากปัจจุบัน    
เน็กซัส แนะการพัฒนาโครงการคอนโดฯ ในกรุงเทพฯ ให้เติบโตอย่างยั่งยืน

เน็กซัส แนะการพัฒนาโครงการคอนโดฯ ในกรุงเทพฯ ให้เติบโตอย่างยั่งยืน

เน็กซัส พรอพเพอร์ตี้ ชี้ราคาที่ดิน ทำเล และการขยายตัวของเมือง เป็นปัจจัยหลักส่งให้ราคาคอนโดมิเนียมปรับตัวสูงขึ้น การเข้ามาซื้อคอนโดเพื่อลงทุนของชาวต่างชาติ ที่หวังผลการลงทุนระยะยาว อาจเป็นเพียงสีสันให้วงการอสังหาในช่วงระยะเวลา 1-2 ปีนี้ แนะ ผู้ประกอบการให้คำนึงถึงกลุ่มลูกค้าคนไทยที่ซื้อเพื่ออยู่จริง และควรศึกษาถึงความต้องการที่แท้จริงของผู้บริโภคก่อนพัฒนาสินค้า เพื่อให้ได้สินค้าที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการสูงสุด เพื่อการเติบโต อย่างมั่นคงและยั่งยืนของตลาดคอนโดมิเนียม   นางนลินรัตน์ เจริญสุพงษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เน็กซัส พรอพเพอร์ตี้ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด ที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเน็กซัสฯ นำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับตลาดคอนโดมิเนียม มาอย่างต่อเนื่อง เราพบว่าอัตราการเติบโตของอุปทานโดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 10% ต่อปี โดยราคาจะปรับเพิ่มสูงขึ้น 8-12% ต่อปี ซึ่งราคาคอนโดมิเนียมที่สูงขึ้นเป็นเพราะปัจจัยหลัก คือ ราคาที่ดินที่สูงขึ้น ที่ดินหายากขึ้น การเปลี่ยนแปลงนี้จะเป็นปัจจัยให้ผู้ประกอบการต้องพิจารณาในการพัฒนาสินค้า เพื่อตอบสนองกับการเติบโตของตลาดในระยะยาวแบบยั่งยืนอีกด้วย   สำหรับภาพรวมตลาดคอนโดมิเนียมไตรมาส 2 ของปี 2561 พบว่าอุปทานคอนโดมิเนียมในตลาดกรุงเทพฯ เติบโตขึ้น 9,395 หน่วย จาก 20 โครงการ ทำให้ในตลาดมีคอนโดมิเนียมรวม 573,000 หน่วย โดยทำเลที่มีคอนโดมิเนียมเปิดใหม่มากที่สุด คือ บริเวณจรัญสนิทวงศ์ และสะพานควาย ซึ่งเป็นเขตรอบใจกลางเมือง   ด้านราคา พบว่าภาพรวมตลาดราคาเฉลี่ยคอนโดมิเนียมปรับตัวสูงขึ้น 5% ในช่วงครึ่งปีแรก คือ 137,100 บาท/ตารางเมตร แต่เมื่อเจาะลงมาในกลุ่มตลาดใจกลางเมือง พบว่ายังคงเป็นตลาดที่ครองตำแหน่งการปรับตัวของราคาสูงที่สุด คือ 6% หรือ 223,000 บาท/ตารางเมตร ส่วนตลาดรอบใจกลางเมืองปรับตัวสูงขึ้น 4% หรือ 110,000 บาท/ตารางเมตร และตลาดรอบนอกราคาปรับตัวสูงขึ้นอีก 3% หรือ 75,000 บาท/ตารางเมตร ตามลำดับ   สำหรับความต้องการคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ ช่วงระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา พบว่าเป็นดีมานด์จากคนไทย ที่ซื้อเพื่อการอยู่อาศัยจริงมากกว่า 80% แต่ในระยะเวลาช่วง 1-2 ปีนี้ จะเห็นได้ว่าเริ่มมีกำลังซื้อจากชาวต่างชาติมากขึ้น โดยจะซื้อผ่านนายหน้าเป็นหลัก ซึ่งวัตถุประสงค์ในการซื้อก็เพื่อการลงทุน ทั้งในแบบระยะสั้น และระยะยาว เพื่อปล่อยเช่า เพราะคาดหวังในผลตอบแทนรายปีและจากราคาที่ปรับตัวสูงขึ้น แต่ในความเป็นจริงแล้ว เป็นที่ทราบกันดีว่าราคาค่าเช่า ไม่ได้เติบโตในอัตราส่วนเดียวกับราคาขายของคอนโดมิเนียม ดังนั้น ในระยะยาวนักลงทุนน่าจะหวังผลกำไรจากราคาขายต่อที่เพิ่มสูงขึ้นได้เป็นหลัก ส่วนจากราคาค่าเช่าอาจไม่ได้สูงมากนัก และหากจะคาดว่าต่างชาติจะเข้ามาถือครองคอนโดมิเนียมในสัดส่วน 49% อาจเห็นได้ในบางโครงการเท่านั้น และในที่สุดแล้ว ตลาดที่น่าจะต้องให้ความสนใจเป็นหลักก็ยังคงเป็นตลาดคนไทยนั่นเอง     ภาพรวมการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นของตลาดคอนโดมิเนียมในช่วง 7 - 10 ปีที่ผ่านมานั้น พบว่าการเปลี่ยนแปลง ด้านแรก คือ 1) ด้านทำเลที่ตั้ง เพราะเมื่อเมืองขยายตัว ส่งผลให้การคมนาคมขนส่งที่ขยายตัวและเติบโตมากขึ้น การเติบโตของคอนโดมิเนียมก็ขยายบริเวณออกไปด้วย พบการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจ คือ สัดส่วนอุปทาน ที่เปลี่ยนแปลงเพิ่มสูงขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัดในช่วง 7 ปีที่ผ่านมา คือ 2 ทำเลรอบนอก ได้แก่ ธนบุรี-เพชรเกษม ซึ่งจากเดิมในปี 2554 มีเพียง 13,000 ยูนิต แต่ปัจจุบันจากการสำรวจเมื่อไตรมาส 2/2561 พบว่าเพิ่มขึ้นเป็น 66,000 ยูนิต และอีกทำเลหนึ่ง คือ งามวงศ์วาน ติวานนท์ ที่จากเดิมในปี 2554 มีเพียง 17,000 ยูนิต กลับเพิ่มขึ้นเป็น 73,000 ยูนิต   2) การเปลี่ยนแปลงด้านขนาดของห้อง พบว่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ขนาดห้องของคอนโดมิเนียมเล็กลงเป็น อย่างมาก เช่น คอนโดมิเนียม 1 ห้องนอน เดิมมีขนาด 65 ตารางเมตร ปัจจุบันลดลงเหลือเพียง 28 ตารางเมตร เมื่อเทียบเป็นสัดส่วนแล้ว ขนาดของห้องเล็กลงเกินกว่าครึ่งหนึ่งจากเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ในขณะที่คอนโดมิเนียมขนาด2 ห้องนอน แต่เดิมมีขนาด 120 ตารางเมตร ในปัจจุบันเหลือเพียง 45 - 48 ตารางเมตร เป็นต้น   3) ในด้านรูปแบบของห้อง (Room Mix) พบว่าสัดส่วนของห้องชุดก็แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด เมื่อเทียบกับหลายปีก่อน พบว่าในหนึ่งโครงการ ห้องชุดขนาด 2 และ 3 ห้องนอน จะมีสัดส่วนห้องมากที่สุดของทั้งโครงการ ในขณะที่ห้องชุดขนาด 1 ห้องนอน มีสัดส่วนเพียง 20 - 30% ของโครงการเท่านั้น แต่ในปัจจุบันกลับพบว่าห้องชุดแบบ 1 ห้องนอน จะเป็นสัดส่วนหลักในการพัฒนาโครงการสำหรับคอนโดมิเนียมยุคนี้ เราแทบจะหาคอนโดมิเนียมขนาด 3 ห้องนอนในโครงการใหม่ๆ ไม่ได้เลย และด้วยขนาดห้องที่เล็กลง ส่งผลให้การพัฒนาคอนโดมิเนียมมีจำนวนห้องในแต่ละโครงการเพิ่มขึ้น ตัวอย่างเช่น ที่ดินขนาด 2 ไร่ จากสมัยก่อนที่เคยทำคอนโดมิเนียมตึกสูงได้จำนวน 300 ยูนิต ปัจจุบันก็เพิ่มเป็น 500 ยูนิต ในสัดส่วนพื้นที่ขายที่เท่ากัน ซึ่งนับเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้อุปทานคอนโดมิเนียมเพิ่มขึ้นในอัตราที่ค่อนข้างสูงในช่วงหลายปีที่ผ่านมา   4) การเปลี่ยนแปลงด้านราคาต่อหน่วย สำหรับคอนโดมิเนียมในตลาดระดับกลาง (mid market) และตลาดซิตี้คอนโด มีระดับราคาเริ่มต้นที่ประมาณ 1.5 ล้านบาท ถึง 3 ล้านบาทต่อยูนิต มีจำนวนหน่วยคิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 70% ของจำนวนห้องชุดทั้งหมดในตลาด ซึ่งถือว่าเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดในกรุงเทพนั้น แต่ราคาต่อหน่วยถูกจำกัดด้วยความสามารถในการผ่อนชำระของผู้ซื้อมาโดยตลอด ทำให้ผู้ประกอบการต้องเปลี่ยนแปลงรูปแบบการพัฒนาโครงการ เพื่อกำหนดขอบเขตของต้นทุนให้อยู่ในเงื่อนไขราคาต่อหน่วยที่กำหนด โดยในหลายปีที่ผ่านมา ด้วยราคาที่ดินที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้ทำเลของโครงการถูกขยับออกไปไกลจากใจกลางเมืองมากขึ้น โดยเกาะขอบแนวรถไฟฟ้าที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต หรือเข้าไปอยู่ในซอยเล็กเป็นอาคาร 8 ชั้น เป็นต้น   ทั้งนี้ หากวิเคราะห์สัดส่วนรายได้จากกลุ่มคนทำงานในกรุงเทพฯ แล้ว จะพบว่ากลุ่มคนทำงานในระดับเจ้าหน้าที่มีรายได้ต่อเดือนไม่เกิน 35,000 บาท สามารถซื้อคอนโดมิเนียมขนาด 1 ห้องนอน ในกลุ่มซิตี้คอนโดฯ ระดับราคาไม่เกิน 2.5 ล้านบาท ในขณะที่กลุ่มตลาดระดับกลาง (mid market) พนักงานในระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสหรือหัวหน้างาน ผู้มีรายได้ไม่เกิน 65,000 บาทต่อเดือน จึงจะสามารถเริ่มซื้อได้ ในขณะที่คอนโดฯ ระดับไฮเอนด์ผู้ที่สามารถซื้อได้ จะต้องอยู่ในระดับผู้จัดการขึ้นไป หรือผู้ที่มีรายได้ 120,000 บาทต่อเดือน และในกลุ่มลักซัวรี่และซูเปอร์ลักซัวรี่จะต้องเป็นเจ้าของกิจการและผู้บริหารระดับสูงเท่านั้น ด้วยราคาคอนโดมิเนียมที่ปรับตัวสูงขึ้นเฉลี่ย 7-8% ต่อปี ตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทำให้คอนโดมีเนียมมีราคาเพิ่มสูงขึ้นมากกว่ารายได้ของประชากรกรุงเทพฯ บางส่วน ซึ่งแน่นอนความสามารถในการซื้อห้องในราคาที่เพิ่มสูงขึ้นบ้างก็มีโอกาสเป็นไปได้ แต่อาจจะได้ห้องขนาดเล็กลงในทำเลเดิม หรือซื้อห้องขนาดเท่าเดิมในทำเลที่ไกลออกไป   “สรุปแล้วการเติบโตที่ยั่งยืนของตลาดคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ ก็ยังคงต้องพึ่งตลาดคนไทยเป็นหลัก โดยตลาดต่างชาตินั้นเข้ามาเสริม ซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อการลงทุนระยะยาว จากราคาคอนโดมิเนียมที่เพิ่มสูงขึ้น ปัจจัยค่าเช่าน่าจะเป็นส่วนเสริมให้การลงทุน มีความน่าสนใจมากขึ้นเท่านั้น ในระยะกลางหรือระยะยาวคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ จะขยายตัวออกไปยังชานเมืองมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อตอบโจทย์วิถีชีวิตคนที่ทำงานจากบ้านได้มากขึ้น และศูนย์กลางการทำงานอาจมีการขยายตัวไปยังบริเวณรอบใจกลางเมืองมากขึ้นเหมือนเช่น พระราม 9 บางซื่อ พหลโยธิน รัชดาภิเษก เป็นต้น ทำให้เมืองขยายออกไป และตลาดคอนโดมิเนียมรอบนอกเมือง ก็ยังคงขยายตัวต่อเนื่องในขณะที่ตลาดคอนโดมิเนียมใจกลางเมือง การเติบโตของตลาดคอนโดมิเนียมมือสองจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ด้วยราคาที่ต่ำกว่าราคาคอนโดมิเนียมใหม่ ขนาดห้องที่ใหญ่กว่า ตอบรับกับการอยู่อาศัยได้จริง ซึ่งเราอาจจะไม่เห็นในกลางเมืองกรุงเทพฯ ในระยะ 1-2 ปีข้างหน้า แต่ในระยะยาวลักษณะแบบนี้ก็จะเกิดขึ้นในตลาดกรุงเทพฯ เหมือนเมืองใหญ่ๆ ทั่วไปในโลก เช่น นิวยอร์ค หรือ โตเกียว เป็นต้น” นางนลินรัตน์ กล่าวสรุป      
พหลฯ-ประดิพัทธ์ ทำเลใหม่ในย่านสุดคลาสสิค

พหลฯ-ประดิพัทธ์ ทำเลใหม่ในย่านสุดคลาสสิค

เน็กซัส ชี้พหลฯ-ประดิพัทธ์เป็นตลาดคอนโดมิเนียมทำเลใหม่ในย่านสุดคลาสสิค สนนราคาขายถูกกว่าทำเลใกล้เคียงกันบนถนนพหลโยธิน ในระยะการเดินทางและสิ่งแวดล้อมเดียวกัน ทำเลศักยภาพที่มีแผนพัฒนาอย่างต่อเนื่อง คุ้มค่าทั้งในแง่ของการซื้อไว้เป็นทรัพย์สินและการลงทุนในอนาคต     นางนลินรัตน์ เจริญสุพงษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เน็กซัส พรอพเพอร์ตี้ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด ที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ กล่าวว่า ทำเลประดิพัทธ์เป็นทำเลใหม่ที่น่าจับตามอง ภาพรวมของย่านพหลฯ-ประดิพัทธ์ยังคงความคลาสสิค เป็นที่อยู่อาศัยของชุมชนเก่าแก่ โรงแรม เต็มไปด้วยร้านค้าและร้านอาหารชื่อดัง ซึ่งประกอบกิจการในอาคารพาณิชย์ 3-4 ชั้น เป็นช่วง ๆ ตลอดแนวถนนประดิพัทธ์ การเจริญเติบโตของเมืองในช่วงหลายปีที่ผ่านมาทำให้ศักยภาพในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของย่านนี้เพิ่มสูงขึ้น ปัจจุบันราคาที่ดินในตลาดตลอดแนวถนนเสนอขายที่ราคาตารางวาละ 600,000 – 800,000 บาท โดยบริเวณข้างเคียง ได้แก่ บริเวณซอยย่อยในทำเลอารีย์ บริเวณถนนพหลโยธินตั้งแต่ช่วงจตุจักรไปจนถึงสถานีบีทีเอสสะพานควาย และช่วงสถานีบีทีเอสสะพานควายไปตลอดจนถึงอนุสาวรีย์ฯ เสนอขายที่ดินที่ราคาตารางวาละ 600,000 – 800,000 บาท 900,000 – 1,000,000 บาท และ 1,200,000 – 1,500,000 บาท ตามลำดับ     ราคาคอนโดมิเนียมเฉลี่ยในทำเลพหลฯ-ประดิพัทธ์ปัจจุบันเสนอขายที่ราคาตารางเมตรละ 170,000 บาท ซึ่งเป็นระดับราคาเฉลี่ยที่ต่ำกว่าราคาคอนโดมิเนียมบนถนนเส้นหลักพหลโยธินตั้งแต่ช่วงสถานีบีทีเอสสะพานควายไปจนถึงอนุสาวรีย์ที่เสนอขายในราคา 218,000 บาท/ตารางเมตร โดยทั้งสองทำเลมีสภาพแวดล้อมใกล้เคียงกัน ทั้งในแง่ของขนาดถนน การคมนาคม และสาธารณูปโภค   สำหรับคอนโดมิเนียมในบริเวณข้างเคียง ได้แก่ บริเวณซอยย่อยในทำเลอารีย์ และบนถนนพหลโยธินในทำเลจตุจักร มีระดับราคาเฉลี่ยต่อตารางเมตรอยู่ที่ 154,000 บาท และ 166,000 บาท ตามลำดับ แม้ว่าทำเลดังกล่าวจะอยู่ห่างจากทำเลพหลฯ-ประดิพัทธ์ในระยะที่ไม่แตกต่างกัน แต่ระดับราคาคอนโดมิเนียมเฉลี่ยต่อตารางเมตรต่ำกว่า ซึ่งสอดคล้องกับปัจจัยทางด้านกายภาพของบริเวณซอยย่อยในทำเลอารีย์ ที่ส่วนใหญ่เป็นโครงการขนาดเล็ก ขนาดอาคารที่อยู่อาศัยไม่เกิน 8 ชั้น และที่ตั้งโครงการคอนโดมิเนียมทำเลจตุจักรมีระยะการเข้าถึงกรุงเทพฯ ชั้นในมากกว่า เมื่อเทียบกับทำเลอื่นข้างต้น     ทำเลใกล้กัน ในสิ่งแวดล้อมเดียวกัน   ทำเลพหลฯ-ประดิพัทธ์ สามารถเข้า-ออกได้หลายเส้นทาง และหลายรูปแบบ อยู่ในระยะเดินทางไปยังเส้นทางหลักถนนพหลโยธินและถนนพระรามที่ 6 โดยใช้เวลาประมาณ 5-10 นาทีด้วยรถยนต์ หรือในระยะเดินเท้า 10-15 นาที ใช้เส้นทางลัดไปยังทำเลอารีย์ได้จากซอยย่อยต่าง ๆ การเข้าถึงสถานีรถไฟฟ้าที่ใกล้ที่สุดทั้งสถานีสะพานควายและอารีย์ อยู่ในระยะเวลาที่ใกล้เคียงกันกับทำเลที่ตั้งที่อยู่ระหว่างสถานีรถไฟฟ้าบนถนนพหลโยธิน นอกจากนี้การใช้บริการทางพิเศษทั้งการเดินทางเข้าสู่กรุงเทพชั้นใน กรุงเทพฝั่งเหนือหรือวงแหวนรอบนอก ก็สามารถใช้บริการได้ในระยะรัศมี 2 กิโลเมตร     พื้นที่โดยรอบทำเลมีสาธารณูปโภคอื่น ๆ ครบครัน มีห้างสรรพสินค้าและ คอมมูนิตี้ มอลล์กว่า 10 แห่ง สถานศึกษาขนาดใหญ่ 2 แห่ง โรงพยาบาล 6 แห่ง สถานที่ราชการ 7 แห่ง และอาคารสำนักงานอีกนับไม่ถ้วนทั้งขนาดใหญ่ กลาง และเล็ก ยังไม่นับรวมถึงร้านอาหาร คาเฟ่ ร้านสะดวกซื้อที่กระจายตัวอยู่อีกจำนวนมาก เมื่อเปรียบเทียบกับทำเลใกล้เคียง จะพบว่าสิ่งแวดล้อมโดยรอบแทบจะเป็นสิ่งแวดล้อมเดียวกัน   ทำเลที่มีแผนพัฒนาอย่างต่อเนื่อง   เป็นระยะเวลาเกือบ 20 ปีแล้ว ตั้งแต่มีโครงการรถไฟฟ้าบีทีเอสสายสีเขียวเปิดให้บริการ ซึ่งเป็นรถไฟฟ้าเส้นแรกของประเทศไทยเชื่อมพื้นที่กรุงเทพฝั่งเหนือ (จตุจักร) กรุงเทพชั้นใน และฝั่งตะวันออก (แบริ่ง) การปรับเปลี่ยนผังเมืองตามการเจริญเติบโตของเมือง พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่สีน้ำตาลและมีสีแดงเป็นบางช่วง นั่นทำให้พื้นที่โซนนี้มีศักยภาพในการพัฒนาในอัตราส่วนที่ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับขนาดที่ดิน สามารถพัฒนาได้ทั้งที่อยู่อาศัยแนวราบและแนวสูง รวมไปถึงเพื่อการพาณิชย์ โรงแรมและสำนักงาน เป็นต้น     ปัจจุบันมีโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างคาดว่าจะเปิดใช้บริการในปี 2563 ได้แก่ ส่วนคมนาคม คือรถไฟฟ้าสายสีแดง ตลอดแนวถนนกำแพงเพชร 5 โดยสถานีที่ใกล้กับทำเลนี้ที่สุดคือ สถานีประดิพัทธ์ ซึ่งจะทำให้การเดินทางสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น และส่วนที่เป็นอาคาร 2 โครงการ คือ เดอะไรส์ บาย ศรีศุภราช เป็นโครงการมิกซ์ ยูสของกลุ่มศรีศุภราชกรุ๊ป รวมค้าปลีก ช็อปปิ้งมอลล์และโรงแรมระดับ 4 ดาว โครงการก่อสร้างโรงพยาบาลวิมุตติ ของบริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) เป็นโรงพยาบาลและศูนย์สุขภาพ บนพื้นที่รวม 7 ไร่เศษ นอกจากนี้ยังมีโครงการขนาดใหญ่อื่น ๆ ที่อยู่ระหว่างการพัฒนา ซึ่งมีแผนจะเปิดให้บริการภายใน 5-15 ปีนี้ ได้แก่ เดอะ ยูนิคอร์น โครงการมิกซ์ ยูส ของบริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) มีแนวคิดจะสร้างให้เป็นศูนย์กีฬา รวมร้านค้าปลีกและพื้นที่สำนักงานไว้ด้วยกัน และโครงการ บางกอก เทอร์มินอล อยู่ระหว่างการพัฒนาที่ดินให้เป็นมิกซ์ ยูส มีพื้นที่สำนักงาน โรงแรม เซอร์วิสอพาร์ทเม้นท์ ที่จอดรถ และพื้นที่ส่วนหนึ่งเป็นสถานีขนส่ง สุดท้ายคือโครงการพัฒนาสถานีกลางบางซื่อ บนพื้นที่กว่า 218 ไร่ ตามแนวคิดการพัฒนาพื้นที่ตามโครงข่ายสถานีขนส่งมวลชนแห่งใหม่ของกรุงเทพมหานคร ที่เป็นแหล่งศูนย์รวมคมนาคมทางรางระดับอาเซียน  
เน็กซัสเผย ทำเล รสนิยม เหตุตัดสินใจซื้อ หนุนตลาดบ้านลักซูรี่โตต่อเนื่อง

เน็กซัสเผย ทำเล รสนิยม เหตุตัดสินใจซื้อ หนุนตลาดบ้านลักซูรี่โตต่อเนื่อง

บ้านหลังใหญ่ สนามหญ้ากว้างๆ อาจไม่ใช่คำตอบเดียวสำหรับผู้ซื้อบ้านระดับลักซูรี่ เพราะมีปัจจัยด้านทำเล และต้นทุนค่าที่ดินเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งขนาดที่ดินที่เหมาะสมและมีจำนวนจำกัดในทำเลชั้นดีนั้น เป็นอีกหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้ผู้ประกอบการหันมาพัฒนาโครงการโดยให้ความสำคัญกับพฤติกรรมและไลฟสไตล์ของผู้อยู่อาศัยมากยิ่งขึ้น เพื่อให้บ้านไม่ได้เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้น แต่ยังสะท้อนตัวตน และเป็นส่วนหนึ่งของการใช้ชีวิต ทำเลศักยภาพสำหรับบ้านระดับลักซูรี่ นางนลินรัตน์ เจริญสุพงษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เน็กซัส พรอพเพอร์ตี้ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด กล่าวถึงตลาดบ้านระดับลักซูรี่ใจกลางเมืองที่กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่องว่า บ้านระดับลักซูรี่ในกรุงเทพฯ ถือเป็นตลาดที่มาแรงในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา จากปี 2558 ถึงไตรมาสที่ 1 ปี 2561 มีอุปทานโครงการบ้านจากผู้พัฒนาโครงการรายใหญ่และรายย่อย 42 โครงการ จำนวน1,554 ยูนิตสะท้อนให้เห็นถึงความต้องการบ้านระดับลักซูรี่อย่างต่อเนื่อง โดยมี 7 ทำเลศักยภาพหลัก เรียงตามความหนาแน่นของโครงการที่เปิดขายระหว่างปี 2558 ถึงไตรมาสที่ 1 ปี 2561ดังนี้ (1) สุขุมวิท (พร้อมพงษ์-เอกมัย) (2) ลาดพร้าว-เกษตรนวมินทร์ (3) พระรามเก้า-ศรีนครินทร์-พัฒนาการ (4) ราชพฤกษ์ (5) สาทร พระราม 3 (6) บางนา (7) พระราม2 ซึ่งจะเห็นได้ว่าโครงการบ้านระดับลักซูรี่อยู่กระจายตัวกันตามแหล่งความเจริญของเมืองที่มีลักษณะเด่นต่างกัน ส่งผลถึงรูปแบบบ้านที่แตกต่างกันไป อย่างไรก็ตามเมื่อทำเลยังคงเป็นปัจจัยหลักของการเลือกพัฒนาบ้านระดับลักซูรี่ การที่ที่ดินมีอยู่อย่างจำกัดและราคาที่ดินที่ปรับตัวสูงขึ้นทุกปี ทำให้ผู้ประกอบการให้ความสนใจในการพัฒนาโครงการในที่ดินที่มีขนาดเล็กลงในขณะที่มีพื้นที่ใช้สอยที่ตอบสนองความต้องการของคนกลุ่มลักซูรี่ได้เป็นอย่างดีโดยมีที่ดินต่อ  ยูนิตขนาดระหว่าง 29 – 129 ตารางวามากขึ้น ทำให้มีโครงการบ้านแนวสูงในตลาดมากขึ้น โดยนิยามของบ้านแนวสูงนั้นคือบ้านที่ความสูงมากกว่า 15 เมตรหรือ 4 ชั้นขึ้นไป  จากปี 2558 ถึงไตรมาสที่ 1 ปี 2561 มีอุปทานบ้านแนวสูงจำนวน 12โครงการ จำนวน 94 ยูนิตโดยในปี 2558 ถึงปี 2559 บ้านประเภทนี้อยู่ในทำเลสุขุมวิท (พร้อมพงษ์-เอกมัย) และในปี 2560 ถึง ไตรมาสที่ 1 ปี 2561 มีการกระจายตัวของบ้านแนวสูงออกจากทำเลสุขุมวิท ไปยังโซนลาดพร้าว-เกษตรนวมินทร์ บางนาและพระรามเก้า-พัฒนาการ-ศรีนครินทร์มากขึ้น รูปแบบบ้าน ประเภทของบ้านระดับลักซูรี่นั้นจะแบ่งได้ 2 แบบคือ (1) บ้านระดับลักซูรี่แบบเน้นการพัฒนาในแนวราบ และ(2)บ้านระดับลักซูรี่แบบเน้นการพัฒนาในแนวสูง แบบบ้านดังกล่าวมีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกันอย่างโดดเด่นด้วยรูปทรงภายนอก ขนาดที่ดิน และทำเลที่ตั้งโครงการ แต่หากเมื่อเปรียบเทียบแล้วขนาดพื้นที่ใช้สอยยังคงมีขนาดใกล้เคียงกัน ถึงอย่างไรก็ตามปัจจัยด้านทำเล (ราคาที่ดิน) ยังคงเป็นปัจจัยส่วนหนึ่งของการพัฒนารูปแบบบ้าน นอกจากนี้การจัดวางพื้นที่ใช้สอยที่ตอบสนองลักษณะการใช้ชีวิต และมีพื้นที่ใช้สอยที่เพียงพอต่อความต้องการของผู้อยู่อาศัย ถือเป็นบ้านในอุดมคติของผู้มองหาบ้านระดับลักซูรี่ที่ต้องการให้บ้านสะท้อนและสอดคล้องกับความเป็นตัวตนของเจ้าของบ้าน และเป็นโจทย์ให้ผู้พัฒนาโครงการนำมาวิเคราะห์เพื่อเสนอจุดเด่นที่น่าสนใจให้ตรงกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ฟังก์ชั่นบ้านสะท้อนรูปแบบการใช้ชีวิตผู้อยู่อาศัย ตลาดบ้านระดับลักซูรี่เป็นที่น่าสนใจทั้งในมุมมองของผู้พัฒนาโครงการและผู้อยู่อาศัย เนื่องมาจากข้อจำกัดของที่ดินที่ได้กล่าวมาแล้ว ทั้งนี้ในไตรมาสที่ 1 ปี 2561 มีโครงการใหม่เกิดขึ้น 4โครงการ โดยทำเล หลักยังคงเป็นสุขุมวิท (พร้อมพงษ์-เอกมัย) ทำเลสาทรใจกลางเมืองและมีการกระจายตัวในทำเลลาดพร้าว-เกษตรนวมินทร์ในช่วงปีที่ผ่านมา โดยหากพิจารณาจากทำเลโครงการเหล่านั้น อยู่ในทำเลไลฟ์สไตล์ สะท้อนตัวตนและการใช้ชีวิตของผู้ที่เลือกที่อยู่อาศัยในทำเลดังกล่าว และจากประสบการณ์การพัฒนาบ้านระดับลักซูรี่จากผู้ประกอบการใน Segment นี้ ส่งผลให้มีการพัฒนารูปแบบและฟังก์ชั่นของบ้าน ที่สร้าง Value Added  เพิ่มมูลค่าทำให้โครงการนั้นมีความน่าใจมากขึ้น อาทิเช่น ห้องเก็บไวน์ (Wine Cellar Room) ห้องเก็บรถหรู (Super Car Lounge) ส่วนรับประทานอาหารเช้า (Breakfast Corner) และมีขนาดพื้นที่ใช้สอยมากขึ้น ซึ่งสอดคล้องไลฟ์สไตล์ของผู้อยู่อาศัย ให้ได้ใช้ชีวิตได้อย่างเต็มที่ภายในบ้านพักอาศัยส่วนตัวของตนเอง นอกจากนี้บ้านที่สามารถสร้างศักยภาพสูงสุด เพื่อที่จะได้ไม่เข้าข่ายกฎหมายก่อสร้างอาคารสูง ซึ่งจะทำให้มีข้อจำกัดด้านการออกแบบมากขึ้น เห็นได้จากข้อมูลในตลาดปัจจุบันที่มีที่ดินขนาดเริ่มต้นตั้งแต่ 29 ตารางวา พื้นที่ใช้สอยเริ่มต้น 450 ตารางเมตร สูง 4-7 ชั้น เกิดเป็นลักษณะรูปแบบของบ้านแนวสูง นับว่าเป็นการพัฒนาบ้านรูปแบบใหม่ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันแตกต่างจากรูปแบบบ้านในอดีตที่ผ่านมา จากข้อมูลข้างต้น จะสังเกตได้ว่าโครงการบ้านแนวสูงที่เกิดขึ้นบนที่ดินทำเลใจกลางเมือง ทำให้ผู้พัฒนาโครงการพยายามพัฒนาโครงการที่ตอบโจทย์เรื่องความคุ้มค่าต่อราคาทุนที่ดินที่มีราคาสูงลิบ และมีศักยภาพสูงสุด ส่งผลทำให้เกิดบ้านบนที่ดินขนาดเล็ก แต่ในขณะเดียวกันยังมีพื้นที่ใช้สอยเพียงพอต่อความต้องการตามไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยของกลุ่มลูกค้าระดับลักซูรี่เช่นกัน
ซาวิลส์ วางเป้าโตพร้อมขยายธุรกิจในประเทศไทยเพิ่มความร่วมมือทางธุรกิจใหม่

ซาวิลส์ วางเป้าโตพร้อมขยายธุรกิจในประเทศไทยเพิ่มความร่วมมือทางธุรกิจใหม่

26 มกราคม 2559 - ซาวิลส์ บริษัทที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ระดับโลก ประกาศขยายเครือข่ายในประเทศไทย ล่าสุดฟอร์มความร่วมมือทางธุรกิจร่วมกับบริษัท เน็กซัส พรอพเพอตี้ คอนซัลแทนท์ จำกัด ความร่วมมือทางธุรกิจระหว่างซาวิลส์ และ เน็กซัส ถือเป็นครั้งแรกในวงการที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย ที่ 2 บริษัทชั้นนำ ได้นำความสามารถระดับอินเตอร์เนชั่นแนล มาผสมผสานกับความเชี่ยวชาญของตลาดในประเทศไทย ซึ่งจะยังผลดีที่สุดแก่ลูกค้าของทั้ง 2 บริษัท ที่จะได้รับบริการ และคำปรึกษาอย่างครบวงจรมากยิ่งขึ้น โดยในระดับกลุ่มลูกค้าต่างชาติจะได้รับคำปรึกษาที่ดีในการเข้ามาลงทุนในประเทศไทย และสำหรับลูกค้าที่เป็นกลุ่มคนไทยก็ถือเป็นโอกาสที่ดีที่จะสนใจจะไปลงทุนในต่างประเทศอีกด้วย ความร่วมมือในครั้งนี้ ทำให้ซาวิลส์แข็งแกร่งขึ้นในตลาดอสังหาริมทรัพย์ของไทย และในขณะเดียวกันก็สามารถกล่าวได้ว่าสามารถสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบัน ซาวิลส์มี 59 ออฟฟิตใน 17 ประเทศ ในเขตภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โรเบิร์ท คอลลินส์  ซีอีโอ บริษัท ซาวิลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “เราพิจารณาเห็นประเทศไทยมีการเติบโตของธุรกิจที่ดีมาก โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และเน็กซัสก็มีความชำนาญกับตลาดในประเทศไทยเป็นอย่างดี ทำให้ผมมั่นใจได้ว่าการร่วมมือกับเน็กซัสในครั้งนี้จะส่งให้ซาวิลส์แข็งแกร่งขึ้น ซึ่งผลดีจะตกอยู่ที่ลูกค้าของเรา เพราะเราจะสามารถให้คำปรึกษา และบริการที่ครบถ้วนมากยิ่งขึ้นนั่นเอง” สำหรับ บริษัท เน็กซัส พรอพเพอตี้ คอนซัลแทนท์ จำกัด เป็นบริษัทที่ปรึกษาทางด้านอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำซึ่งเคยเป็นสมาชิกหนึ่งของ คุชแมน แอนด์ เวคฟิลด์ ที่มีประสบการณ์ที่ยาวนานและน่าเชื่อถือทั้งในด้านที่ปรึกษาการตลาดและการขายอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงการประเมินราคาและที่ปรึกษาการลงทุน  นางนลินรัตน์ เจริญสุพงษ์ กรรมการบริหาร กล่าวว่า “ซาวิลส์เป็นบริษัทที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ระดับโลกที่เติบโตในเอเชียแปซิฟิค และมีฐานลูกค้าระดับอินเตอร์เนชั่นแนลมากมาย การได้ร่วมงานกับซาวิลส์ในครั้งนี้ทำให้เน็กซัสสามารถให้บริการลูกค้าได้ดียิ่งขึ้นอย่างแน่นอน” คริสโตเฟอร์ แมริออท  ซีอีโอ ซาวิลส์ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวเพิ่มเติมว่า “เรายินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ฟอร์มทีมร่วมงานกับเน็กซัส ซึ่งความร่วมมือกันในครั้งนี้ เป็นกลยุทธ์การขยายตลาดในประเทศไทย เราเล็งเห็นถึงความโดดเด่นของเน็กซัส ทั้งผลงานด้านการวิจัยตลาดอสังหาริมทรัพย์ การประเมิน และศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาโครงการ และการทำงานด้านที่ปรึกษาด้านการตลาดและการขายโครงการ ทำให้เรามั่นใจในความร่วมมือในครั้งนี้เป็นอย่างมาก”
เน็กซัส จับมือ คบคิดดอทคอม จัดงาน SMART Living 2015

เน็กซัส จับมือ คบคิดดอทคอม จัดงาน SMART Living 2015

เน็กซัส จับมือกับ คบคิดดอทคอม จัดงาน SMART Living 2015 งานเดียวที่รวมทั้ง คอนโด บ้านพักอาศัย สุดหรู คอนโดตากอากาศ ให้ผู้ที่กำลังมองหาที่อยู่อาศัยเลือกได้อย่างหลากหลาย และลงตัวมากที่สุด โดยงานจะจัดขึ้นที่บริเวณแฟชั่นฮอลล์ชั้น 1 สยามพารากอน ระหว่างวันที่ 20-23 สิงหาคม 2558 ในงานจะประกอบไปด้วยคอนโด บ้านพักอาศัยสุดหรู และคอนโดตากอากาศจำนวน 18 โครงการ จากบริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำถึง 8 บริษัท มูลค่ารวมทั้งสิ้นกว่า 32,000 ล้านบาท โดยแต่ละโครงการนำเอา โปรโมชั่นพิเศษสุดมานำเสนอให้กับผู้ซื้อเพื่องานนี้โดยเฉพาะ ทั้งยังเพิ่มทางเลือกให้กับลูกค้ามากขึ้นโดยมีการจัดบูธคอนโดรีเซลไว้ในงานด้วย การจัดงานในครั้งนี้ จะมีโครงการใหม่ที่นำมาเปิดตัวอย่างเป็นทางการหลายโครงการ เช่น 749 Residence บ้านหรูบนทำเลที่ดีที่สุดบนถนนสุขุมวิท ซอย 49/1 โครงการบารานี พาร์คบ้านเดี่ยวสไตล์       คอร์ทยาร์ด บนถนนร่มเกล้า และ เอสเพน คอนโดมิเนียม คอนโดใหม่ บนถนนลาซาล นางนลินรัตน์ เจริญสุพงษ์ กรรมการผู้จัดการบริษัท เน็กซัส พรอพเพอร์ตี้ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด กล่าวถึงการจัดงานในครั้งนี้ว่า “สำหรับงาน SMART Living 2015 นี้มีความแตกต่างจากงานรวมอสังหาริมทรัพย์อื่น คือ มีสินค้าที่หลากหลาย มีทั้งคอนโดและบ้านที่คัดสรรมาแล้วทุกทำเล และเราอยากให้งานนี้เป็นงานที่ผู้ซื้อเข้ามาเลือกสรรคอนโดอย่างคุ้มค่าและชาญฉลาด ตามคอนเซ็ปต์ที่เราได้วางไว้ คือ “SMART” โดยโครงการที่พักอาศัยที่มาร่วมงาน มีราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 1 ล้านต้นๆ จนถึง 70 ล้านบาทเลยทีเดียว ครอบคลุมทั้งกรุงเทพ และต่างจังหวัด และที่ขาดไม่ได้สำหรับงานของ เน็กซัส ก็คือ คอนโดรีเซล ที่มีครบทุกราคา ทุกทำเล มาให้ลูกค้าเลือกอย่างครบครัน” นอกจาก สามโครงการที่นำมาเปิดตัวครั้งแรกที่งานนี้แล้ว ยังมีโครงการที่จะมาร่วมงานกับเราเพิ่มเติม อาทิ โครงการในเครือ SC Asset 5 โครงการ, Issara Collection และ BLU จากกลุ่ม ชาญอิสสระ, Park 24, The Unique Sukhumvit 62, The Reserve & The Editor จากพฤกษา และ โครงการในเครือ ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ การจัดงาน SMART Living 2015 ในครั้งนี้ยังได้รับความร่วมมือจาก ธนาคารยูโอบี จำกัด (มหาชน) ซึ่งจับมือเป็นพันธมิตรเข้าร่วมกับเรา ด้วยการนำสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยพิเศษหลากหลายรูปแบบเพื่อให้เหมาะสมกับผู้ซื้อมานำเสนอในงานอีกด้วย