Tag : Hotel

56 ผลลัพธ์
แสนสิริหนุนโรงแรม The Standard สยายปีก 15 สาขาทั่วโลกภายใน 5 ปี  พร้อมเปิดตัว One Night แอปฯ จองโรงแรมปฏิวัติวงการครั้งแรกในเอเชีย

แสนสิริหนุนโรงแรม The Standard สยายปีก 15 สาขาทั่วโลกภายใน 5 ปี พร้อมเปิดตัว One Night แอปฯ จองโรงแรมปฏิวัติวงการครั้งแรกในเอเชีย

แสนสิริประกาศเปิดตัวโรงแรมเดอะสแตนดาร์ด (The Standard Hotel) และสแตนดาร์ด เรซิเดนซ์ (Standard Residences) ในประเทศไทยอันเป็นส่วนหนึ่งของแผนการขยายสาขาทั่วโลก พร้อมเปิดตัววัน ไนท์ (One Night)แอปพลิเคชั่นจองโรงแรมภายในวันเดียวกับที่พัก ซึ่งขยายขอบข่ายการบริการสู่เอเชียเป็นครั้งแรกที่กรุงเทพฯ เพื่อต่อยอดหลังการประกาศวิสัยทัศน์ในการก้าวสู่ธุรกิจโรงแรม เทคโนโลยี และไลฟ์สไตล์ระดับโลกผ่านการลงทุนมูลค่า 80 ล้านดอลล่าร์ หรือ 2,640 ล้านบาท ในหลากหลายแบรนด์ชั้นนำระดับโลก     การสยายปีกของ The Standard และOne Night สู่เอเชียครั้งนี้เป็นผลจากการขยายตัวทางธุรกิจอย่างรวดเร็วหลังการร่วมลงทุน ของแสนสิริเมื่อปลายปีที่ผ่านมา  โดย Standard International ตั้งเป้าขยายสาขาโรงแรมทั่วโลกเพิ่มขึ้น 2 เท่า จาก 5 สาขาในปัจจุบันเป็น 10 สาขาภายใน 1 ปี และขยายเพิ่ม 2 เท่าอีกครั้งเป็น 20สาขาภายใน 5 ปี ขณะที่ One Night เริ่มรุกสู่ตลาดเอเชียซึ่งมีศักยภาพการเติบโตทางธุรกิจสูง โดยเริ่มเปิดให้บริการที่กรุงเทพฯ แล้วเป็นแห่งแรก     นายอภิชาติ จูตระกูล ประธานอำนวยการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “เมื่อเดือนพฤศจิกายนปี 2560 เราได้ประกาศแผนการลงทุนในแบรนด์ระดับโลกมากมาย ซึ่งล้วนเป็นผู้นำในธุรกิจโรงแรม เทคโนโลยี และไลฟ์สไตล์ การลงทุนนี้เป็นส่วนหนึ่งของการขยายฐานความรู้และการสร้างพันธมิตรในประเภทธุรกิจอื่นที่หลากหลายออกไปนอกเหนือจากด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เป็นเรื่องน่ายินดีที่ในระยะเวลาเพียงหนึ่งปี การลงทุนครั้งนี้ได้ช่วยขับเคลื่อนให้ The Standardและแอปพลิเคชั่น One Night เติบโตในอัตราที่รวดเร็ว ซึ่งวันนี้ทั้งสองแบรนด์พร้อมเดินหน้าขยายธุรกิจสู่ตลาดเอเชียอย่างแข็งแกร่ง โดยมีประเทศไทยเป็นเป้าหมายแห่งแรก”      The Standard แบรนด์ที่กล่าวได้ว่ามีอิทธิพลที่สุดในธุรกิจบูทีคโฮเทล ได้วางแผนขยายสาขาโรงแรมเพิ่มขึ้นสองเท่า ทั่วโลกหลังจากที่แสนสิริเข้าถือหุ้นในสัดส่วน 35% ในบริษัทแม่ คิดเป็นมูลค่า 58 ล้านดอลล่าร์ หรือกว่า 1,900 ล้านบาท The Standardตั้งเป้าขยายสาขาสู่ตลาดใหม่ๆ โดยอาศัยทีมงานที่เปี่ยมคุณภาพ ความเชี่ยวชาญ  ในการสร้างสรรค์โปรแกรมและกิจกรรมที่เน้นการสะท้อนวัฒนธรรมในรูปแบบต่างๆ การคัดสรรพาร์ทเนอร์  และการสร้างสรรค์งานอีเวนต์ที่ไม่ซ้ำใคร เพื่อเชื่อมโยงชุมชนและสังคมท้องถิ่นที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวจากทั่วโลก เข้าด้วยกัน The Standard ได้ปักหมุดขยาย 10 สาขาทั่วโลกโดยมี 2 สาขาที่ประเทศไทย ที่จะเปิดบริการภายในอนาคตอันใกล้     ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของแผนธุรกิจ 5 ปีที่จะขยายสาขาให้ครบ 20 แห่ง ทั้งในโลเคชั่นที่อยู่ในพื้นที่ใจกลางเมือง และเมืองตากอากาศชั้นนำทั่วโลก อันได้แก่ ลอนดอน ซึ่งจะเปิดในไตรมาส 1 ปี 2562ตามด้วย ปารีส มิลาน เบอร์ลิน ลิสบอน ปราก แมดริด ชิคาโก ลาสเวกัส  นิวออร์ลีนส์ แอตแลนต้า ดูไบ สิงคโปร์ จีน ฮ่องกง ไต้หวัน กรุงเทพฯ ภูเก็ต หัวหิน จาการ์ตา และบาหลี โดยเมืองเป้าหมายทั้งหมดข้างต้นล้วนแล้วแต่เป็นทำเลที่ The Standardมีแผนดำเนินการพัฒนาโรงแรมที่เป็นรูปธรรมแล้ว หรือมีความคืบหน้าในขั้นตอนเจรจาตกลง     อามาร์ ลาลวานี ซีอีโอ สแตนดาร์ด อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวว่า “การขยายแบรนด์ The Standard ไปสู่พื้นที่ใหม่ๆ ทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทย ถือเป็นโอกาสสำคัญในการส่งมอบประสบการณ์การเข้าพักในโรงแรมที่มีเอกลักษณ์ โดดเด่นของเราสู่ผู้คนอีกมากมาย เราสร้างสรรค์พื้นที่ให้มีความสอดคล้องกลมกลืนกับวัฒนธรรรมเฉพาะตัวของแต่ละท้องถิ่นที่โรงแรมตั้งอยู่ ผ่านการออกแบบพื้นที่ใช้สอยและการสร้างประสบการณ์ที่หาไม่ได้จากที่อื่นให้กับทั้งแขกที่มาพักและผู้คนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่นั้นๆ    The Standardยังตั้งใจสร้างแบรนด์ให้เป็นพื้นที่ที่เป็นเสมือนศูนย์กลางของพลังแห่งความสร้างสรรค์และการร่วมกันทำกิจกรรมแสนสนุกสนาน ตัวอย่างที่ชัดเจนได้แก่ The Standard สาขา High Line ซึ่งเป็นโรงแรมแฟล็กชิพของเราที่นิวยอร์ก ที่นับได้ว่าเป็นเครื่องมือบุกเบิกการพลิกโฉมพื้นที่ซึ่งอดีตเป็นย่านโรงงานเนื้อสัตว์ให้กลายเป็นทำเลซึ่งเป็นที่น่าสนใจที่สุดของแห่งหนึ่งของเมือง และดึงดูดให้เกิดสถานที่ซึ่งมีความน่าสนใจ และผู้ประกอบการใหม่ๆ เข้ามาในย่าน   ไม่ว่าจะเป็นพิพิธภัณฑ์วิทนีย์ (Whitney Museum) เทสลา (Tesla) และซัมซุง(Samsung)นอกจากนี้นับตั้งแต่ The Standard ได้เข้ามาดำเนินธุรกิจภายในย่าน ยังส่งผลให้ราคาของอสังหาริมทรัพย์ในบริเวณนี้มีมูลค่าสูงขึ้นราวสองเท่าเมื่อเทียบกับอสังหาฯ ในบริเวณที่ห่างออกไปเพียงไม่กี่บล็อกจากโรงแรม และเราเชื่อมั่นว่าปรากฏการณ์เช่นนี้จะเกิดขึ้นอีกเช่นเดียวกันเมื่อเราเปิดโรงแรม The Standard สาขาใหม่แห่งแรกนอกสหรัฐอเมริกา ที่ลอนดอน ในย่านคิงส์ครอส และในพื้นที่ใหม่ๆ ทั่วโลกอีกมากมาย”       “สำหรับประเทศไทย เรามีแผนเปิดโรงแรม The Standard แห่งแรกที่ภูเก็ต ซึ่งนอกจากโรงแรมแล้ว ยังมี Standard Residences ซึ่งเราพัฒนาขึ้นเป็นครั้งแรกภายใต้ความร่วมมือกับแสนสิริ ประเทศไทยเป็นตลาดที่มีความน่าสนใจทั้งในเรื่องของสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ที่น่ามาเยี่ยมเยือน รวมถึงจำนวนของนักท่องเที่ยวที่เพิ่มสูงขึ้นทุกปี จึงเป็นทำเลที่เหมาะสมสำหรับการเปิดตัวแบรนด์ The Standard ไม่ว่าจะเป็นความโดดเด่นในด้านอาหารการกินชั้นเลิศ แวดวงแฟชั่น และศิลปะ เมื่อประกอบเหตุผลต่างๆ เข้าด้วยกัน เราจึงตัดสินใจเลือกกรุงเทพฯ เป็นที่ตั้งสำนักงาน ประจำภูมิภาคของเราเพื่อดูแลการดำเนินธุรกิจทั้งหมดในแถบเอเชียและตะวันออกกลาง”      ด้วยจำนวนโรงแรมทั้งหมด 6 แห่งในปัจจุบันและห้องพักรวมกันกว่า 1,200 ห้อง (รวมโรงแรมแห่งใหม่ที่จะเปิดในลอนดอน) The Standard สามารถสร้างรายได้ปีละประมาณ 200 ล้านดอลล่าร์ หรือ6,600 ล้านบาท มีอัตราการเข้าพักเฉลี่ย 85% มีรายได้เฉลี่ยต่อห้องพักเติบโต 121% โดยทุกสาขามีอัตราที่ใกล้เคียงกัน  The Standard ยังมีสัดส่วนการจองห้องพักจากลูกค้าโดยตรงและการกลับมาใช้บริการซ้ำของแขกที่สูงเป็นอย่างมาก ซึ่งช่วยสะท้อน  ความแข็งแกร่งของแบรนด์ซึ่งโดดเด่นกว่าคู่แข่งรายอื่นๆ     จิมมี่ ซูฮ์ ประธานบริหาร และผู้ร่วมก่อตั้ง One Night กล่าวว่า “เรายินดีเป็นอย่างยิ่งกับการเปิดตัวแอปพลิเคชั่น One Night ในกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นการขยายธุรกิจสู่เอเชียเป็นครั้งแรก กรุงเทพฯ คือเมืองที่ไม่เคยหลับ ผู้คนเปี่ยมพลัง  ในการทำงานและใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ ซึ่งนับเป็นโอกาสที่ดีเยี่ยมสำหรับOne Night แอปพลิเคชั่นจองโรงแรมในวันเดียวกับการเข้าพัก ที่มอบตัวเลือกโรงแรมอิสระชื่อดังซึ่งล้วนคัดสรรมาเพื่อประสบการณ์สุดพิเศษด้วยราคาที่ดีที่สุด”   “แอปพลิเคชั่น One Night เกิดขึ้นเพื่อส่งเสริมแนวคิดในการใช้ชีวิตให้คุ้มค่าและการท่องเที่ยวที่เสริมสร้างประสบการณ์ใหม่ สอดคล้องกับเศรษฐกิจในยุคปัจจุบันที่ผู้บริโภคต้องการบริการที่สั่งได้ทันทีอย่างใจ (on-demand service) ผ่านทางหน้าจอโทรศัพท์ นอกจากนี้ ยังเป็นการผลักดันให้การพักในโรงแรมกลายเป็นกิจกรรมพักผ่อนหย่อนใจสำหรับผู้คนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ เพื่อหลีกหนีจากชีวิตประจำวันที่จำเจ ตามเทรนด์ Staycation ที่กำลังมาแรง นอกจากนั้นตัวแอปฯ ยังมีข้อมูลเกี่ยวกับกิจกรรมที่น่าสนใจบริเวณโดยรอบโรงแรมอีกด้วย”     สำหรับ One Night ที่เปิดตัวในกรุงเทพฯ ได้รวบรวมโรงแรมอิสระที่ดีที่สุด 16 แห่ง ประกอบด้วย โรงแรมอาคิระ สุขุมวิท, โรงแรมอาคิระ ทองหล่อ, แบงค็อก ริเวอร์ไซด์, ปาเฮ่า เกสต์เฮาส์ เยาวราช, โรงแรมคาโบชอง, โรงแรมดิโอกุระ เพรสทีจ กรุงเทพฯ, ริว่าอรุณ, ริวา เซอร์ยา, เซี่ยงไฮ้แมนชั่น, เดอะสยาม, สยามแอทสยาม, โรงแรมสุโขทัย, โรงแรม เดอะ สุโกศล, 137 พิลล่าร์ สวีท แอนด์ เรสซิเด้นซ์, โรงแรมอำแดง, จอช โฮเทล และวันเดย์ โฮสเทล ลูกค้าแสนสิริสามารถรับสิทธิพิเศษสำหรับการจองโรงแรมในกรุงเทพมหานครผ่านแอปพลิเคชั่น One Night ได้ระหว่างวันนี้ – 30พฤศจิกายน 2561 ด้วยส่วนลดพิเศษ 1,000 บาท สำหรับลูกค้า Sansiri Family และส่วนลด 1,500บาทสำหรับลูกค้า Siri Priority     นอกเหนือจากกรุงเทพฯ ปัจจุบัน One Night ได้เปิดให้บริการแล้วในอีก 15 เมืองหลักในสหรัฐอเมริกา และลอนดอน ครอบคลุมโรงแรมอิสระกว่า 170แห่ง และมีแผนขยายขอบข่ายให้ครอบคลุม 30เมืองทั่วโลก รวมทั้งในเอเชีย  และยุโรป ภายในสิ้นปี 2563 “การร่วมเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์กับแบรนด์ที่แข็งแกร่งและโดดเด่น จะช่วยส่งเสริมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของแสนสิริ ผู้บริโภคจะได้รับประโยชน์จากการเข้าถึงบริการจากผู้นำธุรกิจระดับโลกอย่างแท้จริง การเปิดตัวThe Standard และ One Night ในประเทศไทยคืออีกก้าวสำคัญของเรา ที่จะนำไปสู่สิ่งใหม่ๆ อีกมากมายในอนาคต" นายอภิชาติกล่าว    
โรงแรมโซ โซฟิเทล หัวหิน เปิดเฟสใหม่ ยกระดับประสบการณ์ท่องโลกเหนือจินตนาการ ชูจุดเด่น แห่งแรก! ในไทยกับ Wibit แอดเวนเจอร์ในสระว่ายน้ำ

โรงแรมโซ โซฟิเทล หัวหิน เปิดเฟสใหม่ ยกระดับประสบการณ์ท่องโลกเหนือจินตนาการ ชูจุดเด่น แห่งแรก! ในไทยกับ Wibit แอดเวนเจอร์ในสระว่ายน้ำ

โรงแรมโซ โซฟิเทล หัวหิน (SO Sofitel Hua Hin) บริหารโดยแอคคอร์โฮเทล เปิดเฟสใหม่ อย่างเป็นทางการ ยกระดับโรงแรมเป็น the Next Level of Imaginative Escape อีกขั้นเหนือจินตนาการแห่งการพักผ่อน ตอบโจทย์ นักเดินทางทั้งธุรกิจและพักผ่อน เป็นโรงแรมแห่งแรก! ในไทยที่มี Wibit แอดเวนเจอร์เครื่องเล่นเป่าลมลอยน้ำขนาดใหญ่ ในสระว่ายน้ำ 16 x 60 เมตร หวังเจาะกลุ่มเป้าหมายคนไทยและคนต่างชาติในไทย 60% นักเดินทางในเอเชียจากเกาหลี สิงคโปร์ มาเลเซียและไต้หวัน 30% และอีก 10% จากภาคพื้นไกล เช่นยุโรป ออสเตรเลีย คาดอัตรา เข้าพัก 63 -65% ในปี 2562   มร.ยานิค เมนาร์ด รองประธานฝ่ายขาย การตลาดและช่องทางการจัดจำหน่าย แอคคอร์โฮเทล ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตะวันออกเฉียงเหนือและมัลดีฟส์ เผยว่า "โซ โซฟิเทล เป็นไลฟ์สไตล์แบรนด์ที่มีเสน่ห์ มีชีวิตชีวา ที่สร้างความรู้สึกสนุกร่วมไปกับที่พัก และยังคงไว้ซึ่งโพสิชั่นระดับลักซ์ชัวรี่ของโซฟิเทล เพื่อมอบนิยามใหม่ของการพักผ่อนรูปแบบใหม่ที่ไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือน     แบรนด์โซ โซฟิเทล ในไทย มี 2 แห่ง คือ โรงแรมโซ โซฟิเทล แบงคอก และโซ โซฟิเทล หัวหิน และมีแผนจะเปิดที่เกาะสมุยในปี 2563 แต่ละแห่งจะมีคอนเซ็ปต์บ่งบอกเรื่องราวของตัวตนผสานกับดีไซน์หรูฝรั่งเศส ที่ให้ความสำคัญกับแฟชั่น พร้อมกับมีความร่วมมือกับซิกเนเจอร์ดีไซเนอร์หรือนักออกแบบแฟชั่นแบรนด์ชั้นนำ และจากการเปิดเฟสใหม่โซ โซฟิเทล หัวหิน เป็นการเติมเต็มประสบการณ์ความสุขเหนือจินตนาการ และเป็นต้นแบบรีสอร์ทโมเดลให้กับโซในภาคพื้นอื่นๆ ทั่วโลก   นางสาวชิดชนก พศินพงศ์ ผู้จัดการทั่วไป โรงแรมโซ โซฟิเทล หัวหิน เผยว่า "การเปิดเฟสใหม่ได้เพิ่มห้องพักและสิ่งอำนวยความสะดวก ได้แก่ ห้องพักจาก 78 เป็น 109 ห้อง มีห้องพักที่เชื่อมกับสระว่ายน้ำ, สระว่ายน้ำ signature pool ขนาด 16 x60 เมตร พร้อมเพิ่มกิจกรรมเติมเต็มให้สมาชิกทุกคนในครอบครัว ด้วยเครื่องเล่น Wibit เครื่องเล่นเป่าลมลอยน้ำที่มีความยาว 40 เมตรมี 9 ฐานผจญภัย ที่เด็กๆ สามารถปีนป่าย ฝึกความไวและการทรงตัว มีไลฟ์การ์ดดูแลความปลอดภัย นับเป็นโรงแรมแห่งแรกในไทยที่มี Wibit ในสระว่ายน้ำ มี Kids Tent เป็นจุดรวมพลังของเหล่าสิงสาราสัตว์ โดยแบ่งเป็นโซนห้องเล่นแต่ละกลุ่มวัย มีเพลย์กราวน์พื้นที่ที่ปลอดภัยต่อการเล่นของเด็ก และ SO Sundaeร้านขนมสุดชิลล์ริมสระน้ำ   นอกจากนี้ยังมีมินิกอล์ฟ 18-หลุมในธีมวันเดอร์แลนด์ คอร์ตเทนนิสและบาสเกตบอล คอร์ตพิคเคิลบอล จะเปิดบริการในวันที่ 1 ธันวาคมศกนี้ สำหรับลู่จักรยานรอบรีสอร์ทยาว 627 เมตรพร้อมเปิดให้บริการช่วงสิ้นปี และหวังว่าเสน่ห์ที่มีชีวิตชีวาของโซ โซฟิเทล หัวหิน จะช่วยเนรมิตความสุขให้ผู้ใช้บริการได้ครบ 360 องศา มีโมเมนต์สำหรับแชร์ดิจิทัล กับการเป็นนักเล่าเรื่อง ถ่ายรูป และบอกเล่าเรื่องราวในสไตล์คุณ   ล่าสุดโรงแรมเห็นแนวโน้มของการเข้าพักที่เพิ่มขึ้น จากกลุ่ม MICE โดยเฉพาะจากบริษัทเทคโนโลยีดิจิทัล ที่มองหา ที่พักทันสมัย สอดคล้องกับภาพลักษณ์ขององค์กร และยังเป็นรีสอร์ทที่กลุ่มเวดดิ้งของอินเดียให้ความสนใจ เพราะห้องพัก 109 ห้อง ไม่ใหญ่และเล็กเกินไป จะมีชาวอินเดียปิดโรงแรมจัดเวดดิ้ง มี 4-5 กรุ๊ป ยอดรายได้ราว 4 ล้านต่อกลุ่ม"     "ในประเทศไทย แอคคอร์โฮเทล เป็นเครือข่ายโรงแรมที่ครองอันดับ 1 ด้วยจำนวนโรงแรม 81 แห่งภายใต้ 11 แบรนด์โรงแรม และด้วยความเชื่อมั่นในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศไทย แอคคอร์โฮเทลมุ่งมั่นที่จะขยายเครือข่ายให้ครอบคลุม เพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับนักเดินทางทุกกลุ่ม โดยมีโครงการที่จะเปิดโรงแรมอีก 20 แห่งภายในปี 2563 ในกรุงเทพฯ พัทยา ภูเก็ต" กล่าวเสริมโดย มร.เมนาร์ด   โปรโมชั่นช่วงแนะนำเฟสใหม่ weekend getaway เริ่มต้นที่ 4,500 บาท++ รวมอาหารเช้าสำหรับ 2 ท่าน ตั้งแต่บัดนี้ จนถึงมีนาคม 2562 สำรองที่พัก h9649-RE@sofitel.com หรือโทร +66 32 709 555 หรือข้อมูลเพิ่มเติมที่ www.so-sofitel-huahin.com    
แอคคอร์โฮเทล เปิดคอนเซ็ปต์ 2 แบรนด์โรงแรม ในตึกเดียวกัน โนโวเทล และไอบิส สไตล์

แอคคอร์โฮเทล เปิดคอนเซ็ปต์ 2 แบรนด์โรงแรม ในตึกเดียวกัน โนโวเทล และไอบิส สไตล์

แอคคอร์ (AccorHotels) เปิดโรงแรมโนโวเทล และโรงแรมไอบิส สไตล์ คอนเซ็ปต์ 2 แบรนด์ ในตึกเดียวกันใจกลางเมือง ย่านสุขุมวิท เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการในวันที่ 1 ตุลาคมศกนี้ เพื่อเป็นทางเลือกสำหรับนักเดินทางภาคธุรกิจและนักท่องเที่ยว อยู่ใกล้กับสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส นานาและเพลินจิต เดินทางสะดวก และใกล้ทางด่วนที่สามารถเดินทางไปยังสนามบินสุวรรณภูมิและดอนเมืองได้อย่างสะดวกอีกด้วย นายแพทริค บาสเซ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ แอคคอร์โฮเทล ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือและมัลดีฟส์ กล่าวว่า "เป็นโรงแรมแบรนด์รวมแห่งที่สองในกรุงเทพฯ ที่เปิดตัวร่วมกับ ดิเอราวัณกรุ๊ป สำหรับคอนเซ็ปต์ 2 แห่งในตึกเดียว นำความโดดเด่นของสองแบรนด์มาไว้บนตึกเดียว เพื่อให้ผู้ใช้บริการมีทางเลือก ระหว่างโรงแรมโนโวเทล ดีไซน์อย่างทันสมัยในสไตล์ที่เรียบหรู และไอบิสสไตล์แบรนด์ โดดเด่นในความคิดสร้างสรรค์ ราคาประหยัด" ด้าน นายยูเซฟ เอลคอมริ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโสฝ่ายปฏิบัติการโรงแรม บริษัท ดิเอราวัณกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เผยว่า "เป็นการเปิดตัวโรงแรมสองแบรนด์ในตึกเดียวกัน แห่งที่ 2 หลังจากที่เราได้ร่วมงานกับแอคคอร์ โฮเทล ในการเปิดคอนเซ็ปต์ 2 แบรนด์ในตึกเดียวกันมาแล้ว จึงพร้อมจะมอบประสบการณ์การบริการที่แตกต่าง และเป็นการเพิ่มโอกาสให้กับการบริการของเรา โดยคาดหวังส่วนแบ่งการตลาดที่มากขึ้น ด้วยทีมงานที่แข็งแกร่งและช่วยเพิ่มประสบการณ์ทรงคุณค่าให้กับผู้ใช้บริการตลอดการเข้าพัก" โรงแรมโนโวเทล กรุงเทพ สุขุมวิท 4 เป็นโรงแรมระดับ 4 ดาว ประกอบด้วยห้องพัก 185 ห้อง ออกแบบในสไตล์ไทยสมัยใหม่ มีห้องพักที่เป็นเอกลักษณ์ คือ ห้อง N 'Room (เอ็นรูม) ห้องพักแนวคิดใหม่เรียบง่ายและใช้ประโยชน์ได้ดีจากแสงธรรมชาติ ตกแต่งศิลปะผนังห้องที่สะท้อนความเป็นตัวตน สมาร์ททีวี 49 นิ้วและแผงเชื่อมต่อพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน นอกจากนี้ทุกห้องพักตกแต่งภายใต้ระบบ LIVE N DREAM เตียงนอนที่ออกแบบโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม พร้อมผ้าปูที่นอนคุณภาพสูงผลิตจากขวดรีไซเคิล 100% และฐานเตียงผลิตจากไม้ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมด้วยการออกแบบที่ทันสมัยเตียง LIVE N DREAM ช่วยให้หลับสบายตลอดคืน   โรงแรมไอบิสสไตล์ กรุงเทพ สุขุมวิท 4 มอบประสบการณ์การพักผ่อนอย่างคุ้มค่ากับโรงแรมระดับ 3 ดาว อย่างมีสีสัน ห้องพักและห้องสวีทมาตรฐาน 133 ห้อง ทีวี 42 นิ้ว ตู้เย็นขนาดย่อม ไวไฟ เครื่องชงชา-กาแฟ พร้อมอาหารเช้า นอกจากนี้ยังมีห้องอาหารให้ผู้ใช้บริการได้เลือกอิ่มอร่อย อิ่มตา อิ่มใจกับทัศนียภาพเมืองที่งดงามบนห้องอาหารเรดสแควร์รูฟท็อปบาร์ บนชั้นดาดฟ้า 25 ที่บริการอาหารรสเลิศพร้อมกับความบันเทิงและชมทัศนียภาพเมือง ที่งดงาม และสระว่ายน้ำแบบพาโนรามา หรือห้องอาหารนานาชาติ ฟู้ดเอ็กซ์เชนจ์ เปิดบริการตลอดวันบริเวณ ล็อบบี้โรงแรม โรงแรมโนโวเทลไอบิสสไตล์กรุงเทพสุขุมวิท 4 ตั้งอยู่ที่สุขุมวิทซอย 4 เดินเพียง 5 นาทีจากสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส สถานีนานาหรือเพลินจิตห่างจากสนามบินนานาชาติดอนเมืองประมาณ 24.6 กิโลเมตรและสนามบินสุวรรณภูมิประมาณ 29.2 กิโลเมตร   โปรโมชั่นพิเศษ! สำหรับสมาชิกเลอ คลับ แอคคอร์โฮเทล รับส่วนลดห้องพักเป็น 15% พร้อมออนท็อป 10% สำหรับแอคคอร์พลัส ข้อมูลเพิ่มเติมหรือสำรองห้องพัก ที่ www.accorhotels.com, email: Novotel.Erawan@accor.com โทร 0-2659-2888
“ออริจิ้น” เปิดตัว “วัน ออริจิ้น” ติดเครื่องธุรกิจโรงแรมและมิกซ์ยูส  ตั้งเป้า 5 ปี ลงทุน 2 หมื่นล้าน พร้อมจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์

“ออริจิ้น” เปิดตัว “วัน ออริจิ้น” ติดเครื่องธุรกิจโรงแรมและมิกซ์ยูส ตั้งเป้า 5 ปี ลงทุน 2 หมื่นล้าน พร้อมจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์

  “กมลวรรณ วิปุลากร” มือทองธุรกิจโรงแรม เปิดตัว “วัน ออริจิ้น” สร้างศักราชใหม่ธุรกิจที่สร้างรายได้หมุนเวียนเครือ “ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้” กางมาสเตอร์แพลน 5 ปี ลงทุน 2 หมื่นล้าน ลุย 3 กลุ่มธุรกิจ Accommodation-Office & Retail-Foods เกาะแนวกรุงเทพฯ-อีอีซี-เมืองท่องเที่ยว คาดสร้าง Market Value กว่า 30,000 ล้าน เล็งเข้าจดทะเบียนระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์   นางกมลวรรณ วิปุลากร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วัน ออริจิ้น จำกัด ในเครือบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า วัน ออริจิ้น จะเป็นบริษัทที่ทำหน้าที่ดูแลธุรกิจที่สร้างรายได้หมุนเวียน (Recurring Income Business) ทั้งหมดให้แก่เครือออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ และจะเป็นบริษัทที่มีบทบาทสำคัญต่อการสร้างรายได้ที่มั่นคงในระยะยาวให้แก่ภาพรวมของออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ โดยตั้งเป้าหมายว่าภายในช่วง 5 ปีจากนี้ (พ.ศ.2561-2565) บริษัทจะเดินหน้าลงทุนในธุรกิจที่สร้างรายได้หมุนเวียนด้วยงบลงทุนไม่น้อยกว่า 2 หมื่นล้านบาท   ทั้งนี้ บริษัทแบ่งประเภทธุรกิจที่จะลงทุนออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ 1.กลุ่ม Accommodation เช่น ธุรกิจโรงแรม ธุรกิจเซอร์วิสอพาร์ทเมนท์ 2.กลุ่มสำนักงานให้เช่าและค้าปลีก (Office & Retail) และ 3.กลุ่มธุรกิจอาหาร (Foods) โดยจะให้น้ำหนักกับกลุ่มธุรกิจ Accommodation 70% และอีก 2 กลุ่มที่เหลือรวมกัน 30%   “เราตั้งเป้าว่าทรัพย์สินจากการลงทุนดังกล่าวจะช่วยสร้าง Market Value ให้กับเราประมาณ 30,000 ล้านบาท ขณะเดียวกัน จะช่วยสร้างยอดขายรวมในช่วงแผน 5 ปีนี้ให้กับเราประมาณ 10,000 ล้านบาท ซึ่งน่าจะทำให้เราขึ้นแท่นเป็น ท็อป 5 ในวงการธุรกิจโรงแรมและมิกซ์ยูส” นางกมลวรรณ กล่าว   นางกมลวรรณ กล่าวอีกว่า เงินทุนที่ใช้ลงทุนในช่วง 3-5 ปีแรก จะมาจาก 2 ส่วน ได้แก่ 1.เงินทุนจากบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) 2.เงินทุนจากการร่วมทุนกับพันธมิตรระดับโลก เช่น บริษัท โนมูระ เรียลเอสเตท ดีเวลล็อปเมนท์ จำกัด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ครบวงจรรายใหญ่ของญี่ปุ่น ซึ่งมีการสร้างความร่วมมือระหว่างกันแล้วหลายโครงการ อาทิ โครงการโรงแรมสเตย์บริดจ์ สวีท แบงค็อก ทองหล่อ (Staybridge Suites Bangkok Thonglor) ซึ่งเคยประกาศไปแล้ว ขณะเดียวกัน บริษัทมีแผนจะจัดตั้งทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) รวมถึงการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อเพิ่มโอกาสในการระดมทุนเพิ่มเติม อันจะเป็นผลดีต่อการขยายธุรกิจในระยะยาวด้วย   “ประเภทธุรกิจต่างๆ ภายใต้ธุรกิจที่สร้างรายได้หมุนเวียน จะทำให้เราเป็นผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร สามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ ตอบโจทย์การใช้ชีวิตทั้งการทำงาน การพักผ่อนของผู้บริโภคได้อย่างลงตัว” นางกมลวรรณ กล่าว   ด้านนางจตุพร ผิวขาว กรรมการผู้จัดการ บริษัท วัน ออริจิ้น จำกัด กล่าวว่า กลยุทธ์ในการพัฒนาโครงการของวัน ออริจิ้น จะเน้นเกาะทำเลกรุงเทพฯ และระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี) ซึ่งเป็น 2 ทำเลศักยภาพที่ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ให้ความสำคัญอยู่แล้ว เนื่องจากเป็นทำเลที่มีความต้องการของผู้บริโภคที่มีศักยภาพในหลายเซ็กเมนท์ ขณะเดียวกัน ยังวางแผนเข้าไปลงทุนในเมืองท่องเที่ยวสำคัญ เช่น พัทยา ภูเก็ต เชียงใหม่ อีกด้วย รูปแบบการพัฒนาเปิดกว้างทั้งการพัฒนาในลักษณะมิกซ์ยูส และการพัฒนาโครงการแต่ละประเภทแบบสแตนด์อโลน ขึ้นอยู่กับศักยภาพของทำเลและที่ดินแต่ละแปลง “กลยุทธ์การเติบโตจะมีทั้งการจ้างเชนระดับโลกเข้ามาบริหาร การสร้างแบรนด์ของตัวเอง ตลอดจนการเข้าซื้อกิจการ ขึ้นอยู่กับประเภทธุรกิจ และความต้องการของฐานลูกค้า กลยุทธ์ทั้งหมดจะเป็นส่วนสำคัญช่วยเพิ่มความแข็งแกร่ง และทำให้วัน ออริจิ้น สามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็ว” นางจตุพร กล่าว   เบื้องต้น คาดการณ์ว่าภายใน 5 ปี จะมีการพัฒนาโรงแรมและเซอร์วิสอพาร์ทเมนท์ทั้งหมด 15 แห่ง ทั้งในกลุ่มลูกค้า corporate และ leisure รวมจำนวนห้องพักกว่า 4,000 ห้อง ส่วนของอาคารสำนักงานและร้านค้าอีก 10 แห่ง รวมพื้นที่ไม่น้อยกว่า 50,000 ตร.ม.   ที่ผ่านมา บริษัทได้เซ็นสัญญาและนำแบรนด์ของเครือโรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล (ไอเอชจี) เข้ามาบริหารโรงแรม 3แห่ง ได้แก่ 1.สเตย์บริดจ์ สวีท แบงค็อก ทองหล่อ (Staybridge Suites Bangkok Thonglor) 2.สเตย์บริดจ์ สวีท ชลบุรี ศรีราชา (Staybridge Suites Chonburi Siracha) และ 3.ฮอลิเดย์ อินน์ แอนด์ สวีทส์ ศรีราชา แหลมฉบัง (Holiday Inn Suites Siracha Laemchabang) โดยจะทยอยเปิดให้บริการจนครบทั้ง 3 แห่งภายในปี 2564 โดยการนำแบรนด์สเตย์บริดจ์ สวีท (Staybridge Suites) เข้ามานั้น ถือเป็นการนำแบรนด์ดังกล่าวเข้ามาใช้เป็นครั้งแรกในเอเชียแปซิฟิก   ทั้งนี้ การใช้แบรนด์ระดับโลกจากต่างชาติ จะช่วยเพิ่มโอกาสการเข้าถึงลูกค้าทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ เนื่องจากแบรนด์เป็นที่รู้จักและยอมรับอยู่แล้วในระดับโลก
ศรีพันวา ลุยขยายงานโรงแรมรับนักท่องเที่ยว ส่ง “บาบา บีช คลับ หัวหิน” & “บาบา บีช คลับ ภูเก็ต” จับกลุ่มไฮเอนด์

ศรีพันวา ลุยขยายงานโรงแรมรับนักท่องเที่ยว ส่ง “บาบา บีช คลับ หัวหิน” & “บาบา บีช คลับ ภูเก็ต” จับกลุ่มไฮเอนด์

ศรีพันวาลุยเปิด 2 โรงแรมและเรสซิเดนส์สุดหรู มูลค่าโครงการกว่า 4,700 ล้านบาท ภายใต้แบรนด์ “บาบา บีช คลับ หัวหิน” และ “บาบา บีช คลับ ภูเก็ต” รองรับตลาดท่องเที่ยวบูม ชูจุดเด่นในสไตล์บีชคลับริมทะเลหัวหิน และหาดนาใต้ภูเก็ต จับกลุ่มนักท่องเที่ยวไฮเอนด์ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ พร้อมเปิดให้บริการเต็มรูปแบบตุลาคมนี้ มั่นใจตลาดท่องเที่ยวไทยขยายตัวต่อเนื่อง นายสงกรานต์ อิสสระ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการ บริษัท ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงภาพรวมของตลาดการท่องเที่ยวในจังหวัดภูเก็ต และหัวหิน ว่าในส่วนของจังหวัดภูเก็ตยังมีแนวโน้มการขยายตัวของนักท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะเห็นได้จากการเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวต่างชาติ อาทิ จีน รัสเซีย ออสเตรเลีย ตะวันออกกลาง และเอเชียตะวันออก รวมถึงการขยายเที่ยวบินของจังหวัดภูเก็ต และการพัฒนาโครงการสาธารณูปโภคต่างๆ จากภาครัฐ ที่มีนโยบายออกมากระตุ้นภาคการท่องเที่ยว ขณะที่หัวหิน ถือเป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์คสำหรับภาคการท่องเที่ยว โดยจะเห็นได้จากโครงการพัฒนาที่พักอาศัยในเขตพื้นที่หัวหิน ที่มีโครงการใหม่ๆ เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการเพิ่มทางด่วนยกระดับพระราม 2 ลอยฟ้ากรุงเทพ-ราชบุรี และ ทางด่วนใหม่เชื่อมพระราม 3-วงแหวน และรถไฟฟ้าความเร็วสูงกรุงเทพ-หัวหินประกอบกับทำเลหัวหินที่ยังคงมีเอกลักษณ์ ความหลากหลายของสถานที่ท่องเที่ยว รวมถึงความสะดวกสบายด้านการเดินทางพักผ่อนที่ไม่ไกลจากกรุงเทพ ช่วยสนับสนุนให้การท่องเที่ยวหัวหิน เติบโตได้อย่างรวดเร็ว “ปัจจัยที่เห็นได้ชัดที่สะท้อนถึงการเติบโตของภาคธุรกิจท่องเที่ยวภูเก็ต หัวหิน นอกจากตัวเลขนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นแล้ว ปัจจัยในด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ไม่ว่าจะเป็นโรงแรม คอนโด ก็มีแนวโน้มเติบโตเช่นกัน รวมถึงปัจจัยด้านการคมนาคม การขนส่งทางบกและทางทะเล สนามบินนานาชาติ ที่จะส่งเสริมพัฒนาการท่องเที่ยวในอนาคต” นายสงกรานต์ กล่าว ทั้งนี้เพื่อเป็นการรองรับการเติบโตของภาคการท่องเที่ยว และส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศไทย ล่าสุดโรงแรมศรีพันวา ภูเก็ต ได้ขยายแบรนด์โรงแรมสุดหรู 2 แห่ง จับตลาดท่องเที่ยวเมืองภูเก็ต และหัวหิน ภายใต้แบรนด์ “บาบา บีช คลับ หัวหิน” และ “บาบา บีช คลับ ภูเก็ต” ซึ่งจะให้บริการในส่วนของโรงแรม และเรสซิเดนส์ โดยมีทีมงานจากโรงแรมศรีพันวา เข้ามาบริหารเพื่อสร้างมาตรฐานการบริการอย่างเหนือระดับ ซึ่งจะเปิดให้บริการพร้อมกันในเดือนตุลาคมนี้ ด้าน นายดิฐวัฒน์ อิสสระ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ร่วมอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ จำกัด กล่าวถึงความโดดเด่นของโรงแรม “บาบา บีช คลับ หัวหิน” และ “บาบา บีช คลับ ภูเก็ต” ว่าทั้ง 2 แห่งนี้ เป็นโรงแรม และเรสซิเดนส์ ในสไตล์บีชคลับสุดหรู ที่มาในคอนเซ็ปต์ Music Lovers Hotel โดยไฮไลท์ของบาบา บีช คลับ คือมีความเป็นธรรมชาติ Entertainment Pool ติดชายหาด และ Beach Club สุดเอกซ์คลูซีฟ ที่จะมีกิจกรรม Entertainment ทุกเดือน เน้นให้แขกที่เข้าพักได้พักผ่อนริมทะเลไปพร้อมกับเสียงเพลงและสนุกสนาน นอกจากนี้ในแต่ละโลเคชั่น ยังมีการนำเอกลักษณ์การออกแบบดั้งเดิมของท้องถิ่นมาใช้ในงานดีไซน์อีกด้วย โดยในส่วนของ “บาบา บีช คลับ หัวหิน” เป็นโครงการการร่วมทุนระหว่างบริษัท บริษัท ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ จำกัด (มหาชน) และบริษัท ไอ.ซี.ซี อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) และบริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) ภายใต้ชื่อบริษัท ร่วมอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ จำกัด โดยมีมูลค่าโครงการกว่า 1,700 ล้านบาท ในการพัฒนาโรงแรม และเรสซิเดนส์ สไตล์บีชคลับ ริมทะเลหัวหิน ตั้งอยู่บนพื้นที่ 12 ไร่ ในทิวทะเลเอสเตท มีหน้าหาดทอดยาวกว่า 160 เมตร เปิดให้บริการห้องพักวิวทะเลแบบพาโนรามา พร้อมสระว่ายน้ำส่วนตัว จำนวน 18 ห้อง และเรสซิเดนส์พูลวิลล่า จำนวน 11 หลัง โดยมีให้เลือกหลายสไตล์ เริ่มจากห้องพักแบบ บีชฟรอนท์ พูลสวีท (Beachfront Pool Suite), บีชฟรอนท์ พูลสวีท กราวน์ฟลอร์ (Beachfront Pool Suite Ground Floor), เพนท์เฮาส์ (Penthouse), พูลวิลล่า แบบ 3 และ 5 ห้องนอน เน้นจับตลาดกลุ่มนักท่องเที่ยวระดับกลางถึงไฮเอนด์ รวมถึงกลุ่มนักท่องเที่ยวรุ่นเจนเอ็กซ์ เจนวาย และมิลเลนเนียลส์ โดยใช้เสียงเพลงถ่ายทอดความประทับใจสะท้อนเอกลักษณ์ของบาบา บีช คลับ “บาบา บีช คลับ หัวหิน” ถูกโอบล้อมด้วยธรรมชาติและทัศนียภาพอันงดงามของชายฝั่งทะเลอ่าวไทย ให้การบริการระดับ 5 ดาว และสิ่งอำนวยความสะดวก อาทิ ห้องอาหารและบาร์ริมทะเล (Baba Beach Bar & Baba Beach Restaurant), Entertainment Pool, ฟิตเนสระดับพรีเมี่ยมสปาส่วนตัวจากคูลสปาสระว่ายน้ำ และบ้านโชค (Baan Chok) ซึ่งเป็นห้องอาหาร แกลอรี่ และสถานที่จัดงานอีเวนท์ริมทะเล สำหรับผู้ที่สนใจสามารถเข้าชมรายละเอียดของทั้ง 2 โครงการได้ที่เว็ปไซด์ www.bababeachclub.com” นายดิฐวัฒน์ กล่าว ขณะที่ นายวรสิทธิ อิสสระ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศรีพันวา แมเนจเมนท์ จำกัด, บริษัท ชาญอิสสระ เรสซิเดนซ์ จำกัด และ บริษัท อิสสระจุนฟา จำกัด กล่าวว่าในส่วนของ “บาบา บีช คลับ ภูเก็ต” เป็นโครงการการร่วมทุนระหว่าง บริษัท ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ จำกัด (มหาชน) และ บริษัท จุนฟา เรียล เอสเตท จำกัด จากประเทศจีน ภายใต้ชื่อ บริษัท อิสสระ จุนฟา จำกัด โดยมีมูลค่าโครงการกว่า 3,000 ล้านบาท ในการพัฒนาโรงแรม และเรสซิเดนส์ ในสไตล์บีชคลับระดับลักซ์ชัวรี่ ตั้งอยู่บนพื้นที่ 42 ไร่ ริมชายหาดภูเก็ตนาใต้ ห่างจากสนามบินนานาชาติภูเก็ตเพียง 20 นาที โดยมีจุดเด่นที่ตั้งอยู่ติดริมชายหาดยาวถึงเกือบ 200 เมตร ที่ยังคงความเป็นธรรมชาติ พร้อมวิวพระอาทิตย์ตกที่กว้างไกล สร้างบรรยากาศความเป็นส่วนตัวให้กับแขกที่เข้ามาพักผ่อน พร้อมการออกแบบผสมผสานการตกแต่งสไตล์ชิโนโปรตุกีส (Chino-Portuguese) อันเป็นเอกลักษณ์ของภูเก็ต เข้ากับรูปแบบสีสันสดใสของสไตล์แบบเซี่ยงไฮ้แทง (Shanghai Tang) กลายเป็นการตกแต่งสไตล์โมเดิร์นทรอปิคอล (Modern Tropical) ในแบบฉบับของ บาบา บีช คลับ ภูเก็ต ซึ่งมอบไลฟ์สไตล์ชั้นนำระดับลักซ์ชัวรี่ให้แก่ลูกค้า “บาบา บีช คลับ ภูเก็ต” ประกอบด้วยโรงแรมจำนวน 16 ยูนิต  และบ้านพักตากอากาศที่เป็นบีชฟร้อนท์วิลล่าขนาด 5 ห้องนอน (Five Bedroom Beachfront Villa) พื้นที่ใช้สอย 1,100 ตารางเมตร จำนวน 6 หลัง พูลวิลล่าขนาด 2 ห้องนอน (Two Bedroom Pool Villa) จำนวน 18 หลัง  และอีก 37 ยูนิต สำหรับบาบา สวีท (One Bedroom Baba Suite) หรือ พูลสวีท (One Bedroom Baba Pool Suite) ขนาด 1 ห้องนอน และเพนท์เฮ้าส์ขนาด 2 ห้องนอน (Two Bedroom Baba Penthouse) “บาบา บีช คลับ ภูเก็ต” ได้รับการออกแบบให้มีบรรยากาศที่สนุกสนานและเต็มไปด้วยพลัง   สิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการ ประกอบด้วยฟิตเนส สปา สระว่ายน้ำ ร้านอาหารและบาร์ (Baba Beach Restaurant, Baba Beach Bar, Sushi Bar & International Cuisine) ที่ตกแต่งในรูปแบบที่กลมกลืนไปกับท้องทะเล เข้ากับสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ และมอบรูปแบบการใช้ชีวิตในแบบทรอปิคอลสุดหรูอย่างแท้จริง นายวรสิทธิ กล่าวต่อว่า ในส่วนของการบริหารงานของทั้ง 2 โครงการนี้ ได้ใช้ทีมงานบริหารรจากโรงแรมศรีพันวา เข้ามาช่วยบริหารจัดการทั้งหมด เพื่อเป็นการยกระดับมาตรฐานการให้บริการระดับเวิลด์คลาส รวมถึงการบริหารดูแลด้านการลงทุนปล่อยเช่าเรสซิเดนส์ให้กับลูกค้าอีกด้วย “ที่ผ่านมาเรามีการเตรียมความพร้อมด้านบุคลากรเพื่อมารองรับการขยายธุรกิจด้านการโรงแรม โดยในส่วนของโรงแรมศรีพันวาได้จัดทำโครงการ Sri panwa Academy ซึ่งเป็นเสมือนโรงเรียนสำหรับจัดเทรนนิ่งให้พนักงานได้มีความรู้ ทักษะ ด้านการโรงแรม เพื่อสร้างมาตรฐานการให้บริการในแบบฉบับของศรีพันวา พร้อมให้บุคลากรโรงแรมศรีพันวาที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ ในแต่ละสายงาน มาร่วมถ่ายทอดองค์ความรู้ ให้แก่พนักงานในแต่ละระดับการทำงาน ซึ่งมั่นใจว่าการให้บริการของทั้ง 2 โรงแรมแห่งใหม่นี้ จะสร้างความประทับใจให้กับแขกผู้เข้าพักอย่างแน่นอน” นายวรสิทธิ กล่าว
สิงห์ เอสเตท จับมือ ฮาร์ด ร็อค ผุดธีม โฮเทล ในโปรเจกต์ยักษ์ที่มัลดีฟส์

สิงห์ เอสเตท จับมือ ฮาร์ด ร็อค ผุดธีม โฮเทล ในโปรเจกต์ยักษ์ที่มัลดีฟส์

สิงห์ เอสเตท จับมือ ฮาร์ด ร็อค เปิดตลาดใหม่มัลดีฟส์ เพิ่มทางเลือกสำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการสัมผัสประสบการณ์ใหม่ และตลาดครอบครัว ได้มากกว่าการฮันนีมูน หรือความโรแมนติก ผุดธีม โฮเทล ที่จะนำสีสัน และความสนุกตื่นเต้นมาเสิร์ฟถึงกลางทะเล โดยนำร่องเป็นโรงแรมแห่งแรก ภายในโปรเจกต์ยักษ์ที่ครอบคลุมพื้นที่ถึง 9 เกาะ โดยเชื่อมั่นว่า เมกะโปรเจกต์นี้จะกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางทะเลระดับเวิลด์คลาสสำหรับนักท่องเที่ยวทุกกลุ่มทั่วโลก นายนริศ เชยกลิ่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.สิงห์ เอสเตท ในฐานะผู้บริหารจัดการ โครงการเมกะโปรเจกต์ที่มัลดีฟส์ ซึ่งล่าสุดได้รับความร่วมมือจากเครือ ฮาร์ด ร็อค โฮเทล เปิดเผยว่า สำหรับโครงการเมกะโปรเจกต์ลงทุนสร้างสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ ที่ประกอบด้วยเกาะ 9 เกาะในประเทศมัลดีฟส์นั้น เรามุ่งมั่นในการสร้างทางเลือกใหม่ของการท่องเที่ยวมัลดีฟส์ ที่อาจมิได้มีเพียงแค่ทะเลและท้องฟ้าแบบเดิม หรือเป็นสถานที่สำหรับคู่รักเท่านั้น แต่จะเป็นสถานที่แห่งใหม่ที่คุณจะได้รับประสบการณ์หลากหลายระดับเวิลด์คลาส ที่เต็มไปด้วยความสนุก สีสัน ตอบโจทย์ความต้องการของนักท่องเที่ยวทุกกลุ่ม รวมไปถึงตลาดครอบครัว ตัวโครงการประกอบด้วย ยอร์ช มารีน่า, แหล่งช้อปปิ้ง, ร้านอาหารชื่อดัง, บีช คลับ, ที่พัก ฯลฯ ซึ่งในส่วนของที่พัก ล่าสุดได้เซ็นสัญญาความร่วมมือกับเครือฮาร์ด ร็อค ที่จะเข้ามาพร้อมประสบการณ์ สีสัน และความตื่นเต้นใหม่ๆ โดยจะเป็นโรงแรมแห่งแรกของเฟสที่หนึ่ง “เรามีความรู้สึกยินดี และภูมิใจอย่างยิ่งที่ โรงแรมในเครือฮาร์ด ร็อค ซึ่งเป็นบริษัทระดับโลก ให้ความไว้วางใจในการเข้ามาเป็น Strategic partner ที่จะมาร่วมพัฒนาโรงแรมแรกในโครงการเมกะโปรเจกต์นี้กับเรา ซึ่งเราเชื่อว่า ด้วยประสบการณ์ มาตรฐานการทำงาน และมุมมองธุรกิจในระดับโลกของ ฮาร์ด ร็อค จะช่วยเพิ่มสีสีน และประสบการณ์ใหม่ๆ ของโครงการ และทำให้เป็นที่สนใจของคนทั่วโลก เพื่อก้าวไปสู่การเป็นสถานที่ท่องเที่ยวระดับเวิล์ดคลาสที่นักท่องเที่ยวทุกๆ กลุ่ม ใฝ่ฝันที่จะมาเยือน”  นายนริศ กล่าวเสริม ด้านนายเหลียง วี จุน ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายพัฒนาธุรกิจโรงแรม ภูมิภาคเอเซีย และอินเดีย โรงแรมในเครือฮาร์ด ร็อค กล่าวว่า ครั้งนี้เป็นความร่วมมือก้าวสำคัญของเรา และบมจ.สิงห์ เอสเตท ซึ่งเรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่จะได้ร่วมเป็นส่วนสำคัญของเมกะโปรเจกต์ กลางมหาสมุทรในประเทศมัลดีฟส์ โดยความร่วมมือนี้คือการพัฒนาโรงแรมในแบบของ ฮาร์ด ร็อค ที่แสดงถึงเอกลัษณ์เฉพาะตัว มีสีสัน ความรื่นเริง เปรียบได้กับเกาะแห่งสนุกความสดใส โดยเรามั่นใจว่า โครงการเมกะโปรเจกท์ที่กำลังจะเปิดเฟสแรกขึ้นในปี 2018 นี้ จะกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของโลก และทำให้เราจะก้าวไปประสบความสำเร็จร่วมกัน”
MQDC เปิดตัว ยู เขาใหญ่ จับมือกลุ่ม ยู โฮเต็ล แอนด์ รีสอร์ทเข้าสู่ธุรกิจโรงแรม

MQDC เปิดตัว ยู เขาใหญ่ จับมือกลุ่ม ยู โฮเต็ล แอนด์ รีสอร์ทเข้าสู่ธุรกิจโรงแรม

กรุงเทพฯ - 11 มกราคม 2560  –  MQDC แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น เข้าสู่ภาคธุรกิจโรงแรมด้วยการเปิดตัว“ยู เขาใหญ่”บูติคโฮเทลหรูมูลค่ากว่า 400 ล้านบาท โดยแต่งตั้งให้กลุ่มยู โฮเต็ล แอนด์ รีสอร์ท เป็นผู้บริหารโครงการ “ยู เขาใหญ่” ถูกพัฒนาขึ้นเป็นรีสอร์ทหรูเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการวันพักผ่อนท่ามกลางธรรมชาติ และเป็นส่วนขยายของโครงการบ้าน “แมกโนเลียส์ เฟรนช์ คันทรี เขาใหญ่” ที่เปิดตัวไปก่อนหน้านี้ “ยู เขาใหญ่” เป็นรีสอร์ทสไตล์ชาโตซ์ของฝรั่งเศสท่ามกลางวิวทิวเขาอันสวยงาม และอากาศที่สดชื่นตลอดทั้งปีของเขาใหญ่ โรงแรมประกอบด้วยห้องพัก 63 ห้อง ห้องอาหาร ห้องจัดเลี้ยงสไตล์เฟรนช์คันทรี่ ฟิตเนส สระว่ายน้ำ และสปาหรู เพื่อให้ผู้มาใช้บริการได้พบกับสุนทรีย์แห่งการพักผ่อนอย่างแท้จริง MQDC เป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่เชี่ยวชาญการสร้างคุณค่าพิเศษให้กับโครงการในลักษณะ มิกซ์ยูส  โดยการสร้าง “ยู เขาใหญ่” ที่เปิดใหม่ และโครงการบ้าน “แมกโนเลียส์ เฟรนช์ คันทรี เขาใหญ่” จะช่วยส่งเสริมกันและกัน ทั้งบรรยากาศไลฟ์ไตล์อันหรูหราแบบเมืองตากอากาศของฝรั่งเศสที่เชื่อมต่อกันของสองโครงการ ไปจนถึงบริการและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ที่มีเพิ่มเติมจากเดิมอย่างครบครัน นายวิสิษฐ์ มาลัยศิริรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร MQDC กล่าวว่า “การจับมือกับพันธมิตรมืออาชีพอย่างกลุ่มยู โฮเต็ล แอนด์ รีสอร์ท ซึ่งบริหารแบรนด์นี้ขึ้นมาจนเป็นหนึ่งในบูติคโฮเทล ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในเอเชีย ตะวันออกกลาง อินเดียและยุโรปมาแล้ว นับเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่สำคัญของเราในการก้าวเข้าสู่ภาคธุรกิจโรงแรม   MQDC ต้องการให้ “ยู เขาใหญ่” เป็นรีสอร์ทเพื่อวันพักผ่อน ที่เติมความรื่นรมย์และสร้างเสริมสุขภาพกายและใจที่ดีให้กับลูกค้าของเรา  รีสอร์ทแห่งนี้ถูกออกแบบให้ผสมผสานไลฟ์สไตล์ยุโรป เข้ากับกลิ่นอายความเป็นเขาใหญ่ได้อย่างกลมกลืน โดยมีธรรมชาติอันตระการตาเป็นฉากหลัง” ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา MQDC ได้ลงทุนกว่า 100,000 ล้านบาท ในโครงการมิกซ์ยูส ซึ่งประกอบด้วย โครงการ ไอคอนสยาม  โครงการวิสซ์ดอม 101  โครงการแมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด  และโครงการแมกโนเลียส์ เฟรนช์ คันทรี เขาใหญ่ “โรงแรมถือเป็นอีกแนวทางหนึ่งในการสร้างคุณค่าพิเศษให้กับโครงการมิกซ์ยูส และ MQDC จะยังคงเดินหน้าในการสร้างคุณค่าพิเศษให้กับโครงการต่าง ๆ ของเราต่อไปในอนาคต” นายวิสิษฐ์ กล่าวในที่สุด นาย โจนาธาน วิกลีย์ ซีอีโอ ของ ยู โฮเต็ล แอนด์ รีสอร์ท กล่าวว่า “ในช่วง 9 ปีที่ผ่านมา เราได้สร้างแบรนด์นี้ขึ้นมา โดยมีโรงแรมที่ใช้แบรนด์นี้จำนวนมากในหลายประเทศ ทางทีมงานรู้สึกภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้เข้ามาบริหาร ยู เขาใหญ่ของทาง MQDC และร่วมเป็นเพื่อนบ้านของโครงการบ้านพักตากอากาศหรู อย่างแมกโนเลียส์ เฟรนช์ คันทรี เขาใหญ่”
ทรัสต์ SRIPANWA รับการท่องเที่ยวภูเก็ตบูม หนุนศักยภาพธุรกิจโรงแรม ดันอัตราการเข้าพักเฉลี่ยปรับตัวสูงขึ้น ช่วยสร้างผลตอบแทนที่ดี

ทรัสต์ SRIPANWA รับการท่องเที่ยวภูเก็ตบูม หนุนศักยภาพธุรกิจโรงแรม ดันอัตราการเข้าพักเฉลี่ยปรับตัวสูงขึ้น ช่วยสร้างผลตอบแทนที่ดี

ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์โรงแรมศรีพันวา (SRIPANWA) เข้าเทรดวันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย 23 ธันวาคมนี้  หลังได้รับการตอบรับที่ดีจากการเสนอขายให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนเดิมของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์โรงแรมศรีพันวา นักลงทุนทั่วไปที่เป็นผู้มีอุปการคุณของเจ้าของทรัพย์สินและบุคคลที่เกี่ยวโยงกัน ผู้มีอุปการคุณของผู้จัดจำหน่ายหน่วยทรัสต์และนักลงทุนสถาบัน ที่ราคาหน่วยละ 10.80 บาท มั่นใจกองทรัสต์จะให้ผลตอบแทนการลงทุนที่น่าพอใจจากศักยภาพทรัพย์สินที่โดดเด่น ทั้งทำเลที่ตั้ง ชื่อเสียงการบริการและความเชี่ยวชาญในการบริหารโรงแรม แถมได้รับแรงหนุนจากภาพรวมธุรกิจโรงแรมในภูเก็ตที่เติบโตได้ดีและโครงการลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในจังหวัด     นางสาววรดา ตั้งสืบกุล รองผู้จัดการใหญ่ Investment Banking Coverage ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย กองทรัสต์ ‘SRIPANWA’ หรือทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์โรงแรมศรีพันวา เปิดเผยว่า หน่วยลงทุนของทรัสต์  SRIPANWA ได้เข้าจดทะเบียนซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในวันที่ 23 ธ.ค.นี้ ซึ่งด้วยศักยภาพของทรัพย์สินที่เข้าลงทุนจะสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดี หลังจากก่อนหน้านี้ได้รับการตอบรับที่ดีจากการเสนอขายหน่วยลงทุนของทรัสต์ ให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนเดิมในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์โรงแรมศรีพันวา (กองทุนรวม SPWPF) นักลงทุนทั่วไปที่เป็นผู้มีอุปการคุณของเจ้าของทรัพย์สินและบุคคลที่เกี่ยวโยงกัน ผู้มีอุปการคุณของผู้จัดจำหน่ายหน่วยทรัสต์และนักลงทุนสถาบัน ในราคาหน่วยละ 10.80 บาท  รวมทั้งการแลกเปลี่ยนทรัพย์สินและภาระของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์โรงแรมศรีพันวา หรือ SPWPF กับหน่วยทรัสต์ SRIPANWA จากการแปลงสภาพกองทุนรวม SPWPF เป็นกองทรัสต์ SRIPANWA โดยมูลค่ากองทรัสต์ SRIPANWA ณ มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) ที่  11.3121 บาทต่อหน่วย เท่ากับ 3,157 ล้านบาท ทั้งนี้ SRIPANWA ถือเป็นทรัสต์กองแรกที่แปลงสภาพจากกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์มาเป็นทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) โดยได้แปลงสภาพมาจากกองทุนรวม SPWPF เพื่อรองรับการลงทุนเพิ่มเติมในสินทรัพย์หรือขยายขนาดสินทรัพย์ เพิ่มผลตอบแทนและเพิ่มสภาพคล่องของกองทรัสต์ โดยได้เข้าซื้อและรับโอนทรัพย์สินที่ลงทุนครั้งแรกในกองทุนรวม SPWPF ได้แก่ โครงการโรงแรมส่วนที่ 1 จำนวน 45 ยูนิต ที่ประกอบด้วยบ้านพักแบบวิลล่าหรูและห้องพักโรงแรมหรูพร้อมสระว่ายน้ำส่วนตัว พร้อมทั้งเข้าลงทุนในกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินที่จะลงทุนเพิ่มเติมครั้งที่ 1 ได้แก่ โครงการโรงแรมส่วนที่ 2 ซึ่งเป็นห้องพักโรงแรมหรู 2 อาคาร จำนวน 30 ห้องพัก ในอาคารเดอะฮาบิตะ และบ้านพักตากอากาศ X29 ซึ่งเป็นบ้านเดี่ยว 3 ชั้น บนที่ดินรวม 6 ไร่ 50.6 ตารางวา ในจังหวัดภูเก็ต “เชื่อว่าทรัสต์ SRIPANWA จะสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุน หลังได้เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ  เนื่องจากทรัพย์สินของโครงการโรงแรมศรีพันวาที่ทรัสต์ได้เข้าไปลงทุนนั้น จัดอยู่ในทำเลที่มีศักยภาพห่างจากตัวเมืองภูเก็ตประมาณ 15 กิโลเมตร จึงมีโอกาสที่มูลค่าทรัพย์สินจะปรับเพิ่มขึ้นได้ในอนาคต โดย ณ ราคาเสนอขายที่หน่วยละ 10.80 บาท มีประมาณการอัตราผลตอบแทนในปีแรกเท่ากับร้อยละ 6.75” นางสาววรดา กล่าว นายวรสิทธิ อิสสระ ประธานกรรมการ บริษัท ชาญอิสสระ รีท แมเนจเมนท์ จำกัด ในฐานะผู้ก่อตั้ง ทรัสต์ ผู้จัดการกองทรัสต์และผู้เสนอขายหน่วยทรัสต์ กล่าวว่า  บริษัทฯ มั่นใจในศักยภาพและความโดดเด่นของทรัพย์สินที่ทรัสต์ SRIPANWA เข้าลงทุน ซึ่งบริหารงานโดยทีมงานที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในธุรกิจโรงแรม โดยทรัพย์สินที่เข้าลงทุนเพิ่มเติมครั้งที่ 1 ได้แก่ ห้องพักโรงแรมแบบพูลสวีทและเพนท์เฮาส์ จำนวน 30 ห้องพัก มีจุดเด่นที่มองเห็นวิวทะเลอันดามันได้ทุกห้อง  ส่วนบ้านพักตากอากาศ X29 ขนาด 5 ห้องนอน เน้นความหรูหราและเป็นส่วนตัว จึงสามารถรองรับนักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้อระดับบน นอกจากนี้ ยังประเมินว่าทรัพย์สินที่ทรัสต์เข้าลงทุนนั้น มีศักยภาพเติบโตจากปัจจัยเกื้อหนุนจากภาพรวมธุรกิจโรงแรมและการลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในจังหวัดภูเก็ตในอนาคต โดยพบว่าในปีที่ผ่านมาอัตราเข้าพักเฉลี่ยของโรงแรมระดับ 5 ดาวในภูเก็ต เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 71 (ปี 2557 อยู่ที่ร้อยละ 69) ส่วนปี 2559 นั้นคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 75 ขณะที่ภาครัฐมีโครงการและแผนลงทุน อาทิ การลงทุนขยายสนามบินนานาชาติภูเก็ตระยะที่ 2 เพื่อรองรับผู้โดยสารเพิ่มขึ้นเป็น 12.5 ล้านคนต่อปี จากเดิม 6.5 ล้านคนต่อปี ซึ่งจะส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมโรงแรมและการท่องเที่ยวบนเกาะภูเก็ต